Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1100-1101
GGS:บทที่ 1100 การมาเยือนจากนานาประเทศ
ในวันเดียวกันนั้นเองที่บรรดาฑูตจากนานาประเทศและนักวิจัยได้มายังประเทศจีน
รัฐบาลก็ได้อนุมัติให้เหล่านักวิจัยจากทั่วทุกมุมโลกเข้ามาเยี่ยมเยือนยังสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของซูจิ้งเพื่อทำการตรวจสอบเกี่ยวกับปฏิสสาร
แน่นอนว่ากับเรื่องนี้เองก็ทำให้ทุกประเทศต่างก็สงสัยขึ้นมาว่าหรือประเทศจีนนั้นจะไม่ได้สามารถผลิตปฏิสสารได้จริงๆ มีเพียงประเทศอเมริกาเท่านั้นที่ยังคงมั่นใจว่าสถาบันวิจัยฯของซูจิ้งต้องผลิตปฏิสสารได้แล้วแน่ๆ เพราะพวกเขานั้นได้สืบสวนเรื่องนี้มาโดยตลอด
เหล่าทีมสอบสวนจากนานาประเทศได้นั่งเครื่องบินลำเดียวกันตรงไปยังเมืองจงหยุน เมื่อไปถึง พวกเขาก็ได้ตรงไปยังสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯในทันที
หลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ แฟนคลับของซูจิ้งเองก็อดไม่ได้ที่จะมีท่าทีเป็นกังวล แม้แต่ชาวเน็ตเองก็ยังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไม่หยุดย่อน เช่นเดียวกับที่หวังจ้าวและเฉิงหนานที่ได้โทรหาซูจิ้งซ้ำๆเพื่อให้แน่ใจว่าเขาเตรียมรับมือไว้แล้ว
“ใจร่มๆกันก่อนน่า ฉันรู้เรื่องนี้และเตรียมพร้อมไว้แล้วจริงๆ” ด้วยการที่ซูจิ้งตอบสนองด้วยท่าทีไร้กังวลแบบสุดๆนี้แสดงให้เห็นว่าเขานั้นค่อนข้างมั่นใจในแผนการที่เขานั้นได้ร่วมกับเหล่าสุดยอดอาวุธลับของเขาวางแผนไว้เป็นอย่างดี และด้วยเหตุนี้จึงทำให้รัฐบาลจีนเปิดแขนอ้ารับการตรวจสอบอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามพวกเขานั้นยังไงซะก็ต้องมาถามซูจิ้งเอาไว้ก่อนอยู่แล้ว เพื่อที่ว่าจะได้เตรียมตัวเอาไว้หากจะเป็นต้องทำอะไร
“ใจร่มๆ นายมาใจเย็นในสถานการณ์แบบนี้ได้ยังไงกัน ยังไงซะหลังจากนี้ทุกคนต้องรู้แล้วว่าประเทศจีนนั้นสามารถผลิตปฏิสสารได้แล้วเป็นแน่ แล้วแบบนี้นายยังใจเย็นได้อีกเหรอเรื่องนี้มันสุ่มเสี่ยงจะทำให้โลกนี้เกิดความโกลาหลได้เลยนะ” หวังจ้าวถามออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้น เขาเองแม้จะยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากว่าความจริงถูกเปิดเผยก็ตาม
แต่ที่แน่ๆเขารู้ว่านานาประเทศจะต้องใช้เรื่องนี้ในการก่อสงครามโลกครั้งที่สามได้อย่างสบายๆ
“อาจิ้ง นายคิดว่าเราควรจะเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ออกไปก่อนจะดีรึเปล่า อย่างน้อยๆก็นำอุปกรณ์สำคัญออกไปก่อนก็ยังดี” เฉิงหนานถามออกมา
“โอ้…เจ้ว่าถ้าทำแบบนั้นจะช่วยให้เรารอดได้จริงๆเหรอ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่นา อย่างน้อยๆได้ลองทำดูดีกว่ามารอคอยความตายแบบนี้” เฉิงหนานตอบกลับมา ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่าการเคลื่อนย้ายของเหล่านั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะเครื่องยิงปฏิสสารนั้นใหญ่แบบสุดๆแถมหากว่าถอดออกมาอย่างไม่ระวังล่ะก็ ต่อให้รอดครั้งนี้ไปได้แต่ซูจิ้งก็อาจจะไม่สามารถผลิตปฏิสสารได้อีกนานเลยทีเดียว
อีกอย่าง ต่อให้นำส่วนสำคัญออกไป แต่ตราบใดที่ผู้ตรวจสอบยังมีตาอยู่ล่ะก็ ไม่มีทางเลยที่จะไม่สงสัยว่าของที่เหลือเหล่านั้นใช้ทำอะไรได้บ้าง
นี่ยังไม่รวมถึงเหล่าสายลับที่คอยจับตาดูที่นั่นอีก หากว่าสายลับใช้โอกาสนี้แฝงตัวเข้ามาล่ะก็ ความลับเพียงเล็กน้อยของพวกเขา ย่อมไม่ธรรมดากับคนอื่นอย่างแน่นอน
เรียกได้เลยว่าหากพวกเขานำอุปกรณ์ออกไปแม้เพียงเล็กน้อย แต่นั่นไม่ได้ต่างอะไรกับเป็นการบอกทั้งโลกให้รับรู้ว่าสถาบันห้วงเวลาฯแห่งนี้เก็บงำความลับเอาไว้อยู่มากมาย
“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า เรื่องนี้ฉันเองได้เตรียมการเอารับมือเอาไว้แล้วจริงๆ หากว่าเป็นกังวลนักล่ะก็ช่วยไปที่นั่นกับฉันหน่อยก็พอ
ด้วยกับเหล่าตัวตนแบบนั้น หากว่าพวกเราไม่ออกไปต้อนรับล่ะก็คงต้องเสียโรงพยาบาลของพวกเราไปแน่ๆ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มจนทำให้ทั้งหวังจ้าวและเฉิงหนานถึงกับพูดไม่ออกในทันที
โรงพยาบาลบ้าบออะไรกันก็ในเมื่อพวกนั้นไปสถาบันวิจัยฯเพื่อตรวจสองเรื่องปฏิสสารไม่ใช่รึไง อย่าบอกนะว่าหมอนี่กลัวพวกนั้นตื่นเต้นประหม่าจนต้องทรุดเข้าโรงพยาบาลไปกัน
ถึงแม้ว่าทั้งสองจะยังคงรู้สึกสงสัยอยู่เต็มอก แต่ทั้งสองก็ยังเลือกที่จะไปยังสถาบันห้วงเวลาฯตามที่ซูจิ้งชวนอยู่ดี
เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว รถยนต์คันหนึ่งได้ขับเข้ามาจอดยังสถาบันห้วงเวลาฯของซูจิ้งภายใต้การนำของรถนำขบวนของทหาร
ซูจิ้งเฉิงหนาน และหวังจ้าวได้มายืนรอรับอยู่ก่อนแล้ว แต่นอกจากซูจิ้งที่ยังคงมีท่าทีสุขุมอยู่นั้นเฉิงหนานและหวังจ้าวกลับประหม่าแบบสุดๆ นั่นก็เพราะพวกเขานั้นไม่เคยรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้อยู่ท่ามกลางสนามรบเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต
ไม่นานรถคันอื่นๆก็ได้ขับตามกันมา ในรถเหล่านั้นคือเหล่าผู้ตรวจสอบจากอเมริกา รัสเซีย ผรั่งเศส อังกฤษ และประเทศอื่นๆที่ทยอยก้าวเดินมาจากรถของประเทศตัวเอง และทั้งหมดได้เดินมาภายใต้การน้ำของตัวแทนรัฐบาลจีน เปรียบได้ดั่งคนที่นำพายุมาหยุดอยู่หน้าประตูสถาบันวิจัยฯเลยก็ว่าได้
คนที่นำเหล่าผู้ตรวจสอบเหล่านี้มาก็คือหวังจุ่น ผู้ที่ตอนนี้ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองทหารเรียบร้อยร้อย ด้วยการที่หวังจุ่นมาด้วยตนเองแบบนี้จึงได้รับความสนใจจากผู้คนโดยรอบอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่าการที่หวังจุ่นมานี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญแต่อย่างใด เป็นซูจิ้งที่ทำการหารือเอาไว้แล้วได้ให้คนใหญ่คนโตเหล่านั้นส่งหวังจุ่นมาเป็นตัวแทนรัฐบาล
เมื่อหวังจุ่นได้เดินเข้ามายังหน้าประตู เขา ซูจิ้ง และหวังจ้าว ทำเพียงแค่พยักหน้าให้กันเท่านั้นโดยไม่ได้กล่าวทักทายกันแต่อย่างใด นั่นก็เพราะว่าพวกเขาในตอนนี้ได้ยกหน้าที่ตัวแทนฑูตประเทศจีนให้ซูจิ้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งจึงได้ทำการยื่นมือไปจับทักทายกับทุกคนทีละคน
ด้วยการที่เขาได้เห็นแล้วว่าผู้แทนแต่ละประเทศนั้นแทบจะอดทนรอไม่ได้ที่จะเข้าไปแล้ว ซูจิ้งจึงไม่ได้มีท่าทีรั้งรอแต่อย่างใด เมื่อทักทายกันเสร็จแล้ว เขาจึงเปิดประตูให้ทั้งหมดเข้าไปในทันที
“อาจิ้ง นายนี่น้า…ช่างหาเรื่องได้ตลอดเลยจริงๆ” ในขณะที่กำลังเดินนำเหล่าผู้แทนนานาประเทศเข้าไปนั้น หวังจุ่นอดที่จะพูดออกมาอย่างกระซิบกระซาบพร้อมรอยยิ้มออกมาไม่ได้
นั่นก็เพราะว่าถึงแม้ว่าซูจิ้งนั้นก่อนหน้านี้จะทำเรื่องราวที่มากมายและใหญ่โตจนทำให้ผู้คนทั่วทั้งประเทศ ไม่สิต้องบอกว่าทั้งโลกต้องตกตะลึงมาแล้วก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้ว เรื่องราวเหล่านั้นเทียบไม่ได้เลยสักนิด
“พี่ใหญ่ ตอนนี้เอายังไงต่อล่ะ” หวังจ้าวที่เดินขนาบข้างมาเองก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบถามออกมา
“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันได้รับคำสั่งมาเพียงแค่ให้ส่งและคอยอารักษ์ขาคนพวกนี้เอาไว้เท่านั้น ฉันต่างหากที่ควรจะถามนะว่าเอายังไงต่อ” หวังจุ่นพูดออกมา
“ไม่รู้เหมือนกัน” หวังจ้าวพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนที่ทั้งสามคนจะชำเลืองมองไปยังซูจิ้งอย่างเป็นตาเดียวกัน
“ไม่ต้องกังวลกันไปหรอกน่า เดี๋ยวทุกคนก็จะได้เห็นฉากดีๆเองนั่นแหล่ะ” ซูจิ้งได้พูดออกมาในทันทีพร้อมกับปล่อยพลังจิตของตัวเองออกมาให้ครอบคลุมทั่วทุกคนที่อยู่ที่นี่ แม้แต่หวังจุ่น หวังจ้าว และเฉิงหนานก็ไม่เว้น
ด้วยการที่เหล่าผู้แทนเหล่านี้มีจิตใจที่ไม่คงที่เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับการที่จะได้เข้าไปดูเทคโนโลยีปฏิสสารทำให้ซูจิ้งทำการสะกดจิตทุกคนได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าการสะกดจิตของซูจิ้งในครั้งนี้นั้นไม่ใช่การสะกดจิตสมบูรณ์ แต่ถึงจะบอกว่าไม่ใช่การสะกดจิตสมบูรณ์ แต่ด้วยการที่ต้องสะกดจิตคนจำนวนมากมายขนาดนี้ย่อมทำให้ซูจิ้งเหนื่อยไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อทุกคนได้เข้าไปถึงห้องวิจัย แน่นอนว่าเอเลี่ยนในตอนนี้ถูกพาไปซ่อนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนคนอื่นนั้นก็ยังคงทำงานของตัวเองอย่างปกติ มีเพียงปันฉางเท่านั้นที่ก้าวออกมาเข้าหาพวกเขา
“ปันฉาง นายช่วยแนะนำสถาบันวิจัยห้วงเวลาของพวกเราหน่อยสิ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ครับ เชิญทุกท่านตามมาทางนี้ด้วยครับ” ปันฉางพยักหน้ารับก่อนที่จะนำทุกคนไปอีกพื้นที่หนึ่ง ซูจิ้งเองก็ได้นั่งลงตรงพื้นที่ด้านนอกนี้ก่อนที่จะนำชาของตัวเองออกมาจากกระเป๋ามิติ และทำการชงชาเพื่อรอคอยอย่างสบายอารมณ์
ปันฉางได้นำเหล่าผู้แทนจากนานาประเทศเข้าไปเยี่ยมชมพื้นที่บางส่วนพร้อมทั้งทำการอธิบายอย่างส่งๆปนไปกับคำโกหกคำโตอย่างพวกเขานั้นมีอุปกรณ์ในการผลิตครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่าพวกเขานั้นยังขาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการบรรจุปฏิสสารเอาไว้ได้
ในตอนนี้ที่พวกเขาทำอยู่นั้นสมควรจะเป็นการทดลองผลิตอุปกรณ์บรรจุปฏิสสารเสียมากกว่า แน่นอนว่าหากเป็นปกติแล้ว ผู้แทนนานาประเทศเหล่านี้เพียงมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่เพียงพวกเขาจะมีอุปกรณ์พร้อมบรรจุ พวกเขานั้นยังผลิตอย่างเป็นล่ำเป็นสันเลยด้วยซ้ำ
แต่ด้วยการที่พวกเขาอยู่ภายใต้การสะกดจิตเกือบสมบูรณ์ของซูจิ้งนี้ทำให้พวกเขานั้นต่างก็เชื่อปันฉางกันอย่างหมดใจ
หลังจากเสร็จการอธิบายห้องนี้แล้ว ปันฉางได้พาทุกคนไปลองเล่นอุปกรณ์ที่เขาทดลองผิดพลาดมาก่อนหน้านี้โดยใช้วเลานั่นส่วนนี้ร่วมชั่วโมงเห็นจะได้
หลังจากที่ทุกคนรู้สึกไร้ข้อกังขาแล้ว พวกเขาก็ออกจากห้องวิจัย และต่างก็ขึ้นรถของประเทศตัวเองแล้วจากไปในทันที พร้อมทั้งส่งข่าวไปยังประเทศของตัวเองในสิ่งที่พวกเขาได้รับรู้
แน่นอนว่าทุกประเทศต่างก็ได้รับรายงานคล้ายๆกันว่าสถาบันแห่งนี้ยังคงทำเพียงแค่ระดับขั้นศึกษาปฏิสสารเท่านั้น ยังห่างไกลจากการผลิตอีกมากนัก
หวังจุ่น หวังจ้าว และเฉิงหนานเองก็พึ่งจะได้สติหลุดออกจากการสะกดจิตก็หลังจากที่พวกเขาเห็นเหล่าผู้แทนจากนานาประเทศได้ทยอยกลับกันไปแล้ว
ถึงแม้ทั้งสามจะจดจำได้ว่าสถาบันวิจัยฯของซูจิ้งจะยังคงอยู่แค่ในระดับขั้นศึกษาปฏิสสารก็ตาม แต่พวกเขานั้นกลับรู้สึกค่อนข้างมั่นใจว่าต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติอย่างแน่นอน
นั่นก็เพราะว่าในตอนนี้พวกเขานั้นถึงแม้ว่าจะนึกได้ว่าพวกเขานั้นได้เดินเขาไปยังพื้นที่วิจัยปฏิสสารก็จริง แต่พวกเขาจำไม่ได้แม้กระทั่งคำพูดของปันฉางที่พูดให้พวกเขาได้เลยสักคำ
แถมก่อนหน้านี้หวังจ้าวและเฉิงหนานยังรู้มาว่ซูจิ้งนั้นสามารถผลิตปฏิสสารได้แล้วจริงๆ นี่จะทำให้พวกเขานั้นปักใจเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยังไง
GGS:บทที่ 1101 อเมริกาไม่เชื่อ…..
หวังจุ่นถึงกลับหน้านิ่วคิ้วขมวดในทันทีเมื่อได้คิดถึงฉากเหตุการณ์ต่างๆที่พึ่งจะได้ผ่านมา ไม่ว่าคิดยังไงเข้าก็รู้สึกแปลกพิกล ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลก แถมรายละเอียดเชิงลึกเขากลับจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แต่เขาก็รู้ดีว่านี่ยังไม่ใช่เวลาหาคำตอบแต่อย่างใด เขาได้พาตัวเองอารักขาเหล่าผู้แทนจากนานาประเทศให้กลับออกไปจากที่นี่โดยสวัสดิภาพก่อนเป็นอย่างแรก
ไม่นาน รัสเซียก็ได้รับข่าวจากตัวแทนของประเทศ
“อยู่ในขั้นการศึกษา ยังไม่สามารถผลิตปฏิสสารได้เหรอ นายแน่ใจรึเปล่า”
“แน่ใจครับ เทคโนโลยีของพวกนั้นไม่ได้มีอะไรที่ล้ำหน้าพวกเราเลยสักอย่างเดียว เต็มที่พวกนั้นก็ทำได้แค่ผลิตสารประกอบของปฏิสสารไดเท่านั้นเอง เรียกได้ว่ามองยังไงแล้วก็ยังไปไม่ถึงไหน แล้วโครงการของจีนจะไปผลิตปฏิสสารได้ยังไงกัน”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็คงจะน่าแปลกไปหน่อยนะ หากว่าพวกเรายึดถือจากหลักฐานของอเมริกาที่เอาออกมาพูดล่ะก็ หากว่าสถาบันวิจัยแห่งนั้นไม่ได้ผลิตปฏิสสารได้ล่ะก็ ทำไมที่นั่นถึงต้องการทั้งวัตถุดิบ เครื่องมือ และกำลังไฟจนาดนั้นกันล่ะ”
“ตามความเห็นของผมนะครับ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่ง ซูจิ้งนั้นเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันวิจัยนั่นอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการที่เขานั้นเป็นคนรวยอย่างมาก การที่จะทุ่มเงินลงไปขนาดนั้นแล้วเสียไปเปล่าๆก็ไม่ได้มีผลอะไรในชีวิตเขาเลยแม้แต่น้อย
ส่วนอีกความเป็นไปได้หนึ่งก็คือเขานั้นใช้ที่นั่นเป็นสถานที่ฟอกเงิน แน่นอนว่าหากเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็จะไม่แปลกที่เขาจะทุ่มเงินมากแล้วได้เงินน้อยกลับมา”
“….ทำไมฉันยังรู้สึกว่ามันมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลอยู่นะ”
ทั้งประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และนานาประเทศต่างก็ได้รับข้อมูลในทำนองเดียวกันจากทีมสืบสวนของตัวเอง ด้วยการที่ข้อมูลที่ได้เหมือนกันแบบนี้ ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะมีบางประเทศที่เชื่อ และมีบางประเทศที่ไม่เชื่อ
แน่นอนว่าหนึ่งในพวกที่ไม่เชื่อก็คืออเมริกา
“ไม่มีปฏิสสาร เป็นไปไม่ได้ พวกเราทุ่มเทกำลังคนตั้งมากมายจนสืบรู้มาได้ว่าพวกมันนั้นได้ปฏิสสารกันเรียบร้อยแล้ว
นี่แกดูอะไรพลาดไปรึเปล่า…อาจจะเป็นพวกมันพาแกเข้าไปยังห้องที่ไม่ได้ใช้ผลิตปฏิสสารจริงๆแต่พวกมันมีห้องลับอยู่ ยังไงซะพวกมันต้องทิ้งร่องรอยอะไรไว้อย่างแน่นอน หรือไม่ก็อาจจะมีการขนย้ายอุปกรณ์บางอย่างออกไประหว่างนี้ก็ได้”
“พวกเราตรวจสอบดูแล้วอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าพวกเขานั้นไม่ได้มีฐานลับใต้ดินอะไรพวกนั้น ไม่มีแม้แต่ร่องลายการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ต้องบอกว่าอุปกรณ์ของที่นั่นมีเกินความจำเป็นด้วยซ้ำไป”
“ถ้าอย่างนั้นมันก็คงจะแปลกไปหน่อยแล้วล่ะ เป็นไปได้ว่าประเทศอื่นเองอาจจะรวมหัวกับจีนช่วยกันปกปิดร่องรอยไม่ให้พวกแกเห็นก็ได้ ไม่ว่ายังไงพวกแกก็ต้องกลับเข้าไปตรวจสอบดูอีกครั้ง”
“….พอมาคิดถึงท่าทีของจีนก่อนหน้านี้แล้วผมว่าเรื่องนี้พวกเราคงต้องคิดกันอีกทีนะ ถึงแม้ในครั้งนี้พวกเขาจะยอมให้เราเข้ามาตรวจสอบกันก็จริง แต่นี่เองก็ถือเป็นการให้เกียรติมากแล้ว หากว่าเรายังดื้อดึงต่อไปอีก…ผมว่าไม่เพียงจะยอมให้พวกเราเข้าไปตรวจสอบเป็นครั้งสองเลย…”
“ต่อให้พวกมันไม่ยอมแล้วพวกมันจะทำอะไรได้”
ณ ประตูของสถาบันวิจัยห้วงเวลาและกาลอวกาศ หลังจากขบวนรถของตัวแทนนานาประเทศได้ขับรถจากออกไป หวังจ้าวที่ในตอนนี้เริ่มทนไม่ไหวกับข้อสงสัยของตนจึงได้ถามออกมาว่า “อาจิ้ง เกิดอะไรขึ้นกัน อย่าบอกนะว่านายเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ผลิตปฏิสสารไปแล้ว”
เฉิงหนานเองก็ถามออกมาในทำนองเดียวกันว่า “ไม่ใช่ว่าเราคุยกันไปก่อนหน้านี้ว่าเราจะไม่ย้ายอะไรออกไปไม่ใช่เหรอ เพราะหากว่าย้ายอะไรออกไปล่ะก็จะยิ่งเป็นที่ผิดสังเกต หากเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ไม่มีทางที่คณะผู้ตรวจสอบจะปล่อยให้รอดพ้นสายตาไปได้อย่างแน่นอน”
“….เอาเป็นขอไม่อธิบายก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม นี่ทำให้หวังจ้าวแล้วเฉิงหนานที่ได้ยินอดไม่ได้ที่จะมองหน้าซูจิ้งด้วยสายตาเย็นชาปนเซ็งๆก่อนที่จะพากันเดาะลิ้นออกมาแทบจะพร้อมกัน เพราะนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ซูจิ้งสามารถแก้ปัญหาได้โดยที่ไม่บอกอะไรพวกเขาเลย
“ก็นะ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าอย่าเพิ่งรีบดีใจไปกันเลยดีกว่า พวกเราเองแค่หลบเลี่ยงในเรื่องนี้ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น” ซูจิ้งพูดออกมา
“แค่ชั่วคราวเหรอ ทำไมล่ะ ก็ในเมื่อคณะสอบสวนเองต่างก็พอกันรับรู้ว่าพวกเรานั้นยังไม่ได้ผลิตปฏิสสารเลยนี่นาแล้วทำไมถึงบอกว่ายังไม่ปลอดภัยอีก” เฉิงหนานรีบถามออกมาในทันที
“ฉันว่าพวกนั้นไม่มีทางเชื่อง่ายๆหรอก เพราะยังไงซะพวกนั้นต่างก็รับรู้แล้วว่าเราได้ทุ่มเทเงินทองไปกับสถาบันวิจัยมากมายขนาดไหน
และการทุ่มเงินของของซูจิ้งนี้ยังไงก็ต้องดำเนินการต่อไปอย่างแน่นอน ต่อให้ครั้งนี้รอด แต่ยังไงซะพวกนั้นก็ยังคงสงสัยเรื่องนี้อยู่ดี” หวังจ้าวพูดออกมาอย่างคนมีประสบการณ์
“ถูกต้อง ในอนาคตพวกเรายังคงถูกตรวจสอบจากนานาประเทศอีกอย่างแน่นอน และพวกเราเองก็เหมือนกัน มันก็เหมือนกับการที่เราได้โดดเรียนในวันรายงานตัว แต่สุดท้ายก็ตั้งเข้าเรียนไปอีกนานกว่าสิบยี่สิบปี
และด้วยเหตุนี้ ฉันจะไปที่ปักกิ่งสักหน่อยนะยังไงก็ฝากพวกนายดูแลทางนี้ด้วย” ซูจิ้งพูดออกมา
“ห้ะ นายจะไปทำอะไรที่นั่นกัน” หวังจ้าวพูดออกมา
“ก็แค่ถึงเวลาเอาคืนของประเทศเราเท่านั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยแสยะยิ้ม ภาพนี้ทำให้ทั้งหวังจ้าวงและเฉิงหนานต่างก็ต้องขนลุกกันเลยทีเดียว
หลังจากแยกย้ายกันแล้ว หวังจ้าวและเฉิงหนานได้กลับไปยังสำนักงานของกลุ่มทุนห้วงเวลา ในขณะที่ซูจิ้งได้กลับไปยังบ้านของตนเองเพราะว่าเขานั้นต้องการที่จะเตรียมตัวก่อนที่จะไปยังเมืองหลวง
แต่ว่าเขานั้นมีความรู้สึกว่าของที่มีอยู่น่าจะยังไม่เพียงพอจึงคิดที่จะตรงไปยังจัดการขยะห้วงเวลาฯเผื่อจะได้อะไรเพิ่มเติม ยังไงซะขยะห้วงเวลาฯกองนี้ก็มาจากห้วงเวลาฯอเวนเจอร์ ยังไงซะก็ต้องมีสมบัติที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีอีกไม่มากก็น้อย แต่ที่แน่ๆเขานั้นน่าจะใช้เวลาในการค้นหาที่นานนัก
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ซูจิ้งจะได้ทำอะไรต่อไป เขาได้รับโทรศัพท์จากหวังจ้าวพร้อมกับข่าวร้ายที่ถึงกับทำให้ซูจิ้งต้องขมวดคิ้วในทันทีที่ได้ยิน
อเมริกานั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าพวกเขานั้นไม่เชื่อใจประเทศจีน และใช้อำนาจทางทหากกดดันให้จีนยอมรับคนของพวกนั้นเข้าไปตรวจสอบยังสถาบันวิจัยห้วงเวลาและกาลอวกาศของซูจิ้งอีกครั้ง พร้อมทั้งบังคับให้จีนส่งมอบความรู้ทางเทคโนโลยีปฏิสสารทุกอย่างที่จีนรู้ให้กับอเมริกาด้วยข้ออ้างที่ว่าเพื่อใช้ในการปกป้องความมั่นคงของโลก แน่นอนว่าในคราวนี้รัฐบาลจีนได้ทำการปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในทันที
อย่างไรก็ตาม อเมริกาไม่คิดที่จะยอมแพ้ พร้อมทั้งประกาศกล้าวว่าอเมริกาจะจัดให้มีการระดมความคิดเห็นจากทั่วโลกเกี่ยวกับท่าทีของจีนและการกระทำของจีนที่ครอบงำสถาบันวิจัยฯของซูจิ้ง
พร้อมทั้งเพื่อเป็นการตัดแหล่งเงินทุนของสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯ อเมริการได้ออกมาทำการกีดกันทางการค้ากับสินค้าที่มาจากกลุ่มทุนห้วงเวลาฯในทุกรูปแบบ
กับเรื่องนี้ด้วยการที่กลุ่มทุนห้วงเวลาเองได้เริ่มขายผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้กับอเมริกา ต่อให้ได้รับผลกระทบไปบ้างแต่ก็ยังไม่เท่ากับการที่ประเทศอื่นๆเริ่มคล้อยตามอเมริกา
ถึงแม้ว่าอเมริกาเองจะไม่สามารถบังคับให้ประเทศอื่นทำแบบตัวเองได้ก็ตาม แต่ยังไงซะด้วยการที่เป็นประเทศมหาอำนาจ แน่นอนว่าต้องส่งผลต่อการตัดสินใจของประเทศอื่นไม่มากก็น้อย
ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะคิดไว้แล้วว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาฯของเขาจะต้องโดนแรงกดดันแบบนี้เข้าสักวัน แต่เขาก็ไม่คิดว่า เหตุการณ์นี้จะมีอเมริกาเป็นหัวเรือใหญ่ในการกระทำที่ไร้สาระแบบนี้
บนโลกอินเตอร์เน็ตเองก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปทั่วเช่นเดียวกัน
“จบแล้ว…คราวนี้กลุ่มทุนห้วงเวลาไปไม่รอดแล้วแน่ๆ”
“ไม่จริงหรอกน่า ต่อให้พวกเขาเสียตลาดอเมริกาไป ยังไงเราก็ยังมีประเทศอื่นเป็นคู่ค้าอยู่อีกไม่ใช่เหรอ”
“ถึงแม้จะดูเหมือนกับว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาฯจะเสียตลาดไปแค่ประเทศเดียวก็จริง แต่ต้องไม่ลืมว่าตลาดในอเมริกาเองก็ใหญ่ไม่น้อยกว่าประเทศอื่นเลยนะ อีกอย่างหนึ่งต้องไม่ลืมว่าอเมริกาคือประเทศมหาอำนาจ แรงกดดันขนาดนี้ต่อให้ประเทศเราโดนตรงๆยังต้องคิดหนัก นับประสาอะไรกับบริษัทแค่บริษัทเดียว”
“ถูกต้อง นี่ยังไม่รวมถึงแรงกดดันของอเมริกาที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของประเทศอื่นอีกนะ ต่อให้มีบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศเข้าไปเป็นหุ้นส่วนของกลุ่มทุนห้วงเวลา แต่ยังไงซะ บริษัทเหล่านั้นเองก็มีหุ้นส่วนส่วนใหญ่มาจากอเมริกาด้วยเช่นกัน บางบริษัทนี่ต่อให้บอกว่าเป็นของอเมริกาก็ไม่แปลกด้วยซ้ำ”
“คราวนี้ต่อให้กลุ่มทุนห้วงเวลาจะผ่านไปได้ แต่ยังไงซะพวกเขาต้องเสียเงินทุนของตัวเองไปอย่างมหาศาลเป็นแน่”
“ฉันก็คิดไว้แล้วว่าไอ้พวกมะกันนั่นไม่คิดจะวางมือ แต่ก็ไม่คิดว่าจะทำเรื่องเลวทรามได้ถึงขนาดนี้” หวังจ้าวที่โทรหาซูจิ้งอยู่ในขณะนี้ได้พูดความรู้สึกของตัวเองออกมาด้วยความเกลียดชังพลางกัดฟันของตัวเองอย่างโกรธแค้น
“ไอ้พวกนั้นมันถือดีว่าตัวเองเป็นตำรวจโลกอยู่แล้วน่า ยังไงซะจะช้าเร็วมันก็ต้องแสดงธาตุแท้ของพวกมันออกมาอยู่แล้ว เราเองควรจะเตรียมการทุกอย่างให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เอาไงต่อ” หวังจ้าวช่วยไม่ได้ที่เขาจะต้องถามออกมา เขานั้นมีความสามารถพอที่จะกวาดล้างผู้คนมากมายที่ต้องการก่อปัญหากับซูจิ้งได้ก็จริง แต่กลับตัวตนในระดับประเทศนี้ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถ โดยเฉพาะกับประเทศที่ถือได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดบนโลกใบนี้
“ตอนนี้ยังไม่ต้องทำอะไรหรอก รอฉันไปเมืองหลวงก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ที่ซูจิ้งพูดออกมาแบบนี้ก็เพราะว่าเขารู้ดีว่าด้วยความแข็งแกร่งของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯในตอนนี้ไม่สามารถต่อกรกับตัวตนที่อยู่ในระดับประเทศได้อยู่แล้ว
“เดี๋ยวนะ มีข่าวส่งมา” หวังจ้าวได้พูดออกมาก่อนที่จะหยุดเพื่ออ่านข่าวที่เขาพึ่งจะได้รับมา ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ไร้สาระ ไอ้พวกเวรนั่นมัน…นี่มันหาเรื่องกันชัดๆ”
“เกิดอะไรขึ้น” ซูจิ้งถามออกมา
“เรือขนส่งสินค้าของพวกเราถูกไอ้เวรมะกันกักเอาไว้ตอนที่กำลังแล่นผ่านช่องแคบมะละกา พวกมันบอกว่าที่ยึดเอาไว้เพราะว่าพวกนั้นคือปฏิสสาร โดยอ้างเหตุผลว่าเพิ่มป้องกันความสงบสุขของโลกใบนี้”
“….อะไรอยู่ในนั้น”
“มือถือกาลเวลากับรถยนต์กาลเวลา….พวกมันมีมูลค่ากว่าหนึ่งพันล้านหยวน” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว และซูจิ้งได้ขมวดคิ้วในทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น