Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1056-1057

 GGS:บทที่ 1056 ชา…….


“โอ้…กลายเป็นว่าเจ้านี้คือผลไม้จีนโบราณหรอกเหรอ มิน่าถึงหาข้อมูลไม่เจอเลย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ความจริงแล้วเขาเองก็เจอข้อมูลของต้นไม้นี้มาอยู่บ้างแต่ก็ไม่แน่ใจมากนัก

เมื่อทั้งเอี้ยป๋อและโจวซือเซียนได้เห็นซูจิ้งพูดออกมาราวกับว่ามันคือต้นไม้ธรรมดา นี่ทำให้ทั้งสองอดจะคิดที่จะคว้าคอของซูจิ้งมาเขย่าเสียไม่ได้

นี่ขนาดว่าเขาเพิ่งจะรู้ว่าต้นไม้ที่ปลูกเองมากับมือแบบนี้อายุกว่าร้อยล้านปียังนิ่งเฉยไปได้ยังไงกัน เมื่อเทียบกับทั้งสองคนแล้วต่างก็ตื่นเต้นทันทีที่รู้แบบนี้ช่างหน้าเข้าไปตบกบาลสักทีจริงๆ


ผลไม้จีนโบราณนั้นรู้จักกันในชื่อต้นกำเนิดแห่งดอกไม้ พวกมันนั้นเบ่งบานอยู่ในช่วงหนึ่งร้อยสี่สิบล้านปีก่อน พวกมันพบอยู่ที่ภาคตะวันตกของอำเภอเหลียวหนิง

นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบมันนั้นได้ประเมินว่าพวกมันเป็นพืชจำพวกแองจิโอสเปิร์มสายพันธุ์โบราณที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และถือว่าเป็นพืชชนิดใหม่ที่เคยพบเจอเช่นเดียวกัน

นักวิจัยที่ศึกษาได้ให้ความเห็นว่าต้นผลไม้จีนโบราณนี้สมควรจะเป็นต้นกำเนิดสายพันธุ์ต่างๆทั้งไม้ดอก ไม้ผล และไม้ธัญพืช(พืชไร่)ของโลกในยุคปัจจุบันนี้


การค้นพบนี้ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จและได้การยอมรับจากนักวิจัยอย่างทั่วทุกมุมโลก โดยมันถูกเผยแพร่ออกไปในวันที่ 7 พฤษภาคม 2002 โดยนิตยสารวิทยาศาสตร์ของอเมริกา นักวิจัยผู้เป็นหัวหน้าทีมวิจัยมีชื่อว่า ซุนเย่ของมหาวิทยาลัยจิหลินและผู้ร่วมวิจัยคือจิเฉียงจากสถาบันธรนีวิทยาที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ของที่นั่น และยังมีคนอื่นที่มีชื่อเสียงร่วมวิจัยด้วย เรียกได้ว่าเป็นผลงานวิจัยแห่งยุคเลยทีเดียว

หาว่ายึดถือจากทฤษฎีทางชีววิทยานี้แล้ว สายพันธุ์ที่ยังคงอยู่และคล้ายกันมากที่สุดนั้นจะยังคงมีอยู่ที่แม็กโนเลย อย่างไรก็ตาม


ด้วยการที่ต้นผลไม้จีนโบราณนี้ต้นเล็กมาก แถมยังอาศัยได้อยู่แค่ในน้ำเท่านั้น ทำให้มันนั้นถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพืชสมุนไพรมากและเจ้าต้นนั้นก็ถูกเข้าใจผิดมานานเช่นเดยวกัน

จนกระทั่งในเดือนสิงหาคมปี2003 นักวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยออกมาว่าต้นไม้จีนโบราณนี้เป็นต้นไม้สายพันธุ์ใหม่ และมันนั้นขึ้นได้แต่ในพื้นที่ที่น้ำท่วมเท่านั้น

นอกจากนี้จากลักษณะทางอนุกรมวิธานของมันแล้ว พบว่ามันไม่น่าจะใช่ต้นกำเนิดของทุกสายพันธุ์อย่างที่ว่า เพราะไม่สามารถหาต้นไม้ที่มีลักษณะสืบทอดจากต้นผลไม้จีนโบราณนี้เลยสักสายพันธุ์ นี่จึงทำให้เกิดคำถามที่ว่าต้นไม้นี้คือต้นกำเนิดของทุกสายพันธุ์หรือว่าเป็นต้นเดียวในสายพันธุ์กันแน่


ต่อมานิตยาสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเดลี่ได้หยิบยกประเด็นนี้มานำเสนอภายใต้หัวข้อ ไม้ดอกต้นแรกของโลก พวกเขาในทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินมาลองประติดประต่อสายพันธุ์ของต้นไม้ตระกูลแองจิโอสเปริ์มนี้ดูแล้วก็พบว่า สายพันธุ์ของมันนั้นมีอยู่ถึงแค่ยุคคลีตาเซียสตอนกลางและตอนปลายเท่านั้น(ประมาณหนึ่งร้อยล้านปีถึงหกสิบห้าล้านปีก่อน) และหลังจากนั้นก็ไม่มีการค้นพบร่องรอยของพืชตระกูลนี้อีกว่าได้พัฒนาตัวเองเป็นสายพันธุ์อะไร

และในตอนนี้ แทนที่จะเป็นการพบเจอฟอซซิลของต้นไม้โบราณแบบนั้น ต่อหน้าพวกเขานี้คือต้นผลไม้จีนโบราณที่ยังมีชีวิตอยู่ นี่ย่อมหมายความว่านี่ได้ทำให้ทุกทฤษฎีต่างๆที่ว่ามานั้นต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และด้วยไม้ต้นนี้บอกได้เลยว่าทฤษฎีที่ขัดแย้งกันนั้นจะถูกคลี่คลายโดยใช้เวลาไม่นาน

ด้วยการที่มนุษย์โลกแห่งนี้มีความใส่ใจกับเรื่องสายพันธุ์อย่างมาก พวกเขานั้นสามารถหาหัวข้อในการศึกษากับเรื่องนี้ได้อย่างไม่หวดไม่ไหว แม้แต่ที่มาของสายพันธุ์ตัวเองและสายพันธุ์อื่นๆเองก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ และยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆอย่างแน่นอน


“นี่มันสุดยอดจริงๆ ด้วยต้นผลไม้จีนโบราณต้นนี้จะช่วยให้พวกเราสามารถคลี่คลายหลากหลายปัญหาที่ยังคลุมเครือมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้อย่างแน่นอน” เอี้ยป๋อพูดออกมาอย่างตื่นเต้น

“ต้นไม้นี้ต้องทำให้วงการวัตถุโบราณตื่นตั้วอย่างแน่นอน” โจวซือเซียนพูดออกมา

“หมายความว่ายังไงกัน มันเป็นเรื่องของพืชพันธุ์นะ ฉันย่อมต้องนำกลับไปให้นักศึกษาในสาขาพันธุ์พืชศึกษาพวกมันอย่างแน่นอน ยังมามัวนิ่มเอาไปซะล่ะ” เอี๋ยป๋อพูดออกมา

“นี่มันสิ่งที่หลงเหลือจากร้อยล้านปีก่อนเลยนะ สำหรับวงการวัตถุโบราณแล้วฉันว่ามันมีประโยชน์มากกว่า” โจวซือเซียนพุดออกมาด้วยสายตาเฉือดเชือน

โดยไม่สนใจสิ่งใดๆ ทั้งสองได้จิกกัดกันอีกครั้ง นี่ทำให้ทั้งซูจิ้งและผู้ติดตามของทั้งสองทำอะไรไม่ได้เลย แต่ก็อย่างที่เขาว่าไว้ ดีแต่ขู่ ทั้งสองเพียงแค่เฉือดเฉือนกันด้วยคำพุดเท่านั้น

ความจริงแล้วเหล่าผู้ติดตามของทั้งสองเองก็ตื่นเต้นอย่างมากที่ได้พบสิ่งมีชีวิตที่มีสายพันธุ์ยินยาวมากว่าร้อยล้านปีแบบนี้

พวกเขาคิดไม่ออกจริงๆว่าหากข่าวนี้แพร่ออกไปละก็ ผู้คนทั้งโลกจะมีอาการแบบไหนกันแน่


จนในที่สุด ซูจิ้งที่เห็นทั้งสองจิกกัดกันอยู่นั้นขี้เกียจจะเห็นอีกก็เลยได้ยกต้นผลไม้จีนโบราณนี้กลับเข้าไปในบ้าน นี่ทำให้ทั้งสองต้องหยุดลงในทันที

ในครั้งก่อนนั้น ทั้งสองเปิดศึกแย่งกันแบบนี้ก็ตอนที่ซูจิ้งเปิดประมูลฟอสซิลแมงมุมตัวหนึ่ง แต่ในครั้งนี้ที่ซูจิ้งยอมให้ทั้งสองได้เห็นนั้นเป็นเพราะว่าสำหรับเขาในตอนนี้เงินนั้นไม่ได้น่าสนใจอีกต่อไป ต่อให้ตั้งราคาออกไปทั้งสองก็ไม่มีปัญญาซื้ออย่างแน่นอน

สิ่งที่เขาคาดหวังไว้ก็คือการนำมันออกไปวิจัยเพื่อสร้างความรู้สึกตื่นเต้นยินดีและประใจไปทั่วทั้งโลกจนทำให้เขานั้นได้รับค่าการใช้ประโยชน์กลับคืนมา

“อาจิ้ง นายไปได้สัตว์สูญพันธุ์ตั้งมากมายและหลากหลาย รวมถึงต้นไม้ต้นนี้มาได้ยังไงกัน ทั้งๆที่พวกมันควรจะไม่มีเหลืออยู่จนมาถึงปัจจุบนนี้แล้วได้น่ะ” เอี้ยป๋ออดไม่ได้ที่จะถามออกมา

“ฮ่าฮ่าฮ่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอกน่า…. โลกอันกว้างใหญ่แบบนี้พวกคุณไม่รู้หรอกว่าคุณจะพบอะไรได้บ้าง อ้อ แล้วก็นอกจากต้นนี้ผมยังพอมีอีกหลายๆพันธุ์ที่ผมไม่รู้จัก คุณสนใจจะดูกันอยู่รึเปล่า”

“ยังมีอีกเหรอ” เอี้ยป๋อและโจวซือเซียนอุทานออกมาพร้อมกันพร้อมทั้งจ้องมองซูจิ้งแบบเขม็ง

“ช่ายยยยยยย” ซูจิ้งพยักหน้ารับ

“แน่นอน เอาออกมาเลย” ชายแก่ที้งสองพร้อมทั้งผู้ติดตามพูดออกมาพร้อมๆกันด้วยความติ่นเต้น

ซูจิ้งเมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ได้เดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง คราวนี้เขาเดินพร้อมกับหอบต้นไม้นานาชนิดออกมาในคราวเดียว พวกมันนั้นอยู่ในกระถางต้นเล็กๆและมีรูปร่างที่แตกต่างกันไปอย่างน่าประหลาดใจ

“เอิ่มมม…นี่…ไม่ใช่ว่า…” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชี้ไปที่กระถางหนึ่งแล้วเหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ติดอยู่ที่ปากพูดไม่ออก

“พระอาทิตย์ พระจันทร์ ทะเลสาบ แกะ หู กระเทียม” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งได้พูดออกมาเบาๆ

“นี่มัน…” เอี้ยป๋อได้แสดงออกมาถึงความประหลาดใจในทันที เขาจิ้งมันอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้าและพูดออกมาว่า

“เซียวหวู่พูดถูกแล้วและไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย มันคือ สุริยัน จันทรา ทะเลสาบ แกะ หู กระเทียมจริงๆ”

พืชที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นคือพืชที่ถูกเรียกว่า “ต้นกระเทียมทะเลสาบสุริยันจันทรา”(อ่านรวมคำ ถ้าอ่านแยกคำจะประกอบไปด้วยคำว่าสุริยัน จันทรา ทะเลสาบ แกะ หู กระเทียม)

มันเป็นพืชไม่มีลำต้นโดยมีแค่หัวและใบที่งอกออกมาเท่านั้น ใบที่เรียวแหลมของมันนั้นมีความยาวประมาณ 16-30 เซนติเมตร แต่มีความกว้างของใบอยู่ที่ 1-1.5 เซนติเมตรเท่านั้นเอง ส่วนกลีบของมันนั้นมีขนาดประมาณเก้ามิลลิเมตร และมีทรงโดยรวมเป็นรูปไข่ หรือจะเรียกว่าไข่ที่แบ่งเป็นกลีบๆก็ได้

“อะไรคือต้นกระเทียมทะเลสาบสุริยันจันทรางั้นเหรอ” โจวซือเซียนอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

“หึหึหึ นี่นายไม่รู้เหรอ” เอี้ยป๋อหัวเราะเบาๆก่อนที่จะอธิบายออกมาว่า “ต้นกระเทียมทะเลสาบสุริยันจันทรานี้เป็นพืชเฉพาะถิ่นของไต้หวัน โดยมันจะกระจายอยู่ทั่วไปบนเกาะไหหลำบริเวณรอบทะเลสาบสุริยันจันทรา แต่ด้วยการที่พื้นที่นั้นมีระดับความสูงประมาณ 750 เมตร ทำให้พวกเขาเลือกที่นั่นในการสร้างอ่างเก็บน้ำ โดยไม่สนใจถึงผลกระทบว่าจะมีสายพันธุ์ไหนบ้างที่ได้รับผลกระทำ

ผลก็คือทำให้กระเทียมสายพันธุ์นี้สูญพันธุ์กว่า 70 ปีแล้ว ถึงแม้จะมีรายงานการค้นพบอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีใครยืนยันได้”

“หรือก็คือมันคืออีกหนึ่งสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์สินะ แหม่ พูดออกมาซะยืดยาว บอกมาแค่นี้ก็จบแล้ว” โจวซือเซียนพูดออกมาอย่างหน้าระรื่น

นี่ทำให้เอี้ยป๋อและผู้ติดตามของทั้งสองที่จดจำมันได้ถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันที ก็จริงที่มันเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่สาบสูญ

ถึงแม้ว่ามันจะพึ่งสูญพันธุ์ไปเพียงเจ็ดสิบปี แต่ยังไงซะ สูญพันธุ์ก็คือสูญพันธุ์ แต่กับการได้เห็นสิ่งที่หายากยิ่งแต่ยังทำหน้าตาไม่รู้ร้อนหนาวแบบนี้จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะประหลาดใจ

ดูเหมือนว่าในวันนี้พวกเขาคงได้เห็นสายพันธุ์ที่ไม่หลงเหลืออยู่แล้วมากเกินไปจนด้านชาไปแล้วกระมัง

กับเรื่องนี้พวกเขาคงทำได้เพียงโทษซูจิ้งเท่านั้น

แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากสักเท่าไหร่นัก นั่นก็เพราะที่พวกเขาสนใจมากที่สุดคือการพิจารณาพืชต้นอื่นๆที่ยังไม่มีใครคุ้นเคยหรือบอกได้ว่าพวกมันคือต้นอะไรมากกว่า


GGS:บทที่ 1057 บ้าคลั่ง


 


เอี้ยป๋อ โจวซือเซียนและผู้ติดตามคนอื่นๆต่างก็จ้องมองไปยังต้นไม้ต้นอื่นที่ซูจิ้งนำมา หลังจากจ้องมองอยู่นาน เอี้ยป๋อก็ได้จับจ้องไปที่ต้นไม้ต้นเล็กๆต้นหนึ่งเป็นพิเศษ


ลำต้นของมันเล็กมากราวกับว่าที่มันเล็กเพราะอยากให้สังเกตที่ใบคู่ตรงยอดของมันเป็นพิเศษ เรียกได้ว่ามันค่อนข้างแปลกตาเลยทีเดียว


นั่นก็เพราะอย่างแรก มันมีลำต้นที่แตกแขนงออกมาฐานรากอยู่สี่ต้น แต่ละต้นก็มีกิ่งก้านแยกออกไปอีกหลายกิ่ง แต่ละกิ่งมีใบที่มองไม่ออกว่าจะเรียกว่าใบหรือกิ่งก้านสาขาของมันดีเหมือนกัน


เอี้ยป๋อจ้องมองอยู่นานจึงถึงชั่วขณะหนึ่งเขาก็สะดุ้งเฮือกแล้วพูดออกมาว่า “ฉันนึกออกแล้ว เจ้าต้นนี้สมควรจะเป็นไม้ผิวมันที่อยู่ในยุคคาร์บอนิเฟอรัสจนถึงช่วงเพอร์เมียน”


“ห้ะ แน่ใจเหรอ” โจวซือเซียนตกใจที่ได้ยินจนสะดุ้งเฮือกและได้ถามออกมา


“คือรูปลักษณ์มันก็ตรงตามข้อมูลที่มีล่ะนะ แต่จะถามว่าแน่ใจรึเปล่าฉันก็ไม่สามารถยืนยันได้หรอก แต่แค่มันตรงตามข้อมูลนี่ก็มหัศจรรย์มากแล้วนะ” เอี้ยป๋อที่พูดออกมาแบบนี้นั่นก็เพราะว่าอายุของมันนั้นเกินกว่าหนึ่งร้อยล้านปีก่อนเป็นอย่างมาก เพราะเจ้าต้นไปผิวมันนี่สมควรจะอยู่ในยุคสองร้อยล้านปีก่อนเป็นอย่างน้อย


พวกเขาได้ลองหาภาพฟอสซิลของต้นไม้ผิวมันที่เป็นฟอซซิลมาดูก็พบว่ามันมีความเหมือนกันอย่างมาก เหมือนชนิดที่ว่าไม่ว่ามองยังไงก็ต้องมองว่ามันเป็นต้นไม้สายพันธุ์เดียวกัน


ต้นไม้ที่อยู่ต่อหน้าเขานี้คือต้นไม้ที่อยู่ยุคคาร์บอนิเฟอรัสจนและยุคเพอร์เมียนนอกจากอายุจะเกินกว่าหนึ่งร้อยล้านปีแล้วยังบอกได้อีกว่ามันอยู่มาก่อนยุคไดโนเสาร์ซะอีก


“อาจารย์ครับ นั่นมันต้นมะพร้าวเต่ารึเปล่า” ชายหนุ่มคนหนึ่งชี้ไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ลักษณะโดยทั่วไปของมันนั้นเหมือนต้นปรงปกทั่วไป ลำต้นของมันนั้นเป็นป้อมใหญ่ๆ มีเส้นก้านใบที่เข็งเรียวยาวและมีใบที่แข็งและเรียงตัวกันเป็นซี่ๆอย่างสวยงาม และส่วนยอดต้นนั้นมีเมล็ดของพวกมันอย่างเห็นได้ชัด หากมองดูแล้วก็แทบไม่ต่างจากไม้ตระกูลปรงทั่วไปเลย จะมีต่างกันก็ตรงที่ใบบนก้านของมันแต่ละก้านมีสองชั้น และมีตุ่มๆที่ห้อยลงมา


“ใช่รึ” เอี้ยป๋อที่ได้ยินดังนั้นก็ได้สำรวจต้นที่ว่าในทันที ไม่นานเขาก็พูดขึ้นมาว่า “วูน้อยนี่ช่างสังเกตจริงๆ เท่าที่ดูแล้วมันคือมะพร้าวเต่าจริงๆ”


“ก่อนหน้านี้ฉันก็ว่าใช่เหมือนกันนะ แต่ฉันแค่คิดว่าแค่เหตุบังเอิญเท่านั้น” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งได้พูดออกมาพลางเกาหัวตัวเอง


ชายหนุ่มคนนั้นได้เปิดสมาร์ทโฟนตัวเองก่อนที่จะอ่อนข้อมูลที่ปรากฏออกมาว่า “ในเดือนสิงหาคมปี 2012 ตวนเว่ยที่เป็นนักธรณีวิทยาได้ค้นพบและเก็บฟอซซิลของพืชยุคจูแรสซิคตอนต้นมาได้จำนวนหนึ่ง ในแถบดาเป็งเพนิซูลาที่อยู่เชินเจิ้น


ฟอซซิลดังกล่าวมีอายุอยู่ที่ 180-200ล้านปี ในหมู่ฟอสซิลเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วอยู่ในสกุลซิมบิเดียมบิวนิซิ


รูปร่างของมันนั้นเป็นพวกพืชใบเลี้ยงเดียว มีดอกที่รูปล่างคล้ายปากอ้า ขนาดของมันอยู่ที่ประมาณ 5 x 3.5 เซนติเมตร


สภาพโดยรวมของมันแล้วแสดงให้เห็นว่ามีโครงสร้างเป็นดอกที่สมบูรณ์ หลังจากที่มอบฟอสซิลนี้ให้นักธรณีแห่งสถาบันปฐพีและพืชพรรณแห่งเมืองหนานจิ้งตรวจสอบดูก็พบว่าพวกมันมีอายุกว่าสองร้อยล้านปี”


ทุกคนที่เห็นชายหนุ่มคนนี้เปิดสมาร์ทโฟนขึ้นมานั้นต่างก็คิดว่าเขานั้นต้องการที่จะบอกข้อมูลเพื่อยินยันสมมติฐานของเสี่ยวหวู่ แต่กลายเป็นว่าเขากลับบอกข้อมูลของไม้อีกต้นขึ้นมาแทน


 


“พระเจ้า ต้นนี้สมควรจะเป็นต้นโตเลซโกที่พบอยู่ในช่วงทราสซิคตอนปลายแถวยูเคลน และอยู่ในยุคครีตาเซียสตอนต้นที่เคยผมที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนแน่ๆ”


“ต้นนี้เองก็สมควรจะเป็นเฟรินโบราณ(มะพร้าวเตา)ที่พบในช่วงปลายยุคดีโวเนียนและมีเยอะที่สุดในยุคคาร์โบนิเฟเรียสและยุคเปอร์เมียน และค่อยๆลดลงในยุคเมโสโซอิคและสูญพันธุ์ไปในยุคครีเตเซียส”


“นี่มันคือเฟร์นโบราณ ไม่สิต้นกำเนิดแห่งเฟรินแน่ๆ มันมีกิ่งก้านใบเลี้ยงอย่างเดียวและไม่มีใบและรากเลย นี่แสดงว่ามันอยู่ในยุคสี่ร้อยล้านปีก่อน”


 


แค่พืชต้นหนึ่งที่มีอายุกว่าร้อยล้านปีนั้นก็มากพอที่จะทำให้ทุกคนตกใจจนชาชินได้แล้ว นั่นก็เพราะมันเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว


แต่ต่อหน้าพวกเขาที่เปรียบได้ดั่งตกอยู่ในความฝันอย่างมาก นั่นก็เพราะมีพืชที่สูญพันธุ์ไปแล้วหลายต้น และที่อายุมากที่สุดก็คือสี่ร้อยล้านปี เรียกได้ว่าสายพันธุ์ของมันนั้นยืนยาวข้ามผ่านมาตั้งแต่โบราณกาลเลยทีเดียว


“อาจิ้ง นายไปได้พืชพวกนี้มาจากไหนกันแน่ บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ อย่างน้อยๆก็บอกกันหน่อยว่านายเป็นใครกันแน่” เอี้ยป๋อในตอนนี้พูดออกมาในขณะที่ตื่นเต้นจนปากสั่นไปหมดแล้ว


“อาจิ้ง นายคือตัวตนที่อยู่ในหนังเรื่องนั้นใช่รึเปล่า เรื่อง The Man from Earth (คนอมตะฝ่าหมื่นปี) ไม่สิ นายต้องเป็นสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตข้ามผ่านยุคโบราณกาลนั้นมาแน่นอนใช่ไม๊ ต่อให้นายบอกมาว่าใช่ฉันก็จะไม่แปลกใจเลยสักนิดล่ะนะ” ฌจวซือเซียนเองพูดออกมาอย่างจริงใจ


“เฮ้เฮ้เฮ้ นี่คิดกันไปถึงไหนเนี่ย” ซูจิ้งทำตัวไม่ถูกเลยในทันทีที่ได้ยินคำถามของทั้งสองคน เขาเองก็อ่านนิยายมาไม่น้อยเหมือนกันจึงทำให้มีความคิดที่มากมายและหลากหลายแนวทาง


 


แต่เมื่อมาเจอคนที่ใช้แนวคิดทางนวนิยายกับตัวเขาเองแบบนี้ทำให้เขาทำตัวไม่เป็นเช่นเดียวกัน ยังดีหน่อยตรงที่ว่าความคิดของทั้งสองคนนี้ยังห่างไกลจากความเป็นจริงทำให้เขานั้นไม่จำเป็นต้องโกหกแต่อย่างใด


“คุณซู นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำมันคุณถึงได้ครอบครองทั้งสัตว์และพืชที่สูญพันธุ์แบบนี้ได้กันล่ะ” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งได้พูดออกมา


“เรื่องนี้เป็นความลับจริงๆ ผมขอไม่พูดก็แล้วกัน” ซูจิ้งไม่สามารถบอกความจริงได้จริงๆ เพราะไม่ว่ายังไงเขาพูดออกไปมันก็ดูเหมือนเรื่องโกหกอยู่ดี หากเป็นอย่างนั้นแล้วเขาเลือกที่จะไม่บอกอะไรเลยดีกว่า


ทุกคนที่เห็นดังนั้นก็มีท่าทีที่ทำอะไรไม่ได้เช่นเดียวกัน นั่นก็เพราะหากซูจิ้งไม่ยอมบอก พวกเขาก็ไม่มีทางเลยที่จะเค้นมาได้


เอี้ยป๋อและโจวซือเซียน ทั้งคู่ตัดสินใจว่าจะขอนำต้นไม้ต้นหนึ่งของแต่ละสายพันธุ์ไปศึกษา แน่นอนว่าซูจิ้งย่อมยินดีอย่างยิ่ง เพราะหากว่าเก็บพวกมันไว้กับเขาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา


หากว่าพวกเขานำไปศึกษาล่ะก็ แน่นอนว่าย่อมทำให้เกิดผลบางอย่างบนโลก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ


เอี้ยป๋อและโจวซือเซียนได้รีบจากไปทันทีที่ได้ต้นไม้ไป แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้กับทั้งสองแล้วไม่คิดจะปิดบังแต่อย่างใด นี่ทำให้ข่าวนี้แพร่ออกไปอย่างรวดเร็วและกลายเป็นที่พูดถึงกันอีกครั้ง


“พระเจ้าเถอะ เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย”


“นั่นสิ ไม่เพียงแค่สัตว์ที่สูญพันธุ์ไปกว่าร้อยปียังกลับมามีชีวิตอยู่ได้ แม้แต่ต้นไม้ที่อายุนับร้อยล้านปีก็ยังพบว่ามีชีวิตอยู่”


“ฉันได้ยินมาว่าต้นไม้ที่พวกเขาเจอนั้นเป็นอาหารของได้โนเสาร์มากก่อน ยกตัวอย่างเช่นต้นมะพร้าวเต่านั่นเองก็สมควรเป็นอาหารของไดโนเสาร์ที่ชื่อว่าสเตโกซอรัส”


“ไม่จริงหน้า ต้นไม้ในยุคนั้นไม่ได้เหลือแค่ฟอซซิลงั้นเหรอ”


“ฉันอยากเห็นกับตาตัวเองจริงๆ ฉันอยากจะรู้นักว่าอาหารของไดโนเสาร์จะมีหน้าตาเป็นยังไง”


“ฉันว่าซูจิ้งต้องพัฒนาเทคโนโลยีการโคลนนิ่งจนถึงระดับสูงได้แล้วแน่ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะมีสายพันธุ์ที่สาบสูญมากมายได้ยังไง”


“หากเป็นอย่างนั้นจริง นี่ไม่ใช่หมายความว่าซูจิ้งสามารถจะชุบชีวิตไดโนเสาร์ได้และอาจสร้างจูแลสสิคปาร์คได้จริงๆหรอกเหรอ”


“ฉันว่าเป็นไปได้นะ”


“ฉันว่านายคิดเวอร์ไปแล้วนะ ฉันว่าตอนนี้เขายังไม่ไปถึงระดับหนังนั่นได้หรอก อย่างมากเขาก็อาจจะเจอวัตถุโบราณบางอย่างแบบตอนที่เขาเจอวัตถุโบราณจากแอตแลนติสก่อนหน้านี้ เขาจึงแบ่งออกมาเพื่อสร้างชื่อเสียงแบบนี้”


“ใครที่เห็นด้วยกับบรรทัดบนนี่แหล่ะที่เวอร์วัง”


 


ด้วยความคิดเห็นที่แตกต่างกันนี้ทำให้เหล่าแฟนคลับของซูจิ้งและชาวเน็ตต่างก็พูดคุยกันอย่างเมามัน และด้วยเหตุนี้ทำให้ชื่อเสียงของสวนสัตว์จองหยุนเองยิ่งดังขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของพืชพันธุ์ในยุคโบราณกาลที่สร้างชื่อเสียงให้กับที่นี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยิ่งทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้นทบๆกันไป


เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งระดับต่ำและสูงของในและต่างประเทศที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นยินดี โดยเฉพาะนักวิจัยชาวต่างชาติที่ร้องขอเข้าร่วมการวิจัยอย่างไม่ขาดสาย เรียกได้ว่านี่เป็นความตื่นเต้นในระดับโลกอย่างแท้จริง


 


“ลูกพี่จ้าว ซูจิ้งทำเรื่องอีกแล้ว” เฉิงหนานได้รีบเข้ามาบอกข่าวกับหวังจ้าวในทันทีที่รู้ข่าว


“โอ้…หมอนั่นทำอะไรอีกล่ะเนี่ย นึกว่าหมดแล้วซะอีก” หวังจ้าวที่ได้ยินคำนี้เขาใช้มือนวดหน้าผากของตัวเองในทันที


ถึงแม้เขาจะรู้ว่าทุกสิ่งที่ซูจิ้งทำนั้นล้วนแล้วแต่ส่งผลดีต่อพวกเขาและไม่ค่อยจะมีอันตรายที่แอบแฝงมา พวกเขานั้นย่อมยินดีที่จะรับไว้ แต่หากบ่อยครั้งนัก พวกเขาเองก็มักจะเตรียมไม่ค่อยทันกันเสมอ


“พูดยากค่ะ พี่คงต้องดูเองแล้วล่ะ” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะส่งข้อมูลให้หวังจ้าวดู


หวังจ้าวในตอนนี้กำลังจ้องมองจ้อมูลที่กล่าวถึงสายพันธุ์ของพืชที่สูญพันธุ์ไปกว่า หนึ่งร้อยล้านปี สองร้อยล้าน สามร้อยล้านปี และสี่ร้อยล้านปี


นี่ทำให้หวังจ้าวรู้สึกหัวหมุนในทันทีเสียไม่ได้ และบังเกิดความรู้สึกที่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีในทันที ก่อนที่จะพูดออกมาว่า


“ฉันรู้สึกแล้วจริงๆนะเนี่ยว่าหมอนั่นจะต้องทำฟ้าถล่มลงมาไม่สักวันใดก็วันหนึ่ง ช่างเหอะ เธอก็ไปจัดการประชาสัมพันธ์ต่อก็แล้วกัน”


ก่อนหน้านี้ไม่ว่าซูจิ้งต้องการทำอะไรนั้น ในฐานะที่เขาเป็นประธานของกลุ่ม เขาจะคอยทำหน้าที่ในการควบคุมผลลัพท์และช่วยเกื้อหนุนซูจิ้งอยู่ตลอด


และเรื่องในครั้งนี้เองก็ทำให้ชื่อเสียงของกลุ่มทุนห้วงเวลาและอวกาศเป็นที่รู้จักมากกว่าซูจิ้งเสียอีก และยิ่งชื่อเสียงของกลุ่มทุนมากเท่าไหร่ ผลิตพันธุ์ของพวกเขาเองก็ยิ่งขายดีขึ้นมากเท่านั้น


 


ฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิงต่างก็ได้ยินข่าวนี้แล้วเช่นเดียวกัน ตอนแรกพวกเขานั้นต่างก็คิดหาร่องรอยว่าซูจิ้งไปหาสัตว์สูญพันธุ์เหล่นั้นมาจากที่ไหนแต่ก็ไม่พบ


มาตอนนี้ที่ได้ยินเกี่ยวพืชที่สูญพันธุ์ไปแล้วก็ทำให้พวกเขาต้องนิ่งเงียบไปนานจนทำอะไรไม่ถูกและพูดไม่ออกเลยสักคำ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)