Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1080-1083
GGS:บทที่ 1080 มึนงง
“โค๊ช”
“โค๊ช”
“โอ้… ผู้ดูแลกลับมาแล้ว”
ในสนามยิงธนู ในตอนนี้มีนักกีฬายิงธนูกำลังพักกันอยู่มีบางคนกำลังฝึกซ้อมอยู่เช่นเดียวกัน เมื่อทุกคนได้เห็นโค้ชของตัวเองมากับผู้ดูแลอย่างจิงติงเย่และโค้ชคนอื่นๆจึงได้กล่าวทักทายพร้อมสีหน้าที่มึนงง
“เฮ้ หมิงน้อย อาหยุน นายสองคนลองเอาคันธนูนนี้ไปใช้หน่อยสิ” โค้ชนักกีฬายิงธนูคนหนึ่งได้พูดออกมา ชายหนุ่มและหญิงสาวได้ขานรับแล้วเดินเข้ามารับคันธนูสองชิ้นนี้ไป นี่สร้างความสนใจให้คนที่อยู่โดยรอบในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้เห็นคนธนูทั้งสอง ก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตามองในทันที
“…..นั่น…คันธนูไม้ไม่ใช่เหรอนั่น”
“มันดูขลังดีจริงๆ”
“สายนั่นจะไม่เล็กไปหน่อยเหรอ”
ทุกคนที่เห็นต่างก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ต้องลองใช้คันธนูทั้งสองอันนี้ คันธนูนั้นเป็นอุปกรณ์ทุกๆคนนั้นต้องใช้เวลาอย่างยาวนานถึงจะปรับแต่งได้เหมาะสมกับตัวนักกีฬาเองมากที่สุดนี่นา
แถมการแข่งครั้งนี้เป็นการแข่งกีฬาโอลิมปิคที่ถือว่าเป็นรายการใหญ่มาก ต่อให้คันธนูนี้ดียังไงก็ไม่ควรจะเปลี่ยนกลางคันแบบนี้ โดยเฉพาะกับธนูไม้แบบนี้ไม่ว่ามองยังไงก็ไม่น่าใช้เลยด้วยซ้ำ
“โค๊ช นี่โค๊ชล้อผมเล่นใช่ไหมเนี่ย” ชายหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวหมิงพูดออกมา
“โค๊ชคะ โค๊ชไปหาวัตถุโบราณสองชิ้นนี้มาจากไหนกัน” เสี่ยวหยุนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“อย่าพูดจาไร้สาระน่า บอกให้ลองก็ลองไปเถอะ นี่ฉันพุดจริงนะ” หัวหน้าโค๊ชทีมนักยิงธนูพูดออกมา
เสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนที่เห็นว่าหัวหน้าโค๊ชมีท่าทีจริงจังก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่อาจจะเป็นวิธีการฝึกฝนแบบใหม่ก็ได้ นี่จึงทำให้ทั้งสองเงียบปากลงและเข้าสู่โหมดแข่งขันในทันที
ทั้งสองได้ไปยืนอยู่ ณ จุดยิงธนู ส่วนเพื่อนร่วมทีมคนอื่นเองต่างก็จ้องมองกันอย่างเป็นตาเดียวด้วยความตื่นเต้น ทั้งเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนนี้ต่างก็เป็นสุดยอดนักธนูของพวกเขาในประเภทชายและหญิง
พวกเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าหากทั้งสองใช้ธนูไม้ธรรมดายิงดูแล้วจะอยู่ในระดับไหนกันแน่
เสี่ยวหมิงได้เริ่มยกคันธนูเอาไว้ด้านหน้า ก่อนที่จะง้างคันธนูและเล็ง ก่อนที่จะปล่อยลูกธนูออกไปด้วยท่าทีที่ไหลลื่นและไม่ติดขัดเลยแม้แต่น้อย
เพียงชั่วพริบตาลูกธนูก็ได้ไปปักอยู่ตรงพื้นที่สีน้ำเงินของเป้าที่อยู่เกือบจะถึงพื้นที่สีดำอยู่แล้ว หรือก็คือวงที่เรียกกันว่าวงที่หกนั่นเอง
“ธนูนี่ใช้ไม่ง่ายเลยแหะ สายธนูเองก็เล็กเกินไปหน่อย” เสี่ยวหมิงพูดออกมา
“เฮ้ ก่อนหน้านี้พี่ยังหัวเราะฉันอยู่เลยนะตอนที่ฉันยิงได้วงที่ห้าน่ะ นี่พี่เองก็ยิงได้วงที่ห้าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ฝีมือพี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันเลยนี่นา” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ข้างสนามได้ตะโกนเข้ามาเพื่อแซวเสี่ยวหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องพูดเลย ถ้านายคิดว่านายแน่ใจก็ลองมาใช้เองดูสิ หากเป็นนายยิงฉันว่าไม่เข้าเป้าด้วยซ้ำ” เสี่ยวหมิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสนิทกันมากจนเรียกได้ว่า สนิทกันจนแซวแรงได้อย่างหน้าตาเฉย
“ไม่ดีเหมือนที่คิดไว้จริงๆ นี่ขนาดเป็นเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนเลยนะ สองคนนี้ปกติแล้วถือได้ว่ายากที่จะยิงพลาดจากวงที่เจ็ดได้แบบนี้
แต่นี่เขายิงไปถึงวงที่หกจนเกือบจะวงที่ห้าเลยนะ นี่แสดงให้เห็นว่าคันธนูนี่ไม่เหมาะกับทั้งสองเลย” หัวหน้าโค๊ชทีมนักกีฬาทีมยกน้ำหนักพุดออกมา
“ก็ทั้งสองพึ่งจะลองเปลี่ยนคันธนูนี่นา ไม่แปลกหรอกที่จะพลาดได้ขนาดนี้ ลองให้ยิงต่ออีกหน่อยแล้วกัน” ถึงแม้จะพูดออกมาอย่างนั้นแต่หัวหน้าโค๊ชทีมยิงธนูเองเหมือนกับว่าจะไม่ได้ดูแคลนคันธนูทั้งสองนี้อีกแต่ไป
แต่กลับพูดออกมาด้วยคำพูดที่ไม่โทษใครแทน หากฟังดีๆจะรู้สึกได้ว่าเขาเองก็เริ่มชอบคันธนูสองอันนี้แล้วด้วยซ้ำ
นั่นก็เพราะต่อให้คันธนูจะดีขนาดไหนก็ตาม แต่กับการยิงครั้งแรกเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยิงได้เข้าเป้าแบบนี้ ดีไม่ดียิงพลาดไปร้อยหลาเลยด้วยซ้ำ
แต่คันธนูนี้แค่เพียงใช้ครั้งแรกกลับพลาดเพียงไม่กี่ขอบวงคะแนน นี่ต่างจากคันธนูทั่วไปมากนัก
เสี่ยวหมิงเองได้ลองดูอีกครั้ง ลูกธนูดอกที่สองได้ยิงเข้าไปที่วงที่หก ลูกที่สามได้ยิงเข้าไปที่วงที่เจ็ด
ถึงแม้ว่าความแม่นยำในการยิงจะค่อยๆดีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผลที่ออกมานี้ยังถือได้ว่าแย่กว่าก่อนหน้านี้อย่างมากเมื่อเทียบกับคะแนนที่ทั้งสองได้ตอนใช้อุปกรณ์ของตัวเอง
หากว่าทั้งสองนั้นได้คะแนนเพียงแค่นี้ แน่นอนว่าไม่มีทางเลยที่จะผ่านรอบคัดเลือกของกีฬาโอลิมปิกอย่างแน่นอน
หัวหน้าโค๊ชได้นิ่งคิดสักพักก่อนที่จะเรียกทั้งเสี่ยวหยุนและเสี่ยวหมิงเพื่อให้หยุดยิงได้ เพราะสำหรับเขาแล้วนี่ถือว่าเป็นการไว้หน้าซูจิ้งมากพอแล้ว อย่างที่คิดไว้จริงๆว่าคันธนูและลูกธนูของซูจิ้งไม่ดีอย่างที่คิด ไม่แปลกใจเลยที่สองคนนี้จะใช้ได้ไม่ดี
เฉียนไจหยวนที่ได้ยินเองก็ได้แต่ถอดถอนหายใจ เขาเองนั้นคิดว่าคันธนูและลูกธนูของซูจิ้งนั้นต้องมีอะไรบางอย่างที่ๆดีๆแอบซ่อนอยู่อย่างแน่นอน นี่เขาคิดผิดไปเองอย่างนั้นเหรอ นี่เขาต้องกลืนคำพูดของตัวเองที่พูดหว่านล้อมไปก่อนหน้านี้จริงๆหรือนี่
แต่ไม่ว่าเขาคิดยังไงเขาก็ยังคงไม่เชื่อยู่ดีว่าซูจิ้งจะส่งมาเพียงลูกธนูและคันธนูแบบธรรมดามาเท่านั้น ความจริงเขาเองก็อยากลองใช้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ไม่ช่วยอะไรอย่างแน่นอน
ในขณะที่เฉียนไจหยวนกำลังใช้ความคิดที่จะหาทางพิสูจน์อยู่นั้น อยู่ๆทั้งเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนได้พูดออกมาว่า “โค๊ช หนูขอลองอีกหน่อยได้รึเปล่าครับ หนูมีความรู้สึกแปลกๆเวลาใช้คันธนูนี้ยังไงก็ไม่รู้”
“นี่เธอก็รู้สึกเหมือนกับฉันสินะ ฉันเองตอนใช้ธนูนี้เองก็มีความรู้สึกที่ยากจะอธิบายเหมือนกัน ยิงใช้มากเท่าไหร่ก็มีความรู้สึกควบคุมและคุ้นมือกับคันธนูนี่มาขึ้นเท่านั้น
ตอนที่ยิงด้วยความรู้สึกนี้ ลูกธนูที่ยิงออกไปถึงได้เข้าใกล้เป้าตรงกลางมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันว่าต้องใช้เวลานานหน่อยกว่าจะเข้ามือ ถ้ายังไงพวกเราขอลองดูอีกหน่อยเถอะครับ” เสี่ยวหมิงเองก็ใช้ความคิดอยู่นานกว่าจะหาคำพูดที่จะใช้อธิบายคำพูดของตัวเองออกมาได้
“…….งั้นลองต่อไปก็ได้” หัวหน้าทีมนักธนูเองได้คิดอยู่นานก่อนที่จะพูดออกมา
เสี่ยวหมิงเองที่ได้ยินดังนั้นก็ได้เริ่มกระหน่ำยิงลูกธนูกว่าโหลไปเรื่อยๆอย่างไม่ช้าและไม่เร็วนัก จากวงที่หก เจ็ด แปด เก้า สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ
เสี่ยวหยุนเองก็ไม่รอช้าเหมือนกัน เธอได้รีบยิงลูกธนูออกไปในทั้นที จากวงที่หก เจ็ด แปด เก้า สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ
ทั้งเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนนั้น ในตอนนี้ยิ่งทั้งสองยิงก็ยิงประหลาดใจในฝีมือของตัวเอง ส่วนเฉียนไจหยวนเองก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาและได้แสดงออกมาด้วยสีหน้าแห่งความตื่นเต้น
กับคนอื่นๆ โดยเฉพาะผู้ดูแลอย่างจิงติงเย่และหัวหน้าโค๊ชนักกีฬายิงธนูเอง แม้แต่เหล่านักกีฬาคนอื่นๆที่มามุงดูต่างก็ตกใจกันไปถ้วนหน้า
ผลที่ออกมาจากการใช้ธนูของซูจิ้งนี้ได้พลักกลับราวกับฟ้าและเหวในทันที
คันธนูและลูกธนูที่ทั้งสองใช้อยู่ก่อนหน้านี้นั้นถือว่าดีที่สุดในประเทศแล้ว แน่นอนว่ากับนักธนูประเทศอื่นเองก็มีอุปกรณ์ที่ดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสักเท่าไหร่
นี่ทำให้ในการแข่งขันจริงๆนั้น ความต่างที่นักกีฬาใช้แข่งขันกันนั้นจะขึ้นอยู่กับสมรรถนะร่างกายของแต่ละคน ไม่ใครที่ไหนมานั่งใส่ใจเรื่องอุปกรณ์สักเท่าไหร่นัก นี่ถือว่าเป็นสามัญสำนึกของกีฬาประเภทนี้
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้สามัญสำนึกที่ว่ามานี้ได้พังทลายลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนจะมือฝีมือที่ดีที่สุดในประเทศก็จริง แต่ทั้งสองเองก็ไม่เคยจะยิงได้เข้าวงที่สิบเลยสักครั้ง
แต่นี่ทั้งสองสามารถยิงเข้าวงที่สิบได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วเพียงเพราะเปลี่ยนคันธนูเท่านั้นเอง
“เป็นไปได้ยังไงกัน” หัวหน้าโค๊ชทีมนักยิงธนูอดไม่ได้ที่จะถามออกมา หากคนอื่นรู้เข้าล่ะก็มีหวังโลกได้ปั่นป่วนกันหมดอย่างแน่นอน
เขาได้พูดออกมาว่า “เสี่ยวหมิง เสี่ยวหยุน พวกเธอสองคนลองแข่งกันดุสิ คิดซะว่านี่เป็นการแข่งจริงไปเลย แสดงผลการฝึกทั้งหมดออกมาให้เห็นหน่อย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งสองได้มองหน้ากันก่อนที่จะเริ่มยิงโดยเริ่มจากเสี่ยวหมิงก่อน
เสี่ยวหมิงยิงดอกแรก วงที่สิบ
เสี่ยวหยุนยิงดอกแรก วงที่สิบ
เสี่ยวหมิงยิงดอกที่สอง วงที่สิบ
เสี่ยวหยุนยิงดอกที่สอง วงที่สิบ
เสี่ยวหมิงยิงดอกที่สาม วงที่เก้า
เสี่ยวหยุนยิงดอกที่สาม วงที่สิบ
เกมแรก เสี่ยวหมิงได้ยิงไปได้ทั้งหมดยี่สิบเก้า ถือพ่ายแพ้ไป หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ประลองกันอีกครั้ง ผลก็คือคะแนนที่ทั้งสองได้นั้นไม่ตกอยู่ที่วงที่เก้าไม่ก็วงที่สิบเท่านั้น
คราวนี้พวกเขาต่างก็เริ่มเชื่อขึ้นมาในทันทีจากที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเชื่อเลยสักคน หากว่าทั้งสองยังรักษาระดับการยิงเอาไว้แบบนี้ต่อไปล่ะก็ ต่อให้ต้องไปเจอกับยอดนักแม่นธนูอย่างเกาหลีใต้ก็ยังต้องสยบให้พวกเขา
จากที่นักกีฬายิงธนูประเภทชายของพวกเขาที่ไม่เคยได้รางวัลมาเลยสักครั้ง ในครั้งนี้การที่จะได้เหรียญทองนั้นจะไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไปแล้ว
“พระเจ้าช่วย คันธนูสองอันนี้มันอะไรกันแน่เนี่ย”
“คันธนูที่สุดยอดแบบนี้ทำมาจากไม้ได้ยังไงกัน”
“ขอลองหน่อยสิ”
โค๊ชนักกีฬาประเภทอื่นสองคนได้ก้าวไปสนามเพื่อที่จะลองใช้คันธนูของซูจิ้ง
“เฮ้เฮ้เฮ้ อย่าไปยุ่งสิเฟ้ย ออกไปไกลๆเลย” หัวหน้าทีมนักกีฬายิงธนูได้รีบพูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น และพุ่งเข้าไปที่คันธนูทั้งสองก่อนที่จะห้ามปรามคนอื่นๆ
หากว่าอยู่ๆคันธนูทั้งสองนี้ไปลองเล่นแล้วพังขึ้นมาพวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ไหน พวกเขาไม่มีทางยอมปล่อยเหรียญทองที่ตัวเองจะได้ตรงหน้ามาแบบนี้เพียงเพราะให้คนอื่นเอาไปเล่นกันเป็นอันขาด
GGS:บทที่ 1081 ของขวัญอีกสองชิ้น
หัวหน้าโค๊ชของทีมนักธนูได้หยุดยั้งทุกคนที่หมายปองที่จะได้ลองลิ้มรสความรู้สึกที่ได้ยิงกลางเป้าติดต่อกันลงจนได้ แต่ตัวเขาเองกลับอดใจไม่ได้ที่จะลิ้มรสความรู้สึกนี้ด้วยตัวเองเสียอย่างนั้น
ถึงแม้ในตอนนี้ คนอื่นๆจะไม่สามารถยิงธนูด้วยคันธนูนี้ได้ก็ตามแต่พวกเขาก็อดที่จะยืนดูไม่ได้ ทุกคนไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่รู้สึกถึงความพิเศษของคันธนูทั้งสองนี้แม้แต่น้อย มันเหมือนกับแค่คันธนูและลูกธนูไม้ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
ให้พูดตรงๆล่ะก็พวกเขาจะไปรู้จักไม้ที่ทำคันธนูและลูกธนูนี้ได้ยังไงกัน ไม้ที่ใช้ในการทำนั้นก็คือแก่นของไม้เมลโลที่พวกเอลฟ์ในห้วงเวลาและกาลอวกาศลอร์ดออฟเดอะริงใช้กัน แน่นอนว่าสายธนูนี้เองก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน สายธนูนี้ก็คือเส้นผมของเอลฟ์ จะพูดให้ถูกอีกอย่างก็คือคันธนูนี้ก็คือธนูเวทย์มนต์นี่เอง
ถึงแม้ว่าเมื่อมองดูเพียงแรกเห็นนั้นมันค่อนข้างที่จะคุ้นเคยและไม่ต่างจากธนูปีกโค้งกลับบนโลก แต่ความจริงแล้วมันค่อนข้างจะแตกต่างในรายละเอียดไปเล็กน้อยยยย….ไม่สิมากพอสมควรเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นคันธนูนี้ได้รับคำอวยพรจากภูตในด้านเพิ่มความแม่นยำ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนรู้สึกแปลกๆตอนที่ใช้ธนูทั้งสองคันนี้
“คุณซูนี่ช่างมหัศจรรย์จริงๆ” หัวหน้าโค๊ชทีมนักธนูอดที่จะเชื่อในความมหัศจรรย์ของซูจิ้งไม่ได้จนส่ายหัวให้กับท่าทีของตัวเองก่อนหน้านี้และถอนหายใจออกมาสั้นๆ
คันธนูสองคันนี้เรียกได้ว่าเกทับตำราความรู้ที่เขาได้รับมาจนหมดสิ้น เขาได้แต่ยอมรับและพูดต่อว่า “เสี่ยวหมิง เสี่ยวหยุน ฉันขอมอบคันธนูสองคันนี้ให้พวกเธอ ฝึกฝนและดูแลให้ดีๆล่ะ”
“ห้ะ ขอบคุณครับ/ค่ะโค๊ช” ทั้งเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนต่างก็ตอบรับออกมาด้วยความประหลาดใจในทันที นี่ทำให้คนอื่นๆต่างอิจฉา ริษยา และตาร้อนกันในทันที จนทำให้บังเกิดความรู้สึกว่า ก่อนหน้านี้ไม่น่าไปดูถูกคันธนูและลูกธนูพวกนี้ไว้เลย
“จบเรื่องแล้วสินะ ว่าแต่….. ของขวัญอีกสองชิ้นล่ะ” หัวหน้าโค๊ชทีมยกน้ำหนักและทีมเดินวิ่งนั้นในตอนนี้เริ่มคาดหวังไปกับของขวัญของตัวเองในทันที
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อได้เห็นของขวัญของทีมยิงธนูแล้วก็อดที่จะถอดใจไม่ได้ แต่ในตอนนี้ ทั้งสองกลับรู้สึกคาดหวังอย่างที่สุด และตื่นเต้นจนอดลนทนไม่ได้อีกต่อไป
“เฮ้เฮ้เฮ้ นี่โค๊ชยังคิดถึงของขวัญสองกล่องนั่นด้วยหรือครับเนี่ย” เฉียนไจหยวนอดที่จะล้อเล่นออกมาด้วยรอยยิ้มไม่ได้ก่อนที่เขาจะนำของขวัญทั้งสองกล่องนั้นออกมาจากกระเป๋าของเขา
“ลองแกะออกมาดูเลยแล้วกันว่าอะไรอยู่ข้างใน” พวกเขาในตอนนี้อดใจไม่ไหวจึงได้แกะกล่องเพื่อดูของข้างในในทันที แต่เมื่อทุกคนได้เห็นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งอึ้งไปเหมือนกัน
กล่องที่ได้เขียนไว้ว่ามอบให้นักกีฬาทีมยกน้ำหนักนั้น ข้างในกล่องคือผลไม้บางอย่างที่มีสีแดงจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นผลไม้ที่พวกเขานั้นไม่รู้จัก
ส่วนอีกกล่องหนึ่งที่มอบให้กับทีมเดินวิ่งนั้นเต็มไปด้วยเนื้อแห้ง และอีกเช่นกัน ไม่มีใครรู้เลยว่าเนื้อนี่คือเนื้ออะไร
“นี่หมายความว่ายังไงกัน” หัวหน้าโค๊ชทีมยกน้ำหนักและทีมเดินวิ่งอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา แม้แต่จิงติงเย่และคนอื่นๆเองก็มาท่าทางโง่งมในทันที
“อ้าว เห็นอย่างนี้ก็น่าจะรู้แล้วนี่ครับว่าพวกมันมีเอาไว้กิน” เฉียงไจหยวนได้พูดออกมา
“ เออ อันนั้นน่ะฉันรู้ว่ามันเอาไว้กินแต่กินไปแล้วมันจะได้อะไรกัน” หัวหน้าทีมนักยกน้ำหนักได้พูดออกมาด้วยความรู้สึกที่ว่ากำลังโดนซูจิ้งหยอกเล่นอยู่
“กับข้าวสีน้ำเงินนั่นฉันรู้ว่าเมื่อกินไปแล้วนั้นมันดีต่อร่างกายแบบสุดๆ แต่เจ้าของชิ้นเล็กๆพวกนี้มัน…มันเหมือนกับว่าให้คนๆเดียวกันได้แค่นั้น..” หัวหน้าทีมเดินวิ่งพูดออกมาในขณะที่ถือกล่องเล็กๆไว้ในมือออกมาส่องซ้ายส่องขวาราวกับจะหาว่ามีอะไรอย่างอื่นซ่อนอยู่รึเปล่า
“โอ้…ผมไม่ค่อยแนะนำนะ เอาเป็นว่าผมพูดอย่างนี้จะดีกว่า หากว่าโค้ชให้คนเพียงคนเดียวกินเจ้าพวกนี้จนหมด ผลลัพธ์ที่ออกมาจะดีเกินงามเลยทีเดียว
ผมขอบอกความจริงเลยนะว่าเป็นเพราะผมได้กินผลไม้ลูกน้อยๆของพี่จิ้งเพียงไม่กี่ลูกถึงได้มีเหมือนทุกวันนี้ได้โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึงเดือนดี หากเป็นผมในก่อนหน้านี้ไม่มีทางแม้แต่การเป็นตัวจริงของจังหวัด
ลองดูผมในตอนนี้สิว่าแข็งแกร่งขนาดไหนกัน” เฉียนไจหยวนพูดออกมาโดยมยกเรื่องราวตัวเองมาอ้างเพื่อให้ทุกคนมั่นใจ
เหล่าผู้คนที่ได้ยินต่างก็แทบจะไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยทีเดียว นั่นก็เพราะสำหรับพวกเขาแล้วเฉียนไจหยวนเองก็เป็นอีกหนึ่งตัวตนที่เป็นตำนานในวงการกีฬา
ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้เป็นข่าวคราวในการทำลายสถิติโลกเมื่อไม่นานมานี้ถึงสองสถิติแทบจะในทันทีที่ได้ร่วมทีมชาติ
ทุกคนต่างก็คิดว่าก่อนหน้านี้เป็นเพราะเฉียนไจหยุนนั้นมีอัจฉริยะทางด้านนี้จึงไม่คิดจะสืบหาที่มาถึงความเก่งกาจแม้แต่น้อย จึงไม่แปลกที่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ทุกคนจะไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด
“เอาเถอะ อย่างน้อยฉันก็มั่นใจได้แล้วว่าคุณซูนั้นไม่คิดจะทำร้ายพวกเราอย่างแน่นอน ตอนนี้เราก็ได้แค่ลองดูเท่านั้น” หัวหน้าโค๊ชทีมเดินวิ่งได้แสดงท่าทียอมรับก่อนเป็นคนแรก
เขาเองก็ได้เห็นความวิเศษของของขวัญจากซูจิ้งมาแล้วกับตาหนึ่งอย่าง แน่นอนว่าของทั้งสองอย่างนี้ก็สมควรจะไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน
“ดี งั้นเราลองหาใครสักคนมาลองดูละกัน” หัวหน้าโค้ชทีมยกน้ำหนักเองก็เห็นด้วยในทันทีจนพยักหน้าออกมา
“คุณซูบอกมาแล้วว่าของทั้งสองกล่องนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะทีมยกน้ำหนักและทีมเดินวิ่ง เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันจะแบ่งให้พวกนายทั้งสองคนละสี่ส่วนไปก่อนเพื่อทดลองดูแล้วกัน ฉันขอเก็บเอาไว้หกส่วนก่อน หลังจากนั้นค่อยตัดสินใจอีกว่าจะทำยังไงกับมันต่อ” จิงติงเย่พูดออกมาก่อนที่จะแบ่งของจากทั้งสองกล่องออกมาหกส่วน
หัวหน้าโค้ชทีมยกน้ำหนักได้นำผลไม้สี่ส่วนกลับไปหานักกีฬาของตนเอง เช่นเดียวกับหัวหน้าทีมเดินวิ่งได้นำเนื้อสี่ส่วนกลับไปยังสนามซ้อมวิ่ง
จนในที่สุด ทั้งสองก็ได้คัดเลือกนักกีฬาของตนที่มีฝีมือระดับกลางๆมาทดสอบดูก่อน
หลังจากนักกีฬาได้กินของทั้งสองลงไปแล้ว หลังจากจับตาดูการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด หนึ่งชั่วโมงก็แล้ว สองชั่วโมงก็แล้ว สามชั่วโมงก็แล้ว จนถึงตอนเย็นวันนั้นที่เป็นช่วงเลิกฝึก พวกเขาก็ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
นี่ทำให้หัวหน้าโค้ชทั้งคู่ต่างก็รู้สึกคิดผิดจริงๆที่ไปคาดหวังกับของขวัญจากซูจิ้ง หรือเป็นซูจิ้งเองที่ตั้งใจเล่นตลกกับพวกเขาจริงๆกันแน่
เอาจริงๆแค่ฟังดูก็รู้แล้วว่าไม่น่าจะเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่การกินแค่ผลไม้และเนื้อเพียงชิ้นเล็กๆจะทำให้ผู้คนพัฒนาความสามารถของตัวเองไปได้
โลกใบนี้ไม่มีของดีขนาดนั้นหรอก ยังไงซะนักกีฬาจะมีฝีมือดีขึ้นมาได้นั้นยังไงซะก็ต้องอาศัยร่างกายและแรงใจของตัวเองเท่านั้นในการพัฒนาฝีมือ ของพวกนี้จะไปช่วยอะไรได้
ในวันนั้น ในตอนกลางคนหัวหน้าทีมยกน้ำหนักได้หลับใหลเป็นตายโดยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งเช้ามืดวันถัดมา เขาก็ต้องตื่นขึ้นมาด้วยเสียงโทรเข้าของโค้ชในทีมยกน้ำหนักคนอื่นที่โทรหาเขาแต่เช้าตรู่
เมื่อรับสาย ที่ปลายสายได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “ไอ้ม้าแก่ นี่มันมหัศจรรย์เกินไปแล้วนะ แกรีบมาที่นี่เดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วแกจะได้เห็นว่าของที่แกเอามานั้นมันมหัศจรรย์ขนาดไหน”
“เกิดอะไรขึ้นอีกวะนั่น”หัวหน้าโค้ชทีมยกน้ำหนักได้รีบถามออกมาในทันทีที่พอจะจับต้นชนปลายได้ฃ
“ก็ไอ้เจ้าเสี่ยวหุ่ยน่ะสิ ยกน้ำหนัก 190 กิโลกรัมได้แล้ว”
“…..ห้ะ 190 กิโลกรัม… ก็ไม่ใช่ว่าเสี่ยวหุ่ยมันยกน้ำหนักท่าคลีนแอนด์เจิร์กได้มากกว่า 190 กิโลกรัมอยู่ก่อนแล้วรึไง” หัวหน้าโค้ชที่ได้ยินก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่ายกได้แค่นี้จะตกใจกันทำไม
“ไม่ใช่คลีนแอนด์เจิร์กโว้ย ท่าสแน็ช”
“ห้ะ เป็นไปได้ยังไงกัน” หัวหน้าทีมยกน้ำหนักที่กำลังนอนงวงเงียงงๆอยู่บนเตียงได้ผุดลุกขึ้นมาในทันทีพร้อมใบหน้าที่ตกตะลึงแล้วพูดออกมาว่า “190 กิโลกรัมนั่นมันสถิติโลกไม่ใช่เหรอ”
“พังไปเรียบร้อยแล้วต่างหาก เด็กนี่มันเพิ่มน้ำหนักมากกว่าสถิติไปสามกิโลกรัม ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวหุ่ยยังยกค้างไว้ได้มากกว่าหนึ่งนาทีอีก ในตอนนี้เสี่ยวหุ่ยยกน้ำหนักท่าสแน็ชได้ 193 กิโลกรัมแล้วจริงๆ พระเจ้าทรงโปรด”
“ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้” หัวหน้าโค้ชได้รีบพูดออกมาก่อนจะวางสายแล้วรีบไปแปรงฟันและล้างหน้าแบบส่งๆก่อนที่จะพุ่งไปยังหอฝึกซ้อมในทันที
ทีมนักยกย้ำหนักทีมชาติของจีนนี้เรียกได้ว่าเป็นขวัญใจในท่ามกลางกีฬาทั้งหมดที่มีการแข่งขันมาโดยตลอด เรียกได้เลยว่าดรีมทีมเลยก็ยังได้
แต่หากพูดกันตามตรงแล้ว ทีมนักยกน้ำหนักของชายนั้นค่อนข้างจะด้อยกว่าทีมยำน้ำหนักของฝั่งหญิงอยู่บ้าง แต่พวกเขาเองแม้จะด้อยกว่าแต่ก็คว้ารางวัลมาได้ไม่น้อยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ด้วยการยกน้ำหนักในร่ำ 85 กิโลกรัมนั้นถือได้ว่ากับรุ่นนี้ ทีมนักกีฬาของจีนยังด้อยอยู่และถือได้ว่าเป็นจุดอ่อนของทีม ดูได้จากหลังจากปี2008เป็นต้นมา ประเทศจีนไม่เคยได้เหรียญจากการแข่งกีฬารุ่นนี้เลย
เสี่ยวหุ่ยนั้นเป็นนักยกน้ำหนักของรุ่น85กิโลกรัมนี้ ก่อนหน้านี้ ความแข็งแกร่งทางร่างกายโดยรวมของเขานั้นอยู่แค่ระดับกลางๆเท่านั้น
ด้วยสมรรถนะของร่างกายแบบนี้บอกได้เลยว่าไม่คุณสมบัติพอที่จะผ่านรอบคัดเลือกของโอลิมปิกซะด้วยซ้ำ แต่การที่อยู่ๆเสี่ยวหุ่ยสามารถที่จะทำลายสถิติโลกได้ขนาดนี้ จะไม่ให้หัวหน้าโค้ชดีใจขนาดนี้ได้ยังไง
แน่นอนว่าตอนนี้ใจจริงแล้วเขาเองก็ยังไม่เชื่อเหมือนกัน เขากลัวว่าสิ่งที่เขาได้ยินนั้นจะเป็นเพียงการสะลึมสะลือแล้วคิดมากจนฟังผิดไปเท่านั้น เขากลัวจริงๆว่าหากรีบดีใจไปจะเป็นดีใจไปเก้อๆๆ
เพราะยังไงซะสิ่งที่เขาได้ยินและได้ทำไปเมื่อวานกับของที่ซูจิ้งมอบมาให้เป็นของขวัญนั้น มันน่าเหลือเชื่อมากเกินกว่าจะยอมรับได้อยู่แล้ว
GGS:บทที่ 1082 ขึ้นสวรรค์
“เสี่ยวหุย แสดงให้ฉันดูหน่อย” หัวหน้าโค้ชที่พึ่งจะเข้ามาถึงในห้องฝึกอย่างเร่งรีบ เขาได้ตรงไปยังชายที่ตัวสูงคนหนึ่งและรีบออกมาด้วยเสียงอันดังก้อง
“ได้ครับ” เสี่ยวหุ่ยในตอนนี้ที่มีท่าทีตื่นเต้นยินดีกว่าใครได้รับคำในทันที คนอื่นๆในตอนนี้เองก็ได้หยุดการฝึกของตัวเองและมามุงดูกันโดยรอบ
เสี่ยวหุยได้ยืนในจุดยกน้ำหนักโดยตรงหน้าของเขาในตอนนี้มีบาร์น้ำหนักอยู่ น้ำหนักโดยรวมของมันในตอนนี้คือ 193 กิโลกรัมดั่งที่เสี่ยวหุ่ยเคยยกได้ก่อนหน้านี้
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะค่อยๆย่อตัวลง และใช้มือทั้งสองข้างจับบาร์ยกน้ำหนักอย่างมั่นคง แล้วยกขึ้นเหนือศีรษะอย่างมั่นคง
หลังจากนั้นเขาก็ค่อยยืดขาตัวเองให้ตั้งตรงอย่างช้าๆและมั่นคง เรียกได้ว่าทั้งกระบวนการนั้นดูราบเรียบไม่มีสิ่งใดติดขัดแต่อย่างใด ราวกับว่าน้ำหนัก 193 กิโลกรัมนี้ ไม่ต่างอะไรกับสิ่งของธรรมดาที่เอามายกเล่นเบาๆ
“พระเจ้าเถอะ หมอนี่ยกได้จริงๆด้วย” หัวหน้าโค้ชทีมยกน้ำหนักนั้นอดที่จะแสดงออกมาทางสีหน้าว่าตื่นเต้นแบบสุดๆไม่ได้
นั่นก็เพราะนี่ไม่ใช่เพียงแค่ทำลายสถิติโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างสถิติใหม่ได้มากกว่าถึงสามกิโลกรัม ช่างเป็นสามกิโลกรัมที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในวงการเลยก็ว่าได้
ต้องรู้กันก่อนว่า ในวงการกีฬายกน้ำหนักนั้น น้ำหนักแต่ละกิโลกรัมนี้ไม่ได้ต่างจากการท้าทายขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
การเพิ่มน้ำหนักจากสถิติโลกได้เพียงหนึ่งนั้นก็ถือได้ว่ายากมากแล้ว แต่นี่ เขาสามารถยกได้มากกว่าสถิติโลกได้ถึงสามกิโลกรัมเลยด้วยซ้ำ หากไม่เห็นด้วยตาตัวเองเขาก็คงจะไม่เชื่อเหมือนกัน
“….ในเมื่อท่าสแน็ชทำลายสถิติโลกไปแล้ว….งั้นท่าคลีนแอนด์เจิร์กล่ะ” หัวหน้าโค้ชได้ถามออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้น
“ฮี่ฮี่ฮี่” เสี่ยวหุ่ยเพียงยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย เขาเดินไปยังบาร์น้ำหนักที่วางอยู่ข้างๆ ตอนนี้บาร์น้ำหนักนี้มีน้ำหนักอยู่ที่ 230 กิโลกรัม ซึ่งเป็นน้ำหนักที่มากกว่าสถิติโลก10กิโลกรัมสำหรับรุ่น85กิโลกรัมนี้
เสี่ยวหุ่ยโค้งตัวเองลงมาจับบาร์น้ำหนักเอาไว้ก่อนที่ตัวเองจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นเขาก็ยกบาร์น้ำหนักขึ้นมาไว้บ่นไหล่ของตัวเองในทันที
น้ำหนักที่ถ่วงเอาไว้ที่บาร์น้ำหนักนั้นแค่ดูก็รู้ว่ามันหนักมาก เห็นได้จากบาร์จับที่โค้งงอลงมาเล็กน้อยราวกับจะทานน้ำหนักเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
เสี่ยวหุ่ยเองในตอนนี้ขาของเขาได้เหยียดตรงอย่างมั่นคงหลังจากก่อนหน้านี้ได้อยู่ในท่าหกสูงเพื่อเตรียมที่จะยกบาร์น้ำหนักดันตัวขึ้นไป
หลังจากยืดขาได้จนสุดแล้ว เขาได้เหยียดแขนของตัวเองที่กำลังยกบาร์น้ำหนักอยู่ให้ตั้งตรงโดยมีบาร์น้ำหนักที่มีน้ำหนักถ่วงรวมมกว่า 230 กิโลกรัมในตอนนี้อยู่เหนือศรีษะ
เสี่ยวหุยได้ยกน้ำหนักค้างเอาไว้ในท่านี้นานกว่าสามวินาที ก่อนที่จะปล่อยบาร์น้ำหนักทิ้งลงไปที่พิ้นด้วยท่าทีสบายๆ
“เยี่ยมมากกกกก” หัวหน้าโค้ชในตอนนี้อดที่จะพูดคำๆนี้ออกมาไม่ได้เลยจริงๆ
“พระเจ้าช่วย เสี่ยวหุยมาได้ถึงระดับนี้แล้ว…..”
“ช่างน่าสะพรึงกลัวเลยจริงๆ ฉันมีความรู้สึกว่าตัวเขาในตอนนี้เหมือนกับซุปเปอร์แมนยังไงก็ไม่รู้”
“เมื่อวานนี้เขายังอ่อนแอกว่าฉันอยู่เลยนะ แถมยังอ่อนกว่าเยอะมากด้วย แต่มาในวันนี้เขากลับทำได้แม้กระทั่งการทำลายสถิติโลกเลยนะ นี่มันเรียกได้เลยว่าก้าวข้ามกว่าเดิมไปหลายขั้น น่ามหัศจรรย์ ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ”
“โค้ช เมื่อวานโค้ชเอาผลไม้อะไรให้เสี่ยวหุยกินกันแน่”
“โค้ชพอจะมีมันอยู่อีกรึเปล่า พวกเราขอลองดูบ้างสิ”
นักกีฬาทุกคนในตอนนี้ต่างก็มะรุมมะตุ้มหัวหน้าโค้ชทีมยกน้ำหนักกันเป็นการใหญ่ หัวหน้าโค้ชทีมยกน้ำหนักเองตอนนี้ก็ได้ทำเพียงกระแอมไอออกมาเล็กน้อยเพื่อขัดจังหวะทุกคนแล้วพูดออกมาว่า
“เมื่อวานฉันก็ถามไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าใครอยากจะลองดูบ้าง ฉันเองก็เห็นมีแต่เสี่ยวหุ่ยคนเดียวที่กล้าจะมาลองนี่นา สำนึกกันรึยังล่ะ
ในเมื่อตอนนี้ฉันรู้ผลจากการได้กินมันแน่ชัดแบบนี้แล้วแน่นอนว่าอีกสามลูกที่เหลือนี่ฉันไม่ยอมให้พวกนายได้ง่ายๆเป็นอันขาด
เอาล่ะ ตอนนี้ฉันจะจัดการแข่งขันภายในก็แล้วกัน ฉันจะให้เวลาพวกนายระยะเวลาหนึ่งเพื่อเตรียมตัวและให้คะแนน ใครก็ตามที่ทำคะแนนได้ดีล่ะก็ คนๆนั้นจะได้ผลไม้นี้เป็นรางวัล”
การตัดสินใจของหัวหน้าโค้ชนี้แม้จะดูทะแม่งๆแต่ก็มีเหตุผลในตัวของมันเอง
อย่างแรก เขาต้องการที่จะถ่วงเวลาเพื่อดูว่าผลของผลไม้ที่สุดแสนวิเศษผลนี้จะอยู่ได้นานสักเท่าไหร่กัน ถึงแม้ว่าเขานั้นจะรู้ดีว่าผลไม้นี้วิเศษและล้ำค่ามากมาย แต่ก็เกรงว่าผลของมันจะมีระยะเวลาที่จำกัดด้วยเช่นเดียวกัน
อย่างที่สอง ที่เขาทำนี้ก็เพราะไม่อยากให้ทุกคนหวังพึ่งเพียงผลลัพธ์จากการกินผลไม้นี้เพียงอย่างเดียว และนี่ยังเป็นการตัดสินที่เท่าเทียมแล้วในสายตาของเขา และง่ายที่สุดที่ทุกคนจะยอมรับเรื่องนี้ได้
หลังจากที่หัวหน้าโค้ชทีมยกน้ำหนักจัดการเรื่องทุกอย่าง เขาได้โทรหาจิงติงเย่และโค้ชทีมเดินวิ่งในทันที หลังจากที่ทั้งสองได้ฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วทำให้จิงติงเย่เองถึงกับประหลาดใจอย่างมาก
ผลลัพธ์ที่ได้จากลูกไม้นั้นดีอย่างน่าเหลือเชื่อ จนในที่สุด เขาเองก็เข้าใจแล้วว่าทำไมของขวัญของทีมยกน้ำหนักนี้ถึงไม่จำกัดแค่ทีมยกน้ำหนัก
ลูกไม้นี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย ถึงแม้ว่ากีฬายกน้ำหนักนี้จะต้องใช้ความแข็งแกร่งอย่างมากก็จริง แต่กีฬาชนิดอื่นเองก็เช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น พุ่งแหลน เขวี้ยงค้อน และกีฬาอย่างอื่นแม้แต่การวิ่ง ต่อยมวย กระโดดสูง เองก็ต้องการความแข็งแรงของร่างกายเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าอวัยวะที่เป็นหลักในการแข่งกีฬานั้นมันต่างกันเท่านั้นเอง
ในตอนนี้เขาเองก็มีผลไม้อีกหกผล หากว่าเขาตัดสินใจที่จะมอบให้ใครดีๆล่ะก็ แน่นอนว่าการแข่งกีฬาโอลิมปิกของพวกเขาในครั้งนี้ จะต้องผลลัพธ์ที่สุดยอดอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับนักกีฬายกน้ำหนักแล้ว หัวหน้าโค้ชนักกีฬาเดินวิ่งเองก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ ในเมื่อผลไม้ที่ซูจิ้งให้พวกเขามานั้นยังมหัศจรรย์ได้ขนาดนั้น ถ้าแบบนี้เนื้อแห้งที่พวกเขาได้มานี้เองก็ควรจะวิเศษไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันไม่ใช่เหรอ
“อาติง ตอนนี้นายรู้สึกยังไงบ้าง” หัวหน้าโค้ชทีมเดินวิ่งได้หันไปถามที่คนคนหนึ่ง คนๆนี้คือคนที่ได้กินเนื้อที่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเนื้ออะไรก่อนหน้านี้
“สภาพดีเยี่ยมครับ” เอาจริงๆแล้วแม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจเหมือนกันเพราะเมื่อวานนี้ตัวเขาเองยังอยู่ในสภาพฟื้นตัวอยู่เลยหลังจากบาดเจ็บทำให้ออกกำลังกายนิดหน่อยก็เหนื่อยแล้ว
แต่ในวันนี้ตอนที่เขาตื่นขึ้นมานั้นกลับพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่ร่างกายสมบูรณ์พร้อม โดยเฉพาะขาของเขาที่ก่อนหน้านี้ยังมีอาการล้าติดๆมาหลายวันจนทำได้เพียงเดินเท่านั้น กับวันนี้ขาของเขาทั้งสองข้างตกอยู่ในสภาพที่ดีอย่างสุดๆเลยในชีวิต
“งั้นคงถึงตาพวกเราลองบ้างแล้วสินะ” หัวหน้าโค้ชทีมเดินวิ่งได้พูดออกมากับตัวเองแต่คนอื่นเองก็ได้ยิน
“ได้ครับ” อาติงเองที่ได้ยินดังนั้นก็ได้เข้าสู่ท่าเตรียมพร้อมในทันที แต่เดิมนั้นความแข็งแรงของนั้นถือได้ว่าแค่อยู่ในอันดับทีมเท่านั้นในทีมชาติ แต่หากเทียบกับประเทศอื่นที่จะต้องเจอในงานแข่งกีฬาโอลิมปิกนั้นยังห่างไกลนัก หากว่าการวิ่งของเขาได้รับการพัฒนาได้จริงๆล่ะก็ บอกได้เลยว่าอนาคตของเขาไปได้ไกลอย่างไม่ต้องสงสัย
หัวหน้าโค้ชได้ให้นักเดินวิ่งคนอื่นออกจากสนามแล้วพร้อมทั้งให้ทุกคนเตรียมพร้อมในการทดสอบเดินเร็วร่วมกับอาติงในระยะ 50 กิโลเมตร
เพียงไม่นานหลังจากเริ่มปล่อยตัว อาติงเองแสดงให้เห็นเลยว่าในตอนนี้ตัวเขานั้นเหรือล้ำกว่านักเดินวิ่งคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
“…..จังหวะการเดินของอาติงไม่เร็วไปหน่อยเหรอ”
“วันนี้เขาเป็นอะไรกันแน่ ทำไมวันนี้เขาถึงเร่งความเร็วในการเดินของตัวเองตั้งแต่เริ่มกันล่ะ นี่เขาจะไม่เหนื่อยจนหมดแรงไปก่อนรึไงกัน”
ผู้ช่วยโค้ชที่อยู่ค้างหลังได้พูดออกมาด้วยท่าทางเป็นห่วง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบดี หัวหน้าโค้ชก็ได้ยกมีเป็นสัญญาณเชิงห้ามปรามก่อนที่จะพุดออกมาว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องของเขา เรื่องทุกอย่างให้เขานั้นเป็นคนตัดสินใจเอง”
เขาเองในตอนนี้ได้คิดออกมาว่านี่เองก็น่าจะเป็นผลจากการกินเนื้อแห้งชิ้นนั้น อาร์ตินในตอนนี้มีสภาพที่สมบูรณ์พร้อมและสามารถรักษาระดับความเร็วได้ในระดับนี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากเดินเร็วไปได้สักเกือบครึ่งชั่วโมง ทุกคนเห็นได้ชัดว่าอาร์ตินนั้นยังคงใช้ความเร็วในระดับที่เท่าเดิมชนิดที่ยังเสมอต้นเสมอปลาย
ด้วยความเร็วแบบนี้ทำให้หัวหน้าโค้ชเองอดไม่ได้เหมือนกันที่จะขมวดคิ้วออกมา ถึงแม้นี่ยังเป็นเพียงครึ่งทางแต่ความเร็วที่ไม่มีท่าทีที่จะลดลงเลยนี่มันไม่เร็วไปหน่อยรึไงกัน
“เกิดอะไรขึ้นกับอาติงกัน ” วันนี้เขากับรักษาลมหายใจตัวเองไม่ได้รึไงกัน
“ฉันเองก็คิดมาตั้งแต่เริ่มแล้วนะว่าวันนี้เขาแปลกๆ โค้ชว่าเราควรจะวิ่งตามเขาไปเพื่อบอกเขารึเปล่าครับ”
“รอดูอีกสักนาทีก็แล้วกัน เขาเองก็น่าจะรู้สึกได้แล้วว่าตัวเองนั้นคุมลมหายใจตัวเองไม่ได้แล้ว หากว่าเขาควบคุมลมหายใจตัวเองตอนเดินเร็วไม่ได้จริงๆล่ะก็ เมื่อถึงเวลาจริงแล้ว ความพยายามทั้งหมดจะต้องสูญเปล่า”
อย่างไรก็ตามอาติงนั้นดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเรื่องของลมหายใจของตัวเองแม้แต่น้อย เขานั้นยังเดินต่อไปด้วยความเร็วที่เร็วกว่าตอนที่เขาได้ฝึกซ้อมมาก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ
นี่ทำให้บรรดาโค้ชของทีมเดินวิ่งทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ หลังจากผ่านไปเป็นชั่วโมงครึ่งนับแต่การเริ่มเดินเร็วขึ้นมา
อาติงก็ยังไม่มีท่าทีที่จะเหนื่อยหมดแรงแต่อย่างใด เขายังคงเคลื่อนไหวด้วยความเร็วเท่าเดิม เรียกได้ว่าในตอนนี้ตัวเขานั้นอยู่ห่างจากเพื่อนร่วมทีมที่ลองทดสอบด้วยไปไกลแล้ว
เพียงชั่วพริบตา ก็ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ใกล้จะถึงรอบสุดท้ายของอาติงแล้ว
ตอนนี้อาติงและเพื่อนร่วมทีมที่ลงทดสอบด้วยนั้นห่างกันชนิดที่ว่าห่างกันนับรอบได้หลายรอบแล้ว บรรดาโค้ชทั้งสบายที่เห็นต่างก็ประหลาดใจและไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองกันทั้งหมดทั้งสิ้น
“พระเจ้า เขาใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงสิบห้านาทีเองเนี่ยนะ”
“หากว่าเขานั้นยังรักษาระดับความเร็วนี้ไว้ล่ะก็ เขาจะใช้เวลาไม่เกินสามชั่วโมงสามสิบนาทีเองนะ นี่เรียกได้ว่าทำลายสถิติโลกไปไกลเลยล่ะ”
“เป็นไปได้ยังไง อาติงจะพัฒนาฝีมือตัวเองได้รวดเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน อ้อ จริงด้วย เมื่อวานนี้นายเอาเนื้ออะไรบางอย่างที่ซูจิ้งให้มาให้เขากินไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ว่ามันเป็นเนื้อแช่ยาโด๊ปหรอกนะ”
“ไม่ใช่ยาโด๊ปหรอกน่า มันไม่ใช่อะไรที่ผิดกฎนักกีฬาหรอก ฉันลองตรวจสอบดูแล้ว”
“….ถ้าอย่างนั้นนั่นมันเนื้อบ้าอะไรกัน”
“อย่าเพิ่งจะรีบตกใจไปน่า ผลลัพธ์ยังไม่ออกมาให้เห็นเลยนี่”
แต่เพียงพูดของบรรดาโค้ชยังไม่จบลงดี อาติงในตอนนี้ได้เร่งความเร็วขึ้นอีกครั้งและเขาเร่งได้เร็วขึ้นเป็นระดับอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเข้าเส้นชัย
เมื่อดูเวลาแล้ว เขาใช้เวลาในการเดินวิ่งให้ครบโดยใช้เวลาไปเพียงสามชั่วโมงสามสิบสี่นาทีแปดวินาที
ด้วยเวลานี้ เรียกได้ว่าทำลายสถิติโลกไปไกล ไกลมาก ไกลแบบสุดๆ ไกลชนิดที่ว่าไปถึงสวรรค์ได้เลย
GGS:บทที่ 1083 เสื้อคลุมขนสัตว์แสนประหลาด
ด้วยสิ่งที่ทั้งนักกีฬาทีมชาติทีมยกน้ำหนักและทีมเดินเร็วได้พบเจอต่างก็ต้องประหลาดใจอย่างมากไม่ต่างจากทีมยิงธนูไปเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาไม่เข้าจริงๆว่ากับอีแค่ผลไม้ลูกเล็กๆ และเนื้อแห้งชิ้นน้อยๆนี้ทำไมถึงได้สร้างสิ่งที่มหัศจรรย์พันลึกได้มากมายขนนาดนี้ นี่มันไม่เป็นไปตามหลักการวิทยาศาสตร์เลยแม้แต่น้อย
นี่ขนาดว่าพวกเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าของทั้งสองสิ่งนี้ไม่ได้มีอยู่บนโลกของพวกเราแล้วพวกเขาจะทำหน้าออกมาเป็นเช่นไรกัน นั่นก็เพราะของทั้งสองนี้มาจากห้วงเวลาและกาลอวกาศอภินิหารเหนือภูผาใต้สมุทรอย่างไม่ต้องสงสัย
ผลไม้นั่นเป็นผลของพืชที่มีลำต้นลักษณะคล้ายโมกลา มันมีผลสีแดง หากโตเต็มที่ก็จะมีลักษณะคล้ายมะละกอแต่ว่าเล็กกว่ามาก
มันมีสรรพคุณในการมอบพลังที่ไม่สิ้นสุดให้แก่ผู้ที่ได้ลิ้มรสมันเข้าไป ในหนังสือนิยายอภินิหารเหนือภูผาใต้สมุทรนั้นได้เขียนไว้เกี่ยวพืชชนิดหนึ่งที่ชื่อว่ามู่หยาน
มู่หยานนั้นมีลำต้นลักษณะคล้ายต้นโมกลา ใบของมันนั้นมีสีแดงและแข็ง ใบมีรูปทรงเป็นแฉกคล้ายกับกรงเล้บ ผลของมันถูกเรียกว่า จูมู่ และมันนั้นมอบพลังงานที่สุดแสนลึกล้ำให้กับผู้ที่ได้กินมัน
ส่วนเนื้อแห้งนั้นเองก็เป็นเนื้อของสัตว์สายพันธุ์หนึ่งที่เขาได้พบ หูของมันนั้นมีสีขาว หน้าตาของมันราวกับชะนีเลยก็ว่าได้
ตอนแรกที่ซูจิ้งได้เห็นเองนั้นเขาก็นึกว่าเข้าใจผิดไปเหมือนกัน แต่ในที่สุดเขาก็มั่นใจว่ามันคือสัตว์ที่มีชื่อว่าควน หากใครก็ตามที่ได้กินเนื้อของมันเข้าไปจะทำให้เดินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าผลของมันนั้นส่งผลต่อการวิ่งด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ เนื้อแห้งที่เขาส่งให้ทีมเดินวิ่งเองก็ไม่ไดจำกัดการเดินวิ่งเท่านั้น มันสามารถช่วยนักกีฬาได้ในทึกประเภทที่ต้องใช้ความเร็ว
ในนิยายอภินิหารเหนือภูผาใต้สมุทรได้เขียนไว้ว่ามีสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายกับลิงที่มีหูสีขาว ผู้คนที่พบเห็นต่างก็จะล่ามัน ชื่อของมันนั้นคือกุยโดยเมื่อกินมันเข้าไปแล้วทำให้ผู้คนเดินได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
สิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้สมควรจะเป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น แต่ในตอนนี้พวกมันถูกส่งมายังโลกนี้พร้อมกับขยะห้วงเวลาฯอภินิหารเหนือภูผาใต้สมุทร
ด้วยการที่ห้วงเวลาฯแห่งนั้นสมควรที่จะเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยสิ่งวิเศษสุดแสนจะอัศจรรย์พันลึก ถึงแม้ว่าสรรพคุณของมันจะโดดเด่นเพียงด้านเดียวแต่ก็ถือว่าเหนือล้ำกว่าข้าวสีน้ำเงินไปแล้ว
การที่ซูจิ้งสนับสนุนทั้งข้าวสีน้ำเงิน ธนูเวทย์มนต์ ผลมู่หยาน และเนื้อกุ่ยแห้งไปนี่ เขาเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ นักกีฬาทีมชาติเหล่านี้จะมีอนาคตได้ไม่สิ้นสุด และต้องสร้างชื่อเสียงให้กับนักกีฬาทีมชาติจีนได้อย่างมากมายพร้อมทั้งค่าการใช้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน
ซูจิ้งในตอนนี้เองไม่ได้สนใจสิ่งใดๆในโลกหล้าเหมือนเช่นเดิม เขายังคงจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อไป
ในช่วงสองวันมานี้ เขานั้นได้พบเจอกับทองนิดหน่อยและหินหยกดิบจากขยะห้วงเวลาฯอภินิหารเหนือภูผาใต้สมุทรกองนี้
ด้วยการที่ห้วงเวลาฯอภินิหารเหนือภูผาใต้สมุทรนั้นเป็นห้วงเวลาที่กว้างใหญ่ ผู้คนและทรัพยากรที่มากมายหลากหลายจึงทำให้ของเหล่านี้ในห้วงเวลานั้นไม่ได้มีค่าแต่อย่างใด
สำหรับบนโลกใบนี้ หากมีใครสักคนไปขุดเจอบ่อน้ำมันเข้า คนๆนั้นถึงจะกลายเป็นคนที่รวยขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จนทำให้หัวเราะไม่หยุดจนคิดว่าตัวเองฝันไปก็มี
การพบเจอทองและหยกดิบนี้เมื่อเทียบเงินทองที่ได้รับแล้วก็คงถือได้ว่าเล็กน้อยมากๆ แต่ต่อให้มันจะเล็กเท่ากับยุงยังไงก็ตาม แต่สำหรับซูจิ้งแล้ว ได้อะไรไปบ้างก็ดีกว่าไม่มีอย่างแน่นอน
ซูจิ้งยังคงค้นหาต่อไป จนในที่สุดเขาก็ได้พบของน่าสนใจเข้า เข้าพบเสื้อคลุมหนังสัตว์สีน้ำตาลเทาที่มีลวดลายตัวหนึ่ง
มันดูรุ่งริ่งและเต็มไปด้วยดินโคลนและใบไม้ที่หล่นลงมาทับถม ถ้าให้พูดตรงๆคือมันดูโสมมแบบสุด ราวกับว่าเป็นเสื้อคลุมขอทานเลยทีเดียว
ตอนที่ซูจิ้งเห็นมาคราแรกนั้น เขาเองก็เกือบที่จะโยนมันทิ้งเหมือนกัน เพราะด้วยสภาพของมันแล้วไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่น่าจะใช้อะไรได้เลยแม้แต่น้อย
แต่เพียงชั่วพริบตาอยู่ๆความคิดของซูจิ้งก็เปลี่ยนไป เขาได้ให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมแซมเสื้อคลุมนี้ดูก่อน นั่นก็เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขานั้นทำให้รู้สึกได้เลยว่าสิ่งของยิ่งได้ไม่สำคัญมากเท่าไหร่ สิ่งนั้นคือของที่เคยสุดยอดมาก่อนหน้านี้ ต่อให้เข้าใจผิดก็ยังดีกว่าคิดไม่ถึงอย่างแน่นอน
ยกตัวอย่างเช่นลูกศรรีเควี่ยมก่อนหน้านี้ที่เป็นความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของซูจิ้งนับแต่เขาเป็นเจ้าของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาแห่งนี้มา
ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องส่งขยะห้วงเวลาฯไปทิ้งข้างนอกจึงไม่ต้องกังวลเรื่องแบบนั้นแล้ว แต่เขานั้นก็ไม่อยากที่จะพลาดของดีๆไปแม้แต่ชื้นเดียว
ไม่นานนัก เสื้อคุมตัวนี้ก็ถูกเสี่ยวไป๋ซ่อมจนเสร็จ แต่ตอนนี้สภาพของมันก็ยงดูมอมแมมเหมือนเดิม ซูจิ้งจึงได้ปล่อยกระแสจิตของตัวเองเพื่อปัดเป่าสิ่งสกปรกออกไปจนหมด จนในที่สุดเขาก็ได้เห็นมันในสภาพที่สมบูรณ์สักที
ในตอนแรกที่เห็นเขาเองก็รู้สึกประหลาดเหมือนกัน ส่วนที่เป็นขนสัตว์ของเสื้อคุลมนี้ไม่ได้ยาวแบบเสื้อคลุมทั่วไปที่เขาเคยเห็น มันยาวมากจนเกือบจะหนึ่งเมตรเห็นจะได้ มันดูแปลกตาและทำให้เขารู้สึกสนใจมากพอดู
“นี่มันขนของสัตว์อะไรกัน ดูมันไม่เหมือนกับสัตว์ที่อยู่บนโลกนี้เลย” เมื่อซูจิ้งคิดได้ดั่งนั้นเขาจึงนำเอาเสื้อคลุมขนสัตว์นี้ไปทำความสะอาดด้วยน้ำดูอีกทีหนึ่ง เมื่อเสร็จแล้วเขาคิดว่าจะทำการศึกษามันเพิ่มเติมอีกที
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างทำการซัก ซูจิ้งพบว่าส่วนที่เป็นขนสัตว์นี้หดตัวลงเร็วมาก มากจนเรียกได้ว่าแม้แต่เสื้อขนสัตว์ที่อยู่บนโลกนั้นก็ยังไม่หดเท่าได้ขนาดนี้อย่างแน่นอน
หลังจากใช้เวลาซักพัก ส่วนขนสัตว์ก็ยังหดลงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในตอนนี้ขนสัตว์นี้ได้หดลดลงเหลือเป็นขดเล็กๆเพียงเท่านั้น
“…..นี่มันขนอะไรกันทำไมถึงได้หดลงขนาดนี้เนี่ย” ซูจิ้งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้จะเป็นขยะจากห้วงเวลาฯ อภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรก็ตาม แต่ยังไงซะในตอนแรกเขาคิดเพียงว่าตัวเสื้อคลุมเท่านั้นที่พิเศษ แต่ขนสัตว์เพียงมาจากสัตว์ธรรมดาที่ใช้ตกแต่งเท่านั้น แต่ทำไมขนสัตว์นี่เวลาโดนน้ำน้ำถึงได้หดตัวได้ขนาดนี้กัน
ตอนนี้ซูจิ้งไม่ได้สนใจที่จะซักตัวขนของเสื้อคลุมอีกต่อไป เขาทำเพียงใช้น้ำลูบขจัดคราบสกปรกที่เกาะแน่นเกินกว่าที่เขาจะใช้พลังจิตของตนปัดไม่ออก
แต่คราบสกปรกที่เกาะติดอยู่บนเสื้อคลุมนี้เองแม้แต่น้ำก็ยังล้างไม่ออก จนซูจิ้งรู้สึกได้ว่าหากเขายังฝืนที่จะเอาคราบพวกนี้ออกต่อไปล่ะก็ เสื้อคลุมน่าจะต้องเสียอีกอย่างแน่นอน
“….ไว้รอมันแห้งแล้วค่อยเอาไปซักแห้งก็แล้วกัน” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นเขาจึงหาจุดเหมาะก่อนที่จะสร้างกองไฟขึ้นมาแล้ววางเสื้อคลุมนี้ผึ่งเอาไว้ข้างๆ โดยความคิดอีกไม่นานก็คงจะแห้ง โดยหลังจากผึ่งไปได้พักใหญ่ปรากฎว่าส่วนขนสัตว์ก็กลับออกมามีขนาดยาวมากขึ้นเรื่อย
ในตอนนี้ซูจิ้งถึงกับสะดุ้งเฮือกในทันทีที่เห็น ดูเหมือนว่าความคิดของที่ว่าจะลองให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมหลังล้างเสร็จนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป
ตอนนี้เขาเลยคิดว่าจะปล่อยไว้อย่างนี้ก่อนและคิดจะกลับไปจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อนั้น ไม่นานเมื่อเขาหันหลังจากไป เขาเองก็เริ่มรู้สึกถึงการไหม้ของอะไรบ้างอย่างจึงได้รีบหันกลับมาดู ในตอนนั้นเขาก็เห็นว่าเสื้อคลุมตัวนี้ได้ไหม้ไฟเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ซูจิ้งตกใจจนหน้าเปลี่ยนสีในทันที เขารีบพุ่งเข้าไปยังเสื้อคลุมที่กำลังลุกโชนอยู่ในตอนนี้ พร้อมทั้งปล่อยภูตไฟทั้ง108ตนของเขาออกมาช่วยกันควบคุมเพลิงที่ลุกไหม้ แล้วทำการปัดไฟทั้งหมดที่ลุกขึ้นบนเสื้อออกไปอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้ซูจิ้งถึงกับงงหนักยิ่งกว่าเดิม นั่นก็เพราะเมื่อครู่นี้ตอนที่เขาเห็นเสื้อคลุมนี้ตอนที่เดินห่างไปนั้น มันได้ถูกไฟลุกคลุมไปทั่วแล้ว เขาจึงรีบพุ่งเข้ามาโดยไม่คิดอะไรในตอนนั้น
แต่เมื่อเขาได้จัดการไฟไปจึงได้มีเวลาไตร่ตรองขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ การลุกไหม้ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เองก็สมควรจะไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ทั้งความรวดเร็วที่เกิดไฟไหม้ ไหนจะก่อนหน้านี้ที่เสื้อยังเปียกโชกอยู่นั้นมันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ใช้น้ำในการล้างเสื้อคลุมมากก่อนแต่เป็นใช้น้ำมันในการล้างเสื้อคลุมตัวนี้แล้วเผลอเอามาวางไว้ใกล้กองไฟเลยทีเดียว
เมื่อคิดได้ดังนั้นซูจิ้งจึงได้สำรวจเสื้อคลุมดูอีกครั้งเพื่อดูว่ามีรอยไหม้ตรงไหนบ้างรึเปล่า เขาเองก็ได้เรียกเสี่ยวไป๋มาเพื่อที่จะให้เตรียมซ่อมเสื้อคลุมให้เขาเรียบร้อยแล้ว
แต่ยังไม่ทันที่เสี่ยวไป๋จะมาถึงดี เขาเองก็ต้องรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม นั่นก็เพราะว่าจากที่เขามองดูแล้วกลับพบว่าเสื้อคลุมตัวนี้ไม่ได้มีรอยไหม้เกิดขึ้นแต่อย่างใด แม้แต่เส้นขนที่ติดเอาไว้ก็ไม่มีหายไปเลยสักเส้น
พบเพียงแต่ว่าความเปียกชื้นจากที่เขาได้ใช้น้ำล้างไปก่อนหน้านี้กลับหายไปหมดแล้ว แม้แต่ที่ปลายขนเองก็ไม่มีร่องรอยการเปียกเลยแม้แต่น้อย
หนำซ้ำตอนนี้เสื้อคลุมยังกลับดูใหม่เอี่ยมอ่องราวกับพึ่งจะตัดเสร็จมาหมาดๆยังไงไม่รู้
“เป็นไปได้ยังไงกัน…” หากว่าซูจิ้งไม่ได้โง่งมจนเกินไปล่ะก็เขาต้องรู้สึกได้แล้วว่าเสื้อคลุมนี้ไม่ใช่เสื้อคลุมธรรมดาอย่างแน่นอน หากเป็นเสื้อคลุมธรรมดาล่ะก็จะสามารถผ่านความร้อนระดับนั้นมาได้โดยไร้ร่องรอยได้ยังไงกัน
“อย่าบอกนะว่า…” ซูจิ้งในตอนนี้ได้นิ่งคิดอะไรชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะลองใช้ไฟที่สร้างจากมือของตัวเองไปลนยังขนสัตว์ที่ห้อยออกมา
ผลก็คือขนสัตว์นั้นลุกโชนแทบจะทั้งหมดทันที แต่ถึงมันจะมีไฟที่ลุกโชนขนาดนั้นแต่ตัวเส้นนั้นกลับไม่ไหม้เลยแม้แต่น้อย
กลับกันมันยิ่งดูเงางาม ลื่นฟูมากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก ร่องรอยสกปรกต่างๆเองก็หายไปด้วยการเผาไหม้นี้อย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเผาได้แม้แต่คราบสกปรกเลยก็ว่าได้ มันลุกไหม้จนในตอนนี้ขนของมันทั้งหมดกลายเป็นสะอาดสะอ้าน ไร้ร่องรอยความสกปรกและเงางามประดุจของใหม่เลยทีเดียว
“เสื้อคลุมขนสัตว์นี่ช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก” ซูจิ้งในตอนนี้เริ่มรู้สึกผิดจริงๆที่ก่อนหน้านี้ได้ใช้น้ำในการล้างเสื้อคลุมตัวนี้
ตอนนี้เขาได้จดจำไว้ในใจเลยทีเดียวว่าหากเสื้อคลุมตัวนี้เลอะเมื่อไหร่ อย่าได้ใช้น้ำในการซักล้าง แค่เผามันก็พอ
ซูจิ้งในตอนนี้ได้ใส่เสื้อคลุมในทันทีและในคราวนี้เขาได้ลองเข้าไปใกล้กองไฟในขณะสวมเสื้อคลุมตัวนี้ดูบ้าง เมื่อเสื้อคลุมตัวนี้ลุกไหม้ เขาไม่ได้ใช้การควบคุมไฟเพื่อไม่ให้ตัวเองโดนเผาไหม้แต่อย่างใด
เขาเพียงเดินผ่านกองไฟโดยไม่รู้สึกถึงความร้อนที่เกิดจากกองไฟเลยแม้แต่น้อย และตัวเขาเองก็ไม่ได้รับผลกระทบจนเกิดรอยไหม้เลยสักนิด
นี่เองก็เป็นไปตามที่ซูจิ้งได้คาดไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าเสื้อคลุมนี้มีคุณสมบัติที่ทำให้ผู้สวมใส่นั้นต้านทานไฟได้อย่างแน่นอน และตอนนี้เขาก็พอจะนึกออกแล้วว่าขนสัตว์นี้เป็นของสัตว์อะไรกันแน่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น