Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1068-1069
GGS:บทที่ 1068 สัตว์ประหลาดที่แท้จริง
“ซูจิ้ง ในที่สุดข้าก็ได้เจอแกสักที” จินเชินหวู่ยืนขึ้นพร้อมมองไปยังซูจิ้งด้วยจิตใจอันรุกโฉนกระหายเลือด กล้ามเนื้อของเข้าเต้นล่ำราวจะปริแตกออกมา
“โอ้…ดูเหมือนว่านายจะกระหายที่จะสู้กับฉันเสียจริงนะ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์
“แน่นอนสิวะ” จินเชาหวู่พูดออกมาอย่างเลือดร้อนและเหี้ยมเกรียม
“อืมมมมม ดูเหมือนฉันคงต้องทำให้นายต้องผิดหวังแล้วล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาพลางใช้กระแสจิตของตัวเองตรวจสอบออร่าของชายที่อยู่ตรงหน้า
ดูเหมือนว่าชายคนนี้อยากจะสู้กับเขาจริงๆ ความจริงเขานั้นอยากจะปล่อยผ่านการต่อสู้ครั้งนี้แบบจับใจเพราะเขานั้นคาดได้ว่าชายคนนี้คงเป็นเพียงแค่เหยื่อล่อเท่านั้น ความจริงเขาอยากจะตกปลาใหญ่มากกว่าปลาซิวปลาสร้อยแบบนี้
“ทำไม แกกลัวงั้นรึ” เมื่อจินเชาหวู่พูดออกมาก็ได้หัวเราะดังลั่นสนาม
“เอานะเดี๋ยวนายก็รู้เอง” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย จนทำให้อย่าว่าแต่จินเชาหวู่เลย แม้แต่ฮู่ฮงหยาง ฮู่เฟยหยุน และคนอื่นๆเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคำพูดซูจิ้งหมายถึงสิ่งใด
แต่ตอนนี้คนที่อยู่ข้างซูจิ้งต่างก็กังวล โดยเฉพาะจี้เสี่ยวติงเองที่ติ่นเต้นจนเหงื่อไหลจนเปียกโชกมือของเธอไปหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้ทำให้ภาพของหน้าจอที่กำลังสตรีมอยู่นั้นสั่นไหวเล็กน้อยตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีผลกับภาพที่กำลังสตรีมอยู่เท่าไหร่นัก
ส่วนในห้องสตรีมตอนนี้เหล่าผู้ชมขึ้นไปเกินกว่าหนึ่งล้านคนแล้ว
เหล่าผู้ชมและนักข่าวในตอนนี้ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นกันอย่างขีดสุดจนแสดงออกมาให้เห็นราวกับว่าการประลองครั้งนี้เป็นการประลองยุทธระดับโลกเลยก็ว่าได้
“พร้อมรึยัง” กรรมการถามออกมา
“พร้อมจนไม่รู้จะพร้อมยังไงแล้วโว้ย” จินเชาหวู่พยักหน้าอย่างแข็งขัน
“พร้อม” ซูจิ้งพยักหน้ารับด้วยอารมณ์อันเรียบเฉย
หลังจากได้ยินดังนั้น กรรมการ ได้นำมือของคนทั้งสองมาประสานเพื่อจับมือกัน นี่คือสัญญาณการเริ่มต้นการต่อสู้ในครั้งนี้ ฉากนี้สร้างความประทับใจจนทำให้เหล่าผู้ชมตะโกนกู่ร้องออกมา
จินเชาหวู่ไม่ได้พุ่งเข้าไปหาซูจิ้งแต่อย่างใด ถึงแม้เขาจะรวดเร็วและมีท่วงท่าที่มั่นคงราวกับวัวกระทิงตัวหนึ่ง ทันใดนั้น เขาก็ได้พุ่งเข้าใส่ซูจิ้งด้วยการหมัดคู่ออกไปอย่างรวดเร็วและหนักหน่วงราวกับรถบรรทุกที่กะจะอัดซูจิ้งให้บี้แบนในทีเดียว
เมื่อเห็นฉากนี้ ทั้งฮู่ฮงหยาง ฮู่เฟยหยุน จี้เสี่ยวติง ไคหวู่เฟิง และเหล่าศิษย์สำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินต่างก็อดที่จะกลั้นหายใจไม่ได้
นั่นก็เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าหมัดนี้เพียงหมัดเดียวของจินเชาหวู่นั้น ได้รวบรวมทุกสิ่งของเพลงหมัดวัวคลั่งไว้ทั้งหมด จนก่อให้เกิดกลิ่นอายแห่งวัวคลั่งขึ้นมาได้จริงๆ
พวกเขานั้นไม่เคยเห็นฉากแบบนี้เลยแม้แต่กับตอนที่ซูจิ้งและเสี่ยวไจ๋ใช้เพลงหมัดนี้ในการต่อสู้ อีกทั้งด้วร่างกายอันแข็งแกร่งผิดมนุษย์มนาของจินเชาหวู่ที่เหนือล้ำกว่าเสี่ยวไจ๋ถึงสามส่วนนี้ทำให้มันดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร
แต่ต่อหน้าหมัดอันแข็งแกร่งและทรงพลังขนาดนี้ ซูจิ้งไม่ได้ท่าทีที่แตกตื่นแต่อย่างใด เขาเพียงก้าวไปข้างหน้าเพียงขึ้นก้าว และใช้เพลงหมัดหนึ่งในกระบวนท่าที่สามของเพลงหมัดวัวคลั่งออกไปซึ่งก็คือหมัดคู่เหมือนกัน
เพียงชั่วขณะนี้ทำให้ได้เห็นถึงความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด หากหมัดที่จินเชาหวู่ใช้นั้นทำให้เห็นเป็นวัวคลั่งจริง กับซูจิ้งเองก็คงเปรียบได้ดั่งราชาปีศาจวัวไม่มีผิด
โดยเสียงอันดังก้อง หมัดคู่ของซูจิ้งได้กระแทกเข้าไปยังกลางอกของจินเชาหวู่จนกล้ามเนื้อทรวงอกยู่เป็นรอยหมัดราวกับอกปูที่โดนราชาปีศาจวัวเหยียบลงไปเบาๆ
และยังไม่ทันจะสิ้นเสียงการปะทะดี ก็บังเกิดอีกเสียงจากด้านหลังสองเสียงไล่กันอย่างมาก
นั่นคือเสียงของจินเชาหวู่ที่ลอยไปอัดจมลงไปในกำแพงสนามประลองด้านหลังที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตรจนทะลุออกไปนอกสนามประลองสนามอย่างหนักหน่วง และจมไปกับกำแพงของหอประลองอย่างรุนแรง ในทันทีที่จินเชาหวู่พ่นเลือดออกมาคำโต เขาก็ล่วงลงจากกำแพง
กระดูกมือของจินเชาหวู่ทั้งสองข้างที่ต่อยออกไปนั้นได้แตกละเอียดยิบลามไปจนเกือบทั้งแขนจนเห็นเนื้อภายในและเลือดที่ไหลออกมาอย่างไม่หยุด บอกได้เลยว่าชายคนนี้ได้สูญเสียแขนไปแล้วอย่างถาวร
กระดูกสันหลังของชายคนนี้เกิดรอยร้าวแทบจะทุกข้อจนส่งต่อความเจ็บปวดออกมาอย่างไม่ขาดสาย อวัยวะภายในทั้งห้าบอบช้ำจนไม่เหลือชิ้นเดียว เรียกได้เลยว่าทั่วทั้งร่างไม่เหลือร่องรอยแห่งความแข็งแกร่งอันน่าเกรงขามก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้จะตกอยู่ในสภาพเจ็บปวดจนตัวสั่นเทาเช่นนี้ แต่จินเชินหวู่ก็ยังพยายามจะยืนขึ้นมาและจ้องมองไปยังซูจิ้งที่ไม่ได้มีแม้แต่รอยขีดข่วนแม้แต่น้อยอยู่กลางสนามประลอง ดวงตาของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นตกใจอย่างที่ไม่เคยเป็นไม่ก่อน ราวกับไม่เชื่อว่าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นทั้งๆที่โดนไปกับตัวเอง
เสียงตะโกนเชียร์อันดังก้องของผู้ชมที่ดั่งลั่นเมื่อสักครู่นี้ได้เงียบหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ฮู่ฮงหยาง ฮู่เฟยหยุน ไคหวูเฟิง จี้เสี่ยวติง วู่หลงและคนอื่นๆได้แต่มองไปในอากาศที่อยู่ตรงซูจิ้งที่ว่างเปล่าอย่างโง่งม เช่นเดียวกับเหล่าผู้ชมและนักข่าวที่ในตอนนี้ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน
เหล่านักข่าวที่กระหน่ำถ่ายภาพไปก่อนหน้านี้ตกตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้นจนลืมที่จะกดชัตเตอร์ถ่ายภาพต่อ การต่อสู้ที่ทุกคนต่างก็คาดหวังไปต่างๆนานานั้น กลับจบลงในทันทีในสภาพที่ไม่มีใครคาดคิด
หลังจากที่บรรยากาศทั้งในหอประลองและห้องสตรีมเงียบสนิทไปนานสองนาน เหล่าผู้ชมในห้องสตรีมของซูจิ้งเป็นพวกแรกที่เคลื่อนไหวออกมา และเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
“พระเจ้าเถอะ ฉันเห็นอะไรกันเนี่ย”
“จินเชาหวู่ตกตายด้วยมือซูจิ้งในเสี้ยววิ เรื่องแบบนี้เป็นไปได้ด้วยเหรอ”
“ท่าเดียว ซูจิ้งลงมือแค่ท่าเดียวเองนะ”
“นักสู้ที่ชื่อจินเชาหวู่นั่นสามารถปะทะกับคนกว่าห้าสิบคนด้วยตัวคนเดียวได้เลยนะ หมัดทั้งสองข้างนั่นสามารถต่อยกำแพงจนทะลุได้อย่างสบายได้ในหมัดเดียว….แล้ว…ทำไม…เขาถึงได้โดนจัดการในครั้งเดียวล่ะ”
“ท่วงท่าที่ใช้ก็เหมือนกัน แต่ทำไมอานุภาพถึงห่างกันขนาดนี้ล่ะ”
“ฉันคิดมาตลอดว่าการโจมตีของจินเชาหวู่นั่นทรงพลังจนไม่มีใครจะหยุดได้อีกแล้ว แม้แต่ซูจิ้งฉันก็คิดว่าเขายังต้องระวัง ใครจะไปคิดว่าเขาจะไร้เทียมทานแบบนี้”
“ฉันก็หลงนึกไปว่าเสี่ยวไจ๋นั้นเกือบจะเทียบเคียงซูจิ้งได้แล้วทำให้นึกไปว่าครั้งนี้เป็นศึกอันยากลำบากของซูจิ้ง เพราะเสี่ยวไจ๋ก็ยังพ่ายแพ้หมดรูป ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าดันคิดไปเองคนเดียว”
“ความแข็งแกร่งของซูจิ้งนั้นลึกสุดหยั่งจริงๆ เขาแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่เนี่ย”
“สัตว์ประหลาด ไอ้หมอนี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ”
ในขณะที่ผู้คนในช่องสตรีมต่างก็พิมพ์ความคิดเห็นของตัวเองจนจะอ่านกันไม่ทันนั้น เหล่าผู้ชมข้างสนามประลองกลับรู้สึกสับสนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“นี่….ไม่ใช่ว่า…การประลองยังไม่เริ่มใช่รึเปล่า”
“ยังไม่เริ่มกะผีน่ะสิ มันจบแล้วโว้ยยยย…”
“มันยังเริ่มไปไม่ถึงนาทีเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมจบแล้วล่ะ ล้อกันเล่นรึเปล่า”
“ห้ะ ล้อเล่น ใครจะไปล้อเล่นกัน มันจบแล้วจริงๆ ซูจิ้งพิฆาตจินเชาหวู่เพียงท่าเดียว แหกตาดูตรงนู้นนู่น จินเชาหวู่ลงไปหมอบราบคาบอยู่บนพื้นด้านหลังจนลุกไม่ขึ้นราวกับปลาเค็มตากแห้งไม่มีผิด เห็นมือของเขารึเปล่า หมอนั่นเสียมือไปแล้วน่ะ แล้วยังว่าล้อเล่นอีกเรอะ”
“ถึงแม้จะบอกว่าการประลองนี้เป็นการประลองเป็นตาย แต่นี่มันฆ่าให้ตายทั้งเป็นเลยไม่ใช่เหรอ”
แฟนคลับของซูจิ้งในตอนนี้ต่างกู่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นจนลั่นสนามพลางชูนิ้วรูปตัววีกันไปทั่วทุกคน ถึงแม้พวกเขาเองต่างก็เชื่อมั่นในตัวซูจิ้งว่ายังไงก็ชนะ แต่ไม่มีใครคิดว่าจะชนะแบบเด็ดขาดในทีเดียวแบบนี้ นี่ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่
“เป็น…ไปได้ยังไงกัน…” โอฉิงซงที่กำลังดูการสตรีมอยู่ทำได้เพียงพูดออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาแต่ก็ยังจ้องช่องสตรีมชนิดที่ตาไม่กระพริบ
ศิลปการต่อสู้ราชวงศ์จินที่แสดงออกมาก่อนหน้านี้นั้นแสดงให้เห็นว่าเขานั้นสามารถโค่นล้มผู้คนกว่าสี่สิบถึงห้าสิบคนได้ด้วยตัวคนเดียว
ความจริงแล้วนี่สมควรที่เขานั้นจะเป็นศัตรูที่สมควรที่จะโค่นล้มซูจิ้งได้อย่างง่ายดายไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม….
“ชนะ….นี่ก็สามารถเรียกว่าชนะได้ด้วยเหรอ” เมื่อหวังจ้าวและหวังซือหยาได้ทราบข่าวนี้ต่างก็มองข่าวนี้อย่างโง่งมไปพักใหญ่
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงรู้สึกถึงความกังวลที่ทั้งสองต่างก็รู้สึกก่อนหน้านี้ช่างไร้สาระจนน่าอับอาย
“ลูกพี่หยวนครับ การประลองจบ…เอ่อจบลงแล้วครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งได้วิ่งเข้ามาในห้องสำนักงานแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“หืมมมม นี่เพิ่งจะเริ่มไม่ใช่เหรอ ไม่จบเร็วไปหน่อยรึไงกัน แล้วไง จินเชาหวู่ชนะหรือแพ้” หยวนหยินหนิงที่ได้ยินว่าการต่อสู้จับลงแล้วก็ถามออกมาด้วยท่าทีคิ้วขมวด
“แพ้ครับ เป็นการแพ้อย่างราบคาบโดยซูจิ้งด้วยท่าเดียว มือของหมอนั่นแหลกเลอะไม่มีชิ้นดี” ชายหนุ่มที่เข้ามารายงานในตอนนี้รายงานออกมาด้วยเหงื่อที่ชุ่มไปทั้งหน้าผาก
นั่นก็เพราะเขาเองได้เห็นฉากที่ซูจิ้งพิฆาตจินเชาหวู่กับตาตัวเองจนเขาเริ่มรู้สึกได้แล้วว่าซูจิ้งช่างน่าสะพรึงกลัวจริงๆ
“เป็นไปได้ยังไงกัน” หยวนหยินหนิงได้ลุกพรวดออกมาจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วจนเก้าอี้หงายหลังล้มไปกับพื้น
ใบหน้าของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความตกตะลึง เขานั้นได้สืบสวนมาอย่างดีเกี่ยวกับซูจิ้งก่อนหน้านี้มาแล้ว
เขาเองก็รู้ดีว่าซูจิ้งนั้นแข็งแกร่งและทรงพลังอย่างมากจนยากจะทำอะไรได้
แต่เมื่อตอนที่เขาเห็นศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินนั้น เขากลับรู้สึกว่าวิชายุทธของหมอนั่นทรงพลังมากกว่าซูจิ้งจึงได้ใช้เป็นตัวหมากเพื่อจัดการซูจิ้งเพราะไม่คิดว่าซูจิ้งจะชนะชายคนนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าซูจิ้งจะชนะได้ง่ายๆ
“ลูกพี่หยวน เราจะเอายังไงต่อดีครับ” ชายหนุ่มถามออกมาด้วยท่าทีล้อนลน
หยวนหยินหนิงที่ตอนนี้ใบหน้าไม่ได้ต่างจากภูตผีแม้แต่น้อยก็ได้นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
แล้วเขาก็ได้พูดออกมาว่า “ไม่เป็นไร ต้องไม่ลืมว่าที่เราส่งหมอนั่นออกไปนั้น เป้าหมายไม่ใช่การกำจัดซูจิ้ง แต่เป็นการสร้างร่องรอยที่จะนำไปสู่องค์กรเกล็ดงู(กองโจรเกล็ดงู)ได้ ต่อให้จินเชาหวู่แพ้อย่างคาดไม่ถึงก็ไม่เป็นไร หมอนั่นยังถือว่าอยู่ในแผนของพวกเราอยู่ดี”
“….ก็จริงครับ” ชายหนุ่มได้พยักหน้ารับอย่างจริงจัง อย่างน้อยในตอนนี้พวกเขาก็รู้แล้วว่าต้องระวังซูจิ้งมากกว่านี้แบบสุดๆ หากว่าพวกเขายังกล้าที่จะประเมินซูจิ้งต่ำไปแบบก่อนหน้านี้ล่ะก็ คนที่จะเกิดหายนะเป็นรายต่อไปก็คือพวกเขานั่นเอง
GGS:บทที่ 1069 เสริมการป้องกัน
ณ สำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินยังคงมีบรรยากาศอันคุกรุ่น สมาชิกของสำนักสองคนได้รีบเข้าไปตรวจสอบและปฐมพยาบาลจินเชาหวู่ในทันทีที่ได้สติ
สิ่งที่ทั้งสองเห็นทำให้ตกตะลึงจนทำอะไม่ถูก นั่นก็เพราะมือทั้งสองของจินเชาหวู่นั้นแหลกละเอียดยิบไม่มีชินดีจนทำให้มือของเจ้าสำนักของทำสองนุ่มนิ่มราวกับยางไปแล้ว
อย่าว่ามือของจินเชาหวู่เลย แม้แต่กำแพงที่ไม่ได้โดนต่อยตรงๆก็ยังพังเหลือชิ้นดีแบบนี้ นี่ซูจิ้งแข็งแกร่งขนาดไหนกันถึงสามารถพิฆาตเจ้าสำนักของเขาได้ในท่าเดียวแบบนี้กัน
ฮู่ฮงหยาง ฮู่เฟยหยุน จี้เสี่ยวติง ไคหวู่เฟิง หวู่หลง จินชิซู จั่วเหยียน คิมูระจิน และคนอื่นๆ ตอนนี้ล้วนแล้วยังไม่ได้สติ พวกเขานั้นยากที่จะยอมรับสิ่งที่พึ่งจะเกิดตรงหน้าไปได้
พวกเขานั้นแม้จะรู้ดีว่าซูจิ้งนั้นแข็งแกร่งมาก แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งมากมายขนาดนี้
เหล่าผู้ชมในสนามที่ได้แต่จับจ้องไปที่ซูจิ้งที่ตอนนี้ไม่ได้มีท่าทีปิติยินดีหรือเหนื่อยหน่ายแต่อย่างใด เขายังสงบนิ่งราวกับสัตว์ประหลาดที่ไม่ตื่นนอนดี แต่กับบางคนเขาเปรียบได้ดั่งพระเจ้าที่แค่ชี้นิ้วมนุษย์ก็ดับดิ้น แต่ที่แน่ๆ ในตอนนี้ไม่มีใครเห็นซูจิ้งเป็นมนุษย์กันเลยสักคน
ซูจิ้งได้มองไปรอบๆจนทั่วแล้วก็ได้พูดออกมาด้วยเสียงอันก้องกังวาลว่า “ก็อย่างที่เห็น วันนี้ฉันมาที่นี่เพื่อประลอง ใครก็ตามที่เห็นว่าผลการประลองนี้ไม่ถูกต้องหรือเหมาะสมจงก้าวขึ้นมา ฉันยินดีที่จับรับคำท้า หรือว่าศิษย์สำนักฯราชวงศ์จินเจ้าเข้ามาพร้อมกันทั้งสำนักเลยก็ย่อมได้”
ยังไรก็ตาม แม้ซูจิ้งจะพูดจบจนนิ่งรออยู่นาน แต่ก็ไม่มีใครอวดดีหรือกล้าที่จะแข็งขืนไม่ยอมรับผลการประลองนี้แต่อย่างใด
เหล่าผู้คนที่มีปัญหากับซูจิ้งก่อนหน้านี้อย่างจินชิซู คิมูระจิน จั่วเยียน แม้แต่สมาชิกคนอื่นๆเอง ต่างก็ต้องก้าวถอยหลังในทันทีที่สบตากับซูจิ้ง พวกเขาจะเอาอะไรไปสู้ได้กัน
ต่อให้ศิษย์ทั้งสำนักเข้าไปพร้อมกันก็ไม่มีทางชนะได้เลย เพราะสุดยอดสัตว์ประหลาดของสำนักฯยังถูกจัดการได้เพียงเสี้ยววิ
ใครที่เห็นฉากนี้กับตาตัวเองก็ต้องรู้ดีว่าอยู่แล้วว่าซูจิ้งสามารถจัดการพวกเขาได้ไม่ต่างไปจากการเด็ดหัวผักกาด
เมื่อไม่เห็นมาใครจะกล้าเข้ามา ซูจิ้งจึงได้พูดต่อว่า
“ในเมื่อไม่มีใครคิดจะเข้ามาแบบนี้งั้นฉันขอพูดต่อเลยแล้วกัน จินเชาหวู่คนนี้บอกว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดเพลงหมัดวัวคลั่งที่แท้จริง และเป็นฉันเป็นเพียงคนที่ไปแอบลักเรียนมา
ฉันบอกได้เลยว่าไอ้เวรตะไลนี่มันเลวชาติยิ่งกว่าที่ทุกคนคิด ไม่เพียงจินเชาหวู่คนนี้จะเข้าไปเป็นศิษย์ของสำนักศิลปะการต่อสู้สับปะยุทธ จนได้รับโอกาสได้เรียนรู้ท่วงท่าของเพลงหมัดวัวคลั่งรูปแบบที่สามที่ฉันมอบให้ท่านเจ้าสำนักไว้
แต่เมื่อฝึกสำเร็จมันผู้นี้กลับอวดอ้างตัวเองว่าเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริง อีกทั้งยังตัดขาดความเป็นศิษย์อาจารย์จากเจ้าสำนักฯสับปะยุทธ
ฉันบอกเลยนะว่า อย่าว่าแต่มันผู้นี้จะเป็นศิษย์หลานของฉันเลย ต่อให้เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ขนาดไหนก็ตาม การทำตัวเช่นนี้มีค่าต่ำกว่าขยะด้วยซ้ำ
สำหรับวิดีโอที่ว่า ฉันจะนำมันเปิดเผยออกมาในภายหลัง”
ความจริงซูจิ้งโพสต์วิดีโอที่ว่าออกมาก่อนการประลองก็ได้ด้วยซ้ำ แต่เขาก็รู้ดีว่าหากเขาทำเช่นนั้นก็คงไม่มีใครเชื่อแม้แต่น้อย ดีไม่ดีจะเห็นว่าเป็นของปลอมที่พึ่งจะทำออกมาด้วยซ้ำ
แต่ในตอนนี้ ไม่มีใครคิดแล้วว่าจินเชาหวู่คนนี้จะเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงอีกต่อไป ใครจริงใครปลอมนั้นก็ประจักษ์ต่อหน้าสายตาทุกคนไปแล้ว
จินเชาหวู่ในตอนนี้มองซูจิ้งด้วยสายตาที่แดงกล่ำและกัดฟันแน่น เขาพูดอะไรไม่ได้อีกต่อไป เขารู้ดีแล้วว่าต่อให้แก้ตัวในตอนนี้ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว การต่อสู้ที่เขารอคอยมาอย่างยาวนานกลับจบลงทั้งที่เขานั้นยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ เขารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาอยู่ห่างซูจิ้งออกมาไกลแล้ว
ซูจิ้งได้พูดต่อว่า “ฉันเกรงว่าที่ชายคนนี้ที่สามารถแข็งแกร่งได้จนถึงขนาดนี้นั้น จะไม่เพียงเพราะความอัจฉริยะในการต่อสู้ของหมอนี่กับเพลงหมัดที่สุดแสนจะวิเศษอย่างเพลงหมัดวัวคลั่งเท่านั้น
ฉันเชื่อว่าที่ร่างกายของหมอนี่ทรงพลังได้ขนาดนี้น่าจะมาจากอย่างอื่นด้วย เป็นไปได้ว่า…แกกินข้าวสีน้ำเงินของฉันมาใช่รึเปล่า” หลังจากพูดจบ ซูจิ้งก็ได้ปล่อยกระแสจิตเข้าไปควบคุมจิตใจของจินเชาหวู่ในทันที
และในนาทีนั้น จินเชาหวู่ก็ได้โดนสะกดจิตทันทีและพูดความจริงออกมาอย่างว่าง่าย “ชะ…ใช่ ผมกินข้าวสีน้ำเงินเกรดธรรมดา…ในเกือบทุกมื้อ… และได้กินข้าวสีน้ำเงินเกรดคัดพิเศษ….ในบางมื้อ…
ผลจากการกินข้าวนั่น… รวมเข้ากับความพิเศษ….ของเพลงหมัดวัวคลั่ง… ทำให้ร่างกาย….ของผม…พัฒนาขึ้น…ตั้งแต่เส้นขน…ยันกระดูกภายใน…..”
เมื่อสิ้นเสียงคำสารภาพ ทำให้เหล่าผู้ชมในสนามต่างก็นิ่งอึ้งไป ก่อนที่จะหันไปคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เป็นอย่างนี้นี่เอง”
“ฉันได้ยินมาว่าข้าวสีน้ำเงินนี่มีผลดีต่อร่างกายก็จริง แต่ไม่คิดว่าจะมีผลดีขนาดนี้”
“แต่ก็มีคนรวยอีกตั้งหลายคนที่ได้กินข้าวสีน้ำเงินอยู่นี่นา ไม่เห็นพวกนั้นจะดูทรงพลังแบบนี้บ้างเลย”
ฮู่ฮองหยาง ฮู่เฟยหยุน ไคหวู่เฟิง จี้เสี่ยวติง และคนอื่นๆที่ได้ยินต่างก็เชื่อในทันทีว่าเป็นเพราะข้าวสีน้ำเงินจริงๆ
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูจิ้งก็ได้พูดต่อว่า “เพลงหมัดวัวคลั่งนั้นเป็นเพลงหมัดที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย ส่วนข้าวสีน้ำเงินนั้นเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางสารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างเต็มเปลี่ยมอีกทั้งมีผลดีต่อร่างกายด้วยเช่นเดียวกัน
ด้วยการหลอมรวมความวิเศษของทั้งสองสิ่งนี้เข้าด้วยกันจะทำให้เกิดแนวทางใหม่ จะให้บอกแบบเข้าใจง่ายๆก็คือ ใครก็ตามที่ได้ฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งไปด้วยและได้กินข้าวสีน้ำเงินไปด้วย จะทำให้มีระดับก้าวเข้าไปถึงขั้นของจินเชาหวู่”
เพียงสิ้นคำอธิบายในคำพูดของซูจิ้งในครั้งนี้ เหล่าผู้ชมการประลองทั้งข้างสนามประลองและในห้องสตรีมต่างก็ส่งเสียวเกรียวกราวกันออกมา
จิตใจของพวกเขาในตอนนี้ต่างก็อยู่กันไม่สุข พวกเขาอดไม่ได้ที่หัวใจจะเต้นแรงและหายใจอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกผู้ชาย
เพราะยังไงซะกับลูกผู้ชายแล้ว ในชีวิตนี้ก็คงต้องมีสักครั้งที่จะคิดฝันไปในเส้นทางการต่อสู้ แต่มันช่างห่างไกลจนหลายๆคนเลือกที่จะไม่เดินเส้นทางสายนี้
การปรากฎตัวของเพลงหมัดวัวคลั่งในตอนนั้นเองก็ทำให้หลายๆคนหันกลับมาสนใจศิลปะการต่อสู้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังยากเกินกว่าที่จะทำให้หลายๆคนกลับมาเห็นความฝันสมัยวัยเยาว์ของพวกเขาไปได้
ทุกคนที่คิดแบบนี้ต่างก็คิดว่าร่างกายของตัวเองนั้นไม่เหมาะสมและต้องฟิตซ้อมร่างกายให้มากพอถึงจะพอต่อสู้จริงๆได้ แต่ยังไงซะก็ไม่มีทางเป็นสุดยอดปรมาจารย์ได้อย่างแน่นอน เพราะในที่สุดแล้วใช่ว่าทุกคนจะเป็นอัจฉริยะแบบกำเนิดอย่างซูจิ้ง
แต่มาตอนนี้ ซูจิ้งกลับออกมาบอกกลับปากเองว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่ใช่สิ่งที่ได้มาแต่กำเนิดเพียงอย่างเดียว ตราบใดที่ยังไม่ละทิ้งความฝัน ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และกินข้าวสีน้ำเงินอยู่เรื่อยๆ พวกเขาก็มีโอกาสไปถึงในระดับจินเชาหวู่ได้
ต่อให้ชายคนนี้จะพ่ายแพ้ต่อซูจิ้ง แต่เขาก็ยังแกร่งเกินกว่าใครหลายๆคนจนน่าอิจฉา ริษยา และเกลียดชัง
“นี่ก็หมายความว่าตราบใดที่ฉันยังคงฝึกฝนอยู่อย่างต่อเนื่อง ฉันก็ยังมีโอกาสกลายเป็นปรมาจารย์แบบจินเชาหวู่สินะ”
“อา…….นับจากพรุ่งนี้ไปฉันจะฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งให้หนักกว่าเดิมสองเท่าเลย”
“แต่ฉันไม่มีเงินไปซื้อข้าวสีน้ำเงินกินนี่สิ”
“อืมมมมมมมมม ฉันก็ไม่มีเงินไปซื้อกินเหมือนกัน มันแพงมากเลยนะ มีแต่พวกคนรวยเท่นั้นที่ซื้อกินกัน”
“……ทำไมฉันถึงคิดว่าซูจิ้งหาโอกาสโฆษณาผลิตภัณฑ์ของตัวเองกันหว่า….”
“แล้วไง ฉันเองก็คิดไม่ต่างจากนายหรอกน่า แต่ต่อให้รู้ว่าเขาทำแบบนั้นแต่ฉันก็ยังอดจะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดี นั่นก็เพราะหากฉันแกร่งได้เทียบเท่ากับจินเชาหวู่ล่ะก็ ต่อให้เสียเงินไปมากมายมันก็คุ้มค่า”
หลายๆคนในตอนนี้ต่างก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าซูจิ้งนั้นอาศัยเรื่องที่สำนักฯราชวงศ์จินก่อเรื่องนี้ในการโฆษณาผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่างเพลงหมัดวัวคลั่งและข้าวสีน้ำเงิน
ในที่พักแห่งหนึ่ง ผู้อาวุโสหวู่ที่กำลังดูการสตรีมของซูจิ้งอยู่ในห้อง อยู่ๆก็ได้พูดขึ้นมาว่า “เฒ่าโจว รีบไปซื้อข้าวสีน้ำเงินแบบเกรดธรรมดา500ชั่งกับเกรดคัดพิเศษอีก 30 ชั่งให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ เร็วๆเข้า”
ผู้อาวุโสหวู่นั้นรู้ซึ้งถึงความวิเศษของข้าวสีน้ำเงินนี้มานานแล้วว่ามีผลดีต่อร่างกาย แต่หลังจากเกิดเรื่องของจินเชาหวู่นี้เขาบอกได้เลยว่าทุกคนต่างก็รู้ซึ้งในเรื่องนี้ดีไปทั่วแล้ว
นั่นก็เพราะยิ่งคุณมีเงินมากแค่ไหน คนๆนั้นจะยิ่งรู้คุณค่าของสุขภาพของร่างกายตัวเองดีมากขึ้นเท่านั้น นั่นก็เพราะไม่ว่าคุณจะมีเงินมากมายขนดไหนแต่หากไม่มีร่างกายที่ดีพอจะอยู่สนุกกับการใช้เงินล่ะก็ มีไปก็เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการกินข้าวสีน้ำเงินนี้สามารถเรียกได้เลยว่ายกระดับร่างกายของมนุษย์ไปได้เลย และนี่จะทำให้คนทั้งประเทศไล่เรียงไปจนถึงทั้งโลกมีร่างกายที่ดีในอีกไม่กี่ปีอย่างแน่นอน
นอกซะจากว่าจะลาโลกไปก่อนล่ะนะ เขานั้นจะไม่ยอมให้ลูกหลานของเขาแซงหน้าไปอย่งแน่นอน
ขณะเดียวกัน ทั้งถังฮ่าว อันจือฮ่าว และคนรวยคนอื่นๆที่กินข้าวสีน้ำเงินอยู่ก่อนแล้วต่างก็รีบกักตุนกันในทีนทีที่ได้ยินข่าวนี้
ณ สำนักฯราชวงศ์จิน ซูจิ้งได้พูดประโยคสุดท้ายว่า “สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ฉันเองเป็นผู้คิดค้นเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ขึ้นมา หากมีใครไม่เห็นด้วยก็ก้าวขึ้นมา หรือจะขอท้าประลองกับฉันเมื่อไหร่ก็ได้
แล้วก็ หากไม่ได้รับการอนุญาตจากฉัน ห้ามผู้ใดเปิดสำนักในการเรียนรู้หรือฝึกสอนเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ หากมีใครคิดจะทำ ฉันก็พร้อมที่จะไปเหยียบให้แหลกลาญ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ซูจิ้งก็ได้กระทืบเท้าขวาของตัวเองจนบังเกิดเสียงดังลั่น พื้นของเวทีประลองได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆราวกับใยแมงมุม พร้อมกับร่างกายของซูจิ้งที่ทะยานขึ้นฟ้า และร่วงลงจอดอยู่ข้างสนามประลองอย่างนิ่มนวล เพียงฉากนี้ ก็ทำให้บรรยากาศในลานประลองกลับมานิ่งสนิทอีกครั้ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น