Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1084-1087
GGS:บทที่ 1084 ตะเกียงวิเศษ
ถ้าซูจิ้งเข้าใจไม่ผิดนั้น หนังของสัตว์ที่ใช้ทำเสื้อคลุมตัวนี้สมควรจะเป็นขนของหนูไฟ หากจะให้เรียกชื่อเต็มๆของมันนั้นก็คือหนูไฟส่องแสง
มันเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่สุดแสนจะประหลาดและพบเจอได้ไม่ยากนักในห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทร
เอาจริงๆมันก็ประหลาดตั้งแต่ถิ่นที่อยู่ของมันแล้วเหมือนกัน นั่นก็เพราะว่าพวกนั้นอาศัยอยู่ในเขตภูเขาไฟที่สุดปลายทวีปเขตทะเลจีนใต้
ตัวมันนั้นมีน้ำหนักประมาณหนึ่งร้อยชั่งและขนาดที่ใหญ่มาก ขนของมันมีความยาวร่วมๆหนึ่งเมตรและมีเส้นที่เล็กบางราวกับผ้าไหม
มันเป็นหนูที่จะตายแทบจะในทันทีหากได้เห็นแม้เพียงแอ่งน้ำเล็กๆ แต่ถึงมันจะดูตายได้ง่ายดายแต่ขนของมันนั้นเรียกได้ว่าทนทานมาก แม้แต่โดนน้ำ โดนไฟ ก็ไม่มีวันทำลายได้ จึงทำให้ถูกนำไปใช้ทำเสื้อผ้าบ่อยๆ และเมื่อผ้าที่ใช้ขนของหนูชนิดนี้เริ่มสกปรก ก็เพียงแค่ใช้ไฟในการทำความสะอาดแค่นั้นก็พอ
“ผู้สรรสร้างเสื้อคลุมตัวนี้ช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก แม้แต่เทฅโนโลยีของโลกใบนี้ก็ไม่สามารถทำเสื้อคลุมแบบนี้ออกมาได้อย่างแน่นอน บนโลกนี้สมควรจะมีเสื้อคลุมนี่ตัวเดียวในโลกเท่านั้น และแน่นอนว่ามันเป็นของฉัน”
หลังจากยิ้มดีใจอย่างมากอยู่พักใหญ่ ซูจิ้งก็ได้จัดการกับขยะฯของเขาต่อไป ในตอนนี้เขาเริ่มจะพบเจอเครื่องมือที่ทำจากหิน เศษผ้า เฟอร์นิเจอร์ไม้พังๆ หม้อแตก และของอย่างอื่นที่มาจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์
เท่าที่ดูนี่บ่งบอกได้เลยว่าเทคโนโลยีของห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรค่อนข้างที่จะล้าหลัง ต่อให้มันไม่แตกหัก ก็สมควรมที่จะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้
“นี่…” ทันใดนั้นซูจิ้งก็ได้พบเจอกับเครื่องทองเหลืองชิ้นหนึ่ง ส่วนล่างของมันนั้นดูๆไปแล้วเหมือนกลไกอะไรบางอย่าง มันมีขนาดประมาณสิบห้าเซนติเมตร
แต่จากสภาพของมันแล้วในตอนนี้มันดูผุกร่อน โค้งงอ และเสียหายมากพอดู ส่วนด้านบนของมันนั้นคล้ายกับถาดอะไรบางอย่าง ข้างในถาดนั้นเองก็มีแผ่นจานข้างในอยู่อีกครึ่งหนึ่ง
ตรงกลางดูเหมือนจะมีไส้ตะเกียงอยู่ เท่าที่ดู สิ่งนี้สมควรจะเป็นตะเกียงน้ำมันแบบโบราณ
ซูจิ้งได้ลองให้เสี่ยวไป๋ซ่อมตะเกียงนี้ดู ไม่นานนักมันก็กลับมาสู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หลังจากตรวจสอบดูสักพักเขาก็ไม่พบว่ามันดูมีอะไรพิเศษแต่อย่างใด ไม่ว่ามองยังไงมันก็แค่ตะเกียงน้ำมันธรรมดาอยู่ดี
หลังจากที่เขาจ้องมองดูอยู่พักใหญ่นั้นเขาก็สังเกตเห็นว่ายังมีตะเกียงน้ำมันคล้ายๆแบบนี้อีกสองอัน แต่สภาพของมันนั้นแย่กว่าชิ้นนี้มาก ชิ้นหนึ่งนั้นแตกจนกระจัดกระจายไปทั่ว ส่วนอีกชึ้นหนึ่งนั้นมันแตกจนมีอะไรบางอย่างเข้าไปขังอยู่ข้างใน
อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ต่อหน้าเสี่ยวไป๋ตัวนี้ ไม่ว่าสภาพจะเป็นผุยผงก็ตาม แต่ตราบใดที่ชิ้นส่วนของพวกมันยังอยู่ครบละก็ ไม่นานมากก็สมควรจะกลับมาใจสภาพที่สมบูรณ์ได้อย่างแน่นอน
หลังจากที่ซูจิ้งได้ให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมพวกมันจนหมดแล้ว ไม่ว่าเขาจะดูพวกมันยังไงก็รู้สึกเพียงว่าพวกมันนั้นเป็นเพียงตะเกียงน้ำมันทองเหลืองธรรมดาอยู่ดี มันดูค่อนข้างที่จะเรียบง่าย และไม่ได้มีจุดประสงค์ในการใช้งานที่พิเศษแต่อย่างใด
“…แล้วทำไมฉันไม่ลองจุดมันดูล่ะ ใครจะไปรู้ มันอาจจะมีอะไรพิเศษก็ได้หลังจากจุดมันนี่นา” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้น เขาก็จุดไฟขึ้นที่ไปนิ้วก่อนที่จะเอาไปจ่อที่ไส้ตะเกียงของตะเกียงอันหนึ่ง
เมื่อไส้ตะเกียงได้ลุกไหม้ขึ้นมา ซูจิ้งได้เฝ้าจับตารอดูอยู่นิ่งๆ หนึ่งนาทีก็แล้ว สองนาทีก็แล้ว สามนาทีก็แล้ว จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่พบว่ามันจะมีความวิเศษอะไร
จนในที่สุดผ่านไปสิบนาที ซูจิ้งก็ไม่มีทางเลือกอื่นทำได้เพียงถอดใจเพราะไม่ว่ามองยังไงมันก็ดูเป็นตะเกียงธรรมดาอยู่ดี จนในตอนนี้เขาเองก็เริ่มคิดแล้วเหมือนกันว่าเขาต้องเป็นโรคจิตอ่อนแล้วแน่ๆที่คิดว่าของทุกอย่างที่พบเจอต้องมีอะไรวิเศษสักอย่างสองอย่าง
ซูจิ้งนั้นได้แต่ส่ายหัวไปมาเพื่อสลัดความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทันที หลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะหยุดทดสอบ และเปิดปากของตัวเองออกมาและได้พ่นลมไปยังไส้ตะเกียงในทันที
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เชิงเทียนนั้นไม่เพียงจะไม่หดเล็กลงเพราะแรงลมแม้แต่น้อย มันเพียงสั่นไหวไปมาและยังคงลุกไหม้อยู่เช่นเดิม
ซูจิ้งตอนนี้เพียงอึ้งๆไปเท่านั้น ด้วยการที่ร่างกายของเขานั้นอยู่เหนือคนธรรมดาไปไกลแล้ว แน่นอนว่าทุกการกระทำของเขานั้นย่อมเหนือกว่าคนธรรมดาแม้แต่การเป่าปากพ่นลมก็ตาม
แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใดทำให้ตะเกียงนี้ไม่ได้รับผลกระทบเอาไรจากลมที่เป่าจากปากของเขาเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้เขานั้นไม่เชื่อเรื่องผีสางแต่ก็ถึงกับต้องรีบวางตะเกียงนี้ลงพื้นแล้วกระโดดหมุนตัวตีลังกาถอยหลังไปในทันทีเหมือนกัน
เขานั้นค่อยกระเถิบเข้ามาช้าๆจนในตอนนี้อยู่ห่างจากตะเกียงน้ำมันนี้ประมาณสิบเมตร เขาจึงได้สูดลมเข้าไปจนเต็มปาก แล้วทำการพ่นลมออกมาอย่างตั้งใจและหนักหน่วงกว่าก่อนนี้
อย่างไรก็ตามไม่เพียงไฟที่จุดเอาไว้จะเคลื่อนไหวตามลมแม้แต่น้อย มันยังดูเหมือนกับว่าเปล่งแสงที่สว่างออกมามากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
ซูจิ้งเริ่มรู้สึกว่าเป็นไปได้ที่เขาอาจจะยังใช้ลมที่ไม่แรงพอ เขาจึงได้ทำการเป่าลมไปที่ไส้ตะเกียงอีกสองครั้งติดๆกัน แต่ผลที่ได้ก็คือ ไฟยังคงลุกโชนอยู่เช่นเดีม
“แม่…เอ๊ย นี่มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลยสักนิด” ซูจิ้งบ่นออกมาก่อนที่เขาจะใช้พลังควบคุมไฟโดยตรง เขาได้ใช้เวทไฟในการดึงไฟออกมาจากไส้ตะเกียงจนมันลอยห่างออกมา
อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะดึงไฟออกมาจากไส้ตะเกียงกี่ครั้งกี่หน ไส้ตะเกียงก็ยังคงเหลือประกายแสงแห่งการลุกไหม้เล็กน้อยในทุกๆครั้ง และมันก็ได้กลับมาลุกโชนส่องสว่างเหมือนเดิม
“ตะเกียงนี่คงไม่ธรรมดาแล้วล่ะ” ซูจิ้งมองไปที่ตะเกียงพร้อมทำตาปริบๆ ตอนนี้เขาเลือกที่จะใช้น้ำจากแอ่งน้ำใกล้ๆมาดับแทนแล้ว ด้วยความคิดที่ว่าแต่ให้ไส้ตะเกียงจะดีขนาดไหน ยังไงจับจุ่มไปในน้ำยังไงก็ต้องดับ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็คือ หลังจากที่เขาสาดน้ำเข้าไป ผลก็คือไฟยังคงลุกไหม้อยู่บนไส้ตะเกียงเหมือนเดิม
ซูจิ้งนั้นยังไม่ยอมแพ้ คราวนี้เขาใช้มือของตัวเองกำดินเอาไว้ก่อนที่จะค่อยโรยดินลงบนไส้ตะเกียงจนท่วมไส้ตะเกียงไปแล้ว
แต่หลังจากที่รอไปได้สักพัก ผลก็คือดินที่ทับถมไปบนไส้ตะเกียงได้ร้อนจนเกิดสีแดงขึ้น ไม่นานดินก็ได้ไหลลงไปกองข้างๆและไฟก็ยังลุกโชนอยู่บนไส้ตะเกียงอยู่ดี
“มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว” ซูจิ้งในตอนนี้ประหลาดใจอย่างแท้จริง นั่นก็เพราะ โดยปกติแล้วการที่ไฟจะลุกไหม้ได้บนอะไรก็ตามนั้นจำเป็นต้องมีสามองค์ประกอบถึงจะเกิดการลุกไหม้ได้
หนึ่งคือเชื้อเพลิง สองคือออกซิเจน และสามคือจุดวาบไฟ
สมมติว่าหากเราเทน้ำลงไปบนเชื้อเพลิงได้อย่างเพียงพอล่ะก็ อุณหภูมิที่เกิดขึ้นบนเชื้อเพลิงจะไม่ถึงจุดที่เรียกว่าจุดวาบไฟและนั่นจะไม่ทำให้ไฟลุกบนเชื้อเพลิงได้อย่างแน่นอน
และในทำนองเดียวกัน เขาได้ใช้ดินโรยไปบนไส้ตะเกียงนั้นก็เป็นการตัดอากาศที่ถือได้ว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการลุกไหม้ได้ออกจากไส้ตะเกียงไป ด้วยของสองสิ่งนี้ไฟสมควรจะมอดดับลงได้แล้ว แต่นี่มันยังคงลุกโชนได้อย่างต่อเนื่องอย่างน่าประหลาดใจ
ตอนนี้เองซูจิ้งก็ได้ตัดสินใจใช้ถังดับเพลิงที่เป็นการผนวกเอาหลักการทั้งสองนี้เข้าไว้ด้วยกันฉีดลงไปบนตะเกียงในทันที ผลก็คือ แม้ว่าเขานั้นจะฉีดจนหมดถึงแล้วก็ตาม แต่ไฟก็ยังลุกไหม้อยู่บนไส้ตะเกียงอยู่ดี
คราวนี้ซูจิ้งได้ลองนำตะเกียงนี้ไปจุ่มลงในแอ่งน้ำจนมิดทั้งตะเกียง แต่กลายเป็นว่า แม้จะอยู่ใต้น้ำ แต่ไฟบนไส้ตะเกียงก็ยังคงลุกไหม้อยู่เช่นเดิม
จนในที่สุดซูจิ้งก็ได้ตัดสินใจให้ฉิงหยุนส่งตะเกียงนี่ไปไว้ในพื้นที่เก็บของซึ่งเป็นพื้นที่สุญญากาศ แต่ผลก็ยังคงลุกไหม้เหมือนเดิม
จนในตอนนี้เองที่ซูจิ้งเริ่มใช้ความคิดเกี่ยวกับตะเกียงนี้ยิ่งไปกว่าเดิมและเริ่มคิดว่าตะเกียงนี้เป็นตะเกียงวิเศษรูปแบบหนึ่ง
“เดี๋ยวนะ ก็ในเมื่อขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรล่ะก็ ฉันจำได้ว่าตะเกียงแบบนี้มีการเขียนถึงอยู่นี่นา….นี่น่าจะเป็นตะเกียงมนุษย์เงือก” ตอนนี้เอง สายตาของซูจิ้งก็ได้สว่างวาบขึ้นมาในทันที
ในห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรนั้นมีเผ่าพันธุ์ที่ดุร้ายที่เหมือนกับเป็นฉลามผสมมนุษย์ ที่นั่นเรียกเผ่าพันธุ์นี้ว่ามนุษย์เงือก
ถึงแม้ว่าเผ่าพันธุ์นี้จะอยู่ใต้น้ำก็ตาม แต่พวกเขาเองก็ย่อมต้องการสิ่งที่ใช้ในการส่องสว่างให้กับพวกตน จนได้สรรสร้างตะเกียงที่เผ่าพันธุ์เงือกสามารถใช้ได้ แน่นอนว่าข้างในนั้นไม่ได้ใช้น้ำมันทั่วไปแบบตะเกียงธรรมดา แต่พวกนั้นใช้น้ำมันจากปลาทะเลน้ำลึก
ที่เรียกว่าปลาทะเลน้ำลึกนั้นแน่นอนว่าย่อมมาจากปลาที่อาศัยอยู่ในทะเลน้ำลึก นี่แสดงให้เห็นถึงความพิเศษของพวกมันไปในตัว
หากเป็นทั่วๆไปแล้ว เมื่อคนพื้นเพบนโลกนี้ได้ยินคงไม่คิดอะไรกัน แต่กับคนบนโลกนี้นั้นมันช่างมีค่าจนยากที่จะนำมาใช้ทำน้ำมันตะเกียงแบบนี้
แต่น้ำมันจากปลาทะเลน้ำลึกของห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรนั้นยังแฝงไว้ด้วยสรรพคุณที่แสนวิเศษไว้อยู่หนึ่งอย่าง
นั่นก็คือมันสามารถลุกไหม้ได้อย่างยาวนานแม้เพียงใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเพียงหยดเดียว มันจะลุกไหม้อยู่อย่างนั้นจนกว่าน้ำมันจะเหือดแห้งไปจนหมด ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ตะเกียงแบบนี้รู้จักในอีกชื่อว่าตะเกียงที่ไม่มีวันดับ
“เจ้าตะเกียงนี้มันดูธรรมดาจนไม่คิดว่าจะมีความวิเศษแบบนี้อยู่เลยจริงๆ ตะเกียงทั้งสามนี้เองสมควรจะเป็นตะเกียงแบบเดียวกัน…” ซูจิ้งได้บ่นพึมพำออกมาในขณะที่มองไปยังตะเกียงที่กังลุกโชนไปตรงหน้าพลางคิดอะไรบางอย่าง
ในตอนนี้นั้นทุกคนบนโลกต่างก็ใช้ตะเกียงที่เรียกว่าหลอดไฟฟ้า ตะเกียงน้ำมันแบบนี้สมควรจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้วก็จริง แต่ยังไงซะกับตะเกียงที่ไม่มีวันดับแบบนี้ยังไงแล้วก็ยังรู้สึกได้ถึงความสุดยอดอยู่ดี
ยกตัวอย่างเช่นคบเพลิงของกีฬาโอลิมปิกที่ไม่ว่าชาติไหนก็ตามที่ได้จัดงานโอลิมปิกนั้นก็ต้องให้ความสำคัญกับคบเพลิงโอลิมปิกไปด้วย
ถึงแม้ว่าจะมีอยู่บางครั้งที่มันได้มอดดับลงไปด้วยโชคร้ายบางอย่างก็ตาม ยกตัวอย่างเช่นในปี2004 งานโอลิมปิคที่เอเทน คบเพลิงได้หลุดมือออกจากผู้ถือคบเพลิงในระหว่างส่งต่อคบเพลิงให้กับกรรมการของงานคนหนึ่งจนทำให้ไฟของคบเพลิงได้มอดดับลง นี่ทำให้เขานั้นได้รับการสาปแช่งในทันที
ยิ่งไปกว่านั้นในงานแข่งโอลิมปิกเกือบทุกๆครั้งได้เกิดปัญหานี้ครึ่งอย่างต่อเนื่อง บางครั้งถึงกับมีใครบางคนนำเครื่องมือดับเพลิงไปพ่น บางคนพยายามยื้อแย่งออกจากมือผู้ถือคบเพลิงจนโยนลงไปบนทะเลเลยก็มือ
นี่ทำให้การปกป้องคบเพลิงเองถือได้ว่าเป็นภารกิจที่ยากลำบากและสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการแข่งกีฬาโอลิมปิคในทุกๆครั้งเลยก็ว่าได้
แล้วหากว่าเขาได้เปลี่ยนน้ำมันในคบเพลิงนั่นให้เป็นน้ำมันจากปลาทะเลน้ำลึกนี่ได้ล่ะจะเป็นยังไง อย่าว่าแต่ฉีดด้วยอุปกรณ์ดับเพลิงเลย แม้แต่โยนลงไปในทะเลจริงๆมันก็ไม่มีวันดับอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่กีฬาโอลิมปิกที่จะจัดถึงในครั้งนี้นั้นถูกจัดที่ญี่ปุ่น ไม่อย่างนั้นเขาคงจะเสนนอตัวเรียบร้อยแล้ว ยังไงซะต่อให้เขาอยากได้ค่าการใช้ประโยชน์มากมายขนาดไหนก็ตาม แต่เขาเองก็ไม่มีทางที่จะให้ประเทศอื่นได้หน้าไปได้อย่างแน่นอน
แต่ในทางกลับกัน หากญี่ปุ่นรู้ว่าเขานั้นมีน้ำมันที่ช่วยทำให้เกิดความสว่างไปได้จนกว่าโลกนี้จะดับสูญไปล่ะก็ แน่นอนว่าคนพวกนั้นไม่เพียงจะอิจฉาเท่านั้น เป็นไปได้คนพวกนั้นอาจจะทำแม้แต่การแย่งชิงจากเขาเลยก็ว่าได้
ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าจุดไฟด้วยคบเพลิงโอลิมปิกที่เติมด้วยน้ำมันปลาทะเลน้ำลึกนี้ล่ะก็ เขาสามารถเชื่อมโยงมันเข้ากับกลุ่มทุนห้วงเวลาของเขาได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และนั่นจะยิ่งดีต่อเขามากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูจิ้งจึงตัดสินใจแล้วว่าเขานั้นไม่ต้องเสียเวลาคิดหาวิธีการใช้ประโยชน์จากน้ำมันปลาทะเลน้ำลึกนี้ให้เหนื่อยเปล่าแต่อย่างใด เขาได้โทรหาเฉิงหนานให้เตรียมตัวทำการเปิดงานแถลงของบริษัทต่อสาธารณะชนเอาไว้
GGS:บทที่ 1085 เลี้ยงรุ่นมหาวิทยาลัย
ซูจิ้งได้โทรหาเฉิงหนานแล้วพูดคุยเกี่ยวกับงานแถลงของเขา เมื่อเสร็จแล้ว ซูจิ้งก็ได้กลับไปจัดการขยะห้วงเวลาฯของเขาต่อไป
คราวนี้เขาได้เริ่มจัดการขยะฯกองไม้ ขยะฯกองหิน และขยะฯ อื่นๆ ถึงแม้ว่าเขาจะได้พบเจอกับอะไรที่มันดีๆอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบของที่เขาได้เจอมาก่อนหน้านี้แล้วถือได้ว่าด้อยค่าไปในทันที แน่นอนว่าของที่ทรงคุณค่าอย่างชุดคลุมหนังหนูไฟกับตะเกียงน้ำมันปลาทะเลน้ำลึกนั้นคงจะไม่มีทางพบเจอได้บ่อยนัก
หลังจากตรวจสอบซ้ำจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรอีก ซูจิ้งก็ให้ฉิงหยุนจัดการย่อยขยะที่เขาไม่ได้ใช้เหล่านี้จนหมดสิ้น ส่วนที่ใช้ได้เขาก็เก็บบางส่วนเอาไว้กับตัว ส่วนที่เหลือก็เก็บเอาไว้ในพื้นที่เก็บของ
และด้วยเหตุนี้ ลานลองรับขยะฯก็ได้ว่างลงอีกครั้ง และพร้อมที่จะรับขยะห้วงเวลาฯกองใหม่ต่อไป
เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องทั้งหมดแล้ว ซูจิ้งได้เดินออกจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯและกำลังจะไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย
ทันใดนั้นเอง โทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้นมา เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นใครคนหนึ่งในกลุ่มมหาวิทยาลัยได้แท็กชื่อของเขาเอาไว้
หลังจากเปิดดูแล้วก็พบว่าเป็นเจียงหวาง คนที่เป็นหัวหน้าห้อง ดูเหมือนว่าตอนนี้จะกลายเป็นหัวงานในการจัดงานรวมรุ่นไปเรียบร้อยแล้ว
นี่ก็เป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่ซูจิ้งได้จบออกมาจากมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้ทำให้มีหลายๆคนที่มีความรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้มีโอกาสพบเจอเพื่อนเก่าหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานถึงสามปี
“ฉันว่าเราควรจะไปจัดงานที่มหาวิทยาลัยนะ”
“ไปจัดที่นั่นก็ไม่สนุกน่ะสิ ทำไมเราไม่ไปจัดกันที่ที่มันดูน่าสนุกๆหน่อยล่ะ
“ไปเมืองฉิงหยุนหรือไม่ก็จงหยุนไหมล่ะ ที่นั่นวิวทะเลสวยดีนะ แถมที่นั่นยังมีจุดชมนกนางแอ่น มีของที่ระลึกชั้นยอดอย่างไวน์จิ้งจอกแดง และที่สำคัญที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเป็นถิ่นของซูจิ้ง หากว่าพวกนายได้ไปล่ะก็แน่นอนว่าไม่ต้องกังวลอะไรอย่างแน่นอน”
และนี่เองจึงเป็นเหตุผลให้มีข้อความแจ้งเตือนมายังเขา ถึงแม้ว่าซูจิ้งนั้นในตอนแรกจะปิดการแจ้งเตือนจากกลุ่มนี้เอาไว้เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการคุยไร้สาระมามากกว่า
แต่เขาเองก็ได้ตั้งให้มีการตรวจจับเอาไว้ให้แจ้งเตือนเวลามีคนเอ่ยชื่อเขาเอาไว้ด้วยแล้ว
เมื่อซูจิ้งได้เห็นข้อความที่เจียงหวางได้ส่งเอาไว้ ตอนแรกเขาเองก็คิดว่าจะตอบข้อความไปเหมือนกัน แต่เมื่อเขาได้เห็นข้อความถัดมาของเจียงหวางโพสต่อจากนี้ ทำให้เขานั้นต้องหยุดคิดไปในทันใด โดยเจียงหวางได้โพสต์
ข้อความไว้ว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า ตราบใดที่นายมีเงินพอที่จะจ่ายยังไงซะนายก็ย่อมได้ของดีกลับไปอย่างแน่นอน นี่เขาเรียกว่าการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมเฟ้ย
อาจิ้งนั้นยุ่งจะตายชักอย่าไปกวนเขาเลยจะดีกว่า เอาเป็นว่าถ้าฉันเจอที่เหมาะๆแล้วจะรีบส่งข่าวบอกไปแล้วกัน อ้อ แล้วก็งานนี้ฉันได้เชิญแขกพิเศษไปด้วยนะ มีสองคนคนหนึ่งคือเฉียนหยินหนิง อีกคนก็คือฮัวเชา”
“หัวหน้าห้องสุดยอดดดดด ไม่เสียแรงจริงๆที่เป็นหัวหน้าห้องของพวกเรา”
“เชิญแล้วก็อีกเรื่องหนึ่งแต่ถ้าเฉียนหยินหนิงไปด้วยนี่ย่อมดีอย่างแน่นอน ได้ข่าวว่าตอนนี้เธอยังโสดอยู่นี่นา”
“ห้ะ เธอโสดแล้วยังไงฟะ ตอนที่เรียนกันเธอก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจนายเลยสักหน่อย นายไม่มีโอกาสหรอกน่า ได้เห็นเดี๋ยวก็เก๊กซิมไปป่าวๆ”
“พูดอย่างนี้มาฆ่ากันเลยดีกว่า”
“หัวหน้าห้อง ที่นายบอกว่าลูกพี่ฮัวนี่…คงไม่ใช่ฮัวหยุนชูหรอกนะ”
“ก็ฮัวหยุนชูนั่นแหล่ะ ตอนนี้เขากลายเป็นนายน้อยเต็มตัวแล้ว” เจียงหวางเองก็ดูเหมือนว่าค่อนข้างจะให้ค่ากับฮัวหยุนชูเอาไว้พอสมควรเลยทีเดียว
“ฉันไปแน่นอน หากว่าเขาไปจริงๆล่ะก็นะ ไม่คิดเลยว่าหัวหน้าห้องจะรู้จักกับลูกพี่ฮัวด้วย”
“เดี๋ยวนะ หมอนั่นไม่ได้อยู่ห้องเรียนเดียวกับเรานี่ ไม่สิ ไม่ใช่มหาวิทยาลัยเดียวกันด้วยซ้ำ แล้วจะชวนมาเพื่อ?”
“ก็ฉันเห็นมีหลายๆคนสนใจเขานี่นา ไม่ดีหรอกเหรอที่เราจะได้มีโอกาสได้พบปะคนจากตระกูลฮัว ฉันเองไม่คิดว่าโอกาสนี้จะมีมาบ่อยๆหรอกนะ”
ด้วยข้อความของเจิ้งหวางที่พิมพ์เอาไว้นี้ได้แฝงเอาไว้ด้วยความหมายหลายๆอย่าง
อย่างแรกเรื่องค่าใช้จ่าย งานนี้จะใหญ่หรือเล็กนั้นเอาจริงๆแล้วขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่ไปอย่างแน่นอน
อย่างที่สอง สาวงาม ชื่อของเฉียนหยินหนิงนั้นถือได้ว่าเป็นตำนานดอกไม้งามของมหาวิทยาลัยแม้ว่าเธอจะจบออกมาแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถแทนที่เธอได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หนุ่มๆทั้งหลายอยากจะไปงานนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างที่สาม ฮัวหยุนชู แน่นอนว่าคนที่จบจากมหาวิทยาลัยไปแล้ว ยังไงซะก็ต้องเข้าสังคม การที่ได้พบเจอกับคนที่มีอำนาจในสังคมและได้ทำความรู้จักกันเอาไว้ย่อมเป็นสิ่งที่เหล่าคนทำงานใฝ่ฝันปรารถนา
เพราะยังไงซะการได้รู้จักคนที่มีอำนาจทั้งการเงินและทางสังคมเอาไว้ แน่นอนว่าเปรียบได้ดั่งป้ายเบิกทางที่ทำให้มีอนาคตอันรุ่งโรจน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใหญ่คนโตอย่างฮัวหยุนชูแล้ว หากได้รู้จักจนถือว่าเป็นเพื่อนกันได้ย่อมดีกว่าเผลอเป็นศัตรูกันในอนาคตอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาคนธรรมดาแล้ว ฮัวหยุนชูนั้นมาจากตระกูลที่ดี ดีเสียยิ่งกว่าซูจิ้งเสียด้วยซ้ำไป มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าซูจิ้งนั้น ในตอนนี้อยู่คนละระดับกับฮัวหยุนชูไปแล้ว นี่จึงเรียกได้ว่าความโดดเด่นในงานนี้ของซูจิ้งโดนขโมยไปในทันที
เมื่อเห็นข้อความเหล่านี้ทำให้ซูจิ้งเลือกที่จะถอนนิ้วของตัวเองออกจากโทรศัพท์มือถือ และเรียกที่จะไม่พิมพ์อะไรลงไป
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ซูจิ้งคิดจะพิมพ์ตอบอะไรเจียงหวางไปก็จริง แต่เมื่อเห็นข้อความเหล่านี้ทำให้เขานั้นอดที่จะสงสัยไม่ไดว่านี่เจียงหวังนั้นรู้จักฮัวหยุนชูจริงๆรึเปล่า
แต่เท่าที่ดูจากคำพูดต่างๆที่เขาเลือกใช้นั้นเหมือนกับบรรจงสรรสร้างขึ้นมาเพื่อให้ค่ากับฮัวหยุนชูอย่างบอกไม่ถูก
ความจริงแล้ว ตอนที่ซูจิ้งยังอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้น เขาเองก็เห็นเจียงหวางนั้นเป็นเด็กเรียนดีคนหนึ่ง แล้วยังเป็นคนที่เข้ากับคนได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะหากพูดถึงเรื่องการเรียนนั้นเรียกได้ว่าเป็นที่ที่ได้เกรดดีที่สุดของชั้นปีในแต่ละปีเลยก็ว่าได้ นี่จึงทำให้เขานั้นจบออกมาด้วยเกียรตินิยมมอันดับหนึ่ง
ในส่วนเรื่องสายสัมพันธ์เองเขานั้นก็ถือได้ว่าเป็นคนอัธยาศัยดีคนหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น เขาเป็นนักศึกษาที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่ว จนทำได้แม้กระทั่งมีชื่อติดหอเกียนติยศของมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว
และด้วยเหตุนี้ทำให้เขาได้รู้จักกับผู้คนมากมายทั้งหลายสาขาและชั้นปี ด้วยเหตุนี้ คนทั้งห้องจึงเห็นพ้องต้องกันโดยไม่ต้องนัดหมายว่าคนคนนี้ ต้องเป็นหัวหน้าห้องอย่างไม่ต้องสงสัย และนี่จึงเป็นเหตุผลที่เขานั้นได้รับการโหวตในทุกๆครั้งไปที่มีการเลือกหัวหน้าห้อง
ในภายหลัง เขาได้มีโอกาสเข้าร่วมกับสภานักศึกษาจนทำให้ทุกคนรู้จักและคุ้นเคยในหน้าตาอยู่บ้าง พร้อมทั้งเป็นคนหนึ่งที่ถูกคัดเลือกให้เป็นผู้นำนักศึกษาในการประกอบกิจกรรมต่างๆอยู่บ่อยครั้ง
จนในที่สุด เขาก็ได้มีโอกาสรู้จักกับคนจากมหาวิทยาลัยอื่น ตลอดจนเหล่าผู้คนที่คอยสนับสนุนกิจกรรมของมหาวิทยาลัย จึงเป็นเรื่องแปลกหากจะบอกว่าชายคนนี้ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน
อย่างไรก็ตาม การที่เจียงหวางไปรู้จักกับฮัวหยุนชูจนสามารถเชื้อเชิญมางานเลี้ยงรุ่นของตัวเองได้ขนาดนี้นี่ทำให้ซูจิ้งต้องประหลาดใจอย่างมาก
เพราะยังไงซะคนระดับฮัวหยุนชูนั้นไม่มีทางเลยที่คนธรรมดาอย่างเจียงหวางนั้นจะเป็นเพื่อนที่สนิทชิดเชื้อจนชวนมางานที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยอย่างนี้ได้อย่างง่ายดาย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนทั่วไปถึงคิดว่านี่เป็นโอกาสทองของชีวิต
ซูจิ้งที่เห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะโทรไปถามฮัวหยุนชูในทันที แต่ยังไม่ทันจะกดโทรไป ก็กลายเป็นว่าฮัวหยุนชูได้เป็นฝ่ายโทรมาหาเขาซะเอง
เมื่อซูจิ้งรับสาย ฮัวหยุนชูก็ได้พูดออกมาว่า “ลูกพี่จิ้ง เพื่อนของพี่ที่เป็นหัวหน้าห้องตอนมหาวิทยาลัยน่ะ รู้สึกว่าจะชื่อเจียงหวางนะ เขาโทรมาหาผมเพื่อเชิญผมไปงานเลี้ยงรุ่น ผมคิดว่าพี่น่าจะไปเลยเผลอตอบรับคำเชิญไปแล้ว ถ้าผมไปนี่จะมีปัญหาอะไรรึเปล่าอ่ะ”
“ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ ว่าแต่นายไปรู้จักหมอนั่นได้ยังไงกัน” ซูจิ้งถามออกมา
“หมอนั่นเป็นผู้จัดการโครงการของบริษัทผมน่ะ เขาดูกระตือรือร้นดีและดูเป็นคนที่ภักดีกับผม ผมเลยให้โอกาสเขาบ้างในบางครั้งน่ะ” ฮัวหยุนชูพูดออกมา
“….อืมมมมดูเหมือนว่านายจะไม่ได้เป็นเพื่อนกับหมอนั่นสินะ”
“เพื่อนเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า คนอย่างหมอนั่นไม่คู่ควรกับคำนี้สำหรับผมหรอกนะ”
นี่แสดงว่าหากซูจิ้งไม่ไปนั้น แน่นอนว่าคนอย่างเจียงหวางนั้นไม่มีทางจะชวนฮัวหยุนชูไปได้อย่างแน่นอน ที่ฮัวหยุนชูตอบรับเจียงหวางไปก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพราะเขาได้ยินชื่อซูจิ้งเลยเผลอไผลตกปากรับคำไปเท่านั้น
“หืม… เอ่อ เจียงหวางส่งข้อความมาถามผมว่าผมจะไปเองหรือไปกับเขา แล้วบอกอีกว่าถ้าไม่ว่าอะไรเจียงหวางจะขอเป็นสารถีขับรถให้ผมเอง….พี่จิ้ง ดูเหมือนว่างานนี้คงต้องให้พี่ตัดสินใจแล้วล่ะ”
ฮัวหยุนชูที่ตอนนี้เองก็เริ่มคิดว่าเรื่องมันทะแม่งทะแม่งตั้งแต่ที่ซูจิ้งถามเขาเรื่องเป็นเพื่อนกับเจียงหวางแล้ว ยิ่งเห็นข้อความนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมอบให้ลูกพี่ของเขาเป็นผู้ตัดสินใจในทันที
ซูจิ้งเองที่ได้ยินแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะสั้นๆแบบซังกะตายออกมาหนึ่งที พลางคิดไปว่าดูเหมือนว่าเจียงหวางคนนี้จะคิดไม่ซื่อกับเพื่อนร่วมชั้นสมัยมหาวิทยาลัยแล้วเป็นแน่ถึงได้พยายามสร้างความประทับใจให้เพื่อนร่วมรุ่นแบบนี้
โดยเฉพาะแทนที่เขาจะถามว่าใครจะไปกับเขาบ้าง เขากลับมาถามฮัวหยุนชูเป็นการส่วนตัวแทนแบบนี้นี่แสดงให้เห็นว่าต้องการจะสร้างภาพตัวเองชัดๆ
นี่ทำให้เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าตอนที่หมอนี่เป็นหัวหน้าห้องและสภานักเรียนได้ทำอะไรไว้บ้างกันแน่
แต่ไม่ว่าจะมั่นใจยังไงก็ตาม แต่เพียงแค่คำพูดของเขาและฮัวหยุนชูนั้นก็ไม่สามารถพูดเอาผิดเจียงหวางได้แน่นอน
เป็นไปได้ว่าการที่หมอนี่ทำอย่างนี้เป็นเพราะต้องการสร้างอำนาจให้ตัวเองด้วยการสร้างความประทับใจให้ผู้คนก็เป็นไปได้
คราวนี้ ซูจิ้งได้กลับไปดูข้อความที่โต้ตอบกันของกลุ่มเพื่อนเก่านี้ ละได้พบว่าแม้แต่เสี่ยวรุยและหลินฮ่าวเองก็ได้ส่งข้อความออกมาด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นดังนั้น ซูจิ้งจึงได้กับฮัวหยุนชูว่า “เอาเป็นว่าวันมะรืนนี้นายไปเจอกับฉันที่โรงแรมนานาชาติหลงเต็งของเมืองจงหยุนก็แล้วกัน หลังจากนั้นเราค่อยไปเมืองฉิงหยุน แล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าจะเอาไงต่อ”
“รับทราบครับลูกพี่” ฮัวหยุนชูตอบออกมาอย่างไม่ต้องคิดมากแต่อย่างใด
เพียงหลังจากซูจิ้งได้วางสายไปสักพัก อยู่ๆเจียงหวางก็ได้พูดออกมาในกลุ่มของเพื่อนร่วมรุ่นมหาวิทยาลัยว่า “ฉันเห็นว่าตอนนี้พวกเรานั้นหาเวลาเจอกันได้ยากเย็น
จึงขอเสนอว่าในเมื่อวันมะรืนนี้เป็นวันอาทิตย์ ทุกคนก็ไม่น่าจะต้องทำงานกัน เอาเป็นเรามาเจอกันที่โรงแรมนานาชาติจองหยุนหลงเต็งกันดีกว่า
หลังจากนั้นพวกเราค่อยไปที่เมืองฉิงหยุนเพื่อเที่ยวด้วยกัน ใครที่มาล่ะก็ฉันจะออกค่าใช้จ่ายให้เอง”
เพียงสิ้นคำของเจียงหวางไปทำให้มีข้อความเล็กๆน้อยๆของเพื่อนร่วมรุ่นของเขาขึ้นมามากมาย และหลายคนเองก็เห็นด้วยในทันที
ซูจิ้งเองก็ทำการตอบรับความคิดเห็นนี้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ที่เขาคิดไม่ถึงมาก่อนก็คือ หวังหยานนั้นตอบรับที่จะเข้าร่วมแทบจะในทันทีที่เขาส่งข้อความไปแล้ว
GGS:บทที่ 1086 ด้วยกัน
ทั้งซูจิ้งและหวังหยานนั้นได้ให้คำตอบว่าจะเข้าร่วมด้วยแทบจะพร้อมๆกัน นี่ทำให้ซูจิ้งถึงกับต้องคิดไปไกลในทันที
ความจริงเขาเองเมื่อเห็นว่าหวังหยานจะไปด้วยนั้นในตอนแรกก็คิดเหมือนกันว่าจะถอนตัว แต่เขาเองก็กลัวว่าจะมีคนอื่นได้เห็นข้อความของเขาแล้วเหมือนกัน
หากเป็นอย่างนั้นการที่เมื่อหวังหยานส่งข้อความแล้วเขาถอนตัวจะกลางเป็นเด็นที่เขาไม่อยากจะพูดถึงมันอีกขึ้นมาในทันที จะถอนตัวไปตอนนี้ก็คงจะเท่านั้นแล้ว
บรรยากาศในห้องแชทตอนนี้เริ่มอึดอัดไปในเล็กน้อย ทุกคนในห้องแชทนั้นต่างก็รู้เรื่องราวเกี่ยวกับซูจิ้งและหวังหยานไม่มากก็น้อยแต่บอกได้ว่าไม่มีใครที่ไม่รู้เรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม เพื่อนเก่าของเขาเองก็รู้ดีว่าต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นจึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที หลายๆคนที่เห็นข้อความของซูจิ้งที่จะเข้าร่วมจึงได้เลือดพูดคุยกับเขาผ่านห้องแชท ด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
“ซูจิ้ง นายนี่มันเหลือเกินเลยจริงๆนะ ฉันได้ยินข่าวของนายอยู่บ่อยๆจนแทบจะไม่อยากเชื่อเลยว่านายเป็นซูจิ้งที่เราเคยรู้จักกันน่ะ”
“บุหรี่ของนายนี่สุดยอดจริงๆเลยนะบอกไว้ก่อน”
“ข้าวสีน้ำเงินของนายเองก็อร่อยมากเลยนะ เสียดายที่มันแพงมาก นายไม่คิดจะลองวางขายเกรดที่คนทั่วไปซื้อกินได้ทุกวันบ้างเลยเหรอ”
“เฮ้ ฉันใช้โทรศัพท์กาลเวลาของนายด้วยนะ บอกได้เลยว่าเหนือล้ำกว่าใครเลยล่ะ”
ซูจิ้งหัวเราะเล็กน้อยก่อนที่จะไล่ตอบข้อความของทุกคนอย่างครบถ้วน แล้วบอกไปว่าในงานนี้เขาจะนำของดีๆไปให้ลองกันด้วย นี่ทำให้ทุกคนแสดงความตื่นเต้นออกมาในทันที นั่นก็เพราะซูจิ้งในตอนนี้คือใครกันล่ะ เขาก็คือคนที่คิดค้นสุดยอดผลิตภัณฑ์มากมายออก ของที่เขานำมานั้นย่อมเป็นของดีที่แท้จริงอย่างแน่นอน
ในกลุ่มแชทเหล่าพี่น้องนอกเลือดของซูจิ้งนั้น เสี่ยวรุยได้ส่งข้อความโดยติดแท็กชื่อของซูจิ้งไว้ว่า “พี่สาม ตอนที่เราคุยกันพี่บอกว่าจะไม่ไปไม่ใช่เหรอ”
“ก็นี่มันงานเลี้ยงรุ่นทั้งทีเลยนา…. กับเรื่องแบบนี้ฉันพร้อมที่จะมีเวลาให้เสมอ” ซูจิ้งตอบกลับไป
“ตอนที่ไปถึงจริงๆไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้เวรตะไรเจียงนั่นจะทำหน้ายังไงเหมือนกันนะ ไอ้หมอนั่นคิดว่าการที่ไปพร้อมกับฮัวหยุนชูจะสร้างภาพให้ตัวเองได้รึไงกัน” หลินฮ่าวได้พิมพ์เข้ามา
“ถึงตอนนั้นจริงๆก็ปล่อยมันไปละกัน” ซูจิ้งพิมพ์ตอบออกไป
“หมอนั่นคงไม่ใช่ว่าไปเพื่อจีบพี่สะใภ้หรอกนะ หากเป็นอย่างนั้นจริงพี่จะไม่เป็นอะไรเหรอที่จะมีเรื่องกับหมอนั่น” เสี่ยวรุยพิมพ์ถามออกมาด้วยความเป็นกังวล
“นั่นสิ ยังไงซะฮัวหยุนชูเองก็ไม่ธรรมดาเลยนา อย่าประมาทหมอนั่นเป็นอันขาด” หลินฮ่าวพิมพ์เสริมเข้ามา
“โอ้…. เรื่องนั้นถ้าหมอนั่นทำได้ลงฉันก็ไม่ว่านะ” ซูจิ้งพิมพ์ตอบกลับไปเพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นจริงราวกับไฟที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้หากไม่เริ่มมาจากควัน ในตอนนั้นเองฉือเล่ยก็ได้ถามออกมาว่า “แล้วพี่สองล่ะ ทำไมเขาไม่มาคุยด้วยเนี่ย”
“หมอนั่นประชุมอยู่นะ แต่ก็บอกอยู่นะว่าจะไป” หลินฮ่าวพูดออกมา
“เยี่ยมมมม งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
สองวันถัดมาในตอนเช้า ณ ห้องงานเลี้ยงหนึ่งที่อยู่ชั้นสองของโรงแรมนานาชาติหลงเต็ง
ชายหนุ่มและหญิงสาวกลุ่มหนึ่งได้เดินเข้าห้องมา คนแรกที่เข้ามานั้นคือเจียงหวาง เขานั้นได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเหล่าศิษย์ร่วมรุ่นที่มาถึงก่อน
ก่อนหน้านี้ทุกคนนั้นได้วุ่นวายเกี่ยวกับการจัดแจงงานต่างๆ หลังจากนั้นก็มีติงบินและเทียนยี่เข้ามา ทั้งสองอยู่ที่เมืองจงหยุนนี่เองจึงได้มาถึงก่อนใคร
ไม่นานชายหนุ่มที่หน้าค่อนข้างยาวคนหนึ่งก็ได้เดินเข้ามา เมื่อชายหนุ่มคนนี้มาถึงทำให้ติงบินและคนอื่นๆต่างก็ตกตะลึงไปสักพักเพราะชายคนนี้พวกเขาน่าจะไม่รู้จัก
“โอ้คุณซ่ง” ในตอนนั้นเอง เจียงหวางก็ได้ร้องทักทายออกมาจากด้านหลัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณหวาง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ชายหนุ่มหน้ายาวหัวเราะออกมา ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะมาที่นี่เป็นเพราะเจียงหวางเป็นคนเชิญมา
หากซูจิ้งหรือหวังหยานมาถึงล่ะก็จะต้องจำได้ในทันที เพราะชายคนนี้คือคนที่ตระกูลหวางพยายามจะให้หวังหยานแต่งงานด้วย คนๆนี้ก็คือโอฉิงซง
หมอนี่เองก่อนหน้านี้ก็ได้ยืนอยู่ฝั่งนักคาราเต้ชาวญี่ปุ่นตอนมีเรื่องกับซูจิ้งในคราวแย่งกันเป็นผู้ได้รับสัมปทานโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ และแน่นอนว่าหวังหยานไม่มีทางสนใจคนแบบนี้อย่างแน่นอน
ความจริงแล้วที่โอฉิงซงนั้นมาทำตัวรู้จักกับเจียงหวานนั้นก็เป็นเพราะหวังหยานนั่นเอง หรือจะพูดก็คือเขารู้จักกันได้ก็เพราะหวังหยาน
ตอนที่โอฉิงซงนั้นต้องการรู้เรื่องราวของหวังหยานให้มากขึ้นเพื่อที่จะได้จีบเธอได้ง่ายขึ้นจึงได้ไปหาข้อมูลของเธอจากเพื่อนเก่าๆ และนั่นทำให้เขาได้รู้จักเจียงหวางไปโดยปริยาย
และแน่นอนเหตุผลที่โอฉิงสงมาในครั้งนี้เองก็ถือได้ว่าเขากับเจียงหวางนั้นได้รับประโยชน์แอบแฝงต่อกันอยู่
โอฉิงซงนั้นต้องการใช้ประโยชน์จากเจียงหวางในเรื่องของหวังหยาน ส่วนเจียงหวานเองก็อย่างจะทำความรู้จักแบบสนิทชิดเชื้อกับโอฉิงซงที่เป็นลูกคนรวยเอาไว้
นี่จึงทำให้เขานั้นบอกเรื่องราวเกี่ยวกับหวังหยานให้กับโอฉิงซงได้รู้อย่างหมดเปลือก และเขายังเป็นแนะนำการจีบสาวให้กับโอฉิงสงเสียด้วยซ้ำไป
และเมื่อโอฉิงสงมาถึงที่นี่เองก็ทำให้เจียงหวางได้รับผลประโยชน์ได้อย่างไม่ต้องสืบ ด้วยการที่เขานั้นเป็นหัวเรือในการจัดงาน และย่อมรู้ดีว่าหวังหยานนั้นมาอย่างแน่นอน
เมื่อรู้เรื่องนี้ เขาก็ได้รีบบอกโอฉิงซงในทันที ถึงแม้ในตอนแรกนั้นโอฉิงซงนั้นจะไม่อยากมาเท่าไหร่ แต่เมื่อเขารู้มาว่าในงานนี้มีฮัวหยุนชูมาด้วยจึงคิดได้ว่าเจียงหวานน่าจะเกาะขาฮัวหยุนชูเพื่อทัดทานซูจิ้ง การที่เขาไปในครั้งนี้ก็สมควรจะไม่มีเรื่องอะไรลามมาถึงเขาจึงได้ตัดสินใจมา
แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือเขานั้นยังไม่ตัดใจจากหวังหยานและคิดจะมาที่นี่เพื่อจะขอลองจีบเธอดูเป็นครั้งสุดท้าย
ไม่นานนัก คนถัดไปก็มาถึง นั่นก็คือหลินฮ่าว เสี่ยวรุย และฉือเล่ย ไล่ๆกันมา
หวังหยานเองก็ตามทั้งสามไม่ห่างกันมากนัก เธอมาด้วยท่าทางที่งามสง่าราวพร้อมรัศมีคนรวยอย่างเห็นได้ชัด
เธออยู่ในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้ารูปนี่ทำให้เธอดูเป็นจุดดึงดูดให้กับงานครั้งนี้ได้อย่างดีเลยทีเดียว
ผลยาวของเธอปลิวไสวตามแรงลม ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มที่เติมแต่งไปด้วยรอยยิ้มละไมเล็กน้อยทำให้เธอนั้นดูมีเสน่ห์ดึงดูดที่ไม่มีสิ้นสุดจริงๆ
ชายในงานทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังเธอจนทำให้ยากที่จะขยับไปไหนได้ในทันที
อย่างไรก็ตามเมื่อเธอได้เห็นโอฉิงซงนั้นก็ต้องถึงกับคิ้วขมวดจนรอยยิ้มหุบลงในทันใด โอฉิงซงเองที่เห็นเธอก็ได้รีบทักทายเธอด้วยรอยยิ้มละไมในทันที แต่เธอเองก็ทำเพียงพยักหน้ารับพร้อมใบหน้านิ่งเรียบและแววตาที่เย็นชา
อย่างไรก็ตาม โอฉิงซงนั้นหาได้ใส่ใจไม่ เพราะในครั้งนี้เขาเตรียมใจมาพร้อมที่จะสู้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
ถัดมา คนที่มาถึงคนถัดไปก็คือ เฉียนหยินหนิง การปรากฏตัวของเธอนั้นเรียกได้ว่าสะกดคนได้ไม่แพ้หวังหยานเลยแม้แต่น้อย
เธอมาในชุดกางเกงยีนส์ขาสั้นที่โชว์เรียวขายาวเข้ารูปของเธออย่างไม่อาจจะละสายตาได้ เธอมสาด้วยเสื้อทีเชริตสีขาวธรรมดา แต่นั่นก็เพียงพอที่จะโชว์ให้เห็นสัดส่วนและความเซ็กซี่ของทรวงอกได้อย่างดี นี่คือสิ่งที่เรียกได้ว่า เรียบง่ายแต่เย้ายวน และเมื่อรวมเข้ากับใบหน้าจิ้มลิ้มหน้ารักที่ดูงามกว่าหวังหยานแล้ว
เธอเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่คู่ควรกับคำว่าเสน่ห์ไร้สิ้นสุดจริงๆ
ในตอนนั้นเองเจียงหวางก็ได้มีสายตาที่เปล่งประกายและได้ก้าวขึ้นหน้ามาต้อนรับและพูดคุยในทันที ฉากนี้เองก็เป็นอีกหนึ่งที่ทำให้เหล่าเพื่อนเก่าทั้งลายคิดไปว่าเฉียนหยินหนิงนั้นถูกเจียงหวางเชิญมา และทั้งสองนั้นน่าจะคุ้นเคยกันดี
แต่ไม่ทันทีทุกคนจะได้คิดไปไกลสักเท่าไหร่ก็ต้องมีความรู้สึกประหลาดใจกันทั่วหน้า นั่นก็เพราะเฉียนหยิงหนิงนั้นดูไม่ได้แสดงท่าทีรู้จักมักคุ้นกับเจียงหวางเลยแม้แต่น้อย เธอได้เดินผละออกมาราวกับไม่อยากจะทำความรู้จักเลยสักนิด เธอมองไปทั่วงานจนกระทั่งสายตาไปจบอยู่ตรงหวังหยาน นี่เองจึงทำให้ทุกคนเข้าใจได้ในทันทีว่าเธอมาที่นี่ก็เพราะหวังหยานนั่นเอง
ไม่นานนักก็ได้มีรถรินคอนยาวพิเศษคันหนึ่งได้มาจอดที่โรงแรม เมื่อคนข้างในได้เปิดประตูออกมานั้นก็ได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ คนๆนั้นก็คือฮัวหยุนชูนั่นเอง
เมื่อเจียงหวางได้เห็นจากชั้นสองแล้วนี่ทำให้เขานั้นรู้สึกกระหยิ่มย่องในใจในทันทีและเตรียมที่จะวิ่งลงมาต้อนรับแล้ว
แต่ในตอนนั้นเอง ประตูอีกบานหนึ่งก็ได้เปิดออกมาและมีชายหนุ่มอีกสองคนได้ก้าวออกมาจากรถ เมื่อเจียงหวาง หวังหยาน โอฉิงซง ติงบิน หลินฮ่าว และคนอื่นๆได้เห็นต่างก็จำได้ในทันทีว่าสองคนนี้เป็นใคร
ทุกคนที่เห็นแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเพราะว่าสองคนนี้คือฟูฮงซิ่วและหยวนหยินหนิงนั่นเอง นี่หมายความว่าสามในสี่ของเหล่าบุรุษที่ได้รับฉายาว่าคุณชายสี่ได้มางานนี้เรียบร้อยแล้ว
แค่ฮัวหยุนชูมางานนี้ได้ก็ถือว่าน่ามหัศจรรย์มากแล้ว ไม่คิดเลยว่าเขานั้นจะชวนคนอื่นอย่างฟูฮงซิ่วและหยวนหยินหนิงให้มางานนี้ด้วยได้ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
ตอนนี้เหล่าเพื่อนร่วมรุ่นที้งหลายเริ่มรู้สึกประหม่ากันเล็กน้อยจนเริ่มเห็นได้แล้ว แค่ฮัวหยุนชูมาเองคนเดียวพวกเขายังทำตัวกันไม่ถูกเลยด้วยซ้ำ
นับประสาอะไรกับการมาของฟูฮงซิ่วและหยวนหยินหนิงกัน ตอนนี้หลายๆคนเริ่มคิดที่จะหาวิธีแนะนำตัวกับคนทั้งสามยังไงดี
บางคนเองก็คิดว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าหาจึงเลือกที่จะหาโอกาสในภายหลังจะดีกว่า การมาของทั้งสามคนนี้เรียกได้ว่าทำให้เหล่าคนที่มางานเลี้ยงรุ่นในครั้งนี้ถึงกับไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว
อย่าว่าแต่คนในงานเลี้ยงรุ่นเลย แม้แต่แขกของโรงแรมเองก็มีท่าทีประหม่าไม่ต่างกัน ไม่เพียงเท่านั้น ผู้จัดการของโรงแรมเองที่รู้ข่าวก็ได้รีบออกมาต้อนรับในทันทีด้วยเหงื่อที่เปียกโชกไปทั่วหน้าผาก
แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเขานั้นไม่ได้เตรียมตัวที่จะต้อนรับสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งนครหลวงเหล่านี้เลยสักนิด และในตอนนั้นเอง เจียงหวางก็ได้วิ่งลงมาจากบันไดด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเพื่อต้อนรับคนทั้งสาม
GGS:บทที่ 1087 ร่วมมือ
“เราอย่ามานั่งกันตรงนี้ดีกว่าครับ เข้าไปในงานกันดีกว่า” เจียงหวางได้พูดออกมาหลังจากออกมาต้อนรับฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิง พลางรินชาให้ทั้งสามอย่างช้าๆ โดยที่รายรอบไปด้วยผู้คนของโรงแรมที่ไม่กล้าจะนั่งหรือแม้แต่จะเข้ามาพูดคุยแต่อย่างใด
ในสายตาของคนพวกนี้แล้ว ทั้งสามเหมือนมานั่งพูดคุยกันเองโดยไม่คิดที่จะสนใจแม้แต่เจียงหวางก็ตาม ยังดูที่ทั้งสามยังคุยกันด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะสนิทสนมทำให้บรรยากาศบริเวณนี้ไม่อึมครึมไปกว่านี้
ไม่เพียงแค่เจียงหวางเท่านั้น ตอนนี้แม้แต่โอฉิงซงและเหล่าเพื่อนร่วมรุ่นของเจียงหวางเองก็ได้เข้ามาพูดคุยกันในบริเวณนี้
คิดไม่ถึงว่าในคราวนี้ทั้งสามยินดีที่จะพูดคุยกับเพื่อนร่วมห้องของเจียงหวางอย่างไม่วางท่ามาก นี่ทำให้บรรยากาศในตอนนี้ดูอบอุ่นขึ้นกว่าเดิม
แต่กับเสี่ยวรุย ฉือเล่ย และหลินฮ่าว นั้น พวกเขาหาได้สนใจไม่ พวกเขายังคงพูดคุยอยู่กับติงบิน เตียนยี่ และคนอื่นๆ
ถึงแม้ว่าเฉียนหยิงหนิงจะค่อนข้างจะประหลาดใจแต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเธอเหมือนกันเพราะจะหาอะไรทำแก้เซ็งไป ส่วนหวังหยานในตอนนี้เธอไปพูดคุยกับเพื่อนหญิงของเธอบางคน จนตอนนี้ดูเหมือนกับว่าภายในงานนั้นแบ่งกลุ่มกันพูดคุยกันอย่างชัดเจน
การพูดคุยของทุกคนในครั้งนี้เปรียบได้ดั่งทหารที่เหลือรอดจากศึกษาสงครามเลยก็ว่าได้ นั่นก็เพราะไม่นับรวมกับกลุ่มของพี่น้องนอกเลือดของซูจิ้ง และกลุ่มของหวังหยานแล้ว คนอื่นๆได้ลงไปพูดคุยกับสามคุณชายสี่ไปจนหมดสิ้น จะเรียกได้ว่างานนี้เกือบจะกร่อยไปแล้วก็ว่าได้เช่นกัน
สำหรับแขกคนอื่นของโรงแรมนานาชาติหลงเต็งเองที่เห็นฉากนี้ก็เริ่มผ่อนคลายลงมาบ้างและได้เริ่มพูดคุยกัน
“ได้ยินมาว่าฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิงมาที่นี่นะ”
“ห้ะ นี่มันเรื่องอะไรกันล่ะ ทำไมสามคนนั่นถึงมาที่นี่ด้วยกันได้”
“ได้ยินว่าพวกเขามาเป็นแขกพิเศษในงานเลี้ยงรุ่นของศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเทียนหยางนะ แต่ฉันว่าที่สามคนนั่นมานี่ไม่ได้สนใจงานอะไรแบบนี้หรอก ฉันว่าพวกเขามาเพราะผู้หญิงมากกว่า เมื่อกี้ฉันเห็นสาวสวยใจงานตั้งสองคนแน่ะ”
“ฮิฮิฮิ สาวสวยพวกนั้นคงไม่รอดพ้นจากเงื้อมมือทั้งสามแล้วล่ะ”
“พวกเราจะไปแจมด้วยดีรึเปล่า”
“ฉันว่าอย่าดีกว่านะ กับฮัวหยุนชูและหยวนหยินหนิงเองถ้ารู้เรื่องนี้ก็คงไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่กับฟูฮงซิ่วนี่ถ้าเขาอยู่นี่ฉันไม่เอาด้วยหรอก เขาเป็นคนเอาแต่ใจ หยิ่งทะนง และเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบสุดๆ ถ้าเผลอไปทำให้เขาโกรธล่ะก็ต่อให้ได้ยังไงก็ไม่คุ้ม”
จะไม่ให้แขกของโรงแรมพูดคุยเรื่องของทั้งสามก็คงจะแปลกเกินไป นั่นก็เพราะแต่ละคนนั้นคือคุณชายสี่ที่มีชื่เสียงและเงินมากมายมหาศาล แค่ได้เห็นแค่ทีละคนก็น่าแปลกใจแล้ว แต่นี่พวกเขากลับมาที่นี่กันทีเดียวกันถึงสามคน
ในห้องสำนักงานของโรงแรม หลี่เชิงได้อ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง ตอนนั้นเองก็ได้มีเสียงเคาะประตูขึ้น เขานั้นไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาดูแต่อย่างใดทำเพียงพูดออกมาว่า “เข้ามา”
ชายหนุ่มคนหนึ่งได้เข้ามาก่อนที่จะปิดประตูแล้วรีบตรงเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของหลี่เชิงในทันทีว่า “นายน้อยครับ ผมมีเรื่องเกี่ยวกับฮัวหยุนชู หยวนหยินหนิงและฟูฮงซิ่วมารายงาน”
“…..เรื่องอะไร” หลี่เชิงที่นิ่งไปพักหนึ่งได้รีบถามออกมาในทันที
“ดูนี่สิครับ พวกเขาได้ไปปรากฎตัวในงานเลี้ยงรุ่นของซูจิ้ง” ชายหนุ่มได้นำโทรศัพท์ของตัวเองออกมาก่อนที่จะเปิดภาพถ่ายให้หลี่เชิงดูในทันที
มันเป็นภาพของฮัวหยุนชู หยวนหยินหนิง และฟูฮงซิ่วกำลังเดินเข้าไปในโรงแรมนานาชาติหลงเต็ง เท่าที่ดูแล้วนี่น่าจะเป็นภาพถ่ายจากใครบางคนที่เห็นและได้โพสต์ขึ้นไปบนอินเตอร์เน็ต
“พวกนั้นจะทำอะไรกัน” หลี่เชิงขมวดคิ้วในทันที เขามั่นใจแล้วว่าก่อนหน้านี้ทั้งสามคนนั้นได้รวมหัวกันเพื่อเล่นงานซูจิ้งแล้วได้ก่อเรื่องจนทำให้เว่ยเสี่ยวหยวนตกตึกลงมาและทำให้เสี่ยวไจ๋พ่ายแพ้ไป แม้ตอนแรกเขาจะไม่แน่ใจแต่ยังไงเขาก็ยังเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตนเอง เขาจึงได้ให้คนของตัวเองคอยจับตาดูเอาไว้
อย่างไรก็ตอบ ก่อนหน้านี้เขาก็นึกว่าสามคนนี้จะเลือกที่จะเคลื่อนไหวลับหลังตามที่บอกเขามาก่อนหน้านี้ แล้วทำไมอยู่ๆสามคนนี้ถึงได้แสดงออกอย่างเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันแบบนี้ แถมยังกล้าไปงานเลี้ยงรุ่นของซูจิ้งได้อีก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ การกระทำแบบนี้นี่ไม่ต่างจากเปิดเผยสถานะต่อซูจิ้งหรอกเหรอ
ขณะเดียวกันที่สำนักงานใหญ่ของกลุ่มทุนห้วงเวลา ทั้งเฉิงหนานและหวังจ้าวเองในทันทีที่รู้เรื่องนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีตื่นเต้นตกใจกันไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมไอ้พวกนั้นถึงไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นของซูจิ้งได้ล่ะ ไม่ใช่ว่าพวกนั้นมันขัดแย้งกับซูจิ้งอยู่หรอกเหรอ” หวังจ้าวถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวดในทันทีที่เห็นข่าวนี้
“จริงๆแล้วก่อนหน้านี้บริษัทในเครือตระกูลของสามคนนี้ได้ขอร่วมหุ้นกับเราโดยเสนอเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์กับเราแบบสุดๆ
ตอนนั้นเองฉันคิดว่าต้องมีลับลมคมในอยู่จึงได้ไปปรึกษาอาจิ้งแล้ว แต่เขากลับบอกมาเพียงว่าให้เซ็นๆไปอย่าคิดอะไรมาก ฉันเองก็ได้ลองสืบเรื่องนี้ดูแล้วแต่ก็ไม่ได้อะไรเลยเหมือนกัน” เฉิงหนานพูดออกมา
“อืมมมม…งั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรหรอกนะ…คิดว่านะ” หวังจ้าวเปลี่ยนท่าทีพลางพยักหน้าในทันที
“ตอนนี้มีคนส่งข่าวมาในอินเตอร์เน็ตว่าซูจิ้งยังอยู่ในพื้นที่ซื้อของของโรงแรมนานาชาติหลงเต็งแล้ว ดูเหมือนเขาเองก็รู้เรื่องนี้แล้วเหมือนจะเตรียมตัวทำอะไรบางอย่าง” เฉิงหนานได้พูดข้อมูลจากข่าวที่มีคนโพสต์ในเน็ตด้วยท่าทีคิ้วขมวด
ทั้งสองคนนั้นค่อนข้างเป็นกังวลกับเรื่องนี้พอสมควร พวกเขากลัวว่าสามคนนี้จะร่วมมือกันเพื่อโค่นล้มซูจิ้งและกลุ่มทุนห้วงเวลาฯของพวกเขา หากเรื่องนั้นเกิดขึ้นจริงๆล่ะก็ต้องน่าสะพรึงกลัวไม่น้อยเลยทีเดียว
“สามคนนี้ร่วมมือกันงั้นเหรอ” เมื่อหนิงหยิงติงที่เป็นผู้จัดการทั่วไปของยริษัทซิหลานได้เห็นข่าวนี้ก็ถึงกับต้องเลิกคิ้วและพูดพึมพัมออกมาในทันที ก่อนที่จะพูดออกมาต่อว่า “คราวนี้ซูจิ้งน่าจะต้องเกิดอันตรายขึ้นแน่ๆ ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าเขานั้นทำตัวเด่นในช่วงนี้เกินไปจริงๆ”
เธอนั้นยังจำได้ดีเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นต่อหน้าเธอในงานเลี้ยงที่เธอจัดขึ้นในวันนั้น ซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจฟูฮงซิ่วเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเล่นงานฟูฮงซิ่วจนลงไปกองกับพื้นอย่างไม่แยแสต่อสิ่งใดเลยสักนิด
หากเป็นฟูฮงซิ่วคนเดียวคงไม่กล้าแม้แต่จะคิดเอาคืนแม้แต่น้อย แต่นี่ เขาไปร่วมกับฮัวหยุนชูและหยวนหยินหนิงแบบนี้แล้วซูจิ้งจะเอาอะไรไปสู้
“หึหึหึ ในที่สุดก็จะได้เห็นเรื่องดีๆสักที” ณ บ้านพักแห่งหนึ่ง ฉิวจิงที่เห็นข่าวนี้ก็แสดงท่าที่ติ่นเต้นขึ้นมาในทันที ด้วยการที่ก่อนหน้านี้เขาได้ไปหาเรื่องซูจิ้งเอาไว้
ต่อให้ซูจิ้งไม่ได้ทำอะไรแม้แต่จะสนใจการคงอยู่ของเขาด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นว่าเรื่องที่เขาใส่ร้ายซูจิ้งไว้มากมายได้ย้อนกลับมาทำลายตัวเขาเองจนทำให้หน้าที่การงานแทบจะจบสิ้น
จากหมอใหญ่อนาคตไกลในตอนแรก มาในตอนนี้เขาได้รับหน้าที่ในการดูแลคลีนิคเล็กๆของโรงพยาบาลเท่านั้น ภรรยาที่จากเข้าไปก็ไม่เคยคิดกลับมาเขาอีกแม้แต่น้อย นี่จึงทำให้ชีวิตของเขานั้นพลิกกลับไปเป็นไร้ค่าในทันที
ความจริงเขาเองก็ได้ยินเรื่องงานเลี้ยงรุ่นนี้มาอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร นั่นก็เพราะเขานั้นไม่อยากเห็นซูจิ้งที่นับวันได้ดิบได้ดียิ่งๆขึ้นไปมาเทียบกับตัวเองที่นับวันจะตกต่ำลงแบบนี้
แต่มาใจตอนนี้ไม่ว่าใครดูก็รู้ว่าฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิงนั้นได้ร่วมมือกันเพื่อจะก่อปัญหาให้ซูจิ้งอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะกับหยวนหยินหนิงที่ต้องระเห็ดออกจากกลุ่มคุณชายสี่อย่างไม่เต็มใจโดยมีซูจิ้งเข้ามาแทนที่แบบนี้ย่อมแค้นฝังลึกกว่าใครแน่นอน
หากทั้งสามร่วมมือกันแบบนี้ย่อมไม่มีทางจับมือกันเพื่อร่วมงานกับซูจิ้งเป็นแน่ ฉิวจิงจึงเริ่มสนใจข่าวงานเลี้ยงนี้ในทันทีเพระอยากจะเห็นซูจิ้งต้องตกต่ำหรืออับอายบ้างสักนิดก็ยังดี
ไม่เพียงแต่ฉิวจิงเท่านั้น ทั้งหวู่จู จินชิซู คิมูระ และคนอื่นๆที่เคยหาเรื่องซูจิ้งเอาไว้ต่างก็จับตาดูงานเลี้ยงนี้กันอย่างใกล้ชิด
แม้แต่เหล่าชนชั้นสูงเองก็อดไม่ได้ที่จะจับตามองงานเลี้ยงนี้เช่นเดียวกัน นั่นก็เพราะพวกเขานั้นเกรงว่าหากสามคนนี้ร่วมมือกันแล้วล่ะก็ คราวนี้ซูจิ้งน่าจะยากที่จะรอดพ้นไปได้เป็นแน่
นี่จึงทำให้ งานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นอย่างลวกๆกลับกลายเป็นสนามรบที่พายุโหมกระหน่ำในทันที
หลังจากผ่านไปสิบนาที โทรศัทพ์ของฮัวหยุนชูก็ได้มีข้อความส่งเข้ามา ฮัวหยุนชูได้รีบเปิดดูข้อความ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยืนขึ้นในทันที
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณฮัว” เจียงหวางพูดออกมา
“หากว่าคุณฮัวอยากจะหาอะไรดื่มหรืออยากได้อะไรมานั่งกินเล่นล่ะก็บอกผมก็ได้นะเดี๋ยวผมไปดูมาให้” โอฉิงซงได้พูดออกมาด้วยท่าทีประจบประแจง
“ไม่ใช่เรื่องของพวกแก” ฮัวหยุนชูได้พูดออกมาอย่างไม่ใยดี และในตอนนี้เอง ฟูฮงซิ่วและหยวนหยินหนิงก็ได้ยืนขึ้นเช่นเดียวกันก่อนที่จะรีบเดินออกจากห้องงานเลี้ยงแล้วรีบลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ฉากนี้ทำให้คนที่อยู่ในงานเลี้ยงต่างก็ต้องมองตามกันอย่างโง่งม พวกเขาต่างก็สงสัยกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมทั้งสามถึงมีท่าทีร้อนลนแบบนี้ได้
ในขณะเดียวกันนั้นเอง รถยนต์กาลเวลา001สีแดงบาดใจก็ได้ขับเข้ามาที่หน้าประตูของโรงแรม หนุ่มหล่อคนหนึ่งในชุดสูทและสาวสวยในชุดเดรสยาวสีขาวก็ได้เปิดประตูออกมาเพื่อเตรียมที่จะก้าวออกจากรถ
ฟูฮงซิ่วและฮัวหยุนชูที่เห็นดังนั้นก็ได้รีบหยิบร่มที่วางเอาไว้สำหรับเตรียมรับแขกที่หน้าประตูแล้ววิ่งเข้าไปก่อนที่ประตูจะเปิดออกดีด้วยซ้ำแล้วทำการกางร่มบังแดดให้ทั้งสองในทันทีจนเรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้สัมผัสแดดเลยแม้แต่น้อย
ส่วนหยวนหยินหนิงนั้นเขาเป็นคนเปิดประตูพร้อมทั้งหยิบบุหรี่ของซูจิ้งเกรดคัดพิเศษยื่นให้ชายหนุ่มในทันที
เหล่าสุดยอดคุณชายสี่ทั้งสามคนในตอนนี้มีท่าทีไม่ต่างไปจากลูกกระจ๊อกของกลุ่มแก๊งเลยแม้แต่น้อย และแน่นอนว่าหนุ่มหล่อที่ดูราวกับเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มผู้นี้นั่นก็คือซูจิ้งนั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น