Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1088-1095

 GGS:บทที่ 1088 ตกตะลึง


ฉากที่ทุกคนได้เห็นในขณะนี้ก็คือฉากซูจิ้งได้ก้าวลงจากรถ โดยมีฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิงวิ่งกุลีกุจอต้อนรับราวกับเป็นน้องเล็กของกลุ่มคนก็ไม่ปาน ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างก็งงกันเป็นไก่ตาแตก

“ห้ะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ฉันตาฝาดไปเรอะ” หลินฮ่าวที่เห็นฉากที่เกิดขึ้นนี้อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยสายตามึนงง


“คุณชายสี่ทั้งสามคนได้เข้าไปเปิดประตู ถือร่มบังแดด และจุดบุหรี่ให้อาจิ้ง นายน่ะไม่ได้ตาฝาดหรอก ฉันว่าเรากำลังฝันไปมากกว่า” ฉือเล่ยพูดออกมาราวกับว่าตัวเองนั่นโง่งมราวกับแตงกวาก็ว่าได้

“ฉันก็รู้นะว่าพี่สามนั้นทรงพลังแต่ก็ไม่คิดว่าจะทรงพลังถึงขนาดนี้ เขานี่เทพอย่างไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปแล้ว” เสี่ยวรุยได้พูดออกมาพร้อมสายตาที่จ้องมองอย่างไม่กระพริบ

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” เจียงหวางในตอนนี้นั้นบอกได้เลยว่าสมองของเขาว่างเปล่าจนทำไม่ได้แม้แต่จะเบือนหน้าหนี ว่างเปล่าชนิดที่ว่าไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าฉากที่เห็นอยู่นี้เป็นของจริงรึเปล่า

“…ไม่…มี…ทาง…” โอฉิงซงที่เห็นนั้นสายตาของเขาในตอนนี้แทบจะดับวูบ เหตุผลเดียวที่เขามาที่นี่เป็นเพราะเจียงหวางนั้นต้องการเกาะขาฮัวหยุนชูในการต่อกรกับซูจิ้ง

แต่ในตอนนี้ ไม่เพียงฮัวหยุนชูเท่านั้น แม้แต่ฟูฮงซิ่วและหยวนหยินหนิงเองต่างก็ต้องยอมซูฮกให้กลับซูจิ้งราวกับลูกกระจ๊อกของกลุ่มแบบนี้


ในเมื่อเขากลายเป็นแบบนี้แล้วจะไปต่อกรอะไรได้กัน ฉากที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขานี้อยู่เหนือสิ่งที่เขาได้คาดเอาไว้อย่างห่างไกลยิ่ง ห่างไกลชนิดที่ว่ามาแต่ได้เห็นตรงหน้าก็ยังอยากที่จะยอมรับได้

ติงบิน เทียนยี่ เฉียนหยินหนิง หวังหยานและเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆต่างก็จ้องมองฉากนี้อย่างโง่งม ฉากนี้ช่างทรงพลังเกินกว่าที่จะมีใครคาดคิดถึงได้


ฉากนี้ทำให้แม้แต่หวังหยานเองก็อดไม่ได้ที่จะฝ่าฝูงเพื่อนเก่าเข้ามาต้อนรับซูจิ้งด้วยอีกคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เธอนั้นจะทิ้งซูจิ้งไปนั้นเป็นเพราะว่าซูจิ้งเป็นคนที่ไม่มีชาติตระกูลที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง แต่ฉากที่เธอได้เห็นตรงหน้านี้เมื่อเทียบกับความคิดของเธอนั้นมันช่างทรงพลังเกินกว่าที่เธอจะคว้ามาไว้ในครอบครองได้

ไม่เพียงแต่เหล่าเพื่อนเก่าของซูจิ้งเท่านั้น แม้แต่ผู้คนของโรงแรมนานาชาติหลงเต็ง แขกที่มาพัก แม้แต่คนที่ผ่านไปมาก็อยากที่จะยอมรับฉากที่เห็นได้เช่นเดียวกัน

นั่นก็เพราะไม่มีใครไม่รู้จักฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว หรือแม้แต่หยวนหยินหนิง ทั้งสามคือคนใหญ่โตที่หากพวกเขาได้เดินสวนก็แทบจะต้องก้มลงกราบขอโทษเพราะไม่ยอมมอบคลานหลีกทางให้ทั้งสามไปก่อน แต่ฉากที่เห็นนี่มันช่าง….

บางคนในตอนนี้เริ่มเก็บความรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้อีกต่อไป ใครบางคนนั้นได้รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพแล้วส่งต่อไปบนอินเตอร์เน็ตในทันที


“แม่…เอ๊ย เป็นไปได้ยังไงกัน มีใครตัดต่อภาพรึเปล่า” หลี่เชิงที่เห็นภาพก็อดไม่ได้ที่จะไม่เชื่อ นั่นก็เพราะภาพที่เขาเห็นนั้นคือภาพที่กลุ่มคนที่จับมือกันเพื่อช่วยเหลือซูจิ้งนั้นยอมซูฮกให้เขาแต่โดยดี

เขารู้จักคนทั้งสามนี้ดีว่าแต่ละคนนั้นต่างก็ถือดีในศักดิ์ศรีและเกียรติของตัวเองมากมายขนาดไหน ขนาดแค่จะก้มหัวให้กันเองเมื่อยามทักทายยังไม่มีเลยแม้แต่น้อย

แถมก่อนหน้านี้ยังรวมกลุ่มกันเพื่อต่อกรกลับซูจิ้งเสียอีก แล้วอยู่ๆทำไมซูจิ้งถึงกลายเป็นหัวหน้าแก๊งนี้ได้กันล่ะ


“…….อย่าบอกนะว่าไอ้พวกบ้านี่ลงมือแล้วพร้อมจนต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อซูจิ้งน่ะ” หลี่เชิงได้คิดความเป็นไปได้นี้ขึ้นมาในทันทีจนอดไม่ได้ที่จะเกิดอาการหนังตากระตุกเกร็งจนจะเป็นตะคริว

ถึงแม้ว่าการที่คุณชายทั้งสามจะลงมือทำอะไรบางอย่างจะเป็นฝันร้ายของใครหลายๆคนก็ตาม แต่นี่มันก็สมควรจะเพิ่งเริ่มลงมือเองไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมในช่วงเวลาสั้นๆซูจิ้งถึงได้พบและทำให้ทั้งสามยอมสวามิภักดิ์ได้กัน นี่พวกมันไปทำอะไรมากันหน้าถึงต้องทำถึงขนาดนี้ซูจิ้งถึงยอมปล่อยให้อยู่รอดได้

ตอนนี้หลี่เชิงเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆนานาที่อาจจะเกิดขึ้นจนไปถึงเหตุผลที่ทั้งสามต้องทำได้เพียงสวามิภักดิ์ขนาดนี้เท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ ยิ่งเขาคิดความเป็นไปได้ออกมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกลัวในตัวซูจิ้งมากขึ้นเท่านั้น


จนในที่สุดแล้วเขาก็อดที่จะรู้สึกโล่งใจไม่ได้ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เข้าร่วม ไม่อย่างนั้นแล้วเขาเองก็คงจะจบไม่สวยเหมือนสามคนนี้อย่างแน่นอน

“….ซูจิ้งคนนี้ ฉันคิดว่าเขาน่าจะทรงพลังอย่างน่าสะพรึงกลัวจนเกินกว่าที่พวกเราจะจินตนาการออกได้เป็นแน่… ต่อแต่นี้ฉันต้องให้คนของฉันจดจำไว้ให้ดีว่าห้ามไปก่อเรื่องกับหมอนี่โดยเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นหนทางไหนก็ตาม” หลี่เชิงได้พึมพำออกมาราวกับจะทำให้ตัวเองนั้นได้จดจำฝังจำเกี่ยวกับข้อระวังข้อนี้ให้มั่น


ณ สำนักงานใหญ่ของกลุ่มทุนห้วงเวลา หวังจ้าวและเฉิงหนานนี้กังวลอย่างมากจนได้ต่อพูดคุยกันถึงเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจากคุณชายสี่ทั้งสามคน พร้อมทั้งหาวิธีป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดตามมาอย่างเคร่งเครียด

ทันใดนั้นเองเฉิงหนานก็ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนที่จะพูดออกมาว่า “มีเรื่องเกิดขึ้นที่โรงแรมนานาชาติหลงเต็งแล้ว” เธอพูดออกมาก่อนที่จะเปิดรูปที่ได้ให้คนที่ติดตามเรื่องนี้อย่างกระชั้นชิดส่งมาให้เธอดู แต่เพียงเธอได้เห็นเท่านั่นเธอถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันที


“เกิดอะไรขึ้น” หวังจ้าวที่เห็นหน้าของเฉิงหนานในตอนนี้ก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ เขานึกสงสัยจนต้องลุกขึ้นมาจากเก้าอี้เพื่อเข้าไปดูโทรศัพท์ของเฉิงหนานใกล้ๆเพราะต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เพียงตอนที่เขาได้เห็นภาพที่ส่งมานี้อย่างมันไม่ชัดดี เขาต้องนิ่งอิ้งไปกว่าสามนาที ทันใดนั้นหนังตาของเขากระตุกไม่หยุดจนพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “เกิดห่าอะไรขึ้นกันวะนั่น”

“เห้ออออ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นกันแน่” เฉิงหนานพูดพลางถอดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกพร้อมทั้งความหน่ายจิต


“….ไม่ใช่ว่าไอ้เรื่องที่ตระกูลสามตระกูลนั่นหยิบยื่นข้อเสนอดีๆให้เราแล้วซูจิ้งบอกให้เธอเชื่อๆเซ็นๆให้พวกมันไปนั่นเป็นเพราะแบบนี้สินะ” หวังจ้าวนั้นได้เข้าใจในทันทีว่าทำไมสามตระกูลนั่นถึงยอมมอบข้อเสนอที่เสียเปรียบให้ซะขนาดนั้นราวกับจะมอบทุกอย่างให้เป็นเพราะสามคนนี้สวามิภักดิ์ให้ซูจิ้งแล้วนี่เอง แต่ตอนนี้ที่เขาอยากรู้มากที่สุดก็คือที่มาที่ไปของเรื่องนี้คืออะไรกันแน่

“นั่นสิ อาจิ้งของพวกเราไปทำอะไรมากันแน่เนี่ย” เฉิงหนานเองก็นึกถึงเรื่องสัญญาขึ้นมาเช่นเดียวกัน แม้ว่าเธอเองจะไม่ค่อยรู้ว่าซูจิ้งนั้นมีความคิดอ่านยังไงก็ตาม

แต่ที่เธอรู้แน่ๆก็คือซูจิ้งนั้นน่ากลัวแบบสุด แม้ว่าเธอจะพบเจอเรื่องที่แสดงถึงความทรงพลังของซูจิ้งมามากมายจนเริ่มชาชินแล้วก็ตาม แต่ในครั้งนี้นั้นมันเกินกว่าที่เธอจะชินชาได้จริงๆ นั่นก็เพราะว่าเรื่องนี้มันใหญ่เกินกว่าเรื่องที่เคยพบเจอมานับร้อยเท่าพันเท่าเลยก็ว่าได้


“ผู้จัดการหนิงคะ มีบางอย่างเกิดขึ้นที่โรงแรมนานาชาติหลงเต็งตอนที่ซูจิ้งไปถึงค่ะ” ณ บริษัทซิหลัน ผู้ช่วยของเธอได้พุ่งเข้ามาในออฟฟิศแล้วพูดออกมาติดกันราวกับลืมหายใจ

“หืม ซูจิ้งทำอะไรกัน” หนิงหยิงติงถามไปยังผู้ช่วยของเธอด้วยสายตาที่เปล่งประกาย ที่นั้นอยากรู้จริงๆว่าซูจิ้งจะทำหน้ายังไงเมื่อพบเจอว่านายน้อยสามคนได้รวมตัวกันอยู่ที่นั่น เธออยากรู้จริงๆว่าซูจิ้งจะทรงพลังพอที่จะจัดการเรื่องนี้ออกมาเป็นแบบไหน

“มัน….เอ่อ….ซูจิ้งนั้นแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะ แต่ฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิงนั้น…. ฉันว่าผู้จัดการควรจะดูเองดีกว่า” ผู้ช่วยสาวพูดออกมาด้วยท่าทีที่อยากจะอธิบายพร้อมกับส่งโทรศัพท์ให้หนิงหยิงติง


“………”หนิงหยิงติงที่เพียงเห็นภาพนี้แค่แวบแรกก็ราวกับว่าประสาทการรับรู้ทางสายตาของเธอนั้นถูกตัดขาด เธอนิ่งไปนานก่อนที่จะใช้มือขยี้ตาตัวเองแล้วกลับมาดูภาพที่เห็นขึ้นอีกที และผลก็คือเหมือนเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย

ภาพที่เธอได้เห็นนี้ทำให้เธอต้องอ้าปากค้างจนไม่สามารถปิดได้ไปนานสองนานเลยทีเดียว


“ไอ้ฉิบ….” ทั้งฉิวจิง หวู่จู และคิมูระ และใครๆก็ตามที่เคยมีเรื่องกับซูจิ้งแทบจะอุทานออกมาเหมือนๆกันในทันที่เห็นภาพนี้ หลังจากแน่ใจแล้วว่านี่คือภาพจริงถึงคนก็ตกอยู่ในสภาพโง่งมจนทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่จะพากันถอนหายใจแบบถอดใจออกมาในที่สุด

ทุกคนๆต่างก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าต้องเป็นคนที่น่าสะพรึงกลัวขนาดกันถึงจะทรงพลังพอที่จะต่อกรกับซูจิ้งได้กัน ขนาดสามคนที่สุดยอดและรวมตัวกันเพื่อต่อกรกับซูจิ้งต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ แล้วพวกเขาที่แทบจะไม่มีอะไรเลยแล้วไปหาเรื่องกับซูจิ้งนี่มัน….. การที่ซูจิ้งปล่อยให้พวกเขามีชีวิตรอดนี่ก็คือโชคอย่างที่สุดแล้วหรอกรึ


ทันทีที่ข่าวนี่แพร่กระจายออกไปนั้น เหล่าชาวเน็ตที่เห็นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง แม้แต่แฟนคลับของซูจิ้งเองก็แทบจะไม่อยากเชื่อภาพที่เห็นต่อหน้านี้ได้เช่นกัน

“โอ้…คุณ….พระ….คุณ…เจ้า….นายน้อยทั้งสามยอมให้ซูฮกให้ซูจิ้งอย่างเป็นทางการแล้ว”

“ซูจิ้งในตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขานั้นทรงพลังเทียมฟ้าไปแล้วเหรอเนี่ย แม้แต่นายน้อยทั้งสามคนนั่นยังต้องยอมซูฮก แล้วแบบนี้ใครจะทำอะไรเขาได้”

“ในฐานะแฟนคลับพี่จิ้งแล้วนั้นนนนน ตัวฉันเองก็อดไม่ได้ที่จะถามพี่จิ้งว่าถ้าพี่เทพซะขนาดนี้พี่ขึ้นไปอยู่บนสวรค์จะดีกว่าครับ ปล่อยให้คนเดินดินได้ลืมตาอ้าปากมั่งเต๊อะ”

“ในฐานะแฟนคลับอันภักดีของพี่จิ้งเช่นเดียวกัน ฉันก็ขอหยิบยกคำถามเดิมๆมาพูดแล้วกันนะว่า พวกเอ็งจะเชื่อกันได้รึยังว่าพี่เขานั้นเทพของจริง”

“ก่อนหน้านี้พวกของฉันนั้นยังคุยกันอยู่เลยว่าใครนั้นเจ๋งที่สุดในเหล่าสี่คุณชาย พวกเรายังคุยกันอีกว่าซูจิ้งนั้นดีแต่รวยแต่อย่างอื่นนั้นสำหรับเขาแล้วไม่คู่ควรกับคุณชายอีกสามคน มาตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าตาบอดไปจริงๆ พวกเรานั้นเห็นแต่เนินดินแต่ไม่รู้จักภูเขาเลยจริงๆ”

“เอาจริงๆเลยนะ ฉันเองก็ไม่ต่างกันเลยสักนิด เพราะมองซูจิ้งว่าเป็นเพียงแค่คนบ้านนอกที่เกาะคนใหญ่คนโตจนได้ดิบได้ดีเท่านั้นอย่าได้เอาเขาไปเทียบกับสุดยอดคนพวกนั้น

ไม่นึกเลยว่ายอดคนอย่างฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิงก็ยังต้องยอมซูฮกให้ซูจิ้ง กว่าฉันจะรู้เรื่องนี้เขานั้นก็ไปไกลเกินกว่าที่จะมีใครหาเรื่องได้แล้ว”


ก่อนหน้านี้ผู้คนมากมายที่เรื่องที่เหล่าคุณชายไปรวมตัวกันที่โรงแรมนานาชาติหลงเต็งต่างก็คิดที่จะให้ทั้งสามสั่งสอนซูจิ้งให้รู้ว่าอะไรสูงอะไรต่ำเหมือนกัน พร้อมทั้งเตรียมแผนการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากกลุ่มทุนห้วงเวลาฯไว้แล้วในทันทีที่ซูจิ้งล้มลง

นั่นก็เพราะผลกำไรของที่นั่นนั้นสูงเสียดฟ้าจนอยากที่จะเห็นยอดของมันได้นั้นช่างน่าเย้ายวนจนน่าผสมโรงตามไปด้วย ราวกับว่าเป็นก้อนเค้กที่รอคนเปิดแล้วพวกเขานั้นจะได้ตามไปกินในทันที

แต่กับฉากที่เห็นนี้ทำให้ทุกๆคนที่มุ่งร้ายนั้นถึงกับต้องตกใจจนหลั่งเหงื่อออกมาในทันทีที่เห็นแล้วฝังกลับความคิดนี้ให้ลึกสุดหยังในทันที

เหตุผลว่าขนาดคุณชายทั้งสามที่ทรงอำนาจเมื่ออยู่ต่อหน้าซูจิ้งยังต้องกลายเป็นลูกกระจ๊อกของแก๊งไปแบบนี้ นับประสาอะไรกับพวกเขากัน

หากซูจิ้งรู้เรื่องที่พวกเขาคิดเอาไว้กลัวแต่ว่าพวกเขาจะไม่มีประโยชน์พอที่จะใช้งานได้จนโดนจับฆ่าทิ้งไปให้จบเรื่องจบราวเสียดีกว่า


GGS:บทที่ 1089 คนเก็บขยะ


ภายใต้การรายล้อมของฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิง นั้น ซูจิ้งและฉือชิงได้เดินเข้าให้งานเลี้ยงไปโดยไม่สนใจคนรอบข้าง แม้แต่เพื่อนร่วมรุ่นหลายๆคนที่เห็นกลุ่มซูจิ้งเดินผ่านไปก็ไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวทักทายเพราะพวกเขานั้นสู้หน้าซูจิ้งไม่ติดเลยจริงๆ

เจียงหวางและโอฉิงสงในตอนนี้นั้นได้ลบล้างความรู้สึกที่จะคิดเดียดฉันท์ซูจิ้งให้หายไปในทันที และไม่มีแม้แต่ท่าทางจะเป็นปฏิปักษ์ด้วยเลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้ว่าเขานั้นจะเป็นคนเชิญฮัวหยุนชูมาพร้อมความคาดหวังที่คิดจะให้ฮัวหยุนชูออกหน้าให้เจียงหวางในการจัดการซูจิ้งพร้อมทั้งเป็นการสร้างความประทับใจให้ฮัวหยุนชู

เขานั้นที่ทำแบบนี้ก็เพราะต้องการที่จะอยู่เหนือซูจิ้งให้ได้และในครั้งนี้เขาได้ทุ่มทุกสิ่งที่อย่างที่มีหรือจะให้เรียกว่าเดิมพันครั้งใหญ่ในชีวิตเลยก็ว่าได้

แต่หลังจากเขาได้พบว่าฮัวหยุนชูที่เขาอุตส่าห์เชิญมาเพื่อการนี้ยังต้องกลายเป็นลูกกระจ๊อกให้ซูจิ้ง แล้วจะให้เขานั้นเก็บความรู้สึกเดียดฉันท์นั้นไว้ได้ยังไง


กับโอฉิงซงนั้นที่ก่อนหน้านี้นิ่งจนไม่รับรู้สิ่งใดไปแล้วนั้น เขาได้เหยียบความรู้สึกเดียดฉันท์นั้นให้ลงไปอยู่ลึกในจิตใจในทันที

ขนาดฮัวหยุนชูที่เขาคาดหวังไว้ว่าจะเป็นแนวหน้าสุดท้ายของในการจัดการซูจิ้งในความคิดต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเขายังกลายเป็นไปได้ซะขนาดนี้ แล้วเขานั้นจะเอาอะไรไปสู้ได้กัน ถึงแม้ตอนนี้เขาจะหันหลังกลับไม่ได้แล้วและยังฝังใจอยู่ว่าหวังหยานยังคงมีซูจิ้งอยู่ในจิตใจก็ตาม แต่กับเหตุการณ์ในตอนนี้เขาต้องเลือกเอาชีวิตตัวเองไว้ดีกว่าต้องสู้กับซูจิ้งอย่างแน่นอน


“อาจิ้ง ไม่ได้เจอกันนานเลยสินะ” เฉียนหยินหนิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเธอในตอนนี้จะยังตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นก็ตาม แต่ตัวเธอนั้นก็ได้เรียกคืนความเยือกเย็จของเธอกลับมาได้ในที่สุด

“โอ้ สวัสดี ไม่คิดว่าเธอจะมาด้วยนะเนี่ย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เป็นไงล่ะ เป็นอย่างที่ฉันบอกไว้ใช่รึเปล่าว่าหากเพื่อนเก่าได้มาเห็นนายล่ะก็ไม่มีใครเชื่อหรอกว่านายจะมาได้ถึงขนาดนี้ ตอนแรกที่ได้ยินว่านายจะมางานเลี้ยงรุ่นนี่ฉันก็นึกไว้แล้วล่ะว่าพวกเขาต้องประหลาดใจ แต่ก็ไม่คิดว่านายจะทำให้ทุกคนประหลาดใจได้มากกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีกนะเนี่ย” เฉียนหยินหนิงพูดออกมาก่อนที่จะปลายตาไปยังฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิง ถึงแม้จะยากที่จะเชื่อได้ต่อให้เห็นกับตาตัวเองอย่างนี้ว่าสามคนนี้กลายเป็นลูกไล่ของซูจิ้งไปแล้วก็ตาม


ทุกคนที่เห็นทั้งสองพูดคุยกันก็ได้เข้าใจสักทีว่าไม่แปลกใจเลยที่เฉียนหยินหนิงถึงได้มาที่นี่ เธอนั้นไม่แม้แต่จะสนใจเจียงหวางเลยแม้แต่น้อยต่อให้เขานั้นเป็นคนเชิญเธอมาก็ตาม

ดูเหมือนว่าการที่เธอมาที่นี้นั้นเพียงเพราะต้องการจะพบซูจิ้งเท่านั้น นี่มันทำให้นึกไปถึงเรื่องของฮัวหยุนชูได้เลยว่าที่คนแบบเขายอมลดตัวมาที่นี่นั้นไม่ใช่เพราะเจียงหวางแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะต้องการไว้หน้าลูกพี่ของเขาหรือก็คือซูจิ้งนั่นเอง


เจียงหวางเองในตอนนี้รู้แล้วว่าตัวเองตกอยู่ในจุดที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาในตอนนี้ไม่ได้ทำตัวจ้าวสังคมแบบก่อนหน้านี้อีกต่อไป เขานั้นปลีกตัวออกจากทุกคน แต่ต่อให้เขาไม่ทำแบบนั้นในตอนนี้ก็ไม่มีใครคิดจะเข้าไปคุยกับเขาอีกต่อไปอยู่ดี


ซูจิ้งได้แนะนำฉือชิงให้ทุกคนได้รู้จัก ทุกคนที่ได้เห็นด้วตาตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองด้วยสายตาที่หยาดเยิ้ม นั่นก็เพราะฉือชิงในตอนนี้นั้นงดงามมากจนยากจะละสายตาได้เลย

ขนาดหวังหยานและเฉียนหยินหนิงที่ว่าสวยมากแล้วนั้น เมื่อได้เทียบกับฉือชิงแล้วเปรียบได้ดั่งสวยแต่รูปไปเลยยังไงอย่างนั้น

และด้วยการที่ฉือชิงได้อยู่ในชุดสีขาวนี้เองทำให้เธอนั้นงดงามราวกับนางฟ้าทั้งเก้าที่ได้เผลอไผลร่วงหล่นมาบนโลกมนุษย์ใบนี้ ราวกับว่าบนโลกนี้ไม่มีใครงามงดเท่าเธอได้แล้วเลยทีเดียว

แม้แต่หวังหยานและเฉียนหยินหนิงเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะจับจ้องไปยังฉือชิงอย่างหลงใหล หวังหยานในตอนนี้ถึงกับถอดถอนหายใจอยู่ในความคิด

เธอพบว่าเพียงช่วงเวลาไม่นานนัก ฉือชิงได้งดงามขึ้นมากกว่าตอนที่ซูจิ้งวาดรูปของเธอไปแล้ว จึงไม่แปลกที่ในตอนนั้นผู้คนจะคิดว่าเธอนั้นเป็นนางฟ้าที่ร่วงหล่นมาบนโลกมนุษย์ นั่นก็เพราะแม้แต่ผู้หญิงอย่างเธอเองก็ยังแทบจะอดใจไม่ได้ที่จะเข้าไปจุมพิตเธอในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ เทียบกับตัวเธอเองแล้วไม่ว่าเธอจะมองยังไงฉือชิงก็ชนะเธอแทบจะในทุกด้านอยู่ดี

“เฮ้เฮ้เฮ้ จะยืนคุยกันอย่างนี้ไปทำไมล่ะนั่น นั่งสินั่ง ไปนั่งคุยกันดีกว่าน่า” หลินฮ่าวได้พูดออกมาก่อนจะลากซูจิ้งไปนั่งคุยด้วย หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวของซูจิ้งกันเป็นส่วนใหญ่ จนทำให้บรรยากาศภายในงานนั้นดูมีสีสันขึ้นอย่างมาก

ให้พูดจากใจจริงก็คือซูจิ้งนั้นเปลี่ยนไปมากจริงๆ

ในตอนนี้เขานั้นมีสถานะในสังคมที่สูงส่ง มีคู่หมั้นที่งดงาม จนเรียกได้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นของเขานั้นจำไม่ได้ด้วยซ้ำหากไม่เกิดเรื่องขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม หลังจากทุกคนได้ฟังสิ่งที่พูดคุยออกมานั้นพวกเขายืนยันได้ทันทีว่าซูจิ้งนั้นยังคงเป็นซูจิ้งที่พวกเขารู้จัก เรียกได้ว่านิสัยนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว

ซูจิ้งได้นำข้าวสีน้ำเงิน บุหรี่ของเขาเกรดคัดพิเศษ และชาเขียวหกนิ้วมาให้ทุกคนได้ลิ้มรส หลังจากทุกคนได้ลิ้มรสไปแล้วกลับกลายเป็นว่าบรรยากาศภายในงานนั้นครึ้นเครงแบบสุดๆในทันที

และด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้นั้น ไม่ว่ามองยังไงแล้ว ซูจิ้งก็ยังคงเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมดอยู่ดี นี่ทำให้เจียงหวางนั้นไม่กล้าที่จะทำตัวโดดเด่นอีกต่อไป


ฮัวหยุนชูเองก็ได้เข้าไปคุยกับเจียงหวางในเรื่องที่เกิดขึ้นและผลที่จะตามมาแล้วจนทำให้เขานั้นไม่คิดที่จะอยู่ในงานด้วยซ้ำ เขานั้นอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปให้พ้นๆแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งนิ่งๆไม่ไหวติงราวกับไม่มีตัวตน

สำหรับโอฉิงซงนั้นยิ่งแล้วใหญ่ เขานั้นตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาหนีไปซุกอยู่ตรงมุมห้อง อยากออกก็ออกไปไม่ได้ จะอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ตรงไหนดี


ในตอนนี้นั้นไม่ใครคิดจะถามเรื่องราวระหว่างซูจิ้งกับสามสุดยอดนายน้อยที่ได้กลายเป็นลูกกระจ๊อกแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะต่อให้สามคนนี้ยอมเป็นลูกกระจ๊อกของซูจิ้งยังไงก็ตาม แต่ยังไงซะทั้งสามก็ยังคงเป็นสุดยอดนายน้อยอยู่ดี ใครจะกล้าไปถามเรื่องชวนอารมณ์เสียแบบนี้ได้

“อาจิ้ง สองสามปีมานี้นายไปทำอะไรมาบ้างเนี่ย ทำไมอยู่ๆถึงได้ขึ้นมาอยู่ในระดับนี้ได้กัน” นักเรียนชายคนหนึ่งอดที่จะถามออกมาอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ คนอื่นเองที่ได้ยินคำถามนี้ก็อดที่จะหยุดคุยกันและคอยเงี่ยหูฟังในทันทีไม่ได้เลย

“ก็หลายอย่างล่ะนะ แต่หลักๆแล้วก็คงเป็นการเก็บของดีได้จากกองขยะล่ะนะ ยังไงซะฉันเองก็เป็นเพียงคนจัดการขยะคนหนึ่งเท่านั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

ด้วยคำพูดนี้ของซูจิ้งทำให้เพื่อนร่วมรุ่นของเขาหลายๆคนอดที่จะถลึงตามองไม่ได้ ทุกคนต่างก็คิดว่าซูจิ้งแค่พูดยั่วพวกเขาเล่นๆเท่านั้น

หากว่าซูจิ้งนั้นสามารถเก็บสมบัติออกมาจากกองขยะได้ตลอดเวลาแบบนี้ล่ะก็ ใครเชื่อก็บ้าเต็มทีแล้ว กองขยะแบบนั้นจะไปมีอยู่ในโลกได้ยังไงกัน

แต่ถึงจะคิดกันแบบนั้นแต่พวกเขาก็รับรู้ได้เช่นกันว่าซูจิ้งนั้นพูดความจริงออกมา แม้แต่ทุกวันนี้เขานั้นก็ยังคอยเก็บ จัดการ คัดแยก ขยะ(ห้วงเวลาฯ) เพื่อรักษาดุลยภาพของโลกใบนี้เอาไว้


หลังจากงานได้ดำเนินไปได้สักพักใหญ่ บริกรก็ได้เริ่มเสริฟอาหารมื้อเที่ยงของโรงแรม ในตอนนั้นเองบริเวณลานจัดงานของโรงแรมนั้นก็ได้เกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมทั้งมีผู้คนที่รายล้อมไปทั่ว

จากนอกหน้าต่างในชั้นสองตอนนี้พวกเขาสามารถเห็นป้ายสโลแกนของบริษัทๆหนึ่งที่เขียนไว้ว่า “เทคโนโลยีที่อยู่เหนือกาลเวลา”

“ห้ะ อาจิ้ง นั้นมันงานของกลุ่มทุนห้วงเวลาของนายไม่ใช่เหรอ” หลินฮ่าวถามออกมาอย่างงงๆ

“พี่สาม ตอนนี้พี่ยังไม่ได้มีแผนที่จะปล่อยผลิตภัณธ์ตัวใหม่ออกมาไม่ใช่เหรอ แล้วพี่จะจัดงานแถลงข่าวทำไมกัน” เสี่ยวรุยถามออกมาอย่างสงสัย

หวังหยาน เฉียนหยินหนิง ติงบิน เทียนยี่ เจียงหวางและคนอื่นๆเองที่ได้ยินก็ได้หันไปดูและก็เห็นแบบนั้นเช่นเดียวกัน จนตอนนี้พวกเขาต่างก็รู้สึกว่างานในครั้งนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“เอาน่าเดี๋ยวก็ได้รู้เอง ก็คิดซะว่าพวกนายนั้นมีอะไรดีๆได้ดูตอนได้กินอาหารหรูๆก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“แบบนี้ก็ดีน่ะสิ” ทุกๆคนในตอนนี้ต่างก็หัวเราะชอบใจกันในทันที เพื่อเขาเชื่อว่าของที่ซูจิ้งเตรียมเอาไว้นั้นย่อมดีกว่าได้ดูละครทีวีระหว่างกินข้าวอย่างไม่ต้องสงสัย


ในใจกลางของลานจัดกิจกรรมของโรงแรม ภายใต้ป้ายสโลแกนกลุ่มทุนห้วงเวลา ทุกคนนั้นจ้องมองไปยังบางสิ่งที่ได้รับการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาด้วยตะแกรงเหล็ก

ข้างในนั้นก็คือตะเกียงน้ำมัน ตะเกียงน้ำมันนี้มีของบังลมที่สูงกว่าครึ่งเมตรเห็นจะได้ มันดูราวกับตะเกียงของชายพายเรือที่นำพาคนตายข้ามฝั่งแม่น้ำ แน่นอนว่าในตอนนี้มันมีไฟถูกจุดเอาไว้แล้ว

และรอบๆกรงที่รักษาความปลอดภัยให้ตะเกียงนั้นก็ได้มีชายที่ดูสูงและแข็งแกร่งกว่าประคนที่อยู่ในชุดสูทและแว่นตาดำรายรอบเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง

ในตอนนั้นเองก็ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ในชุดสูทสั่งตัดถือไมค์เอาไว้เดินออกมาจากไหนก็ไม่รู้ เธอได้พูดขึ้นมาว่า “สวัสดีค่ะทุกท่าน ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ในวันนี้ได้มีโอกาสในการเปิดตัวผลงานวิจัยของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯต่อหน้าสาธารณชนในวันนี้นะคะ


พวกเรานั้นเชื่อมั่นว่างานวิจัยของพวกเราที่เปิดตัวในวันนี้จะต้องสร้างความประหลาดใจให้กับทุกท่านอย่างแน่นอน

ในตอนนี้ทุกท่านคงจะเห็นของที่อยู่ในกรงตรงนั้นแล้วว่าข้างในมันคืออะไร อย่างที่ทุกท่านได้เห็น นั่นก็คือตะเกียงน้ำมันที่กำลังจุดไฟอยู่ และตะเกียงนี้เองก็คือสุดยอดงานวิจัยที่ทางเราได้ยินดีอย่างยิ่งที่จะนำเสนอให้ท่านต้องประหลาดใจกันในวันนี้…..”

ทันทีที่สิ้นคำพูด เพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งต่างก็มองหน้ากันไปมา ส่วนคนที่อยู่จตุรัสนั้นต่างก็รู้สึกงงๆและพูดออกมาอย่างดูถูกว่า

“นรกห่าเหวอะไรกัน มันก็แค่ตะเกียงน้ำมันนี่นา ของแค่นี้เนี่ยนะที่จะคู่ควรกับการเป็นผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้”

“นี่กลุ่มทุนห้วงเวลาตกต่ำลงมาจนวิจัยกับแค่น้ำมันตะเกียงเนี่ยนะ”

“ไม่ว่าจะมาบอกอะไรก็ตามแต่ก็ไม่ทางพัฒนาของที่คิดค้นและหยุดพัฒนามาแล้วว่าสามพันปีได้หรอก”


“เท่าที่ดูแล้วนั้นอย่างมากตะเกียงนั่นก็สมควรจะเป็นตะเกียงที่ใช้กันทั่วไปตอนฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวเท่านั้น

ไม่ต้องไปพูดถึงความเก่าแก่ของตะเกียงเลย

ขนาดตะเกียงที่เก่าแก่ที่สุดที่อยู่มาตั้งแต่ยุคราชวงศ์ฮวงกว่าสี่ถึงห้าพันปียังมีสภาพเดียวกันเลย ตะเกียงนำมันนี่ก็ไม่น่าจะเกินไปกว่านั้นหรอกน่า” หลายๆคนอดที่จะพูดดูถูกพร้อมเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้


GGS:บทที่ 1090 รางวัลล้านหยวน


“อาจิ้ง ตะเกียงน้ำมันนั่นเป็นนวัตกรรม(งานวิจัย)ล่าสุดของนายงั้นเหรอ” หลินฮ่าวอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

“ไม่ว่าตะเกียงน้ำมันนั่นจะดียังไงแต่ฉันว่ามันก็ล้าสมัยไปแล้วนะ สมัยนี้ใครบ้างที่ยังจะใช้ตะเกียงน้ำมันอยู่” ฉือเล่ยถามออกมา

“ฉันว่าความจริงแล้วไอ้งานชิ้นนี้เอาจริงๆไม่ได้เกี่ยวกับตัวตะเกียงนั่นหรอกใช่รึเปล่า ฉันว่ามันน่าจะเป็นตัวน้ำมันตะเกียงมากกว่า….พลังงานตัวใหม่เหรอ” เฉียนหยินหนิงพูดออกด้วยสายตะอันเฉียบคม พลางหันไปดูหวังหยานที่ตอนนี้กำลังจ้องมองตะเกียงโดยที่คิ้วของเธอขยับไปมาอยู่ไม่สุข

ซูจิ้งเองที่ได้ยินได้หันไปมองเฉียนหยินหนิงด้วยท่าทียอมรับนับถือ เพียงแค่เธอมองก็สามารถรู้ได้ในทันทีแบบนี้ถือว่าเธอไม่เลวเลยจริงๆ


แต่เขาก็เชื่อว่าที่เธอคิดเอาไว้นั้นน่าจะเป็นเรื่องพลังงานสะอาดหรือไม่ก็ประสิทธิภาพของพลังงานที่ให้เท่านั้น ซึ่งนั่นยังห่างจากความเป็นจริงไปไกลมาก

“อาจิ้ง งานวิจัยของนายคือไส้ตะเกียงงั้นเหรอ” หนุ่มหล่อคนหนึ่งที่ตัวเต้นได้ถามออกมา เพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งที่ได้ยินก็ไม่ได้ประหลาดใจมากมายนักเพราะชายคนนี้ทำงานในวงการเกี่ยวกับไส้เทียนและตะเกียงพวกนั้น

ชายคนนี้ถึงแม้จะไม่ได้ดูหรูหราอะไรก็ตาม แถมตอนที่เรียนเขาเองก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น แต่งานของเขาที่ทำนั้นกลับเงินเดือนสูงทีเดียว

“ไม่ใช่หรอก” ซูจิ้งพูดพลางส่ายหน้าไปมาก่อนที่เขาจะพูดด้วยรอยยิ้มออกมาว่า “เดี๋ยวนายก็จะรู้ในไม่ช้านี้แหล่ะ หากบอกไปก่อนหรือฉันหลุดปากไปมันก็ไม่น่าสนใจกันพอดี”


นะกลางลานกิจกรรม ในตอนนี้เต็มไปได้วยเสียงการคาดเดาต่างๆนาๆ คราวนี้ หญิงสาวในชุดกระโปรงสั่งตัดที่ถือไมค์อยู่ได้ทำการอธิบายผลงานออกมาว่า “ทุกท่านคะ ฉันขอบอกไว้ก่อนว่าทุกท่านนั้นอย่าเพิ่งรีบตีค่าตะเกียงน้ำมันนี้ต่ำเกินไปจะดีกว่าค่ะ แน่นอนว่าตะเกียงน้ำมันนี้ถึงแม้มันจะดูธรรมดา แต่มันเองก็คือผลงานวิจัยชิ้นล่าสุดของพวกเรากลุ่มทุนห้วงเวลาและอวกาศ”

“คิดว่าพวกเรานั้นโดนหลอกกันได้ง่ายๆรึไงกัน”

“สาวน้อย อย่าคิดว่าแค่การแต่งตัวดีๆและใช้คำพูดเก๋ๆก็จะมาหลอกพวกเราได้นะ”

“เธอนั้นยังละอ่อนเกินกว่าที่จะใช้รูปร่างและคำพูดในการหลอกลวงพวกเรานะ ตะเกียงน้ำมันนี่ยังไงก็คงไม่ทำให้คนลอยได้เมื่อใช้หรอกน่า”

“นี่เธอใช่คนของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯจริงๆรึเปล่าเนี่ย”


หญิงสาวในชุดกระโปรงเองที่ได้ยินคำพูดของคนในงานก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเซ็งๆไปเล็กน้อย ก่อนที่จะรีบพูดออกมาว่า “แน่นอนว่าฉันนั้นและตะเกียงนี้มาจากกลุ่มทุนห้วงเวลาฯจริงๆไม่ได้หรอกทุกคนค่ะ

แล้วก็ฉันนั้นไม่ได้พูดเวอร์วังเกินจริงแต่อย่างใดเช่นเดียวกัน หน้าที่ของฉันในวันนี้นอกจากทำหน้าที่เป็นพิธีการแล้ว ตัวฉันยังมีหน้าที่ในการควบคุมกิจกรรมในวันนี้ที่มีเงินรางวัลหนึ่งล้านบาทให้ทุกท่านได้ลองเล่นกันดู”

หลังจากเธอพูดจบลงก็ได้เงียบไปชั่วครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็มีชายหนุ่มสวมแว่นตาดำที่มีท่าทางแข็งแรงอีกสองคนเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าใบหนึ่ง

ทั้งสองได้เปิดกระเป๋าต่อหน้าทุกคนให้ดู ภายในนั้นเต็มไปด้วยแบ็งค์ 100 หยวนจำนวนมาก ผู้คนในงานที่ได้เห็นเงินขนาดนั้นตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งเฮือกออกมา


พิธีกรสาวได้พูดออกมาต่อว่า “เงื่อนไขของเกมนี้ก็คือใครก็ตามที่ดับไฟของตะเกียงนี้ได้โดยไม่ใช้มือสัมผัสตะเกียงและเปลวไฟโดยตรง ไม่นำที่บังลมออก และต้องไม่ทำลายตะเกียงน้ำมันนี้ หากใครทำได้ คนๆนั้นจะได้รับเงินหนึ่งล้านหยวนนี้ไปครอบครอง แน่นอนว่าที่ฉันพูดนั้นเป็นความจริงทุกอย่างค่ะ”

ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนี้ต่างก็นิ่งอึ้งไปในทันที หลังจากนั้นก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว ต้องรู้กันก่อนว่าของบังลมนี้สูงเพียงเมตรเดียวเท่านั้น ซึ่งนี่ถือว่าเตี้ยมากๆ หากมีใครสักคนที่มีปอดใหญ่พอล่ะก็ แค่เป่าลมแรงๆลงไปคนๆนั้นก็ได้รับเงินล้านไปอย่างง่ายดาย

แถมพิธีการสาวคนนี้ยังพูดอีกว่า ตราบใดที่ตัวตะเกียงไม่พัง และไม่แตะตะเกียงโดยตรง หากหาของไม่ใส่น้ำสาดเอาก็ถือว่าใช้ได้เหมือนกัน

“สาวน้อย หากดูตามเงิ่อนไขที่เธอพูดมานี้ หากว่าใช้น้ำสาดแทนก็ได้อย่างนั้นเหรอ เธอแน่ใจนะว่าเธอจะไม่ไปจุดไฟขึ้นมาทีหลัง หลังจากฉันเอาน้ำสาดไปแล้วน่ะ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดออกมาด้วยท่าทีติดตลก


“ฉันจะไม่เล่นแง่ในคำพูดของฉันอย่างแน่นอนค่ะ คำพูดที่ฉันพูดออกมานี้เป็นคำพูดของหัวหน้าใหญ่ของพวกเราแบบเหมือนเป๊ะๆ และสิ่งที่คุณพูดนั้นก็ถือว่าใช้ได้เช่นเดียวกัน นั่นก็คือคุณสามารถลองใช้น้ำดับดูก่อนได้ค่ะ” พิธีการสาวพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ห้ะ เอาจริงดิ”

“ใช้ได้แม้แต่ถังดับเพลิงเหรอ?”

“ใช้ได้ค่ะถ้าคุณหามาได้”

“นี่มันจะง่ายไปแล้ว มามาขอฉันลองก่อนเลยแล้วกัน”

“ทำไมนายได้เป็นคนแรกล่ะ ฉันก่อนสิ”

“ไม่ต้องแย่งกันค่า โปรดเข้าแถวกันด้วยนะคะ” พิธีกรสาวในตอนนี้พยายามควบคุมสถานการณ์เต็มที่แต่ดูเหมือนว่าผู้คนจะแก่งแย่งกันเพราะกลัวที่จะชวดเงินล้านที่อยู่ตรงหน้า


ตอนนั้นเอง เหล่าบอดี้การ์ดที่อยู่รายรอบตะเกียงทั้งแปดคนก็ได้ตั้งแถวและกั้นฝูงชนที่ออกันเข้ามาไม่ให้ข้ามเขตเข้าไปแม้สักคนเดียวด้วยท่าทีอันมั่นคงราวกับเล่นกับเด็กน้อย

ฉากนี้เองก็ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวทั้งแปดในทันที นั่นก็เพราะคนเพียงแปดคนสามารถกั้นฝูงชนหลายสิบได้ นี่แสดงว่าทั้งแปดคนนี้ตั้งแข็งแรงกว่าคนทั่วไปอย่างมาก

เมื่อรู้สึกได้ถึงความทรงพลังของชายแปดคนนี้ทำให้ฝูงชนหยุดความโกลาหลของพวกเขาไปโดยปริยาย ก่อนที่จะเริ่มเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ แต่ก็ยังมีบางคนที่พยายามแซงแถวเหมือนกัน บางคนแซงแถวผู้หญิง เด็ก และคนชราได้อย่างหน้าตาเฉย


อย่างไรก็ตาม ชายทั้งแปดคนนี้ไม่ได้พูดอะไรออกมา หนึ่งในพวกเขานั้นทำเพียงแค่ถอดแว่นออกมาพร้อมกับจ้องมองไปยังคนเหล่านั้นด้วยสายตาอันเย็นชา ก่อนที่ชายคนนั้นจะได้ไปยกคนเหล่านั้นออกมาจากแถวแล้วชี้นิ้วไปยังท้ายแถวโดยไม่มีใครกล้าขัดขืนเลยสักคน

แม้แต่ชายหนุ่มที่ร่างสูงกว่า 1.8 เมตรคนหนึ่ง ก็โดยยกขึ้นด้วยมือเพียงมือเดียวโดยไม่มีท่าทางที่แลดูหนักแม้แต่น้อยราวกับไก่ที่โดนคว้าคอไว้

ฉากนี้ยิ่งทำให้ฝูงชนตกอยู่ใต้การควบคุมของคนทั้งแปดในทันที และไม่มีใครกล้าทำเรื่องไม่ดีอีกต่อไป

แต่ด้วยการที่คนที่จะเล่นเกมนี้มีมากจึงต้องตั้งแถวกว่าหกแถว โดยการจัดลำดับนั้นจะเริ่มจากคนแรกแถวที่หนึ่ง ตามด้วยคนแรกแถวที่สอง สาม สี่ ห้า หก แล้วจึงกลับไปเริ่มแถวที่หนึ่งใหม่อีกครั้งหนึ่ง

คนแรกที่เริ่มลองดู เขานั้นเป็นชายร่างผอมสูงที่ดูประหม่าเล็กน้อย เขาเองก็เปพียงพนักงานบริษัทคนหนึ่งที่ได้เงินเดือนเพียงสี่พันห้าร้อยหยวนเท่านั้น ด้วยโอกาสที่จะได้เงินก้อนใหญ่ตรงหน้าแบบงงๆแบบนี้ จึงไม่แปลกที่เขาจะมีท่าทีประหม่า

ในคราวนี้ ชายทั้งแปดคนก็ได้เปิดทางให้ชายคนแรกนี้ เขาได้นำขวดน้ำแร่ออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง เขาค่อยๆเดินเข้าด้วยสายตาที่จับจ้องไปยังตะเกียงน้ำมันที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะสาดน้ำเข้าไปใส่ตะเกียงน้ำมัน

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องง่ายๆก็ตาม แต่ด้วยการที่เขานั้นประหม่าเกินไปทำให้สาดน้ำไม่โดนไส้ตะเกียงสักเท่าไหร่ คราวนี้เขาจึงตัดสินใจสาดน้ำที่ร่ายส่ายไปมาเพียงที่จะให้แน่ใจว่าโดนแน่ๆ

ฉากนี้มันดูเชื่องช้ามากับคนที่อยู่ข้างหลัง และด้วยความกลัวที่จะชวดเงินรางวัลเขาจึงได้พูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนข้างหน้าว่า

“รีบๆหน่อยไม่ได้รึไง คนข้างหลังรออยู่นะ”

“เขาสาดน้ำไม่ค่อยจะโดนตะเกียงเลยนะ นี่เขาเป็นหน้าม้ารึเปล่าเนี่ย”

“ฉันว่าไม่ใช่นะ”

“ต้องเป็นเพราะว่าน้ำไม่ค่อยโดนตะเกียงนั่นแน่ๆ ไม่อย่างนั้นมันก็คงจะดับไปแล้ว….นี่ถ้าฉันทำพลาดเองก็คงจะโดนคนข้างหลังหัวเราะชอบใจแบบนี้สินะ….”


เหตุผลที่คนข้างหลังนี้ดูรีบร้อนนั้นไม่ใช่เพราะว่าพวกเขานั้นกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้รางวัลแต่อย่างใด แต่พวกเขานั้นค่อนข้องจะไม่สบอารมณ์ที่ชายตัวผอมสูงที่แทรกแถวจนต้องโดนไล่ไปอยู่ข้างหลังก่อนหน้านี้นั้น ด้วยการที่แถวยาวมากจนต้องจัดแถวแล้วกลายเป็นว่าคนๆนี้มาอยู่ข้างหน้าแล้วคอยพูดถากถางผู้คนอย่างสนุกปากทำให้พวกเขานั้นเริ่มหวั่นไหวขึ้นมา เพราะชายคนนี้นั้นด้วยสรีระแล้วแค่เขาโน้มตัวและยื่นมือเข้าไปก็สามารถเทน้ำมันลงตะเกียงได้โดยตรงอย่างง่ายดาย

นี่ทำให้หลายๆคนเองก็เริ่มคิดแล้วว่าชายคนนี้เองเป็นหน้าม้าและยังไงก็หน้าจะดับได้แน่ๆ ทำให้หลายๆคนเองเริ่มถอดใจและเตรียมที่จะออกไปจากแถวตั้งแต่ถึงตาชายคนนี้แล้ว ด้วยความรู้สึกที่ว่าโดนหลอกให้มาเป็นตัวตลกให้คนอื่นดู


“…เงินในกระเป๋านั่นเป็นเงินจริงรึเปล่า” ในห้องงานเลี้ยงชั้นสองของโรงแรม หลินฮ่าว เสี่ยวรุย ฉือเล่ย และคนอื่นๆที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ตกตะลึงและอดไม่ได้ที่จะต้องถามออกมา

“อาจิ้ง นายแน่ใจนะว่าใช้น้ำได้น่ะ” ชายเพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งคนหนึ่งได้ถามออกมาด้วยความตื่นเต้น


ตอนนี้เพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นของซูจิ้งเองที่พึ่งจะตื่นจากภวังค์จากคำถามเมื่อคู่ก็อดที่จะสะดุ้งออกมากันไม่ได้ ถึงแม้พวกเขานั้นจะมีบางคนที่เงินเดือนสูงบ้าง ต่ำบ้าง แต่โดยเฉลี่ยแล้วเดือนๆหนึ่งพวกเขาได้เงินเต็มที่แค่ สองสามหมื่นหยวนเท่านั้น เมื่อเทียบกับเงินล้านนี้บอกได้เลยว่าช่างเล็กน้อยซะเหลือเกิน

และเมื่อได้มาเห็นว่ากับอีแค่ดับไฟในตะเกียงนี่แล้วได้เงินล้านง่ยๆแบบนี้ใครจะอดใจที่จะลองได้ไหวกัน โอกาสดีๆแบบนี้ไม่ดีบ่อยๆอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเขารู้ฝึกอย่างจะลองดับไฟในตะเกียงนี้มากกว่าเล่นเกมในงานเลี้ยงรุ่นของเขานี้เสียอีก

“ใช้ได้จริง แล้วก็เป็นไปตามที่สาวน้อยคนนั้นพูด นายสามารถใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นลม เตรื่องดับเพลิง หรือแม้แต่น้ำก็ตาม ตราบใดที่นายดับมันโดยอยู่ในเงื่อนไขได้ นายก็รับไปได้เลยหนึ่งล้าน ไม่ว่าจะเป็นลูกเด็กเล็กแดงหรือคนแก่เฒ่าฉันก็ไม่เกี่ยง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“โถ่ ที่นายไม่บอกพวกเราก่อนหน้านี้เป็นเพราะพวกเราจะเตรียมตัวได้พร้อมก่อนที่จะได้เข้าไปลองใช่ไหมล่ะ นายกลัวล่ะสิว่าพวกเราจะดับไฟนั่นได้” ทุกคนในห้องตอนนี้ก็ได้จับจ้องไปที่แถวที่ตอนนี้ถึงจะดูไม่ยาวมากแล้วแต่ก็สมควรจะช้าเกินกว่าที่จะได้ลองแล้วอย่างแน่นอน

นั่นก็เพราะตอนนี้ถึงคราวชายหนุ่มตัวสูงแล้ว เขานั้นไม่ได้มีท่าทีประหม่าแต่อย่างใด เขาได้รินน้ำจากขวดน้ำแร่ที่ถือเอาไว้ให้ลงไปโดนไส้ตะเกียงได้ตรงๆ

ฉากนี้ทำให้ผู้คนโดยรอบแทบจะไม่มีเลือดไปเลี้ยงหัวใจของพวกเขาแล้ว นั่นก็เพราะความเสียดายอย่างแสนสาหัสที่ต้องเห็นเงินล้านหลุดลอยไปอยู่ในมือคนอื่นๆแบบง่ายๆแบบนี้


GGS:บทที่ 1091 ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


หลังจากได้เห็นชายตัวสูงเทน้ำจากขวดน้ำแร่ลงไปบนเปลวเทียนอย่างชัดๆกับตา ผู้คนที่เห็นต่างก็อดที่จะถอดถอนหายใจตัวเองออกมาไม่ได้


นั่นก็เพราะน้ำที่ชายหนุ่มตัวสูงเทลงไปนั้นโดนไส้ตะเกียงโดยตรงบอกนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องดับอย่างแน่นอน คนที่อยู่ในแถวตอนนี้ก็ถอดใจและหันหลังเตรียมที่จะเดินออกจากแถวไปแล้ว


แต่เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงน้ำแร่ที่พยายามจะดับไฟของตะเกียงตามที่มุ่งหวังไว้จนมีเสียงดังชี่ขึ้นมาอยู่นานและต่อเนื่อง จนในที่สุดผ่านไปกว่าสามวินาที แต่ไส้ตะเกียงก็เพียงหดตัวเล็กลงเท่านั้น ไม่ได้ดับลงแต่อย่างใด


 


“ห้ะ” ทุกคนที่เห็นต่างก็งุนงงในทันที ชายหนุ่มตัวสูงที่เห็นเองก็ไม่ยอมแพ้แต่อย่างใด ถึงแม้เขาจะดูเหมือนหวั่นไหวไปเล็กน้อยแต่ก็ยังคงบีบกระหน่ำน้ำในขวดให้ไหลออกมามากกว่าเดิมและเร็วกว่าเดิมจนขวดน้ำแตกและล่วงหล่นลงไปบนไส้ตะเกียงอย่างไม่ได้ตั้งใจ


อย่างไรก็ตาม เปลวไฟในตะเกียงก็ยังคงลุกไหม้แต่ไป ทั้งๆที่ในตอนนี้ภายในพื้นที่ตั้งนี้มีทั้งน้ำที่เหมือนจะท่วมสูงขึ้นมาจากจากร่องกว่าครึ่งเซนติเมตร พร้อมทั้งขวดที่หลุดออกจากมือเข้าไปอยู่ด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลอะไรแต่เปลวไฟในตะเกียงแม้แต่น้อย


 


“นี่มันอะไรกัน” ในตอนนี้ทุกคนที่เห็นต่างก็ทำได้เพียงยืนมองอย่างงๆ คนที่คิดว่าชายตัวสูงนั้นสามารถคว้าเงินล้านได้แล้วเมื่อเห็นฉากนี้ได้รีบวิ่งกลับเข้ามาในแถวอย่างรวดเร็ว


แม้แต่คนที่ลองรอบแรกแล้วพลาดจนออกไปแล้วก็ยังวิ่งกลับเข้ามาต่อท้ายแถวในทันที


“เกิดอะไรขึ้น ทำไมน้ำถึงดับมันไม่ได้ล่ะ”


“….นี่ทำให้ฉันนึกถึงไฟโอลิมปิกเลยนะ ไม่รู้ว่าไฟโอลิมปิกโดนแบบนี้ไปจะดับรึเปล่า”


“ที่นายพูดออกมาแบบนี้แสดงว่ายังไม่รู้จักไฟโอลิมปิดดีพอนะ ไฟโอลิมปิกนั่นเป็นไฟที่ใช้เทคนิคพิเศษนิดหน่อยน่ะ


ยกตัวอย่างเช่นตอนงานกีฬาโอลิมปิกที่ปักกิ่งนั่น พวกเขาใช้โคมไฟชนิดพิเศษที่เรียกว่าโคมไฟสองชั้นนะ โคมไฟนั่นใช้แก๊สเข้ามีส่วนด้วย


หากว่าวงไฟรอบนอกที่เป็นน้ำมันได้ดับลงไปก็ยังมีส่วนที่ใช้แก๊สยังคงติดอยู่ แล้วก็จะค่อยๆลามกลับไปยังส่วนที่เป็นน้ำมันอีกครั้งจึงทำให้โคมไฟโอลิมปิกดับได้ยากยิ่ง


 


ยังไงก็ตามมันยังมีข้อจำกัดอยู่อย่างการที่ต้องเจอลมที่ความเร็ว65กิโลเมตรต่อชั่วโมงพัดผ่าน หรือไม่ก็เจอฝนที่ตกหนักเกินระดับ 50 มิลลิเมตรต่อชั่วโมงก็ยังต้องดับลง


แต่เมื่อกี้นี้น้ำที่ร่วงใส่ไส้ตะเกียงนั่นฉันว่ามันน่าจะเกินระดับ 50 มิลลิเมตรต่อชั่วโมงไปแล้วนะ หากน้ำในขวดน้ำนี่หล่นใส่คบเพลิงโอลิมปิกฉันว่ายังไงก็ต้องดับ”


“…..แต่ไอ้ไฟในตะเกียงนั่นเจอไปขนาดนั้นยังติดอยู่เลยไม่ใช่เหรอ นี่ไม่ใช่ว่าไฟตะเกียงนี่จะล้ำกว่าคบไฟสองชั้นนั่นอีกนี่นา ไม่ว่ามองยังไงก็ไม่น่าจะล้ำได้ขนาดนั้นเลยนะ นี่มันดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลยสักนิด”


“ก็ถ้ามันดับได้ง่ายๆแล้วจะกลายเป็นงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้ยังไงล่ะ”


“พวกเรานั้นด่วนดูถูกตะเกียงนี่ไปจริงๆ ตะเกียงนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่มาจากงานวิจัยของกลุ่มทุนห้วงเวลาจริงๆด้วย ช่างเป็นเปลวไฟที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”


 


เหล่าผู้คนที่เห็น ในตอนนี้ก็อดที่จะแสดงท่าทีตื่นเต้นไม่ได้กันอย่างทั่วหน้า หลังจากได้เห็นความยากในการดับไฟนี้แล้วทำให้พวกเขายิ่งมั่นใจอย่างมากว่าเงินรางวัลที่กลุ่มทุนห้วงเวลาได้เสนอมานั้นต้องเป็นของจริงอย่างแน่นอน และนี่ไม่ช่างการยั่วผู้คนให้ทำเรื่องงี่เง่าอีกต่อไป


“โว่วววว ไม่ดับแหะ” บนชั้นสอง เพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งต่างก็แสดงท่าทางประหลาดใจออกมาเมื่อเห็นว่าไฟของตะเกียงไม่ได้ดับไปอย่างที่คิด


“…เป็น…ไปได้…ยังไง” ชายหนุ่มที่ทำงานในวงการเทียนและตะเกียงได้แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา นั่นก็เพราะว่าการผลิตไส้ของตะเกียงที่ไม่ให้ได้ได้ง่ายนั้นไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้


แต่ไม่ว่าพวกมันนั้นจะยากที่จะดับได้ขนาดไหนก็ตาม แต่หากว่าจะตั้งใจดับจริงๆยังไงก็ดับได้อยู่ดี แต่ไส้ตะเกียงที่เขาเห็นนี้ต่างออกไป แต่ให้ไม่นับลมที่ตอนนี้ถูกปิดกั้นเอาไว้ แต่ด้วยระดับน้ำที่ดูยังไงก็ท่วมไส้เทียนไปแล้วแบบนี้แต่ยังติดอยู่ได้นี่ช่างท้าทายความสมเหตุสมผลอย่างมาก


นั่นก็เพราะว่าด้วยความเร็วของน้ำที่ราดลงไปบนไส้ตะเกียงแบบนี้ไม่ว่ายังไงไฟดวงน้อยๆก็ไม่มีทางเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นก๊าซไฮโดรเจนและอ๊อกซิเจนได้ทัน และโดยปกตินั้นต้องดับลงไปแล้ว


 


แต่ฉากที่อยู่ต่อหน้าของเขาในตอนนี้มันราวกับว่าเปลวไฟนี้ไม่ได้มีตัวตนแต่อย่างใด เหมือนมันเป็นไฟที่ไม่ได้อยู่ในกฎทางเคมีและฟิสิกข์แม้แต้น้อย


“น้ำเมื่อได้สัมผัสกับอุณหภูมิสูงก็จะแตกตัวไปเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจนได้โดยตรง…. ไส้ตะเกียงนี่ไม่ว่ามองยังไงก็ไม่น่ามีตัวต้านทานความร้อนเลยสักนิด


เต็มที่ก็เป็นวัสดุที่ใช้ทำไส้ตะเกียงที่เป็นตัวต้านทาน แต่นี่มันตัวต้านทานอะไรกันแน่ ยังไม่รวมถึงอุณหภูมิของไฟนั่นอีกที่ดูยังไงก็ไม่สูงจนมากพอที่จะโดนน้ำแล้วเปลี่ยนน้ำให้เป็นก๊าซทั้งสองได้ทันที ตะเกียงน้ำมันนี่มันอะไรกันแน่เนี่ย” เจียงหวางที่เงียบไปนานเมื่อเห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดความเห็นของตัวเองออกมา


 


“ถึงแม้ว่านายจะพูดออกมาราวกับว่าเปลวไฟนี่เป็นสิ่งที่หลุดมาจากนิยายวิทยาศาสตร์ก็เถอะนะ แต่ในเมื่อน้ำนี่ดับไปไม่ได้ด้วยน้ำล่ะก็ มาลองเจอเครื่องดับเพลิงกันก่อนก็แล้วกัน”


เพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งในตอนนี้ต่างก็พูดคุยเกี่ยวกับตะเกียงน้ำมันนี้อย่างสนุกสนานจนทำให้บรรยากาศในงานมีชีวิตชีวาอย่างต่อเนื่องจนทำให้แม้แต่เสียงเพลงในงานก็ยังไม่ได้สำคัญอีกต่อไป แม้แต่อาหารอร่อยที่อยู่ตรงหน้าก็ยังหมดความหมายต่อความสนใจของพวกเขาในทันที


 


ณ ลานกิจกรรมของโรงแรม ชายหนุ่มตัวสูงที่รู้สึกหดหู่จากการชวดเงินล้านไปต่อหน้าต่อตาด้วยมือตัวเอง ในตอนนี้เขานั้นมีท่าทีที่ยังไม่ยอมแพ้แล้วหันซ้ายหันขวาเพื่อหาอะไรมาลองดูต่อ


ตอนนั้นเองพิธีกรสาวก็ได้พูดออกมาว่า “หนึ่งคนลองได้หนึ่งครั้งนะคะ หากว่าคุณอยากจะเปลี่ยนวิธีลองดับก็ได้ แต่ขอเป็นการกลับไปเข้าแถวจากได้หลังใหม่อีกครั้งนะคะ ให้โอกาสคนอื่นได้ร่วมสนุกบ้างค่ะ”


ชายหนุ่มตัวสูงที่ได้ยินก็ไม่มีทางอื่นนอกจากเดินกลับไปต่อหลังในทันที คนถัดมานี้เป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ราวกับพึ่งกลับมาจากการจ่ายตลาดก็ไม่ปาน เพราะว่ามือของเธอนั้นเต็มไปด้วยสินค้าจากที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นปลา ผัก ถึงแป้ง และเนื้อวัว


เมื่อเธอเดินเข้าไปถึง สิ่งแรกที่เธอทำก็คือเธอเปิดปากถุงแป้งแล้วโยนแป้งเข้าไปในตะเกียง ทุกคนที่เห็นต่างก็รู้ในทันทีว่าเธอนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่คำถามคือทำแบบนี้จะดีจริงๆหรือ


ทุกคนต่างก็หันไปยังพิธีการสาวเป็นนับว่าขอความเห็น และอยากให้ช่วยหยุดหญิงสาวผู้นี้ อย่างไรก็ตาม พิธีกรเองก็เหมือนจะรู้ว่าทุกคนต้องการอะไรแต่เธอก็ได้พูดออกมาว่า “ทำอย่างนี้ไม่ผิดกฎค่ะ พวกคุณสามารถลองใช้แป้งดับไฟได้”


 


“โถ่… จบแล้วสินะเนี่ย ยังไงตะเกียงนี้ก็ต้องดับแน่ๆ”


“ก็ยังไม่แน่นะ ตะเกียงนี่อาจจะเจ๋งกว่าที่คิดนะ”


“ต่อให้เจ๋งยังไงแต่ในเมื่อใส่แป้งลงไปแบบนั้นไม่ว่าจะเจ๋งมาจากไหนยังไงก็ต้องดับล่ะน่า”


ผู้คนที่เห็นฉากนี้ต่างเป็นกังวลว่าในครั้งนี้ไฟในตะเกียงยังไงก็ต้องดับด้วยมือของหญิงสาวคนนี้เป็นแน่ พวกเขาต้องหมดโอกาสอย่างแน่นอน


อย่างไรก็ตาม พวกเขานั้นต้องยืนมองกันนิ่งๆอีกครั้ง นั่นก็เพราะว่าไม่ว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้จะใส่แป้งไปในรูปแบบไหน มากเท่าไหร่ ทำแม้แต่กลางกีดกลางถึงแล้วโยนลงไปยังไส้ตะเกียงตรงๆจนถุงแป้งแตกกระจายฟุ้งไปทั่วด้วยซ้ำ


“ฮ่าฮ่าฮ่า จบสักที หนึ่งล้านหยวนเป็นของฉันแล้ว” หญิงวัยกลางคนพูดออกมาด้วยความยินดีจนกระโดดโลกเต้นไปทั่ว


“ไอ๊หยา…” คนอื่นๆที่เห็นต่างก็คิดว่ายังไงพวกเขาก็ชวดจนอดที่จะอุทานออกมาอย่างเสียดายไม่ได้เช่นเดียวกัน พลางคิดไปว่า ผู้หญิงคนนี้เหลือเกินเลยจริงๆ เล่นใส่ชุดใหญ่ตั้งแต่ต้นไม่คิดจะให้โอกาสคนอื่นเขาเลย หญิงพวกเขาเห็นหญิงสาวคนนี้ดีใจมากเท่าไหร่ พวกเขาก็มีท่าทีเสียดายมากขึ้นเท่านั้น


อย่างไรก็ตาม อยู่ๆพิธีกรสาวก็ได้พูดออกมาว่า “เอ่ออออฉันว่าคุณควรจะดูให้ดีๆก่อนนะคะว่าไฟดับไปแล้วจริงๆรึเปล่า”


ในตอนนั้นเอง ทุกคนก็ได้หันไปดูที่ตะเกียง แต่ในตอนนี้เปลวไฟและไส้ตะเกียงเองก็ถูกกลบไปด้วยผงแป้งจนมิดไปแล้ว มิดขนาดนี้ถ้าไม่เรียกว่าดับไปแล้วพวกเขาก็ไม่รู้แล้วเหมือนกันว่าพิธีกรต้องการสื่ออะไรกันแน่


อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทุกคนกำลังจ้องมองไปยังกองแป้งที่กลบไส้ตะเกียงจนมิดนั้น ไม่นานนัก ก็ได้บังเกิดฉากที่ต้องทำให้ทุกคนทำหน้าโง่งมกันไปหมด


ฉากนั้นก็คือแป้งจุดหนึ่งนั้นค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำ และค่อยๆลามไปจนทั่วจนค่อยๆยุบตัวลง และตรงกลางจุดดำนั่นเองก็ได้มีเปลวไฟดวงน้อยๆที่ลุกโชนอยู่


GGS:บทที่ 1092 แรงกระเพื่อมแห่งตะเกียง


แป้งสีขาวในตอนนี้ได้ลุกไหม้เป็นสีดำลามไปเรื่อยๆและยุบตัวลงไปจนเผยให้เห็นถึงเปลวไฟที่ยังคงสว่างไสวอยู่ท่ามกลางผงแป้งสีขาวที่รายรอบแสดงให้เห็นว่ามันนั้นยังมีตัวตนอยู่ไม่ได้ดับแต่อย่างใด โดยไม่มีท่าทีที่จะมอดดับลงแม้แต่น้อย

ในตอนนี้เอง ก็ได้มีแสงแฟลชจากกล้องมือถือค่อยๆสอดส่องไปยังเปลวไฟกองนี้อย่างไม่ขาดสาย ท่ามกลางความสับสนของผู้ที่อยู่ในงาน ที่กำลังสงสัยว่าทำไมทั้งน้ำและแป้งจึงไม่อาจจะดับเปลวไฟน้อยๆนี้ลงได้

“เกิดอะไรขึ้น ไม่เพียงจะไม่ดับ เปลวไฟนี้ยังเผาไหม้แป้งที่กลบฝังมันไปจนหมดได้อีกด้วย”

“นี่ความรู้ทางฟิสิกข์เคมีที่ฉันได้ร่ำเรียนมานี่ถูกต้องแล้วใช่ไหมเนี่ย องค์ประกอบที่ทำให้เกิดไฟได้นั้นต้องมีออกซิเจนเป็นองค์ประกอบด้วย

หากตัดออกซิเจนด้วยแป้งนั่นไปแล้วเปลวไฟนี้ก็สมควรจะมอดดับลงไปไม่ใช่เหรอ แล้วนี่…..ทำไมไฟนั่นยังคงลุกไหม้ได้อยู่ล่ะ ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด มันจะอยู่เหนือกฎเกณฑ์เกินไปแล้ว”


“ไม่น่าเชื่อจริงๆ”

หลินฮ่าว เสี่ยวรุย ชิเล่ย เฉียนหยินหนิง หวังหยาน และเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆของซูจิ้งที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงที่ชั้นสองนั้น ในตอนนี้ต่างก็พากันมึนงงไปหมด

นั่นก็เพราะไม่เพียงน้ำจะไม่สามารถดับไฟในตะเกียงได้แล้ว แม้แต่ผงแป้งที่ฝังกลบไส้ตะเกียงจนมิดก็ยังทำให้เปลวไฟนี้มอดดับไม่ได้

นี่ทำให้ทุกคนต่างก็พูดคุยกันทันทีเพราะเรื่องนี้ขัดกับความรู้ที่พวกเขาได้ร่ำเรียนมาอย่างสิ้นเชิง

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาได้พูดเรื่องนี้ไปแล้วก็จริงแต่ในตอนนี้ทุกคนก็รับรู้ได้แล้วว่าเปลวเพลิงนี้คงจะใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาไม่ได้แล้วเพราะมันขัดจากความรู้ชนิดที่เรียกได้ว่ามหันต์เลยทีเดียว

เพื่อนร่วมรุ่นบางคนก่อนหน้านี้ที่บ่นเสียดายว่าเสียโอกาสที่จะได้เข้าร่วม ในตอนนี้ก็ไม่ได้มีท่าทีบ่นอุบแต่อย่างใด นั่นก็เพราะว่าปัญหาตอนนี้ไม่ใช่แถวที่ยาวจนกลัวคนจะดับไฟในตะเกียงได้ก่อน แต่ปัญหาในตอนนี้คือต้องใช้วิธีไหนถึงจะดับได้มากกว่า

ในขณะที่คนในห้องชั้นสองกำลังพูดคุยหาวิธีการอยู่นั้น ตอนนั้นเองผู้คนที่อยู่ในงานด้านล่างก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง บางคนได้ใช้สายยางที่ต่อกับก๊อกน้ำฉีดลงไปข้างใน บางคนนำถังน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งเทใส่ลงไป บางคนใช้โคลน มีบางคนทำแม้กระทั่งพ่นสเปย์บางอย่างลงไปจนกลายเป็นเปลวเพลิงเพื่อหวังจะเร่งให้น้ำมันในตะเกียงหมดลงเร็วๆก็มี แต่สุดท้ายแล้ว วิธีการทั้งนี้ล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง

พวกเขาใช้แม้แต่วิธีการที่เหล่านักผจญเพลิงใช้ในการดับไฟแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แม้แต่การใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ก็ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย จนมีบางคนเริ่มคิดได้แล้วว่าเปลวไฟนี้ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง


หลายๆคนเริ่มที่จะหาชนิดของเปลวเพลิงนี้อย่างจริงจังเพื่อหาวิธีดับไฟคว้าเงินล้านมาให้ได้ผ่านทางไป่ตู้ บางคนถึงกับโทรไปปรึกษาที่สถานีดับเพลิงเลยก็มี เพราะคิดว่านี่เป็นวิธีการดีที่สุดแล้วเมื่อต้องเจอกับไฟที่ไม่สามารถใช้หลักการธรรมดาจัดการได้แบบนี้

ตอนนี้หลายๆคนเริ่มอยากที่จะใช้ไม้ทุบตะเกียงนี้ให้แตกไปให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ถึงแม้ว่าวิธีการนี้จะไม่ได้รับการอนุญาตและขัดจากกฎที่ตั้งไว้แค่ไหนก็ตาม

เพราะพวกเขานั้นอยากรู้จริงๆว่าถ้าพวกเขานั้นตัดเชื้อเพลิงไปแล้ว เปลวไฟนี้จะลุกไหม้ได้ไปอีกนานสักแค่ไหนกันแน่

แต่พวกเขานั้นหารู้ไม่ว่าทำแบบนั้นไปก็ไม่ช่วยอะไรขึ้นมา นั่นก็เพราะสิ่งที่ทำให้ตะเกียงนี้ลุกโชนได้ไม่มีวันดับนั้น เป็นเพราะน้ำมันตะเกียงไม่ใช่ตัวตะเกียงหรือไส้ตะเกียงแต่อย่างใด


หลังจากที่เห็นผู้คนได้ลองที่จะดับไฟในตะเกียงนี้แต่ก็พลาดกันไปซ้ำไปซ้ำมาจนคนเหล่านั้นเริ่มถอดใจจนออกจากแถวจนเกือบหมดแล้ว

แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีบางคนที่คิดจะลองดูด้วยท่าทางตื่นเต้นอย่างมาก และยังมีบางคนที่คิดจะลองดูอีกรอบจึงกลับเข้าไปต่อท้ายแถวอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วกว่าทุกคนจะรู้ตัวก็พบว่าในตอนนี้บริเวณลานกิจกรรมก็เจิ่งนอนไปด้วยน้ำเรียบร้อยแล้ว


“วันนี้ที่นี่ดูวุ่นวายกันจัง เขามีอะไรกันงั้นเหรอ”

“ฉันได้ยินมาว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาฯได้เปิดตัวงานวิจัยชิ้นล่าสุดของพวกเขาน่ะ เห็นว่ามันเป็นตะเกียงน้ำมันที่ไม่มีวันดับไม่ว่าจะทำยังไงก็ตาม แต่ถ้ามีใครดับตะเกียงนี้ได้จะได้รับเงินรางวัลหนึ่งล้านหยวน”

“จริงเหรอ ในโลกนี้จะมีเรื่องที่ได้เงินง่ายๆแบบนั้นได้ยังไงกัน”

“เรื่องจริง และไม่มีทางที่กลุ่มทุนห้วงเวลาจะคดโกงจากคำพูดของพวกเขาอย่างแน่นอน เพราะว่าเมื่อเทียบกับชื่อเสียงของพวกเขาแล้วนั้น เงินหนึ่งล้านนี้ไม่ได้ต่างอะไรจากเศษเงินของพวกเขา มีคนบอกว่าให้ใช้อะไรก็ได้ขขอแค่ดับไฟได้ก็พอ แม้แต่น้อยทั้งอ่างก็ไม่ว่ากัน”


“จรึงรึ แล้วคนพวกนี้มัวแต่ทำอะไรกันอยู่เนี่ย แค่หาน้ำมาดับไฟก็จบแล้ว ฉันจะเข้าแถวแล้วจัดการเรื่องนี้เอง เงินล้านนั่นต้องเป็นของฉัน”

ในตอนนี้เองก็ได้เริ่มมีคนที่ผ่านไปมาได้ยินเรื่องเงินล้านจากการดับไฟนี้เข้าจึงทำให้อยากที่จะลองดูบ้าง พร้อมกับความคิดที่ว่าคนที่ลองมาก่อนหน้านี้มัวแต่ทำบ้าอะไรกันอยู่ พวกเขาไม่อยากได้เงินล้านไปใช้กันฟรีๆรึไงกัน

แต่ในที่สุดแล้วเมื่อถึงคราวตัวเองลองดูบ้าง พวกเขาก็พบว่าวิธีการที่มากมายหลากหลายล้วนแล้วแต่ที่จะคิดออกนั้นก็ไม่ได้ทำให้เปลวไฟด้วงน้อยๆในตะเกียงดับลงได้แต่อย่างใด

ในตอนนี้เองเป็นอีกครั้งที่คนชุดๆแรกๆนั้นถอดใจแล้วเดินออกจากแถวไปในที่สุด แต่พวกเขาบางคนก็ยังไม่ลืมที่จะถ่ายวิดีโอบางช่วงนี้ส่งขึ้นไปบนโลกอินเตอร์เน็ต ด้วยความหวังอันน้อยนิดว่าจะมีคนคิดหาหนทางที่จะช่วยพวกเขาได้


“ไม่ร้ว่าวิดีโอพวกนี้ของจริงรึเปล่าเนี่ย ไฟในตะเกียงน้ำมันที่โดนน้ำก็ยังไม่ดับแบบนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไป ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งแป้ง หรือเครื่องดับเพลิงเองก็ยังทำอะไรไฟนั่นไม่ได้แม้แต่น้อยเลยด้วยซ้ำ”

“ฉันว่าวิดีโอนี่ของจริงนะ ในเมืองกลุ่มทุนห้วงเวลาออกตัวมาเองเลยว่าตะเกียงน้ำมันนี่คือผลงานวิจัยล่าสุดของพวกเขาแบบนี้แน่นอนว่าย่อมไม่ธรรมดา แต่ฉันก็ไม่รู้จริงๆว่าพวกเขาทำได้ยังไงกัน นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

ฉันว่าฉันเองก็จะไปลองดูบ้างเหมือนกันนะเพราะว่าที่ๆฉันอยู่ไม่ได้ไกลจากโรงแรมนานาชาติหลงเต็งเลย ฉันอาจจะเป็นคนหนึ่งที่ได้รับเงินล้านนี้มาก็ได้”

“ฉันก็เข้าใจสิ่งที่นายคิดนะ แต่ว่าลองนึกดูสิว่าคนตั้งมากมายขนาดนั้นก็ยังพลาดเลยนะ นี่แสดงให้เห็นว่าไฟในตะเกียงนั้นไม่ง่ายที่จะดับอย่างแน่นอน

ก่อนที่นายจะไปฉันว่านายหาข้อมูลก่อนดีกว่า ดั่งคำที่เขาว่าไว้ว่าตัดไม้ให้ลับคมก่อน เมื่อมั่นใจว่าคมพอแล้วพวกเราค่อยตัดมันลงมา”


ในตอนนี้เองที่คนในชาติจีนที่รู้เรื่องต่างก็ทำการค้นคว้าความรู้เกี่ยวกับการดับไฟกันอย่างพร้อมเพรียง และในขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้ก็ได้ทำให้โรงแรมนานาชาติหลงเต็ง กลับมามีชีวิตชีวาอย่างที่สุด แม้แต่ร้านต่างๆในโรงแรมที่ก่อนหน้านี้มีลูกค้าแค่พอนับหัวได้ก็ยังได้รับผลทำให้มีลูกค้าเข้าร้านไปอย่างมากมาย เรียกได้ว่าเพียงงานนี้งานเดียวก็ทำให้เกิดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลได้เลย


ณ ห้องงานเลี้ยงที่ชั้นสองของโรงแรม เพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งเองที่เห็นผู้คนที่เข้ามาท้าทายเปลวไฟดวงน้อยๆนี้มากขึ้นเรื่อยๆก็ทำได้แต่นิ่งๆไปเท่านั้น

ในตอนแรกพวกเขาคิดว่างานอย่างการแถลงผลงานวิจัยนี้เป็นสิ่งที่อยากจะมีคนเข้ามาสนใจ แต่ในตอนนี้กลายเป็นว่ามันไม่เป็นเพียงงานที่ได้รับความนิยม แต่มันกลับร้อนแรงราวกับว่าทำให้โรงแรมนี้แตกได้จากผู้คนที่กำลังหลั่งไหลมา และหากเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆล่ะก็บอกได้เลยว่างานนี้จะกลายเป็นงานระดับชาติได้โดยไม่นานย่างแน่นอน

ตราบใดที่ไฟในตะเกียงยังติดอยู่ล่ะก็ พวกเขาบอกได้เลยว่าจะมีคนมาร่วมทดลองอย่างไม่ขาดสายอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะว่าเงินรางวัลที่ตั้งเอาไว้กว่าล้านหยวนนี้มันช่างล่อตาล่อใจอย่างมาก อีกทั้งคนที่เข้าร่วม ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วม ในเมื่อมีโอกาสได้เงินล้านมาฟรีๆแบบนี้ มีหรือที่จะไม่มีคนอยากลองดู ถ้าจะมีก็คงเป็นคนที่รวยอยู่แล้ว หรือไม่ก็เป็นคนที่ไม่คิดว่าเปลวไฟนี้จะดับได้แน่ๆแล้วเท่านั้น


“คลื่นมหาชนในครั้งนี้ช่างใหญ่โตเสียจริงๆ ตราบใดที่งานนี้ยังไม่ถูกบอกเลิกล่ะก็มีหวังคนก็ยังไม่ยอมเลิกที่จะลองอย่างแน่นอน

การเผยแพร่ผลงานวิจัยนี้ช่างได้รับผลตอบรับอย่างล้นหลามจนเรียกได้ว่าน่ามหัศจรรย์อย่างแท้จริง….ช่างเป็นเงินล้านที่น่ากลัวยิ่งนัก” ฉือเล่ยพูดออกมา

“แต่ฉันว่านะ ดูจากท่าทีของอาจิ้งแล้วยอกได้เลยว่าเขานั้นไม่มีทางจัดงานนี้แค่วันเดียวอย่างแน่นอน” หลินฮ่าวพูดออกมาในขณะที่หันไปมองซูจิ้งที่กำลังยิ้มกว้างราวกับจะฉีกถึงใบหูอยู่แล้ว


“พี่สาม พี่คิดจะจัดงานนี้ถึงวันไหนเหรอ ผมเองดูในอินเตอร์เน็ตแล้วนะ เห็นว่าตอนนี้พวกนักผจญเพลิงมีท่าทีสนใจจะเข้าร่วมด้วย

นอกจากนั้นเหล่านักวิยาศาสตร์อีกตั้งหลายคนก็เริ่มที่จะสนใจและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กันแล้วและต่างเชื่อมั่นกันว่าจะเป็นคนดับไฟนี้ได้ และต่างบอกว่าพวกเขานั้นจะเปิดเผยวิธีการที่ทำให้ไฟในตะเกียงนี้ไม่ยอมดับลงให้ดู” เสี่ยวรุยพูดออกมา

ที่เสี่ยวรุยถามออกมาอย่างนี้นั้นเป็นเพราะเขาเองเป็นกังวลแทนซูจิ้ง ถึงแม้ว่าเปลวไฟนี้กับคนธรรมดาแล้วอาจจะดับไม่ได้ก็จริง


แต่กับผู้เชี่ยวชาญหรือแม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองนั้น นี่ก็ถือได้ว่าเป็นอีกระดับหนึ่งเลยทีเดียว นั่นก็เพราะทั้งสองสายอาชีพนี้สมควรที่จะรู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับไฟได้ดียิ่งกว่าใคร

และเขาเองก็อดจะหวั่นใจไม่ด่าคนเหล่านี้จะหาวิธีดับไฟนี้จนได้และจะทำให้ซูจิ้งต้องขายหน้าขึ้นมา

“ก็ว่าจะปีนึงอ่ะนะ” ซูจิ้งตอบมาทันทีด้วยรอยยิ้ม

“ห้ะ หนึ่งปีเหรอ” เสี่ยวรุยนั้นตอบรับท่าทีของซูจิ้งออกมาอย่างอึ้งๆ กับคนอื่นอย่างชิเล่ย หลินฮ่าว หวังหยาน เฉียนหยินหนิง และคนอื่นๆที่อยู่ในห้อง เมื่อได้ยินคำตอบของซูจิ้งนั้น ก็อดที่จะหันควับมองกันเป็นตาเดียวไม่ได้ พลางนึกสงสัยว่าเมื่อกี้ซูจิ้งพูดออกมาว่าหนึ่งปีจริงๆเหรอ

นี่เขารีบพูดออกมาจนลิ้นพันกันหรือว่าเขามั่นใจในตะเกียงนี้มากไปรีเปล่า


GGS:บทที่ 1093 หน่วยดับเพลิงก็ยัง…


 


“ปีนึง อาจิ้ง นี่เป็นเรื่องตลกระดับประเทศรึไงกัน” หลินฮ่าวถามออกมาด้วยท่าทีฉงนสนเท่ห์แบบสุดๆ ถึงแม้ว่าไฟในตะเกียงนี้จะสุดยอดมากพอที่จะต้านทานวิธีการมากมายจนไม่ได้ดับก็ตาม


แต่ตอนนี้ทั้งเหล่านักผจญเพลิงและนักวิทยาศาสตร์ต่างก็สนใจแล้วนะ ตะเกียงนี่จะทำได้อักสักเท่าไหร่กัน ยิ่งปล่อยไว้นานก็ยิ่งมีโอกาสจะขายหน้านา….แค่วันเดียวนี่ฉันก็ว่านานพอแล้วล่ะ


อีกอย่าง น้ำมันในตะเกียงนั่นก็ช่างน้อยนิดนัก มองยังไงก็ไม่น่าจะพ้นวันเลยนะ แต่ปีนึงนี่ฉันว่าไม่ไหวหรอก


“พี่สาม ตอนพูดลิ้นพี่พันกันใช่รึเปล่าอ่ะ” เสี่ยวรุยเองอดไม่ได้ที่จะถามย้ำออกมาอีกครั้ง


“ไม่ได้พันหรอกน่า ฉันบอกว่าปีนึงจริงๆ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“นี่แฟนของเธอเอาจริงเหรอเนี่ย” แทนที่จะถามซูจิ้ง เฉียนหยินหนิงเลือกที่จะถามฉือชิงแทน


“เขาจริงจังในคำพูดเสมอแหล่ะ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตะเกียงนั่นเลยนะ” ฉือชิงพูดออกมาในขณะที่มองไปยังซูจิ้งด้วยรอยยิ้ม


 


จากความเข้าใจของเธอที่มีต่อซูจิ้งนั้น เมื่อเห็นท่าทีของเขาแล้วบอกได้เลยว่าเขานั้นพูดจริงอย่างจริงจังทุกประการ เพียงแต่ว่ามันดูน่าเหลือเชื่อเกินไปก็เท่านั้นเอง


“ถ้าอยู่ได้ถึงปีก็ดีเลยนะสิ ลานกิจกรรมของที่นี่จะได้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวระดับโลกได้แน่ๆ” เจียงหวางพูดออกมา


เพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งเองในตอนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นหันไปคุยกันกินอาหารเที่ยงกันไปจนในที่สุดมื้อเที่ยงเสร็จสิ้นแต่ลานกิจกรรมก็ยังคงมีผู้คนคับคั่งกันอยู่และยังคงพยายามท้าทายดวงไฟในตะเกียงน้อยๆอยู่เนืองๆ


แต่ซูจิ้งนั้นไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นอีกต่อไป ต่อกลับเชิญชวนทุกคนให้ไปยังชายหาดของเมืองฉิงหยุนกันจะสนุกกว่า


ถึงแม้พวกเพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งจะตัดจากการดับไฟนี้แล้วทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไรก็ตาม แต่เขาเองก็ยังอยากเห็นว่าใครมีความสามารถพอที่จะดับไฟในตะเกียงนี้ลงได้เช่นเดียวกัน


แต่ด้วยการที่ครั้งนี้ หัวเรือได้กลายเป็นหน้าที่ของซูจิ้งไปแล้ว พวกเขาจึงเลือกที่จะตามไปแต่โดยดี อีกอย่าง พวกเขาก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าจะรู้ผล


 


แต่ในตอนนั้นเอง ในขณะที่ทุกคนกำลังจะลงบันไดเพื่อเตรียมตัวที่จะออกไป ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้เห็นนักผจญเพลิงสามคนได้ขอทางเข้ามา


เมื่อมองไปยังต้นทางที่ทั้งสามเข้ามาก็ได้เห็นรถดับเพลิงจอดอยู่ที่เกือบสุดสายตา โดยทั้งสามเดินมาเพื่อขอให้เปิดทางให้ และเหล่าผู้ชมในงานแถลงก็ได้เปิดทางให้แต่โดยดี และในตอนนั้นเองก็ได้มีนักผจญเพลิงถือสายดับเพลิงเข้ามากลางงาน


“แม่จ้าววววว นักดับเพลิงมาจริงๆด้วย”


“รอเดี๋ยวก่อนได้รึเปล่า ขอแค่ตอนที่นักดับเพลิงดับไฟในตะเกียงนั่นแล้วก็ได้”


“ใช่แล้วล่ะ ฉากนี้ไม่ได้เห็นกันบ่อยๆหรอกนะ”


เสี่ยวรุย ฉือเล่ย หลินฮ่าว และเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆเองในตอนนี้ต่างก็ยื้อซูจิ้งไว้พร้อมๆกันในทันที เพราะว่าเขาอยากรู้จริงๆว่าผลจะออกมาเป็นยังไงก่อนที่จะจากไป แม้แต่เหล่าคนที่มาร่วมงานแถลงเองในตอนนี้ก็ดูตื่นเต้นกันไปหมด


 


“น่าสนุกจริงๆ ไหนดูสิว่าแค่ไฟในตะเกียงดวงน้อยๆนี่จะสู้กับน้ำจากสายดับเพลิงได้รึเปล่า”


“นี่มันก็มากเกินไปจริงๆนะเนี่ย พวกเขาใช้สายดับเพลิงตั้งสามสายเลยนะ”


“โฮ่ ฉันก็นึกว่านักผจญเพลิงจะต้องคอยเฝ้าระวังเพื่อเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายซะอีก ไม่คิดเลยว่าจะออกมาร่วมสนุกแบบนี้ได้”


ในตอนนี้เอง นักผจญเพลิงเจ็ดถึงแปดคนในชุดผจญเพลิงเต็มพิกัดได้เดินเข้ามา ตามมาด้วยชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มาในชุดกึ่งเครื่องแบบ เพราะว่าเขานั้นอยากให้คนที่เห็นจดจำเขาได้ว่าเขาคือใคร


เขาได้เดินไปยังพิธีกรสาวก่อนที่จะชกไมค์จากมีเธอพร้อมพูดอธิบายสถานการณ์ออกมา


กลายเป็นว่านักผจญเพลิงชุดนี้ไม่ได้โดดงานมาร่วมสนุกแต่อย่างใด พวกเขานั้นเป็นเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในระหว่างการฝึก และพวกเขาในตอนนี้กำลังตระเวนฝึกลงภาคสนามจริงเท่านั้นเอง


แน่นอนว่าเครื่องฉีดน้ำทั้งสามเครื่องนี้เองก็เป็นตัวสำรองที่มีแรงน้ำต่ำและเหมาะสมกับการฝึกซ้อมเท่านั้น และที่มาในวันนี้นั่นก็เพราะพวกเขานั้นเห็นว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ฝึกซ้อมในสนามจริงๆและได้ฉีดน้ำจริงๆโดยไม่มีคนที่เดือดร้อนอะไรมาก


นั่นก็เพราะว่าหากเป็นฝึกซ้อมปกตินั้น พวกเขาจะไม่มีทางได้รับความรู้สึกจริงๆที่ว่าต้องเจอเพลิงที่ไม่มีทางดับได้แม้แต่น้อย ไหนจะผู้คนที่พลุกพล่านประดุจดั่งเมื่อต้องผจญเพลิงในสถานการณ์จริงแบบนี้ไม่มีอะไรเหมาะสมไปมากกว่าที่นี่อีกแล้ว


 


เมื่อพูดจบ นักผจญเพลิงในชุดเต็มเครื่องแบบก็ได้เคลื่อนไหวในทันที โดยพวกเขาได้เริ่มกระโดดลงมาจากรถ พร้อมทั้งนำม้วนสายฉีดน้ำดับเพลิงออกมาวาง หลังจากนั้นก็ได้ประกอบหัวสายเข้าไปแล้วช่วยกันลากสายดับเพลิงไปยังที่หน้าตะเกียงในทันที ก่อนที่พวกเขาจะลากสายมาไว้เพื่ออีกหน่อยแล้วนำหัวฉีดน้ำดับเพลิงมาวางไว้ในตำแหน่งที่พอเหมาะ ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะอยู่ค่อนข้างห่าง แต่แน่นอนว่าเป้าหมายก็คือตะเกียงน้ำมันนั่น


“ขอลองดูหน่อยแล้วกันว่าเจอน้ำแล้วไม่ดับจริงรึเปล่า”


“แรงดันน้ำจากหัวฉีดน้ำดับเพลิงนี่มันแรงมากเลยนะ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เทน้ำลงไปหนึ่งถังแล้วยังไม่ดับก็จริง แต่ด้วยแรงดันน้ำขนาดนี้ อย่าว่าแต่ไฟเลย แม้แต่ตะเกียงก็ไม่เหลือแน่ๆ”


 


ทุกคนในตอนนี้ต่างก็พูดคุยเรื่องนี้กันไปทั่ว ในขณะเดียวกัน นักผจญเพลิงในตอนนี้พวกเขาได้ทำการดึงคันโยกที่หัวสายเรียบร้อยแล้ว


น้ำแรงดันสูง ได้ถูกฉีดตรงไปยังไส้ตะเกียงโดยตรง และด้วยการที่พวกเขานั้นได้ยืนอยู่ระยะที่ค่อนข้างห่าง(ตามหลักการฝึกซ้อม) ทำให้ผู้คนโดยรอบสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่สิต้องบอกว่าโดนฉีดไปด้วยถึงจะถูก


 


ฉากนี้เองก็ทำให้ทุกคนถึงกับตกใจจนเหวอออกมาในทันที แม้แต่ซูจิ้งเองก็ไม่เว้น เขานั้นคิดเพียงว่าจะมีคนมาสาดน้ำใส่ตะเกียงนี่ก็เท่านั้น ไม่คิดว่าพวกนักผจญเพลิงจะบ้าจี้กับเขาไปด้วยขนาดนี้


ถึงแม้ว่าตะเกียงนี้จะค่อนข้างมีความพิเศษในตัวครงที่ก้นของมันนั้นติดหนึบเหนี่ยวแน่นแบบสุดๆก็ตาม


แต่เมื่อต้องเจอกับปืนฉีดน้ำแรงดันสูงขนาดนี้เขาก็หวั่นใจว่าต่อให้หนึบยังไงก็มีแต่พื้นผิวที่มันเกาะด้วยมีหวังต้องโดนดึงหลุดออกไปทั้งยวงแหงๆ


หากว่านำมันในตะเกียงนั้นหกออกไปล่ะก็ต้องกลายเป็นปัญหาแน่ๆ เพราะว่ามันมีโอกาสที่จะโดนไฟจากไส้ตะเกียงและลุกลามแบบไม่มีวันจบสิ้นอย่างแน่นอน


ด้วยการที่น้ำนั้นถูกฉีดด้วยแรงดันสูงทำให้มันท่วมไส้ตะเกียงจนมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสายน้ำ ขนาดที่ว่าทุกคนนั้นถ่างตามองจนไม่อยากจะกระพริมด้วยซ้ำ แต่ก็ยังไม่ออกว่าไส้ตะเกียงอยู่ตรงไหนกันแน่


“จบแล้วล่ะ ไฟบนตะเกียงน่าจะดับเรียบร้อยแล้ว”


“หืม โดนน้ำพัดขนาดนี้นายเห็นด้วยเหรอว่ามันดับไปแล้วจริงๆ”


“ต่อให้ไม่เห็นแต่มันก็ควรไปอย่างนั้นนี่นา ด้วยน้ำแรงดันสูงขนาดนั้นฉันไม่เชื่อหรอกว่าไฟในตะเกียงน้ำมันนั่นจะลุกต่อไปได้น่ะ”


 


หลังจากฉีดน้ำไปสักพักใหญ่ เมื่อนักผจญเพลิงผู้มีหน้าที่คุมหัวดับเพลิงมั่นใจแล้วว่าไฟดับดีแล้ว เขาก็ได้ดันคันโยกหัวน้ำในทันที


ความจริงแล้วการที่พวกเขาต้องมาที่นี่นั้นค่อนข้างรู้สึกกดดันเลยทีเดียว นั่นก็เพราะว่าพวกเขานั้นล้วนแล้วแต่จะอยู่ในขั้นฝึกงานทุกคนไป ถึงจะบอกว่านี่เป็นการฝึกซ้อม


แต่ด้วยการที่พวกเขาต้องมาเล่นใหญ่จัดเต็มเพียงเพื่อดับไฟในตะเกียงแบบนี้ก็ทำให้พวกเขาต่างก็รู้สึกสาบแช่งออกมาไม่ได้


อย่างไรก็ตาม เมื่อน้ำจากหัวฉีดน้ำดับเพลิงค่อยๆอ่อยลงจนหยุดไปนั้น ในตอนนี้ทุกคนสามารถที่จะเห็นได้แล้วว่าไฟของตะเกียงน้ำมันนี้ดับลงแล้วหรือไม่


 


แต่ตามสามัญสำนึกทั่วๆไปแล้ว ไม่ว่าใครที่เห็นต่างก็ต้องคิดว่าไฟจากตะเกียงยังไงก็ดับไปแล้วแน่ๆ


แต่อย่างไม่คาดคิด ถึงแม้ว่าในตอนนี้พวกเขาจะเห็นเพียงสีส้มดวงน้อยๆที่อยู่ในน้ำก็ตาม เพียงไม่นานสีส้มดวงน้อยๆก็ค่อยกลับลุกโชนจนเห็นเป็นเปลวเพลิงอีกครั้ง ทั้งๆที่ยังมีน้ำท่วมไส้ตะเกียงอยู่


“โอ้…มาย…โก๊ชชชชชชช มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ”


“มันต้องพลาดเป้าแน่ๆ ทำไมพวกเขาไม่เข้าไปฉีดใกล้ๆกันล่ะ”


“ทำไมยังไม่ดับอีกล่ะ ไฟผีงั้นเหรอ”


เหนือกว่าผู้ชมเหล่านี้ก็ยังมีนักผจญเพลิงที่ต่างนิ่งอึ้งไปตามๆกัน พร้อมทั้งที่เริ่มรู้สึกว่าความคิดของพวกเขานั้นช่างอ่อนด้อยไปเลยจริงๆ และบทเรียนจากการที่ได้ดูถูกดวงไฟน้อยๆดวงนี้ ได้เป็นบทเรียนสอนใจพวกเขาไปจนวันตาย


ซูจิ้งเองในตอนนี้ที่เห็นก็อดจะใจชื้นขึ้นมาไม่ได้ นั่นก็เพราะไฟตะเกียงนี้นั้นยังคงลุกโชนอยู่เช่นเดิม และที่ดีที่สุดก็คือ น้ำมันในตะเกียงยังคงอยู่เท่าเดิมไม่หายไปไหน


ในขณะที่ทุกคนกำลังอึ้งๆกันนั้น นักผจญเพลิงเองก็ดูเหมือนจะยังไม่ยอมแพ้ พวกเขาได้ลองฉีดน้ำต่ออีกสามสิบวินาที แต่ผลนั้นก็ยังคงเหมือนเดิม จนในที่สุด คนที่มีหน้าที่ถือสายนั้น ก็ได้ทำการวอร์ไปหารถดับเพลิง รายงานสถานการณ์ พร้อมทั้งแจ้งให้เตรียมน้ำยาดับเพลิงอีกสองชุดในทันที


เอาจริงๆพวกเขาเองก็ไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้จะต้องใช้น้ำยาพิเศษอีกสองชุดนี้มาดับเพลิงจริงๆนอกจากการทดลองฉีดเพราะหมดอายุเลยสักนิด


ไม่นานถังน้ำยาพิเศษก็ได้ถูกติดตั้งไปยังรถดับเพลิง ถังหนึ่งคือโฟมดับเพลิง และอีกถังหนึ่งก็คือผงดับเพลิง


ในการใช้โฟมดับเพลิงนั้นปกติแล้วรถดับเพลิงที่จะฉีดโฟมดับเพลิงนี้จำเป็นต้องติดอุปกรณ์เสริมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปั๊มน้ำ ถังน้ำ ถังโฟม เครื่องตีโฟม หัวฉีดโฟม และอุปกรณ์อื่นๆอีกมากมาย


 


นอกจากนั้นโฟมนี้สามารถดับเพลิงได้แม้จะเป็นการโรยลงมาจากอากาศก็ตาม


โฟมเหล่านี้จะมีหน้าที่ในการดึงดูดออกซิเจนออกมาจากอากาศและช่วยในการลดอุณหภูมิ นอกจากนั้นยังไร้ควัน จึงเหมาะที่สุดในการดับไฟที่เกิดจากน้ำมัน และผลิตภัณฑ์ประเภทปิโตรเคมี


และด้วยการที่โฟมนี้สามารถผสมน้ำได้จึงเป็นปกติที่รถดับเพลิงที่อยู่ใจเขตนิคมอุตสาหกรรมนั้นต้องมีทุกคัน


สำหรับผงดับเพลิงนั้น ก็คือผงที่ถูกอัดลงไปในถังพิเศษพร้อมทั้งมีอุปกรณ์จำเพาะในการใช้งาน


ผงดับเพลิงนี้โดยส่วนใหญ่แล้วใช้ในการป้องกันการลุกลามของไฟและใช้ดับไฟในบริเวณที่เข้าไปไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่นท่อลำเลียงสารเคมีที่มีไฟลุกไหม้อยู่ภายในท่อ แน่นอนว่านี่เองก็เป็นอีกหนึ่งสารดับเพลิงที่รถดับเพลิงในเขตโรงงานอุตสาหกรรมต้องมี


 


อย่างไรก็ตาม หลังจากที่น้ำยาทั้งสองชนิด ได้ฉีดไปยังเปลวไฟในตะเกียงแล้วก็ตาม แต่ยังไงซะ เปลวไฟน้อยๆก็ยังลุกไหม้ และเผาไหม้ทุกสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการลุกไหม้ของมันให้มอดไหม้จนหมดอยู่ดี


GGS:บทที่ 1094 พิฆาต


 


“พระเจ้า…. นี่ขนาดน้ำยาดับเพลิงยังดับไม่ลงอีกเหรอ”


“นักผจญเพลิงน่าจะไม่หวังจริงๆ”


“นี่มันไฟผีชัดๆ”


หลังจากได้เห็นฉากที่นักผจญเพลิงได้ใช้วิธีการดับเพลิงของพวกเขาทั้งสามรูปแบบในการดับตะเกียงแต่ก็ยังไม่สามารถดับได้


นี่ทำให้เหล่านักผจญเพลิง รวมถึงผู้คนภายในลานกิจกรรมของโรงแรมนานาชาติหลงเต็งต่างก็อึ้งทึ่งจนพูดอะไรกันไม่ออก


“พี่สาม ตะเกียงน้ำมันของพี่นี่มันตะเกียงอะไรกันแน่” เสี่ยวรุยถามออกมาในขณะที่มองไปยังเปลวฟังอย่างตกตะลึง พร้อมทั้งคนอื่นๆรวมถึงหลินฮ่าว ฉือเล่ย เฉียนหยินหนิง และหวังหยานก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน


ตะเกียงนี้ขนาดหน่วยดับเพลิงก็ยังดับไม่ลงเลย นี่มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว


“นี่นายถึงกับกล้าถามความลับจากสุดยอดงานวิจัยของกลุ่มทุนห้วงเวลาของฉันเลยเหรอเนี่ย” ซูจิ้งเองแน่นอนว่าเขานั้นสามารถให้เหตุผลดีๆที่จะไม่บอกความจริงได้อย่างไม่ยากเย็นนัก


ในตอนนี้เอง เหล่านักผจญเพลิงนั้นพวกเขาดูเหมือนจะยังไม่ยอมแพ้แต่อย่างใด พวกเขานั้นยังคงเชื่อมั่นว่าเงินรางวัลล้านหยวนนี่ต้องเป็นของพวกเขาอย่างแน่นอน แต่ไม่ว่าพวกเขาจะลองวิธีการใดก็ตาม พวกเขาต่างก็ล้มเหลวไปจนหมด


 


จนทำให้สองผู้ควบคุมการฝึกในครั้งนี้อดจะนึกไปไม่ได้ว่า ฝีมือของพวกเขานั้นไม่ได้แย่อะไรเลยสักนิด ถ้าจะผิดก็ตรงที่อยากจะมาดับไฟผีบ้านี่เท่านั้น


จนในที่สุด เหล่านักดับเพลิงก็ไม่เหลืออะไรที่พวกเขาจะลองได้อีกต่อไป พวกเขานั้นได้ตั้งท่า รายงานผลการดับเพลิง และจากไปตามวิถีปฏิบัติด้วยท่าทางเหนื่อยจิต


แต่ยังไม่ทันที่ควันรถของรถดับเพลิงจะฟุ้งกระจายหายไป ตอนนั้นเองก็ได้มีรถคันหนึ่งเข้ามาจอดแทนที พร้อมทั้งมีคนสี่คนเดินลงมาจากรถคันนั้น


คนทั้งสี่ได้เดินไปเปิดฝากระโปรงหลัง ก่อนที่พวกเขาจะนำกล่องใบใหญ่ออกมา หลังจากพวกเขาได้เปิดออก ข้างในนั้นก็คือเครื่องอะไรบางอย่างที่มีใบพัดและถังเหล็ก


พวกเขาได้ต่อถังเหล็กเข้ากับท่อของเครื่องอะไรบางอย่างนั่นแล้วเปิดเครื่อง ผลก็มีได้มีไอเย็นออกมาจากถังเหล็ก แม้จะดูจากระยะไกลแต่ก็บอกได้เลยว่ามันต้องเย็นเจี๊ยบแน่ๆ


“นั่นมันอะไรกัน น้ำใส่น้ำแข็งเหรอ”


“ทำไมถึงมีอากาศเย็นถึงขั้นเป็นไอออกจากถังนั่นได้ล่ะ”


“ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด นั่นน่าจะเป็นไนโตรเจนเหลวนะ”


“อะไรคือไนโตรเจนเหลวเหรอ”


“หากพูดถึงไนโตรเจนเหลวนั้นก็ตรงตามตัวนั่นแหล่ะ มันคือไนโตรเจนที่อยู่ในรูปของเหลวเมื่ออยู่ในแรงกดอากาศธรรมดาทั่วไป อุณหภูมิของตัวมันเองนั้นอยู่ที่ – 196 องศาเซลเซียส”


“ห้ะ นั่นมันบ้ามากเลยนะ ถ้าใช้ของที่เย็นสุดขั้วแบบนั้นไม่ใช่ว่าแม้แต่เปลวไฟก็ต้องแข็งในทันทีเลยไม่ใช่เหรอ ฉันเคยเห็นคนที่นำมันมาทดลองด้วยนะ พวกเขาใช้ยางลบที่นุ่มมากๆใส่เข้าไปแค่ไม่กี่วิ ยางลบนั่นก็แข็งจนเอาไม้บรรทัดมาเคาะเบาๆก็ยังละเอียดเป็นผงเลย”


 


“มันก็ไม่ได้ถึงกับขนาดนั้นหรอกน่า ฉันเคยเห็นนะว่ามีคนลองจุ่มหน้าตัวเองลงในไนโตรเจนเหลวแต่ก็ไม่เป็นไรเลย เพราะว่าไนโตรเจนเหลวนั้นจะไม่ส่งผลอะไรต่อพื้นผิวของวัตถุที่มีความร้อน


พวกมันจะรวมตัวกันเป็นก้อนและวิ่งไปตามพื้นผิวนั้นเฉยๆ เห็นว่าเรียกว่าเรเดนฟอซ์ท(Leiden frost)นะ


รู้สึกว่าจะเป็นเพราะปกติแล้วของเหลวนั้นไม่อยากสูญเสียไม่อยากจะสูญเสียความชื้นให้กับวัตถุที่มีอุณหภูมิสูงกว่าตัวเองสูงมากๆจึงได้เกาะกลุ่มกันเป็นหยด


แล้ววิ่งไปบนพื้นผิวเพื่อหาทางหนีออกไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง แน่นอนว่าด้วยการที่ไนโตรเจนเหลวนั้นจากมีอุณหภูมิติดลบแบบสุดขั้วแล้ว พวกมันยังมีความชื้นสูงแบบสุดๆ มันจึงเกิดปฏิกิริยานี้ขึ้นมา


แน่นอนว่าหากไนโตรเจนเหลวนี้ได้เจอกับความร้อนของเปลวไฟแล้วนั้นก็สมควรจะปฏิกิริยาไม่ต่างกันนัก แต่นั่นก็สมควรจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นเท่านั้น


 


หากโถมฉีดใส่เข้าไปเรื่อยๆ ยังไงซะความเย็นขนาดนั้นต้องค่อยๆลดอุณหภูมิในตะเกียงลงอยู่แล้ว และเมื่อถึงเวลานั้นเอง เปลวไฟนี้ก็สมควรจะดับลงไปในที่สุด แน่นอนว่าถ้าไนโตรเจนเหลวหนึ่งถังโดนลาดลงไปล่ะก็ แม้แต่ตะเกียงก็ยังตั้งแตกละเอียดยิบ”


ผู้คนโดยรอบต่างก็พูดกันถึงเรื่องสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นเมื่อไนโตรเจนสัมผัสกับเปลวไฟ แน่นอนว่าต้องมีใครหลายๆคนที่รู้จักไนโตรเจนเหลวเป็นอย่างดี เพราะว่าไนโตรเจนเหลวนั้นถูกใช้บ่อยๆในงานด้านวิทยาศาสตร์


ตอนนี้ทุกคนต่างก็คิดว่าไฟในตะเกียงในครั้งจะต้องดับลงอย่างแน่นอน บางคนยังคิดด้วยซ้ำว่าการที่ต้องใช้ไนโตรเจนเหลวมาดับไฟในตะเกียงแบบนี้นั้นไม่ได้ต่างจากเอานักสู้มาพิฆาตเด็กน้อยเลยแม้แต่น้อย คราวนี้ยังไงซะไปในตะเกียงจะต้องดับลงอย่างแน่นอน


 


“แม่เจ้า แม้แต่ไนโตรเจนเหลวยังขนกันมาได้ง่ายๆแบบนี้ อย่าบอกนะว่าคนพวกนี้คือเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่บอกว่าจะพิชิตเปลวไฟนี้น่ะ” เสี่ยวรุยพูดออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย


“ก็อาจจะยังไม่แน่นะ เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ว่าใครก็รู้จักและหามันมาได้อย่างไม่ยอกเย็น…..ว่าแต่….งวดนี้ไฟนั่นคงต้องดับลงแล้วล่ะมั้งเนี่ย” ชิเล่ยพูดออกมา


“อาจิ้ง ฉันว่านายต้องไม่คิดแน่ๆว่าจะมีคนนำไนโตรเจนเหลวมาใช้ดับไฟแบบนี้ ฉันว่าต่อให้ไฟนั่นจะเจ๋งขนาดไหนก็คงจะอยู่ไม่ถึงปีแล้วล่ะ ไม่มีทางอย่างแน่นอน” หลินฮ่าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


หวังหยาน เฉียนหยินหนิง เจียงหวาง ติงบิน และเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆที่ได้ยินต่างก็คิดเช่นเดียวกัน ทุกคนต่างหันไปมองซูจิ้งด้วยรอยยิ้มน้อยๆ


แต่เมื่อทุกคนได้เห็นว่าซูจิ้งนั้นยิ้มกว้างด้วยสีหน้าสบายๆทำให้ทุกคนต้องนิ่งอึ้งไปในทันที พลางคิดขึ้นมาว่าหรือว่าซูจิ้งนั้นจะเชื่อมั่นในเปลวไฟของเขาว่าสามารถต้านทานไนโตรเหลวได้จริงๆ


 


ในลานกิจกรรม ตอนนี้สองในสี่คนนั้นได้ช่วยกันยกไนโตรเจนเหลวไปยังตะเกียง หลังจากไหนพวกเขาก็ช่วยกันเทถังน้ำที่เต็มไปด้วยไนโตรเจนเหลวลงไปยังตะเกียงโดยตรง


ในตอนนั้นเอง ก็ได้มีไอเย็นพุ่งขึ้นมาจากช่องทางที่พวกเขาเทไนโตรเจนลงไป ทันทีที่ไนโตรเจนลงพื้นมันก็กระเด็นกระดอนกระจายไปทั่วจนทำให้ทุกคนนั้นได้เห็นฉากที่ราวกับว่าตัวเองกำลังอยู่ท่ามกลางก้อนเมฆเลยทีเดียว


หลังจากที่ทั้งสองคนได้เทไนโตรเจนเหลวลงไปครึ่งถังแล้ว พวกเขาก็ได้หยุดมือลง ทุกคนต่างก็คิดว่าในตอนนี้ไฟตะเกียงดวงน้อยนั้นสมควรจะดับลงเรียบร้อยแล้ว


แต่หลังจากที่เมฆหมอกภายในที่กั้นลมหายไปแล้วทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงออกมา นั่นก็เพราะว่าเปลวไฟดวงน้อยนั้นยังลุกไหม้อยู่อย่างไม่สั่นคลอน


ทุกคนที่คอยดูอยู่โดยรอบในตอนนี้ต่างก็พูดอะไรไม่ออก หลินฮ่าว ฉือเล่ย เสี่ยวรุย หวังหยาน เฉียนหยินหนิง และเพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งคนอื่นๆที่ยังอยู่สังเกตการอยู่ที่ชั้นสองเองก็มีสภาพลิ้นหดเกร็งและพูดอะไรไม่ออกเช่นเดียวกัน


 


“เป็น…ไป…ไม่…ได้” ชายหนุ่มทั้งสี่ที่นำไนโตรเจนเหลวออกมานั้นต่างก็อดที่จะบ่นพึมพำออกมาไม่ได้เหมือนกัน พวกเขายังได้เทไนโตรเจนเหลวที่เหลวในถังซ้ำไปอีกครั้งโดยครั้งนี้พวกเขาได้เททีละน้อยโดยเน้นไปที่ไส้ตะเกียงเพื่อสังเกต


แต่เปลวไฟดวงน้อยเองนั้นเมื่อได้สัมผัสกับไนโตรเจน มันไม่เพียงไม่อ่อนแรงเลยแม้แต่น้อย มันทำราวกับว่าไม่ได้สนใจใยดีต่อความเย็นสุดขั้วของไนโตรเจนเหลวเลยด้วยซ้ำ ฉากนี้มันราวกับว่าแม้แต่ไนโตรเจนเหลวเมื่อสัมผัสกับไฟดวงน้อยๆนี้ก็ต้องหลีกหนีมันในทันที ยิ่งดูก็ยิ่งไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลยแม้แต่น้อย


ในที่สุด ทั้งสี่คนก็ได้ยอมรับความพ่ายแพ้ พวกเขานั้นได้ค่อยๆทยอยเดินออกไปด้วยท่าทีแพ้พ่าย โดยก่อนที่จะขึ้นรถขากไปนั้น พวกเขาได้หันมามองเปลวไฟนี้ด้วยสายตาที่บอกไม่ถูก ก่อนที่จะพากันขึ้นรถจากไปในที่สุด ในตอนนี้เองก็มีคนที่อยู่ในช่วงวัยกลางคนตอนปลายและคนแก่บางคนที่เริ่มคุกเข่าแล้วทำท่าเคารพบูชาไฟตะเกียงดวงน้อยๆดวงนี้


 


ในตอนนี้ ฉากที่เหล่านักผจญเพลิงและนักวิทยาศาสตร์ได้พยายามจะดับไฟดวงน้อยนี้ลงได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วอินเตอร์เนตจนกลายเป็นที่พูดถึงกันไปทั่วในทันที


ในตอนนี้แม้แต่นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างก็เข้ามาออกโรงให้ความเห็นราวกับว่าพวกเขานั้นได้ค้นพบเปลวไฟนี้ด้วยตัวเองยังไงอย่างนั้น


หลินฮ่าว เสี่ยวรุย ฉือเล่ย เฉียนหยินหนิง และเพื่อนร่วมชั้นของซูจิ้งเองถึงแม้จะไม่อยากเชื่อก็ตามแต่พวกเขาก็คงต้องเชื่อแล้วว่าเปลวไฟนี้นั้นสามารถอยู่ได้ถึงหนึ่งปีจริง เพราะขนาดนักดับเพลิงและนักวิทยาศาสตร์ยังดับมันไม่ได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับคนธรรมดาเช่นพวกเขากัน พวกเขาในตอนนี้รู้เพียงอย่างเดียวว่าเปลวไฟดวงน้อยนี้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ที่พวกเขารู้จักอย่างแน่นอนแล้ว


 


ในครั้งนี้ พวกเขา ไม่มีใครคิดจะยื้ออยู่ดูเปลวไฟในตะเกียงดวงน้อยนี้อีกต่อไป พวกเขาได้ตามซูจิ้งไปยังชายหาดเมืองฉิงหยุนในทันที


แน่นอนว่างานนี้ซูจิ้งย่อมเป็นเจ้ามืออย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขานั้นยังอดที่จะกังวลไม่ได้เกี่ยวกับสามคุณชายสี่ที่ติดตามมาด้วยราวกับลูกกระจ๊อกก็ไม่ปาน แถมซูจิ้งนั้นใช้สามคนนี้ให้ไปทำนู่นทำนี่ราวกับลูกกระจ๊อกจริงๆ


จนในที่สุดแล้วเมื่อวันนี้จบลง ทั้งสามคนนี้ที่ถูกใช้ทั้งวันก็ไม่ได้ปริปากบ่นเลยแม้แต่น้อย ทำให้เหล่าเพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าถึงแม้ว่าซูจิ้งนั้นจะยังคงมีนิสัยเหมือนเดิมทุกประการ แต่ตัวเขาในตอนนี้ก็แตกต่างจากซูจิ้งที่พวกเขารู้จักอย่างสิ้นเชิง และอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเขาในช่วงสองสามปีมานี้ไปทำอะไรมากันแน่ เมื่อถิดถึงเรื่องนี้ หวังหยานเองที่แม้ตอนนี้จะดูนิ่งเฉย แต่ใจเธอในตอนนี้กลับยิ่งรู้สึกอยากทำความรู้จักในตัวซูจิ้งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมจนแทบจะทนไม่ได้อยู่แล้ว


 


ในช่วงเย็นวันนั้น ได้มีการจัดงานเลี้ยงส่งท้ายจนมืดค่ำทุกคนต่างก็แยกย้ายจากกันไป แม้แต่ฉือชิงก็ยังขอตัวกลับบ้านตัวเองไปก่อน มีเพียงเสี่ยวรุย ฉือล่ย และหลินฮ่าวเท่านั้นที่เลือกที่จะข้างอยู่บ้านซูจิ้งหนึ่งคืน


พวกเขาอยู่คุยกันเกือบทั้งคืน และจากไปในรุ่งเช้าพร้อมท่าทีที่ไม่อยากสักเท่าไหร่ หากไม่ใช่ว่าในวันนี้พวกเขาคิดงานล่ะก็พวกเขาเองก็อยากจะอยู่เที่ยวเล่นที่บ้านซูจิ้งอีกสักวันอย่างแน่นอน


เหตุผลก็เพราะสวนของซูจิ้งในราวกับทรวงสวรรค์ บ้านของซูจิ้งนั้นมีสมบัติมากมายให้เชยชม อาหารของซูจิ้งนั้นสุดแสนจะอร่อย มีชาที่สุดแสนจะลึกล้ำ และผลไม้ที่ไม่เหมือนใคร นี่ยังไม่รวมถึงบรรดาสัตว์เลี้ยงที่มากมายและหลากหลายราวกับในดินแดนหรรษา


ใครก็จะไม่อยากอยู่ไปนานๆได้ล่ะ


GGS:บทที่ 1095 ขยะกองใหม่


เพียงช่วยพริบตา สองวันผ่านไป ผู้คนยังคงแวะเวียนไปยังลานกิจกรรมภายในโรงแรมนานาชาติหลงเต็งในช่วงสองวันมานี้อย่างอุ่นหน้าฝาคลั่ง

อย่างไรก็ตาม ผู้คนมากมายได้ทดลองดับไฟในตะเกียงดวงนั้นแต่ก็ไม่มีใครสามารถดับมันลงได้ จนในตอนนี้มันได้รับการขนานนามเอาไว้แล้วว่าเป็นตะเกียงเวทย์มนต์ และด้วยเหตุนี้ทำให้ชื่อเสียงของตะเกียงนี้ไม่ได้อยู่ในประเทศนี้อีกต่อไป

ชื่อเสียงของมันได้แพร่หลายไปยังทั่วโลก นี่ทำให้ในทุกๆวันนั้นมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมและลองที่จะดับเปลวไฟนี้ดูอย่างไม่ขาดสาย ด้วยเหตุนี้ได้ส่งผลดีต่อธุรกิจชุมชนอย่างมหาศาล โดยเฉพาะร้านที่ตั้งอยู่ในบริเวณลานกิจกรรม นี่รวมถึงร้านเสื้อผ้าของฉือชิงที่มุ่งเน้นขายเสื้อผ้าที่ซูจิ้งเป็นผู้ออกแบบด้วยที่ขายดียิ่งกว่าใคร

เป็นไปดั่งที่ซูจิ้งคาดเอาไว้ว่าหลังจากข่าวเรื่อง ตะเกียงเวทย์มนต์ ของซูจิ้งถูกรับรู้ไปทั่วโลก ญี่ปุ่นไม่สามารถนิ่งเฉยเอาไว้ได้อีกต่อไป

พวกคนญี่ปุ่นแน่นอนว่าย่อมไม่มีทางเชื่อเพียงข่าวที่มาแบบนี้ พวกนั้นได้ส่งผู้เชี่ยวชาญของตนมาเพื่อดับไฟตะเกียงนี่โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครจะดับตะเกียงได้ลงเลยสักคนเดียว

แต่นี่หาได้ทำให้เหล่าชาวญี่ปุ่นที่มานั้นไม่ได้สลดลงแต่อย่างใด พวกเขาแสดงออกถึงความตื่นเต้นแล้วรีบทำการติดต่อกับตัวแทนของกลุ่มทุนห้วงเวลาด้วยความหวังที่ว่าจะซื้อเทคโนโลยีที่ทำให้ไฟในตะเกียงนี้ไม่มีวันดับ เพื่อหวังจะใช้ในงานกีฬาโอลิมปิกที่กำลังจะมาถึงนี้

นั่นก็เพราะด้วยไฟแบบเดียวกับตะเกียงนี้จะทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องที่คบเพลิงโอลิมปิกจะต้องดับลงอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะเสนอเงินมากมายจนไปถึงร้อยล้านหยวนแล้วก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้รับการตอบรับจากกลุ่มทุนห้วงเวลาแต่อย่างใด


หนึ่งวันได้เลยผ่านไป แต่ชื่อเสียงของตะเกียงเวทย์มนต์นี้ได้ขจรขจายราวกับว่ามันนั้นอยู่มานานนับปี

ตอนนี้ชื่อเสียงของกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศที่เป็นผู้พัฒนาตะเกียงเวทย์มนต์นี้ก็ได้ลุกโชนไปพร้อมๆกัน

หากว่าดูจากตัวชื่อเสียงและความยอดเยี่ยมของตะเกียงเวทย์มนต์นี้ บอกได้เลยว่าร้อยล้านหยวนที่พวกญี่ปุ่นเสนอมานี้ช่างด้อยค่าเกินกว่าจะยอมรับได้จริงๆ

นอกจากนั้น ด้วยการที่คุณชายสี่ทั้งสามอย่างฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิงได้เริ่มทำงานที่ซูจิ้งมอบหมายให้

ทำให้ในตอนนี้นับวัน กลุ่มทุนห้วงเวลาฯก็ยิ่งมีรายรับมากขึ้น และเพียงเดือนเดียว กลุ่มทุนห้วงเวลาฯ มีผลกำไรสุทธิสูงถึงสามแสนสามหมื่นล้านหยวน เรียกได้ว่าสูงกว่าเดือนก่อนหน้านี้ถึงสี่ถึงห้าเท่าเลยทีเดียว

และแน่นอนว่า ซูจิ้ง ได้นำเงินของตัวเองที่ได้ทั้งหมดไปลงกลับสถาบันวิจัยของตัวเองและใช้ในการผลิตปฏิสสารจนทำให้ตอนนี้ค่าพลังงานเพิ่มขึ้นจากเดิมห้าหมื่นเจ็ดพันหกร้อยหน่วย กลายเป็น หนึ่งแสนห้าหมื่นเจ็ดพันหกร้อยหน่วย

ส่วนค่าการใช้ประโยชน์เองก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่ได้มากมายนัก จากเดิม หนึ่งแสนสองพันหน่วย กลายเป็นหนึ่งแสนหกหมื่นสองพันเก้าหน่วย และยังคงเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆไม่ช้าไม่เร็ว

แต่ถือว่าก็ยังทำให้ภาพรวมแล้วค่าที่ได้พอๆกับค่าพลังงานก็ถือว่าเป็นไปตามที่ซูจิ้งได้คิดแล้ว

โดยตอนนี้ซูจิ้งเองก็ไม่ได้กังวลเรื่องความต่างของระดับค่ารางวัลแล้ว ตอนนี้เขามุ่งเน้นไปที่การเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ เขาเชื่อมั่นว่าหากค่าการใช้ประโยชน์นั้นสูงขึ้นล่ะก็ ค่าพลังงานที่ได้ก็จะขึ้นตามไปด้วยโดยปริยาย


ด้วยเหตุที่ช่วงนี้ซูจิ้งได้ปล่อยผลิตภัณฑ์ของตัวเองออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในตอนนี้ชื่อเสียงของเขาจึงเป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ถึงแม้ว่าตอนนี้ซูจิ้งจะอยู่ในอันดับหนึ่งของรายการดาราผู้มีชื่อเสียงอยู่แล้ว แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ไม่มีใครเลยที่อยากจะให้เขาอยู่ในตารางดารานี้อีกต่อไป

นั่นก็เพราะในช่วงที่ผ่านมานี้ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะไม่เคยก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงเลยแม้สักครั้งเดียว แต่ด้วยการที่เขานั้นเล่นเพลงของตัวเองจนทำให้มีชื่อเสียงขึ้นมา เพียงแค่นี้เขาก็ถูกใส่ไว้ในรายชื่อนี้แล้วอย่างไม่ทันตั้งตัว

และเมื่อมาถึงในตอนนี้ เขานั้นกลายเป็นสุดยอดนักธุรกิจแถมยังมีผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ จึงทำให้เป็นที่สนใจของทุกกลุ่มจากทั่วทุกมุมโลกได้อย่างไม่ยากเย็นแต่อย่างใด แน่นอนว่ากลุ่มคนเหล่านั้นที่สนใจซูจิ้งไม่ใช่เพราะความสามารถ แต่เป็นการต้องกินเค้กชิ้นโตนี้ให้ได้ก่อนใคร

แน่นอนว่าซูจิ้งเองก็รู้ตัวดีว่าการที่ตัวเองก้าวขึ้นมาอยู่อันดับต้นๆเร็วขนาดนี้ย่อมเสี่ยงการย่างกลายของภัยอันตราย แต่ตัวเขาเองก็ไม่คิดจะก้าวถอยหลังหรือพัฒนาธุรกิจของเขาให้ช้าลงแม้แต่น้อย

เขายังได้ให้เฉิงหนานและหวังจ้าวเตรียมที่จะพัฒนากลุ่มทุนห้วงเวลาให้ไปอยู่ในระดับโลกเรียบร้อยแล้ว

ในระหว่างนี้เอง ซูจิ้งก็ยังคอยฝึกฝนตำราวิชาต่างๆที่เขาได้มาจากห้วงเวลาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตำราจ้าวแห่งสายน้ำ ตำราวิถีแห่งมังกร ตำรากระดาษการสงคราม อย่างแต่เนื่อง และยังไม่เคยหน่ายเหนื่อยที่จะจัดการกับขยะห้วงเวลาฯของเขาอย่างขยันขันแข็ง พร้อมของหวังที่ว่าจะหาสมบัติต่างๆโดยไม่เผลอกำจัดมันหรือพลาดโอกาสที่จะใช้พวกมันแม้แต่น้อย


วันนี้ ช่วงเวลาประมาณตีสองเกือบๆตีสาม ซูจิ้งถูกปลุกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลของฉิงหยุนว่า “ท่านเจ้าของ ขยะห้วงเวลาฯมาแล้วค่ะ”

ซูจิ้งได้ลืมตาตื่นขึ้นในทันทีและรีบวิ่งลงไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯอย่างไว เหมือนเช่นเคย วงวนมิติได้หมุนวนอยู่บนฟ้าเรียบร้อยแล้ว และขยะมากมายก็ค่อยๆทยอยลงมาอย่างต่อเนื่อง

ขยะห้วงเวลาฯกองนี้ เท่าที่ซูจิ้งได้แล้วพบว่าส่วนใหญ่นั้นเป็นเศษเหล็ก กำแพงอิฐ เศษไม้ ถึงพลาสติก และขวดพลาสติก นี่แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยๆขยะกองนี้น่าจะมาจากยุคสมัยที่ค่อนข้างทันสมัย

แต่ในขณะที่กำลังนิ่งคิดความเป็นไปได้ในห้วงเวลาฯที่พวกมันจากมานั้น อยู่ๆ เขาก็ได้เห็นของที่ไม่เข้าพวกแม้แต่น้อยนั่นก็คือชิ้นส่วนเรือไม้

เจ้าชิ้นส่วนนี้นอกจากจะใหญ่โตจนน่ากลัวแล้ว บนชิ้นส่วนนี้ยังมีลวดลายที่ดูแปลกตา และรูปร่างที่ดูแตกต่างจากยุคสมัย ราวกับว่าเป็นยานอวกาศเลยก็ว่าได้

นอกจากนี้มันยังมีสัตว์ประหลาดที่ดูน่าเกลียดแต่มีโครงสร้างร่างกายคล้ายมนุษย์ มีเครื่องยนต์ที่ดูประหลาดเกินกว่าจะมาอยู่บนเรือลำนี้ที่ดูก็บอกได้เลยว่ามันเป็นเครื่องยนต์สำหรับแล่นบนน้ำแน่ๆ

แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้ซูจิ้งรู้แล้วว่าห้วงเวลาที่พวกมันจากมานั้นไม่น่าจะมาจากห้วงเวลาเดียวกับโลกใบนี้อย่างแน่นอน

หลังจากผ่านไปนาน ขยะห้วงเวลาก็ได้หยุดไหลลงมา วังวนมิติค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆ และหลังจากฉิงหยุนจำแนกขยะห้วงเวลาได้คร่าวๆแล้วก็พบว่ามันมากมายใหญ่โตราวกับจะสูงเสียดฟ้าเลยทีเดียว

ซูจิ้งได้ตรงไปยังขยะฯกองสิ่งมีชีวิตก่อนเป็นอันดับแรก ที่ตรงนี้เขาพบหนู แมลง พืช และสิ่งมีชีวิตที่อยากจะอธิบาย และพวกมันทั้งนั้นล้วนแปลกตา

เขาได้ปลดปล่อยกระแสจิตของตัวเองเพื่อควบคุมพวกมันในทันที แต่แทนที่เขานั้นจะสนใจพวกมัน เขากลับไปสนใจศพของสัตว์ประหลาดที่มีโครงร่างคล้ายมนุษย์ก่อนเป็นอันดับแรก

มันมีร่างกายที่สูงราวๆหนึ่งเมตรแปดสิบเซนติเมตร ผิวหนังสีดำเงาเป็นเหล็ก ดูท่าทางแข็งแรง และน่าเกลียด ไม่ว่าดูยังไงก็บอกได้เลยว่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้อย่างแน่นอน

พวกมันไม่ได้มีเพียงหนึ่งแต่มีอีกหลายร่าง แต่ละร่างนั้นเหมือนจะมีวัตถุที่น่าจะเป็นมนุษย์อยู่ในมือ ซูจิ้งค่อนข้างจะสนใจอาวุธเหล่านี้อย่างมาก แต่ในเมื่อเขานั้นยังไม่รู้จักอาวุธเหล่านี้ดี เขาจึงใช้กระแสจิตของตัวเองในการบังคับแทนที่จะสัมผัสพวกมันด้วยมือของตัวเอง

ด้วยความแม่นย้ำขะงกระแสจิตของซูจิ้งนั้นทำให้เขาสามารถควบคุมกระแสจิตของตัวเองได้ราวกับมือข้างหนึ่ง และในทันทีที่เขาใช้กระแสจิตตรวจพบปุ่มที่อยู่บริเวณมือจับ เขาก็ค่อยๆใช้กระแสจิตกดมันลงไป

ชั่วขณะต่อมา แสงสีน้ำเงินได้ถูกยิงออกมาทางส่วนที่น่าจะเป็นปากกระบอกปืน มันถูกยิงไปยังบาเรียมิติแต่ก็ไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้แต่อย่างใด

“นี่มันอาวุธจริงๆด้วย แถมยังไม่ต้องใช้กระสุนอีก นี่น่าจะเป็นอาวุธลำแสงรูปแบบหนึ่ง” ซูจิ้งได้พูดออกมาในทันทีด้วยสายตาที่เปล่งประกาย

เขาได้นำแผ่นเหล็กที่มีความหนากว่าสิบเซนติเมตรออกมาจากกระเป๋ามิติของตนก่อนที่จะนำมันวางไว้ที่พื้นแล้วใช้ปืนลำแสงนี้ยิงดู

ลำแสงปะทะกับแผ่นเหล็กดังปัง และตอนนั้นเองแผ่นเหล็กก็ได้ปรากฎรูขนาดใหญ่ขึ้นมา เท่าที่ดูนี่บอกได้เลยว่าอาณุภาพของมันนั้นเหนือล้ำกว่าอาวุธทั่วไปบนโลกไปไกล

ซูจิ้งยังคงทดลองอาวุธนี้อย่างต่อเนื่องจนทำให้แผ่นเหล็กนี้กลายเป็นรังผึ้งอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากยิงไปกว่าสามสิบครั้งแต่ปืนนี้ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหมดกระสุนเลยแม้แต่น้อย

ดูเหมือนว่าอาวุธนี้ไม่เพียงจะเบาและทรงพลังแล้ว มันยังดูเหมือนจะมีกระสุนที่ไม่จำกัด นี่ถือได้ว่าใช้ง่ายกว่าปืนทั่วไปบนโลกนี้มากนัก

“ปืนนี้น่าจะเป็นอาวุธที่เรียกว่าปืนพลังงาน นึกไม่ออกเลยแหะว่ามันมาจากห้วงเวลาฯไหนกันแน่” ซูจิ้งได้ใช้ความคิดเกี่ยวกับห้วงเวลาฯที่มีอาวุธและสัตว์ประหลาดเหล่านี้แต่เขาก็ยังนึกไม่ออก

เขานึงได้ทำการศึกษาสัตว์ประหลาดเหล่านี้โดยการเริ่มจากให้หนูได้กินพวกมัน แต่ดูเหมือนว่าสัตว์ประหลาดพวกนี้จะไม่ได้มีอะไรพิเศษนอกจากการที่พวกหนูบอกว่ามันไม่อร่อยแบบสุดๆ

หลังจากนั้นซูจิ้งได้ลองตรวจสอบหนู แมลง และพืชต่างๆดู แต่ก็ยังไม่พบอะไรที่พิเศษเลยสักอย่างเดียว เขาจึงได้ตรงไปยังขยะกองกระดาษแทน

แต่เมื่อเขาเห็นขยะฯกองกระดาษแล้วก็ต้องแปลกใจเล็กน้อย เพราะมันนั้นดูๆไปแล้วมันช่างน้อยนิดมากทำให้เขานั้นไม่ได้อะไรเท่าไหร่

อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังพบชื่อๆหนึ่งที่ค่อนข้างคุ้นเคยมากกับโลกใบนี้นั่นก็คือคำว่า ลอสแองเจอลิส ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มีความเกี่ยวพันกับโลกอย่างแน่นอน นี่ทำให้ซูจิ้งต้องหัวหมุนมากกว่าเดิม

ซูจิ้งได้ลองไปดูขยะฯกองอื่นดูบ้าง จนในที่สุดเขาก็พบของบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับกุญแจ อย่างไรก็ตามตอนที่ซูจิ้งรับรู้ได้ถึงกุญแจที่อยู่บนอะไรบางอย่าง เขาต้องกระโดดหมุนตัวกระเด็นออกไปหลายเมตรเลยทีเดียว และตอนที่เขาได้ใช้กระแสจิตตัวเองส่งเขาไปตรวจสอบดูแล้วได้ทำการกดกุญแจนี้ดู ตอนนั้นเอง หน้าตาของเขาถึงกับต้องเปลี่ยนสีทันใด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)