Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1054-1055
GGS:บทที่ 1054 ปั่นป่วน
ในขณะที่โลกภายนอกกำลังพูดคุยกันเรื่องสวนสัตว์จงหยุนกันอย่างดุเดือด แต่ซูจิ้ง กลับสนใจอยู่กับขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศที่อยู่ตรงหน้าของเขาอย่างใจจดใจจ่อ เอาจริงๆที่เขาทำในตอนนี้อยู่ก็คือการจำแนกพืชและสัตว์เหล่านี้อยู่
ความจริงแล้ว สัตว์ที่เขานำออกไปจัดแสดงนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเอาไปเฉพาะตัวที่เขาหาข้อมูลเได้เท่านั้น เพราะต่อให้พวกมันเป็นสัตว์สูญพันธุ์แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีข้อมูลเอาไว้อ้างอิงได้
สำหรับสัตว์ที่ไม่มีข้อมูลนั้น แน่นอนว่าพวกมันเป็นสัตว์ที่โลกนี้ไม่สมควรจะได้เห็น ตัวอย่างเช่นลงจนยาวหูขาว พวกมันนั้นมีหางที่กลมมนยาวราวกับหางแมว
หรืออย่างนกสีฟ้าที่ตาและหางที่แดงแป๊ดตัวนั้นก็ตาม นี่ยังไม่รวามถึงนกที่สีเขียวอมแดงที่มีเพียงปีกและตาข้างเดียวแต่ก็ยังบินได้เสียอีก
หลังจากที่ซูจิ้งได้คิดไตร่ตรองดูแล้ว ซูจิ้งจึงคิดว่าอย่าเอาพวกมันออกไปให้ใครเห็นดีกว่า ไม่อย่างนั้นมีหวังได้เป็นลมล้มพับกันไปทั้งโลกแหงๆ
นอกจากสัตว์เหล่านี้แล้ว ซูจิ้งยังได้พบพันธุ์ไม้ที่ได้ชื่อว่าสูญพันธุ์ไปจากโลกใบนี้แล้วเช่นเดียวกัน และยังมีบางส่วนที่เขาเองก็ยังหาข้อมูลไม่เจอ
“เพียงแต่ขยะกองนี้เทลงมา พื้นที่รองรับของสถานีก็กลายเป็นป่าขนาดย่อมๆไปได้แบบนี้ ด้วยการที่มีความหลากหลายทางชีวภาพพสูงแบบนี้แล้ว ห้วงเวลาฯที่พวกมันจากมาสมควรจากเป็นดินแดนที่ความหลากหลายของเผ่าพันธุ์มากแน่ๆ
คงได้แต่ลองหาตัวอักษรที่น่าจะหลงมาดูก่อนล่ะนะว่าขยะฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯไหนกันแน่” ซูจิ้งได้ใช้ความคิดอยู่อีกสักพักก่อนที่จะเริ่มจัดการาขยะฯต่อไป
ในขยะกองนี้ ซูจิ้งยังไม่เห็นวี่แววของกระดาษเลยแม้แต่น้อย เป็นไปได้ว่าห้วงเวลาฯที่พวกมันจากมานั้นยังไม่มีกระดาษใช้
อย่างไรก็ตาม ในกองขยะฯที่คัดแยกเอาไว้นั้นเขาได้พบม้วนหนังสัตว์ และมีตำราใบไผ่ที่มีตัวอักษรเขียนเอาไว้อยู่
ซูจิ้งได้รีบคัดแยกพวกมันออกมาแล้วตรวจดูเนื้อหาอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วครู่หนึ่ง เขาก็พบกับคำมากมายอย่าง ตงซาน, หนานซาน, ซีซาน, เป่ยซาน, จงซาน, ไห่นี, ดินแดนโพ้นทะเล, ต้าฮวง, ลิลเริน, ชิงฉี, คุนหลุน, กัวฟู่, ซวนหยวน, หวงตี้, ชิโย, ซิงเตียน, ยูชิ, จูหลง, จ้วงจี้
ซูจิ้งในตอนนี้กำลังใช้ความคิดสุดกำลัง และทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ได้แวบเข้ามาในหัวสมองของเขา “พระเจ้า ขยะฯพวกนี้มาจากห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรงั้นเหรอ”
ยิงซูจิ้งคิดทบทวนมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมั่นใจมากยิ่งขึ้น ห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรเป็นดินแดนที่มีอารยธรรมค่อนข้างล้าหลังแต่กลับมีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมาก มีแม้แต่สัตว์ในตำนานปรัมปราและสัตว์ในโลกเทพนิยายอยู่มากมาย นี่หมายถึงที่นั่นมีสัตว์วิเศษอยู่ทั่วไป
สำหรับคำว่า ตงซาน, หนานซาน, ซีซาน, เป่ยซาน, จงซาน, ไห่นี, ดินแดนโพ้นทะเล และต้าฮวงนั้น ชื่อเหล่านี้คือดินแดนบางส่วนของประเทศซวนหยวน ประเทศลิลเริน ประชิงฉี ประเทศสตรี และประเทศที่มีคุณลักษณะพิเศษอื่นๆอีกมากมาย ตัวอย่างเช่นกัวฟูจูไร จักวรรดิ์ชิหยู จูล่ง และดินแดนลี้ลับอีกมากมาย
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือเป็นห้วงเวลาที่เต็มไปด้วยเรื่องพิศวงแห่งยุคบรรพกาล
ในนิยายเรื่องอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรที่เขาเคยอ่านมานั้น เขาจำได้ว่าในภูเขาและแม่น้ำต่างๆล้วนแล้วแต่มีสิ่งมีชีวิตที่มากมายหลากหลายจนเรียกได้ว่านับกันไม่หวาดไม่ไหว แน่นอนว่าที่นั่นมีแม้กระทั่งสัตว์ที่โลกนี้ได้แต่ร่ำลือกันอย่างนกกระสาขาเดียว และผีเสื้อยักษ์
จึงไม่แปลกแม้แต่น้อยที่ที่นั่นจะมีสัตว์อย่างหนูป่าออสเตรเลียเท้าขาว เต่ายักษ์เกาะเซเชล ผีเสื้อจุดทองคำ ผีเสื้อนางไม้ ผีเสื้อพาพิเลีย นกโดโด้ และสัตว์โบราณอย่างอื่น แต่สำหรับในห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทร พวกมันล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ทั่วไปที่ไม่ใครคิดจะสนใจแม้แต่น้อย บางตัวก็ไม่ได้มีชื่อแบบนี้ซะด้วยซ้ำไป
ยกตัวอย่างเช่นหนูป่าออสเตรเลียเท้าขาว พวกมันถูกตั้งชื่อมาแบบนี้เพราะมีเฉพาะที่ออสเตรเลีย สำหรับที่นั่นจึงไม่ใช่ชื่อเรียกของพวกมันแต่อย่างใด
หรืออย่างผีเสื้อนางไม้ที่ถูกต้องชื่อจากชาวต่างประเทศแบบนั้นยิ่งไม่มีทางถูกเรียกแบบนี้ในห้วงเวลาฯนั้นอย่างแน่นอน
แต่ถึงแม้ชื่อจะต่างออกไป แต่ถ้าสายพันธุ์มันใช่หรือแค่ลักษณะคล้ายๆกันเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะในความเป็นจริงนั้น มนุษย์นั้นมักจะเคยเห็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วบนโลกใบนี้จากโครงกระดูกไม่ก็ฟอสซิลเท่านั้นเอง
ตัวอย่างเช่นนกโดโด้ที่สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ศตวรรษที่สิบเจ็ดหรือก็คือสูญพันธุ์ไปนานกว่าสามร้อยถึงสี่ร้อยปีแล้ว ด้วยเวลาที่นานขนาดนั้นจะหาคนมาจำได้คงไม่มีอย่างแน่นอน
สำหรับจินตนาการของนกโดโด้ที่ถูกพูดถึงกันนั้นพวกมันล้วนดูอ้วนพีและมีท่าทีที่โง่เขลา มันมีภาพลักษณ์แบบนี้จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ในปี2002
องค์กรที่ชื่อว่าเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิคก็ได้เผยแพร่ออกมาว่า แอนดู คิทเชเนอร์ ที่เป็นนักชีววิทยาของพิพิธภัณฑ์หลวงแห่งประเทศสก็อตแลนด์ที่ได้หลงไหลในเรื่องราวของนกโดโด้ ได้ประกาศออกมาว่าภาพของงนกโดโด้ที่เผยแพร่กันออกมานั้นเป็นภาพของนกโดโด้ที่ถูกขุนเอาไว้กินจนอ้วนพีเท่านั้นเอง
ด้วยสภาพอากาศของเกาะเมาลีที่แห้งสุดขั้วและชื้นสุดขีดแบบนั้น นกโดโด้สำควรจะมีลักษณะแบบนั้นเฉพาะตอนช่วงฤดูฝนเท่านั้นเพราะพวกมันต้องกินอาหารสะสมไว้เพื่อต้านทานอาหารที่ขาดแคลนยามฤดูแล้ว
และเหตุผลที่ภาพวาดของพวกมันเป็นแบบนั้นก็สมควรจะเป็นเพราะด้วยการที่พวกมันเป็นนกที่จับง่ายและบินไม่ได้ มนุษย์ในช่วงนั้นย่อมเห็นมันเป็นอาหารอันโอชะและจับขุนเอาไว้เป็นอาหารในยามไม่มีอะไรจะกินเท่านั้นเอง
สำหรับนกโดโด้ป่านั้น นอกจากพวกมันจะดูผอมเพรียวแล้ว พวกมันยังดูแคระแกนไปเลยที่เดียว แต่ถึงจะว่ามาแบบนั้น ยังไงซะต่อให้จับพวกมันมารวมๆกันไว้ ก็ไม่มีใครแยกออกอยู่ดีว่านกโดโด้ตัวไหนเป็นนกป่า ตัวไหนเป็นนกเลี้ยงแต่อย่างใด
“อืมมมมหากเป็นห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรก็ไม่แปลกเลยล่ะนะที่มีนกคู่แฝดแบบนี้ เจ้านี้สมควรจะเป็นนกคู่แฝดตามที่ร่ำลือกัน” ซูจิ้งพูดในขณะที่จ้องมองไปยังนกสีสันสีแดงสดและสีน้ำเงินเข้มคู่หนึ่ง หากว่ามีการพบเจอนกสายพันธุ์นี้เพียงตัวเดียวล่ะก็คงจะถือว่าแปลกตาแน่นอน
เพราะด้วยการที่พวกมันนั้นมีเพียงหนึ่งตาหนึ่งปีก หากมันอยู่ตัวเดียวย่อมไม่สามารถบินไปไหนได้ มันสามารถบินไปไหนได้ก็ต่อเมื่ออยู่กับคู่ของมันเท่านั้น
ทันทีที่ซูจิ้งนกสองตัวนี้ เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงนกฝาแฝดที่มีคุณลักษณะตรงตามนกที่เขาเห็นทุกประการ แต่ต่อให้เห็นกับตาแบบนี้หลายๆคนก็ยังไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่เห็นอยู่ดี
มันก็เหมือนกับคำพูดที่คุ้นหูอย่างบินไปด้วยกัน แต่ในโลกนี้จะเคยมีคนเห็นการบินด้วยกันแบบนี้ได้บ้างล่ะ
“ในเมื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มาจากห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรล่ะก็ ฉันคงต้องใส่ใจพวกมันเป็นพิเศษเลยสินะ เพราะมีโอกาสที่พวกมันจะกลายเป็นสมบัติของที่นั่น”
ซูจิ้งใช้ความคิดถึงความเป็นไปได้ในหลายๆทาง ตอนนั้นเองที่ได้มีเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้น เป็นเอี้ยป๋อที่โทรหาเขาทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้และรับโทรศัพท์
“อาจิ้ง นายอยู่ไหนเนี่ย” เอี้ยป๋อถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้าพลางถอดถอนหายใจ
“ที่บ้านน่ะ” ซูจิ้งตอบออกไป
“นายนี่น้า…ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลยจริงๆ นายรู้รึเปล่าว่าสัตว์ที่นายจัดแสดงที่สวนสัตว์จงหยุนนี่มันปฏิวัติวงการนี้ขนาดไหนน่ะ” เอี้ยป๋อพูดออกมาด้วยความติ่นเต้น
“รู้สิ ไม่อย่างนั้นผมจะไปซื้อสวนสัตว์ทำไมกัน ว่าแต่คุณเห็นรึยังเนี่ย อย่าบอกนะว่ายังน่ะ” ซูจิ้งถามออกมา
“สิ่งที่ฉันเห็นจนจำขึ้นใจก็คือภาพรถติดน่ะ ตลอดช่วงสองถึงสามชั่วโมงมานี้ฉันติดแหง่กอยู่บนท้องถนนจนเพิ่งจะมาเห็นกับตาแล้วโทรมาหายนายเนี่ยล่ะ
ฉันอยากจะบอกว่าต่อให้เสียเวลาสองสามชั่วโมงแต่แลกกับการได้เห็นสัตว์หายากและสูญพันธุ์เหล่านี้ก็คุ้มค่าแล้ว ว่าแต่ นายได้รับอนุญาตแล้วใช่ไหมเนี่ย” เอี้ยป๋อถามออกมาอย่างเป็นกังวล
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันดำเนินการทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายหมดแล้ว แต่ก็มีเรื่องน่ารำคาญเหมือนกันตรงที่ฉันได้รับสายจากกระทรวงการต่างประเทศโคตรจะบ่อยเลย ดูเหมือนว่าพวกนั้นอยากจะเจอฉันล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แหงสิ ฉันนึกออกได้เลยว่าต้องเป็นเรื่องของนกโดโด้แน่ๆ พวกเมาลีต้องอยากได้กลับไปสักคู่สองคู่อย่างแน่นอน” เอี้ยป๋อพูดออกมาอย่างรู้ดีว่าอะไรควรจะเกิดขึ้น เขาสามารถนึกภาพออกได้จริงๆว่าชาวเผ่าเมาลีนั้นมีท่าทียังไงที่เห็น เขานิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า “นี่นายอยู่บ้านใช่รึเปล่า เดี๋ยวฉันจะไปหานายนะ”
“ห้ะ มาเพื่อ?” ซูจิ้งสงสัยในทันทีจึงถามออกไป
“ฉันอยากจะคุยกับนายซึ่งๆหน้าเกี่ยวกับสัตว์สูญพันธุ์เหล่านั้น แล้วก็ ฉันรู้จักนิสัยนายดีจนรู้ว่านายต้องมีของดีที่สุดแอบซุกไว้เสมอ” เอี้ยป๋อพูดออกมาราวกับคาดการณ์ได้ ตอนนี้เขาหลงลืมความคิดที่ว่าจะถามความเห็นของซูจิ้งที่ว่าจะยอมให้เขาเข้าบ้านไปรึเปล่าเรียบร้อยแล้ว
ซูจิ้งนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะหันไปมองพวกพืชหน้าตาประหลาดแล้วพูดออกมาว่า “ตำลง นายมาก็ดีแล้วจะได้ช่วยฉันดูอะไรหน่อย”
GGS:บทที่ 1055 ผลไม้จีนโบราณ
หลังจากได้ยินคำพูดของซูจิ้งเอี้ยป๋อก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นเต้นออกมา เขาคิดไว้แล้วว่าซูจิ้งต้องเก็บงำของดีไว้กับตัวอย่างแน่นอน
เอี้ยป๋อยังไม่ทันวางสายดีเขาก็ได้เร่งเดินทางไปยังบ้านของซูจิ้งอย่างรวดเร็ว ในคราวนี้ไม่มีรถติดแต่อย่างใด แต่จะมีติดอยู่อย่างเดียวคือการที่โจวซือเซียนมาถึงก่อนเขา
“คุณโจวคุณมาทำอะไรที่นี่กัน” ซูจิ้งถามออกมาอย่างสงสัย
“ฮ่าฮ่าฮ่า พอดีว่าฉันได้กลิ่นวัตถุโบราณน่ะ” โจวซือเซียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็ได้ยินข่าวเกี่ยวกับสวนสัตว์เมืองจองหยุนแล้ว ถึงแม้เขาจะสนใจเกี่ยวกับสัตว์สูญพันธ์เหล่านั้นไม่น้อย
แต่ด้วยการที่เขานั้นเป็นนักสะสมสายของเก่าไม่ใช่สายสัตว์หายาก ถึงแม้เขาจะได้ศึกษาหาความรู้ไว้บ้างแต่แน่นอนว่าความนิยมชมชอบไม่ลึกซึ้งเท่าเอี้ยป๋อ
แต่อยู่ๆทำไมเขาถึงมีความคิดบางอย่างขึ้นก็ไม่รู้ ความคิดที่ว่านั่นก็คือในเมื่อเจอสัตว์สูญพันธุ์มามากมายขนาดนี้แล้วเขาจะมีโอกาสเจอวัตถุโบราณของอารยธรรมที่สาบสูญไปในช่วงร้อยปีกว่ามั่งรึเปล่านะ
นั่นเองจึงเป็นเหตุผลที่เขามา
“อ่ะแฮ่มมมม แค้กแค้กแค้ก คุณคิดมากไปเองล่ะม้างงงงง” ซูจิ้งพูดออกมาแบบไม่มีพิรุธเลยสักนิด
“เฮ้เฮ้เฮ้ ฉันเองก็เชื่อในสัญชาติญาณของตัวเองเหมือนกันนา” โจวซือเซียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างรู้แกว
“ก็ดี ในเมื่อคุณมาแล้วก็ถ้าไม่ว่าอะไรก็รอคุณเย่หน่อยก็แล้วกันเพราะว่าผมมีของอยากจะให้เขาช่วยดูหน่อย เอ้านี่ผมขอเสริฟชาให้คุณจิบฆ่าเวลาไปก่อนแล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“โอ้…ตาแก่นั่นมาด้วยแบบนี้ฉันต้องยิ่งรีบร้อนเข้าไปใหญ่” โจวซือเซียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มและสายตาที่เปล่งประกายทันทีที่ได้ยินว่าซูจิ้งจะเซริฟชาของเขา เอาจริงตาของเขาเป็นประกายกว่าจับพิรุธซูจิ้งได้ก่อนห้านี้ซะอีก
ถึงจะบอกว่ามีใครบ้างที่ไม่เคยดื่มชาก็ตาม แต่กับชาของซูจิ้งแล้วแน่นอนว่าพวกมันนั้นล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ของธรรมดา แม้แต่ชาดาฮงเป่าที่เป็นชาชั้นดีที่สุดก็ยังหากินได้ทั่วไป แต่กับชาของซูจิ้งนั้นมีที่นี่ที่เดียวเท่านั้น
เขานั้นยังไม่เคยลืมรสชาติของชาที่ของซูจิ้งที่เคยดื่มได้เลย แม้แต่ที่พิ้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาคาร์ฟทะยานฟ้านั่นเขาก็ไม่มีโอกาส
นั่นก็เพราะที่นั่นถึงจะมีชาเขียวหกนิ้วขายก็จริง แต่ราคาของมันคือหนึ่งหมื่นหยวน ด้วยราคาแบบนั้นทำให้คนธรรมดาเช่นเขานั้นยากที่จะเอื้อมถึงได้เลย แต่ตอนนี้ชานั่นถูกเอามาเสริฟให้แขกแบบเขาคนนี้ คนยินดีแม้แต่จะต้องดื่มจนเลยให้หมดทุกหยาดหยดอย่างมีความสุข
เป็นจริงตามที่โจวซือเซียนคาดไว้ ซูจิ้งได้เสริฟชาเขียวหกนิ้วให้เขาพร้อมกับเทลงในถ้วยชาให้ เขานั้นไม่ได้เร่งรีบที่จะดื่มแต่อย่างใดแต่เขาเลือกที่จะจิบช้าๆเพื่อทราบซึ้งถึงรสชาติถึงทรวงใน
ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้เขานั้นรู้สึกสดชื่นมาก ต่อให้คนที่ไม่เคยดื่มชาก็ยังสามารถรู้สึกได้ไม่ต่างจากเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ดื่มเลยทีเดียว
หลังจากเสริฟชาแล้ว ซูจิ้งก็ได้นำบุหรี่มาให้ นี่ทำให้โจวซือเซียนแทบคลั่งเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าบุหรี่ของซูจิ้งนั้นเป็นที่เล่าขานกันมากขนาดไหน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เขานำออกมานั้นไม่ใช่เกรดปกติที่ราคาห้าสิบหยวนแต่เป็นระดับคัดพิเศษที่มีราคาซองละหนึ่งหมื่นหยวน
ด้วยราคาของมันนี้ทำให้โจวซือเซียนไม่สามารถเร่งสูบได้แต่อย่างใด เขาเรื่องที่จะดื่มด่ำกับบุหรี่คัดพิเสษของซูจิ้งอย่างช้าๆ โดยความรู้สึกที่ว่าอยากให้เวลาหยุดนิ่งอยู่อย่างนี้ไม่ก็ให้ไหลไปช้าๆที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โจวซือเซียนอดจะมีความรู้สึกที่ว่าอยากเป็นเพื่อนสนิทของซูจิ้งไม่ได้เลยทีเดียว เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาจะหาโอกาสมาเยี่ยมเยียนซูจิ้งบ่อยๆอย่างไม่มีปัญหา
จะให้ดีที่สุดคือการเป็นครอบครัวของเขา นั่นก็เพราะจะทำให้เขานั้นสามารถดื่มด่ำกับความรู้สึกแบบนี้ได้อย่างมิรู้ขาดเลยทีเดียว
หลังจากผ่านาสักพัก ในที่สุด เอี้ยป๋อและชายหนุ่มฝึกงานก็มาถึง หลังจากที่ทั้งสองต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันในการนั่งรถไปสวนสัตว์จงหยุน หลังจากนั้นก็มาที่นี่ ทำให้ทั้งสองดูเหนื่อยมากๆ
แต่หลังจากที่ได้ดื่มชาเขียวหกนิ้วทำให้ทั้งสองรู้สึกสดชื่นและมีพลังงานเต็มเปี่ยมขึ้นมาในทันที แต่อย่างไรก็ตาม เอี้ยป๋อในตอนนี้ไม่ได้มีอารมณ์ในการดื่มด่ำกับชาแม้แต่น้อย
ทันทีที่เขาฟื้นคืนความสดชื่นจึงได้พูดออกมาว่า “อาจิ้ง อะไรที่นายอยากให้ฉันดู รีบเอาออกมาเร็วๆเข้า”
“ฉันมานั่งรอนายต้องนานแล้วยังไม่เห็นเร่งรีบอะไรเลย นายจะรีบไปไหนเนี่ย” โจวซือเซียนพูดออกมา
“ก็อาจิ้งมีของอยากจะให้ฉันช่วยดูนี่ แน่นอนว่าฉันก็อยากจะรีบเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ว่าแต่นายเหอะ มาทำบ้าอะไรที่นี่เนี่ย กลับไปสถาบันโบราณคดีเลยไป๊” เอี้ยป๋อพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
ความจริงแล้วทั้งสองนั้นมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันจนเรียกได้ว่าเพื่อนสนิทเลยก็ว่าได้ แต่ด้วยเรื่องของหน้าที่การงานนั้นค้ำคอทำให้ทั้งสองกลายเป็นศัตรูไปโดยปริยาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เอี้ยป๋อกำลังตื่นเต้นเพราะซูจิ้งอยู่ จึงไม่แปลกที่จะพูดออกมากันแบบนี้ นี่คือสิ่งเรียกกันว่าคู่หูคู่กัดกันอย่างแท้จริง
“อย่าอารมณ์เสียใส่กันสิครับ โตๆกันแล้วนา เดี๋ยวผมจะนำของออกมาให้คุณทั้งสองเห็นด้วยกันนี่แหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในบ้านและนำกระถางที่มีต้นไม้ปลูกอยู่ออกมาเป็นอย่างแรก
แน่นอนว่าซูจิ้งยังมีต้นไม้อีกหลากหลายสายพันธุ์ที่ได้จากห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทร แต่เขาเลือกที่จะนำต้นไม้นี้ออกมาก่อนเป็นอย่างแรก
“นี่คือ?” ทุกคนที่เห็นต่างก็รู้สึกอึ้งๆไปกับต้นไม้ที่ซูจิ้งนำออกมา ในกระถางนี้มีน้ำคอยหล่ออยู่ข้างใน มันเป็นไม้น้ำอย่างไม่ต้องสงสัย ลำต้นของมันนั้นสูงประมาณยี่สิบเซ็นติเมตรเห็นจะได้ รากของมันยังไม่ออกมาดีและใบของมันเรียวยาวและแยกเป็นแฉก
ในกระถางมีต้นไม้ชนิดนี้อยู่เกือบโหลและยังมีหน่อที่พึ่งจะแตกออกมาด้วยซ้ำ หากมองดีๆแล้วจะเห็นว่ามันมีผลอยู่ ผลของมันนั้นดูเรียวและแข็งมาก
“นี่มันต้นอะไรกันแน่”
“ไม่รู้จักเหมือนกัน ไม่เคยเห็นต้นไม้แบบนี้มาก่อน”
“ทำไมผมรู้สึกคุ้นๆนะ คุ้นๆว่าจะเคยเห็นในตำรารึไงนี่แหล่ะ”
ชายหนุ่มฝึกงานจ้องมองและครุ่นคิดอยู่จนแสดงออกมาให้เห็น หากคนธรรมดาทั่วไปมาเห็นล่ะก็คงจะหัวเราะพวกเขากันอย่างนัก เพราะไม่ว่ามองยังไงเจ้าต้นนนี้ก็แค่ต้นไม้น้ำ แล้วจะไปมีอะไรน่าสนใจได้กัน
“เดี๋ยวนะ การที่ผลของมันหุ้มไว้ด้วยเปลือกแข็งแบบนี้สมควรจะเป็นหนึ่งในวิธีแพร่พันธุ์ของมัน แต่ว่าเจ้าต้นนี้มันเป็นต้นไม้น้ำ ปกติแล้วลูกไม้ที่ออกมาสมควรจะต้องบางนี่นา แถมเจ้านี้ดูยังไงก็ไม่ใช่ไม้ยืนต้นแต่ดูเหมือนสมุนไพรซะมากกว่า …… นี่มัน….” เอี้ยป๋อใช้ความคิดอยู่พักใหญ่จนในที่สุด เขาก็หันไปมองด้วยความตื่นเต้นพร้อมทั้งอุทานออกมาว่า “พระเจ้าช่วย ไม่ผิดแน่”
“ดูเหมือนว่านายจะคิดแบบเดียวกับฉันนะ” โจวซือเซียนพูดออกมาในเชิงคิดแบบเดียวกัน
“แต่มันไม่น่าเป็นไปได้” เอี้ยป๋อพูดออกมาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“ฉันเองก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ แต่ยังไงซะมันก็มาปรากฏต่อหน้าพวกเราแล้วนี่นา” โจวซือเซียนได้พูดออกมาก่อนที่จะหันไปมองซูจิ้ง
ชายแก่ทั้งสองมองไปยังซูจิ้งราวกับเห็นสัตว์ประหลาด พวกเขานั้นรู้ดีว่าซูจิ้งมีความวิเศษกับเรื่องอย่างวัตถุโบราณหรืออะไรทำนองนี้อยู่แล้ว
แต่ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาจะไม่ใหญ่กว่าวัตถุจากดินแดนที่สาบสูญแอตแลนติส หรือแม้แต่สัตว์สูญพันธุ์มากไปหน่อยเหรอ
“คุณเอี้ย ที่คุณพูดนี่คุณหมายถึงอะไรกัน” ชายฝึกงานได้ถามออกมา
“คุณโจว ต้นนี้คือต้นอะไรหรือครับ” เหล่าผู้ช่วยของโจวซือเซียนได้ถามออกมาอย่างสงสัย
เอี้ยป๋อและโจวซือเซียนนั้นยังไม่แน่ใจเหมือนกันจึงได้ลองหาข้อมูลจากสมาร์ทโฟนของตัวเองเพิ่มเติม แต่ยิ่งเห็นก็ยิ่งหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงและพูดออกมาว่า “ถ้าข้อมูลที่พวกเราดูไม่ได้ผิดอะไรล่ะก็ เจ้าต้นนี้สมควรจะเป็นผลไม้จีนโบราณ”
“ผลไม้จีนโบราณเหรอ….เดี๋ยวนะ คงไม่ใช่ต้นไม้ที่ว่า”
“ฉันจำได้ มันเหมือนจะเป็นต้นไม้เมื่อสักร้อยล้านปีก่อนนะ”
“ห้ะ ต้นไม้นั่นไม่ใช่ว่าจะเหลือแค่ซากฟอสซิลหรอกเหรอ”
เหล่าผู้ติดตามของทั้งสองมองหน้ากันไปมาอย่างโง่งม พวกเขารู้แล้วว่าทำไมทั้งเอี้ยป๋อและโจวซือเซียนถึงได้ตกใจมากนัก พวกเขาเองก็หันไปมองซูจิ้งราวกับเป็นสัตว์ประหลาดไม่ต่างกับทั้งสองคน
นั่นก็เพราะ ต่อให้คุณโชคดีขนาดไหนก็ตาม แต่กับการเจอสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วในหลักร้อยปีก็สมควรจะคือที่สุดแล้ว
แต่นี่หนึ่งร้อยล้านปีก่อนเลยนะ นั่นคือยุคโบราณกาลเลยด้วยซ้ำ ช่วงเวลาที่ร้อยล้านปีนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนแล้วแต่วิวัฒนาการมามากมายหลากหลาย ไม่มีทางเลยที่ต้นไม้โบราณแบบนั้นจะคงอยู่มาถึงตอนนี้ได้
นี่เขาไปได้มันมาได้ยังไงกัน อย่าบอกนะว่าเขาทะลุเวลาไปเมื่อร้อยล้านปีก่อน หรือเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่คงอยู่มาร้อยล้านปีแล้วนำพืชพันธุ์และสัตว์เหล่านี้ติดตามมาด้วยกัน
แค่เขาค้นพบหลักฐานทางอารยธรรมเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนหรือแม้แต่สัตว์สูญพันธุ์เมื่อร้อยปีก่อนก็อัศจรรย์จนยากจะเชื่อแล้ว แต่กับต้นไม้นี้มันจะมหัศจรรย์เกินไปแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น