Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1074-1079

 GGS:บทที่ 1074 ทางออกที่น่าสะพรึงกลัว


แทบจะในทันทีที่ปีศาจดอกไม้อย่างฮัวเหยาออกมาก็เรียกได้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างนี้ได้คลี่คลายลงแล้ว

เหล่าสุดยอดนักสู้ของหยวนหยินหนิงผู้ซึ่งกินข้าวสีน้ำเงินที่ราคาสูงเสียดฟ้าในทุกๆแม้ เรียนรู้แม้กระทั่งเพลงหมัดวัวคลั่งครบทั้งสามกระบวนท่า แต่ต่อให้ทำถึงขนาดนั้นก็ยังเปรียบได้เพียงแค่เด็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าปีศาจดอกไม้ตนนี้


คำพูดนี้ก็ไม่ได้แปลกอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะขนาดซูจิ้งเองก็ยังต้องใช้ทั้งเวลาและทริคต่างๆถึงจะยอมสยบเธอลงได้ นั่นก็เพราะถ้าสู้กันตรงๆแล้วซูจิ้งเองก็ยังถือว่าห่างชั้นนัก

เหล่าผู้คนทั้งหลายที่มาลักพาตัวฉือชิงในตอนนี้ทุกๆคนต่างก็ลงไปกองกับพื้นอยู่เฉยๆ ไม่ก็สลบสไลไม่ได้สติสัมปชัญญะอีกต่อไป

หากโลกได้รับรู้ว่าบนโลกมีเถาวัลย์ที่สามารถเคลื่อนไหวได้เองแบบนี้ แม้แต่ดอกไม้เอง ในตอนนี้ก็ยังกลับกลายสู่รูปร่างของมนุษย์ และทำได้แม้กระทั่งใช้กิ่งก้านใบราวกับแขนขาของตัวเองในการทำสิ่งต่างๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ไปแล้วกันแน่


ขณะเดียวกันทั้งหยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชู และฟูหงซิ่ว ที่กำลังอยู่ในห้องพักสุดหรูที่ไกลออกไปนับพันกิโลเมตร ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ตกยู่ในสภาพที่โง่งมและอึ้งจนพูดอะไรไออก

คนที่ทำหน้าที่ในการถ่ายวิดีโอนี้ในที่สุดก็ถูกทำให้หมดสติและภาพก็ได้ตัดหายไป แต่ยังไงซะ พวกเขาที่ได้จับจ้องในกระบวนการลักพาตัวนี้จนเกิดเรื่องมากมายก็ยังไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่ได้เห็นมา

เถาวัลย์ที่เคลื่อนไหวได้เอง ดอกไม้ที่กลายร่างเป็นมนุษย์ นี่พวกเขาตาฝาดหรือโลกนี้ติดบั๊คกันแน่

อย่าว่าแต่สามคนนั้นเลย แม้แต่ซือฉิงก็ยังต้องถลึงตาจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้น ลูกไม้สีเขียวออกมาเป็นเถาวัลย์กินคนแบบนั้นได้เธอยังไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่เพราะเคยเห็นเต็งเต็งมาแล้ว

แต่การที่ดอกไม้ที่อยู่บนหัวเธอตลอดเวลากลายร่างอยู่ในรูปของมนุษย์นี่สิที่ทำให้เธอรู้สึกมหัศจรรย์ใจอย่างแท้จริงๆ

แน่นอนว่าเธอจำได้เป็นอย่างดีว่าดอกไม้ดอกนี้เป็นดอกไม้ที่ซูจิ้งมอบให้เธอ ด้วยการที่ดอกไม้นี้ไม่เพียงจะสวยงามเท่านั้น มันยังให้รู้สึกสดชื่นอยู่ตลอดเวลาที่เธอติดไว้ที่หัวทำให้เธอคอยนำมันมาประดับไว้ที่หัวตัวเองอยู่บ่อยครั้งจนเธอลืมไปแล้วว่าเธอไปไหนมาไหนโดยมีดอกไม้นี้ประดับไว้ที่หัวของตัวเอง

และการที่ดอกไม้ที่ประดับอยู่ที่หัวเธอนี้ได้กลายมาเป็นตัวเป็นตนในรูปร่างของมนุษย์แบบนี้ เธอพอจะปะติดปะต่อเรื่องได้ในทันทีว่าเธอคนนี้คงจะเป็นบอดี้การ์ดของเธออย่างแน่นอน

“เธอ….อืมมม…เธอเป็นใครกัน” ฉือชิงได้มองไปที่ปีศาจดอกไม้และถามออกมาอย่างสงสัยใคร่รู้

“ดิฉันได้รับมอบหมายจากท่านซูจิ้งให้คอยปกป้องคุณค่ะ” เมื่อการพูดออกมาด้วยความนอบน้อมจบลง ฮัวเหยาก็ได้กับคู่สู่ร่างดอกไม้และลอยกลับไปประดับที่หัวของฉือชิงดังเดิม

ถึงแม้ฉือชิงจะเกิดคำถามมากมายอยู่ในหัว แต่เธอก็รู้ดีว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาสงสัย ดอกไม้ดอกนี้เป็นซูจิ้งที่มอบให้เธอย่อมหมายความว่าเธอผู้นี้ย่อมมีความสามารถในการปกป้องเธอได้อย่างแน่นอน ถึงแม้จะยากที่จะเชื่อก็ตาม


ฉือชิงในตอนนี้ได้รีบขึ้นไปบนรถแล้วจับรถออกจากโรงจอดรถของตึกในทันนี และทำการโทรหาซูจิ้งในตอนที่ขับรถอยู่

“อาจิ้ง มีคนพยายามจะลักพาตัวฉัน” เมื่อคิดถึงฉากเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้นไปนั้นทำให้เธอแทบจะกดข่มความรู้สึกกลัวของตัวเองไม่ได้จนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

“ว่าไงนะ แล้วเธอเป็นอะไรรึเปล่า” ซูจิ้งในตอนนี้หน้าเปลี่ยนสีในทันที

“ไม่เป็นไร ดอกไม้ที่นายมอบให้ฉันได้ออกมาปกป้องฉันไว้น่ะ” ฉือชิงพูดออกมา

“เรื่องนั้นเดี๋ยวฉันอธิบายทีหลังนะ แล้วตอนนี้เธออยู่ไหนน่ะ” ซูจิ้งรีบถามออกมา

“เรื่องมันเกิดที่ลานจอดรถของตึกหลงเต็ง ฉันพึ่งจะขับรถออกมาจากที่นั่นนี่ล่ะ ฉันว่าจะรีบตรงกลับบ้านเลย คนพวกนั้นโดนดอกไม้นี่เล่นงานจนเจ็บหนักไปหมดแล้ว บางคนก็โดนผึ้งต่อยจนร่วงลงไปกองกับพื้น หากพวกนั้นตายคงไม่มีใครมากล่าวหาฉันว่าเป็นฆาตกรใช่รึเปล่า” ฉือชิงพูดออกมาด้วยความหวาดกลัว

“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกน่า นี่เป็นการป้องกันตัว นอกจากนั้นเรื่องนี้ไปไม่ถึงเธอหรอก ฉันจะส่งคนไปจัดการเรื่องนี้เอง เธอก็ขับรถกลับบ้านดีๆล่ะ” ซูจิ้งรีบพูดออกมาปลอบประโลมฉือชิงในทันที

หลังจากวางสาย ซูจิ้งได้โทรหาหลัวฉือหลินให้วางมือจากการสืบสวนและตรงไปจัดการเรื่องที่ตึกหลงเต็งในทันที

หลังจากวางสายไป เขาก็ได้รีบโทรไปยังสายหนึ่งในทันที


ณ บนยอดตึกหนึ่งในโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งเมืองจองหยุน ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในชุดนักเรียนได้ยืนอยู่ที่ดาดฟ้าของตึก สายตาของเขาจับจ้องไปที่หญิงสาวกลุ่มหนึ่งนั่นคือ ซูเจินเยว่ เอี้ยฉิน และซูหยาที่อยู่ตึกข้างๆอย่างไม่วางสายตา

ตอนนั้นเองโทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้น มันเป็นเสียงที่เขาตั้งไว้เฉพาะเพื่อจะให้จดจำได้ง่าย และเขาได้รีบรับสายอย่างไม่รีรอและพูดอออกมาว่า “ครับ เจ้านาย”

ชายคนนี้ก็คือไป๋ฮิตู เขาได้รับมอบหมายมาจากซูจิ้งในการเฝ้าระวังภัยและคอยปกป้องพ่อแม่และน้องสาวของซูจิ้งในช่วงนี้

ด้วยเรื่องของเว่ยเสี่ยวหยวนที่พึ่งเกิดขึ้นมาทำให้เขานั้นตระหนักในบางอย่าง เขาเชื่อว่าคนรอบตัวเขากำลังมีภัยอันตราย กับฉือชิงนั้น เขาได้มอบหมายให้ฮัวเหยาปกป้องเธอไปแล้ว เขาจึงให้ไป๋ฮิตูมาคอยปกป้องพ่อแม่และน้องสาวของเขาแทน

“เป็นยังไงบ้าง” ซูจิ้งถามออกมา

“ทุกอย่างปกติดีครับ พ่อแม่ของนายทั่นยังคงสอนปกติดี และน้องสาวของนายท่านก็ยังนั่งเรียนอยู่ในห้องอยู่โดยมีกระรอกและผึ้งพิฆาตคอยเฝ้าดูอยู่ไม่ไกลนัก และผมเองก็คอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ให้พ้นระยะสายตา” ไป๋ฮิตูพูดออกมา

“ก่อนที่คาบสอนจะจบลง นายรีบไปตรวจตราโดยรอบเดี๋ยวนี้” ซูจิ้งสั่งออกมาในทันที

“ได้ครับ” ไป๋ฮิตูทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว

ไป๋ฮิตูได้กระโดดลงจากดาดฟ้าในทันทีโดยมีสแตนด์ของเขาลอบออกมาจากด้านหลัง ร่างกายของเขาในตอนนี้ประหนึ่งดั่งเหรียญที่ถูกดีดขึ้นฟ้าแล้วล่วงหล่นลงมาจนจับตามองไม่ทัน

สำหรับเขาแล้วนั้นกับการที่โดดลงมาจากตึกที่สูงเพียงห้าหากชั้นแบบนี้ไม่ได้ต่างไปจากการกระโดดหนังยางเล่น และเพียงเมื่อร่างกายของเขาตกลงสู่พื้น สแตนด์ของเขาก็เปล่งแสงจ้าและตัวเขาเองก็ได้อันตรธานหายไปในทันที


เส้นทางจากบ้านของทั้งซูเชินเย่ว เย่ฉิน และซูยาที่อยู่ใกล้ๆกับธนาคารต้าเชิงมาจนถึงโรงเรียนนั้นมีระยะทางประมาณหนึ่งกิโลเมตร

ในทุกๆวันพ่อแม่องซูจิ้งจะเดินกลับบ้านทุกวันหลังเลิกสอนแล้ว เส้นทางสายนี้มีผู้คนจำนวนน้อยมากที่จะเดินผ่าน และน้อยคนอีกเช่นกันที่ทั้งสองจะได้หยุดเพื่อพูดคุย

เส้นทางนี้ถือได้ว่าเป็นทางลัดและเป็นเส้นทางเข้าออกเพียงทางเดียวเลยก็ว่าได้หากเหยียบย่างเข้ามา โดยเฉพาะวันนี้ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน ไฟถนนดูเหมือนจะดับลงทั้งเส้นทำให้มันมืดมาก หากจะเดินกลับนั้นต้องอาศัยเพียงแสงจันทร์เท่านั้นถึงจะมองเห็นถนนได้

ที่ข้างถนนเส้นนี้ ในตอนนี้ได้มีรถตู้จำนวนหนึ่งจอดเอาไว้ที่ข้างทางอยู่หลายคัน แต่นี่ก็ไม่ได้ดูแปลกตาแต่อย่างใด เพราะคนแถวนี้ก็จอดรถกันแบบนี้ไปทั่ว


อย่างไรก็ตาม ในรถตู้คันหนึ่งได้มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องไปยังทางถนนที่อยู่ตรงหน้าอย่างตั้งใจ

ในตอนนี้เองก้ได้มีร่างๆหนึ่งปรากฎอยู่หลังต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ คนๆนี้ก็คือไป๋ฮิตู เขาหยุดอยู่กับที่และจับจ้องไปยังรถคันนี้อย่างไม่วางตา

หากเป็นคนทั่วไปล่ะก็แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางเห็นได้เลยว่ารถคันนี้มีอะไรอยู่ข้างใน แต่ไป๋ฮิตูคนนี้หาใช่คนธรรมดาแต่อย่างใด เขานั้นมีความสามารถที่แม้แต่ซูจิ้งก็ยังต้องอิจฉาอย่างมาก

ด้วยร่างกายของไป๋ฮิตูนี้ได้รับการกระตุ้นจากสารกระตุ้นขององค์กรเกล็ดงูมาแล้วทำให้ร่างกายของเขาเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปอย่างมาก แถมเขายังได้รับเนื้อปลาเขี้ยวหยกและข้าวสีน้ำเงินจากซูจิ้งอีกมากมาย

อีกทั้งได้รับการสั่งสอนเพลงหมดวัวคลั่งจากซูจิ้งโดยตรงเช่นเดียวกันจนทำให้ร่างกายของเขาเหนือกว่าคนทั่วไปชนิดที่เทียบไม่ติด


แน่นอนว่าสายตาของเขาเองก็เช่นเดียวกัน เขาเห็นได้ชัดเจนเลยว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้ยินเสียงกระซิบคุยกันด้วยซ้ำทั้งๆที่อยู่ในระยะไกล

“ทำไมพวกมันยังไม่มากันอีก นี่เราต้องรออีกนานแค่ไหนเนี่ย”

“อย่าเร่งไปเลยน่า ยังไงซะพวกเราก็ต้องรอจนกว่าคาบการสอนจะหมดลง หรือว่านายจะให้พวกเราบุกเข้าโรงเรียนไปไปจับตัวรึไงกัน ต่อให้เป็นลูกพี่หยวนก็ไม่มีทางจะจัดการเรื่องของภาครัฐไหวหรอกนะ รอๆไปเถอะน่า”

“แต่ทำไมเราต้องยกโขยงมาแบบนี้เพียงแค่จับตัวคนแก่ๆสองคนเนี่ย”

ในตอนนี้เองที่โทรศัพท์ของหัวหน้ากลุ่มคนพวกนี้ได้โทรเข้ามา เขารีบรับสายในทันทีที่เห็นว่าเป็นหยวนหยินหนิง

หยวนหยินหนิงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเคลือออกมาว่า “สิบสองวิญญาณ สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว รีบถอย….”

ในขณะที่คนในรถกำลังรู้สึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น และในตอนที่หยวนหยินหนิงยังพูดไม่ทันจบดี ก็ได้เกิดเสียงระเบิดดังกระหึ่มในหูของเขา

ด้วยเสียงนี้ทำให้เหล่าผู้คนทั่วทั้งบริเวณและปลายสายต้องหูดับในทันทีที่เกิดเสียงนี้ ก่อนที่พวกเขาจะทำอะไรได้ โทรศัพท์ที่อยู่ในมือก็ถูกแย่งไปแล้ว


“แม่…เอ๊ย ใครวะ”

“แกหาที่ตายสินะที่กล้ามาทำแบบนี้”

ด้วยการที่คนในรถเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ได้กินข้าวสีน้ำเงินไปเป็นจำนวนมากและฝึกฝนตัวเองด้วยเพลงหมัดวัวคลั่ง ทำให้รูปร่างของพวกเขานั้นล้วนแล้วแต่แข็งแกร่ง และมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากคนทั่วไป

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ก็ยังมีคนกล้าที่จะมาหาเรื่องพวกเขาแบบนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกโกรธขึ้นมาในทันทีพลางคิดไปว่า ไอ้หมอนี่ไปกินดีเสือดาวมารึไงกัน


ชายเจ็ดถึงแปดคนที่อยู่ในรถตอนนี้ได้ออกมาจากรถในทันที เมื่อพวกเขาเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าก็รู้ได้ในทันทีว่าคนๆนี้คือคนที่รนมาหาที่ตายนี่เอง

สองคนในกลุ่มได้พุ่งเข้าหาพร้อมทั้งโจมตีด้วยกระบวนท่าที่ทรงพลังท่าหนึ่งของเพลงหมัดวัวคลั่ง อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้มีท่าแยแสกับสองคนนี้

และเพียงเมื่อรู้ตัว ทั้งคู่ก็ด้านหล่นลงไปกระแทกกับหลังคารถเรียบร้อยแล้ว ที่ร่างของขายทั้งสองนั้นบังเกิดรูใหญ่รูหนึ่งปรากฎบนร่างกาย และเลือดที่พวยพุ่งออกมาอย่างไม่ขาดสาย

“ห้ะ ไอ้นี่โจมตีด้วยอะไรกัน”

“มันน่าจะมีอาวุธ พวกเราเข้าไปพร้อมกัน”

พวกคนที่เหลือเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนยุคใหม่จึงไม่ได้มหัศจรรย์ในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด แถมยังกล้าที่จะเผชิญหน้าต่อโดยไม่สนใจแม้แต่น้อย

ถึงแม้ว่าฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันจะแปลกประหลาดขนาดไหน แต่พวกเขาก็ถือว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ยุคหินที่จะมานั่งโง่งมในสิ่งที่มองไม่เห็นแบบนั้น

พวกมันได้พุ่งรุมล้อมชายคนนี้ในทุกทิศทางและขยับไปมาไม่หยุดนิ่งราวกับตัวต่อ คนที่อยู่ในรถคันอื่นที่เห็นเหตุการณ์เองก็ได้กรูออกมาในทันทีและทำเช่นเดียวกัน

ในตอนนี้รอบๆชายหนุ่มได้มียอดนักสู้ไม่ต่ำกว่าสามสิบคนและไม่น่าจะเกินสี่สิบคนรายรอบเรียบร้อยแล้ว ด้วยความร่วมมือของยอดนักสู้เหล่านี้ ต่อให้ต้องเจอกองทหารพิเศษกว่าพันคน ทหารพิเศษเหล่านั้นก็ต้องตกตายโดยพวกมัน


อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่ได้แยแสกับจำนวนของคนเหล่านี้แต่อย่างใด เขาพุ่งตรงเข้าไปประชิดกลุ่มคนเหล่านี้ทีละคน ทีละคน และในทุกๆครั้งที่ผละจากไป ยอดนักสู้เหล่านั้นที่พอจะตอบสนองได้ก็มีเพียงการพ่นเลือดคำโตออกมาจากปากจนฟุ้งกระจายไปทั่วราวกับน้ำพุเลือด

เพียงชั่วพริบตาเดียว เหล่ายอดฝีมือมือฉกาจกว่าสี่สิบคนก็ร่วงหล่นลงไปกองกับพื้นอย่างรวดเร็ว

ยอดฝีมือทุกคนนั้นกว่าจะรู้ตัวนั้นก็พบว่าตัวเองนอนกองกับพื้นพร้อมกับอาการบาดเจ็บที่รุนแรงพร้อมตายได้ทุกเมื่อไปแล้ว

คนที่ยังมีสติอยู่ได้จับจ้องไปยังชายหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหลาคนนี้ราวกับเห็นผีร้ายก็ไม่ปาน พวกเขานั้นล้วนแล้วแต่กินข้าวสีน้ำเงินไปมากมาย แม้แต่ได้รับการฝึกฝนเพลงหมัดวัวคลั่งครบทั้งสามกระบวนท่า

ทั้งที่มั่นใจในตัวเองว่าทรงพลังเหนือกว่าใคร และไม่เคยเกรงกลัวที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆด้วยมือและเท้าของตัวเองเลยสักครั้ง

แต่พวกเขากว่าสี่สิบคนกลับทำอะไรไม่ได้เลยเมื่อเจอคนๆเดียว โดยเฉพาะชายคนนี้ไม่ใช่ซูจิ้งอีกด้วย นอกจาซูจิ้งแล้วยังมีสัตว์ประหลาดระดับนี้อยู่ในโลกได้ยังไงกัน

ไป๋ฮิตูที่จัดการกวาดล้างคนกลุ่มนี้จนหมดก็ได้รีบโทรหาซูจิ้งในทันที “เจ้านายครับ ผมพบคนกลุ่มหนึ่งแอบซ่อนอยู่ในเงามืด แต่ผมจัดการคนพวกนี้ด้วยมือตัวเองไปแล้ว”

“เยี่ยม อย่าพึ่งฆ่าพวกมัน ฉันต้องการพวกมันเป็นๆ เดี๋ยวฉันจะส่งคนไปเก็บพวกมันมา นายก็กลับไปดูแลครอบครัวของฉันต่อได้” ซูจิ้งพูดออกมา


GGS:บทที่ 1075 ตัวตนถูกเปิดเผย


คนกว่าสี่สิบถูกจำกัดจนราบแทบจะในทันทีที่เกิดการต่อสู้เป็นเหตุการณ์ที่อยากจะยอมรับได้ แต่ก็มีคนหนึ่งที่ยังฝืนตัวเองจากความหวาดหวั่น ในระหว่างที่เกิดเหตุชลมุนคนๆนั้นได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปไว้ได้หนึ่งรูปและส่งไปหยวนหยินหนิงก่อนที่จะลงไปนอนกองกับพื้น

หยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชู และฟูหงซิ่ว ที่กำลังตกตะลึงกับเถาวัลย์ที่เลื้อยได้ประดุจดั่งงูเขียวยักษ์ และดอกไม้ที่กลายร่างเป็นมนุษย์ได้นั้น

เมื่อพวกเขาได้เห็นภาพที่ส่งมาทำให้ใบหน้ากลายเป็นหน้าเกลียดไปในทันทีจากก้นบึ้งหัวใจ ชายคนนี้ได้ฆ่าได้อย่างหน้าตาเฉยและรวดเร็วแต่กลับไม่มีใครเลยที่เคยเห็นคนที่มีความสามารถเก่งฉกาจแบบนี้มาก่อน

ถึงแม้พวกเขาจะคิดไว้แล้วว่า ซูจิ้งน่าจะมีบอดี้การ์ดคอยดูแลครอบครัวของเขาเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าซูจิ้งจะมีบอดี้การ์ดที่เก่งฉกาจพอๆกับตัวเองแบบนี้ได้

นี่ทำให้ทั้งหยวนหยุนหนิง ฮัวหยุนชู และฟูหงซิ่วรู้สึกได้ทันทีว่าโลกใบนี้คงใกล้ที่จะถึงจุดจบเป็นหน้า เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กัน แล้วนี่ยังเป็นโลกที่พวกเขายังรู้จักอยู่ใช่รึเปล่า


ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงภัยอันตรายที่ยากจะคาดถึง แผนการสุดท้ายที่วางแผนเอาไว้ด้วยเวลาอันยาวนานกับพังยับลงอย่างง่ายดายและรวดเร็ว รวมถึงไพ่ที่แข็งแกร่งที่สุดยนมือของพวกเขานั้นต้องตกไปอยู่บนมือของคนอื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

พวกเขารู้ในทันทีว่าอีกไม่นานตัวตนของพวกเขาจะถูกเปิดเผย แต่ตอนนี้ที่เขายังคงสงสัยก็คือด้วยตัวตนของซูจิ้งที่เกินกว่าจะจินตนาการได้ในตอนนี้จะใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะพบพวกเขา

“เดี๋ยวนะ ฉันว่าฉันคุ้นๆหน้าหมอนี่อยู่ ฉันว่าฉันเคยเจอหมอนี่มาก่อน” หยวนหยุนหนิงในตอนนี้รู้สึกละม้ายคลับคล้ายกับรูปชายหนุ่มที่ถูกส่งมาเป็นรูปสุดท้ายนี้

เมื่อจ้องสักพักเขาก็เริ่มรู้สึกเกิดความฉงนจึ้นในใจ ก่อนที่จะไปหยิบข้อมูลของกองกำลังต่างๆที่เขาเก็บเอาไว้ มันข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีคนหาย

มีหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องได้ถูกสืบสวนจนมีข้อมูลที่แน่ชัดแต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก คนๆนี้คือคนที่สู้กับซูจิ้ง ตอนที่ซูจิ้งบุกไปยังห้องคาราโอเกะแห่งหนึ่ง

ฉากการต่อสู้ในวันนั้นไม่มีใครเห็นเลยแม้สักคนเดียว แต่เศษซากที่หลงเหลือนั้นบอกได้เลยว่ายากที่จะอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ร่องรอยที่พอจะสังเกตได้อย่างเดียวก็คือมีการใช้อาวุธความร้อนอะไรบางอย่างในการต่อสู้เท่านั้น

และในครั้งนั้นก็เป็นอีกครั้งที่ซูจิ้งชนะอย่างสวยงาม และชายในภาพนี้สมควรจะเป็นไป๋ฮิตู และที่น่าประหลาดใจมากกว่านี้ก็คือมีคนจำนวนหนึ่งที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยจากเหตุการณ์นี้

ก่อนหน้านี้หยวนหยินหนิงคิดไปเองว่าไป๋ฮิตูผู้นี้คือหนึ่งในสมาชิกกองกำลังอื่น และการที่เขาหายไปนั้นเป็นเพราะว่าพ่ายแพ้ต่อซูจิ้งทำให้ไม่กล้าที่จะปรากฏตัวอีก


เขาเองก็เคยลองติดต่อไป๋ฮิตูโดยตรงแล้วแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ไม่คิดเลยว่าจะมาพบไป๋ฮิตูเป็นบอดี้การ์ดที่คอยปกป้องครบครัวของซูจิ้งแบบนี้ได้

นี่มันอะไรกันแน่ สองคนนี้เป็นศัตรูกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้อยู่บนเรือลำเดียวกันล่ะ

“เดี๋ยวนะ ฉันคิดว่ามันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ ความจริงพวกเราไม่น่าจะมีเหตุผลที่ทำให้องค์กรเกล็ดงูนั่นเป็นศัตรูกับพวกเราเลยนี่นา ความจริงพวกนั้นควรจะร่วมมือกับเราด้วยซ้ำ

แต่อยู่ๆซูจิ้งกับแทรกแซงได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ราวกับว่าทุกอย่างถูกคำนวนไว้แล้วไม่ใช่เหรอ แถมหลังจากที่ซูจิ้งเข้ามาแทรกแซงก็ดูเหมือนว่าองค์กรเกล็ดงูนั่นจะหายไปในทันที

แล้ว…ถ้า….ถ้าองค์กรเกล็ดงูนั่นโดนควบคุมโดยซูจิ้งเรียบร้อยแล้วล่ะ หากเป็นแบบนี้ทุกอย่างก็สมเหตุสมผลหมดเลยนะ นี่หมายความว่าเขายอมเผยร่องรอยขององค์กรเกล็ดงูออกมาเพื่อเป็นเหยื่อล่อและเราก็เป็นฝ่ายไปกินเหยื่อล่อนั่นซะเอง” หยวนหยุนหนิงในตอนนี้พึมพำออกมาโดยไม่ได้สนใจผู้คนที่อยู่โดยรอบแม้แต่น้อย


ใบหน้าของเขาในตอนนี้ราวกับว่ายิ่งเขาคิดคำตอบได้ใบหน้าของเขาก็ยิ่งซีดเซียวมากขึ้น และเมื่อฮัวหยุนชูกับฟูหงซิ่วยิ่งได้ยินข้อสันนิษฐานที่น่าเป็นไปได้นี้มากเท่าไหร่ ใบหน้าของทั้งสองก็มีสีเลือดขึ้นเป็นน้อยลงมากขึ้นด้วยกันไป

หยวนหยินหนิงยังพูดข้อสันนิษฐานของตัวเองออกมาต่อว่า “ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกได้ว่าพวกเรานั้นควรจะระวังชายที่ชื่อสไปเดอร์แมนนั่นเอาไว้ เพราะคนๆนั้นสมควรจะมีสัมพันธ์อันดีกับซูจิ้ง

แถมก่อนหน้านี้ฉันยังสืบสวนมาได้ว่าซูจิ้งนั้นเป็นคนพัฒนาเสื้อเกราะกันกระสุนใยแมงมุมขึ้นมาให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมหนักเทียนหลิน จึงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่ทั้งสองน่าจะเป็นพันธมิตรกัน

แถมยังเว่ยเสี่ยวหยวนนั่นอีก ก่อนหน้านี้เธอโดดออกมาจากตึกแล้วครั้งหนึ่งและมีสไปเดอร์แมนช่วยเธอไว้ การที่ในครั้งนี้ไปช่วยเธอด้วยตัวเองแบบนี้ เป็นไปได้ว่ามนุษย์แมงมุมนั่นจะไม่ใช่พันธมิตรของซูจิ้ง แต่เป็นอีกคนหนึ่งที่อยู่ใต้ซูจิ้งมากกว่า”

เมื่อสิ้นคำพูดของหยวนหยินหนิง อยู่ๆทั้งหยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชู และฟูฮงซิ่วต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาในทันที


ตอนแรกนั้นพวกเขาคิดว่ากองกำลังไร้สังกัดที่อยู่ในประเทศจีนนี้มีสี่กองกำลัง แต่เดิมแล้วพวกเขาอยากจะผลักดันให้หนึ่งในสองกองกำลังเข้าร่วมกับพวกเขาเพื่อจัดการซูจิ้ง

แต่มาถึงตอนนี้ หากว่าความคิดเกี่ยวกับกองกำลังทั้งสี่ที่ว่าทั้งหมดล้วนมีซูจิ้งเป็นผู้นำแล้วในตอนนี้ นี่ไม่เพียงแค่จะแสดงให้เห็นว่าซูจิ้งมีอำนาจขนาดไหนเท่านั้น นี่ยังทำให้รู้ได้อีกว่าสิ่งที่พวกเขาทำลงไปนั้น เป็นการแหย่รังแตนที่รังใหญ่ขนาดที่ภาครัฐยังไม่กล้าที่จะวุ่นวาย

พวกเขาในตอนแรกนั้นคิดว่ารู้จักซูจิ้งดีพอแล้วจึงได้คิดจะกำจัดซูจิ้งไป เมื่อมารู้ในตอนนี้ว่าสิ่งที่พวกเขารู้นั้นเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น


นี่ทำให้พวกเขารู้สึกได้ว่าตัวเองเป็นเพียงหมาป่าหนุ่มที่อยู่แต่ในถ้ำมาทั้งชีวิต เมื่อออกจากถ้ำมาก็หยิ่งผยองจนไม่รู้ว่ามีหมาป่าที่หัวโซนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ในป่าที่แอบซุ่มอยู่ในเงามืดอย่างเงียบงัน

“ซูจิ้งมันเป็นใครกันแน่วะ” ฮัวหยุนชูพูดออกมาด้วยเหงื่อที่ชุ่มโชกไปทั่วทั้งร่าง

“พวกเราไม่ควรไปหาเรื่องหมอนี่เลยจริงๆ” ฟูหงซิ่วในตอนนี้มีใบหน้าที่ถอดสี เขาไม่สามารถทนต่อความหวาดกลัวที่ถูกฝังเอาไว้โดยซูจิ้ง(เหรียญตรายมฑูต)ได้อีกต่อไปแล้ว ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว

“มาพูดตอนนี้ก็สายไปแล้ว พวกเราหันหลังกับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว วันนี้พวกเราจะอยู่กันที่นี่ไม่ไปไหน พวกเรายังเหลือยอดนักสู้อีกสี่สิบคนพร้อมอาวุธครบมือ

ที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนตัว ซูจิ้งต้องไม่กล้าทำอะไรเปิดเผยอย่างแน่นอน หากเราผ่านคืนนี้ไปได้ล่ะก็เราค่อยหาวิธีจัดการเรื่องนี้อีกที” หยวนหยินหนิงพูดออกมาอย่างสงบที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้


ณ บ้านของซูจิ้ง ทันทีที่ฉือชิงได้มาถึง เธอก็ได้โผเข้ากอดซูจิ้งในทันที ซูจิ้งค่อยๆกอดเธออย่างอบอุ่นทำให้เธอสบายใจอย่างที่สุด

หลังจากเธอสงบลงแล้ว ซูจิ้งได้ให้ฉือชิงอยู่บ้านหลังนี้กับสรรพสัตว์เลี้ยงของซูจิ้งอย่างหมาป่าสงคราม ราชันย์ค้างคาว เต็งเต็งและสัตว์ตัวอื่นๆที่คอยป้องกันไว้อย่างแข็งขันในคืนนี้เพียงเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก เพราะเขานั้นจะไปจัดการเรื่องราวเหล่านี้ให้จบในคืนนี้นั่นเอง

เมื่อฉือชิงยินยอม ซูจิ้งจึงได้ขี่อินทรีย์ทองของเขาจากออกมาและเริ่มการสอบสวนในทันที


เพียงครึ่งชั่วโมง ซูจิ้งก็ได้ไปถึงยังห้องลับที่อยู่ในสถานพิทักษ์สัตว์เมืองจงหยุน ต่อหน้าเขาในตอนนี้คือคนหนุ่มจำนวนมากมายที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น บางคนก็ไม่สามารถทนความเจ็บปวดไว้ได้จนต้องนอนราบไปกับพื้นอย่างอ่อนแรง

เมื่อซูจิ้งมายืนต่อหน้าทุกคน ข้างๆเขานั้นมีไป๋ฮิตู หลัวฉือหลิน ตงเสี่ยว และชายหนุ่มเกล็ดงูอีกจำนวนหนึ่ง

ซูจิ้งทำการสะกดคนเหล่านี้ในทันทีที่มาถึง พร้อมทั้งรักษาอาการบาดเจ็บให้ คนเหล่านี้ยังโชคดีที่ไป๋ฮิตูยั้งมือไว้ไม่งั้นคงตกตายกันไปหมด

ผิดกับฮัวเหยา เธอนั้นได้รับคำสั่งเพียงให้ป้องกันฉือชิงเท่านั้นทำให้ลงมืออย่างไม่ปราณีและฆ่าทิ้งไปห้าคน กับคนที่ตายนั้น ซูจิ้งยกให้ตงเสี่ยวจัดการไป เพราะยังไงซะด้วยร่างกายของคนพวกนี้คงจะทำอะไรได้อีกหลายอย่าง

ในหมู่ผู้ติดตามของเขานั้น ที่เก่งที่สุดน่าจะป็นหลัวฉือหลินและไป๋ฮิตูสองคนนี้ ถึงแม้ชายหนุ่มเกล็ดงูอีกสองคนนั้นจะแข็งแรงมากก็จริง แต่ทั้งสองเองก็เคยก่อเรื่องใหญ่ออกมาแถมด้วยลักษณะนิสัยที่แปลกแยกจึงทำให้ยากที่จะปล่อยให้ใครพบเห็นได้


กับคนกลุ่มนี้นั้น พวกเขาได้กินข้าวสีน้ำเงินไปมากมายแถมยังได้ฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งจนถึงกระบวนท่าที่สามแล้วถึงจะยังไม่ถึงขั้นที่ใช้ได้ก็ตาม

แต่ด้วยจำนวนขนาดนี้แถมยังทรงพลังกว่าคนทั่วไป ยังไงก็ยังใช้ประโยชน์ได้มากกว่าชายหนุ่มเกล็ดงูอย่างแน่นอน ในอนาคตคนพวกนี้หาปล่อยไปยังไงก็ก่อเรื่องอยู่ดี สู้นำมาเป็นกองกำลังของเขาดีกว่า

แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น ในตอนนี้สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกก็คือการหาตัวคนบงการเรื่องทั้งหมดจากคนเหล่านี้ คราวนี้เขาไม่พลาดอีกต่อไป ซูจิ้งได้ชื่อคนบงการออกมาจากปากคนลักพาตัวอย่างชัดถ้อยชัดคำโดยไม่ต้องถามอะไรเพิ่มเติมอีก

“หยวน หยิน หนิง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยว

“หนึ่งในคุณชายสี่ที่เจ้านายลากลงมาจากตำแหน่งสินะครับ” ไป๋ฮิตูพูดออกมา

“ถ้าฟังจากที่ไอ้พวกนี้พูดแล้ว เรื่องในครั้งนี้น่าจะมีฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วร่วมมือด้วย ไอ้พวกนี้อยู่กันทีไรต้องเป็นรังหนูรังงูไปซะทุกครั้งเลยสินะ หากพวกแกอยากจะร่วมหัวกันแก้ปัญหาเรื่องฉันนัก ฉันก็จะช่วยพวกแกทั่วทุกตัวไปแก้ปัญหาในครั้งนี้ครั้งเดียวนี่แหล่ะ” ซูจิ้งสบถออกมา ก่อนที่จะหันไปถามหลัวฉ์อหลินว่า “ไอ้เจ้าอาบินนั่นเจอตัวรึเปล่า”

“ยังครับ พวกเราไล่ตามไปจนได้ร่องรอยแล้ว แต่เกิดเหตุที่โรงจอดรถหลงเต็นนั่นผมเลยไปจัดการกับเรื่องนั้นก่อน หากว่าให้ผมกลับไปติดตามต่อล่ะก็ เมื่อร่วมมือกับซูฉือแล้วเชื่อว่าอีกไม่นานจะจับตัวมันได้” หลัวฉือหลินพูดออกมา

“อย่าไปเสียเวลา ไปจับตัวหยวนหยินหนิงแล้วลากมันออกมาจากรังเลยดีกว่า อย่างที่เขาว่าหาอยากจะจับโจรต้องจับหัวหน้ามันก่อน” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมกับยืนขึ้นในทันที


GGS:บทที่ 1076 กลับตาลปัต


ในบ้านหรูหลังหนึ่งที่อยู่ใจกลางเขตเมืองของจังหวัดเพื่อนบ้านของจงหยุน ที่นั่นมีสุดยอดนักสู้กว่าสี่สิบคนเดินตรวจตราอยู่ทั่วทั้งบ้าน พวกเขาคอยเฝ้าระวังราวกับพร้อมที่จะฆ่าผู้บุกรุกในทันทีที่พบเจอ บางคนเองได้พกปืนเอาไว้ด้วย

ในห้องๆหนึ่ง หยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชู และฟูหงซิ่ว ในตอนนี้ต่างก็อยู่เฉยกันไม่สุข กับหยวนหยินหนิงและฮัวหยุนชูนั้นยังพอทนได้บ้างและนั่งคุยกันเพื่อเตรียมการตอบโต้

แต่กับฟูหงซิ่วนั้น ในตอนนี้เขาได้สูญเสียความเยือกเย็นไปแล้ว และเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆที่ไหลจนเปียกโชกร่างกายอยู่ตลอดเวลา

“ฉันไม่รออยู่ที่นี่นะ ฉันจะกลับไปบ้าน” ฟูหงซิ่วอยู่ๆก็ได้ยืนขึ้นและพูดออกมา

“ห้ะ กลับบ้าน บอดี้การ์ดบ้านนายจะไปดีกว่าสุดยอดนักสู้กว่า40คนของฉันรึไงกัน ถ้าซูจิ้งมาก่อปัญหาที่นี่แล้วเราหยุดมันไว้ไม่ได้ล่ะก็ อย่าหวังเลยว่าตระกูลของนายจะหยุดซูจิ้งได้

แล้วถ้ายิ่งนายกลับไปนะ ฉันบอกได้เลยว่าตระกูลของนายต้องเดือดร้อนแน่ๆ” หยวนหยุนหนิงพูดออกมา

“ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะกล้ามาหาเรื่องถึงบ้านฉัน” ฟูหงซิ่วพูดออกมาด้วยท่าทางยโสโอหังก่อนที่จะพูดต่อว่า


“ในฐานะที่ฉันเป็นหนึ่งในคุณชายสี่ ไหนจะตระกูลของฉันที่เป็นหนึ่งในห้าสุดยอดตระกูลของประเทศนี้ มันไม่มีทางกล้าทำอะไรฉันอย่างแน่นอน” ที่ฟูหงซิ่วกล้าพูดออกมาอย่างนี้ได้เป็นเพราะเขาถือว่าตระกูลของตัวเองนั้นร่ำรวยและมีฐานะที่สูงส่ง

“เรามาพูดกันตามหลักการและเหตุผลดีกว่าน่า ถ้าสิ่งที่เราคิดไว้ว่าตอนนอนนี้องค์กรเกล็ดงูและองค์การปริศนาที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของผู้คนนั่นตกไปอยู่ในมือของซูจิ้งแล้วจริงๆล่ะก็

คนพวกนั้นก่อเรื่องร้ายแรงจนขนาดนั้นได้แสดงว่าเบื้องหลังขององค์กรเหล่านั่นต้องทรงพลังอย่างมากแต่ก็ยังต้องยอมสยบให้ซูจิ้ง

นายก็เห็นกับตาไม่ใช่เหรอว่ามันสามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากยอดนักสู้ของฉันกว่า60คนได้อย่างง่ายดายโดยที่ตัวมันเองยังไม่ได้ออกโรงเสียด้วยซ้ำ

เห็นอย่างนี้แล้วนายยังคิดว่าตระกูลของนายยังจะคุ้มกะลาหัวนายได้อีกรึไง” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยใบหน้าที่นิ่งเรียบในขณะที่มองไปยังหน้าของฟูหงซิ่ว ตอนนี้เองฟูหงซิ่วก็ได้พูดสวนออกมาว่า “เป็นแกต่างหากที่ก่อปัญหา ฉันยังไม่ได้ทำอะไรซูจิ้งเลยสักหน่อย”


เพียงสิ้นประโยคนี้ หยวนหยินหนิงได้ผุดลุกขึ้นมาเตรียมจะเข้าไปต่อยฟูหงซิ่วแล้ว แต่ฮัวหยุนชูก็ได้เข้ามาห้ามไว้ทันและได้พูดออกมาว่า “ฉันว่าต่อให้นายโยนความผิดมาที่เราสองคนทั้งหมดก็ไม่ทันแล้วล่ะ ตอนนี้อย่ามาสู้กันเองดีกว่า สี่งที่เราควรทำในตอนนี้คือการเตรียมพร้อมเข้าไว้ ใครจะไปรู้ว่าซูจิ้งอาจยังไม่เจอก็ได้ว่าเรื่องทั้งหมดมีพวกเราอยู่เบื้องหลัง พวกเราอาจจะมีเวลาเหลืออยู่…”

แต่ไม่ทันที่ฮัวหยุนชูจะพูดจบประโยคดี พวกเขาก็ได้ยินเสียงประตูเปิดห้องเปิดออกมา พวกเขาหันไปมองกันที่ประตูในทันที

ตอนแรกหยวนหยินหนิงคิดว่าเป็นบอดี้การ์ดของเขาจะเข้ามาถามอะไรสักอย่าง แต่พวกเขานั้นกลับเห็นซูจิ้งและชายหนุ่มอีกสองคนเดินเข้ามา พร้อมซากร่างของใครบางคน


หยวนหยิงหนิง ฮัวหยุนชู และฟูหงซิ่ว นั้น ทั้งสามเกิดอาการหนังตากระตุกในทันที ฉากนี้ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาคิดวางแผนและเตรียมตัวเอาไว้มลายสิ้นในทันที

ตอนนี้พวกเขาได้แต่นึกสงสัยว่าข้างนอกนั่นต้องมีสุดยอดนักสู้ของเขาอยู่สิบกว่าคนไม่ใช่รึไง แล้วทำไมซูจิ้งถึงเข้ามาโดยไม่มีเสียงแจ้งเตือนอะไรเลยได้ยังไงกัน

“จัดการมัน” หยวนหยินหนิงได้ตะคอกออกมา ความจริงต่อให้เขาไม่ตะโกนแต่บอดี้การ์ดที่อยู่ในบ้านก็เตรียมพร้อมที่จะใช้ปืนยิงไปที่พวกของซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว กับคนที่ไม่มีปืนก็เตรียมพร้อมที่จะเข้าปะทะ

แต่ในตอนนั้นเอง นักสู้ทุกคนต่างก็รู้สึกหัวหมุนและมึนงง พร้อมความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จนในที่สุดพวกเขาก็ได้สิ้นสติสัมปชัญญะและได้แต่ยืนเซื่องซึมกันเฉยๆ

โดยซูจิ้งเองก็ไม่ได้สนใจคนเหล่านี้ เขาเพียงค่อยๆเดินเข้าไปหาหยวนหยินหนิงโดยที่มีไป๋ฮิตูและหลัวฉือหลินติดตามไปด้วย


“ออกไปไกลๆเลยนะโว้ย แกจะทำอะไรฉัน” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยท่าทีที่ตกอยู่ในความหวาดกลัวสุดขีด เขาพยายามที่จะลากฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วที่ยืนนิ่งอึ้งให้หนีไปด้วยกันทางประตูหลัง

ฉากเหตุการณ์ที่พวกเขาได้พบนี้มันทั้งแปลกประหลาดและน่ากลัวเกินไป เขารู้ในทันทีเลยว่าคนของเขาที่เหลืออีกสี่สิบคนนี่ไม่ใช่คู่มือของซูจิ้งแม้แต่น้อย แม้แต่กับไป๋ฮิตูที่ยืนอยู่ข้างซูจิ้งคนของเขาก็ยังสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

คนคนเดียวสามารถจัดการคนกว่าสี่สิบคนจนหมดในพริบตา แถมกว่าครึ่งยังมีปืนพกอยู่กลับตัว หากเป็นคนทั่วไปล่ะก็พวกเขานั้นสามารถสู้ด้วยได้อย่างสบายแน่นอน แต่นี่อยู่ว่าแต่จะสู้เลย แค่เจอหน้าก็กลับกลายเป้นโง่งมแบบนี้นี่ซูจิ้งมันใช้วิธีการไหนกันเนี่ย

ทั้งสามคนได้หนีออกไปจนเกือบจะพ้นประตู แต่ตอนนั้นเองที่ไป๋ฮิตูได้เคลื่อนไหวราวประกายแสงและได้มาขวางทางหนีของทั้งสามคนเอาไว้

เมื่อเห็นไป๋ฮิตู ทั้งสามก็ไม่กล้าที่จะดื้อดึงฝ่าออกไปแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะพวกเขาได้เห็นภาพถ่ายที่ไป๋ฮิตูสามารถจัดการยอดนักสู้กว่าสี่สิบคนได้ภายในพริบตา

“ฉันจะจัดการแกเอง” ฟูหงซิ่วตอนนี้สติแตกและคุมตัวเองไม่อยู่อีกต่อไป เขาได้พุ่งเข้าไปหาซูจิ้งเพื่อที่จะเล่นงานให้จงได้ แต่ทันใดนั้นหลัวฉ์อหลินได้เคลื่อนไหวมาขวางด้วยความเร็วราวประกายแสง ทำให้ในตอนนี้ทั้งฟูหงซิ่ว หยวนหยินหนิง และฮัวหยุนชูต้องเข่าอ่อนทรุดลงไปกับพื้นในทันที


“แกทำอะไรกันแน่ ทำไมคนของฉันถึงได้หยุดนิ่งไปเฉยๆแบบนี้ นี่แกทำอะไรพวกเรากันแน่….แก…เป็นใครกันแน่” หยวนหยินหนิงได้ถามคำถามออกมามากมายในขณะที่มองซูจิ้งด้วยท่าทางที่สะพรึงกลัว

ฮัวหยุนชุและฟูหงซิ่วที่เงียบอยู่ในขณะนี้เองก็เพราะสะพรึงกลัวซูจิ้งเช่นกันจนไม่แม้แต่จะกล้าพูดอะไรออกมา ต่อให้ทั้งสามนึกเอะใจบ้างแล้วว่าซูจิ้งอยู่จุดสูงสุดของกองกำลังทั้งสี่ ต่อให้รู้ว่าซูจิ้งรับมือได้ยากยิ่ง แต่พวกเขานึกไม่ออกจริงๆว่าซูจิ้งทำยังไงถึงสามารถจัดการคนของเขาโดยไม่แม้แต่ขยับมือตัวเองด้วยซ้ำ

ตอนนี้สำหรับพวกเขาแล้ว ซูจิ้งนั้นไม่ใช่เพียงแค่คนที่รับมือได้ยากอีกต่อไป สำหรับพวกเขาแล้วซูจิ้งไม่ถือว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว

ต่อให้คนภายนอกจะบอกว่าชายคนนี้เปรียบได้ดั่งสัตว์ประหลาดหรือร่างอวตารของเพราะเจ้าอยู่เรื่อยมา แต่ทั้งสามสามารถบอกได้เลยว่านั่นเป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในทะเลน้ำลึกเท่านั้น

“โห่ ทั้งฮัวหยุนชูและฟูหงซิ่วก็อยู่นี่ด้วยหรือนี่ ดูเหมือนว่าพวกแกนี่อยากจะเล่นงานฉันมากจริงๆสินะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบก่อนที่จะพูดต่อว่า “ฟูหงซิ่ว เอ๊ย ฟูหงซิ่วก่อนหน้านี้ที่แกบอกให้ฉันยกแฟนของฉันให้แกเป็นของขวัญเลยโดนสั่งสอนไปตอนนั้นนี่ดูเหมือนว่าจะเบาเกินไปสินะ

แต่ให้แกจะดูระยำตำบอนยังไงแต่ฉันก็อุตส่าห์คิดว่ามันเป็นเพียงสันดานไม่ดีธรรมดาก็เลยคิดว่าปล่อยให้เลยผ่านไปจะได้บุญซะอีก

ไม่คิดเลยว่าแกกับฮัวหยุนซูจะรวมหัวกันมากล้าตอแยฉัน นี่คงทำให้ฉันปล่อยแกไปไม่ได้แล้วล่ะ

ส่วนฟูหงซิ่ว ตอนที่แกกล้าที่จะมาหาเรื่องฉันตรงๆ ฉันก็อุตส่าห์สั่งสอนแกไปเบาๆแค่นั้น ไอ้ฉันก็นึกว่าแกจะเรียนรู้เกี่ยวกับการวางตัวซะมั่งแต่เหมือนจะไม่เลยแหะ แถมแกยังกล้าที่จะร่วมมือกับหยวนหยินหนิงทำเรื่องร้ายแรง ทำแม้กระทั่งคิดจะลักพาตัวแฟนและครอบครัวของฉัน

อืมมมมม…. ดูจากความร้ายแรงที่พวกแกคิดจะทำกับฉันแล้วนั้น….เฮ้ออออ… ทางเดินขึ้นสวรรค์ดีๆมีไม่ชอบ ผู้คนนี่ชอบขวนขวายหาทางลงนรกซะจริงๆ”


“คุณซู โปรดไว้ชีวิตผมด้วย ผมรู้ว่าตัวเองนั้นผิดจริงที่กล้าท้าทายคุณ ผมยินดีที่จะยกทุกอย่างให้คุณเลย” ฟูหงซิ่วที่เข่าอ่อนจนทรุดไปก่อนหน้านี้นั้นด้วยรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดหมอบกราบซูจิ้งแบบไม่กล้าที่จะมองหน้าแม้แต่น้อย

แต่กับฮัวหยุนชูและหยวนหยินหนิงในตอนนี้นั้นไม่แม้แต่ที่จะกล้าร้องขาชีวิตแต่อย่างใด ทั้งสองคนในตอนนี้หน้าซีดเผือดราวกับคนที่ตายไปแล้วก็ไม่ปาน

ก่อนหน้านี้คนเหล่านี้ทั้งหยิ่งยโสและหาญกล้าที่จะทำเรื่องราวต่างๆอย่างไม่เกรงกลัว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้า ความยโสก่อนหน้านี้ได้มลายสิ้นในทันที

เขาเข้าใจแล้วว่าเบื้องหลังของซูจิ้งคืออะไรกันแน่ เบื้องหลังของซูจิ้งก็คือไม่มีอะไรเลยแม้แต่น้อย คนๆนี้แค่แข็งแกร่งเกินกว่าที่จะเรียกมนุษย์อีกต่อไปแล้ว

สำหรับคนแบบพวกเขาแล้วนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย หากจะมีที่พอจะทำให้ได้ก็คงจะเป็นแบบจ้าวฉือหลงที่กระโดดตึกตายด้วยตัวเองแบบตอนนั้นเท่านั้นเอง

“คุณ…ซู คุณซู ผมรู้ว่าตัวผมนั้น…ทำผิดมหันกับคุณ…มามากมาย ทำไมคุณไม่…..ไม่ลองให้…ให้ทำคุณไถ่โทษแทนจะดีกว่า” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยท่าทางที่พยายามสะกดข่มความกลัวในใจอย่างที่สุด

“ฟู….หงซิ่วกับผมนั้นก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยนะ มีแค่หยวนหงซิ่วเท่านั้นครับคุณซูที่เป็นคนริเริ่มแผนการต่างๆ

ผมกับฟูหงซิ่วนั้นที่ตัดสินใจเข้าร่วมเพราะว่าฟูหงซิ่วนั้นกลัวคุณจนไม่รู้จะทำยังไงจนหลุดพ้นได้จึงได้ร่วมมือด้วยเพราะคิดว่ากำจัดคุณได้แล้วทุกอย่างจะจบลง

แต่ตอนนี้ผมทั้งสองคนรู้แล้วว่าได้ตัดสินใจผิดพลาดไป ขอให้คุณซูให้อภัยด้วย” ฮัวหยุนชูในตอนนี้ได้รีบทำการขายหยวนหยินหนิงออกมาในทันที และทุกสิ่งที่เขาพูดมาล้วนแล้วแต่เป็นความจริงเกือบทั้งหมด หากซูจิ้งเชื่อไม่แน่ว่าอาจจะไว้ชีวิตเขาหรืออาจจะทั้งเขาและฟูหงซิ่วก็เป็นได้


หยวนหยินหนิงที่ได้ยินดังนั้นก็หน้าถอดสีหนักยิ่งกว่าเดิม ฟูหงซิ่วที่ได้ยินเองก็รีบยืนยันในคำพูดของฮัวหยุนชูในทันที “ใช่ ใช่ ใช่แล้วครับ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้มีผีบ้าอย่างหยวนหยินหนิงเป็นคนเริ่มทั้งนั้นเลย หากคิดอยากจะเอาเรื่องกับเรื่องราวทั้งหมดอย่างน้อยๆก็ควรจะเริ่มจากไอ้บ้านี่ก่อน”

“โอ้….กลายเป็นว่าเรื่องทั้งหมดนี่จุดเริ่มต้นมาจากแกเองสินะ” ซูจิ้งรู้อยู่แล้วว่าทุกสิ่งที่สองคนนี้พูดออกมาเป็นความจริงเพราะเขานั้นได้ใช้กระแสจิตตรวจจับออร่าของทั้งสามคนตลอดเวลา

ซูจิ้งได้ค่อยๆหันไปมองหยวนหยินหนิงด้วยแววตาอำมหิตจนเกือบจะหยุดหายใจไปในทันทีที่สบตากัน


อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งก็ไม่คิดจะให้โอกาสฟูหงซิ่วและฮัวหยุนชูอีกต่อไป “ยังไงซะแกสองคนก็ร่วมมืออยู่ดีไม่ใช่รึไง เฮ้ออออ เอาเถอะ ยังไงซะแกสามตัวก็ยังเป็นสามในสี่คุณชายสี่แห่งเมืองจีน อย่างน้อยๆคงมีประโยชน์อะไรกับฉันบ้าง ฉันจะไม่ฆ่าพวกแกหรอก แต่จะทำให้พวกแกการเป็นข้ารับใช้ของฉัน”

ทั้งหยวนหยินหนิง ฟูฮงซิ่ว และฮัวหยุนชูในตอนนี้มีใบหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ให้เป็นข้ารับใช้นี่ถือว่าดีกว่าตายอย่างนั้นเหรอ

แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสามจะพูดอะไรออกมา ทั้งสามก็รู้สึกหัวหมุนและวิงเวียนราวกับสมองกำลังถูกปั่นอยู่ในเครื่องซักผ้า และในที่สุด สติสัมปชัญญะของทั้งสามคนก็ได้หายไปโดยสมบูรณ์


GGS:บทที่ 1077 กฎ


 


เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น ซูจิ้งได้ทำการสะกดจิตสมบูรณ์กับหยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชู และฟูหงซิ่วได้ในทันที ต่อให้ทำตัวโอหังล้นฟ้าหรือจะทำตัวเลวทรามขนาดไหน แต่ทั้งสามก็มีจิตใจที่เทียบเท่ากับคนธรรมดาเท่านั้น และวันนี้ทั้งสามก็ตกเป็นบริวารของซูจิ้งโดยสมบูรณ์


เช่นเดียวกัน นักสู้กว่าสี่สิบคนที่เป็นบอดี้การ์ดของหยวนหยินหนิงก็กลายเป็นบริวารของซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว


คนพวกนี้นอกจากจะได้กินข้าวสีน้ำเงินไปมากมายแถมยังฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งครบทั้งสามรูปแบบ นี่จึงทำให้ร่างกายของคนเหล่านี้เหนือล้ำกว่าคนทั่วไป


 


แน่นอนว่าโดยปกติเมื่อร่างกายแข็งแกร่ง จิตใจย่อมแข็งแกร่งตามไปด้วย บางคนนั้นมีจิตใจที่แข็งแกร่งจนเรียกว่าดีที่สุดในมวลหมู่มนุษย์เลยก็ว่าได้


แต่เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้ว จิตใจของนักสู้เหล่านี้ก็ยังไม่ต่างจากมดปลวกแต่อย่างใด นั่นก็เพราะต่อให้ร่างกายดีกว่าใครในโลกหล้า แต่ก็ยังไม่ต่างจากมดปลวกเมื่อเทียบกับซูจิ้ง


“เอายังไงกับไอ้พวกนี้ดีล่ะ” ซูจิ้งมองไปทางหยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชู และฟูหงซิ่วสักพักจึงได้พูดออกมา


ที่ซูจิ้งต้องใช้ความคิดสักหน่อยนั้นก็เพราะว่าหากเป็นเพียงหยุนหยินหนิงและคนอีกร้อยคนนี่ก็เพียงพอที่จะให้เขาทำอะไรได้อีกหลายๆอย่างแล้ว แต่ในเมื่อเขามีสามในสี่ของกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณชายสี่มาเป็นบริวารแบบนี้ สิ่งต่างๆที่เขาทำได้ย่อมมากมายเหนือคณานับ


 


นั่นก็เพราะสามคนนี้มีเงินทองมากมายจนคนธรรมดาต้องอิจฉาหลายสิบรอบ หากคิดจะควบคุมใครสักคนก็แค่ใช้กำลังเงินก็เพียงพอแล้ว เพราะกับคนทั่วไปแล้ว เศษเงินของคนเหล่านี้ก็คือความร่ำรวยของพวกเขา


อย่างที่สอง ด้วยสถานะของสามคนนี้ แค่เสนอหน้าก็เพียงพอจะทำอะไรได้โดยไม่ต้องออกแรงแม้แต่น้อย ด้วยการที่มีทรัพย์สินระดับนี้จะถือว่าเป็นคนที่ไม่มีเบื้องหลังได้ยังไง


ซูจิ้งใช้ความคิดอยู่พักใหญ่แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มจากอะไรดี เขานั้นไม่ต้องการดูดทรัพย์สินเงินทองของทั้งสามคนแม้แต่น้อย หากพูดถึงเรื่องเงินทองแล้ว ฮัวหยุนชูนั้นติดอยู่ในอันดับหนึ่งในห้าของประเทศ ฟูหงซิ่วอยู่ในอันดับหนึ่งในห้าเช่นเดียวกัน และหยวนหยินหนิงเองถึงจะด้อยกว่ามากแต่ก็ยังติดในอันดับหนึ่งในยี่สิบ


หากนำทรัพย์สินของสามคนนี้มารวมกันได้ล่ะก็ หากได้องค์กรย่อมๆที่มีทรัพย์สินในการดำเนินการเรื่องต่างๆให้เขาได้ภายใต้ทุนทรัพย์ที่แท้จริงไม่ต่ำกว่าพันล้านหยวนได้ล่ะก็จะเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว


เหตุผลที่ซูจิ้งคิดออกมาอย่างนี้ก็เป็นเพระว่าตระกูลเหล่านี้ล่ำรวยเพราะนับรวมหนี้สินของตัวเองเข้าไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นตระกูลฮัว ธุรกิจหลักของตระกูลก็คืออสังหาริมทรัพย์ แต่ส่วนใหญ่แล้วทุนทรัพย์เหล่านี้ก็มาจากเงินกู้ แล้วแบบนี้เรียกว่าคนรวยที่แท้จริงได้ยังไงกัน หากว่าธุรกิจอสังหาเป็นแบบนี้กันไปหมด นั่นก็หมายความว่าอุตสาหกรรมอสังหานั้นก็คงอยู่กันไม่รอดเป็นแน่


หรืออย่างตระกูลฟูเองก็ตาม ตอนที่ซูจิ้งปล่อยรถกาลเวลาออกมาขาย นั้นตอนนั้นเองก็ทำให้เงินทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารของกลุ่มทุนฮวงเหอได้ลดลงอย่างรวดเร็วทำให้ถึงกับระส่ำระสายไปกันไม่เป็นกันไปเลย เรียกได้ว่าแค่ประคองบริษัทให้อยู่รอดได้ก็ยังยากเลยด้วยซ้ำ แล้วกับตระกูลแบบนี้จะให้เขาดูดอะไรมาได้


 


ไม่ต้องพูดถึงตระกูลหยวนที่มีธุรกิจอ่อนด้อยที่สุดในกลุ่มสี่คน ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถูกสามคนที่เหลือเตะออกจากฉายาคุณชายสี่อย่างง่ายดายแบบนี้


คนเหล่านี้ที่รู้จักกันดีว่าเป็นคนที่รวยล้นฟ้าจนน่าอัศจรรย์นั้น แต่ความจริงแล้วหากไม่เป็นหนี้ ก็คือคนที่แทบจะไม่มีอะไรในชีวิตเลยทีเดียว


เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้วนั้น คนเหล่านี้เทียบไม่ได้เลยแม้แต่ปลายก้อย เขานั้นมีทรัพย์สินที่แท้จริงและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนก้าวล้ำบิลเกตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


อย่างเดือนก่อนเอง ซูจิ้งก็ได้เงินสุทธิมาแล้วถึงห้าหมื่นล้านหยวน และแนวโน้มของเดือนนี้เอง รายได้ของซูจิ้งน่าจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ เอาจริงๆแค่ส่วนแบ่ง10%จากบริษัทยาสูบแห่งรัฐนี่ก็เรียกได้ว่านับเงินไม่หวาดไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ


 


การที่มีคนมองว่าซูจิ้งได้รับส่วนแบ่ง10%จากภาครัฐจากการขายบุหรี่ของเขานั้นว่าเป็นเรื่องตลกอีกต่อไป นอกจากนี้ซูจิ้งยังถือครองผลิตภัณฑ์อีกมากมายหลากหลายอย่างระบบปัญญาประดิษฐ์ สมาร์ทโฟนกาลเวลา รถยนต์กาลเวลา แผงพลังงานแสงอาทิตย์ เครือข่ายห้าจี ข้าวสีน้ำเงิน และผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ยังคงเป็นที่นิยมอยู่ในท้องตลาดจนเรียกได้ว่าไม่มีคู่แข่งเลยสักราย


และด้วยเหตุนี้เองจึงคาดการณ์ได้ว่าเงินที่ซูจิ้งจะได้รับในเดือนนี้ไม่ต่ำว่า สามแสนล้านหยวนอย่างแน่นอน


คนที่รวยที่สุดของประเทศจีนนั้นมีทรัพย์สินที่อยู่ในครอบครองอยู่ที่หนึ่งแสนสองหมื่นหยวนเท่านั้น เมื่อเทียบกับซูจิ้งที่มีรายได้เข้าในเดือนนี้กว่าสามแสนล้านหยวนแล้ว ไม่ถือว่าเป็นอะไรเลยกับซูจิ้ง


 


ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพูดถึงเป้าหมายสูงสุดของซูจิ้ง นั่นก็คือการผลิตปฏิสสารให้ได้หนึ่งร้อยกรับซึ่งต้องใช้เงินกว่าสามล้านล้านหยวนแล้ว ต่อให้รวบรวมตระกูลมามากมายก็คงจะโดนสูบเงินหมดลงไปอย่างรวดเร็ว นับประสาอะไรกลับตระกูลที่รวยเพราะหนี้สินแบบนี้ ไม่ได้ช่วยอะไรเขาด้านทรัพย์สินเลยแม้แต่น้อย


แทนที่จะสูบเงินทองจนทำให้สามเสาหลักของอุตสาหกรรมของประเทศให้ล่มสลายไปนั้น ซูจิ้งคิดว่าจะเป็นการดีกว่าหากเขาให้สามคนนี่เป็นหน้าฉากให้กับเขาในการดำเนินการในหลายๆเรื่อง


ด้วยเงินทุนของซูจิ้งที่มากล้นนี้ หากว่าได้รับการสนับสนุนกับสามตระกูลใหญ่อย่างตระกูลฮัว ตระกูลฟู และตระกูลหยวน ตัวเขาเองจะกลายเป็นเสือนอนกินที่ติดปีกไปอย่างง่ายดาย และในการนี้ หากว่าเขาจะยึดครองส่วนแบ่งทางการตลาดมาสักครึ่งหนึ่งก็ยากที่จะมีคนทัดทานได้


 


เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูจิ้งจึงได้บอกฮัวหยุนชู ฟูหงซิ่ว และหยวนหยินหนิงว่าต้องทำอะไรบ้างเมื่อกลับไปที่ของตน ก่อนที่จะมอบหมายให้คนของหยวนหยินหนิงคนละสองคนเพื่อคอยเป็นบอดี้การ์ดคุ้มกันความปลอดภัย แน่นอนว่าในตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องกลัวคนเหล่านี้หักหลังเขาอีกต่อไป


หลังจากเสร็จเรื่องราวทุกอย่างแล้ว ซูจิ้งได้จากไปพร้อมกับคนของหยุนหยินหนิงที่ฟูมฟักเป็นอย่างดี


คนที่หยุนหยินหนิงคอยชุบเลี้ยงไว้นั้นมีทั้งหมด 107 คน ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น แต่ด้วยการลงมือของฮัวเหยาก่อนหน้านี้ทำให้ตกตายไปห้าจึงเหลือทั้งหมด 102 คน


เมื่อซูจิ้งมอบให้คนเหล่านี้เป็นบอดี้การ์ดให้ฮัวหยุนชู ฟูหงซิ่ว และหยวนหยินหนิงไปคนละสอง ตอนนี้ก็จะเหลือยอดฝีมืออยู่ 96 คน


ด้วยเหตุนี้ ซูจิ้งจึงได้ให้ยอดฝีมือไปคอยเป็นบอดี้การ์ดให้เฉิงหนาน หวังจ้าว หวังซือหยา และเว่ยเสี่ยวหยวนอีกคนละสองคน ส่วนที่เหลือให้ติดตามไป๋ฮิตูไปก่อน


 


หนึ่งคืนผ่านไป ไม่มีใครเลยที่ได้รับรู้ว่าคืนที่ผ่านมานั้นช่างหนักหน่วงสำหรับใครบางคนเลยสักนิด คืนนี้ช่างเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ที่ถูกสายลมและเมฆหมอกปกปิดเอาไว้


กับคนทั่วไปแล้วค่ำคืนนี้เป็นคืนที่น่านอนมากที่สุดคืนหนึ่งเลยทีเดียว แม้แต่ตำรวจเองก็ยังไม่ล่วงรู้แม้แต่น้อยว่าเกิดเรื่องราวอะไรไปบ้าง


หยวนหยินหนิงที่เป็นคนเริ่มเรื่องราวเหล่านี้ได้เตรียมการไว้เป็นอย่างดี เขาเตรียมการชนิดที่ว่าหากเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวที่โรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจองหยุนล่ะก็ จะไม่มีใครรู้เลยสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น


สำหรับเหตุการณ์ที่ตึกหลงเต็นบริเวณลานจอดรถนั้น กล้องที่ถ่ายเหตุการณ์เอาไว้ได้ก็ถูกใครบางคนจัดการจนหมด ผู้ที่ลงมือนั้นก็คือสแตนด์สายฟ้าของหลัวฉือหลินที่จัดการควบคุมสถานการณ์ในทันทีที่รู้เรื่องนี้


สำหรับคนที่ผ่านไปมาเองก็จำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อยเพราะถูกซูจิ้งลบเลือนความทรงจำไปจนหมดสิ้นแล้วนั่นเอง


 


ณ บ้านของซูจิ้ง เมื่อฉือชิงได้เห็นซูจิ้งที่กลับมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “อาจิ้ง คนพวกนั้นเป็นใครกันแน่ ดูจากฝีมือคนพวกนั้นแล้วต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ไหนจะดอกไม้บนหัวฉันที่กลายเป็นคนได้อีก…”


ฉือชิงเองรู้สึกประหลาดใจจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอเจอเต็งเต็งด้วยเหตุบังเอิญในตอนนั้นก็ทำให้เธอฉงนสนเท่ห์ในตัวซูจิ้งมากพอดูแล้ว และตอนนั้นเองซูจิ้งก็บอกเธอเพียงว่าเขาจะบอกก็ต่อเมื่อเธอยอมแต่งงานกับเขาแล้วเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นซือฉิงก็ยอมรับปากแต่โดยดี


แต่ในครั้งนี้เมื่อเธอต้องมาพบเจอดอกไม้ที่กลายร่างเป็นคนได้แบบนี้ทำให้เธอเองเก็บความรู้สึกสงสัยของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป


“เธอยังจำฮัวหยุนชูคนที่เคยให้ของขวัญเธอได้รึเปล่าล่ะ คราวนี้หมอนั่นมีส่วนร่วมด้วย หมอนั่นร่วมมือกับคนที่ได้รับฉายาว่าคุณชายสี่อีกสองคนร่วมมือกันชุบเลี้ยงยอดฝีมือขึ้นมา


สำหรับเรื่องที่ยอดฝีมือพวกนั้นแข้งแกร่งได้ขนาดนั้นเองก็เป็นเพราะว่าทุกคนล้วนแล้วแต่กินข้าวสีน้ำเงินไปมากมาย และได้ร่ำเรียนเพลงหมัดวัวคลั่งทั้งสามกระบวนท่าไปแล้วทำให้มีความแข็งแกร่งผิดมนุษย์มนา


แต่ไม่ต้องกังวลนะ ฉันจัดการเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้วล่ะ แต่กับดอกไม้บนหัวเธอนี่….คือ….” เมื่อซูจิ้งพูดมาถึงจุดนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายต่อยังไงเหมือนกันให้ฉือชิงยอมรับได้มากที่สุด และเขาเองก็ไม่อยากจะปิดบังเธออีกแล้วเหมือนกัน


เรื่องของฮัวเหยานี้แน่นอนว่าน่าตกใจเสียกว่าเรื่องการลักพาตัวซะอีก นั่นก็เพราะความน่าเหลือเชื่อการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตรูปแบบนี้น่าเหลือเชื่อนิ่งกว่าต้นไม้กินคนอย่างรัตตันเป็นไหนๆ


เรียกได้ว่าพูดให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดีต่อให้เมาจนไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม อย่างไรก็ตามหากเขาไม่บอกความจริงออกไปในวันนี้ล่ะก็


ความสัมพันธ์ของเขาและฉือชิงจะต้องมีปัญหาแน่ๆ ดีไม่ดีอาจจะต้องเลิกคบกันไปเลยก็ได้ ความกดดันนี้มากพอที่จะทำให้ซูจิ้งเริ่มคิดที่จะฉือชิงเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาเลยด้วยซ้ำ แต่ซูจิ้งก็ยังกลัวอยู่ดีว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเมื่อฉือชิงได้รู้จะรับไม่ไหวขึ้นมา


“ที่รัก เรายังไม่บรรลุข้อตกลงกันเลยนะ เราคุยกันแล้วนี่นาว่าฉันจะบอกทุกอย่างหลังจากเราได้แต่งงานกันแล้วตอนสิ้นปีนี้


เอาเป็นว่าในตอนนี้ฉันบอกได้แต่ว่าดอกไม้บนหัวของที่รักนั้นไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นมันยังทำให้สุขภาพร่างกายของเธอดีขึ้นอีกด้วยแถมยังคอยปกป้องดูแลเธอแทนฉันได้อีก


ตอนนี้เรื่องทุกอย่างจบลงแล้วล่ะ และที่รักสามารถกลับบ้านและพักผ่อนได้เลย หรือจะนอนที่นี่ก็ได้นะ ฉันให้คำมั่นสัญญาเลยว่าฉันจะบอกเรื่องนี้ในคืนแต่งงานของเรา รอหน่อยน้า….” ซูจิ้งพยายามอ้อล้อฉือชิงทุกวิธีทางให้ผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้


“ก็ฉันอยากรู้นี่นา ฉันรอต่อไปไม่ไหวแล้วนะ รีบบอกให้ฉันรู้เดี๋ยวนี้เลยนะ” ฉือชิงในตอนนี้ไม่หลงกลอีกต่อไป เธอใช้กำปั้นของตัวเองไปที่ซูจิ้งสองสามครั้งก่อนที่จะเป็นใช้มือลูบไล้ไปที่แผ่นอกของเขาด้วยท่าทีเอียงอาย


และในทันทีที่เธอทำแบบนี้ทำให้ซูจิ้งแทบจะทนไม่ไหวเลยทีเดียวจนแสดงอาการออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน หน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงกล่ำก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ


เขาไม่คิดจะสู้กับฉือชิงแต่ก็ยังคิดจะบอกเช่นเดียวกัน สิ่งที่เขาเลือกทำนั่นก็คือ กัดฟันฝืนทนแล้วหนีเข้าห้องของตัวเองไปในทันที


จนแล้วจนรอดซูจิ้งก็รอดพ้นมาได้อีกคืนหนึ่ง


GGS:บทที่ 1078 ความมหัศจรรย์อันหลากหาย


วันถัดมา กลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศได้บังเกิดข่าวดีซ้ำๆกันหลายครั้งในหนึ่งวัน ตระกูฮัว ตระกูลฟู และตระกูลหยวน ได้ขอเข้าร่วมหุ้นไล่ๆกันมาในวันเดียว

ยิ่งไปกว่านั้นเงื่อนไขที่ตระกูลเหล่านี้เรียกร้องเพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้ร่วมหุ้นด้วยนั้นล้วนแล้วแต่ส่งเสริมกลุ่มทุนห้วงเวลาฯทั้งสิ้น

จนแม้แต่หวังจ้าวและเฉิงหนานที่คิดไปไกลก่อนที่จะเห็นเงื่อนไขของทั้งสามตระกูลจนมีสีหน้าเคร่งเครียด กลับต้องแสดงสีหน้ามึนตึ้บในทันทีที่เห็นเงื่อนไขจนต้องเรียกซูจิ้งมาดู

แต่ซูจิ้งเองไม่เพียงแต่จะไม่สนใจแม้แต่น้อย เขากลับบอกทั้งสองว่าไม่ต้องคิดมากและยอมรับไปให้มันจบๆเรื่องไปทั้งสองแม้จะสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี

จนในที่สุด ในตอนนี้ กลุ่มทุนห้วงเวลาฯนั้นเรียกได้ว่าขยายตัวมากกว่าเดิมจนทำให้ผู้คนในโลกหล้าที่เห็นต่างก็ต้องมึนงงกันในทันที


อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ซูจิ้งไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจเหล่านี้ เขากลับเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯของเขาและได้จัดการขยะห้วงเวลาฯต่อ

สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากกลับเข้าไปได้นั่นก็คือการศึกษาหนูทดลองของเขาต่อ

ในช่วงที่ผ่านมานี้เขาได้ยุ่งอยู่กับการจัดการหยวนหยินหนิงจนทำให้ไม่ได้สนใจอะไรเลยกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้

แต่เมื่อเขาได้ตรวจสอบต่อ เขาก็ต้องพบเรื่องที่น่าประหลาดใจมากมาย การค้นพบที่น่าตื่นตะลึงนี้ทำให้เขาต้องอุทานออกมาเบาๆ

สำหรับซูจิ้งแล้ว ห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรนี้ช่างเป็นห้วงเวลาฯที่เต็มไปด้วยเหล่าสิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์เท่านั้น เขายังได้พบสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความน่ามหัศจรรย์พันลึกอีกหลายชนิดที่มีความสามารถพิเศษและสรรพคุณทางยาที่มากมายหลากหลาย


ซูจิ้งได้นำสิ่งมีชีวิตที่มีสรรพคุณทางยาออกจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯไปบางส่วน และมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนเพื่อนำไปทำเป็นยาเพื่อใช้ทดลองในมนุษย์ต่อไป

ยกตัวอย่างเช่นพืชชนิดหนึ่งที่มีใบคล้ายกับต้นหอม มันมีดอกสีขาวและผลสีดำ เจ้าต้นไม้นี้มีผลในการรักษาโรคหิด แทบมีออกฤทธิ์ในทันทีที่ใช้อีกด้วยจนทำให้หายขาดในทันที

อีกหนึ่งนั่นก็คือต้นไม้ที่ขึ้นมาบนหินก้อนหนึ่ง ต้นของมันดูเหมือนต้นหอมเช่นเดียวกันแต่ต้นของมันกลับมีสีดำสนิท ต้นนี้มีสรรพคุณในการรักษาอาการปวดหัวและได้ผลดีอย่างมาก เรียกได้ว่าเหนือล้ำกว่ายาแผนปัจจุบันไปหลายขุมเลยทีเดียว


ยังมีอีกต้นไม้หนึ่ง ใบของมันนั้นมีลักษณะคล้ายกับต้นพุทรา แต่ผลของมันนั้นคล้ายกับลูกท้อ ต้นนี้มีสรรพคุณช่วยให้จิตไจผ่อนคลายสลายความกังวล หรือก็คือค้นไม้นี้มีสรรพคุณในการรักษาโรคซึมเศร้าและโรคขี้กังวลนั่นเอง

นอกจากนี้ ซูจิ้งยังพบหญ้าต้นหนึ่งที่ดูๆไปแล้วก็คล้ายกับโกศเขมา แต่มันมีผลสีดำที่คล้ายกับองุ่นๆ หากกินผลนี้จะช่วยให้หลับได้อย่างไร้กังวลโดยไม่แม้แต่ฝันร้ายแม้แต่น้อย

ถึงแม้ว่ายาเหล่านี้จะไม่ได้มหัศจรรย์เทียบเท่ากับกระบวนการรักษาโรคALSที่เขาได้มาจากตำรารักษาโรคทั่วไปของห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯก็ตาม

แต่ยาเหล่านี้ก็เรียกได้ว่าอยู่เหนือกว่ายายุคปัจจุบันอยู่หลายขุม และด้วยการที่มีผลในการรักษาที่หลากหลายแบบนี้ แน่นอนว่ายาของเขาจะต้องได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายแน่นอน


ลูฉินหมิงและหมอคนอื่นของโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนได้รับวัตถุดิบในการทำยาจากซูจิ้งเรียบร้อยแล้วและได้เริ่มทำการทดลองในทันที

และเมื่อได้เห็นผลการทดลองที่ดีแบบไม่เคยคาดคิดมาก่อนนี้ ทำให้พวกเขาต่างก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า ทำไมยาแผนจีนโบราณที่มีสรรพคุณดีขนาดนี้ทำไมถึงไม่เป็นที่รู้จักมาก่อนได้กัน ทำไมอย่าพวกนี้ต้องรอให้ซูจิ้งมาเป็นผู้ค้นพบด้วย

นอกจากนี้ ซูจิ้งยังได้พบสิ่งมีชีวิตวิเศษอีกสองชนิด หนึ่งคือต้นไม้ที่มีกลิ่นฉุน มันมีผลที่ใหญ่โตราวกับมะละกอ บางผลเองมีลักษณะที่คล้ายกับลิงเลยก็ว่าได้ เขาเองในตอนแรกนั้นก็จับจ้องอยู่นานเพราะคิดว่ามันเป็นลิงตัวหนุ่งที่แอบซ่อนตัวอยู่ในผลไม้ จะไม่ให้เขาเข้าใจผิดได้ยังไงเพราะมันมีแม้กระทั่งหูทั้งสองข้าง

ด้วยคุณลักษณะทั้งหมดเหล่านี้ พืชต้นนี้ไม่ว่าดูยังไงก็ไม่น่าจะใช้รักษาโรคได้แต่อย่างใด แต่ซูจิ้งเชื่อว่า ต้นไม้นี้จะต้องมีสรรพคุณอย่างอื่นที่เหนือล้ำกว่า


เขาได้ทดลองอยู่นานจนในที่สุดก็พบสรรพคุณของมันในที่สุด

ในตอนนี้เขานึกอะไรบางอย่างได้จึงได้เปิดอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับกีฬาโอลิมปิคดู ด้วยการที่กีฬาโอลิมปิคเป็นกีฬาระดับภูมิภาคที่สี่ปีจะมีการจัดแข่งสักครั้งหนึ่ง

และในครั้งนี้นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับโอกาสซ้ำของทวีปเอเชียที่ได้รับโอกาสในการจัดงานซ้ำประเทศเดิม

เห็นดังนี้ ซูจิ้งก็ได้หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาก่อนที่จะโทรไปหาเฉียนไจหยวน คนที่เป็นหลานของเฉียนไจบิงและเฉียนหยินหนิง

ทันทีที่เฉียนไจหยวนรับสาย เขาก็ได้พูดออกมาว่า “โว้ พี่ชายจิ้ง วันนี้ลมอะไรหอบมาถึงได้โทรหาผมได้กัน ”

“หืม พี่ชายจิ้ง อย่าบอกนะว่าเป็นซูจิ้งน่ะ”

“แม่…เอ๊ย ไจหยวน นี่นายไม่ได้คุยโวเลยนี่นาที่บอกว่ารู้จักซูจิ้งน่ะ”

“สุดยอดโดยแท้”

ที่ฝั่งของเฉียนไจหยวนในตอนนี้มีเสียงคนจำนวนหนึ่งพูดคุยเกี่ยวกับการโทรมาของซูจิ้งกันจนทั่ว เรียกได้ว่านี่เป็นผลพวงหนึ่งของการเป็นคนรู้จักของซูจิ้งก็ว่าได้

“ไจหยวน ตอนนี้สถิติว่ายน้ำของนายเป็นยังไงบ้าง” ซูจิ้งถามออกมา

“ผมพึ่งจะได้เข้าทีมชาติเมื่อไม่นานมานี่เองครับ ที่พี่ได้ยินไปเมื่อกี้ก็เป็นเสียงของเพื่อนร่วมทีมของผมนั่นแหล่ะ ตอนนี้ผมเองก็ได้ลงแข่งในการแข่งขันหลักอยู่หายหนเหมือนกันจนตอนนี้ก็ได้ทำลายสถิติโลกไปสองรายการแล้ว

ตอนนี้ผมถือครองสถิติโลกการว่ายน้ำประเภทฟรีสไตล์สองร้อยเมตรชายและประเภทผีเสื้อหนึ่งร้อยเมตรชายครับ


ด้วยการที่ผมพึ่งจะทำลายสถิติโลกไปได้ไม่นานทำให้พวกเขาเลือกผมเป็นทีมชาติแล้วในตอนนี้ ต้องขอบคุณพี่จิ้งจริงๆครับที่ทำให้ผมมาได้ไกลถึงขนาดนี้” เฉียนไจหยวนพูดออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้น

แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีวันลืมว่าที่เขามาได้ไกลถึงจุดนี้ได้เป็นเพราะใครกัน การที่เขาติดทีมชาติได้นี้เป็นเพราะซูจิ้งมอบผลไม้บางอย่างให้จนทำให้ร่างกายของเขานั้นเพลิดเพลินไปกับการว่ายน้ำและประสบความสำเร็จในชีวิตถึงขนาดนี้

และด้วยการแสดงออกมาอย่างตื่นเต้นจนผิดสังเกตนี้ทำให้หลายๆคนเอง ก็นึกสงสัยเหมือนกันและบางคนก็คิดว่าเป็นเพราะซูจิ้งเหมือนกัน แต่ต่อให้พูดออกมาก็ไม่มีใครเชื่ออย่างแน่นอนอยู่แล้ว เพราะพวกเขานั้นต่างก็เป็นคนที่เชื่อมั่นในการฝึกฝนของตัวเอง


“ดีแล้ว ดีแล้ว” ซูจิ้งยิ้มออกมาพลางนึกถึงชาถังที่ได้มอบให้เด็กคนนี้ไปนั้นช่างไม่เสียเปล่าจริงๆ

“แต่กับเรื่องนั้นถึงแม้ว่าผมเองจะยังมีโอกาสติดตัวจริงอยู่สูงก็ตามแต่เรื่องนี้ก็ยังไม่แน่เหมือนกัน ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีใครเอาชนะผมได้ก็จริง แต่กว่าจะแข่งคัดตัวกันก็อีกตั้งพรุ่งนี้แน่ะ กว่าจะถึงตอนนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ” เฉียนไจหยวนพูดออกมา

“ทำไมล่ะ” ซูจิ้งถามออกมาอย่างสงสัย

“โธ่ผู้จิ้ง เรื่องนี้ก็ต้องโทษพี่นั่นแหล่ะ นั่นก็เพราะพี่นอกจากจะสอนเพลงหมัดวัวคลั่งจนทำให้หลายๆคนมีสมรรถนะร่างกายจนทำให้หลายคนนั้นแข็งแกร่ง

นี่ยังไม่รวมถึงข้าวสีน้ำเงินตอนนี้ได้กลายเป็นอาหารหลักของเหล่านักกีฬารอบโลกไปแล้วเลยก็ว่าได้ นี่ทำให้ทีมนักกีฬาที่มีเงินยอมจ่ายเงินไปกับข้าวสีน้ำเงินมหาศาลเพื่อให้นักกีฬากินในทุกๆมื้อ

อย่าว่าแต่ว่ายน้ำเลยพี่ ตอนนี้แม้แต่กีฬาอื่นเองมีหวังได้ทำลายสถิติโลกในการแข่งกีฬาโอลิมปิคครั้งนี้แหงๆ ผมถึงว่ามันยังไม่แน่ไม่นอนว่าจะติดตัวทีมชาติรึเปล่าไง” เฉียนไจหยวนพูดออกมา


เมื่อได้ยินดังนี้ ซูจิ้งก็เข้าใจได้ในทันที เขาก็ว่าอยู่ว่าทำไมช่วงนี้ยอดสั่งข้าวสีน้ำเงินจากต่างประเทศถึงได้เยอะแปลกๆ นั่นก็เพราะตอนนี้ข้าวนี้ได้เป็นที่นิยมไปโลกนี่เอง นี่ยังไม่รวมกับเพลงหมัดวัวคลั่งที่กลายเป็นท่าบริหารสำหรับนักกีฬาไปแล้ว นี่เรียกว่าวงการนี้นี่เป็นแหล่งทำเงินและทำค่าการใช้ประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว เรื่องนี้เกินความคาดหมายของเขาไปไกลแบบที่ไม่เคยนึกมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

“พี่จิ้ง พี่ไม่รู้หลอกว่าพวกคนในทีมชาติทั้งหลายในตอนนี้ต่างทั้งเทิดทูนและเกลียดชังพี่ไปพร้อมๆกัน พวกเขาเทิดทูนพี่เพราะการที่ได้กินข้าวสีน้ำเงินของพี่ทำให้ร่างกายนั้นแข็งแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่เกลียดก็เพราะมันแพงมากเลยทำให้ซื้อกินได้อย่างจำกัดจำเขี่ย

นี่ยังไม่รวมถึงการที่ต่างประเทศได้มีโอกาสกินข้าวสีน้ำเงินนี่แล้วด้วยอีก นี่ทำให้คู่แข่งของเราล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งขึ้น”


“โห่….เมื่อเป็นนี้ฉันคงนิ่งเฉยไม่ได้สินะ เอาอย่างนี้ นายไปติดต่อตัวแทนจำหน่ายข้าวสีน้ำเงินของฉันได้เลย เดี๋ยวฉันจะสปอนเซอร์พวกนายเป็นข้าวสีน้ำเงินเกรดธรรมดาหมื่นชั่งกับเกรดคัดพิเศษอีกพันชั่ง ดูสิว่าคราวนี้ใครจะมากล้าสู้ประเทศเรา” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ห้ะ เอาจริงดิ” เฉียนไจหยวนตกใจจนอุทานพร้อมเหลือกตามองไปทั่วพร้อมทั้งชี้ให้คนอื่นๆมองมาที่โทรศัพท์ทันที


นั่นก็เพราะข้าวสีน้ำเงินเกรดธรรมดานั้นราคาชั่งละหมื่นหยวน หากมอบให้พวกเขาหมื่นชั่งนั่นหมายถึงมูลค่ากว่าร้อยล้านหยวน และข้าวสีน้ำเงินเกรดคัดพิเศษเองก็มีมูลค่าถึงชั่งละหนึ่งแสนหยวน จำนวนพันชั่งนั้นก็มีค่าถึงร้อยล้านหลวนเช่นเดียวกัน

นี่หมายความว่าซูจิ้งนั้นยอมเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมชาติถึงสองร้อยล้านหยวน นี่มันมากจนไม่รู้จะมากยังไงแล้ว

“เอ้า…แน่นอนสิ” ซูจิ้งพูดพลางหัวเราะออกมา ก่อนที่จะพูดต่อว่า “นอกจากนี้ฉันจะส่งของอีกสามอย่างไปให้พวกนาย ของที่ว่าเป็นของทีมนักแม่นปืน ทีมยกน้ำหนัก แล้วก็ทีมเดินเร็วด้วย เข้าใจ๋…”

“ห้ะ…เดี๋ยวนะ…พี่อย่าบอกนะว่า…” ในตอนนี้ดวงตาของเฉียนไจหยวนเปล่งประกายจนแทบจะเห็นได้ เขายังจำได้ถึงลูกไม้สีแดงที่ไม่รู้จักที่เขาได้กินก่อนหน้านี้

แต่คราวนี้ซูจิ้งกลับมีของแบบนั้นอีกตั้งสามแบบ หากไม่บอกว่าเขานั้นคือผู้วิเศษก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะให้เรียกเขาว่าอะไรแล้ว

ถึงแม้ว่าทีมนักแม่นปืน ทีมยกน้ำหนัก และทีมเดินเร็วนั้นจะไม่ต้องแข่งกันเองภายในแบบพวกเขา แต่กีฬาทั้งสามอย่างนี้เองก็เป็นที่หมายตาของประเทศทั่วโลกที่จะชนะ

และหากว่านี่เป็นไปอย่างที่เขาคิดไว้จริงล่ะก็ แน่นอนว่าเพื่อนนักกีฬาทีมชาติของเราทั้งสามประเภทกีฬานี้จะต้องมีความสุขอย่างมาก ไม่เพียงเท่านั้น ความหวังที่จะทำให้ประเทศได้รับเกียรติยศมานี้ก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมแต่อย่างใด

“ไม่ต้องถามอะไรมากแล้วกัน ของที่ฉันว่าเดี๋ยวฉันจะส่งไปพรุ่งนี้ไม่ก็วันมะรืน อย่าลืมรับของกับมือก็พอ” ซูจิ้งพูดออกมา

“แน่นอนครับพี่ ผมจะเฝ้ารอเลย” เฉียนไจหยวนพูดออกมาพลางตบอกตัวเองจนดังลั่นและเฝ้ารอได้เห็นความมหัศจรรย์ต่อหน้าตัวเองอีกครั้ง กับคนที่สัมผัสความวิเศษของสิ่งที่ซูจิ้งให้มาก่อนเท่านั้นถึงจะเชื่อมั่นอย่างหมดใจ


GGS:บทที่ 1079 ธนูและลูกธนู


 


สองวันต่อมา เฉียนไจหยวนและชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งได้รีบไปยังจุดรับของที่นัดหมายกันไว้ ชายที่มีกับเฉียนไจหยวนผู้นี้มีชื่อว่าจิงติงเย่ เขาเป็นชายวัยกลางคนที่รูปร่างค่อนข้างท้วมโดยเขานั้นได้เดินนำหน้าเฉียนไจหยวนราวกับว่าของที่กำลังไปเอานี้เป็นของตัวเองก็ไม่ปาน


“คูณซูบอกจริงๆเหรอว่าเขาจะมอบข้าวสีน้ำเงินเกรดธรรมดาหนึ่งหมื่นชั่งกับเกรดคัดพิเศษหนึ่งพันชั่งให้พวกเราจริงๆเหรอ”


 


“จริงสิครับ แล้วก็พี่จิ้งไม่ใช่คนที่หลอกใครเล่นง่ายๆอย่างแน่นอน เขาพูดเองด้วยซ้ำว่าหากว่าผลการฝึกฝนของนักกีฬาของพวกเราดีไปได้เรื่อยๆล่ะก็ เขายินดีที่จะมอบข้าวสีน้ำเงินทั้งสองเกรดนี้กับพวกเราเรื่อยๆ” เฉียนไจหยวนพูดออกมา


“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงล่ะก็ มันจะต้องเป็นเรื่องที่สุดยอดมากจริงๆ” จิงติงเย่อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยจิตใจอันเปี่ยมสุข เขาเองก่อนหน้านี้ได้ลองซื้อข้าวสีน้ำเงินให้นักกีฬามาก่อน และผลลัพท์นั้นเป็นอะไรที่ยอมรับได้แบบสุดๆ


แต่ด้วยการที่เงินในการสนับสนุนนักกีฬาทีมชาตินั้นมีจำกัด แถมข้าวสีน้ำเงินนั้นมีราคาสูงเสียดฟ้าจนทำให้พวกเขานั้นทำได้เพียงกินก๋วยเตี๋ยวจากข้าวสีน้ำเงินแทนเท่านั้นเอง


พวกเขาเองแม้จะเป็นกังวลอยู่ว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป ทีมนักกีฬาจีนคงล้าหลังกว่านักกีฬาชาติอื่นไปไกลแต่พวกเขาก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก


 


แต่มาในตอนนี้ ซูจิ้ง ชายที่เป็นทั้งคนที่รวยล้นฟ้าและเจ้าของข้าวสีน้ำเงินได้เสนอตัวสนับสนุนข้าวสีน้ำเงินด้วยตัวเองแบบนี้ สำหรับพวกเขาแล้วไม่ได้มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว


กับเรื่องนี้พวกเขาคงทำได้เพียงถอนใจอย่างโล่งอกเท่านั้นที่ประเทศของเขาเองเป็นผู้ผลิตข้าวสีน้ำเงิน โดยเฉพาะมีเจ้าของผลผลิตข้าวสีน้ำเงินที่เป็นพ่อบุญทุ่มแบบนี้


เอาจริงๆที่ซูจิ้งทำนี่ถือได้ว่าทำเพื่อตัวเองล้วนๆเลยทีเดียว ที่เขาทำแบบนี้นั้นเพียงเพราะไม่ชอบที่จะเห็นประเทศของตัวเองต้องล้าหลังกว่าประเทศอื่นในทุกๆด้านโดยเฉพาะด้านกีฬาที่ได้ผลกระทบเชิงลบจากข้าวสีน้ำเงินของเขามากกว่าใครแบบนี้


แต่อีกทางหนึ่งนั้น สำหรับเขาแล้วนี่เองก็เป็นวิธีการโปรโมตข้าวสีน้ำเงินของเขาเองอีกทางหนึ่งด้วยเช่นกัน หรือก็คือเขาทำเพื่อเงินและค่าการใช้ประโยชน์ก็เท่านั้นเอง


 


ไม่นานทั้งสองก็ได้มาถึงประตูด้านตะวันออกของโรงยิมเก็บตัวนักกีฬา พวกเขาเซ็นรับของและไล่เปิดกล่องใบใหญ่เพื่อตรวจดูของข้างใน


ถึงแม้จากหีบห่อภายนอกจะดูแล้วไม่เหมือนข้าวก็ตาม แต่จากกลิ่นหอมหวลนี้พวกเขาบอกได้เลยว่านี่คือข้าวสีน้ำเงินอย่างแน่นอน


พวกเขามั่นใจมากเพราะเคยมีโอกาสได้กินข้าวนี้มาแล้วครั้งสองครั้งในระหว่างเก็บตัวนักกีฬา นี่เป็นกลิ่นที่พวกเขาจดจำได้อย่างไม่มีวันลืม


 


“สุดยอดจริงๆ คุณซูนี่คือยอดคนโดยแท้” จิงติงเย่พูดออกมาพลางหัวเราะลั่น


“ด้วยสิ่งนี้ เปรียบดั่งพวกเราได้รับคำอวยพรของพระเจ้าแห่งชัยชนะแล้ว” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งพูดออกมา


“ผู้ดูแลโรงฝึกครับ ตรงนี้ยังมีอีกสามกล่อง” เฉียนไจหยวนพูดออกมา นอกจากกล่องที่บรรจุข้าวสีน้ำเงินเอาไว้กว่าพันหนึ่งร้อยชั่งแล้ว ยังมีกล่องที่ส่งแยกออกมาอีกสามกล่อง โดยมีสองกล่องที่ขนาดเล็กมากๆ แต่อีกกล่องหนึ่งนั้นใหญ่กว่ากล่องอื่นมากนัก


“ของในกล่องพวกนี้รึเปล่าที่คุณซูบอกว่าเป็นของพิเศษน่ะ” จิงติงเย่วถามออกมา ด้วยคำถามนี้ทำให้หลายๆคนในที่นั้นหันไปสนใจในทันที


 


พวกเขานั้นต่างก็เป็นโค้ชของนักกีฬาทีมชาติประเภทยิงธนู ยกน้ำหนัก และเดินเร็ว ที่พวกเขามาที่นี่นั้นเป็นเพราะว่าเฉียนไจหยวนได้ถ่ายทอดคำพูดของซูจิ้งออกมาทำให้ทั้งสามได้ฝังกัน


อย่างไรก็ตามซูจิ้งยังบอกว่าของเหล่านี้ไม่ได้จำเพาะเจาะจงเฉพาะนักกีฬาของสามประเภทนี้เท่านั้น หากนักกีฬาประเภทอื่นต้องใช้ก็ใช้ได้อย่างไม่มีปัญหา


“ลองเปิดดูก่อนแล้วกัน”  จิงติงเย่พูดออกมา โดยพวกเขานั้นเริ่มจากเปิดก่องใหญ่ก่อน กลิ่นของมันนั้นเป็นกลิ่นไม้ที่หอมจนทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก


เมื่อเขาได้เห็นของข้างในนี้แล้วต่างก็นิ่งอึ้งกันไปหมด ของที่อยู่ข้างในนี้สมควรจะเป็นของขวัญให้กับทีมนักธนู แต่ที่พวกเขาอึ้งกันไปหมดนั่นก็เพราะข้างในคือคันธนูสองชิ้นและลูกธนูอีกหนึ่งกล่อง


“นี่คงเป็นของขวัญของพวกเราทีมยิงธนูสินะ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดออกมาก่อนที่จะหยิบคันธนูอันนั้นขึ้นมาดู


เมื่อหยิบขึ้นมา เขารู้สึกได้ทันทีว่าคันธนูนี้ค่อนข้างหนัก คันธนูมีส่วนโค้งที่สวยงาม แขนธนูที่สัมผัสกับแขนของธนูนี้ทำรู้ได้ทันทีว่าคันธนูชิ้นนี้เป็นแบบปีกโค้งกลับ


สิ่งที่เรียกว่าคันธนูแบบปีกโค้งกลับนี้เป็นคันธนูอีกชนิดหนึ่ง มันมีความแตกต่างจากธนูยาวของอังกฤษตรงที่แขนของธนูจะมีความโค้งงอที่มากกว่าธนูยาว โดยบางแบบจะสามารถถอดแยกระหว่างแขนธนูและคันธนูได้


ที่ปลายแขนของธนู หากไม่ได้มีการผูกเอ็นเอาไว้จะโค้งงอออกซึ่งจะแตกต่างจากธนูยาวหากไม่ได้ผูกเอ็นเอาไว้ ส่วนปลายแขนจะโค้งงอเข้าด้านในลู่ไปตามแนวแขน


 


คันธนูแบบปีกโค้งกลับนี้จะสามารถรองรับพลังงานที่ใช้ในการผลักดันลูกธนูได้มาก และยังมีขนาดที่กระทัดรัดมากกว่าธนูยาวทำให้มีความเหมาะสมในการใช้ในเหตุการณ์ที่ธนูยาวใช้ได้ไม่ค่อยสะดวกอย่างบนหลังม้า หรือในป่า


นอกจากนี้ คันธนูแบบปีกโค้งกลับ ยังถือได้ว่าเป็นคันธนูที่ถูกกำหนดให้ใช้ในกีฬาโอลิมปิกอีกด้วย


เท่าที่โค้ชของนักกีฬาดูแล้วก็พบว่าคันธนูทั้งสองชิ้นนี้มีความเหมาะสมกับการนำไปลงแข่งจริงๆ แต่ยิ่งเขาตรวจสอบดูอย่างละเอียดก็ยิ่งทำให้โค้ชนักกีฬาต้องมึนงง นั่นก็เพราะนอกจากส่วนเชือกแล้ว ส่วนประกอบทั้งหมดของธนูนี่คือไม้นั่นเอง


“ลูกธนูพวกนี้ก็ทำมาจากไม้เหมือนกันนะ” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งพูดออกมา


ในทุกวันนี้ทั้งคันธนูและลูกธนูนั้น หากพูดถึงวัสดุที่ใช้ทำแล้วต่างก็ทำมาจากโลหะผสมพิเศษทั้งสิ้นอย่าง อัลลอยด์ คาร์บอน คาร์บอนอัลลอยด์ และโลหtอย่างอื่น


แต่มีน้อยคนมากที่ยังคงใช้คันธนูที่เป็นไม้เท่านั้น หากว่าเขายอมใช้คันธนูนี่ไม่เป็นสิ่งที่เรียกว่าถอยหลังลงคลองรึไงกัน


ไหนจะเส้นเอ็นนี่อีก ไม่ว่าเขาจะดูยังไงก็ตามมันเหมือนกับเส้นผมสีทองมากกว่า หากว่าใช้จริงๆล่ะก็ ยังไงซะมันต้องขาดตั้งแต่ยังไม่ปล่อยลูกธนูออกไปอย่างแน่นอน


เมื่อทุกคนได้ลองคิดที่จะดูยี่ห้อ เพื่อจะหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็ยิ่งต้องอึ้งมากกว่าเดิมเข้าไปอีกจนทำให้พูดอะไรกันไม่ออก


นั่นก็เพราะยี่ห้อที่ตราเอาไว้บนคันธนูนี้ไม่ใช่ยี่ห้อยอดนิยมอย่างHoyt MK หรือ WinWin แต่อย่างใด ตรายี่ห้อที่แสดงไว้บนคันธนูอันนี้เป็นของกลุ่มทุนห้วงเวลา นี่พวกเขามาเปิดการตลาดสายนี้รึไงกัน


ในตอนนี้ทุกคนต่างรู้สึกได้ทันทีว่าที่ซูจิ้งยอมมอบข้าวสีน้ำเงินมากมายขนาดนี้นั้นเป็นเพราะต้องการโฆษณาบริษัทตัวเองอย่างแน่นอน


“ฉันก็เข้าใจนะว่าคุณซูอยากจะอวยบริษัทตัวเองน่ะ แต่นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ”


“พวกเราสามารถให้เครดิตของเขาเรื่องข้าวสีน้ำเงินหรือแม้แต่เอ่ยชื่อกลุ่มทุนห้วงเวลาฯเลยก็ได้นะ แต่การที่ต้องใช้คันธนูนี้ในการแข่งอาจจะเกินไปหน่อยจริงๆ”


“เห็นด้วย เราไม่ได้คิดจะแข่งยิงธนูกันเล่นๆนะ”


ด้วยทั้งวัสดุที่ใช้ทำธนูและยี่ห้อของธนูนี้หากพวกเขายอมใช้ล่ะก็ไม่ได้ต่างจากยอมรับความพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้สู้


ตอนแรกที่พวกเขาได้ยินมาว่าซูจิ้งนั้นส่งของขวัญมาให้กับนักกีฬาสามประเภทนี้ต่างก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก แต่เพียงแค่กล่องแลกนี้ก็ทำให้พวกเขานั้นต้องคิดหนักเกี่ยวกับกล่องที่เหลือเลยทีเดียว


มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้เลย นั่นก็คือเฉียนไจหยวน เมื่อเขาได้เห็นคนที่อาการคลับคล้ายคลับคลาตรงหน้าตัวเองแบบนี้ก็อดที่จะรีบพูดออกมาไม่ได้ว่า “นี่พวกโค้ชคิดจะตัดสินใจกันโดยที่ยังไม่ได้ลองใช้ดูก่อนหรือครับ”


“ห้ะ ลองดู? จะให้ฉันลองใช้ธนูกับลูกธนูที่ทำจากไม้นี่งั้นเหรอ นี่นายคิดว่าไม้จะเทียบกับโลหะผสมได้รึไงกัน ไม่ว่ามองยังไงมันก็สู้คันธนูที่ผลิตจากวัตถุดิบสมัยนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน


อีกอย่าง กลุ่มทุนห้วงเวลาฯเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์ในการผลิตคันธนูมาก่อนอย่างแน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีทางเลยที่จะสามารถสร้างคันธนูดีดีออกมาได้” หัวหน้าโค้ชทีมนักกีฬายิงธนูได้พูดพลางส่ายศรีษะออกมา


“ก็ถ้าหากเป็นคนอื่น ผมเองก็คงไม่คิดจะมากล้าพูดแบบนี้หรอกครับ แต่นี่คือคุณซูที่ลบคำสบประมาทคนมานักต่อนักแล้วนะครับ


เป็นไปได้ว่าคันธนูและลูกธนูนี้เองก็สมควรจะมีความพิเศษไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าของเหล่านั้นเป็นแน่ ผมว่าเราน่าจะลองดูกันหน่อยดีกว่า” เฉียนไจหยวนพยายามหาคำพูดที่ดีที่สุดในการหว่านล้อมเหล่าโค้ชนักกีฬาตรงนี้


“ฉันเองก็คิดว่าเราควรจะลองดูกันก่อนนะ” จิงติงเย่พูดออกมาพลางพยักหน้ารับ เขาเองก็รู้ดีว่าหากพูดถึงความมหัศจรรย์ของซูจิ้งแล้วนั้นมากมายเหลือคณานับ


ยิ่งไปกว่านั้นเขาส่งข้าวสีน้ำเงินมามากมายขนาดนี้ ไม่มีทางหรอกที่คนแบบนั้นจะให้ของมามากมายเพียงเพื่อที่จะกรุยทางให้ผลิตภัณฑ์ใหม่


เพราะเอาจริงๆแล้วการใช้คันธนูและลูกธนูพวกนี้หรือไม่นั้นก็เป็นสิทธิ์ของพวกเขาอย่างเต็มที่ และตอนนี้ต่อให้ลองใช้ดูสักหน่อยก่อนแล้วค่อยตัดสินใจกันก็ยังไม่สาย


“ก็ได้” หัวหน้าโค้ชทีมนักกีฬาทีมชาติได้พูดออกมา ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียเวลากับเรื่องนี้แต่เห็นแก่ข้าวสีน้ำเงินเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าต้องลองดูสักครั้งเช่นเดียวกัน


“เอาล่ะ งั้นเรามาจัดที่ทางกันก่อนแล้วกัน จ้าว นายเอาคันธนูกับลูกธนูพวกนี้ไปยังสนามซ้อม แล้วให้นักกีฬาลองใช้คนธนูสองอันนี้ซะ” จิงติงเย่พูดออกมา


ทุกคนได้ช่วยกันขนข้าวสีน้ำเงินพวกนี้ไปเก็บ และได้ให้คนนำคันธนูและลูกธนูไปยังสนามซ้อมยิงธนูในทันที

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)