Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1098-1099
GGS:บทที่ 1098 เปิดโปง
หลังจากที่ซูจิ้งได้มอบหมายให้หลัวฉือหลินและซูฉือทำการสืบสวนการลักพาตัวโอฉิงหยุนไปนั้น เขาก็ได้โทรไป๋ฮิตูและมอบหน้าที่ในการคุ้มครองให้กับเหล่าเจ้าหน้าที่สำคัญของสถาบันวิจัยห้วงเวลาและกาลอวกาศพร้อมทั้งมอบบอดี้การ์ดให้ติดตามแต่ละคนเอาไว้
บอดี้การ์ดเหล่านี้ก็คือเหล่านักสู้ผู้ได้ถูกชุบเลี้ยงด้วยข้าวสีน้ำเงินและเรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งนั่นเอง
หลังจากผ่านเหตุการณ์ลักพาตัวได้ไม่ถึงวันดี ในที่สุด หลัวฉือหลินก็ได้พบกับโอฉิงหยุนในฐานลับแห่งหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามที่เขาพบนั้นเป็นเพียงศพของโอฉิงหยุนเท่านั้น
หลังจากซูจิ้งได้รับข่าวนี้ เขาได้รีบตรงไปยังฐานลับนั่นในทันที และในยามที่เขาได้เห็นสภาพศพของโอฉิงหยุน ซูจิ้งนั้นทุกกับหน้าชาพร้อมมุมปากที่กระตุกไปมาบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะตกใจหรือเขาโกรธกันแน่
ศพของโอฉิงหยุนนั้นอยู่บนเก้าอี้โดยมีผ้ามัดปากเอาไว้ ดวงตาของเขานั้นแดงกล่ำพร้อมด้วยร่างที่เปียกโชกไปด้วยเลือดที่ท่วมตัว บอกได้เลยว่าก่อนเขาตายนั้นเขาได้หวาดกลัวแบบสุดๆ
เท่าที่ดูนี้บอกได้เลยว่าไม่มีอวัยวะใดเลยที่อยู่ครบสมบูรณ์ดี แม้แต่นิ้วทั้งสิบของเขาเองก็ยังถูกดึงออกไป เรียกได้ว่าสภาพของเขานี้ถูกกระทำทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือจากสามัญสำนึกของมนุษย์แล้วจริงๆ
สภาพศพของโอฉิงหยุนนั้นบ่งบอกว่าเขานั้นได้ตายมาแล้วประมาณชั่วโมงเศษๆ แน่นอนว่าไม่มีทางเลยที่จะนำเขาฟื้นคืนมาจากความตายได้ แม้แต่ซูจิ้งที่มีสมบัติอยู่มากมายก็ไม่จะทำเรื่องนี้ได้
“ฉันจะแก้แค้นให้นายและจะดูแลตระกูลของนายเป็นอย่างดี” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึกพร้อมทั้งใช้มือของตัวเองปิดตาของโอฉิงหยุนลง
หลังจากนั้นซูจิ้งได้ใช้กระจกย้อนความแล้วทำการย้อนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กระจกย้อนความได้ฉายภาพของหญิงชาวต่างชาติและชายชาวต่างชาติอีกสองคนกำลังทรมานโอฉิงหยุนอยู่ พวกมันใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เหล่ามืออาชีพได้ใช้ในการทรมานผู้คนเพื่อล้วงความลับออกมา เท่าที่เขาดูแล้วบอกได้เลยว่าสามคนนี้คือมืออาชีพอย่างไม่ต้องสงสัย
โอฉิงหยุนเองแม้จะเจ็บปวดทรมานเจียนตาย แต่ตัวเขาเองก็ทำเพียงแค่กัดฟันตัวเองไว้ตลอดเวลาและไม่ยอมพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย
มีเพียงช่วงสุดท้ายเท่านั้นก่อนที่เขาจะขาดใจตาย ในที่สุดเขานั้นก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปจึงได้เผลอพูดข้อมูลเกี่ยวกับปฏิสสารออกมาเล็กน้อย
ซูจิ้งนั้นไม่ได้ว่าโอฉิงหยุนเลยแม้แต่น้อยนั่นก็เพราะถึงแม้ว่าเขาจะสะกดจิตสมบูรณ์แล้วสั่งไว้ว่าต่อให้ตายก็ห้ามคายความรับใดๆก็ตาม
แต่ในสถานการณ์ที่โดนทรมานจนเจ็บเจียนตายแบบนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่จิตใจนั้นต้องขัดขืนตัวเองอย่างที่สุดเพื่อให้ได้มีชีวิตรอด ต่อให้จิตสำนึกจะกดข่มเอาไว้มากมายขนาดไหน แต่ยังซะก็คงไม่อาจจะกดข่มจิตใจที่เกรงกลัวความตายและต้องการหลีกหนีจากความทุกข์ทรมานขั้นสุดแบบนี้ได้นานนัก
เมื่อคิดแบบนี้แล้วไม่ว่าเขาอยากจะโทษโอฉิงหยุนยังไงแล้วเขานั้นก็ไม่สามารถโทษโอฉิงหยุนได้ลงอยู่ดี
หลังจากที่ซูจิ้งถอดถอนหายใจออกมา เขานั้นได้พูดออกมาว่า “ตามหาไอ้สามคนนี้ให้เร็วที่สุดด้วยทุกอย่างที่นายมี”
หลัวฉือหลินที่ได้ยินดังนั้นได้รีบพยักหน้าพร้อมหน้าตาที่หวาดกลัวก่อนที่จะหายเข้าไปในเงาทันที
หลังจากนั้น ซูจิ้งได้โทรหาฮูฉิงหมิงที่เป็นผู้ว่าการจังหวัด เขาได้ส่งรูปถ่ายเพื่อให้ฮูฉิงหมิงส่งเรื่องให้ผอ.หน่วยรักษาความมั่นคงเพื่อเร่งควบคุมสนามบินของจังหวัดและทำการปิดช่องทางเข้าออกในทันที พร้อมทั้งบอกให้เขาส่งคนมาจัดการเรื่องนี้
หลังจากนั้นซูจิ้งได้โทรหาเว่ยเสี่ยวหยวนเพื่อให้เธอช่วยดูแลครอบครัวของโอฉิงหยุนพร้อมทั้งมอบเงินสามล้านหยวนเป็นค่าทำขวัญในเบื้องต้น
หลังจากนั้นซูจิ้งได้ไปยังบ้านครอบครัวของโอฉิงหยุนและทำการสะกดจิตคนในครอบครัวเพื่อให้ผ่อนคลายและส่งสมบัติต่างๆของเขาที่ส่งผลให้สมองนั้นคลายกังวลมายังที่นี่ในทันที
ด้วยการที่เขานั้นไม่สามารถฟื้นคืนคนตายได้ สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำให้โอฉิงหยุนได้เพื่อจะให้เขานั้นได้นอนตายตาหลับ
หนึ่งวันผ่านไป
ก่อนที่สายลับทั้งสามจะถูกจับตัวไว้ได้นั้น ก็ได้มีข่าวหนึ่งที่ต้องทำให้ซูจิ้งนั้นต้องหนังตากระตุกด้วยความเกลียดชัง นั่นก็คือ รัฐบาลของอเมริกาได้กล่าวหาว่ารัฐบาลจีนและนักธุรกิจผู้ร่ำรวยคนหนึ่งได้ลักลอบผลิตอาวุธและปฏิสสารที่เป็นอันตรายต่อมวลมนุษย์
พวกนั้นยังได้ทำการแสดงรายการของอุปกรณ์ต่างๆที่ทางสถาบันห้วงเวลาฯของเขาจัดซื้อไปเพื่อใช้ในการสร้างปฏิสสาร
พร้อมทั้งกล่าวอีกว่าพวกเขานั้นได้ทำการตรวจสอบเรื่องนี้มานานมากแล้ว จนมั่นใจได้แล้วว่าโครงการนี้ไม่เพียงแค่อยู่ในระดับการศึกษาเท่านั้น ในตอนนี้โครงการปฏิสสารดังกล่าวน่าจะอยู่ในระดับที่ว่าผลิตได้แล้วด้วยซ้ำ
เรื่องนี้ไม่เพียงจะทำให้คนทั้งประเทศต้องตกตะลึง แม้แต่รัฐบาลของจีนเองรวมถึงรัฐบาลของทั่วทั้งโลกก็ยังอยู่กันไม่สุขเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั่วทั้งโลกตั้งคำถามนี้กับรัฐบาลพร้อมทั้งต้องการให้ทางรัฐบาลจีนออกมาชี้แจงเรื่องนี้ รวมถึงการที่ประเทศมหาอำนาจต่างๆรวมถึงประเทศอเมริกาเองยื่นคำขาดว่าพวกเขาต้องการเข้าไปยังประเทศจีนเพื่อพิสูจน์ว่าสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของซูจิ้งนั้นทำการผลิตปฏิสสารได้แล้วจริงๆ
ถึงแม้ว่าอาวุธมหันตภัยเฉกเช่นอาวุธนิวเคลียนั้นจะไม่ได้มีทุกประเทศที่มีเอาไว้ในความครอบครองก็จริง แต่แน่นอนว่าประเทศมหาอำนาจอย่างจีน อเมริกา รัสเซีย ฝรั่งเศษ และอังกฤษนั้นล้วนแล้วแต่มีมันเอาไว้ในครอบครอง แต่ด้วยการที่อาวุธนิวเคลียนั้นเป็นอาวุธที่อันตรายอย่างมากและง่ายต่อการก่อให้เกิดโศกนาฎกรรมในระดับโลก ประเทศเหล่านี้จึงสามารถอ้างเหตุผลในการครอบครองเอาไว้ได้ว่าเพื่อถ่วงดุลอำนาจของโลกใบนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับปฏิสสารแล้ว อาวุธนิวเคลียนั้นเรียกได้ว่าไม่ใช่อะไรเลยที่จะเทียบได้แม้แต่น้อย
ด้วยการที่อำนาจทำลายล้างของปฏิสสารเพียงหนึ่งกรัมนั้นเทียบเท่าได้กับการใช้อาวุธนิวเคลียร์นำหนักกว่าสองแสนตัน
เรียกได้ว่าร้ายแรงกว่าระเบิดที่อเมริกาทิ้งใส่ฮิโรชิม่าที่ญี่ปุ่นกว่ายี่สิบเท่าเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเพียงน้อยนิดก็พอเพียงต่อการล้างโลกได้
ที่ผ่านมานั้น หากจะพูดถึงเรื่องปฏิสสารแล้วนั้นในทุกๆที่ทุกๆประเทศทั่วโลกล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นตอนการศึกษาเพียงเท่านั้น
แต่หากว่ามีใครสักคนที่สามารถผลิตปฏิสสารได้จริง เรื่องนี้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประเทศจีนผลิตปฏิสสารได้ล่ะก็ ไม่มีทางเลยที่ประเทศที่ตั้งตัวเองว่าเป็นตำรวจโลกอย่างอเมริกานั้นจะนิ่งเฉยและยอมให้คนอื่นนำหน้าไปได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้เองประชาชนชาวจีนนั้นต่างก็ตกตะลึงและแสดงความไม่เชื่อออกมา
“นี่มันเรื่องจริงงั้นเหรอ ปฏิสสารนั่นไม่ใช่ว่ามันเป็นเทคโนโลยีต้องห้าม แถมโดยส่วนใหญ่แล้วมันนั้นยังควรอยู่ในขั้นตอนศึกษาเท่านั้นนี่นา แล้วอยู่ๆประเทศเรานั้นจะไปผลิตมันได้ยังไงกัน”
“เห็นเขาว่าซูจิ้งนั้นทุ่มเทเงินของตัวเองลงไปกับสถาบันวิจัยของเขาอย่างมหาศาลมาตลอดเลยนะ มีคนว่ากันว่าเขานั้นลงไปหลายแสนล้านแล้ว ด้วยจำนวนเงินขนาดนั้นล่ะก็ หากจะบอกว่าเขานั้นกำลังผลิตปฏิสสารอยู่ล่ะก็มันก็ฟังดูมีเหตุผลนะ”
“…ถ้าสถาบันของซูจิ้งนั้นผลิตปฏิสสารได้จริงล่ะก็ ไม่ใช่ว่าคนที่อยู่ใกล้ๆที่นั่นจะได้รับอันตรายหรอกเหรอ”
“อย่าว่าแต่คนที่อยู่ใกล้ๆที่นั่นแลย หากว่าเกิดเรื่องจริงๆละก็ต่อให้เป็นเพียงปฏิสสารแค่กรัมเดียวก็ล้างโลกได้แล้ว”
“แต่นี่ก็หมายความว่าเราก็จะไม่ต้องกังวลว่าจะกลัวประเทศอื่นรังแกแล้วนี่นา ในเมื่อพวกเรานั้นมีอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพแบบนี้แล้วล่ะก็ ดูสิว่าอเมริกามันจะยังตัวกร่างอยู่อีกรึเปล่า”
“ฉันว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่นานาชาติจะปล่อยผ่านนะขนาดอาวุธนิวเคลียเองยังโดนคุมเข้มซะขนาดนั้นแล้ว อาวุธแนวๆนี้ต่อให้ยังไม่ได้บังคับแต่ก็ไม่มีทางปล่อยให้ใช้กันง่ายๆอย่างแน่นอน
อีกอย่าง ถ้าพวกเราผลิตปฏิสสารได้จริงล่ะก็ ฉันว่านานาชาติไม่ต้องการที่จะเห็นเหตุการณ์อย่างตอนที่มีการผลิตอาวุธนิวเคลียขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน ก่อนที่จะเป็นแบบนั้นล่ะก็พวกนั้นสมควรจะทำอย่างคำที่ว่าตัดไฟตั้งแต่ต้นลมมากกว่า
ดีไม่ดีนะ ฉันว่าเราต้องสอนให้ประเทศอื่นทำปฏิสสารได้เพื่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าดุลยภาพของโลกบ้าบออะไรนั่นอย่างแน่นอน ไอ้พวกประเทศมหาอำนาจพวกนั้นไม่มีทางปล่อยให้คนอื่นได้ดีกว่าแน่ๆ”
“งั้น…นี่ไม่ใช่ว่าเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างตึงเครียดเลยหรอกเหรอ”
“…โดนแล้วสินะ” หลังจากได้เห็นข่าวนี้แล้ว ซูจิ้งก็อดที่จะถอดถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่ตัวเขาเองจะเคยกังวลจนคิดถึงความเป็นได้มากมายและพยายามหลบเลี่ยงมาโดยตลอดก็ตาม แต่ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นจนได้
ในตอนนี้เขาพอจะเชื่อได้แล้วว่าสายลับสามคนที่มาล้วงความลับจากโอฉิงหยุนไปนั้นสมควรจะเป็นสายลับจากอเมริกา
หากว่านำข้อมูลที่โอฉิงหยุนได้หลุดปากไปก่อนตายมาผนวกรวมกับข้อมูลทางการเงินของเขาแล้วล่ะก็ ต่อให้โง่ระดับไหนก็ต้องสังเกตได้ว่าสถาบันของเขานั้นย่อมทำสิ่งที่ไม่ธรรมดาอยู่เป็นแน่ ความจริงการกระทำของเขานั้นก็สร้างความสงสัยทั้งในประเทศและต่างประเทศมานานมากแล้วเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เขานั้นลงมีวางมาตการป้องกันด้วยตัวเองอย่างเต็มพิกัดทั้งเรื่องเวรยาม ทั้งใช้การสะกดจิตอย่างเต็มรูปแบบจึงทำให้เรื่องนี้เป็นความลับมาได้จนมาถึงตอนที่เกิดเรื่องกับโอฉิงหยุนนี้เอง ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็เขาคงเจอปัญหามากมายที่แก้ไม่ตกอย่างแน่นอน
นึกไม่ถึงว่าเมื่ออเมริกาได้รับข่าวนี้แล้ว ไม่เพียงจะไม่กล่าวโทษซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย กลายเป็นว่าอเมริการได้กล่าวโทษซูจิ้งไปเต็มๆ เป็นไปได้ว่าในมุมมองของอเมริกานั้น รัฐบาลจีนสมควรจะอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด ไม่อย่างนั้นล่ะก็ซูจิ้งคงไม่กล้าจะผลิตปฏิสสารได้อย่างแน่นอน
GGS:บทที่ 1099 แรงกดดันจากนานาชาติ
ในขณะที่ซูจิ้งกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเขาได้ดำเนินการผลิตปฏิสสารหลุดรอดไปเข้าหูอเมริกานั้น ตอนนั้นเองโทรศัพท์ของซูจิ้งก็ได้ดังขึ้นมา เมื่อเขาเห็นว่าเป็นหวังจ้าวที่โทรเข้ามาก็ได้รีบรับสายโดยพูดออกไปว่า “ว่างายยยยลูกพี่ มีเรื่องอันใด”
“อาจิ้ง นี่สถาบันวิจัยกาลเวลาของนายตอนนี้ดังใหญ่แล้วนะ รู้เรื่องรึยังเนี่ย” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น แน่นอนว่าเฉิงหนานที่อยู่ข้างๆเขาเองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน
“ฉันเองก็พึ่งจะเห็นข่าวเหมือนกัน” ซูจิ้งตอบกลับไป
“คราวนี้ต่อให้เบื้องหลังอันหนักแน่นของนายก็น่าจะเอาไม่อยู่แล้วนา นายจะเอาไงต่อ” หวังจ้าวถามออกมาอย่างเป็นกังวล
“พูดยากเหมือนกันแหะถ้าถามมาแบบนี้” ซูจิ้งตอบออกมาก่อนกัดฟันตัวเองเล็กน้อย เดิมทีนั้นด้วยการที่เขานั้นมีเบื้องหลังมากมายที่พอจะท้าทายสวรรค์ได้แล้วหากว่าเรื่องนี้อยู่แค่ในประเทศจีน เพราะเบื้องหลังทั้งหมดของเขานั้นได้ถูกสะกดจิตสมบูรณ์จนเรียกได้ว่าเป็นบริวารที่จงรักภักดีอย่างหาใครเปรียบไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องในครั้งนี้ไม่ได้เพียงอยู่แค่ในประเทศจีนอีกต่อไป แต่เรื่องของเขานั้นได้การประเด็นในระดับโลกไปแล้ว ต่อให้เบื้องหลังของเขาจะแข็งขนาดไหน แต่ก็คงไม่สามารถช่วยให้เขาท้าทายโลกนี้ได้อย่างง่ายๆอยู่ดี
ซูจิ้งเองก็ตระหนักถึงสถานการณ์ของเขาในตอนนี้เป็นอย่างดีเช่นเดยวกัน ต่อให้ผู้นำประเทศต้องการปกป้องเขา แต่ยังไงซะ ประเทศจีนย่อมไม่มีทางต้านทานแรงกดดันจากนานาประเทศได้อย่างแน่นอน
โดยเฉพาะกับประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา รัสเซีย ฝรั่งเศส และอังกฤษ ประเทศเหล่านี้สมควรจะยืนอยู่ข้างอเมริกาเพื่อต่อกรกับเขา
หากเขายังใช้ประเทศในการป้องกันตัวเองล่ะก็คงไม่วายต้องทำให้ประเทศของตัวเองต้องวายป่วงอย่างแน่นอน หากว่าเรื่องต้องไปถึงระดับนั้นแล้วเขาย่อมไม่ยินดีที่จะทำ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันว่านายเตรียมตัวที่จะได้รับการตรวจสอบจากนานาประเทศได้เลยนะนั่น ว่าแต่ นาย….ไม่ได้ผลิตปฏิสสารขึ้นมาได้จริงๆใช่รึเปล่า เพราะหากว่านายผลิตได้ขึ้นมาจริงๆแล้วพวกนั้นมาเจอ รับรองได้เลยว่าต้องฉิบหายกันถ้วนหน้าเป็นแน่”
“…ประเด็นคือฉันผลิตไปแล้วจริงๆน่ะ” ซูจิ้งตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“อืม…ถ้าเป็นอย่างนั้นคงแย่….เดี๋ยวนะ นายว่าไงนะ” หวังจ้าวในตอนนี้ทำตาเบิกโต แม้แต่เฉิงหนานที่อยู่ใกล้ๆที่ได้ยินเพียงเสียงแว่วๆก็ยังนิ่งอื้งไปในทันที นี่พวกเขาได้ยินถูกแล้วใช่รึเปล่าที่ซูจิ้งสามารถผลิตปฏิสสารที่ยังคงเป็นเทคโนโลยีที่ประเทศอื่นบนโลกนี้ยังทำได้เพียงแค่ศึกษาเท่านั้น
นี่มันหมายความว่าการที่ซูจิ้งนั้นทุ่มเงินของตัวเองเกือบทั้งหมดลงไปกับสถาบันวิจัยนี้ไปไม่ใช่เพราะว่าเขาแค่ตั้งความหวังกับที่นั่นอย่างมากเท่านั้น
แต่กลายเป็นว่าที่เขาทุ่มเทเงินลงไปตลอดมาเพื่อทำการผลิตปฏิสสารอย่างนั้นเหรอ จากกลายที่ทุกคนคิดว่าเขานั้นทำการเผาเงินเล่นกลายเป็นว่าเขานั้นลงทุนได้อย่างคุ้มค่าแบบสุดๆ
หากเป็นโดยยามปกติล่ะก็พวกเขาคงต้องดีใจอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะหากไม่พูดถึงอานุภาพทำลายล้างของปฏิสสารแล้ว
ปฏิสสารนั้นถือได้ว่าเป็นพลังงานสะอาดอย่างแท้จริง (พลังงานนิวเคลียจะหลงเหลือกากนิวเคลียอยู่ที่1.5%หลังการนำมาผลิตพลังงาน) และปฏิสสารนั้นยังไม่ก่อมลพิษหรือรังสีแต่อย่างใด
พลังงานที่มาจากปฏิสสารเพียงหยดเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้เมืองใหญ่อย่างนิวยอร์คมีพลังงานไฟฟ้าพอที่จะใช้ได้เกินหนึ่งวัน
หรือหากว่าเราต้องการส่งมนุษย์ไปอยู่บนดาวอังคารล่ะก็จำเป็นต้องมีการเตรียมพลังงานที่เกิดจากเคมีไว้อย่างน้อยร่วมๆนับสิบล้านตัน
แต่หากว่ามนุษย์ใช้พลังงานจากปฏิสสารล่ะก็เพียงเตียมไว้แค่สิบมิลลิกรัมก็เพียงพอ แถมยังเสียเวลาในการผลิตอย่างมากก็แค่หกสัปดาห์เท่านั้นเอง
เรียกได้ว่าปฏิสสารนี้เป็นการพลิกกลับวงการพลังงานได้อย่างแท้จริง แม้แต่แผงพลังงานแสงอาทิตย์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาเองก็ยังเทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าการผลิตปฏิสสารนั้นต้องใช้เงินมากมายมหาศาล แต่หากมองผลประโยชน์ทางด้านพลังงานที่เกิดขึ้นแล้วบอกได้เลยว่ายังไงก็คุ้มค่า
เรียกได้ว่าการที่สถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของซูจิ้งนั้นเป็นเจ้าแรกที่สามารถปฏิสสารได้นั้นเป็นการเขย่าโลกได้อย่างแท้จริง เพราะนี่จะเป็นการนำพาโลกนี้เข้าสู่ยุคใหม่อย่างแน่นอน
“อาจิ้ง ตลอดมานี้ฉันเองก็คิดอยู่ว่าสถาบันวิจัยของนายนั้นยังเพียงแค่อยู่ในระดับที่ศึกษาปฏิสสารอยู่เท่านั้น ฉันจึงพูดไปว่านายนั้นผลาญเงินกับเรื่องนี้มากเกินไป ไม่นึกเลยว่านายจะสามารถไปถึงขั้นผลิตได้แล้วจริงๆ นี่นายจะปฏิวัติโลกนี้ไปถึงไหนกันเนี่ย….ว่าแต่…ตอนนี้นายผลิตปฏิสสารไปได้เท่าไหร่แล้วกัน” หวังจ้าวอดที่จะถามเรื่องนี้ออกมาด้วยเสียงสั่นไม่ได้
“ฉันยังไม่อยากจะบอกเรื่องนี้กับนายผ่านโทรศัพท์หรอกนะ ยังไงซะหน้าต่างมันมีหูประตูมันมีตาอยู่” ซูจิ้งได้พูดดักทางเอาไว้ในทันที หากว่าเรื่องที่เขานั้นสามารถผลิตปฏิสสารไว้ได้มากกว่า 156 กรัมหลุดรอดออกไปล่ะก็ เขาเกรงว่าหวังจ้าวนั้นจะทำตัวไม่ถูกอย่างแน่นอน เพราะด้วยปริมาณเท่านี้นั้นเพียงพอที่จะล้างโลกได้ถึงสองรอบเลยทีเดียว
“แล้วตอนนี้นายจะเอายังไงล่ะ ไม่เพียงแค่สถาบันวจัยของนายเท่านั้นนะที่โดนแรงกดดัน แม้แต่กลุ่มทุนห้วงเวลาของเราเอง ตอนนี้ก็โดนแรงกดดันไปไม่น้อยเลยทีเดียว” หวังจ้าวพูดออกมา
นั่นก็เพราะสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯนี้ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯด้วยเช่นเดยวกัน ต่อให้พวกเขานั้นจะทำท่าทีไม่รับรู้อะไรก็ได้ แต่ยังไงซะด้วยแรงกดดันในระดับโลกแล้วบอกได้เลยว่าเลี่ยงยังไงก็ไม่พ้น
“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลหรอก นายก็แค่จัดการกลุ่มทุนห้วงเวลาเต็มความสามารถแบบปกติก็พอ ส่วนเรื่องสถาบันวิจัยนั้นเดี๋ยวฉันเป็นคนจัดการเอง ยังไงซะในเมื่อเรานั้นได้ครอบครองสุดยอดอาวุธแล้วล่ะก็ อย่าหวังเลยว่าไอ้พวกหน้าหนานั่นจะเอาของพวกเราไปได้” ซูจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงเชิงปลอบใจตัวเอง
หลังจากวางสายไปแล้ว ถัดมาเป็นหวังซือหยา หวังซวนจี้ และคนอื่นๆที่ได้หมุนเวียนเปลี่ยนโทรมาหาเขา เรียกได้เลยว่าเกือบทั้งตระกูลหวังอยู่กันไม่สุขได้เลยทีเดียว
กับเรื่องนี้เอง แม้แต่หวังซวนจี้ที่ผ่านทุกข์ร้อนหนาวมามากมายหลากหลายแล้วนั้นก็ถึงกับต้องยกธงขาวยอมแพ้ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว นั่นก็เพราะเขาเองก็ไม่เคยไปมีเรื่องกับต่างประเทศในระดับประเทศแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน
หลังจากนั้น สุดยอดอาวุธลับของซูจิ้งต่างก็โทรหาซูจิ้งเพื่อวางแผนการต่อไป หลังจากพูดคุยกันได้พักใหญ่ ในที่สุด ทุกคนก็สามารถวางกลยุทธ์ตอบโต้ได้ในที่สุด
สองวันผ่านไป ฑูตพิเศษจากประเทศต่างๆได้เดินทางมายังประเทศจีนเพื่อมาตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีปฏิสสารกันเป็นทิวแถว แน่นอนว่าแต่ละประเทศได้นำนักวิทยศาสตร์ของตัวเองมาด้วย
ด้วยการที่นานาประเทศนี้ให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก จนทำให้คนทั่วทั้งโลกให้ความสนใจซูจิ้งในทันที ราวกับว่าซูจิ้งนั้นเป็นร่างอวตารของเทพเจ้าสักองค์เลยก็ว่าได้
และเรื่องราวที่ผ่านมาของซูจิ้งเองก็ได้ถูกขุดคุ้ยโดยชาวโลกไปโดยปริยาย จนกระทั่งทั่วทั้งโลกต่างก็ตั้งคำถามขึ้นมาว่าซูจิ้งคนนี้จะน่าสะพรึงกลัวจนถึงขั้นปฏิวัตรโลกนี้ได้จริงๆอย่างนั้นเหรอ
ในมุมมองของชาวโลก ในตอนนี้เองประเทศจีนเหลือทางเลือกแค่สองทางเท่านั้น
หนึ่งคือการทำตามข้อเรียกร้องจากนานาประเทศแล้วให้แต่ละประเทศเข้าไปยังสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯ หากว่าที่นั่นไม่ได้มีการผลิตปฏิสสารได้จริงๆล่ะก็ที่เหลือก็แทบไมมีอะไรแล้ว
แต่หากว่าที่สถาบันวิจัยฯของซูจิ้งนั้นสามารถผลิตปฏิสสารได้จริงล่ะก็เรื่องนี้คงต้องคุยกันยาวและอาจร้ายแรงเกินพูดคุยได้ด้วยซ้ำ
สอง ปฏิเสธการเข้าตรวจสอบจากนานาประเทศ แต่หากเลือกทางนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว ประเทศจีนยังไงก็ต้องเจอปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน และนานาประเทศเองก็จะสามารถใช้ข้อนี้ตอบสนองได้ในทุกๆรูปแบบเท่าที่พวกนั้นจะคิดออก
อย่างไรก็ตาม ประเทศจีนกลับเรียกใช้วิธีทางการฑูตจากทุกประเทศ นี่หมายความว่าที่นั่นนั้นย่อมไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง
เรียกได้ว่าการที่เลือกวิธีการนี้ทำให้อยู่เหนือการคาดการณ์ของนานาประเทศจนอาจทำให้ทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว แต่นี่ก็ยังไม่ได้รับรองว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเช่นเดียวกัน
นั่นก็เพราะว่ากับเรื่องอย่างปฏิสสารนี้เป็นเรื่องที่ส่งผลไปถึงอำนาจทางการทหารได้เลย อย่าว่าแต่ประเทศมหาอำนาจอยากจะครอบครองเอาไว้เลย
แม้แต่ประเทศเล็กๆเองก็ยังอยากที่จะถือครองไว้ให้จงได้ เรียกได้ว่าหากไม่สามารถได้มาด้วยวาจา พวกเขาก็ยินดีที่จะกำลังอย่างไม่รังเกียจ เรียกได้ว่ายอมตายเพื่อได้มาเลยทีเดียว
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงในมุมมองอื่นที่ไม่ใช่อาวุธอย่างด้านเศรษฐกิจ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ไม่ว่ายังไงซะก็ได้ประโยชน์จากปฏิสสารไปเต็มๆ บอกได้เลยว่าการที่กลุ่มทุนห้วงเวลาได้ครอบครองเทคโนโลยีนี้เอาไว้ สามารถควบคุมโลกนี้ได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ตัวปฏิสสารนี้มีความเสี่ยงอย่างมหัน แน่นอนว่าประเทศต่างๆย่อมไม่ยินดีที่จะให้ประเทศหนึ่งประเทศเดียวถือครองเทคโนโลยีนี้เอาไว้อย่างแน่นอน
เพราะยังไงซะปฏิสสารนั้นก็ไม่ได้ต่างจากอาวุธนิวเคลียที่เมื่อใช้ไปแล้ว ต่อให้ชนะสงครามก็ตาม แต่นั่นก็ยังสร้างบาดแผลให้กับโลกใบนี้ ต่อให้ชนะจริงแต่ก็ไม่มีใครจะอาศัยอยู่ได้ นี่คืออาชญากรรมระดับโลกอย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้มีวิธีที่จะฟื้นฟูบาดแผลให้กับโลกใบนี้จากการใช้ปฏิสสารดีขนาดไหน ยังไงซะ ผลกระทบที่เกิดกับสังคมและสิ่งแวดล้อมนั้นไม่สามารถฟื้นฟูได้อย่างแน่นอน
เรียกได้ว่าต่อให้มีวิธีการฟื้นฟูแต่ยังไงซะนั่นก็ยังเป็นหายนะของโลกนี้อยู่ดี และหากเกิดเรื่องนั้นจริงล่ะก็ บอกได้เลยว่าไม่มีทางเลยที่สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและอวกาศจะยกระดับได้อีกต่อไป
หากเกิดเรื่องนี้จริงล่ะก็ บอกได้เลยว่าค่าการใช้ประโยชน์นั้นไม่เพียงจะต้องลดลง แต่ยังต้องติดลบจนยากจะฟื้นคืนเป็นแน่
จะให้บอกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าเรื่องนี้จะออกมายังไงซะ เพื่อไม่ให้โลกนี้ต้องเกิดสงครามขึ้นมา คนเหล่านี้จะต้องไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจของพวกเขา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น