Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1102-1103
GGS:บทที่ 1102 ตอบโต้
“อาจิ้ง พวกเราจะทำยังไงดี” หวังจ้าวออกมาเพราะรู้ดีว่าตัวเองนั้นไร้พลังพอที่จะต่อกรกับอเมริกาได้ทังในเรื่องนโยบายกีดกันทางการค้าและการที่สินค้าของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯที่โดนกักเอาไว้
ถึงแม้เขาเองในฐานะคุณชายสามนั้นเปรียบได้ดั่งราชาแห่งเมืองปักกิ่ง ตั้งแต่เด็นจนโต เขานั้นไม่เคยที่จะต้องเกรงกลัวผู้ใด แต่เมื่อต้องเจอกับตัวตนระดับประเทศอย่างอเมริกานั้น ต่อให้เก่งในบ้านยังไงก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อออกไปนอกบ้านอยู่ดี
ซูจิ้งเองก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามออกมาว่า “นายได้ทำประกันสินค้าเอาไว้ใช่รึเปล่า”
“ทำน่ะทำอยู่ แต่ฉันว่ามันก็เท่านั้นนะ อย่าบอกนะว่านายคิดว่าประกันจะยอมจ่ายเงินให้พวกเราเพราะเรื่องที่อเมริกากักสินค้าไว้อย่างนี้น่ะ” หวังจ้าวพูดออกมา
“ในเมื่อนายซื้อเอาไว้แล้วก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกน่า นายแค่จัดการเรื่องในกลุ่มทุนก็พอแล้ว ที่เหลือให้ฉันจัดการเอง” ซูจิ้งพูดออกมา เขานั้นไม่ได้ตั้งใจจะอธิบายเกี่ยวกับรายละเอียดในสิ่งที่เขาจะกระทำอยู่แล้ว เขาได้พูดคุยเกี่ยวกับแนวทางการบริหารกับหวังจ้าวอีกเล็กน้อยก่อนที่จะวางสายไป
“อเมริกาเหรอ พวกแกคิดว่าฉันจะโดนกินนิ่มได้จริงๆรึไง” ซูจิ้งพูดพึมพำกับตัวเองออกมา เขาใช้ความคิดของตัวเองพักหนี่งจึงได้พูดออกมาว่า “ฉิงหยุน…ค่าการใช้ประโยชน์..”
“ค่าการใช้ประโยชน์ในปัจจุบันมีค่าอยู่ที่ 171,025 หน่วยค่ะ” ฉิงหยุนตอบกลับในทันที
“ก่อนหน้านี้ ค่าการใช้ประโยชน์อยู่ที่ 162,009 หน่วยสินะ อืมมมม เพียงแค่สองวันมานี่ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มมาถึง 9 พันหน่วยเลยแหะ เหมือนว่าตอนนี้อัตราการเพิ่มจะมากขึ้นกว่าเดิมพอสมควร….
ดูเหมือนว่าเรื่องปฏิสสารที่ถูกเปิดเผยในครั้งนี้จะส่งให้นานาประเทศตอบสนองในทิศทางที่ดีทีเดียว แม้ว่าจะไม่ได้เพิ่มค่าการใช้ประโยชน์โดยตรงแต่กลับไปเพิ่มอัตราการเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์แทนงั้นเหรอเนี่ย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่ประหลาดใจ นี่ค่อนข้างจะเหนือกว่าที่เขาคิดไว้พอสมควรเลยทีเดียว
“นี่เป็นผลมาจากการที่ระบบได้จำลองแล้วว่าการเปิดเผยเรื่องปฏิสสารต่อสังคมในครั้งนี้ทำให้มนุษย์มีความคิดในการพัฒนาตนเองอย่างจริงจังและชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม นี่ถือได้ว่าเป็นผลดีที่ระบบคำนวนมาได้ค่ะ” ฉิงหยุนพูดออกมา
“แล้วหากว่าเรื่องนี้ทำให้เกิดสงครามล่ะ” ซูจิ้งถามออกมา
“เรื่องนั้น….แน่นอนว่าจะทำให้ค่าการใช้ประโยชน์ลดลงอย่างมากค่ะ” ฉิงหยุนตอบออกมา
“แน่นอนสินะ” ซูจิ้งพยักหน้ารับและในตอนนี้ได้มีความคิดในการจัดการเรื่องปฏิสสารนี้มากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าการที่เรื่องนี้เป็นฉนวนเหตุแห่งสงครามนั้นจะทำให้เกิดผลด้านลบจนค่าการใช้ประโยชน์ลดลงอย่างมากก็จริง
แต่ด้วยเรื่องปฏิสสารนี้เองก็ได้ทำให้อัตราการเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าระบบจะแบ่งการคำนวนค่าเหล่านี้ออกจากกันอย่างชัดเจน
หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือต่อให้เรื่องเลยเถิดจนค่าการใช้ประโยชน์ลดลงอย่างมาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าค่าการใช้ประโยชน์นี้จะลดลงอย่างถาวร แต่จะให้ดีที่สุดก็คงจะเป็นการที่เขาทำให้ทั้งค่าการใช้ประโยชน์และอัตราการเพิ่มของค่าการใช้ประโยชน์สูงขึ้นทั้งสองอย่าง
ในขณะที่ซูจิ้งกำลังคิดแผนการอยู่นั้น ตอนนั้นเองที่มือถือซูจิ้งได้ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นหลัวฉือหลินเขาก็ได้รับในทันที
“นายท่าน พบไอ้สามตัวนั่นแล้วครับ” หลัวฉือหลินพูดออกมา
“เยี่ยม อยู่ที่ไหน” ซูจิ้งได้มีสายตาเป็นประกายในทันที
“พวกมันอยู่ที่เมืองข้างๆ ดูเหมือนว่าพวกมันนั้นถือดีว่าพวกมันหลบเลี่ยงจากการตกเป็นเป้าสายตาได้เก่งจึงได้ละเลยการปลอมตัวทำให้พวกเราสามารถหามันเจอได้ง่ายขึ้น” หลัวฉือหลินพูดออกมา
“เฝ้าพวกมันไว้ ฉันกำลังไป” ที่ซูจิ้งพูดแบบนี้ออกมานั้นเป็นเพราะเขาค่อนข้างกังวลกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้พอสมควร ความจริงเขานั้นจะให้หลัวฉือหลินพาสายลับทั้งสามมาที่เขาก็ได้ แต่เขานั้นขี้เกียจจะรออีกต่อไปแล้วจึงเลือกที่จะไปด้วยตัวเอง
“ตอนแรกฉันก็ยังคิดอยู่ว่าไอ้พวกมะกันนั่นจะเล่นด้วยได้ยากพอดู แต่ในเมื่อเจอพวกเวรตะไลนั่นแล้วฉันก็คงไปขั้นตอนต่อไปได้เลยล่ะนะ” ซูจิ้งคิดไปพลางในขณะที่กำลังขี่หลังอินทรีย์ทองไปยังเมืองข้างๆ
ด้วยความสามารถของเสี่ยวจินนั้นไม่ได้ต่างไปจากเฮลิคอปเตอร์ที่สุดแสนจะรวดเร็วและสะดวกสบายในการบินเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะหากพูดถึงความเร็วแล้วเสี่ยวจินนั้นยังเร็วเสียยิ่งกว่าเฮลิคอปเตอร์รุ่นธรรมดาซะอีก เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี ซูจิ้งก็ได้ไปถึงเป้าหมายในที่สุด
ในโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง สแตนด์ของหลัวฉือหลินได้รออยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้ชายสองคนและหญิงหนึ่งคนได้นอนลงไปกองกับพื้นด้วยสภาพแสนสาหัส นี่เองก็เป็นผลพวงมาจากท่าการโจมตีจากสแตนด์ของหลัวฉือหลินนั่นเอง
ชายสองคนและหญิงอีกหนึ่งคนนี้ก็คือสายลับที่จับโอฉิงหยุนและทำการทรมานเขาจนตายนั่นเอง
แม้จะอยู่ภายใต้การแกะรอยอย่างหนักของซูจิ้ง หลัวฉือหลิน ซูฉือ และสถานีตำรวจประจำจังหวัดนั้น การที่สามคนนี้อยู่รอดมาได้กว่าสองวันโดยไม่ถูกเจอตัวแบบนี้แสดงว่ามีฝีมือพอสมควรเลยทีเดียว แต่นี่ก็ต้องขอบคุณกระจกย้อนความที่ทำให้ซูจิ้งรู้ใบหน้าของชายสองคนนี้จึงทำให้เขานั้นจับทั้งสามคนได้ โดยที่ชายสองคนนี้ไม่รู้ตัวได้ซ้ำว่าตัวเองนั้นถูกเผยตัวมานานแล้ว หากว่าเป็นคนอื่นล่ะก็ แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางเจอตัวได้โดยง่าย
ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตของตัวเองถาโถมไปยังจิตใต้สำนึกของสายลับทั้งสามในทันที เมื่อเสร็จสิ้น ทั้งสามถูกบังคับให้ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อทุกคนได้เห็นซูจิ้งแล้วต่างก็มีใบหน้าที่ถอดสีในทันที
ความจริงทั้งสามคนนี้ได้วางแผนไว้ว่าทันทีที่เสร็จเรื่อง ทั้งสามจะรีบกลับไปอเมริกาให้เร็วที่สุด แต่ทั้งสามไม่คิดว่าซูจิ้งจะรู้ตัวได้เร็วขนาดนี้ แถมยังออกหมายจับทั้งสามไปทุกที่ทำให้ทั้งสามไม่สามารถไปยังสนามบินได้จึงคิดว่าจะรอให้เรื่องซาก่อนแล้วค่อยกลับประเทศ แต่ก็ไม่คิดว่าซูจิ้งจะมาเจอตัวได้รวดเร็วแบบนี้
“พวกแกคงรู้จักชายคนนี้สินะ” ซูจิ้งนำรูปของโอฉิงหยุนออกมาให้สามคนดู
หญิงชาวอเมริกาและชายชาวยุโรปหนึ่งอเมริกาหนึ่งต่างก็เงียบไม่พูดอะไรในทันที ในฐานะที่ทั้งสามนั้นเป็นสายลับ แน่นอนว่าย่อมต้องเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อถูกจับได้ และทั้งสามก็ถูกฝึกฝนเรื่องนี้ไว้แล้วอย่างดี
“อย่าเข้าใจผิดล่ะ ฉันไม่ได้นำรูปนี้ออกมาเพื่อจะใช้บังคับถามเพื่อที่จะเอาคำตอบอะไรจากพวกแก ฉันแค่ต้องการให้พวกแกได้รู้เอาไว้เฉยๆว่าทำไมฉันนั้นถึงจะไม่ยอมฆ่าพวกแกให้ตายไปซะพ้นๆก็เท่านั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมา หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ในตอนนี้เขาได้ใช้พลังจิตควบคุมสามคนนี้โดยตรง
ถึงแม้ว่าโดยปกติแล้วจะเป็นการอยากที่จะทำให้สายลับสักคนคายสิ่งที่รู้ออกมา แต่กับความสามารถในการสะกดจิตของซูจิ้งแล้ว สามคนนี้ทำได้เพียงคายทุกอย่างออกมาอย่างหมดเปลือก
ผลก็คือสามคนนี้คือสายลับของอเมริกาที่ถูกส่งมาเพื่อสืบเรื่องราวของสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของซูจิ้ง และเป็นทั้งสามคนนี้เองที่รายงานเรื่องที่สถาบันวิจัยฯของซูจิ้งสามารถผลิตปฏิสสารได้ไปยังอเมริกา และด้วยงานนี้ ในทันทีที่ทั้งสามกลับไปถึงอเมริกาได้ พวกเขาจะได้เงินก้อนโตพร้อมตำแหน่งระดับสูง
นอกจากนั้นด้วยการที่ทั้งสามเป็นสายลับมานานพอสมควรทำให้มีข้อมูลภายในขององค์กรสายลับของอเมริกาอยู่บ้าง และแน่นอนว่าซูจิ้งเองก็มีข้อมูลบางส่วนอยู่แล้วเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือต่อให้ข้อมูลการสนทนาของสายลับกับอเมริกาจะถูกลบไปแล้ว แต่ด้วยความสามารถของซูฉือและหลัวฉือหลินนั้น บอกได้เลยว่าไม่ยากเย็นอะไรเลยที่จะกู้คืนกลับมา
“แกสามคนจงทำตามที่ฉันบอกซะ…” ซูจิ้งได้ออกคำสั่งให้สามคนนี้ในทันที หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้นำกระจกย้อนความพร้อมทั้งกล้องถ่ายรูปออกมาเพื่อจัดการบางอย่าง
และด้วยเหตุนี้จะทำให้เขานั้นแก้ไขปัญหาในข้อแรกได้นั่นก็คือการที่จะต้องไปรับมือประชาคมโลก สำหรับประเทศอื่นนอกจากอเมริกาแล้ว หากว่าพวกนั้นเลือกที่จะอยู่ข้างอเมริกาล่ะก็ แน่นอนว่าอเมริกาต้องจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรเพื่อจัดการกับกลุ่มทุนห้วงเวลาอย่างแน่นอน
แต่หากว่าประเทศพวกนั้นไม่ได้ยืนอยู่ข้างอเมริกาล่ะก็ประเทศเหล่านั้นย่อมยินดีที่จะดูอเมริกาตั้งลุกเป็นไฟแต่เพียงประเทศเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย แน่นอนว่าธุรกิจของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯที่มีต่อประเทศเหล่านั้นสมควรที่จะเป็นไปได้ด้วยดี
แต่ยังไงซะเรื่องท่าทีของประชาคมโลกนั้นยังไงซะก็ต้องขึ้นอยู่กับสายลับสามคนนี้อย่างช่วยไม่ได้ ด้วยการที่สามคนนี้คือต้นเหตุเกี่ยวกับเรื่องปฏิสสารนี้
ตราบใดที่หลักฐานที่เขามีนั้นรัดกุม คำพูดจากปากสามคนนี้ถือได้ว่ามีประโยชน์ในการจัดการเรื่องนี้อย่างมาก
หลังจากอัดวิดีโอเหตุการณ์เอาไว้แล้ว ซูจิ้งก็ได้โทรหาผอ.ของสถาบันความมั่นคงแห่งรัฐในทันที
เขาได้ทำการนัดแนะอะไรกันบางอย่างแล้วดำเนินการตามแผนของเขาในทันที และเพื่อให้สายลับสามคนนี้ได้รับโอกาสจึงได้ให้ทั้งสามคนนี้กลับไปยังอเมริกา
นั่นก็เพราะว่าหากปล่อยให้สามคนนี้ไปจัดการเรื่องนี้ที่อเมริกาล่ะก็ นี่จะกลายเป็นประโยชน์กับกลุ่มทุนห้วงเวลาฯอย่างที่สุด
แน่นอนว่าเพื่อป้องกันการผิดพลาดและสามคนหลบหนีออกจากแผนการของเขา ซูจิ้งไม่เพียงจะทำการสะกดจิตสมบูรณ์สายลับทั้งสามคนนี้เท่านั้น ซูจิ้งยังเลือกที่จะไปที่นั่นด้วยตัวเองเพื่อควบคุมสถานการณ์ โดยให้หลัวฉือหลินพาเขาเข้าไปที่นั่น โดยไม่จำเป็นต้องปลอมตัวแต่อย่างใด
และแน่นอนว่าเมื่อใช้ประโยชน์จากสายลับทั้งสามจนเสร็จสิ้น เมื่อนั้นพวกมันก็ควรจะตายได้แล้ว
GGS:บทที่ 1103 ล้วงมาก็ล้วงกลับ
ในโลกอินเตอร์เน็ตตอนนี้กำลังคุยกันเรื่องที่เกิดขึ้นกับกลุ่มทุนห้วงเวลากันไปทั่ว
“กลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศโดนเล่นแง่แบบนี้ไม่รู้ว่าซูจิ้งจะมีท่าทียังไงต่อ”
“เหมือนเขาจะยังไม่ได้ทำอะไรนะ ราวกับว่าเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“เขาจะไปทำอะไรได้ล่ะ ครั้งนี้คนที่ตั้งแง่กับซูจิ้งก็คืออเมริกาเลยนะ ฉันบอกได้เลยว่าเขานั้นน่าจะทำได้แค่เพียงปล่อยเลยตามเลยมากกว่าไม่ใช่ว่าเขานั้นยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้หรอก
นั่นก็เพราะต่อให้เขานั้นไร้เทียมทานขนาดไหนกับเรื่องที่ผ่านมา แต่กับเรื่องในครั้งนี้เป็นอะไรที่เขานั้นไม่สามารถใช้ทักษะส่วนตัวแก้ไขปัญหาได้จริงๆ
การที่โดนตัวตนระดับประเทศหาเรื่องกันซึ่งหน้าแบบนี้ ฉันหวังเพียงอย่างเดียวว่าเรื่องจะไม่ลุกลามมาถึงประเทศจีนและคนทั่วไปด้วย ยังไงซะพวกเราก็ไม่อาจจะต่อการกับอเมริกาได้แน่นอนอยู่แล้ว”
“ไอ้บรรทัดบนนั่นมันคิดห่าอะไรอยู่กัน อย่าบอกว่าแกโดนจ้างมาจากไอ้พวกมะกัน ซูจิ้งนั้นเป็นผู้ที่ช่วยให้ประเทศเรานั้นยกระดับทั้งในเรื่องเทคโนโลยี เศรษฐกิจ การรักษา และด้านต่างๆให้อยู่เหนือใครในโลกเลยนะเว้ย”
“ขอพูดแบบไม่เข้าข้างใครเลยนะ ถึงแม้ว่าซูจิ้งนั้นจะทำให้ประเทศของเรานั้นพัฒนาไปในหลายๆด้าน จนทำให้พวกเรานั้นยกระดับคุณภาพชีวิตได้อย่างง่ายๆเพียงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากกลุ่มทุนห้วงเวลาก็จริง
แต่ในครั้งนี้หมอนั่นเองก็กล้าที่จะไปแข็งข้อกับตัวตนอย่างอเมริกาเลยนะ ฉันเองก็แค่หวังว่าให้เรื่องนี้มันจบโดยเร็วเท่านั้นเอง”
“หาเรื่อง เอ็งเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ขอถามหน่อยว่าพี่จิ้งนั้นผิดตรงไหน เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เกิดจากความไร้เหตุผลของอเมริกานะ ไม่ว่ามองยังไงนี่ก็เป็นเพียงการรังแกเพื่อจะได้รับผลประโยชน์ที่ไม่ใช่ของพวกมันเลยด้วยซ้ำ ฉันว่าคนบรรทัดบนนี่คือพวกขี้แพ้อ่อนแอกระดูกสินะ นี่แกกลัวอเมริกาตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยรึไง”
“อย่าไปว่าคนสองบรรทัดบนก่อนหน้านี้เลย ต่อให้เป็นนายก็เถอะนะคุณบรรทัดบน ฉันบอกได้เลยว่าหากต้องเจอกับตัวนายก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ฉันเห็นด้วยกับนายที่นี่ไม่ใช่ความผิดของซูจิ้ง แต่เมื่อไอ้พวกแบบนั้นพูดออกมาแล้วต่อให้ซูจิ้งจะถูกหรือผิดก็ไม่ได้มีค่าอะไรเลย
ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องกลุ่มทุนห้วงเวลาต่างหาก นั่นก็เพราะหากฉันจะบอกไปว่าหากกลุ่มทุนห้วงเวลาต้องล่มสลายล่ะก็ บอกเลยว่าระบบเศรษฐกิจของประเทศจีนก็จะมีสภาพไม่ต่างกัน”
“อาจิ้ง นายเป็นยังไงบ้าง” หวังซือหยาได้โทรหาซูจิ้งทันทีที่รู้เรื่องนี้
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรนะ” ซูจิ้งตอบกลับไป
“ไม่เอาน่า ฉันรู้ว่าตอนนี้นายต้องรับแรงกดดันมหาศาลอยู่ก็จริง แต่อย่าทำเป็นเข้มแข็งหรือไม่ได้สนใจกับเรื่องนี้เลยนะ
ยังไงซะกลุ่มทุนห้วงเวลาฯเองในตอนนี้ก็ถือว่าเป็นบริษัทใหญ่ที่ภาครัฐหนุนหลังอยู่แล้ว ต่อให้อเมริกาจะกดดันมายังไง ยังไงซะรัฐบาลของเราก็ไม่ปล่อยนายต้องเผชิญหน้าเรื่องนี้คนเดียวอย่างแน่นอน
ต่อให้นอกประเทศเราจะทำอะไรไม่ได้แต่ยังไงซะในประเทศเราก็ยังถือว่าเป็นที่หนึ่งอยู่ดี ก็อย่างที่เขาว่ากันว่าเป็นอูฐแก่ยังดีกว่าม้าหนุ่ม
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ต้องล้มทั้งสถาบันวิจัย กลุ่มทุนห้วงเวลา แต่นายก็ยังมีบริษัทซือหยาเวชสำอางของฉันอยู่นา ว่าไปแล้วพวกเราก็ไม่ได้กินข้าวด้วยกันมาก็นานแล้วนะ เย็นนี้มากินข้าวด้วยกันหน่อยสิ” หวังซือหยาพุดออกมาด้วยนำเสียงสบายๆเพราะกลัวว่าซูจิ้งจะเครียดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้ก็กังวลเกินไป ตอนนี้ผมยังอยู่ดีนา…ไม่ได้เป็นไรจริงๆ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“……” หลังจากที่ซือหยาได้ยินน้ำเสียงของซูจิ้งไปแล้วก็อดที่จะนิ่งอึ้งไปไม่ได้ แถมซูจิ้งยังส่งวิดีโอใบหน้าของตัวเองที่ยิ้มร่าออกมาจนทำให้ซือหยาเองไม่รู้จะหัวเราะออกมาหรือว่ากลัวซูจิ้งดีเหมือนกัน เธอได้พูดกับซูจิ้งไปว่า “ไอ้ฉันก็อุตส่าห์เป็นกังวลอยู่นานสองนานแต่นายยังมีกะใจมายิ้มแฉ่งอยู่อีกเนี่ยนะ นี่นายยังหัวเราะได้ยังไงกันในขณะที่เจอแรงกดดันขนาดนี้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ต่อให้ฉันไม่ได้นับถือหรือศึกษาทางด้านศาสนามากนักก็จริง แต่ก็ใช่ว่าฉันจะไม่ได้ฝึกฝนเกี่วกับการทำให้จิตใจสงบสักหน่อยนี่นา
แน่นอนว่าที่ฉันเป็นอย่างนี้ได้นั้นเป็นเพราะว่าในตอนนี้ทุกข์ร้อนไปก็เท่านั้นไม่ใช่รึไง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม และกลายเป็นว่าซูจิ้งต้องมาคอยปลอบปะโลมหวังซือหยาแทน
และด้วยการที่ตอนนี้เขายังมีเรื่องต้องจัดการทำให้เขานั้นคุยกับเธออีกนิดหน่อยก่อนที่จะขอวางสายไป
แน่นอนว่าเพื่อนๆและคนที่สนิทสนมกับซูจิ้งอย่าง จูเจียนฮัว หลินฮ่าว ฉือเล่ย มู่หรงเซียนเอ๋อ เว่ยเสี่ยวหยวน และคนอื่นๆต่างก็โทรหาซูจิ้งกันเป็นทิวแถว
แม้แต่พ่อแม่และน้องสาวของเขาเองก็ยังมาหาถึงบ้านของเขา และเป็นอีกครั้งที่ซูจิ้งต้องปลอบประโลมทุกคนก่อนที่จะบังคับให้ทั้งสามคนต้องกลับไป
แม้แต่ฉือชิงเองก็ยังเป็นกังวลไปกับเขาด้วยเหมือนกัน ช่วงนี้เธอนั้นมาหาซูจิ้งหลังจากปิดร้านแล้วในทุกวันเพราะคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ซูจิ้งต้องการกำลังใจ
แต่ในทุกวันที่เธอมาหานั้นเธอกับพบว่าซูจิ้งไม่เพียงจะมีขวัญกำลังใจที่ดีกว่าใครแล้ว ตัวเขานั้นไม่ได้มีท่าทีกังวลใจอะไรเลยแม้แต่น้อย
ด้วยการที่เธอนั้นรู้จักซูจิ้งเป็นอย่างดีจึงทำให้เธอเข้าใจได้ในทันทีว่าซูจิ้งได้ทำการโต้ตอบทางฝั่งอเมริกาไปเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม เธอเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจไม่ได้เหมือนกันว่าซูจิ้งจะตอบโต้เหตุการณ์ที่อเมริกาได้เล่นแง่กับเขาได้ยังไง
ในขณะที่ทั่วทั้งประเทศจีนยังเป็นกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นและทั่วทั้งโลกยังคงพูดถึงเรื่องอนาคตของกลุ่มทุนห้วงเวลาว่าจะเป็นยังไงต่อไปนั้น ตอนนั้นเองก็ได้มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งเผยแพร่ออกมาทางอินเตอร์เน็ต
ถึงจะบอกว่านี่คือข่าวแต่เนื้อหาของมันนั้นเป็นภาพวิดีโอเหตุการณ์หนึ่ง มันเป็นภาพวิดีโอของชายชาวต่างชาติสองคนและหญิงสาวชาวต่างชาติหนึ่งคนได้ทำการทรมานเพื่อสืบหาข้อมูลจากชายชาวจีนคนหนึ่ง
วิธีการที่คนเหล่านั้นใช้แต่ละอย่างนั้นช่างโหดร้ายชนิดที่ว่าเพียงแค่ได้เห็นก็ถึงกับสยองจนตัวเย็นไปได้เลย และเนื้อหาที่มีการพูดถึงกันนั้นก็คือการเค้นความลับของสถาบันวิจัยของซูจิ้ง โดยที่ชายชาวจีนคนนั้นพูดออกมาเพียงว่าที่นั่นเป็นเพียงสถาบันวิจัยเทคโนโลยีธรรมดาและมีการกล่าวถึงผลงานวิจัยที่ใช้ในการผลิตภัณฑ์ของซูจิ้งที่ได้ประกาศออกมาแล้วเท่านั้น ไม่ได้มีการพูดเกี่ยวกับเรื่องปฏิสสารออกมาเลยสักคำ
แน่นอนว่าภาพเหล่านี้มาจากกระจกย้อนความของซูจิ้ง แต่ในส่วนที่โอฉิงหยุนพูดออกมาเกี่ยวกับเรื่องปฏิสสารนั้นเขาไม่ได้ถ่ายเอาไว้และตัดมาอีกทีก็คือฉากที่โอฉิงหยุนนั้นตกตายไปเรียบร้อยแล้ว
ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั่วทั้งโลกนั้นได้เข้าใจในทันทีว่าทั้งสามคนนี้ได้ทรมานชายหนุ่มชาวจีนคนหนึ่งจนตกตายไปโดยไม่มีการพูดถึงเรื่องที่สถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของซูจิ้งสามารถผลิตปฏิสสารได้ออกมาเลยสักคำ
หลังจากที่โอฉิงหยุนได้ตกตายไปแล้ว หญิงสาวที่อยู่ในวิดีโอได้หันไปพูดกับชายหนุ่มด้วยท่าทีที่ยากจะอธิบาย เธอได้พูดออกมาว่า “ในครั้งนี้เราได้โอกาสจับโอฉิงหยุนที่พนักงานของสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯมาทรมานจนรีดข้อมูลของที่นั่นมาได้แล้วก็จริง
ถัดจากฉากนั้นมาก็คือ ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคนที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ออกมาชี้แจงภาพวิดีโอที่เกิดขึ้นว่า “นี่คือวิดีโอที่พวกเราได้ถ่ายเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการยืนยันข้อมูลที่พวกเราล้วงความลับมาได้นั้นว่าเป็นของจริง
อย่างไรก็ตามตอนที่เราส่งข้อมูลที่ได้กลับไปให้CIAตามคำสั่งที่ได้รับมากลายเป็นว่าCIAไม่ยอมทำตามคำมั่นที่ได้ให้ไว้กับพวกเราแล้ว
ไอ้พวกCIAยังบอกพวกเรากลับมาว่าไม่กล่าวโทษพวกเราในสิ่งที่เราได้ทุ่มเททำไปก็ดีแล้ว อย่าหวังว่าจะได้ตามที่คุยกันไว้เลย นี่ในตอนแรกนั้นพวกเราก็เข้าใจว่าเป็นเพราะพวกเราทำรุนแรงเกินไปจริงๆจึงทำได้เพียงแค่ซ่อนตัวเพื่อรอให้เรื่องซาลงไปแล้วตั้งใจจะกลับไปเทศทีหลัง
มาตอนหลัง พวกเราถึงรู้ว่าที่ไอ้พวกCIAไม่ยอมรับในผลงานของพวกเราในครั้งนี้ เป็นเพราะว่าพวกเรานั้นเข้าถึงข้อมูลความลับมากเกินไป พวกมันถึงใช้โอกาสนี้ในการกำจัดพวกเรา
และเพื่อเป็นการแก้แค้นสิ่งที่พวกมันคิดจะทำกับพวกเรา พวกเราจึงขอปล่อยข้อมูลเหตุการณ์เกี่ยวกับภารกิจสุดท้ายที่พวกเราได้ทำมา
รวมถึงรายชื่อของสายลับทั้งหมดที่ไอ้พวกCIAได้ส่งไปแฝงตัวยังรัสเซียและอังกฤษเพื่อเป็นการเอาคืนที่พวกมันคิดจะตัดหางพวกเรา
และเพื่อเป็นการยืนยันว่าพวกเรานั้นเคยเป็นคนของCIAจริงๆ พวกเราขอเปิดเผยข้อมูลของคนในองค์กรCIAทั้งหมด…” ทันทีที่วิดีโอนี้ถูกเผยแพร่ออกไปนั้น มันถูกส่งต่อไปยังทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
แม้อเมริกาจะพยายามเต็มที่ในการปิดกั้นวิดีโอนี้เอาไว้แต่มันก็สายไปแล้วเพราะในตอนนี้แม้แต่สำนักข่าวในประเทศก็ยังได้รับข้อมูลนี้เอาไว้แล้ว เรื่องนี้ไปไกลชนิดที่ว่าแม้แต่ต่อให้ซูฉือและหลัวฉิหลินไม่ต้องลงมือด้วยซ้ำ
ภาพวิดีโอนี้ทำให้คนทั้งประเทศจีนและต่างประเทศต่างก็ตกตะลึงกันไปทั่ว
“แม่…เอ๊ย แค่ฉันได้เห็นวิดีโอนี้ฉันก็ถึงกับขนลุกขนชันไปหมดแล้ว คนพวกนี้ช่างโหดร้ายจริงๆ”
“นี่นายกล้าดูด้วยเหรอ ฉันแค่เปิดไปไม่กี่วิฉันก็ต้องปิดแล้ว”
“พวกมันไม่ใช่มนุษย์ สายลับของอเมริกาพวกนี้ไม่สมควรที่จะเรียกว่ามนุษย์อีกต่อไป พวกเราชนชาติจีนนั้นต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานจนตายก็จะต้องตามจับไอ้พวกสัตว์นรกเหล่านี้มารับผิดให้จงได้ พวกเราจะต้องถามหาความยุติธรรมแทนคนที่ต้องตายอย่างไร้ความปราณีแบบนี้”
“ฉันลองค้นหาข้อมูลของโอฉิงหยุนคนนี้แล้วในอินเตอร์เน็ตเขานั้นมีตัวตนอยู่จริงๆ เขาคืออัจฉริยะทางด้านวิทยาศาสตร์คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าเขานั้นจะมีประวัติติดตัวที่ไม่ดีอยู่บ้าง แต่ในที่สุด ซูจิ้งก็ได้เล็งเห็นถึงความสามารถและดึงตัวไปร่วมงานด้วยเมื่อไม่กี่เดือนก่อนโดยรับหน้าที่อยู่ภายใต้โครงการเกี่ยวกับปฏิสสาร
และด้วยการที่ได้พบคนที่เห็นความสามารถของตัวเองจริงๆทำให้เขานั้นได้กลับตัวและมุ่งมั่นในการงาน จนเรียกได้เลยว่า เขานั้นถือได้ว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่มีอนาคตไกลและเป็นความหวังของประเทศเราได้เลยด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาตกตายอย่างทรมานแบบนี้เลยจริงๆ”
“นั่นสิ ยิ่งไปกว่านั้นคือตั้งแต่เริ่มจนเขาต้องตกตายลง เขาไม่ได้พูดออกมาเลยแม้แต่คำเดียวว่าสถาบันวิจัยฯของซูจิ้งสามารถผลิตปฏิสสารได้
หากดูจากประวัติอันเลวร้ายของชายคนนี้บอกได้เลยว่าเขานั้นไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งใจเสือใจสิงห์อย่างแน่นอน นี่หมายความว่าคำพูดที่เขาพูดออกมาระหว่างการถูกทรมานนั้นย่อมเป็นความจริง ”
“หรือจะบอกให้ถูกก็คือสถาบันวิจัยฯของซูจิ้งนั้นไม่ได้ผลิตปฏิสสารได้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว แต่ไอ้พวกCIAนั่นมันคิดเล่นตุกติกเลยจัดฉากขึ้นมา แล้วใช้เรื่องนี้มาเล่นแง่เพื่อจะก่อปัญหาให้กับสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯและกลุ่มทุนห้วงเวลาฯสินะ”
“ไอ้พวกเลวระยำ…”
ผู้คนมากมายในตอนนี้ต่างก็รู้สึกว่าหัวใจตัวเองได้รับบาดแผลแสนสาหัสจากการได้รับชมวิดีโอของสายลับนี้
แต่ความรู้สึกนี้ไม่เพียงเกิดขึ้นกับผู้คนในประเทศจีนเท่านั้น ผู้คนทั่วทั้งโลกเองต่างก็มีความรู้สึกนี้ไม่ต่างกัน
นั่นก็เพราะว่า หากได้คิดวิเคราะห์วิดีโอนี้สักหน่อยล่ะก็พวกเขาจะเข้าใจได้ในทันทีว่าสถาบันวิจัยฯของซูจิ้งนั้นไม่ได้ผลิตปฏิสสารได้แต่อย่างใด เป็นอเมริกาต่างหากที่คิดหาเรื่องจีน
และด้วยเหตุนี้ ประชาคมโลกต่างก็เปลี่ยนท่าทีของตนเองอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น