Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1058-1065
GGS:บทที่ 1058 พืชวิเศษ
หลังจากเอี้ยป๋อและโจวซือเซียนจากไป ซูจิ้งก็ยังคงศึกษาสรรพสัตว์และต้นไม้ที่เขาได้มาต่อ
ความจริงแล้วเขาเองก็ได้ศึกษาสรรพสัตว์ที่ส่งไปจัดแสดงที่สวนสัตว์จองหยุนและพืชพันธุ์ต่างๆที่ให้เอี้ยป๋อและโจวซือเซียนได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่พอพบว่าพวกมันไม่ได้มีการใช้งานที่พิเศษใดๆเป็นเพียงสายพันธุ์หายากและสาบสูญบนโลกเท่านั้นเขาจึงไม่อิดออดที่จะมอบพวกมันให้สายตาชาวโลกได้ยลโฉม
สำหรับพืชพรรณและสรรพสัตว์ที่เขาไม่ได้มอบให้นั้นแน่นอนว่าพวกมันไม่มีอยู่บนโลกใบนี้เขาจึงไม่ยินดีที่จะปล่อยพวกมันไป
โดยเฉพาะเขานั้นยังไม่รู้ว่าพวกมันมีสรรพคุณพิเศษอะไรรึเปล่าเพราะว่าเมื่อมันไม่มีในโลกจึงหาข้อมูลอ้างอิงไม่ได้ และไม่รู้ว่าหากปล่อยให้ชาวโลกได้รู้แต่ดันมีคุณสมบัติพิเศษไปล่ะก็เขาย่อมไม่ยินดี ของอย่างนี้ยังไงซะเขาก็ต้องเป็นคนแรกที่รู้ก่อนใคร
ซูจิ้งยังคงตั้งความหวังไว้กับสรรพสัตว์และพืชพรรณเหล่านี้อยู่พอสมควร เพราะยังไงซะพวกมันก็มาจากห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทร
เขาได้เริ่มจากการศึกษาหนูสองสามตัวโดยปล่อยพวกมันออกมาจากถุงกักอสูรเพื่อที่จะในการทดลองกับสัตว์เหล่านี้
“นกพวกนี้ยิ่งมาก็ยิ่งรู้สึกพวกมันน่ามหัศจรรย์จริงๆ แต่พวกมันนั้นสมควรจะเป็นสัตว์ธรรมดาเท่านั้น แต่จะฆ่ามันก็กระไรอยู่ ปล่อยมันไว้อย่างนี้ก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาในขณะที่กำลังดูนกคู่แฝดสักพัก
พวกมันนั้นไม่สามารถไปไหนได้เลยหากว่าพวกมันต้องแยกจากกันไป แต่พวกมันเองก็ดูจะบินไม่สะดวกเหมือนกันหากต้องบินคู่กันไป พวกมันก็เปรียบได้ดั่งคู่รักสามีภรรยาที่ประคับประคองชีวิตคู่ไปด้วยกัน
ซูจิ้งได้ละความสนใจจากนกคู่แฝดและไปตรวจสอบสัตว์และพืชชนิดอื่นต่อ ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ลองนำพวกมันบางส่วนไปทำเป็นอาหารให้หนูกินดูแล้ว
ด้วยการที่ในครั้งนี้มีพืชพันธุ์ของสัตว์และพืชมากมายทำให้เขานั้นต้องใช้หนูมากพอสมควร โดยตอนนี้เขามีหนูที่ใช้ทดลองไม่ต่ำกว่าร้อยตัวแล้ว
นอกจากนี้ ซูจิ้งยังได้นำหนูที่ปล่อยออกมาเตรียมไว้ก่อนหน้านี้มาเตรียมในการทดสอบขั้นต่อไป ตัวอย่างเช่นการทำให้บาดเจ็บหนัก ตัดชิ้นส่วนทิ้ง ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ทำให้มันมีปัญหาทางสายตา ทางหู และอาการอย่างอื่นอีก
และเขาก็ให้พวกมันได้กินอาหารที่เขาเตรียมไว้ให้จากพืชและสัตว์ที่พบเจอ ด้วยวิธีการนี้จะทำให้เขานั้นเข้าใจสรรพคุณของสัตว์และพืชเหล่านี้ได้อย่างไม่ตกหล่นและยังประหยัดเวลาอย่างมาก
หนึ่งวันผ่านไป ซูจิ้งก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง
เขาได้เห็นหนูจำนวนหนึ่งเอาตัวไปแนบชิดติดผนังที่กักตัวพวกมันไว้ มีไม่กี่ตัวเท่านั้นที่สามารถหลบหลีกและเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วราวกับว่าพวกมันนั้นมีสัญชาตญาณดีกว่าหนูตัวอื่น
ตอนแรกซูจิ้งเองก็คิดว่าพวกมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่พอสังเกตดูก็พบว่าพวกมันล้วนแล้วแต่เป็นหนูที่กินตัวอย่างเดียวกัน
เมื่อเห็นดังนั้น ซูจิ้งจึงคิดจะทดลองเพิ่มเติม แต่ทันทีที่มันเห็นเขา เขาก็เห็นถึงความแตกต่างในทันที นั่นก็เพราะหนูกลุ่มนั้นตอบสนองต่อเขาและวิ่งหนีออกไปในทันที ในขณะที่หนูตัวอื่นๆเองยังไม่รู้ถึงการมีตัวตนของเขาด้วยซ้ำ
“เมื่อกี้ฉันว่าฉันไม่ได้ส่งเสียงอะไรเลยนี่นา แล้วหนูตัวอื่นก็ยังไม่เห็นฉันด้วยซ้ำ หรือว่าหนูพวกนั้นจะเห็นฉันกันนะ” ซูจิ้งคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่าง
สัตว์จะพวกหนูนั้นโดยปกติพวกมันจะมีปัญหาทางด้านสายตา คราวนี้เขาจึงได้ลองใช้หนูทดลองอีกกลุ่มหนึ่งโดยเลือกพวกที่มีปัญหาด้านสายตาเป็นพิเศษ
และเพื่อไม่ให้ผิดพลาด เขาได้ลองเดินหาหนูกลุ่มนี้แบบไร้เสียง และเป็นอย่างที่คิด หนูพวกนี้มองอะไรไม่เห็นจนต้องคอยเอาตัวชิดกำแพงไว้ด้านหนึ่งตามสัญชาตญาณ
ขนาดซูจิ้งเดินผ่านโดยไม่ได้ก่อให้เกิดเสียงใดๆ พวกมันก็ยังไม่มีท่าทีตอบสนองแม้แต่น้อย
แต่หลังจากที่พวกมันกินอาหารทดลอง พวกมันไม่ได้พาตัวเองให้ไปอยู่ข้างกำแพงแต่อย่างใด พวกมันเดินเล่นไปมาจนทั่ว แสดงให้เห็นว่าสายตาของมันนั้นดีขึ้นจนเรียกได้ว่าเห็นแต่ไกลเลยทีเดียว
ซูจิ้งยังคงทดลองซ้ำต่อไปอีกหลายครั้ง
ในตอนนี้เขาค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าหนูพวกนี้มีระยะการมองเห็นที่มากขึ้นจริงๆ เพื่อความแน่ใจ เขาได้ยืนยันสิ่งนี้โดยการปล่อยหนูสี่ตัวออกจากถุงกักอสูร
โดยให้สองตัวไม่กินอะไรและให้อีกสองตัวกินอาหารทดลองของเขา อาหารของมันคือพืชชนิดหนึ่งที่มีดอกคล้ายดอกทานตะวัน แต่มีใบคล้ายใบของแอปลิคอต มีโคนต้นหนาราวกับไม้ผล
และเป็นอีกครั้งที่ผลออกมายังเหมือนเดิมก็คือสายตาของพวกมันดีขึ้นจริงๆ
“นึกออกแล้ว ต้นไม้พวกนี้ควรจะมีชื่อว่าชิจู” ในห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรนั้นมีพืชต้นหนึ่งที่ชื่อว่าชิจู ลักษณะของมันนั้นมีใบคล้อยต้นแอปลิคอต ดอกคล้ายต้นทานตะวัน และต้นที่อวบหนาราวกับผลไม้ และสรรพคุณของมันเองก็คือเอาไว้สำหรับโรคทางสายตาเช่นเดียวกัน และต้นๆนั้นก็มีสรรพคุณและลักษณะที่คลับคล้ายกันต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้าเขานี่เอง
หลังจากซูจิ้งทดลองจนมั่นใจแล้วว่าต้นไม้นี้ไม่มีผลเสียต่อร่างกาย เขาจึงได้นำมันไปทดลองยังโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุน
ผลที่ได้รับทำให้เขารู้ว่าต้นไม้นี้รักษาโรคทางสายตาได้ไม่ดีเท่ากับทรายดำที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯจูเซียน นอกจากนี้มันยังไม่รักษาโรคทางสายตาอย่างต้อเนื้อได้แต่อย่างใด แถมมันสามารถเพิ่มระยะการมองเห็นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ถึงจะไม่ดีเท่าแต่มันก็สามารถฟื้นฟูการมองเห็นได้เท่าเดิมได้ รักษาอาการกระจกตาเสื่อมได้ และยังรักษาโรคทางสายตาที่ไม่ร้ายแรงได้อย่างการเป็นต้อกระจกได้เป็นอย่างดี โดยใช้เพียงแค่การกินเท่านั้นอีกด้วย
“อืมมมมม ถึงแม้ว่าชิจูนี้จะไม่ดีเท่าทรายดำแต่ก็ยังถือว่าได้ผลดีอยู่ ที่สำคัญที่สุดคือมันเป็นพืช ฉะนั้นยังมีโอกาศที่จะขยายพันธุ์มันในจำนวนมากได้ และนี่จะทำให้ฉันสามารถทำขายได้จำนวนมาก” ซูจิ้งใช้ความคิดของเขาเกี่ยวกับทรายดำที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯจูเซียนอยู่พักหนึ่ง
ถึงแม้ว่ามันจะดีมากก็จริงแต่เขาไม่สามารถทำมันเพิ่มได้หากมันหมดไป ถึงจะบอกว่าใช้ไม่เยอะแต่ได้ผลดีแต่มันก็ยังมีวันหมดอยู่ดี
เทียบกับต้นไม้นี่แล้ว นี่จะถือได้ว่าเป็นเปิดช่องทางรักษาโรคทางสายตาให้เขาได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ความสามารถในการรักษาของมันจะไม่ดีเท่า แต่มันดีตรงที่ผลิตเพิ่มขึ้นได้มาเรื่อยๆ
และนี่ยังเป็นช่องทางทำให้เขานั้นลดต้นทุนและเปิดโอกาสให้คนธรรมดาสามารถรักษาโรคทางสายตาได้ ถึงแม้ว่ากำไรมันนั้นแต่หากเทียบกับผลการรักษาแล้วถือได้ว่าดีกว่ายาที่ใช้รักษาทั่วๆไป แน่นอนว่าหากใช้จำนวนเข้าว่า รวมๆกันแล้วก็ถือได้ว่าเป็นกำไรที่เยอะอยู่ดี
“ดี ดี ดี” ซูจิ้งยิ้มก่อนที่จะทำการตรวจสอบหนูทดลองตัวอื่น ไม่นานเขาก็พบหนูอีกจำนวนหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง
ถึงแม้พวกมันจะเหมือนกันจนแยกไม่ออก แต่เมื่อซูจิ้งดูจากสัญญาลักษณ์ที่ทำไว้บนตัวพวกมันแล้วก็พบว่าพวกมันนั้นเป็นพวกที่มีอาการหูตึง
หากว่าหนูพวกนี้ไม่ได้กินชิจูไปล่ะก็ นอกจากที่หูของพวกมันจะสายตาไม่ดีแล้ว หูของพวกมันก็ยังไม่ดีอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกมันวิ่งในทันทีที่ไม่ว่าจะมีอะไรขยับก็ตาม
“นี่หมายความว่าหูของพวกมันดีขึ้นแล้ว” ใบหน้าของซูจิ้งอาบไปด้วยแสงแห่งความปิติในทันที หลังจากที่เขาเห็นสัญญาลักษณ์บนตัวพวกมันก็รู้ในทันทีว่าพวกมันกินอะไรไป
พวกมันได้กินต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มีลำต้นเล็กๆแต่สูงเกินหนึ่งเมตรขึ้นไป เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือต้นอะไรกันแน่แต่ที่เขาเห็นแน่ๆคือลูกไม้ของพวกมันนั้นเหมือนกับพุทราเลยทีเดียว
ซูจิ้งได้นำหนูที่หูไม่ดีจำนวนหนึ่งไปกินผลพุทรานั้น หลังจากรอเวลาไปสักพัก เขาก็พบว่าการได้ยินของพวกมันนั้นดีขึ้นอย่างช้าๆ
“หากว่าผลพุทราพวกนี้สามารถรักษาโรคหูตึงได้ล่ะก็ จำได้ว่าในห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรมีพืชที่ชนิดที่มีสรรพคุณแบบนี้ที่มีชื่อว่าเดย์จู” ซูจิ้งได้ใช้ความคิดอยู่สักพักก่อนที่จะเริ่มทดลองต่อ
หลังจากแน่ใจว่ามันไม่มีอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ ซูจิ้งจึงนำผลไม้นี้ไปทดลองใช้ในโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนอีกครั้ง และเขาก็ผมว่าเดย์จูที่มีลักษณะคล้ายกับผลพุทรานี้ มีสรรพคุณในการรักษาอาการหูตึงได้อย่างชะงักงัน แม้แต่หูตึงถาวรก็ยังรักษาได้จนหาย
หลังจากนั้นซูจิ้งได้ทำการเรียกประชุมกับบอร์ดบริหารและในที่สุดจึงได้ปล่อยข่าวออกไปสองอย่าง
อย่างแรกคือโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนในตอนนี้มีวิธีการรักษาแบบใหม่ในการรักษาโรคต้อกระจกและต้อเสื่อม โดยจะเปิดใช้กับคลีนิครักษาโรคทั่วไปและหากได้ผลตอบรับดีอาจจะทำผลิตขายทั่วไปในอนาคต
อย่างที่สอง พื้นที่พิเศษของโรงพยาบาลได้มีวิธีการรักษาอาการหูตึงแบบใหม่ที่ได้ผลอย่างชะงักงัน
ทันที่ที่ข่าวนี้แพร่ออกไปนั้น แม้ในตอนแรกที่ฟังแล้วจะดูไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะเมื่อเทียบกับการรักษาก่อนหน้านี้ของซูจิ้งแล้วถือว่าไม่ใช่อะไรที่วิเศษวิโสแต่อย่างใด
ถึงแม้จะรักษาโรคหูตึงได้แต่กับคนทั่วไปแล้วถือว่าไม่ได้น่าสนใจเท่าการรักษาโรคAlsแม้แต่น้อย ใครหลายๆคนเริ่มเป็นห่วงซูจิ้งด้วยซ้ำว่าให้เขาหยุดพักซะบ้างเพราะกลัวเขาจะเหนื่อนตายซะก่อน ว่าแต่กับหมอเทวดาแบบเขานี่ยังต้องกลัวที่จะเหนื่อยตายด้วยงั้นเหรอ
แน่นอนว่าเหล่าผู้คนที่มีอาการต้อกระจก กระจกตาเสื่อม และหูตึงทั้งหลายต่างก็รู้สึกประหลาดใจและดีใจราวกับได้เห็นความหวังใหม่ในชีวิตอีกครั้ง
GGS:บทที่ 1059 เหตุฉุกเฉิน
ในโลกอินเตอร์เน็ตในตอนนี้ มีข่าวของซูจิ้งปล่อยออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“ฉันเพิ่งจะอ่านข่าวสายพันธุ์ที่สาบสูญไปเสร็จเองนะ พอปิดเรื่องนั้นไปก็มาเจอเรื่องการรักษาโรคนี่อีก ซูจิ้งนี่ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังเลยจริงๆ”
“เห็นเขาว่ากันว่าซูจิ้งสามารถรักษาโรคต้อกระจก โรคสายตาและหูตึงได้อย่างง่ายๆเลยนะ และฉันก็คิดว่าไม่ใช่ข่าวปลอมแน่นอน เขานี่ดูทำมันให้เป็นเรื่องง่ายๆไปเลย”
“อ้อ เรื่องนั้นน่ะ ไม่ใช่แค่โรคหูตึงแบบชั่วคราวนะ แม้กระทั่งโรคหูตึงแบบถาวรที่เขาว่ากันว่าไม่มีทางรักษาให้หายได้ แม้แต่คนที่รักษามาชั่วชีวิตจนถอดใจไปแล้วก็ยังรักษาหายได้เลย ฉันบอกได้แค่ว่าไม่ว่าอะไรก็ตามหากเป็นซูจิ้งลงมือแล้ว เรื่องเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ธรรมดาเลยจริงๆ”
“ฉันเองก็รู้สึกว่าบรรทัดฐานของฉันเองจะเพี้ยนไปเพราะซูจิ้งแล้วด้วยสิ”
ในขณะที่ทั่วทั้งโลกกำลังพูดถึงซูจิ้งกันไปทั่ว ซูจิ้งนั้นก็ยังติดตามผลการทดสอบกับหนูของเขาต่อไป ในระหว่างนี้เขาก็ค้นพบวิธีการใช้งานเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย และที่ดีที่สุดก็คือมีสัตว์หลายๆตัวที่ได้ถูกกล่าวถึงในนิยายอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรอยู่หลายสายพันธุ์เลยทีเดียว
เย็นวันนั้น ในขณะที่เขายังคงทำการทดลองอยู่นั้น โทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้นมา คราวนี้เป็นเว่ยเสี่ยวหยวนที่โทรเข้ามา และเขาก็ได้รับโทรศัพท์ในทันที
แต่สิ่งที่เขาได้ยินนั้นเป็นเพียงเสียงสั้นๆว่า “หัวหน้า ช่วย…ตูมมม” หลังเสียงดังลั่นส่งผ่านมา โทรศัพท์ ก็ได้ตัดไปในทันที
ทันใดนั้นใบหน้าของซูจิ้งก็เปลี่ยนสีและรู้ในทันทีว่ามีอะไรเกิดขึ้นแล้วแน่ๆ เว่ยเสี่ยวหยวนนั้นไม่ใช่คนที่จะทำเป็นเล่นอย่างแน่นอน นี่จึงมีคำตอบเดียวคือโทรกำลังเกตปัญหา
ซูจิ้งได้รีบโทรกลับ แต่เธอก็ไม่ได้รับสายอย่างที่คิด เขารีบโทรหาซูฉือและหลัวฉือหลินให้สืบหาที่อยู่ของเว่ยเสี่ยวหยวนในทันที
ในขณะเดียวกันเขาขี่เสี่ยวจินขึ้นไปบนฟ้าในทันที เขาตรงไปยังใจกลางเมือง เพราะช่วงเวลานี้เขาคิดว่าอย่างน้อยเว่ยเสี่ยหยวนน่าจะยังคงอยู่ในเมืองอยู่ และช่วงนี้เขาเองก็ไม่ได้ยินว่าเธอต้องไปประชาสัมพันธ์หรือมีโปรแกรมที่จะต้องออกนอกเมืองแม้แต่น้อย และในฐานนะเธอมีหน้าที่รับหน้าแทนนี้ จึงมีโอกาสที่เธอต้องพบเจอบางสิ่งเป็นแน่
หลังจากบินไปได้สักพัก เสียงโทรศัพท์ของซูจิ้งดังอยู่ไม่ขาด ด้วยการที่เขาบินเร็วมากกว่าจะรู้สึกตัวก็นานพอดู เมื่อเห็นว่าเป็นซูฉือเขาก็ได้ลดความเร็วลงในทันทีและรับสาย ซูฉือได้รีบพูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า “มีผู้หญิงคนหนึ่งพึ่งจะตกลงจากตึกบนพนนดาเชิง ในเขตหลัวหยุน เมืองจงหยุน นั่นน่าจะเป็นเว่ยเสี่ยวหยวน”
“สืบหาข้อมูลต่อไป บอกฉือหลินให้เข้าไปควบคุมสถานการณ์ในทันที” ซูจิ้งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเว่ยเสี่ยวหยวนกันแน่ เขารู้แต่ว่าตอนนี้ตาของเขาแดงกร่ำอย่างมาก แต่ท่าทีของเขานั้นยังสงบและน่ากลัวอย่างยิ่ง
หลังจากสั่งการไปแล้วเขาได้รีบใช้ยันต์เร่งความเร็วในทันที และทันใดนั้น เสี่ยวจินก็กลายเป็นประกายแสงในทันที
ในขณะเดียวกัน ณ พื้นที่เกิดเหตุที่ตอนนี้รายล้อมไปด้วยผู้คน
มีหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ในชุดสั่งตัดหล่นลงมาบนต้นไม้ที่อยู่ข้างตึก ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยรอยแผลและร่างกายที่ชโลมไปด้วยเลือด ต่อให้เป็นถึงขนาดนี้ หากซูจิ้งมาเห็นเข้า แน่นอนว่าย่อมต้องรู้ทันทีว่านี่คือเว่ยเสี่ยวหยวนอย่างแน่นอน
เหล่าชายหญิงที่อยู่ในเหตุการณ์ บางคนโทรตาม 120(เบอร์แจ้งเหตุฉุกเฉินของจีน) มีชายสองคนและหญิงอีกสองคนที่พอจะรู้วิธีปฐมพยาบาลอยู่บ้างได้พยายามช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่ พวกเขาได้พยายามห้ามเลือดอย่างสุดความสามารถ แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยเธอเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้เว่ยเสี่ยวหยวนจะมีต้นไม้รองรับ แต่ด้วยการที่เธอตกมาจากชั้นห้า ต่อให้เธอโชคดียังไงก็ยังต้องเจ็บหนักอยู่ดี
“ช่างน่ากลัวจริง เธอหล่นมาได้ยังไงกัน”
“ใครจะไปรู้ล่ะ อาจจะกระโดดลงมาเองก็ได้”
“คนสวยๆแบบนี้อ่ะนะ ในชีวิตของเธอยังจะมีเรื่องที่ต้องให้โดดลงมาเองด้วยเหรอ”
“ฉันว่าไม่ใช่กระโดดลงมาเองนะ ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนพึ่งจะลงมาจากทางบันได”
เว่ยเสี่ยวหยวนในตอนนี้บาดเจ็บหนักจนเกือบจะสิ้นลมอยู่แล้ว
ทันใดนั้นอยู่หน้าอกของเธอก็สั่นละรัวราวกับโดนไฟฟ้าช็อตจนทำให้ยากที่จะหายใจได้จนทำให้ทุกคนต่างก็ถอยออกมาอย่างตกใจ
ในตอนนี้ไม่มีใครเลยที่จะสังเกตเห็นว่ามีเงาบางอย่างได้โอบรอบมือและเท้าทั้งสองข้างของเธอไว้ เงานั้นนอกจากมือและเท้าแล้วมันยังมีหางและฟันอันแหลมคำ และแน่นอนว่ากระแสไฟฟ้านี้ถูกปล่อยออกมาจากมันนั่นเอง
เงาประหลาดนี้ก็คือสแตนด์ของหลัวฉือหลิน เขามาถึงที่นี่เป็นคนแรกแล้วแต่ไม่ได้แสดงตัวแต่อย่างใด แม้แต่ซูจิ้งก็ยังทำอย่างเขาไม่ได้
และเป็นเขาเองที่ปล่อยไฟฟ้าคอยกระตุ้นหัวใจของเว่ยเสี่ยวหยวนให้ทำงานเป็นระยะ แต่วิธีการนี้สามารถยื้อชีวิตของเธอได้อีกไม่นานเท่านั้น
เขารู้ดีว่าเขานั้นไม่สามารถช่วยชีวิตของเว่ยเสี่ยวหยวนไว้ได้ แต่จะให้เขานั้นคอยดูเว่ยเสี่ยวหยวนจากไปเฉยๆเองเขาก็ไม่สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
ผ่านไปสักพัก หมอก็ได้มาถึง พวกเขาได้รีบตรงเข้าช่วยเหลือเว่ยเสี่ยวหยวนในทันที หลัวฉือหลินที่เห็นเขาก็ไม่ได้คิดจะหยุดหมอเหล่านี้และคอยดูอยู่ไม่ห่าง เพราะเขารู้ดีว่าในการช่วยเหลือชีวิตแบบนี้ สมควรให้มืออาชีพจะดีที่สุด
ผ่านไปอีกสองถึงสามนาที หลัวฉือหลินก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากฟากฟ้า วัตถุสีดำประกายแสงสว่างแวบผ่าท้องฟ้ามาและตรงมาที่นี่อย่างเห็นได้ชัด
หลัวฉิหลินในตอนนี้หลิ่วตามองด้วยความไม่แน่ใจในสถานการณ์ เขาจับจ้องไปที่ผู้คนโดยรอบแต่ไม่ผมสิ่งปกติ เขาจึงได้พอจะวางใจขึ้นมาได้บ้าง
“นี่…ซูจิ้งไม่ใช่เหรอ เขามาที่นี่ได้ยังไง”
“พระเจ้า ถอยเร็ว เขาเหมือนจะกระโดดมาที่นี่เลย”
“ไม่มีทางน่า เดี๋ยวเขาก็ได้ตายกันพอดี”
ด้วยการที่อินทรีย์ทองตัวนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ต่อให้มันบินเร็วจนมองเห็นไม่ชัดขนาดไหนแต่ยังไงซะทุกคนต่างก็สรุปได้ว่านี่คือซูจิ้งอยู่ดี
แต่ที่ทุกคนไม่รู้ก็คือซูจิ้งและบินมาด้วยความเร็วขนาดนี้ ด้วยความสูงกว่าสิบเมตรแบบนี้โดยไม่ลดความเร็วแม้แต่น้อยแบบนี้ราวกับพวกเขาจะพุ่งโหม่งโลกยังไงอย่างนั้น
สำหรับคนทั่วไปที่ไม่รู้ว่าเขาและอินทรีย์ทองนั้นแข็งแกร่งแบบสุดๆต่างก็นึกว่าพวกเขาจะโหม่งโลกตายจนเกิดความแตกตื่นขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่จินเต๋าบินลงมาในระยะห้าเมตรเหนือจากพื้น จินเต๋าก็ได้กางปีกเพื่อต้านลมเต็มที่ทำให้มันหยุดอยู่กางอากาศในทันที ลมที่เกิดจากการกระจายแรงต้านนี้ทำให้เกิดลมกรรโฉกที่รุนแรงจนทำให้ผู้คนแถวนั้นเกือบล้มกันไปเลย
ในตอนนั้นเอง ซูจิ้งได้กระโดดลงมาตัวเปล่าในทันที เมื่อร่างกายของเขาลงมายังพื้น เขาทำแค่ย่อขาลงเล็กน้อยเพื่อกระจายแรงต้านและยืนอย่างแน่วแน่ในทันที
ส่วนเสี่ยวจินเองก็กระพือปีกผยุงตัวอยู่กลางอากาศอยู่แบบนั้นสักพักจึงค่อยๆไต่ระดับความสูงลงมาอยู่ที่สองเมตร ก่อนที่จะกระพือปีกอย่างแรงให้รอยตัวขึ้นอีกครั้ง
“ปล่อยฉันเอง” ซูจิ้งที่พุ่งเข้าไปยังร่างของเว่ยเสี่ยวหยวนได้พูดด้วยเสียงอันดังก้อง เขานำยาสีแดงเม็ดหนึ่งออกมาและใส่เข้าไปในของเว่ยเสี่ยวหยวนในทันที
ยาเม็ดนี้คือยาคืนชีวิตที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ เดิมที่เขาได้มาทั้งหมดสี่เม็ด ลองใช้ไปแล้วหนึ่งเม็ดจึงเหลืออีกสาม แน่นอนว่าด้วยสถานการณ์ตรงหน้านี้เขาไม่อิดออดที่จะใช้มันเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเว่ยเสี่ยวหยวนได้กลืนเม็ดยาคืนชีวิตเข้าไป ซูจิ้งก็เริ่มปล่อยคลื่นพลังสัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิไปยังร่างกายของเว่ยเสี่ยวหยวนอ่างเต็มสูบ
เหล่าหมอที่พยายามจะช่วยเว่ยเสี่ยวหยวนในตอนนี้เองก็พละออกมาจากร่างของเว่ยเสี่ยวหยวนในทันที ด้วยการที่เขารู้ชื่อเสียงของซูจิ้งในฐานะหมอเทวดาเป็นอย่างดีทำให้พวกเขาพอจะอ่านสถานการณ์ออกได้บ้าง พวกเขาจึงเรียกที่จะอยู่รอดูอยู่ข้างๆ เพื่อซูจิ้งนั้นจะไม่สามารถทำอะไรไม่ได้และต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อเขา
แต่พวกเขาเองนั้นก็อดที่จะถอดถอนหายใจอยู่ภายในจิตใต้สำนึกไม่ได้ นั่นก็เพราะอาการของหญิงสาวผู้นี้หนักมาก
การที่เธอไม่ตายจนมาถึงตอนนี้ก็เป็นปฏิหารย์มากแล้ว ต่อให้ซูจิ้งมาเองแบบนี้ก็คงยากที่จะช่วยเหลือหญิงสาวผู้นี้ได้
ผู้คนโดยรอบในตอนนี้เริ่มกระซิบคุยกันออกมา
“นี่ๆ ฉันพึ่งจะจำได้ว่าผู้หญิงคนที่เจ็บหนักนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นตัวแทนของซูจิ้งนะ”
“ดูเหมือนจะใช่นะ ฉันว่าฉันเคยเห็นรูปถ่ายของเธออยู่ รู้สึกว่าเธอจะชื่อว่าเว่ยเสี่ยวหยวนนะถ้าจะไม่ผิด นี่ฉันไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าตัวแทนของซูจิ้งจะเป็นสาวสวยขนาดนี้”
“ไม่แปลกใจเลยที่ซูจิ้งจะรีบมาที่นี่เพื่อช่วยเธอ”
“แต่มันก็เท่านั้นแหล่ะ สภาพแบบนี้ใครจะช่วยได้ล่ะ ทำไมสาวสวยคนนี้ถึงตกมาได้กันนะ”
เมื่อต้องเห็นหญิงสาวบอบบางคนหนึ่งตกลงมาจากที่สูงแบบนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่ทุกคนต้องภาวนาให้เธอได้รอดชีวิต แต่ด้วยอาการบาดเจ็บหนักหนาขนาดนี้จะช่วยได้ยังไงกัน
GGS:บทที่ 1060 ปาฏิหารย์
ทั้งหมอ พยาบาล และผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็สับสนและมึนงงไปหมด นั่นก็เพราะภาพที่พวกเขาเห็นนั้นก็แค่ภาพที่ซูจิ้งป้อนยาบางอย่างให้เว่ยเสี่ยวหยวน หลังจากนั้นเขาก็นั่งอยู่ข้างๆและเอามือทาบไปที่อกของเธอไว้ก็แค่นั้นเอง หลังจากนั้นเขาก็นั่งนิ่งอยู่แบบนั้นสองสามนาทีแล้ว
หากว่าเป็นคนอื่นๆล่ะก็ พวกเขาคงเข้าไปคว้าคอแล้วจับโยนออกมาแล้วทำหน้ากู้ชีพต่อแล้ว แต่ด้วยการที่ซูจิ้งเป็นหมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออกทำให้ทุกคนไม่กล้าจะทำอะไรแม้แต่น้อย
ในตอนนี้ทุกคนอย่างจะทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ ต่อให้มีความหวังเพียงริบหรี่แต่ก็ดีกว่าจะให้ยืนดูอยู่เฉยๆแบบนี้ พวกเขาไม่ใช่คนที่จะหวังพึ่งปาฏิหารย์จากสวรรค์แบบนั้นเลยสักคน
อย่างไรก็ตาม ไม่นานทุกคนก็เริ่มรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาในทันทีที่เห็นบาดแผลของเว่ยเสี่ยวหยวนหยุดไหลแล้ว ตอนแรกพวกเขาต่างก็นึกว่าเธอตายแล้วแต่ก็เห็นเว่ยเสี่ยวหยวนมีลมหายใจที่ปกติยิ่งขึ้น สีหน้าของเธอเองก็ดูเหมือนจะเริ่มมีเลือดขึ้นไปหล่อเลี้ยงแล้ว
ในตอนนี้เอง ซูจิ้งได้นำบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อก่อนที่จะใส่ปากของเธอไป มันดูเหมือนเนื้อบางอย่างจนทำให้หมอที่เห็นต่างก็มองหน้ากันแบบงงๆหนักเข้าไปอีก นั่นก็เพราะช่วงเวลาแบบนี้ไม่ควรจะใช่เวลามาห่วงเรื่องกินแบบนี้
และเป็นอีกครั้งก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุผลขึ้นเพราะในตอนนี้ใบหน้าของเว่ยเสี่ยวหยวนนั้นดูดีขึ้นยิ่งกว่าเดิม
หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้นำสิ่งที่เหมือนกับหยกออกมาสองชิ้น ชิ้นหนึ่งกระจ่างใสราวคริสตัลและมีสีเหลืองอำพันโดยชิ้นนี้เขาใส่ไว้ในมือซ้ายของเธอ ส่วนชิ้นที่สองมันมีสีขาวราวกับน้ำนมและเขานำไปไว้ในมือขวาของเธอ
หลังจากนั้นซูจิ้งก็ใช้มือทาบไปที่หน้าอกของเว่ยเสี่ยวหยวนอีกครั้งก่อนจะปิดตาลง และในครั้งนี้เขานั่งนิ่งนานกว่าเดิมโดยไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเวลาผ่นไปนานสักพักใหญ่ ในที่สุดเว่ยเสี่ยวหยวนก็เริ่มจะขยับตัว เธอค่อยๆลืมตาขึ้นมา และทันทีที่เธอเห็นซูจิ้งก็รู้สึกประหลาดใจจนพูดออกมาว่า “ซูจิ้ง… นี่นาย…”
“ไม่ต้องพูด” ซูจิ้งพูดออกมา
เว่ยเสี่ยวหยวนที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดต่อแต่อย่างใด เธอมองไปรอบๆอย่างช้าๆและเริ่มจำได้ว่าเธอนั้นตกลงมาจากตึกและเธอเองก็กลัวมากจนโทรหาซูจิ้งโดยไม่รู้ตัว
แต่ในตอนนี้เธอกลับมีความสุขอย่างที่สุด ก่อนหน้านี้เธอเองก็คิดว่าใช้โชคของเธอไปจนหมดแล้ว ครั้งก่อนที่เธอตกจากตึก เธอได้สไปเดอร์แมน(ซูจิ้ง)ช่วยเหลือเอาไว้
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เธอตกลงมาแล้วก็ไม่ตาย แต่ในครั้งนี้กลับเป็นซูจิ้งที่ช่วยเหลือเธอไว้
หมอ นางพยาบาล และผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์โดยรอบที่เห็นฉากนี้ต่างก็อดไม่ได้ที่จะพูดคุยออกมาอย่างโหวกเหวกโวยวาย
“เธอลืมตาแล้ว เธอน่าจะดีขึ้นแล้วนะ”
“ลองดูสีหน้าเธอสิ ถึงแม้จะยังดูอ่อนแรงแต่ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้วนะ”
“เป็นไปได้ยังไง เลือดท่วมซะขนาดนี้ แม้แต่หายใจได้ยังยากเลย นี่พวกเขาแกล้งกันเล่นรึเปล่าเนี่ย”
“นี่นายคิดได้ยังไงกัน มีคนเห็นเธอตกลงมาเลยนะ อาการบาดเจ็บนั่นต้องเป็นของจริงแน่ และซูจิ้งเองก็สมควรจะช่วยเธอได้จริงๆ นี่เรียกได้ว่าที่เธอรอดมาได้เป็นเพราะฝีมือการแพทย์ของซูจิ้งแท้ๆ”
“ฉันแทบจะไม่เห็นเขาทำอะไรเลยนะ แล้วเขารักษาเธอได้ยังไงกัน”
“อย่าหาเหตุผลกับคนเทพๆแบบนี้จะดีกว่า”
“คราวนี้เป็นปาฏิหารย์โดยแท้แบบไม่ขาดไม่เกินเลยสักนิด”
“ยังเจ็บอยู่ไหม” ซูจิ้งพูดออกมาในขณะที่ใช้มือจับไปยังส่วนต่างๆของเว่ยเสี่ยวหยวนเพื่อตรวจสอบสภาพร่างกาย
ในชั่วขณะหนึ่ง เว่ยเสี่ยวหยวนแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา เป็นขาข้างขวาเธอที่หัก และกระดูกซี่โครงที่น่าจะหักหนึ่งไม่ก็สองซี่เห็นจะได้ แต่เทียบกับสภาพเป็นตายก่อนหน้านี้นี่ก็เรียกได้ว่าดีกว่ามาก
คราวนี้ ซูจิ้งไม่ได้ทำอะไรต่อ เขาให้หมอและพยาบาลที่รออยู่เข้ามาปฐมพยาบาลต่อ อย่างไรก็ตาม เขาได้แสดงความต้องการออกมาในทันทีว่าจะไม่ส่งเว่ยเสี่ยวหยวนไปยังโรงพยาบาลแห่งอื่นนอกจากโรงพยาบาลจงหยุนของเขาเท่านั้น
แน่นอนว่าด้วยฝีมือการใช้มีดของเขาแล้ว เว่ยเสี่ยวหยวนจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอหายดี
“นายอยู่ที่นี่และสืบสวนเหตุการณ์ซะ” ซูจิ้งพูดออกมาเบาๆจนไม่มีใครสามารถได้ยินได้ชัด มีเพียงเงาบางอย่างที่ซ่อนอยู่ข้างหลังเขาเท่านั้นที่พยักหน้า
หลังจากซูจิ้งขึ้นรถพยาบาลและจากไป เหล่าผู้คนที่มุงดูเหตุการณ์ต่างก็พูดถึงเรื่องนี้กันทุกคน บางคนยังถ่ายรูปและโพสต์ขึ้นไปบนอินเตอร์เน็ตด้วยซ้ำ
บางคนไปไล่ดูร่องรอยการตกของเว่ยเสี่ยวหยวน แม้แต่ภาพทะเลเลือดที่กองอยู่บนพื้นก็ยังถูกถ่ายส่งขึ้นบนอินเตอร์เน็ต หากว่าในครั้งนี้เว่ยเสี่ยวหยวนนั้นไม่รอดก็คงไม่มีใครคิดจะทำแบบนี้ เพราะยังไงซะทุกคนต่างก็ย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร
แต่นี่ หญิงสาวที่ประสบเคราะห์กรรมใหญ่ขนาดนี้กลับรอดได้อย่างปาฏิหารย์ แน่นอนว่าพวกเขาต้องการภาพถ่ายเหล่านี้ไปใช้ประกอบการตีแผ่เรื่องราวอันน่าพิศวงนี้
หากเป็นเหตุการณ์ปกติถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่หมอแต่ดูจากสภาพยังไงก็ไม่น่าจะรอด และยิ่งในหมู่พวกเขานั้นมีคนที่เข้าใจการปฐมพยาบาลและการสังเกตอาการอยู่
กับคนที่เรียนรู้เรื่องนี้มา ไม่ว่าจะมองยังไงก็ตาม เว่ยเสี่ยวหยวนก็ไม่รอดแน่ๆ ต่อให้ไปโรงพยาบาลได้ในทันทีที่เธอตกลงมา แต่แค่ยกเธอขึ้นที่ช่วยยกเธอก็อาจตกตายได้ในทันทีที่ขยับ
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ซูจิ้งมาถึง เขารักษาอาการบาดเจ็บต่างๆของหญิงสาวได้อย่างรวดเร็วจนกลับมารอดชีวิตได้ เขาทำได้แม้แต่การทำให้ลมหายใจของเธอคงที่และลืมตาขึ้นมาจนพูดได้ด้วยซ้ำ
แม้แต่ตอนที่เหล่าพยาบาลนำเธอขึ้นที่ยก เธอยังช่วยให้ความร่วมมือได้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ไม่ว่ามองยังไงเธอต้องรอดแน่ๆ นี่ถ้าไม่ใช่ปาฏิหารย์แล้วจะให้เรียกว่าอะไร
ในตอนนี้เหล่าหมอคนอื่นๆที่เห็น รวมถึงลูฉินหมิง หวังกังหยุน และหลิวเว่ยต่างก็ประหลาดใจและสับสน นั่นก็เพราะสิ่งที่พวกเขาได้เห็นจากภาพและวิดีโอนั้นต่างก็เห็นว่าซูจิ้งทำเพียงนำมือวางทาบอกเท่านั้น
เว่ยเสี่ยวหยวนใจรอนนี้ถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลจองหยุนแล้ว ลูฉินหมิงและหมอคนอื่นๆพร้อมทั้งเหล่าพยาบาลที่เตรียมไว้พร้อมอยู่ก่อนแล้วก็ได้รีบพาเธอไปยังคลีนิคพิเศษในทันที
“ผมจะให้คุณเป็นผู้ช่วยและผมจะเป็นคนลงมีดเอง” ซูจิ้งพูดออกมา
“เยี่ยม” ลูฉินหมิงและหมอคนอื่นๆเห็นด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้งแม้แต่น้อย
เป็นอีกครั้งที่เว่ยเสี่ยวหยวนต้องตรวจสอบอาการ หลังจากตรวจดูอาการโดยละเอียดแล้วทุกอย่างไม่มีปัญหา นอกจากขาที่หักสองข้างและซี่โครงที่หักไปสองซี่แล้วก็ไม่มีอาการบาดเจ็บร้ายแรงอย่างอื่นอีก
ในส่วนอาการบาดเจ็บถึงตายและบาดแผลก่อนหน้านี้นั้นซูจิ้งได้ใช้ยาคืนชีวิตรักษาไปหมดแล้ว จะมีเหลือก็คงจะเป็นรอยแผลเป็นเล็กๆน้อยๆราวกับโดนกิ่งไม้เกี่ยวแต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะมันสามารถรักษาได้โดยผงลบเลือนริ้วรอยที่เขาได้จากห้วงเวลาฯจูเซียนจนไม่เหลือร่องรอยอย่างแน่นอน
หลังจากที่การผ่าตัดเสร็จสิ้น ซูจิ้ง ได้ใช้คลื่นพลังใบไม้แห่งฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง และด้วยการที่ผลของยาคืนชีวิตยังคงอยู่ทำให้เว่ยเสี่ยวหยวนในตอนนี้ไม่ได้มีท่าทีอ่อนแรงแต่อย่างใด
“นี่เธอชอบการกระโดดตึกนักรึไงเนี่ย” ซูจิ้งที่เห็นหน้าเว่ยเซี่ยวหยวนในตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาเชิงหยอกเย้า
“ใครจะไปชอบกระโดดตึกกัน ห้ะ” เว่ยเสี่ยวหยวนตอบกลับพลางเหลือกตามอง
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกัน” ซูจิ้งถามออกมา
“ก่อนหน้าที่ฉันจะกระโดดลงมานั้นมีใครบางคนต้องการจับตัวฉัน ฉันเองก็ไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร รู้แต่ว่าอยู่ๆก็โผล่มาและมุ่งเป้ามาที่ฉันในทันที
เท่าที่ดูพวกมันน่าจะอยากลักพาตัวฉันไป แต่ฉันเองก็ได้เรียนเพลงหมัดวัวคลั่งมาบ้างก็เลยขัดขืนแต่ก็ยังไม่เก่งพอที่จะไล่พวกมันไปได้
ตอนนั้นฉันเองก็รีบหนี พอเห็นต้นไม้กก็เลยพยายามที่จะกระโดดไปที่ต้นไม้ แต่ฉันพลาดที่จะคว้ากิ่งไม้ไว้ได้เลยตกลงมา” เว่ยเสี่ยวหยวนพูดออกมาราวกับว่ามันเป็นแค่เรื่องโชคร้ายธรรมดา
แต่ในความจริงแล้วสถานการณ์นี้ช่างร้ายแรงอย่างใหญ่หลวงนัก เธอเองก็พอจะนึกถึงคนที่กล้าจะทำแบบนี้ได้อยู่เหมือนกัน
แต่หาไม่ใช่กลุ่มคนที่เธอคิดไว้ล่ะก็ หากเรื่องนี้สำเร็จไปได้ล่ะก็เธอกลัวจริงๆว่ากลุ่มคนที่เธอคิดไว้จะเข้าไปร่วมด้วยและเรื่องราวจะยิ่งเลวร้ายไปมากกว่านี้
“มัน เป็น ใคร” ซูจิ้งรีบถามออกมาในทันที เขาเองก็พอจะคิดออกบ้างเหมือนกัน นั่นก็เพราะเว่ยเสี่ยวหยวนนั้นถอนตัวออกมาเพื่อช่วยพ่อของเธอต่อกรกับเเฉียนหยุนก็จริง
แต่ในตอนนี้ เธอเองกลายเป็นตัวแทนของเขาแล้ว คนของเหเฉียนหยุนเองก็สมควรจะไม่กล้าจะทำอะไรแล้วเพราะมีเขาคอยหนุนหลัง แต่การที่เธอเกิดเรื่องแบบนี้จะต้องเป็นคนที่มีอำนาจมากกว่าเหเฉียนหยุนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน
“มันชื่อว่าตงฉิ อายุของมันประมาณสามสิบปี มันค่อนข้างจะสนิทกับเหเฉียนหยุน มันเป็นพวกนักเลงหัวไม้จึงกล้าที่จะหาเรื่องฉัน” เว่ยเสี่ยวหยวนพูดออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูจิ้งจึงได้โทรไปหาซูฉือและหลัวฉ์อหลินในทันที ไม่นานหลังจากนั้น ซูติก็ได้ส่งรูปมาให้ซูจิ้ง ซูจิ้งจึงให้เว่ยเสี่ยวหยวนดูรูป เว่ยเสี่ยวหยวนที่เห็นก็ได้พยักหน้าและพูดออกมาว่า “ใช่ มันนี่แหล่ะ”
ซูจิ้งเมื่อเห็นดังนั้นจึงให้ซูฉือและหลัวฉือหลินควานหาตัวในทันที ส่วนเขานั้นได้กลับไปยังพื้นที่เกิดเหตุที่เว่ยเสี่ยวหยวนตกลงมา แต่ในตอนนั้นเอง ก่อนที่ซูจิ้งจะเริ่มทำอะไร ซูฉือก็ได้ส่งข้อความมาบอกว่าตงฉิเพิ่งจะตายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
GGS:บทที่ 1061 สืบสวน
“ตาย…ได้ยังไงกัน” ซูจิ้งถามออกมาพลางขมวดคิ้ว
“ฉันลองแฮ็คเข้าระบบตรวจสอบความเร็วรถดูจนได้เห็นภาพนั้นน่ะ เท่าที่ดูมันเหมือนเป็นอุบัติเหตุธรรมาดาว่า เขานั้นขี่มอเตอร์ไซด์และใช้ความเร็วเกินกำหนดตอนหนีทำให้เขาไปสวนเข้ากับรถบรรทุกคันหนึ่งเข้า แต่ยังไงมันก็ยังดูแปลกอยู่ดี”
“ฉือหลินไปที่นั่นและตรวจสอบซะ” ซูจิ้งโทรหาหลัวฉือหลินและสั่งการในทันที
“ครับ”
ภายในเมือง วงแหวนกระแสไฟฟ้าหนึ่งได้ปรากฎ ไม่ไกลจากที่นั่นก็ได้มีหลัวฉือหลินยืนอยู่ เขามาอยู่ในสถานที่เกิดเหตุด้วยระยะเวลาไม่ถึงสิบวินาทีดี
ถึงแม้ในตอนนี้สถานที่เกิดเหตุจะถูกควบคุมโดยตำรวจเรียบร้อย แต่ด้วยความสามารถของหลัวฉือหลินแล้ว ทำให้เขานั้นสามารถลอบสืบสวนได้โดยไม่มีสังเกตเห็นอย่างง่ายดาย
หลังจากทำการสืบสวน หลัวฉือหลินได้โทรรายงานกับซูจิ้งว่า “ผมได้ตรวจสอบมอเตอร์ไซด์และภาพจากกล้องตรวจสอบความเร็วรถแล้ว เท่าที่ดู นี่สมควรจะเป็นอุบัติเหตจริงๆ และผมไม่เห็นร่องรอยอะไรเลยที่บ่งบอกว่าเป็นการฆ่าปิดปาก”
“หัวหน้า ดูเหมือนมันจะได้รับกรรมตามสนองแล้ว ในเมื่อมันตายไปแล้ว ฉันคิดว่าจะไม่สนใจเรื่องนี้อีก” เว่ยเสี่ยวหยวนพูดออกมาแต่ในใจของเธอนั้นยังมีอาการขุ่นเคืองอยู่
นั่นก็เพราะเธอยังไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าได้ตอบแทนซูจิ้งได้ดีพอ แถมยังทำให้เกิดเรื่องต่างๆมากมาย เธอจึงตัดสินใจว่าในภายภาคหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะคอยตามล้างตามเช็ดให้ซูจิ้งหมดทุกอย่าง
“ฉันไม่คิดว่ามันจะง่ายอย่างนั้นเนี่ยสิ” ซูจิ้งนั้นได้ใช้ความดคิดไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันไปอ่านข้อมูลของตงฉิอีกครั้ง เขาเป็นเจ้าของห้องอาหารคาราโอเกะแห่งหนึ่งและยังมีอิทธิพลในธุรกิจมืดพอสมควร
แต่หลังจากที่เขาขาดเหเฉียนหยุนไปทำให้ทำอะไรไม่ได้อีกเลย ตอนนี้อำนาจของเขาไม่ได้ต่างไปจากแก๊งนักเลงข้างถนนทั่วไป
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการที่เขาเป็นพวกรอบคอบและทำในสิ่งที่ปลอดภัยเท่านั้น โดยปกติแล้วเขาจะไม่กล้าไปหาเรื่องคนใหญ่คนโตอย่างแน่นอน
คนแบบนี้ไม่มีทางที่จะทำเรื่องแบบนี้โดยไม่มีเหตุผลได้ โดยเฉพาะตอนนี้เว่ยเสี่ยวหยุนได้ติดตามเขาที่มีอำนาจล้นมือแล้วแบบนี้
“นายไปอยู่ตรงจุดที่เกิดการชนไปก่อนแล้วรอฉันที่นั่น อย่าให้ใครทำลายที่นั่นก่อนที่ฉันจะไป” ซูจิ้งสั่งหลัวฉือหลินผ่านทางโทรศัพท์อีกครั้ง
ก่อนที่เขาจะเข้าไปในห้องน้ำและออกมาพร้อมชายหน้าหล่อระเบิดเถิดเทิงและให้เขาคอยปกป้องเว่ยเสี่ยวหยวนไม่ให้ห่างจากตัว
หลังจากนั้นเขาก็ได้ออกจากที่นี่โดยการขี่อินทรีย์ทองไปยังสถานที่เกิดเหตุในทันที
เว่ยเสี่ยวหยวนในตอนนี้ได้จ้องมองไปยังบอดี้การ์ดหนุ่มสุดหล่อที่ยืนอยู่ข้างๆเธฮนิ่งๆ เธอจ้องมองแบบอิ้งๆอยู่นานสองนานแต่ก็ไม่เห็นชายหนุ่มคนนี้ทำหรือพูดอะไรแม้แต่น้อย เธอจึงเข้าใจได้ว่าคนๆนี้คงเป็นบอดี้การ์ดของเธอ
เธอนั้นรู้สึกปลาบปลื้มใจในตัวซูจิ้งอย่างมากที่เขายอมให้บอดี้การ์ดของตัวเองคอยปกป้องเธอไว้ แต่บอดี้การ์ดนี่ปกติแล้วเขาหล่อลากดินขนาดนี้กันด้วยเหรอ
ซูจิ้งที่ขี่อินทรีย์ทองออกมานั้น ในตอนนี้ได้มาถึงยังจุดเกิดเหตุการตกจากตึกเรียบร้อยแล้ว เขาลงไปยังชั้นห้าที่เป็นชั้นของเว่ยเสี่ยวหยวน และกำลังยืนอยู่ตรงระเบียงที่เธอกระโดดออกไปเพื่อหนีการลักพราตัว
“เจออะไรมั่งรึเปล่า” ซูจิ้งพูดออกมาลอยๆ
“ไม่ครับ พวกมันไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย” เงาประหลาดตอบออกมา
“ตรวจดูอีกที” ซูจิ้งพูดก่อนที่จะนำหนูออกมาตัวหนึ่ง
….
ณ ขณะเดียวกัน ในบ้านของหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง หยวนหยินหนิงที่นั่งอยู่บนโซฟาอยู่นั้น ตรงหน้าเขามีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่
หยวนหยินหนิงได้พูดออกมาด้วยสายตาเย็นชาว่า “แค่ตดยังยากกว่างานนี้ที่ให้แกทำเลยนะเว้ย งานง่ายๆแบบนี้แกยังพลาดอีกเหรอ”
“นายน้อยครับ เราคิดไม่ถึงจริงๆว่าเธอจะเรียนเพลังหมัดวัวคลั่งด้วย แถมเธอยังใช้ได้ถึงรูปแบบที่สองแล้ว นี่ทำให้เราไม่สามารถจับตัวเธอไว้ได้จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังกระโดดจากตึกเพื่อหลบหนีการจับกุมของพวกเราอีก” ชายหนุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าพูดออกมาด้วยท่าทีจนใจ
“พวกเราจะถูกสงสัยรึเปล่า” หยวนหยินหนิงถามออกมา
“เป็นไปไม่ได้ครับ พวกเราใช้ตงฉิเป็นตัวหมากของเราในครั้งนี้โดยผ่านคนกลางอีกที แถมตอนนี้มันยังตายไปแล้วในอุบัติเหตุจริงๆแบบนี้ ต่อให้ซูจิ้งจะผิดสังเกตุแต่ก็ไม่มีทางสาวมาถึงผมได้อย่างแน่นอนครับ ขอให้นายน้อยวางใจได้” ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“ก็ยังดี” หยวนหยินหนิงพยักหน้าก่อนที่จะมีท่าทีดูดีขึ้น เขาได้รีบพูดออกมาทันทีว่า “ดูเหมือนว่าคราวหน้าหากพวกเราจะทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับคนใกล้ชิดของหมอนั่น
พวกเราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากกว่านี้และต้องใช้คนที่เก่งกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว เฮ้ออออ นี่ขนาดแค่ผู้หญิงคนเดียวนะ อย่างที่เขาบอกจริงๆว่านายพลที่แข็งแกร่งย่อมไม่มีทหารที่อ่อนแอ”
“นายน้อยครับ แล้วนายน้อยจะเริ่มใช้คนพวกนั้นเมื่อไหร่กัน” ชายหนุ่มถามออกมา
“ใกล้จะเริ่มแล้วล่ะ” หยวนหยินหนิงพยักหน้ารับ พร้อมตาที่หลิ่วลงอย่างเย็นชา ตัวเขาเองที่สร้างความร่วมมือฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วนั้นเพราะหวังที่จะใช้อำนาจของพวกนั้น แต่เขาก็ต้องแอบซ่อนหลายๆสิ่งที่เขาทำไว้เบื้องหลังสองคนนั้นด้วย
….
ณ ที่เกิดเหตุตกตึก ซูจิ้งได้ให้หนูขาวตัวหนึ่งดมกลิ่นไปทั่ว มันพบกลิ่นของคนหลายๆคน แต่ด้วยการที่กลิ่นมันจางมากจึงไม่สามารถหาไปที่ไหนกันแน่ อีกทั้งเมืองใหญ่แบบนี้ย่อมมีกลิ่นรบกวนทำให้ยากต่อการติดตาม
เมื่อได้รับข้อมูลมาแบบนั้น ซูจิ้งได้ปล่อยหนูของเขาออกไปอีกหลายตัวเพิ่มเริ่มการสืบค้น
แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้หวังอะไรกับวิธีการนี้มากนัก เขาจึงได้นำกระจกย้อนความออกมา และใช้มันในการดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งในระยะเวลาที่ผ่านมานี้ หลังจากที่เขาได้รับตำราราชันย์แห่งสายน้ำไป เขาไม่เคยจะไม่ฝึกฝนมันเลยสักวันเดียว ต่อให้เขายุ่งวุ่นวายขนาดไหนก็ยังหาเวลาฝึกอย่างน้อยวันละครั้ง
เพราะเขารู้ดีว่าความแข็งแกร่งของพลังเวทมนต์ของเขานั้นสำคัญที่สุด ถึงแม้มันจะนำออกมาใช้แบบทั่วไปไม่ได้ แต่เมื่อถึงเวลาคับขันมันสามารถช่วยเขาได้ทุกครั้งไป และอาจจะช่วยได้แม้แต่ชีวิตเลยด้วยซ้ำ
นี่ทำให้ความแข็งแกร่งของพลังเวทย์มนต์(พลังภายใน)ของเขานั้นแข็งแกร่งขี้นมาก เหมือนดังคำที่ว่ากองทัพที่แข็งแกร่งยังต้องใช้เวลาฝึกฝนนับพันวัน
และด้วยเหตุนี้ทำให้เขานั้นสามารถใช้กระจกย้อนความนี่ได้ง่ายขึ้น
จากภาพในกระจกนั้นเขาเห็นผู้ชายหลายๆคนกำลังพังประตูบ้านของเว่ยเสี่ยวหยวนและพยายามตรงเข้าไปจับเธอ แต่เธอเองก็ได้ใช้เพลงหมัดวัวคลั่งขัดขืนสุดแรงกล้า
“โอ้ ท่วงท่าที่ใช้ถือว่าเยี่ยมเลยแหะ ถึงแม้ฉันจะฝึกสอนเธอหลายหนแล้วก็จริงแต่ตอนนั้นเธอไม่ได้ทำออกมาได้ดีขนาดนี้นี่นา
นี่แสดงว่าต้องไปแอบฝึกเพิ่มแหงๆ ต้องขอบคุณเพลงหมัดวัวคลั่งจริงๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงจะโดนอุ้มไปโดยทำอะไรไม่ได้เป็นแน่
แต่ไอ้คนพวกนั้นที่กล้ามาลักพาตัวนี่มันอะไรกัน ทุกคนมันก็ใส่หน้ากากกันหมดนี่นา แล้วทำเว่ยเสี่ยวหยวนถึงจำตงฉิได้ล่ะ”
ในขณะที่ซูจิ้งกำลังสงสัยอยู่นั้น เขาก็ได้เห็นว่าหนึ่งในคนลักพาตัวได้ดึงหน้าการของตงฉิออก ตงฉิเองในตอนแรกก็คิดว่าเป็นอุบัติเหตุ แม้แต่เว่ยเสี่ยวหยวนที่อยู่ในเหตุการณ์เองก็คิดว่าเป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่ซูจิ้งกลับไม่คิดแบบนั้น
“มีบางคนต้องการให้เว่ยเสี่ยวหยวนเห็นตงฉิ นี่เท่ากับว่าหมอนี่จะกลายเป็นหมาล่าเนื้อแล้วยังต้องเป็นโล่ไปเต็มๆเลยสินะ หากว่าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยไป ฉันจะได้ไปสาวไปถึงตัว” ซูจิ้งคิดพลางปลดปล่อยกระแสจิตของตัวเองไปโดยรอบในทันที จนในที่สุด เขาก็ได้หันออกไปทางหน้าต่างและพูดขึ้นว่า “กลายเป็นว่ากล้องที่ถนนฝั่งตรงข้ามสามารถเห็นภาพที่นี่ได้ ที่คนๆนั้นดึงหน้ากากออกไม่ใช่ป้องกันความผิดพลาดจากเว่ยเสี่ยวหยวน แต่เป็นกล้องนั่นรึ”
“ผมว่าผมสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ครับ” หลัวฉือหลินพูดออกมา
“ไม่ต้อง ทำไปก็เท่านั้น” ซูจิ้งพุดออกมาก่อนที่จะให้หนูตัวหนึ่งนำทางเขาออกไป เขาได้เดินไปตามทางในขณะที่คอยใช้กระจกย้อนความส่องไปด้วย
จนในที่สุดก็มาถึงถนน เขาได้เห็นตงฉิขี่มอเตร์ไซต์เข้ามา หลังจากนั้นก็ได้มีรถโฟล์คชวาเก้นอีกคันเข้ามาจอด ซูจิ้งเห็นแผ่นป้ายทะเบียนอย่างชัดเจน จึงได้ให้หลัวฉือหลินและซูฉือร่วมกันสืบหารถคันนั้นในทันที จนในที่สุดพวกเขาก็ได้ข้อมูลของรถคันนั้นมา
GGS:บทที่ 1062 พายุคลั่ง
ซูจิ้งและสแตนด์ของหลัวฉือหลินได้ไปยังข้างถนนแห่งหนึ่งบริเวณชายขอบเมือง ที่นั่นมีรถโฟล์คชวาเก้นจอดอยู่และไม่มีใครอยู่ข้างใน จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาเขาบอกได้เลยว่ารถคันนี้เป็นรถที่ถูกขโมยมาอีกที
ซูจิ้งไม่ได้อารมณ์เสียแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ใช้กระจกย้อนความของเขา คราวนี้ในที่สุดแล้วเขาก็ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเหล่าคนร้ายสักที
นั่นก็เพราะหลังจากที่คนร้ายลงจากรถ พวกมันได้หันมองซ้ายขวาอยู่นาน หลังจากแน่ใจว่าไม่มีคนจึงได้ถอดหน้ากากออกมาและเดินเข้าเมืองไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกมันได้เดินเข้าไปข้างทางราวกับเป็นกลุ่มคนที่ออกมาเดินเล่นก็ไม่ปาน ด้วยการที่พื้นที่บริเวณนี้เป็นส่วนเชื่อมต่อระหว่างเมืองทำให้มีรถผ่านไปมาน้อยมาก
“ค้นหาพวกมันให้ฉัน” ซูจิ้งถ่ายรูปคนร้ายแล้วพูดออกมา
“รับทราบ” สแตนด์ของหลัวฉือหลินได้พุ่งไปตามทางที่เห็นคนร้ายเดินไปจากกระจกย้อนความในทันที แน่นอนว่าซูจิ้งเองก็ไม่ได้อยู่เฉยและได้เข้าร่วมการค้นหาด้วย
หากทั้งสองได้ร่วมมือกันล่ะก็ ไม่ที่ใดบนโลกนี้เลยที่สามารถหยุดยั้งทั้งสองไปได้ หากทั้งสองได้เข้าร่วมกับคนเลวแน่นอนว่าโลกนี้ย่อมตกอยู่ในความโกลาหลอย่างไม่ต้องสงสัย
ยังดีที่ซูจิ้งนั้นมีจริยธรรมในจิตใจ และจะทำเรื่องไม่ดีเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และแน่นอนว่ากับคนกลุ่มนี้เขายินดียิ่งที่จะทำเลวทรามอย่างไม่อิดออด
ไม่นานนัก พวกเขาก็ได้พบตัวคนร้อยพร้อมข้อมูลส่วนตัว และในตอนนี้ พวกมันอยู่ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง
ซูจิ้งไม่พูดอะไรแม้แต่น้อยหลังจากได้ข้อมูลมา เขาได้ขึ้นหลังอินทรีย์ทองและไปลงที่บันไดหนีไฟของสถานบันเทิงโดยไม่มีใครพบเห็นเพราะว่ามันมืดมาก
ซูจิ้งเดินลงไปใดไปพร้อมทั้งปล่อบกระแสจิตตรวจสอบภายในตึกไปด้วย เขาพบตัวคนร้ายอย่างรวดเร็วและตรงไปชั้นที่พวกนั้นอยู่ในทันที
เด็กเปิดประตูที่หนก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องไปที่ซูจิ้ง พวกเขานั้นไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองที่เห็น และไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิดว่าจะได้พบซูจิ้งมาที่แบบนี้
เมื่อตั้งสติได้ เด็กเปิดประตูจึงได้ถามออกมาว่า “คุณซูครับ คุณซูจะมาอาบน้ำ นวด หรือร้องคาราโอเกะหรือครับ”
“หาคน”
“แล้วคุณต้องการหาใครหรือครับ ผมจะได้เรียกเขามาให้”
“ไม่รู้ชื่อหรอก รู้แต่ว่ามันอยู่ที่นี่”
“…..คุณซู ตรงนี้เป็นพื้นที่VIPครับ ผมไม่สามารถให้คุณเข้าไปได้หากไม่ได้รับการยืนยัน…”
ซูจิ้งไม่ได้สนใจคำพูดของคนเปิดประตูและตรงเข้าไปข้างในทันที ที่ด้านใน มีบอดี้การ์ดสองคนยืนคุมอยู่ด้วยท่าทางแข็งขันและดุดัน
แต่ทันทีที่ทั้งสองเห็นซูจิ้งค่อยเดินเข้ามาใกล้เรื่อย เหงื่อของทั้งสองคนก็เริ่มจะไหลรินออกจากหน้าผากจนเปียกชุ่มด้วยความเกรงกลัว
แต่ด้วยหน้าที่ของพวกเขาจึงได้แต่เข้าไปห้ามปราม ซูจิ้งเองก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เขาทำเพียงแค่ตบไปบนใบหน้าของทั้งสองจนกระเด็นไปติดกำแพงและไถลลงไปกองกับพื้นพอเป็นพิธีเท่านั้นเพราะไม่อยากสร้างปัญหาให้สองคนนี้ หลังจากนั้นเขาก็เดินต่อไป
“หัวหน้า!!!! พวกเรามีปัญหาแล้วครับ” คนเปิดประตูเมื่อครู่ได้โทรศัพท์ออกไปเบอร์หนึ่งในทันที
“ใครกล้ามาก่อปัญหาวะ” ที่ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงโกรธอย่างมาก
“ซูจิ้ง”
“ซูจ….ห้ะ ขออีกทีสิ”
“ซูจิ้งครับ เป็นซูจิ้งคนนั้น คนที่เป็นเทพอวตารนั่น…”
“แม่..เอ๊ย เขามาทำอะไรในที่ของฉันเนี่ย”
“เอายังไงดีครับ จะหยุดเขารึเปล่า”
“หยุด… แกทำได้รึไงกัน ยิ่งไปกว่านั้นถ้าแกหยุดได้แกจะโทรมาถามฉันทำไมกัน ใครที่กล้าไปท้าทายพระเจ้าคนนั้นเขาจะกลายเป็นเทพสังหารในทันทีนะเว้ย แค่เขาดีดนิ้วธุรกิจของฉันก็ล่มสลายแล้ว เอ็งรีบๆๆๆๆๆๆ รีบไปให้ความร่วมมือกับเขาทุกอย่างที่เขาต้องการเดี๋ยวนี้ซะ”
“ยินดียิ่งครับ”
ในตอนนั้นเอง เจ้าหน้าที่ทุกคนตั้งแต่บริกรยันนักเลงคุมคาราโอเกะก็ได้พร้อมใจออกมายืนรายทางด้วยหัวใจที่ละส่ำและไม่กล้าทำอะไร
ในตอนนั้นเองชายวัยกลางคนคนหนึ่งได้ก้าวเข้ามาหาซูจิ้งก่อนจะโค้งคำนับอย่างเคารพสุดหัวในพร้อมยื่นซองบุหรี่ให้และถามออกมาด้วยรอยฝืนยิ้มว่า “คุณ..เอ่อ คุณซูครับ ไม่ทราบว่าจะให้พวกเราบริการอะไรคุณดีครับ”
“เปิดประตู” ซูจิ้งชี้ไปที่ประตูของห้องคาราโอเกะห้องหนึ่ง
“แต่ที่นั่น มัน….” ชายวัยกลางคนพูดออกมาอย่างกระอักกระอ่วนพร้อมความรู้สึกที่ไม่อยาก
“หากคุณไม่เปิด ผมจะพังมัน แล้วหลังจากนั้นผมสามารถทำให้ที่นี่ปิดและทำให้คุณเข้าคุกได้เลย คุณเชื่อรึเปล่า” ซูจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“งั้น….เชิญเข้าไปเลยครับผม” ชายวัยกลางคนที่ตอนนี้เหงื่อชุ่มจนโชกแล้วนึกถึงคำสั่งของเจ้าของคาราโอเกะแห่งนี้มาแล้วก็ได้รีบเข้าไปเปิดประตูในทันที ประตูนี้ไม่มีล็อคด้านใน มีเพียงล็อคไฟฟ้าเท่านั้นทำให้สามารถเปิดได้ทุกเมื่อที่แตะบัตร
ณ ห้องด้านใน ในตอนนี้มีชายหนุ่มจำนวนหนึ่งกำลังนอนอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเตียงโดยมีสาวน้อยที่กึ่งเปลือยและเปลือยเปล่าร่างกายคอยบีบนวดให้
แต่เมื่อพวกเขารู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังจะเข้ามา พวกเขาต่างก็ร้อนรนในทันที โดยต่างคิดว่าคนที่เข้ามาเป็นตำรวจ ส่วนพวกผู้หญิงในเองก็ตกใจจนรีบหาผ้าผ่อนมาปิดบังกายอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อผู้ชายเหล่านั้นเห็นว่าเป็นซูจิ้ง ทำให้ทุกคนต่างก็นิ่งอึ้งไปจนทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง
จนเมื่อได้สติ สีหน้าของชายเหล่านี้ได้เปลี่ยนไปในทันที พวกเขารีบลุกขึ้นและอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่ทางออกเดียวของพวกเขามีซูจิ้งยืนขวางไว้แล้วพวกเขาจะหนีไปได้ล่ะ
คนแรกที่อยู่ใกล้ที่สุดถูกซูจิ้งเตะเข้าไปหนึ่งทีและลงไปกองที่พื้นในบัดดล อีกสามคนที่เห็นท่าไม่ดีจึงได้ไปคว้าขวดเบียร์และเก้าอี้และเขวี้ยงไปยังหัวของซูจิ้ง
อย่างไรก็ตามเพียงชั่วพริบตา พวกเขาที่พึ่งจะเขวี้ยงสิ่งต่างๆออกไปก็ได้สติดับวูบพร้อมภาพที่เห็นพื้นห้องอยู่ในระนาบเดียวกันและคนอื่นๆที่ลงไปนอนกองกับพื้นพร้อมความรู้สึกสับสนและเจ็บปวดจนต้องร้องโอดครวญออกมา
หลังจากเห็นฉากนี้ ชายวัยกลางคนที่เป็นคนเปิดประตูให้นั้นเหงื่อของเขาไหลจนหยดออกมาจากใบหน้าหลายสิบหยด พลางคิดไปถึงก่อนหน้านี้ว่าดีที่ไม่ขัดขืนซูจิ้ง หากเขาทำคงมีสภาพไม่ต่างกันหรืออาจแย่ยิ่งกว่า
ซูจิ้งนั้นน่าสะพรึงกลัวดั่งที่เรื่องลือจริงๆ ไม่สิ ต้องบอกว่ายิ่งกว่าที่เขาลือกัน เพราะเท่าที่เขาเห็นสภาพทั้งสี่คนแล้ว บอกได้เลยว่าต้องกระดูกหักหลายท่อนแล้วอย่างแน่นอน
“คุณซูครับ พวกมันทำอะไรให้คุณขุ่นเคืองใจครับ” ชายวัยกลางคนถามออกมาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ฝืนแม้แต่น้อย
“ออกไปแล้วปิดประตู” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทีไร้อารมณ์
“ได้ครับได้” ชายวัยกลางคนรีบตอบรับคำแล้วยกมือขึ้นให้หญิงสาวที่อยู่ในห้องก่อนหน้านี้รีบออกไปในทันที เมื่อหญิงสาวออกไปแล้ว เขาก็รีบออกไปพร้อมปิดประตูในทันที เมื่อออกไปกันหมดแล้ว ซูจิ้งจึงได้กางม่านพลังจิตเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
ด้วยการนี้พวกเขาสามารถโทรเรียกตำรวจได้แต่พวกเขาไม่ทำอย่างแน่นอน หนึ่งคือพวกเขาไม่ต้องการมีเรื่องกับซูจิ้ง อีกหนึ่งคือธุรกิจของพวกเขานั้นออกจะสีเทาอยู่สักหน่อย
พวกเขาจึงคิดว่าอยู่เฉยๆแบบนี้ไปก่อนจะดีกว่า แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกกังวลอยู่อย่างเดียว พวกเขาหวังว่าซูจิ้งจะไม่ฆ่าใครไป หรืออย่างน้อยๆก็อย่าจบเรื่องราวทุกอย่างที่นี่เลย
“คุณซู ไว้ชีวิตด้วยครับ”
“พวกเราไม่ได้ทำอะไรคุณเลยนะ ถ้าหากพวกเราเผลอทำอะไรไปพวกเรายินดีที่จะกราบขอโทษคุณ ขอเพียงคุณไม่คิดทำอะไรที่เกินเลยกว่านี้”
เหล่าผู้ชายที่โดนซูจิ้งอัดปางตายได้กราบกรานขอชีวิตอย่างไม่มีทางหนีรอด
“โห่….ไม่ได้ทำอะไรแล้วจะวิ่งหนีฉันทำไม เห็นฉันเป็นคนโหดเหี้ยมงั้นเหรอ” ซูจิ้งสบถออกมา
“ก็…ก็คุณซูอยู่ๆก็เข้ามาพวกเราก็นึกว่าเป็นตำรวจ ทำ..ทำให้พวกเรากลัวสับสนและลนลานไปชั่วขณะ…ครับ” ชายอีกคนหนึ่งพยายามอธิบายโดยที่ชายคนอื่นพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมท่าทางอันเจ็บปวด
ซูจิ้งไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดอีกจึงได้ปล่อยกระแสจิตโจมตีจิตใต้สำนึกอย่างหนักหน่วงและทำการสะกดจิตในทันที
หลังจากนั้นทุกคนก็ได้สารภาพออกมาเกี่ยวกับการลักพาตัวเว่ยเสี่ยวหยวนอย่างหมดเปลือก
“คุณซูล่ะ” ที่ด้านนอกประตู ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งในชุดสูท ที่ดูค่อนข้างภูมิฐานและหัวล้านได้เข้ามาหาชายวัยกลางคนก่อนหน้านี้ในทันทีที่มาถึง
“คุณซูอยู่ข้างในกับแขกอีกสี่คนที่โดนจัดการโดยคุณซูไปแล้วครับ ทั้งสี่คนดูเหมือนจะไปหาเรื่องคุณซูเข้า และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆด้วย”
“งั้น หากเขาถามก็บอกไปว่าฉันไม่รู้จักไอ้สี่คนนั่นนะ ฉันไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรด้วยกับพวกมัน พวกมันเป็นแค่แขกของเราเท่านั้น” ชายหัวล้านในตอนนี้หลังจากได้ยินก็มีเหงื่อท่วมไปทั้งหัว
ความจริงแล้วเขาและสี่คนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันจริงๆแค่คุ้นกันเพราะพวกนั้นมากินเหล้าที่นี่บ่อยๆเท่านั้น
เขาเองก็รู้ว่าสี่คนนี้ทำงานสกปรก แต่ตราบใดที่มาเป็นแขกของที่นี่และรักษากฎของที่นี่เขาก็ไม่มีปัญหาอะไร ใครจะไปคิดว่าไอ้สี่คนนี้จะเป็นดาวเพชรฆาตเรียกเทพอวตารมาได้
หากว่ารู้อย่างนี้ล่ะก็ก็ควรจะไปหากินที่อื่นสิฟะ จะเรียกเทพอวตารมาเยือนที่นี่กะจะลากลงนรกไปพร้อมกันรึไง
GGS:บทที่ 1063 ตีแตงโมด้วยรัตตัน(ทำเรื่องเล็กๆด้วยคนใหญ่ๆ)
“เอาล่ะ บอกมาสิว่าพวกแกทำไมถึงไปจับตัวเว่ยเสี่ยวหยวน” ในห้องนวดส่วนตัว ซูจิ้งใช้พลังจิตของเขาควบคุมผู้ร้ายทั้งสี่คนให้ตอบคำถาม
“พวกเรา ถูก ว่าจ้าง” ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มได้พูดออกมา
“ใคร?”
“ไม่ทราบครับ พวกนั้นเรียกตัวเองว่าเงา”
“แล้วพวกแกเกี่ยวอะไรกับตงฉิ”
“พวกเราได้รับการติดต่อจากเงาให้นำหมอนั่นไปด้วย หลังจากนั้นให้ดึงหน้ากากออกมาในเวลาที่เหมาะสม เมื่อได้ยินดังนั้นเราก็รู้ทันทีว่าหมอนั่นเป็นเพียงโล่ของพวกเราเผื่อไว้เวลามีเหตุการณ์ฉุกเฉิน นี่เป็นเหตุผลที่เราพาหมอนั่นไป”
“หึ ว่าแล้ว ตงฉิก็แค่ตัวหมาก” ซูจิ้งสบถออกมา มันเป็นจริงที่เขาคาดไว้ว่าตงฉิเป็นแค่หน้าเสื่อเท่านั้น เพราะต่อให้ตงฉิจะเกลียดเว่ยเสี่ยหยวนขนาดไหน แต่ด้วยการที่เธออยู่กับซูจิ้งหมอนี่ย่อมไม่อยากหากไม่มีแรงกระตุ้น
ต้องขอบคุณเครื่องมือวิเศษอย่างกระจกย้อนความที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯจริงๆ เพราะนี่ทำให้เขาได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจนกระทั่งจับตัวคนร้ายไว้ได้
ตอนนี้ที่เขาต้องทำก็เหลือแค่การหาคนร้ายตัวจริงเท่านั้น
“ในเมื่อพวกแกไม่รู้ว่าใครเป็นเงา ถ้าอย่างนั้นพวกแกติดต่อกันยังไง”
“เป็นเงาที่โทรหาพวกเรา หมอนั่นใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรเข้ามา”
“ในเมื่อพวกแกไม่รู้จักกันแล้วแกยังกล้าที่จะลักพาตัวเว่ยเสี่ยวหยวนเนี่ยนะ นี่มันอาชญกรรมใหญ่เลยนะเว้ย พวกแกไม่กลัวว่านี่จะเป็นกับดักเลยรึไง” ซูจิ้งถามออกมา
“หมอนั่นจ่ายให้เราก่อนสองแสนหยวนเป็นค่าดำเนินการ ในตอนที่เรารับงาน เงินก้อนนี้ก็โอนมาให้พวกเราโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกนั้นรู้เลขบัญชีได้ยังไง
ต่อจากนั้นหมอนั่นบอกเราว่าจะจ่ายเงินให้อีกหนึ่งล้านแปดแสนหยวนหลังเสร็จงาน แล้วจะให้เรากล้าอยู่เฉยได้ยังไง”
ถึงแม้ซูจ้งจะไม่ได้มีโอกาสถามตงฉิเกี่ยวกับเงาก็ตาม แต่ด้วยเงินที่ทำให้ปีศาจยอมหมุนกังหันลมได้แบบนี้ยังไงซะก็ต้องมีคนอาสาทำเป็นแน่
แม้แต่สวะสังคมแบบนี้ยังว่าจ้างกันได้ตรงๆแบบนี้ต้องมีอำนาจไม่น้อยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เงานั่นยังจูงใจตงฉิที่มีเรื่องคัดแย้งกับเว่ยเสี่ยวหยวนได้แบบนี้คนทุ่มเงินไม่น้อยเช่นเดียวกัน ได้ทั้งล้างแค้น ได้ทั้งเงิน มีหรือที่คนแบบนั้นจะไม่คว้าเอาไว้
ตงฉิเองถึงแม้จะไม่อยากจะหาเรื่องเขาก็ตาม แต่ด้วยโอกาสที่มาพร้อมกันแบบนี้ ทำให้คนแบบนี้หลงโง่งมและคิดว่าจะสำเร็จได้โดยง่ายบ่อยๆเหมือนกัน
“เอาบัตรของพวกแกออกมา” ซูจิ้งพูดออกมา ชายหนุ่มหัวหน้ากลุ่มก็ได้หยิบบัตรกดเงินของตัวเองอย่างว่าง่าย หลังจากนั้นซูจิ้งให้หลัวฉิหลินและซูฉือสืบสวนที่มาของเงิน แต่ก็พบเพียงว่าเป็นการโอนผ่านคนกลางที่ไม่สามารถหาร่องรอยสาวต่อไปได้
“….ถ้าพวกแกทำงานเสร็จแล้ว พวกแกต้องทำอะไรเป็นลำดับต่อไป” ซูจิ้งถามออกมา
“พวกเราต้องไปรับเงินจากคนๆหนึ่ง”
“ที่ไหน?” ซูจิ้งถามออกมา หลังจากนั้นชายวัยกลางคนหัวหน้ากลุ่มก็ได้ให้ที่อยู่ของสถานที่ของคนที่ว่าจะจ่ายเงินให้พวกเขา
หลังจากนั้นซูจิ้งให้หลัวฉือหลินไปสืบดูและคอยสังเกตุการณ์เอาไว้ โดยที่แห่งนั้นภายนอกมีบอดี้การ์ดเฝ้าโดยรอบ อาณาเขตของพื้นที่นี่ราวๆหนึ่งตารางกิโลเมตร
เขาตรวจสอบโดยการใช้กล้องส่องทางไกลสังเกตการณ์โดยรอบอยู่ไม่ขาด เขาประเมินแล้วว่าหากเป็นคนทั่วไปแล้วคงยากที่จะเข้าไปได้ แต่กับสแตนด์ของหลัวฉือหลินแล้ว มันเร็วเพียงชั่วลมหายใจหนึ่งเท่านั้น
สแตนด์ของหลัวฉือหลินได้ถูกส่งมาหาซูจิ้งเพื่อรายงานโดยได้รายงานว่า “นายท่าน ที่นั่นคือสถานีกำจัดของเสียแห่งหนึ่ง ไม่มีใครอยู่ภายในเลยแม้แต่คนเดียว”
เมื่อได้ยินดังนั้นทำให้ซูจิ้งไม่ได้แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อการเป็นคนกลางนั้นจะประสบความสำเร็จได้จะต้องแฝงตัวให้ลึกลับให้ได้มากที่สุด การที่พวกนั้นตื่นตัวขนาดนี้แล้วแสดงว่าน่าจะพอรู้แล้วว่าเว่ยเสี่ยวหยวนตกตึกไป ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการตรวจตาหนาแน่นขนาดนั้น
“นายท่าน จะทำยังไงต่อดีครับ แล้ว…จะเอายังไงกับคนพวกนี้ดี”
“พวกนี้หมดประโยชน์แล้ว เรียกตำรวจมาจับได้เลย ส่วนนายอยู่ที่นี่รอจนกว่าตำรวจจะเอาตัวพวกมันไป ส่วนฉันจะล่วงหน้าไปสถานที่กำจัดของเสียนั่นก่อน….” ซูจิ้งพูดออกมา
“รับทราบ” สแตนด์ของหลัวฉือหลินพยักหน้ารับคำสั่ง
ซูจิ้งเปิดประตูและเดินออกมาจากห้อง ชายหัวล้านวัยกลางคนนั้นได้รีบเขามาพบด้วยรอยยิ้มละไม ส่วนตาของเขานั้นจับจ้องไปดูสถานการณ์ด้านใจเพราะกลัวว่าคนทั้งสี่จะตายกลายเป็นปุ๋ยไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรมากจึงได้ถามออกมาว่า “คุณซูครับ รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆที่ได้พบคุณที่นี่ หาคุณไม่รังเกียจขอให้ผมเป็นคนจัดการคนพวกนั้นเอง ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน”
“ไม่ต้อง ผมเรียกตำรวจมาแล้ว เดี๋ยวคนพวกนั้นก็โดนรวบไปเองนั่นแหล่ะ” หลังจากพูดจบ ซูจิ้งก็ได้รีบเดินขึ้นบันไดไปข้างบนตึกทันที
ชายหัวล้านเห็นดังนั้นจึงได้รีบวิ่งเข้าไปในห้องเพื่อดูว่าทั้งสี่คนยังมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ เมื่อเห็นดังนั้น เขาได้มีท่าทีโล่งใจและรีบสั่งออกมาด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวว่านับแต่นี้ที่นี่จะไม่รับแขกที่ผิดกฎหมายทุกรูปแบบ
ซูจิ้งเมื่อไปถึงดาดฟ้า เขาได้ขี่อินทรีย์ทองและบินไปยังสถานที่ที่มีชื่อว่าโรงคัดแยกเฟยฉี หลัวฉือหลินเองที่ตรวจสอบดูอยู่ก่อนแล้วก็ยังไม่พบอะไรผิดปกติจึงคิดจะเข้าไปสำรวจด้วยตัวเอง
ในตอนนั้นเองซูจิ้งก็ได้มาถึง เขาสำรวจดูกว่ายี่สิบนาทีก็ไม่เจออะไรจึงได้นำกระจกย้อนความมาช่วยในการสืบสวนอีกครั้ง
ซูจิ้งคาดการณ์ไว้ว่าคนกลางนั้นน่าจะเรื่องที่นี่เพียงเพื่อเป็นที่นับพบเท่านั้น และพวกนั้นเองต้องแน่ใจแล้วว่าไม่หลงเหลืออะไรไว้ถึงค่อยจากไป
หากเป็นคนธรรมดามาสืบค้นก็คงจะไม่ได้ความอะไรเหมือนกัน เรื่องแบบนี้มันไม่ได้เหมือนกับหนังสืบสวนที่ฉายในหนังที่เป็นนิยมกันหรอก หากว่าคนธรรมดาพลาดอะไรไปแม้แต่น้อยจะเท่ากับว่าพวกเขาจะไม่สามารถสืบต่อได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม กับซูจิ้งผู้ที่มีของวิเศษอย่างกระจกย้อนความนั้น เขาไม่ต้องใส่ใจเรื่องเล็กน้อยแบบนั้นแต่อย่างใด เพียงไม่นานเขาก็พบร่องรายของคนที่น่าจะเป็นเป้าหมายของเขา
เรียกได้ว่าหากไม่เจอก็ไม่แปลกเพราะคนๆนี้เข้ามาเพียงชั่วครู่และจากไปโดยไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
ซูจิ้งได้ตามร่องรอยของเขาต่อไปโดยได้ให้หลัวฉือหลินและซูฉือตามหาคนที่เขาพบจนกระทั่งพบตัว คนๆนี้คือคนที่เรียกตัวเองว่าเงาหรือก็คือคนที่ติดต่อตงฉิและคนร้ายทั้งสี่นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม คนๆนี้ไม่ใช่คนบงการแต่อย่างใด เขานั้นเป็นเพียงสมาชิกพิเศษของตลาดมืด เขาเองก็รับงานนี้มาอีกต่อหนึ่งเหมือนกันและก็ไม่รู้ด้วยว่าใครกันแน่ที่อยากจะจับตัวเว่ยเสี่ยวหยวน
“ดูเหมือนว่าคนบงการนี่จะสืบเรื่องของฉันมาดีจนรู้เลยว่าฉันสามารถสืบหาร่องรอยพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด
ในตอนนี้เขาเลือกที่จะสืบท่อน้ำเลี้ยงของเรื่องนี้นั่นก็ตลาดมืด ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินเรื่องตลาดมืดมาบ้างแล้วจากเรื่องที่มีคนมาลักพาตัวเสี่ยวรุย
ในตอนนั้นเขาก็ว่าเขาได้แสดงให้เห็นตัวอย่างของคนที่กล้ามาตอแยเขาและคนของเขาไปแล้วแต่ดูเหมือนว่าคงจะไม่เพียงพอจริงๆ
ตอนนี้เขาเองไม่รังเกียจเลยสักนิดที่จะกวาดล้างธุรกิจมืดที่มีชื่อว่าตลาดมืดนี้
“ลูกพี่หยวน ไม่ดีแล้วครับ” ในสำนักงานแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งรีบเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในทันทีที่เขาเข้ามาก็ได้รีบปิดประตูก่อนที่จะรีบเข้ามากระซิบเบาๆกับหยวนหยินหนิงแบบนี้
“…เกิดอะไรขึ้น” หยวนหยินหนิงถามออกมา
“เงาพลาด และดูเหมือนว่าซูจิ้งจะจับเขาไปแล้ว”
“เป็นไปได้ยังไง ไม่ใช่ว่าหมอนี่ไม่เคยพลาดเลยสักครั้งไม่ใช่เหรอ โดยเฉพาะจะสืบจากไอ้พวกข้างถนนนั่นยิ่งไม่มีทางเข้าไปใหญ่ ทำไมพวกนั้นถึงเจอตัวเงาเร็วขนาดนี้” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยความตกใจ
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่เป็นไปได้ว่าตอนนี้หมอนั่นน่าจะเพ่งเล็งไปที่ตลาดมืดเรียบร้อยแล้วและน่าจะเริ่มสืบสวนอย่างจริงจังแล้ว ไม่ช้าก็เร็วหมอนั่นต้องเจอพวกเราแน่”
หยวนหยินหนิงในตอนนี้แสดงใบหน้าที่น่าเกลียดออกมาอย่างหนัก เขาเองก็คิดว่าตัวเองรู้จักซูจิ้งดีพอแล้วจึงได้กล้าลงมือทำอะไรลงไป เขาเชื่อว่าด้วยข้อมูลที่เขารู้เกี่ยวกับซูจิ้ง หมอนั่นไม่สมควรจะพบเจอร่องรอยของพวกเขารวดเร็วแบบนี้ ต่อให้ผิดพลาดเขาก็แค่หลบหายเข้ากลีบเมฆและรอคอยโอกาสอีกครั้ง
คิดไม่ถึงว่าเขาหาได้แม้กระทั่งที่อยู่ของเงา นี่แสดงว่าเขาสามารถสืบหาเงาได้โดยร่องรอยเพียงน้อยนิดเท่านั้น นี่หมายความว่าความสามารถในการแกะรอยของเขานั้นไม่ได้แย่อย่างที่คิดเลยแม้แต่น้อย
“ดูเหมือนว่าเราคงต้องใช้แผนถัดไปแล้ว” หยวนหยินหนิงพูดพร้อมกับถอดถอนหายใจออกมา
“ลูกพี่ต้องการจะบอกฮัวหยุนชูและฟูหงซิ่วรึเปล่าครับ”
“ไม่ต้อง ไอ้พวกนั้นถ้าอยากจะรู้เดี๋ยวพวกมันก็รู้กันเองอยู่ดี แต่ฉันเองก็เชื่อว่ามันมีเรื่องบางเรื่องที่พวกมันไม่อยากจะรู้อย่างแน่นอน”
GGS:บทที่ 1064 ลมและฝนกำลังมา
“นายน้อยครับ เราจะเริ่มแผนการต่อไปตอนไหน” ชายหนุ่มคนหนึ่งถามออกมา
“เอาเป็นตอนนี้กลับไปวิเคราะห์ข้อมูลเรื่องนี้กันก่อนดีกว่า พวกเราต้องใส่ใจเรื่องซูจิ้งให้มากกว่านี้แล้ว” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อในความสามารถของซูจิ้งเลยสักนิด
การที่สามารถตอบโต้การกระทำของเขาได้อย่างทันท่วงทีแบบนี้มันทำให้เขานั้นทำอะไรได้อยากขึ้น แถมตอนนี้ซูจิ้งน่จะต้องระวังตัวมากกว่าเดิม และแน่นอนว่าย่อมมีแผนการรับมือเอาไว้แล้วด้วยเช่นเดียวกัน นี่ทำให้เขาต้องรัดกุมมากขึ้นกว่าเดิมอีก
ทั้งหมดได้รีบออกจากสำนักงานแล้วตรงกับไปยังที่พัก หลังจากนั้นจึงได้เปิดคอมพิวเตอร์แล้วทำการนั่งวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ข้อมูลแรกเป็นข้อมูลของสไปเดอร์แมน ข้อมูลส่วนนี้จะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับสไปเดอร์แมนที่ได้ทำเอาไว้
อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องราวของบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับสไปเดอร์แมน ประกอบด้วยเว่ยเสี่ยวหยวน เลาชง และนาหลันเฟย โดยข้อมูลส่วนนี้ข้อมูลของเว่ยเสี่ยวหยวนนั้นถือได้ว่ามีมากที่สุด
เหตุผลที่หยวนหยุนหนิงอยากได้ตัวเว่ยเสี่ยวหยวนนั้นหนึ่งคือเธอเป็นคนแรกที่ทำให้สไปเดอร์แมนต้องเป็นข่าว อย่างที่สอง เธอมีความใกล้ชิดกับซูจิ้งอย่างมาก หากได้ตัวเธอมาเขาน่าจะได้ข้อมูลของซูจิ้งออกมาไม่มากก็น้อย
แถมเธอเองยังหาตัวง่ายและซูจิ้งเองสมควรจะมีความทรนงตัวอยู่ว่าไม่มีใครกล้าหาเรื่อง ซูจิ้งจึงไม่น่าจะได้สอดส่องเธอ นี่จึงเป็นโอกาสในการนำตัวเธอมา
การได้ตัวเธอมานี้เขาเชื่อว่าเขาต้องได้ข้อมูลของซูจิ้งไม่ก็สไปเดอร์แมนอย่างแน่นอน
แต่ใครจะไปคิดว่าเว่ยเสียวหยวนนั้นจะแกร่งกว่าคนทั่วไปมากนัก และเธอทำแม้กระทั่งกระโดดออกมาจากตึกดีกว่าจะถูกจับตัวไป
ข้อมูลกลุ่มที่สองก็คือกองโจรเกล็ดงู ข้อมูลที่หยวนหยินหนิงมีนั้นมีแม้กระทั่งข้อมูลของลู่ยี่หมิงที่เป็นมนุษย์เกล็ดงู มีแม้แต่เรื่องที่ตำรวจได้ปะทะกับมนุษย์เกล็ดงูด้วยซ้ำ
ข้อมูลที่สองนี้ตอนที่เขาได้มานั้นทำให้พวกเขาพูดกันไม่ออกไปพักใหญ่ เหตุการณ์ความรุนแรงของกองโจรเกล็ดงูที่ต่อสู้กับตำรวจนี้ไม่ได้ถูกเผยแพร่แต่อย่างใด
ตอนเขาไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเองก็พบอะไรแปลกๆเหมือนกัน คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นส่วนใหญ่ก็ตกตายไปหมดแล้วด้วยมนุษย์เกล็ดงูนั่น
ที่น่าสนใจและแปลกใจยิ่งกว่านั้นก็คือสภาพที่เกิดเหตุนั้นราวกับว่าได้กักขังคนเหล็กเอาไว้ กรงๆนั้นมีซี่กรงที่หนาเป็นนิ้วโค้งงอผิดรูปร่าง มีแม้กระทั่งรอยเผาไหม้อยู่ข้างใน
นอกจากนั้นยังมีเศษเนื้อและเลือดกระจัดกระจายไปทั่ว แต่พบเจอในที่เกิดเหตุมากที่สุดนั่นก็คือเกล็ดงูขนาดใหญ่ที่กระจายไปทั่ว
สำหรับข้อที่สามนี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการหายตัวของผู้คนในเมืองจงหยุนเมื่อไม่นานมานี้ หรือก็คือตอนที่มู่หรงเซียนเอ๋อถูกข่าวป้ายสีเล่นงาน จนซูจิ้งต้องขี่อินทรีย์ทองไปยังห้องเช่าของตัวการด้วยตัวเอง
นอกจากนี้เขายังทำการสืบสวนเรื่องราวต่างๆของคนที่หายตัวไปด้วย
ข้อมูลที่สี่นี้เป็นข้อมูลของซูจิ้ง
“ด้วยข้อมูลที่มากมายขนาดนี้แถมยังน่าพิศวงซะขนาดนั้นแต่ทำไมเรายังไม่ได้ร่องรอยอะไรเลยแม้แต่น้อย นี่เราพลาดอะไรไปกันแน่” ชายหนุ่มได้ถอดถอนหายใจออกมา
“ก็เป็นเรื่องธรรมดาล่ะนะ หากพวกนั้นไม่ปิดบังข้อมูลล่ะก็ ไม่ภาครัฐก็ซูจิ้งนั่นแหล่ะที่จะเกิดปัญหาใหญ่ ฉันคิดไว้อยู่แล้วล่ะว่าเรื่องนี้ไม่ใช่อะไรที่จะหาคำตอบได้อย่างง่ายดาย
แต่ด้วยเหตุนี้เอง หากซูจิ้งรู้เรื่องเข้าล่ะก็มันต้องเข้ามางับเหยื่อของพวกเราอย่างแน่นอน” หยวนหยินหนิงพูดออกมาในขณะที่ใช้ความคิดเกี่ยวกับข้อมูลที่มี จนในที่สุด เขาก็มองไปยังข้อมูลชิ้นที่สองหรือก็คือข้อมูลกองโจรเกล็ดงูและพูดออกมาว่า “เริ่มจากพวกนี้ก็แล้วกัน”
…..
ในสำนักงานแห่งหนึ่ง หลี่เชิงได้มองไปยังข่าวสองข่าวในตอนนี้ ข่างหนึ่งคือประกาศของโรงพยาบาลกังเฟิงจองหยุนเกี่ยวกับการรักษากระจกตาเสื่อมและหูตึงได้ อีกข่าวก็คือซูจิ้งได้ช่วยเหลือเว่ยเสี่ยวหยวนไว้ได้จากการตกตึก
เขานั้นถึงแม้จะไม่ได้เข้าร่วมมือกับฮัวหยุนชู ฟูหงซิ่ว และหยวนหยุนหนิงในการจัดการซูจิ้งก็ตาม แต่เขาก็ไม่มีความคิดที่จะช่วยเหลือซูจิ้งด้วยเช่นกัน
แต่ทันทีเขาได้เห็นสองข่าวนี้ทำให้เขาเกิดความลังเลในจิตใจขึ้นมา
“ซูจิ้งสามารถรักษาโรคกระจกตาเสื่อมและหูตึงได้งั้นเหรอ ปู่ของฉันเองในตอนนี้นับว่าเขาก็ยิ่งมีปัญหาจากอาการทางสายตาและการได้ยินพวกนี้มากขึ้น
อีกไม่นานฉันคงต้องให้หมอนั่นช่วยแล้วล่ะนะ…..หรือฉันจะไปบอกหมอนั่นเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างสามคนนั่นดี แถมเรื่องเว่ยเสี่ยวหยวนเองก็ยังมีความเป็นไปได้อย่างมากที่เป็นฝีมือพวกนั้น…” หลี่เชิงใช้ความคิดอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
หากตัวเขานั้นเข้าไปคุยกับซูจิ้งเรื่องนี้ก่อนล่ะก็เขาจะกลายเป็นศัตรูกับฮัวหยุนชู ฟูหงซิ่วและหยวนหยินหนิงในทันที
แต่กับเรื่องของเว่ยเสี่ยวหยวนนั้น เขายังไม่แน่ใจว่าจะเป็นฝีมือของสามคนนั่นรึเปล่า นั่นก็เพราะคนอย่างฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วนั้นไม่น่าจะทำกันได้ถึงขนาดนั้น นี่ทำให้เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
“ช่างมันไปก่อนแล้วกัน ตอนนี้ฉันคงจะเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ทั้งนั้น หากว่าเหตุการณ์ที่เว่ยเสี่ยวหยวนตกตึกนั่นเป็นฝีมือของสามคนนั่นจริงแสดงว่าสามคนนั้นถลำลึกเกินกว่าจะแก้แล้ว
นี่ขนาดพวกนั้นบอกว่าจะไม่เข้าไปหาเรื่องตรงๆนะ แต่พวกนั้นคงไม่ได้หาข้อมูลมากพอจริงๆ
นั่นก็เพราะจากข้อมูลที่เขาได้มานั้น ซูจิ้งหวงแหนคนที่มีปฏิสัมพันธ์อันดีกับเขาทุกคนราวกับเกล็ดมังกรย้อนของตัวเอง
แน่นอนว่าหากใครกล้าไปแตะเขาจะสวนกับด้วยทุกอย่างที่มี การกระทำของพวกนั้นไม่ได้สะกิดแม้แต่ผิวซูจิ้งเลยด้วยซ้ำ
เอาเถอะ หากถึงเวลาที่ฉันต้องให้หมอนั่นช่วยจริงๆฉันว่าใช้เงินเข้าว่าจะดีกว่าแหะ” หลี่เชิงใช้ความคิดของตัวเองอย่างจริงจัง
…..
“เจออะบ้างไหม” ซูจิ้งพูดออกมากับซูฉือ
“ข้อมูลในตลาดมืดนี้แน่นอนว่าต้องปกปิดสุดกำลัง แม้แต่ชื่อที่ใช้งานเพียงแค่ครั้งแรกเองก็มีแค่ชื่อฉายาเท่านั้น การที่เราจะสืบหาตัวตนจากชื่อเล่นแบบนี้แบบตอนที่เราเจอเงานั้นเป็นไปได้ยากมาก ฉันต้องการเวลาอีกสักพัก
แต่เหนือสิ่งอื่นใดฉันได้เจอข้อมูลบางส่วนของเลาชง นาหลันเฟย และมู่หรงเซียนเอ๋อในตลาดมืดด้วย
ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนสนใจข้อมูลของทั้งสมคนจนซื้อขายกันบ่อยๆเลยทีเดียว แต่ฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าพวกนั้นเอาไปทำอะไรกันบ้าง” ซูฉือพูดออกมา
“ส่งมาให้ดูหน่อยสิ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้” ซูฉือได้ตอบในทันทีก่อนที่จะส่งข้อมูลที่ได้ไปให้ซูจิ้ง
หลังจากซูจิ้งได้อ่านข้อมูลเหล่านี้ก็พบว่าขอมูลเหล่านี้กระจัดกระจายและธรรมดามากๆจนยากจะนำไปใช้งานได้ แต่ข้อมูลเหล่านี้ก็แค่ข้อมูลน้ำจิ้มๆที่เอาไว้เป็นตัวอย่างให้คนที่สนใจเข้ามาซื้อข้อมูลเต็ม
แต่กับข้อมูลเต็มนั้น ถึงแม้หลัวฉือหลินและซูฉือจะช่วยกันหาข้อมูลแล้วแต่ก็ไม่มีทางที่จะได้ข้อมูลเต็มหรือคนที่ขายข้อมูลนี้ออกมาเลย เรียกได้ว่าหากเป็นคนธรรมดานี่ยังไม่เจอแม้แต่เศษเสี้ยวข้อมูลซะด้วยซ้ำ
แต่ถึงแม้จะบอกว่าเป็นข้อมูลไร้ค่า แต่กับซูจิ้งในตอนนี้หลังจากที่ได้รับข้อมูลไปแล้ว เขาเปิดใช้วิถีแห่งใต้หล้าภายในจิตใต้สำนึกของตัวเองทำให้สมองของเขามีความคิดหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว
เขาเองก็ไม่คิดว่าทั้งเลาชง นาหลันเฟย และมู่หรงเซียนเอ๋อนั้นไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ แต่เขาเองก็ยังคิดอยู่ดีว่ามีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องเนื่องด้วย
“ถ้าคนกลุ่มนั้นต้องการเพียงตัวของเว่ยเสี่ยวหยวนนั้นก็ยังไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่นี่ดูเหมือนว่าเป้าหมายของมันคือฉันไม่ก็ฉันที่อยู่ในฐานะสไปเดอร์แมนสินะ
นั่นก็เพราะว่าทั้งเลาชงและนาหลันเฟยนั้นมีความเคารพนับถือในตัวสไปเดอร์แมนอย่างมาก แต่มู่หรงเซียนเอ๋อนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสไปเดอร์แมนเลยแม้แต่น้อย
การคงอยู่ของตลาดมืดนี่มันช่างน่ารังเกียจจริงๆ แค่มีมันอยู่ก็ทำให้คนที่รู้เรื่องต่างกันอยู่ไม่สุขเป็นแน่” ซูจิ้งใช้ความคิดสักพักจึงได้โทรไปหาหลัวฉือหลินให้หาคนที่หายตัวไปตอนที่จะเกิดเรื่องของมู่หรงเซียนเอ๋อ
อย่างที่เขาคาดไว้ ครอบครัวของผู้สูญหายได้ขอให้ตำรวจสืบสวนเรื่องนี้อยู่ไม่ขาด อย่างไรก็ตาม หากเรื่องแบบนี้เป็นซูฉือและหลัวฉือหลินร่วมมือกันในการตรวจสอบย่อมดีกว่าคนธรรมดาอย่างแน่นอน ทั้งสองจะสืบค้นที่นั่นอีกครั้ง ต่อให้ไม่ใช่ตำรวจก็สืบสวนได้ดีกว่าตำรวจมากมายนัก
“ฉันต้องเปิดใจให้กว้างเข้าไว้….อืมมมม….แล้วเรื่องของมนุษย์เกล็ด….” ซูจิ้งคิดต่อได้สักพักจึงได้ให้ซูฉือและหลัวฉือหลินสืบสวนเพิ่มเติมก็พบว่า หลูยี่หมิงและตำรวจคนอื่นๆนั้นยังมีการสืบสวนหาตัวฆาตกรที่เกี่ยวกับเม่งเหมยเอ๋ออยู่
“เป็นไปได้ว่ามีใครบางคนติดตามข้อมูลเหล่านี้อยู่รึเปล่า” หากหยวนหยินหนิงรู้ว่าซูจิ้งกำลังคิดอะไรอยู่ล่ะก็ เขาคงจะกลัวจนเป็นบ้าไปเลยซะยังดีกว่า นั่นก็เพราะนี่ขนาดเป็นข้อมูลเพียงเล็กน้อยและไม่ได้ดูมีส่วนเชื่อมโยงเลยสักนิด ซูจิ้งกลับต้องข้อสันนิษฐานได้ใกล้เคียงความจริงแบบสุดๆ
คราวนี้ซูจิ้งได้วาดตัวอักษรหนึ่งขึ้นมาในใจ ตัวอักษรนี้คือคำว่า ชู เพื่อจัดการข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในหัว ถึงแม้เขาจะไม่สามารถใช้ทักษะนี้ได้อย่างเต็มที่ก็ตาม
ด้วยการที่เขาได้ทักษะนี้มาจากห้วงเวลาฯไซอิ๋วซึ่งเกี่ยวข้องกับทางพุทธอยู่แล้ว ด้วยตัวเขาในตอนนี้ที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นมา ทำให้ทักษะการเขียนอักษรนี้เองพัฒนาขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
GGS:บทที่ 1065 เสี่ยวไจ๋แพ้พ่าย?
ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ซูจิ้งได้ทำเรื่องราวเขย่าโลกาไว้มากมายทำให้น้อยคนนักในประเทศที่จะมีชื่อเสียงเทียบเท่าได้
และในทุกครั้ง ซูจิ้งไม่เคยลืมที่จะดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเหรียญตราเทวฑูต ถึงแม้ว่าเป้าหมายของเขาที่คอยสร้างชื่อเสียงแบบนี้จะเป็นค่าการใช้ประโยชน์จากขยะห้วงเวลาก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่าผลพลอยได้นี้ยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่ากันเลยสักนิด
ตอนนี้พลังจิตของเขามีความแข็งแกร่งจากเดิมยกของหนักได้500ชั่งนั้นกลายเป็น 750 กิโลกรัมเพียงช่วงเวลาแค่เดือนเดียว
แน่นอนว่าที่พลังของเขาเพิ่มขึ้นมากมายขนาดนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการสลักอักษร ชู ไว้ในจิตใต้สำนึกของตนเองด้วย
น่าเสียดายในช่วงที่ผ่านมานี้ เขานั้นยังไม่ได้ร่องรอยอะไรเพิ่มเติมมากมายนักแต่ก็มากพอที่จะเชื่อมโยงเข้ากับใครบางคนได้ โดยตอนนี้เขาเชื่อว่ามีใครบางคนกำลังตรวจสอบเหตุการณ์คนหายตัวในเมืองจงหยุนไปก่อนหน้านี้
นี่ทำให้เขาเชื่อว่าคนผู้นี้น่าจะรู้ตัวแล้วว่าเขานั้นไม่เพียงจะได้ตัวเงาไปแล้ว แต่ยังสืบสวนเหตุหายตัวไปก่อนหน้านี้เพื่อหาความจริงที่อยู่เบื้องหลัง
ในขณะที่ซูจิ้งจัดการเรื่องทุกอย่างในหัวสมองอยู่ใน เขาก็มีสายเรียกเข้าจากโจวฮงหยวน นี่ทำให้เขาต้องรีบรับสายในทันที ในตอนนั้นเองโจวฮงหยวนได้รีบพูดผ่านสายโทรศัพท์มาว่า “อาจิ้ง เกิดเรื่องขึ้นกับเสี่ยวไจ๋”
“เกิดอะไรขึ้น” ซูจิ้งหน้ากระตุกไปเล็กน้อย
“เขาพ่ายแพ้การต่อสู้แถมตอนนี้ยังเจ็บหนักอีกด้วย” โจวฮองหยวนพูดออกมา
“เสี่ยวไจ๋นั้นจะไม่ประมือกับใครโดยไม่มีเหตุผลนี่นา และเขาจะสูจนพ่ายแพ้ได้ยังไง” ซูจิ้งขมวดคิ้วในทันที และระลึกถึงเสี่ยวไจ๋ผู้นี้ว่าเขานั้นเติบโตในวันหลานเร่อตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ว่านิสัยของเขาจะดิบเถื่อนเป็นธรรมชาติ แต่เขาก็ใช้ธรรมะในใจเข้าข่มไว้ได้ตลอดมา
เขานั้นจะไม่ไปประลองกับใครโดยไม่มีเหตุผล อีกอย่างต่อให้เขาเข้าร่วมการต่อสู้จริงๆก็ไม่น่าจะแพ้ใครได้ง่ายๆ เพราะเสี่ยวไจ๋คืออัจฉริยะด้านการต่อสู้ที่แท้จริง
นอกจากนั้นเขายังฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งอย่างลึกซึ้งได้ด้วยตัวเอง ด้วยตัวตนเช่นนี้ทำให้ยากที่เขาจะแพ้พ่ายจากศัตรูหน้าไหน แล้วใครกันที่ล้มเสี่ยวไจ๋ได้
“มีใครบางคนมายังประตูวัดหลานเร่อ หลังจากนั้นก็ทำการกร่นคำด่าสาปแช่งคุณ และบอกว่าฝีมือการต่อสู้ของคุณนั้นเป็นของปลอม การที่อัดคนล้มประดาตายสามสิบสี่สิบคนนั่นไม่มีทางที่จะมีคนทำได้อยู่แล้ว และนั่นคือหลักฐานชั้นดี
แถมยังบอกว่าคุณนั้นได้ไปลักเรียนวิชาจากอาจารย์ของหมอนั่น ถึงแม้พวกเราจะไม่สนใจได้ แต่เสี่ยวไจ๋นั้นรับไม่ได้และออกประลองกับหมอนั่น
ด้วยการที่พวกเรานั้นคิดว่าเสี่ยวไจ๋จะล้มหมอนั่นได้แบบคนอื่นๆและเมื่อชาวยุทธ์มีปัญหาก็ควรจะจบกันได้วิชายุทธ์จึงไม่ได้ห้าม
ไม่คิดว่าซูไจ๋จะพ่ายแพ้อย่างหมดรูปเพราะอีกฝั่งทรงพลังมากเกินไป” โจวฮงหยวนพูดออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความประหลาด
เสี่ยวไจ๋นั้นด้วยการที่เขาได้ฝึกวิชายุทธ์ของซูจิ้งทำให้นับวันเขายิ่งทรงพลังมากขึ้น
เมื่อตอนที่เขาฝึกซ้อมอยู่คนเดียวเขาต่อยกระสอบทรายปลิวได้อย่างสบายมือ เขาวิ่งปร๋อได้แม้แต่แบกหินก้อนโต เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดน้อยเลยก็ว่าได้ นี่เองก็ทำให้พวกเขาต่างก็ต้องถอดถอนหายใจอยู่บ่อยครั้ง และนี่เองทำให้พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครกำราบเสี่ยวไจ๋ได้นอกจากซูจิ้ง
ใครจะไปคิดว่าสัตว์ประหลาดน้อยคนนี้จะพ่ายแพ้คนอื่นได้กัน
“คู่ต่อสู้ใช้ศิลปะการต่อสู้ใดกัน” ซูจิ้งถามออกมาอย่างสงสัย
“พวกเรามองไม่ทันเลยจริงๆ แต่ว่ามีคนถ่ายวิดีโอการต่อสู้นั้นไว้ในอินเตอร์เน็ตอยู่ คุณสามารถไปดูในนั้นได้” โจวฮงหยวนพูดออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูจื้งได้รีบเข้าไปดูในอินเตอร์เน็ตในทันที และไม่นานเขาก็พบข่าวที่บอกไว้ว่า “เสี่ยวไจ๋ ศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของซูจิ้งได้แพ้พ่ายลงแล้ว” โดยวิดีโอนี้มียอดผู้เข้าชมที่สูงมาก และชาวเน็ตเองก็เข้าไปดูด้วยความตื่นเต้น
“พระเจ้าช่วย เสี่ยวไจ๋แพ้”
“ทั้งคู่แข็งแกร่งมากจริงๆ พวกเขาทำได้แม้แต่พังเสาของสนามประลอง”
“เสี่ยวไจ๋เจอคู่แต่สู้โดยไม่รู้จักศัตรูสินะ…แต่คู่ต่อสู้ก็แข็งแกร่งจริงๆ”
“อีกฝั่งหนึ่งเองก็ใช้เพลงหมัดวัวคลั่งเหมือนกัน ถามยังดูทรงพลังกว่าเสี่ยวไจ๋อีกด้วย หมอนี่ยังบอกอีกว่าซูจิ้งนั้นเรียนลักลอบเรียนเพลงหมัดวัวคลั่งจากอาจารย์ของเขา ถึงแม้ซูจิ้งจะดูแข็งแกร่งยังไงแต่หากเจอกันจริงๆเขาก็สามารถชนะซูจิ้งได้อย่างสบาย”
“ก่อนหน้านี้ที่ได้ยินฉันก็ไม่เชื่อนะ แต่พอเห็นวิดีโอการต่อสู้แล้วฉันเชื่อย่างสนิทใจเลย ฉันเองก็ว่าอยู่ว่าทำไมซูจิ้งถึงสามารถสร้างเคล็ดวิชาที่ทรงพลังได้แบบนี้ตั้งแต่ยังหนุ่ม ที่แท้เขาก็ไปลักลอบเรียนมานี่เอง”
“อย่ามาพูดจาพล่อยๆดีกว่าน่า เขาบอกว่าตัวเองสามารถล้มซูจิ้งได้อย่างสบายๆ แถมยังบอกอีกว่าเพลงหมัดวัวคลั่งเป็นอาจารย์ของเขาที่สร้างขึ้นมางั้นเหรอ แค่พูดนายก็เชื่อเนี่ยนะ”
“ใครไม่เชื่อแต่ฉันเชื่อ”
หลังจากเห็นสิ่งที่ชาวเน็ตคอมเม็นท์กันแล้วทำให้ซูจิ้งอดที่จะอารมณ์เสียไม่ได้
เขาเองก็ได้กดวิดีโอเข้าไปดูวิดีโอการประลองแล้วเหมือนกัน ในวิดีโอนั้นเป็นสนามประลองของสำนักวิทยายุทธแห่งหนึ่ง
ศัตรูของเสี่ยวไจ๋นั้นดูทรงพลังและหนุ่มแน่น พร้อมทั้งมีร่างกายที่แข็งแรงและใบหน้าที่ดุร้าย เขาดูจากท่วงท่าการวางมือและเท้าแล้วบอกได้เลยว่าชายคนนี้แข็งแกร่งกว่าเสี่ยวไจ๋ถึงสามจุด
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ชมต่างก็เชื่อว่าเพลงหมัดวัวคลั่งของชายคนนี้เป็นของแท้
ชายหนุ่มคนนี้สามารถเรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งได้ทั้งหมด นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งอัจฉริยะทางด้านการต่อสู้อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เท่าที่ดูแล้วเขาเชื่อว่าชายคนนี้ไม่ได้ดีไปกว่าเสี่ยวไจ๋เลยแต่อย่างใด นั่นก็เพราะว่าในการประลองยุทธนี้อีกฝ่ายได้ใช้กำลังเต็มที่และหมายเอาชีวิตในทุกกระบวนท่าจึงไม่แปลกที่คนเช่นเสี่ยวไจ๋ผู้มีธรรมในใจจะพ่ายแพ้และการเป็นตัวตลกในสายตาผู้คน
เขารู้ดีว่าหากเสี่ยวไจ๋นั้นปลดปล่อยตัวเองออกมาไม่ทางที่จะแพ้อย่างแน่นอน
หลังจากดูวิดีโอจบแล้ว เขายืนยันได้ว่าอีกฝั่งหนึ่งนั้นไม่ได้เล่นตุกติกใดๆ นอกจากคำพูดที่ยั่วยุแล้วก็ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย
เสี่ยวไจ๋เองก็มีสภาพดีพร้อม แต่อีกฝั่งนั้นใช้ความสามารถเต็มที่เท่านั้นกับเสี่ยวไจ๋ที่ไม่คิดจะใช้พลังเต็มที่จึงได้พ่ายแพ้ไป
“กระบวนท่าที่สามของเพลงหมัดวัวคลั่งไม่มีการปล่อยไปอย่างเป็นทางการนี่นะ ชายหนุ่มคนนี้ไปร่ำเรียนมาจากไหนกัน แถมทำไมหมอนี่ถึงทรงพลังแบบนี้ได้
การที่คนคนนี้กล้ามาตอแยเสี่ยวไจ๋นั้นต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน คนๆนี้ต้องมีอะไรบางอย่างเป็นแน่ คงต้องสืบสวนสักหน่อยแหะ”
ซูจิ้งพูดพึมพรำออกมาในขณะที่จับจ้องไปยังวิดีโอ ทันใดนั้นเองสายตาของเขาก็ได้จ้องเขม็งในทันที นั่นก็เพราะสิ่งที่เขาเห็นคือรายสักเกล็ดงูที่คอของชายหนุ่ม
นี่ทำให้ซูจิ้งมีความรู้สึกพุ่งปรี๊ดในทันทีและเกิดใจเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อดูดีๆก็พบว่านี่ไม่ใช่รอยสักแต่เป็นเพียงแค่แท็ททูเท่านั้น แต่ถึงจะอย่างนั้นมันก็แสดงให้เห็นว่าคนๆนี้เกี่ยวกับกองโจรเกล็ดงูอย่างแน่นอน
“หึหึหึ นี่หมายความว่าพวกนั้นไปหาพวกเกล็ดงูมาและโยนออกมาหลอกล่อฉันราวกับกิ่งมะกอกสินะ” ซูจิ้งนั้นนอกจากใจเต้นแรงแล้วเขาก็ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ดูเหมือนว่าการคาดการณ์ของเขาก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว และดูเหมือนคนพวกนั้นจะดูเร่งรีบไม่น้อยถึงได้กล้าทำแบบนี้ นี่แสดงว่าสิ่งที่เขาสันนิษฐานมาทั้งหมดถูกต้องแล้ว
แต่ในเมื่ออีกฝั่งโยนกิ่งมะกอกออกมาหลอกล่อเขาขนาดนี้มีหรือที่เขานั้นจะปล่อยให้พวกนั้นเสียใจที่เขาไม่ตกหลุมพลาง
อีกอย่างคือนี่แสดงว่าฝั่งนู้นเองก็เตรียมตัวมาดีเช่นเดียวกัน ถึงขนาดที่ว่าหาคนที่ทรงพลังมากำราบเสี่ยวไจ๋ได้แบบนี้ทำให้เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายนั้นเตรียมตัวมาดีแค่ไหน
หลังจากคิดอะไรหลายอย่างแล้ว ซูจิ้งได้ให้ซูฉือและหลัวฉือหลินตรวจสอบชายหนุ่มที่ชนะเสี่ยวไจ๋ในทันที ส่วนตัวเขานั้นก็ไปยังโรงพยาบาลเพื่อพบเสี่ยวไจ๋
เมื่อไปถึง เขาพบว่านอกจากโจวฮงหยวนและปรมาจารย์เชิงหยานแล้ว แม้แต่ฮู่ฮงหยาง ฮู่เฟยหยุน ไคหวูเฟิงและจี้เสี่ยวถิงเองก็ยังอยู่ด้วย
เสี่ยวไจ๋ในตอนนี้ตกอยู่ในสภาพนอนอยู่บนเตียงพร้อมด้วยผ้าพันแผลและรอยฟกช้ำดำเขียวและขาที่ดามไว้นั้น ถึงจะเป็นถึงขนาดนี้แต่สายตาของเขายังคงสว่างไสวนี่แสดงให้เห็นว่าร่างกายของเขายังอยู่ในสภาพดี แน่นอนว่านี่เองก็เป็นอีกผลพวงหนึ่งจากการฝึกเพลงหมัดวัวคลั่ง ต่อให้เจ็บหนักก็ยังฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
“ท่านอาจารย์ ผมขอโทษครับที่ผมแพ้ ให้โอกาสผมอีกครั้ง คราวนี้ผมจะล้มหมอนั่นให้ได้ เมื่อร่างกายของผมกลับมาสมบูรณ์ผมจะท้าประลองอีกครั้ง” เสี่ยวไจ๋ได้พูดออกมากับซูจิ้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและจิตวิญญาณนักสู้อันเต็มเปี่ยม
“ผลออกมาเป็นแบบนี้ก็ดีนะ นายจะได้ลดความอหังการ์ลงบ้าง ตอนที่นายดีขึ้นก็หวังว่าบทเรียนในครั้งนี้จะทำให้นายใจเย็นลงได้
เรื่องในครั้งนี้อีกฝั่งหมายตาฉันไว้ เรื่องนี้ฉันคงต้องขอจัดการด้วยตัวเองแล้วล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา หลังจากนั้นจึงหันไปทางฮู่ฮงหยางแล้วถามออกมาว่า “อาจารย์ฮู่มาที่นี่ทำไมหรือครับ”
“ถามมาแบบนี้ก็ดีแล้ว ฉันเองก็ขอบอกตรงๆเลยว่าที่เสี่ยวไจ๋พ่ายแพ้ในครั้งนี้นั้นเป็นเพราะฉันเอง” ฮู่ฮงหยางพูดออกมาพลางถอดถอนหายในด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความโกรธเคืองอยู่ไม่น้อย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น