Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1070-1071
GGS:บทที่ 1070 เหยื่อล่อ
ซูจิ้ง ฮู่ฮงหยาง และคนอื่นๆได้ออกจากสำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินไปอย่างไม่ใยดี อย่างไรก็ตาม กิตติศัพท์ของซูจิ้งยังคงอยู่ ณ ที่แห่งนี้ไม่ได้จากไปไหน
นอกจากเศษซากสนามที่แตกเป็นชิ้น จินชิซู คิมูระจิน จั่วเยียน และศิษย์ในสำนักฯราชวงศ์จินคนอื่นๆต่างมีใบหน้าที่หน้ารังเกียจ และค่อยๆทยอยออกไปจากที่นี่
ไม่ต้องพูดถึงมือของจินเชินหวู่เลยว่าจะรักษาได้หรือไม่ ต่อให้รักษาได้แต่สำนักฯแห่งนี้ก็ไม่สามารถอยู่ต่อได้อีกต่อไป นั่นก็เพราะคำพูดที่ซูจิ้งได้ทิ้งเอาไว้ก่อนจากไป ต่อให้ตัวของเขาไม่อยู่แล้วก็ตาม แต่จะมีใครที่คิดหาญกล้าจะอยู่ต่อได้อีกกัน
คำมั่นที่จินเชาหวู่เคยบอกทั้งจินชิซูและคิมูระเอาไว้ว่าจะไปช่วยเปิดสำนักที่นั่นแน่นอนว่าพวกเขาจะทำเป็นไม่เคยได้ยินมาก่อน
นั่นก็เพราะคำมั่นนั้นไร้คุณค่าไปแล้ว หากพวกเขาไปเปิดโรงฝึกที่นั่นโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากซูจิ้งล่ะก็ ถ้าซูจิ้งไปปิดด้วยตัวเอง พวกเขาคงไม่มีหน้าตาอยู่ในสังคมอีกต่อไป
สำหรับคนที่ได้เรียนเพลงหมัดวัวคลั่งไปแล้วนั้น พวกเขาไม่คิดจะอยู่ที่สำนักฯราชวงศ์จินแห่งนี้อีกต่อไปเช่นเดียวกัน เพราะพวกเขาจะไม่ได้ถูกรู้จักในนามของสำนักฯราชวงศ์จิน แต่จะรู้จักเพียงแค่ในนามคนทรยศแห่งสำนักศิลปะการต่อสู้สับปะยุทธเท่านั้น
วิดีโอที่ซูจิ้งทำลายลานประลองด้วยการกระทืบเท้าเพียงครั้งเดียวนี้ ได้ถูกส่งแต่ไปจนทั่วบนโลกอินเตอร์เน็ตอีกครั้ง ทุกคนที่เห็นต่างก็ตกตะลึงและเชื่อมั่นอยู่ในใจว่าซูจิ้งไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว
ในรถพยาบาลคันหนึ่ง จินเชาหวู่ที่นอนนิ่งสนิทอยู่บนเตียงปฐมพยาบาลโดยมีหมอและพยาบาลอยู่ข้างๆ พวกเขาล้วนแล้วแต่ถูกสะกดจิตให้รับรู้ว่าไม่มีใครเห็นซูจิ้งอยู่ที่นั่น
ซูจิ้งเริ่มที่จะถามคำถามจินเชาหวู่ และจินเชาหวู่ก็ตอบซูจิ้งตามความจริงทุกประการ แต่ซูจิ้งเองก็ไม่ได้อะไรมามากนักเหมือนกัน
กลายเป็นว่ามีใครบางคนคอยสนับสนุนให้จินเชาหวู่และมอบข้าวสีน้ำเงินให้เขาอยู่เรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นจินเชาหวู่เองก็ไม่สามารถทัดทานได้เพราะอีกฝ่ายน่าจะมีอำนาจพอสมควร
ด้วยเหตุนี้เมื่ออีกฝ่ายต้องการให้เขาทำอะไรเขาเลยต้องยอมทำตามแต่โดยดี และแน่นอนว่าเป็นผู้สนับสนุนคนนั้นที่ขอให้จินเชาหวู่ไปท้าทายเสี่ยวไจ๋พร้อมรอยสักที่ต้นคอ
แต่อย่างไรก็ตาม จินเชาหวู่เองก้ไม่รู้ว่าอีกฝั่งหนึ่งนั้นเป็นใครกันแน่
“ไอ้พวกนี้ช่างระวังตัวดีซะจริงๆ แต่อย่างน้อยๆนี่แสดงให้เห็นว่าคนที่หนุนหลังหมอนี่เป็นกลุ่มเดียวกับคนที่จับตัวเว่ยเสี่ยวหยวนไปอย่างแน่นอน” ซูจิ้งได้วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ภายในห้วงความคิดของเขา จินเชาหวู่ผู้นี้เองก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง และซูจิ้งเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับชายคนนี้อีกต่อไป
ถึงแม้ว่าหมอนี่จะเป็นเพียงตัวหมาก แต่ด้วยการที่หมอนี่ทั้งทรยศสำนักฯสับประยุทธ์และทำร้ายเสี่ยวไจ๋แล้ว การเสียมือทั้งสองข้างไปก็เพียงพอแล้ว
“….ในเมื่อจินเชาหวู่ไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังก็คงได้แต่ลองลากมันออกมาดูแหะ ในเมื่อฝั่งนู้นวางเหยื่อล่อได้ ทำฉันจะทำมั่งไม่ได้ล่ะ” ซูจิ้งคิดไปสักพักก่อนที่จะออกจากรถพยาบาลมาอย่างเงียบ ทั้งจินเชาหวู่ หมอ และพยาบาลที่ได้สติ ต่างก็จำไม่ได้ว่าตัวเองได้พบเจอซูจิ้งก่อนหน้านี้
หลังจากลงจากรถ ซูจิ้งก็ได้โทรหาตงเสี่ยวและบอกให้เขาส่งคนขององค์กรเกล็ดงู(กองโจรเขี้ยวงูรุ่นใหม่)ให้ลอบไปหาจินเชาหวู่
ด้วยการที่ตงเสี่ยวอยู่ภายใต้การควบคุมของซูจิ้งแล้ว ในตอนนี้งานวิจัยของเขานั้นค่อนข้างจะเข้มงวดและไม่ได้เปิดเผยออกมาต่อหน้าสาธารณะชนแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ซูถึงแม้ว่าซูจิ้งจะไม่ได้ใส่ใจกับคนที่เขานำมาทดลองก่อนหน้านี้มากนัก แต่ก็ถือได้ว่ายังมีสัตว์ประหลาดขององค์กรเกล็ดงูซุกซ่อนอยู่ที่สถานพิทักษ์สัตว์แห่งเมืองจงหยุนอยู่
ก็ในเมื่อคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดอยากจะพบเจอคนขององค์กรเกล็ดงูมากนัก เขาก็จะให้พวกนั้นได้เจอ
เย็นวันนั้นเอง ที่ห้องพยาบาลที่จินเชาหวู่นอนพักอยู่ หลังจากเสร็จสิ้นการรักษา เขาก็ได้นอนนิ่งอยู่กับเตียงอย่างไปไหนไม่ได้
หมอบอกเขาไปว่าอาการของมือของเขานั้นยังมีโอกาสที่จะรักษาได้ แต่เกรงว่าการใช้มือทำงานออกแรงจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
ยิ่งไปเป็นไปไม่ได้เลยที่ว่าเขาจะกลับไปอยู่ในวงการศิลปะการต่อสู้อีก นี่ทำให้จิตใจของจินเชาหวู่นึกย้อนไปถึงฉากที่ตนเองต้องพ่ายแพ้ต่อซูจิ้งอย่างเจ็บปวดหัวใจ และเขาตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นประตูก็ได้เปิดออก เป็นชายหนุ่มสองคนที่ตัวสูงและอยู่ในชุดสูทเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นได้ปิดล็อคประตูทันทีที่เข้าไป หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ไปนั่งข้างๆเตียงของจินเชาหวู่
“แกเป็นใคร” จินเชาหวู่ถามออกมาอย่างสงสัยและคิ้วที่ขมวด
ชายสองคนนั้นไม่ได้พูดอะไรออกมา หนึ่งในนั้นทำเพียงถกแขนเสื้อของตัวเองให้เห็นถึงเกล็ดงูสีเขียวอร่ามที่ไล่ขึ้นไปตามแขนราวกับเกล็ดของงู ช่างดูแปลกตาอย่างมากกับคนทั่วไป
ชายอีกคนหนึ่งได้ลุกขึ้นและวางเท้าของตัวเองไว้บนเก้าอี้นั่ง ก่อนที่จะค่อยๆกดเท้าของตัวเองจนเก้าอี้ค่อยย่นไปบนพื้นด้วยแรงเหยียบของเขา
นี่เป็นความแข็งแกร่งที่แม้แต่จินเชาหวู่เองในสภาพสมบูรณ์พร้อมก็ยังเทียบไม่ได้ นี่คือความแข็งแกร่งที่ไปไกลเกินกว่าความเป็นมนุษย์ไปแล้ว
“คุณ…” จินเชาหวู่ได้เปลี่ยนสำเนียงการพูดพร้อมกระพริบตาปริบๆในทันที ก่อนหน้านี้เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องราวของคนกลุ่มนี้มาบ้างจากคนที่สนับสนุนเขาแล้วอยู่บ้าง
คนๆนั้นบอกว่าหากมีกลุ่มคนที่มีผิวหนังประหลาดคล้ายเกล็ดงูมาหาเมื่อไหร่ ให้เขารีบติดต่อไปที่ผู้สนับสนุนในทันที
ในตอนนั้นเขาก็คิดเพียงว่ากองโจรเกล็ดงูนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าลือเท่านั้น จะไปมีคนแบบนั้นมาหาเขาจริงๆได้ยังไงกัน คิดไม่ถึงว่าคนพวกนั้นไม่เพียงแต่จะไม่ใช่เรื่องเล่าลือ แต่ยังมาหาเขาจริงๆ
คนพวกนี้ประหลาดอย่างที่ได้ยินมาจริงๆและเท่าที่ดูล่ะก็หากว่าเขาไม่ได้เรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งและได้กินข้าวสีน้ำเงินไปจำนวนมากล่ะก็ เขานั้นจะยิ่งห่างไกลกว่าชายทั้งสองอย่างไม่เท่าเล็บมือด้วยซ้ำ
“ไม่ใช่ว่าแกอยากหาพวกเราหรือ” ชายหนุ่มเกล็ดงูคนหนึ่งชี้ไปที่ลอยสักเกล็ดงูที่อยู่บนต้นคอของจินเชาหวู่ ก่อนที่เขาจะพูดออกมาว่า “แต่เท่าที่ฉันดูแล้วแกไม่น่าจะมีอำนาจตัดสินใจสินะ พวกเราต้องการเจอเจ้านายของแก”
“ดะ…ดะ…เดี๋ยวนะ รอสักครู่” จินเชาหวู่รีบพยักหน้ารับอย่างหว่างกลัวก่อนที่จะนำสมาร์ทโฟนของตัวเองออกมาอย่างยากลำบาก และถ่ายรูปชายเกล็ดงูทั้งสองคนโดยมุ่งเน้นไปยังเกล็ดงูที่อยู่ที่แขนของชายคนหนึ่ง ก่อนที่จะทารส่งรูปไปยังวีแชท หลังจากนั้นไม่นานก็มีข้อความส่งกลับมาพร้อมสถานที่นัดพบ
ขณะเดียวกัน ณ ยอดของตึกที่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลที่จินเชาหวู่นอนรักษาตัวอยู่ ซูจิ้งได้หยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองออกมาและพูดกับซูฉือและหลัวฉือหลินว่า “นายสองคนรู้จักวีแชทอยู่แล้วสินะ พอจะแกะรอยวีแชทของไอ้คนที่อยู่เบื้องหลังนั่นได้รึเปล่า”
“อาจจะยากไปหน่อยแต่พวกเราจะลองดูนะ” ซูฉือพูดออกมา
“เยี่ยม หากว่าต้องการอะไรเพิ่มเติมให้ติดต่อฉันในทันทีได้เลย” ซูจิ้งพูดออกมา
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่กลางถนนนั้นก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของตัวเองดังขึ้นมา เขาจึงเปิดโทรศัพท์ออกมาดูว่ามีอะไรเข้ามา
เมื่อเขาได้เห็นข้อความที่ถูกส่งมายังวีแชทของตัวเองก็ได้ถึงกับปากสั่นในทันที เขาได้ลบภาพนี้ทิ้งและเขวี้ยงโทรศัพท์ของตัวเองลงถังขยะในทันทีและเดินจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขารีบกลับไปขึ้นรถก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งออกมาและโทรออกไป
“ลูกพี่หยวน พวกเขาติดต่อมาแล้ว”
ในห้องสำนักงานแห่งหนึ่ง หยวนหยินหนิงที่ได้เห็นว่าใครโทรมาหาเขาก็ได้รีบรับโทรศัพท์ในทันที และเมื่อได้ยินข้อความจากปลายสาย สายตาและใบหน้าของเขาแสดงออกมาถึงความตื่นเต้นอย่างห้ามไม่ได้
ในที่สุดหนึ่งในสามกองกำลังที่เหนือกว่าซูจิ้งก็ได้ติดต่อมาหาเขาเสียที เขาอยากจะรู้ว่าคนพวกนี้ไปได้ขุมพลังอันล้นเหลือมาจากไหนกันแน่
และอะไรเกิดขึ้นกับงูยักษ์ที่ทำลายได้แม้แต่กรงเหล็กแบบนั้น และจะยินดีที่สุดหากพวกนั้นยอมช่วยเหลือเขาในการกำจัดซูจิ้งและลากความลับของซูจิ้งมาให้เขาได้ประจักษ์
“ซูจิ้งสังเกตอะไรได้รึเปล่า” หยวนหยินหนิงได้ถามออกมาอย่างจริงจัง
“เท่าที่ดูผมว่าไม่ครับ หมอนั่นจากไปทันทีที่เล่นงานจินหวู่เชา” ชายหนุ่มได้ตอบกลับมา
“ถ้างั้นเอาเป็นให้พอใครสักคนไปติดต่อกับสัตว์ประหลาดเกล็ดงูนั่นก่อนก็แล้วกัน จำไว้ว่าอย่าไปด้วยตัวเองเป็นอันขาด นายต้องระวังตัวอย่างที่สุดและถี่ถ้วน หากมีอะไรผิดพลาดล่ะก็ เราจะถอนตัวทันทีและจะไม่ได้สืบสาวมาถึงฉันได้” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
“รับทราบครับ” ชายหนุ่มเองหลังจากวางสายก็ได้เตรียมตัวในทันที
ในตอนนั้นเองหลังจากวางสายไป เสียงโทรศัพท์ของหยวนหยินหนิงก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง ในคั้งนี้เป็นฮัวหยุนชูที่โทรเข้ามา นี่ทำให้หยวนหยินหนิงอดจะบ่นพึมพำออกมาไม่ได้ว่า
“ว่าแล้วว่าเรื่องนี้ต้องไปสะกิดต่อมความสงสัยของสองคนนั่น พวกนั้นไม่ใช่คนโง่จริงๆ เห็นทีคงได้เวลาบอกสองคนนั่นแล้วแหะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็เพียงเงินทุนของฉันคงไม่เพียงพออย่างแน่นอน”
GGS:บทที่ 1071 ติดตาม
ในช่วงเย็น ชายวัยกลางคนที่ดูท่าทางธรรมดาคนหนึ่งที่อยู่ในชุดสูทได้ก้าวเข้าไปในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เขาทำการมองไปจนทั่วร้านหนึ่งรอบ ก่อนที่จะไปจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มร่างสูงสองคนที่อยู่ในชุดสูท เขาตรงไปที่ทั้งสองคนนั้นและนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับทั้งสอง
“จินเชาหวู่” ชายวัยกลางคนคนนั้นพูดออกมา
ชายหนุ่มสองคนไม่พูดอะไร และเป็นชายหนุ่มคนเดิมได้ถลกแขนเสื้อให้ได้เห็นเกล็ดงูสีเขียวที่อยู่บนแขนของเขา หลังจากชายวัยกลางคนได้เห็นมันแล้ว เขาก็ได้จัดแขนเสื้อให้ปกปิดเกล็ดนี้ไว้เหมือนเดิม
“สวัสดี ฉันเป็นผู้สนับสนุนของจินเชาหวู่ ยินดีที่ได้พบ” ชายวัยกลางคนพูดออกมาแสดงว่าเขานั้นต้องการพบกับสัตว์ประหลาดเหล่านี้จริงๆ
ทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็รู้สึกหัวหมุนและแทบจะสิ้นสติสัมปชัญญะในทันที ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองแต่ก็ยังคงฝืนไม่ให้หมดสติไปทั้งแบบนี้
เขายังคงพยายามทำให้มีท่าทีปกติเข้าไว้และได้ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง ก่อนที่จะค่อยๆกดปุ่มโทรด่วนของโทรศัพท์ที่ตั้งเอาไว้ให้ส่งข้อความที่ตั้งไว้แล้วในทันที
แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่นั้นและได้สูญเสียการควบคุมตัวเองไปแล้วทั้งๆที่ตายังคงลืมอยู่
ในตอนนั้นเองก็ได้มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ดูธรรมดามานั่งข้างๆชายวัยกลางคนผู้นี้ เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า “เอาโทรศัพท์ออกมา แล้วโทรกลับไปยังคนที่แกพึ่งจะส่งข้อความไปซะ แล้วก็ทำเสียงให้ดูเหมือนว่าทุกอย่างดูปกติ ที่ส่งข้อความไปเมื่อกี้เป็นเพียงความเข้าใจผิด”
ชายคนนี้ก็คือซูจิ้ง ที่ได้ใช้ผงแปลงโฉมที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจในการแปลงรูปลักษณ์ภายนอกนั่นเอง
ซูจิ้งได้ทำการสะกดจิตชายวัยกลางคนผู้นี้ตั้งแต่ตอนที่เขามานั่งลงที่นี้แล้ว เขาเองก็สังเกตเห็นตั้งแต่ต้นแล้วว่าชายคนนี้ได้ล้วงมือจับมือถือของตัวเองตลอดเวลาตั้งแต่มาถึง
แต่ด้วยการที่มันกระชั้นเกินไปทำให้เขานั้นหยุดเอาไว้ไม่ได้ นั่นก็เพราะต่อให้สะกดจิตได้เร็วยังไงแต่ก็ยังช้าเกินกว่าจะควบคุมได้สมบูรณ์ทันปลายนิ้วของชายคนนี้ ซูจิ้งจึงให้เขาใช้วิธีนี้แทน
ชายวัยกลางคนที่ได้ยินก็ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เขาทำการโทรไปหาเบอร์ๆหนึ่ง ที่ปลายสายได้ถามด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า “ทำไมถึงได้โทรมาได้เร็วนัก นี่เป็นกับดักรึ”
“ไม่ใช่ครับ ผมเองที่ตื่นเต้นเกินไปจนเผลอกดเบอร์ไป” ชายวัยกลางคนได้พูดออกมา ในขณะเดียวกัน ซูจิ้งก็ส่งข้อความไปให้ซูฉือเพื่อให้เธอและหลัวฉือหลินติดตามปลายสายในทันที
“ผิดพลาด?” ที่ปลายสายนิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนที่จะพูดกลับมาว่า “เฒ่าจาง คุณคงไม่ได้คิดจะเล่นตุกติกหักหลังผมใช่รึเปล่า อย่าลืมว่าผมเองก็ช่วยคุณไว้เยอะไม่น้อย ไหนจะเรื่องภรรยาและลูกของคุณ หากคุณหักหลังผม รับรองว่าทั้งสองจะรู้สึกได้เลยว่าตายเสียดีกว่าอยู่”
“ผมจะไปหักหลังคุณได้ยังไง มันแค่เรื่องผิดพลาดเองนะ อ่อ แล้วก็คนจากองค์กรเกล็ดงูบอกว่าสนใจที่จะร่วมงานกับพวกเรา ผมเลยจะโทรมาถามด้วยว่าจะเอายังไงเพราะพวกเขาอยากจะพบคุณเพื่อที่จะได้คุยเรื่องรายละเอียดได้สักที” ชายวัยกลางคนพูดออกมา
“เยี่ยม ที่เดิม” ปลายสายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบลื่นราวกับดีใจอย่างบอกไม่ถูก
“ดี ผมจะพาคนทั้งสองนี้ไป” ชายวัยกลางคนพูดออกมา
หลังจากวางสาย ซูจิ้ง สองหนุ่มองค์กรเกล็ดงู และชายวัยกลางคน ได้ขับรถตรงไปยังที่เดิมที่ปลายสายได้พูดถึง แน่นอนว่าซูจิ้งได้ให้ซูฉือและหลัวฉือหลินคอยสืบสวนต่อไปเพื่อไว้ว่าทางฝั่งเขาจะพลาดขึ้นมา
ระหว่างทาง ซูจิ้งยังถามเรื่องราวต่างๆของชายวัยกลางคนผู้นี้ แล้วก็พบว่าชายคนนี้เอาจริงๆแล้วไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเลยแม้แต่น้อย ที่เขาไปในวันนี้นั้นก็เพื่อติดต่อกับองค์กรเกล็ดงูเพียงอย่างเดียว
แต่หากซูจิ้งต้องการรู้เรื่องราวอย่างอื่น คนที่พวกเขากำลังจะเดินทางไปพบนี้น่าจะรู้เรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างดี
ในขณะเดียวกับหลังจากที่ชายวัยกลางคนได้วางสายไป ชายหนุ่มปลายสายได้หยิบข้อความในโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง มันคือข้อความแจ้งเตือนตามที่ตกลงกันไว้ด้วยท่าทีคิ้วขมวดเล็กน้อย
เขารู้ดีว่าเฒ่าจางผู้นี้มีความสุขุมอย่างมาก ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่ส่งให้ไปทำเรื่องนี้อย่างแน่นอน แต่เขากลับโทรมาบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจส่งข้อความเตือนนี้มาเพราะประหม่าจนเผลอกดปุ่มนี่นั้นมันยากที่จะเชื่อจริงๆ
แต่หากจะให้เขาคิดว่าเฒ่าจางผู้นี้กล้าที่จะทรยศเขานั้นเขาก็ไม่มีทางเชื่อเช่นเดียวกัน เพราะเขารู้ดีว่าเขากุมจุดอ่อนของเฒ่าจางผู้นี้เอาไว้
ถึงแม้หัวใจของเขาจะบอกว่ามันน่าจะมีปัญหาแบบสุดๆก็ตามจนไม่อยากจะไปเลยแม้แต่น้อยที่จะไปที่เดิมตามที่นัดกันไว้
“เป็นไปได้ไหมว่าเฒ่าจางจะถูกขู่อยู่ ถ้ายังนั้นก็หมายความว่าเขาไม่ได้ทรยศแต่โดนข่มขู่ให้ทำตามอย่างช่วยไม่ได้ เมื่ออย่างตอนที่เกิดเรื่องแปลกๆกับนายน้อยตระกูลจ้าวที่ต้องกระโดดลงมาฆ่าตัวตายในตอนนั้น
เหตุการณ์นั้นฉันเองก็ยังไม่เชื่อเลยว่าคนอย่างจ้าวฉือหลงจะกล้าฆ่าตัวตายแบบนั้นไปได้ ลูกพี่หยวนเองก็กำชับฉันไว้ซะด้วยสิว่าไม่ให้ออกหน้าเอง….ฉันคงจะไปที่นั่นไม่ได้แล้วสินะ…” หลังจากคิดไปได้สักพัก ชายหนุ่มคนนั้นก็ได้ทำการตั้งค่าบางอย่างในโทรศัพท์ของตัวเองก่อนที่จะวางไว้บนโต๊ะเฉยๆ หลังจากนั้นเขาก็อาจไปจากห้อง เดินลงบันไดและขับรถออกไป
เพียงไม่นาน เงาสายหนึ่งก็ได้ปรากฎในห้องที่ชายหนุ่มพึ่งจะจากออกไป หลัวฉิหลินและซูฉือได้แกะรอยโทรศัพท์และพบว่าเป็นที่นี่
เขาจึงได้มาที่นี่ในทันที เมื่อพบโทรศัพท์ หลัวฉือหลินได้เปิดโทรศัพท์ขึ้นดูจนแน่ใจว่าเป็นของคนที่อยู่เบื้องหลังจากร่องรอยที่หลงเหลือของข้อความและเบอร์โทรที่บันทึกไว้
และไม่นานเขาก็พบว่าโทรศัพท์ได้ส่งข้อความอัตโนมัติเอาไว้ มันเป็นข้อความที่แจ้งเตือนไปยังอีกเบอร์หนึ่งเมื่อมีคนเปิดโทรศัพท์เครื่องนี้
“ไม่ดีแล้ว” หลัวฉือหลินที่เห็นก็รู้ในทันทีว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ได้กลัวว่าจะผิดพลาดจนต้องป้องกันจนถึงที่สุดจริงๆ
เขารีบบอกซูฉือให้ติดตามเครื่องที่รับข้อความนี้ในทันทีพร้อมทั้งไปบอกซูจิ้งถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มขับรถออกมาได้ไกลพอสมควรแล้วก็ได้เปิดข้อความออกดู เพียงเมื่อเห็นข้อความนี้เขาเองถึงกับปากสั่นในทันที
สถานที่ที่เขาพึ่งออกมานี้มีเพียงเขาคนเดียวที่เข้าไปได้ มันจึงไม่มีทางเลยที่คนของเขาหรือเพื่อนคนใดจะไปเปิดโทรศัพท์เครื่องนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่นี่ เพียงเขาออกมาไม่นาน โทรศัพท์กับส่งข้อความมาบอกว่ามีคนเปิดเครื่อง นี่จะหมายความเป็นอื่นได้ยังไงนอกจากว่ามีคนกำลังติดตามเขา
หัวใจของชายหนุ่มคนนี้รู้สึกบีบรัดในทันที พร้อมกับหัวสมองที่พยายามคิดความเป็นไปได้ต่างๆนาๆว่าคนพวกนี้ทำไมถึงติดตามเขาได้เร็วนักและทำได้แม้กระทั่งรู้ที่อยู่ของเขา
จนรู้สึกตัว ชายหนุ่มคนนี้ก็โยนโทรศัพท์ทิ้งออกไปทางหน้าต่างในทันทีและรีบแวะเข้าปั๊มน้ำมันและแอบหลบออกมา ก่อนที่จะนำโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งโทรหาหยวนหยินหนิง
….
ในห้องพักแห่งหนึ่ง ฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิง กำลังนั่งพูดคุยกัน ฟูฮงซิ่วได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยว่า “หยวนหยินหนิง ที่เว่ยเสี่ยวหยวนตกมาจากตึกนั่นแล้วยังเรื่องของจินเชาหวู่นั่นอีก นายอยู่เบื้องหลังทั้งหมดสินะ ทำอะไรนี่ไม่บอกกันเลยน้า…”
“อย่างพึ่งรีบตื่นเต้นไปนักเลยน่า ฉันยังมีเรื่องอื่นที่น่าตื่นเต้นกว่านี้จะเล่าให้ฟัง” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ลูกพี่หยวนจะไม่ให้พวกเราตื่นเต้นได้ยังไง พูดออกมาแบบนี้ไม่จริงใจกันเลยนี่นา เราร่วมมือกันแล้วนะ อย่างน้อยๆลูกพี่ก็ควรจะบอกกันสักหน่อยว่ากำลังทำอะไรอยู่
พวกเราก็รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นต้องเป็นความลับ แต่เรื่องทั้งสองนี้ทำให้พวกเรานั้นสงสัยจนต้องโทรมาถามนี่แหล่ะ ถึงขนาดนี้แล้วยังคิดจะเก็บไว้เป็นความลับอีกอย่างนั้นเหรอ” ฮัวหยุนชูพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ก็ไม่ใช่ว่าฉันนั้นอยากจะปิดบังพวกนายหรอกนะ แต่ฉันก็เคยบอกไปแล้วนี่นาว่าพวกเรานั้นไม่สามารถเล่นงานซูจิ้งได้ตรงๆ แถมเราต้องหลบเลี่ยงจากการเป็นเป้าสนใจของซูจิ้งอีก
ในช่วงหลายวันมานี้เป็นเพียงการเตรียมการในการจัดการซูจิ้งก็เท่านั้นเองจึงไม่ได้บอกออกไป แถมนายสองคนก็พึ่งที่จะมีเรื่องกับซูจิ้ง ไม่มากก็น้อยซูจิ้งต้องคอยสังเกตพวกนายไว้อยู่แล้ว
หากฉันบอกไปมีหวังหมอนั่นต้องรู้ตัวก่อนแหงๆ บอกตรงๆเลยว่ายิ่งบอกนายสองคนมากเท่าไหร่ พวกเราก็ยิ่งมีอันตรายมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้ถึงเวลาที่ฉันต้องบอกพวกนายแล้วจริงๆ ต่อให้พวกนายไม่ฉันก็จะหาทางเล่าให้พวกนายฟังอยู่ดี” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
หลังจากฟังเหตุผลของหยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชูและฟูหงซิ่วก็ได้มีความรู้สึกที่ดีขึ้นมามากกว่าก่อนหน้านี้ ฮัวหยุนชูถึงได้ถามออกมาว่า
“ว่าแต่ลูกพี่หมายความว่ายังไงที่ว่าถึงเวลาน่ะ”
“พวกสัตว์ประหลาดเกล็ดงูออกมาแล้ว” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“จริงเหรอ” ฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วที่ได้ยินต่างก็มีสายตาที่เปล่งประกาย
“แน่นอน ฉันส่งคนของตัวเองไปติดต่อกับพวกนั้นแล้ว ฉันเชื่อว่าต้องมีข่าวดีในเร็วๆนี้”
หยวนหยินหนิงพยักหน้าและหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ในขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ได้ดั่งขึ้นมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น