Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1044-1051
GGS:บทที่ 1044 ขยะกองใหม่
เมื่อซูจิ้งได้เข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศ เขาก็ได้เห็นวังวนมิติขนาดใหญ่หมุนวนไปมาอยู่บนท้องฟ้า ขยะปริมาณมหาศาลได้ไหลลงมาอย่างไม่หยุดยั้งและพวกมันก็ได้ลอยเคว้งคว้างอยู่บนอากาศด้วยสนามแม่เหล็กพิเศษของฉิงหยุน
เพียงซูจิ้งได้ปลายตามองไปทั่วๆก็ถึงกับต้องทำหน้าโง่งมพร้อมเบิกตาโตในทันที นั่นก็เพราะขยะห้วงเวลาฯในครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนๆอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่เขาเห็นนั้นในตอนนี้มีแต่สีเขียวของต้นไม้นานาพันธุ์ แม้แต่พวกสัตว์ก็ร่วงหล่นลงมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนู เต่า นก แม้แต่ผีเสื้อ เรียกได้ว่าหากมันเป็นขยะ ก็สมควรจะเป็นขยะที่คัดแยกไว้แล้วอีกทีหนึ่ง
“แม่…เอ๊ย นี่มันขยะหรือสวนสัตว์กันเนี่ย” ซูจิ้งได้อดที่จะสบถออกมาด้วยความตกใจหลังจากเห็นสัตว์นานาชนิดและต้นไม้นานาพันธุ์อย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เขานั้นก็ยังพอที่จะเห็นขยะอย่างอื่นอย่งเครื่องมือ เศษผ้า หม้อแตกๆ หรือแม้แต่เฟอร์นิเจอร์ไม้พังๆอยู่เหมือนกัน นี่ก็ยังพอจะเรียกได้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้ยังพอมีของดีๆอยู่บ้างอย่างแน่นอน
เป็นไปได้ว่าการที่สิ่งที่หล่นลงมาส่วนใหญ่เป็นพืชและสัตว์นั้นเป็นเพราะว่ามันถูกทิ้งไว้นานมากจนมีพืชปกคลุม อาจจะเรียกได้ว่านี่เป็นป่าย่อมๆหรือสวนสวรรค์ของสรรพสัตว์เลยก็ว่าได้
ซูจิ้งได้ทำการประเมินขยะที่ไม่ใช่พืชพรรณและสรรพสัตว์ในทันทีที่เห็น เขาประเมินโดยคร่าวๆจากเครื่องมือหิน เฟอร์นิเจอร์ไม้ เศษผ้า และหม้อแตกๆเหล่านั้น
เขาประเมินได้ในเบื้องต้นว่าห้วงเวลาฯที่ขยะกองนี้จากมาสมควรจะเป็นยุคที่เก่าแก่พอสมควร และดูจากที่พวกมันมีการเปียกชื้นพอสมควร นี่แสดงว่าต้องมาจากพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ
หลังจากผ่านไปสักพัก ขยะห้วงเวลาก็ได้หยุดไหลลงมา และวังวนมิติก็ได้หายไป ซูจิ้งจึงเริ่มเข้าไปจัดการพวกสัตว์ก่อนเป็นอย่างแรก
โดยส่วนใหญ่แล้วเท่าที่เขาดู สัตว์พวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ป่า ไม่ต้องบอกเลยว่าพวกมันนั้นจะอยู่ในสภาวะแตกตื่นและโกลาหลกันขนาดไหน
ซูจิ้งได้จัดการโดยปลดปล่อยพลังจิตของตัวเองให้ครอบคลุมพื้นที่ในทันทีเพื่อควบคุม แล้วทำการทำพันธสัญญากับพวกมันทั้งหมดในทันที
เมื่อทำพันธสัญญาได้หมดเรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งได้ตรวจสอบพวกมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาพบว่าพวกมันล้วนแล้วแต่มีลักษณะทางกายภาพที่แปลกประหลาดและไม่เคยเห็นที่ไหนบนโลกมาก่อนอย่างแน่นอน
ตัวอย่างเช่นเต่าที่มีหลอดไฟสีเหลืองอยู่ที่หัวที่มีเกล็ดที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามอยู่บนยอดของมัน
กระดองหลังของมันนั้นเหมือนหลังช้าง มีลวดลายสีดำขนาดใหญ่พาดผ่านตรงกลางราวกับโล่ของพวกยุโรปยุคกลาง มันนั้นมีหลายแผลบาดลึกอยู่กลางหลัง ขาของมันเองก็มีเกล็ดที่ยับยู่ยี่ราวกับหนังช้างก็ไม่ปาน
ซูจิ้งสาบานได้เลยว่าเขานั้นไม่เคยเห็นเต่าที่หน้าตาแบบนี้มาก่อน
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือหนูฝูงนี้ พวกมันนั้นมีขนาดเท่าหนูบ้านทั่วไปแต่มีใบหูที่ใหญ่ ขาหน้าของมันสั้นมากและขาหลังของมันก็ยาวและดูทรงพลัง ซูจิ้งบอกได้เลยว่าพวกมันต้องเคลื่อนที่ไปมาด้วยการกระโดดแบบเดียวกับจิ้งโจ้อย่างแน่นอน
นอกจากหนูจำพวกนี้แล้วยังมีหนูอีกจำพวกหหนึ่งที่ลำตัวส่วนบนเป็นสีน้ำตาลเข้มแต่ส่วนล่างของมันกลับมีสีขาวปลอด รูปร่างของพวกมันเองก็ดูน่ารักต่างจากหนูทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
อีกกลุ่มหนึ่งที่ดูเด่นหน่อยก็เป็นผีเสื้อ พวกมันส่วนใหญ่แล้วมีขนาดใหญ่มาก แต่ละตัวเองก็มีความสวยงามไม่ซ้ำกันแต่ก็แปลกตาเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าแต่ละตัวมีลวดลายของตัวเองก็ว่าได้
ลวดลายของปีกมันนั้นแม้แต่ข้างซ้ายและขวาเองก็ยังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เรียกได้ว่าข้างซ้ายนั้นสวยงามราวกับหญิงสาว แต่ข้างขวานั้นดูขาวกระจ่างอย่างกับโครงกระดูกเลยทีเดียว
ยังมีสัตว์ชนิดอื่นที่ดูแปลกตาอยู่อีกอย่างลิงขนยาวที่มีหูขาว ขนาดซูจิ้งที่ชื่นขอบการดูสารคดีสัตว์โลก เขานั้นชื่นชอบขนาดหาหนังสือมาหาอ่านเพิ่มเติมแล้วมากมายก็ยังไม่คุ้นตากับเจ้าลิงนี่เลยแม้แต่น้อย
พวกนกเองก็ดูแปลกตาไม่ต่างกัน พวกมันมีขนสีน้ำเงินเทาทั่วทั้งตัว
จงอยปากของมันน่าจะสักประมาณยี่สิบสามเซนติเมตรมีสีดำและงุ้มงอพร้อมกับจุดสีแดงเข้มที่ปลายจงอยปาก ปีกของพวกมันสั้นมากจนไม่น่าจะบินได้ และขาของมันใหญ่มากและมีสีเหลืองอร่าม ที่น่าตลกที่สุดคือขนที่ปัดขึ้นที่ตูดของมันอย่างโดดเด่น
ตอนนี้ซูจิ้งรู้สึกได้เลยว่า สัตว์พวกนี้มันดูน่ามหัศจรรย์ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย ตำนาน หรือแม้แต่หนังแนววิทยาศาสตร์
“อ่า…. ตอนนี้สถานีกำจัดขยะฯคงต้องเปลี่ยนเป็นสวนสัตว์ห้วงเวลาแล้วสินะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
ถึงแม้ว่าขยะห้วงเวลากองอื่นนั้นจะมีสิ่งมีชีวิตที่ติดมาด้วยบ้างก็จริง แต่พวกมันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหายนะของโลกใบนี้
พวกมันแต่ละตัวเรียกได้ว่าแข็งแกร่งถึงขนาดที่หลุดออกจากการควบคุมของสนามแม่เหล็กพิเศษของฉิงหยุนได้อย่างง่ายดาย
แต่กับสิ่งมีชีวิตที่ติดมากับขยะห้วงเวลาฯกองนี้ ถึงพวกมันจะเยอะ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ซูจิ้งรู้สึกถึงหายนะแต่อย่างใด
“อืมมมมม พลังวิญญาณของสัตว์เหล่านี้อ่อนแอนัก ความสามารถในการต่อสู้เองก็สมควรจะไม่ได้สูงอย่างแน่นอน
พวกมันสมควรจะไมใช่สัตว์สงคราม สัตว์ประหลาด สัตว์ร้ายหรืออะไรพวกนั้นที่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์อย่างแน่นอน ไม่รู้เลยแหะว่าจะให้พวกมันทำอะไรดี” ซูจิ้งใช้ความคิดอยู่นานแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
เขาจึงเปลี่ยนเป็นเริ่มจากการหาข้อมูลสัตว์พวกนี้แทนก่อนว่าพอจะมีสายพันธุ์ไหนที่คล้ายกันบ้างรึเปล่า แต่มันก็เหมือนกับคำพูดที่เคยมีคนพูดเอาไว้ว่าขนาดไม่รู้ยังตกใจขนาดนี้ ถ้ารู้จะตกใจขนาดไหน
ยิ่งซูจิ้งค้นข้อมูล เขาก็ยิ่งตกตะลึง และตกตะลึงมากขึ้นตามลำดับจนอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “ก็ไม่รู้หรอกนะว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากไหน แต่ฉันต้องได้ค่าการใช้ประโยชน์พรุ่งพรวดอย่างแน่นอน”
ซูจิ้งไม่รอช้า เขาได้โทรศัพท์ไปหาฟานเว่ยเชินที่เป็นผอ.สวนสัตว์และผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำของเมืองจงหยุนในทันที
อย่างไรก็ตามเขาโทรอยู่นานก็ไม่มีท่าทีว่าจะมีคนรับสาย เขาจึงต้องเปลี่ยนไปโทรหาซิวจงหงแทน ซิวจงหงที่เห็นเป็นซูจิ้งจึงได้รีบรับสายในทันที
“โอ้…อาจิ้ง นึกยังไงถึงโทรมาได้เนี่ย ช่วงนี้นายน่าจะยุ่งแบบสายตัวแทบขาดนี่นา นับวันนายนี้ช่างยากจะหยังถึงจริงๆ”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เอาน่า นายจะมีหน้ามาบอกว่าไม่ขนาดนั้นอีกเหรอ ตอนนี้ชื่อเสียงของนายแทบจะทะลุฟ้าแล้วนา ฉันว่าอีกไม่นานนายคงต้องมีชื่อขึ้นหอเกียรติยศแหงๆ ว่าแต่นี่โทรมามีอะไรล่ะเนี่ย” ซิวจงหงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“พอดีฉันโทรหาฟานเว่ยเชินไม่ได้น่ะ เบอร์ที่ฉันมีโทรไปไม่มีคนรับเลย” ซูจิ้งพูดออกมา
“อ้อ เขาเปลี่ยนเบอร์ใหม่น่ะ เดี๋ยวฉันจะส่งเบอร์ของเขาให้ทีหลังแล้วกัน ว่าแต่นายจะโทรหาเขาทำไมล่ะนั่น” ซิวจงหงถามออกมาอย่างอดไม่ได้
“ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันอยากจะคุยเรื่องธุรกิจกับสวนสัตว์จงหยุน”
“ธุรกิจ…ยังไง?”
“เอาง่ายๆฉันแค่จะให้เขามอบสวนสัตว์ให้ฉันเท่านั้นเอง”
“ห้ะ ธุรกิจกับผีน่ะสิ นี่มันปล้นกันชัดๆ” ซิวจงหงอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้
“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า เรื่องนี้ฉันเชื่อว่าเขาต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน ฉันว่าจะดีกว่าน้า…ถ้าเธอจะช่วยคุยให้ฉันน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฉันคุยให้ก็ได้แต่ต้องบอกมาก่อนว่านายจะเอาสวนสัตว์ไปทำอะไร ถึงแม้สัตว์เลี้ยงของนายจะสวยงามและชาญฉลาดมากก็จริง แต่ด้วยจำนวนเท่านั้นก็ไม่ได้มากพอสำหรับการทำให้เป็นสวนสัตว์หรอกนะ” ซิวจงหงพูดออกมา
“แน่นอนว่าของที่จะให้ผู้คนได้ดูนั้นย่อมไม่ใช่สัตว์เลี้ยง แต่จะเป็นอะไรนั้นฉันว่าคงต้องรอให้เห็นด้วยตาของตัวเองนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“อะไร นี่คิดจะแกล้งฉันอีกรึไง แต่ก็เอานะ ในเมื่อนายเอ่ยปากมาขนาดนี้แสดงว่าอยากได้จริงๆ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันโทรไปคุยกับฟานเว่ยเชินก่อนแล้วกันเดี๋ยวจะโทรไปบอกอีกที”
“รบกวนหน่อยน้า…ลูกพี่….”
หลังจากวางสาย ซิวจงหงได้โทรหาฟานเว่ยเชิน เมื่อเขาได้ยินว่าซูจิ้งต้องการสวนสัตว์ของเขา เขาถึงกับนิ่งเงียบและพูดไม่ออกในทันที
เขานั้นนึกสงสัยอย่างมากว่าซูจิ้งนั้นจะเอาสวนสัตว์ไปทำอะไร เขาเองถึงแม้จะรู้จักซูจิ้งเพียงเล็กน้อยแต่เขาเองก็ตระหนักถึงสถานะของซูจิ้งเช่นเดียวกัน
ซิวจงหงที่พอรู้เรื่องราวอยู่บ้างก็เลยเสนอว่าให้ทั้งสองมาเจอหน้าและคุยกันดีๆเขาจึงยอมตกลงด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่คิดจะขายก็จริงแต่กับซูจิ้งในตอนนี้ ยังไงซะ หากจะปฏิเสธก็ควรจะทำต่อหน้าจะดีที่สุด
เย็นวันนั้น ซูจิ้ง ซิวจงหง และฟานเว่ยเชินได้นั่งร่วมโต๊ะกันอยู่ในภัตตาคารแห่งหนึ่งในเมืองจองหยุน หลังจากสั่งอาหารกันแล้ว ฟานเว่ยเชินก็ได้เปิดประเด็นถามตรงๆในทันที เขาได้พูดออกมาว่า
“คุณซู ทำไมอยู่ๆคุณถึงสนใจสวนสัตว์ขึ้นมาล่ะ ธุรกิจของคุณก็ทำเงินได้อย่างมากมายมหาศาลอยู่แล้วนี่นา ไม่เห็นจะต้องมาสนใจกับธุรกิจเล็กๆอย่างสวนสัตว์นี่เลย”
“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ได้นะครับว่ามันเป็นเพียงแค่ธุรกิจเล็กๆ หากว่าจัดการดีๆล่ะก็กำไรของมันก็ดีพอตัวเลย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เฮ้อออ แต่ผมมีธุรกิจในชีวิตนี้แค่ที่เดียวนี่สิ” ฟานเว่ยเชินแสดงความรู้สึกในใจออกมา
“เอาจริงๆผมเองก็ไม่ต้องการถึงขั้นที่ว่าให้คุณขายหรอกนะ พวกเรายังร่วมหุ้นกันได้อยู่ ตราบใดที่คุณยอมจะให้ผมถือหุ้นไว้ส่วนมากละก็ผมเองจะยอมให้ดูสัตว์ที่ผมจะนำไปจัดแสดงที่สวนสัตว์ตัวเป็นๆเลยเอ้า” ซูจิ้งพูดพลางหัวเราะออกมาก่อนที่เขาจะหยิบรูปถ่ายออกมาสักโหลหนึ่งเห็นจะได้
เพียงแวบได้ที่เห็นฟานเว่ยเชินและซิวจงหงต่างก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันก่อนที่จะค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆรูปถ่าย เพียงชั่วขณะหนึ่ง สายตาทั้งสองคู่แถบจะถลนออกมาในทันที
GGS:บทที่ 1045 ปรับปรุงสวนสัตว์
“พระเจ้าช่วย นี่ฉันตาฝาดไปรึเปล่า” ดวงตาของฟานเว่ยมองไม่กระพริบในขณะที่พูดออกมา
“เป็นไปไม่ได้ รูปพวกนี้ทำขึ้นรึเปล่า” ซิ่วจงหงพูดออกมาอย่างอยู่ไม่สุข
“ไม่ได้ทำอย่างแน่นอน นี่นายเห็นฉันเป็นคนแบบนั้นรึไง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ถ้านี่เป็นรูปจริงล่ะก็ พวกมันก็ต้องเป็นสัตว์ทำขึ้นแน่ๆ” ซิ่วจงฮงพูดออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้” ฟานเว่ยสายศรีษะไปมาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหยุดลงและพูดออกมาว่า “เดี๋ยวนะ ต่อให้มันเป็นของจริงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับสวนสัตว์ล่ะ”
“ก็เพราะมันไม่ใช่แค่รูปภาพแต่มันคือของจริง แถมฉันยังมีพวกมันอยู่ด้วย ฉันว่าจะเอามันไปไว้ในสวนสัตว์จงหยุนน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมานี่ทำให้ซิ่วจงหงและฟานเว่ยเชินถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยราวกับว่าสมองตัดขาดจากการรับรู้เพื่อประมวลผลอะไรบางอย่าง
“ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ ไม่มีทางเป็นไปได้แม้แต่น้อย” ฟานเว่ยส่ายศรีษะไปมาหนักกว่าเดิม
“อาจิ้ง อย่ามายั่วพวกเราน่า” ซิวจองหงเองในตอนนี้มีท่าทีอยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก อยากจะหัวเราะก็ทำไม่ได้
“หืม?แล้วถ้ามันเป็นของจริง?” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เหอะ ถ้าพูดแบบนี้แสดงว่าคุณยังไม่ยอมแพ้สินะ ก็ได้ถ้าเป็นของจริงล่ะก็ผมยินดีที่จะขายสวนสัตว์ให้คุณเลย แค่ใช้ตรรกะความจริงนิดหน่อยก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ของจริง” ฟานเว่ยเชินพูดออกมาอย่างฟิวส์ขาด เพราะสำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่มีทางเป็นความจริงได้
“คุณพูดแล้วนา…. เอาล่ะ เราอย่ามาพูดเรื่องนี้กันที่นี่ดีกว่า ผมว่าเราไปบ้านผมกันเลยแล้วกัน” ซูจิ้งยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ฟานเว่ยเชินและซิ่วจงหงได้แต่มองตามอย่างทำอะไรไม่ถูก เพราะซูจิ้งทำราวกับว่ามันคือความจริง ถึงแม้จะเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ทั้งสองก็ยังตามซูจิ้งกลับบ้านไปอยู่ดี
ผลก็คือฟานเว่ายเชินยินยอมพร้อมใจขายสวนสัตว์จงหยุนให้แต่โดยดีและไม่ขัดขืนอีกต่อไป เขายังขอร้องซูจิ้งให้เขาได้ทำงานต่อในฐานะผู้จัดการโดยให้ซูจิ้งจ่ายเงินเดือนเขาแค่ระดับพนักงานชั้นต้นด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าซูจิ้งยินดีจ้างแต่เขาไม่ยินดีที่จะจ่ายเงินเพียงแต่นั้น เขาจ่ายเงินเดือนให้ฟานเว่ยเชินให้เหมาะกับความสามารถของเขา นั่นก็เพราะการที่เขายังคงจัดการสวนสัตว์ให้ซูจิ้งจะช่วยเหลือซูจิ้งได้ในหลายด้านมากกว่า
หลังจากทั้งสามได้คุยกันแล้วก็สรุปกันว่าสวนสัตว์ของหยุนจะปิดตัวลงในอีกสองวันเพื่อปรับปรุงและแอบนำสัตว์ที่ซูจิ้งได้พบไปไว้ที่นั่น เรื่องนี้จะไม่มีใครรู้นอกจากพวกเขาสามคน
เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องราวต่างๆ ซูจิ้งได้ประกาศลงในไมโครบลอกของตัวเองว่าตอนนี้เขาได้เป็นเจ้าของสวนสัตว์แห่งเมืองจงหยุนเรียบร้อยแล้ว
พร้อมทั้งได้เผยแพร่ข้อมูลสัตว์ที่สูญพันธ์ไปแล้วอีกหลายชนิด พร้อมทั้งโตรงสร้างคร่าวของสวนสัตว์ใหม่พร้อมทั้งวันที่น่าจะเป็นวันเปิดสวนสัตว์เอาไว้
ตอนนี้ชื่อเสียงของซูจิ้งพุ่งสูงขึ้นราวกับจรวดทำให้อันดับของเขาในรายชื่อผู้มีชื่อเสียงระดับหนึ่งจากอันดับที่สิบสองไปอยู่ที่อันดับหนึ่งเรียบร้อยแล้ว
ด้วยหารที่ซูจิ้งนั้นไม่ใช่คนในวงการบันเทิงทำให้เขานั้นถูกคนในวงการบันเทิงถามหาถึงความชอบธรรม
แต่ด้วยการที่เขานั้นได้รับการยอมรับจากคนทั้งชาติ ต่อให้ไม่ใช่เป็นดาราแต่ก็ไม่ได้ต่างจากดาราแม้แต่น้อย แถมเขานั้นยังเป็นข่าวออกสื่อมากกว่าดาราซะอีก
การที่อันดับขึ้นมาแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกและโต้แย้งได้แต่อย่างใด
อย่าว่าแต่วงการบันเทิงเลย ซูจิ้งยังมีชื่อเสียงในอีกหลายๆวงการ แม้แต่ในวงการต่อสู้ ชื่อเสียงของซูจิ้งนั้นได้ขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งมานานมากแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ซูจิ้งยังไม่เคยออกมาทำอะไรจริงจังสำหรับการชื่อเสียงก็ตาม เอาจริงๆต่อให้เขานั้นยอมอยู่เฉยๆ แต่ชื่อเสียงของเขาก็ยังเพิ่มขึ้นไม่หยุดอยู่ดี
นั่นก็เพราะผู้ติดตามของซูจิ้งในไมโครบลอกนั้นขึ้นไปถึงหนึ่งร้อยล้านคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้มันจะดูว่าค่อยเป็นค่อยไปแต่หากวัดเป็นปีล่ะก็เรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนราวกับติดจรวด
นี่ขนาดว่าเขานั้นไม่ค่อยได้โพสต์อะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ทันทีเขาโพสต์อะไรสักอย่าง นั่นกลับให้กลายเป็นประเด็นในทันที
และในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ทันทีที่เขาโพสต์ไปว่าเป็นผอ.สวนสัตว์ แฟนคลับได้ทำการหาข้อมูลเรื่องดังกล่าวในทันที
“นี่ซูจิ้งอยู่ว่างไม่ได้เลยสินะ”
“ฉันอยากจะมีพลังงานชีวิตที่ไม่จำกัดแบบนี้บ้างจัง”
“ว่าแต่งวดนี้เขาทำอะไรล่ะเนี่ย”
“หรือว่าเขาจะจัดแสดงสัตว์เลี้ยงของเขากัน”
“ไม่น่านะ สัตว์เลี้ยงของถึงจะมหัศจรรย์ก็จริงแต่ว่าพวกมันก็ยังเป็นหมาป่า อินทรีย์ทอง แมว และหมาเท่านั้น พวกมันไม่ได้เหมาะกับสวนสัตว์เลยนี่นา
ยิ่งไปกว่านั้นเขาน่าจะไม่ยอมปล่อยหมาป่าและอินทรีย์ทองของเขาให้มาอยู่สวนสัตว์แคบๆแบบนี้หรอก”
“ทำไมหมาและแมวของเขาจะไม่เหมาะกับสวนสัตว์ล่ะ อีกอย่างนอกจากหมาและแมวแล้วเขายังมีทั้งนกแก้ว จิ้งจอกและสัตว์อย่างอื่นอีกซึ่งล้วนแล้วน่าสนใจทั้งนั้น
ฉันบอกได้เลยว่าสัตว์เลี้ยงของเขาแต่ละตัวนั้นทั้งฉลาดและแสนรู้จนหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว”
“ถ้าพูดกันถึงขนาดนี้ล่ะก็ ถ้าพี่จิ้งนำสัตว์เลี้ยงของเขามาไว้ที่สวนสัตว์จริงๆล่ะก็ฉันจะเข้าตั้งแต่วันแรกที่เปิดเลย”
“…….จะทำอะไรอีกฟะ” หวังจ้าวถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้เห็นข่าวนี้
“ฉันว่าต่อให้คุณมาบ่นกับฉันก็เท่านั้นล่ะนะ” เฉิงหนานพูดออกมาพลางส่ายศรีษะและหัวเราะเบาๆ
“ช่างมันเถอะ ปล่อยเขาไปแล้วกัน ตอนนี้พวกเราแค่บริหารกลุ่มทุนห้วงเวลาฯของพวกเราก็วุ่นมากพอแล้ว แต่ฉันรู้สึกว่าหมอนั่นต้องทำอะไรใหญ่ๆเป้งๆออกมาอีกแน่ๆ ยังไงก็เตรียมตัวไว้หน่อยก็ดี” หวังจ้าวพูดออกมาราวสังหรณ์อะไรบางอย่างได้
“ได้ค่ะ” เฉิงหนานพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“พี่จิ้งเปิดสวนสัตว์เหรอ” ฉินซูหลานที่ได้ยินก็แสดงท่าทีตื่นเต้นออกมา
“ทำไมเขากลับมาสนใจสวนสัตว์อีกล่ะ หรือว่าเขาตัดสินใจได้แล้วว่าจะเอาสัตว์เลี้ยงมาไว้ที่นี่” โจวหลันถามออกมาเชิงขอความเห็น
“เธอทำราวกับไม่รู้จักพี่จิ้งแหะ เขาไม่มีทางปล่อยให้สัตว์เลี้ยงแสนรักมาทำอย่างนี้หรอกน่า ฉันว่าสัตว์ที่เขาจะนำไปจัดแสดงที่นั่นต้องเป็นอะไรที่สร้างความตื่นตะลึงอย่างแน่นอน” ฉินซูหลานพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดให้โจวหลันฟังพลางหันไปสบตาราวกับกำลังอ้อนวานในบางสิ่ง
“หลันน้อยยยยยยย ถึงพวกเราจะตกลงกันแล้วว่าพรุ่งนี้เราจะไปสวนสนุกก็จริง แต่นี่มันน่าสนแบบสุดๆเลยนา… ถ้าไม่ว่าเอาไรเราไปสวนสนุกวันอื่นแล้วพรุ่งนี้เราไปสวนสัตว์จงหยุนกันน้า…. ฉันกลัวว่าหากไม่ไปวันพรุ่งนี้เราจะไม่ได้มีโอกาสเข้าง่ายๆอีกแล้ว”
“ก็ได้ก็ได้” หลังจากเธอได้เห็นท่าทางของฉินซูหลานแล้วทำให้โจวหลันรู้ดีว่าต่อให้เธอไม่เห็นด้วยยังไงเขาก็จะไปอยู่ดีต่อให้ต้องไปคนเดียวก็ตาม และนี่เป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการแม้แต่น้อยจึงได้ตกปากรับคำอย่างง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม กับเรื่องนี้เธอเองกลับไม่รู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะเธอเองก็รู้สึกได้ว่าสวนสัตว์ของซูจิ้งนั้นต้องมหัศจรรย์พันลึกแน่ๆ
เธอแค่สงสัยเฉยๆว่าหากซูจิ้งไม่เอาสัตว์เลี้ยงของเขาไปไว้ที่นั่นแล้วเขาจะเอาอะไรไปไว้กัน สัตว์หายากเหรอ แต่นั่นก็ยังหาดูได้ที่อื่นอยู่ดีล่ะนะ
“ห้ะ ไหงอาจิ้งถึงไปเปิดสวนสัตว์ได้ล่ะ” เอี้ยป๋อที่ได้ยินข่าวก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาจนนิ่งเงียบไป
“อยากรู้ก็ลองไปดูสิ” นักวิจัยคนหนึ่งในสถาบันบรรพชีวินได้เอ่ยชวนในทันที
เอี้ยป๋อนิ่งเงียบคิดไปพักหนึ่งก่อนที่จะส่ายศรีษะแล้วพูดออกมาว่า “ฉันยังไม่ไปตอนนี้หรอก ถึงแม้ว่าสัตว์ที่ซูจิ้งนำมาจัดแสดงนั้นจะสุดยอดขนาดไหนก็ตามแต่นั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา ช่างมันแล้วกัน ตอนนี้เรามีเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้วด้วย”
ข่าวที่ซูจิ้งกลายเป็นเจ้าของสวนสัตว์นี้ทำให้เจ้าของสวนสัตว์อื่นๆอย่างก็อยู่กันไม่สุขในทันทีที่ได้ยิน ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาตัดสินใจส่งคนไปสวนสัตว์เพื่อดูว่าซูจิ้งนั้นจะจัดแสดงสัตว์ชนิดใดกันแน่
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าการที่ซูจิ้งลงมือทำอะไรก็ตามล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา แม้แต่ชาวเน็ตยังรู้เลยว่าคนอย่างซูจิ้งธรรมดาไม่เป็น ต่อให้ไม่อยากจะสนใจแต่รู้ไว้หน่อยก็ย่อมดีกว่าไม่รู้อยู่แล้ว
ด้วยการที่แฟนคลับส่วนใหญ่ของซุจิ้งอยู่ในเมืองจงหยุน พวกเขายินดีที่จะสนับสนุนกิจการทุกอย่างของซูจิ้งทุกครั้งที่มีโอกาศ แม้แต่ชาวเน็ตทั่วไปเองก็ยังสนใจที่จะเข้าไปอุดหนุนด้วยเช่นกัน
นี่ทำให้บัตรเข้าชมสวนสัตว์ของซูจิ้งวันพรุ่งนี้หมดลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่บัตรแบบบุคคลเองก็ไม่เหลือเลยสักใบ
เรียกได้ว่าคนที่เข้าชมสวนสัตว์มากกว่าคนที่เข้าร่วมงานวันชาติซะอีก
นี่ขนาดว่าราคาบัตรนั้นแพงมากก็ตามแต่บอกได้เลยว่าต่อให้วางขายเพิ่มก็ยังหมดแบบรวดเร็วจนตั้งหลักกันแทบไม่ทัน
เช้าวันถัดมา ก่อนที่ประตุสวนสัตว์จะเปิดทำการ เหล่าพี่คนมากมายได้มาต่อแถวกันยาวมากแล้ว จนกระทั่งเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ต่อหน้าสายตาของผู้คนที่เฝ้ารอ ประตูสวนสัตว์ของซูจิ้งได้เปิดออกอย่างช้าๆ
GGS:บทที่ 1046 สุดยอดสวนสัตว์ (1)
เมื่อประตูสวนสัตว์จงหยุนได้เปิดออก เหล่านักท่องเที่ยวก็ได้หลั่งไหลเข้าไปกว่าจะหมดก็ต้องใช้เวลาพอสมควร
พวกเขานั้นได้เห็นฟานเว่ยเฉินและซิ่วจงหงออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยวในฐานะไกด์ด้วยตัวเอง นี่ทำให้นักท่องเที่ยวค่อนข้างประหลาดใจอย่างมาก
นั่นก็เพราะคนหนึ่งคือระดับหัวหน้าผู้ควบคุมสวนสัตว์แห่งนี้ อีกหนึ่งคือนักฝึกสัตว์และสัตวแพทย์มากฝีมือ
จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะประหลาดใจที่อยู่ๆก็ได้เห็นคนที่มีชื่อเสียงมาทำงานแบบนี้ได้
นี่ยิ่งทำให้ทุกคนคิดได้ทันทีว่าการปรับปรุงและเปลี่ยนมือในครั้งนี้ต้องสำคัญอย่างแน่นอน
ถึงแม้บางคนจะคิดว่าอาจจะเป็นเพราะนักท่องเที่ยวผู้เข้าชมในวันแรกนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผอ.หรือไม่ก็ผู้จัดการสวนสัตว์อื่นอยู่พอสมควร
ด้วยการที่รู้จักกันก็ไม่แปลกที่ทั้งสองจะมา และเท่าที่เห็นนี่เหล่าผู้ชมทั่วไปก็เห็นระดับผอ.ไม่ก็ผู้บริหารจากสวนสัตว์หลักของเมืองนี้แล้วห้าแห่ง
ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชมชุดแรกนี้ยังมีฉินซูหลkน โจวหลัน เฉินฮง เฉินเจียเหยา จูเจียนหัว และหลิวหยินที่มีชื่อเสียง
ในคนกลุ่มนี้ก็ได้มีกลุ่มชายหนุ่มที่ถูกส่งมาโดยฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิงแฝงตัวมาด้วย
“ผู้อาวุโสฟาน นี่คุณส่งต่อสวนสัตว์ให้ซูจิ้งจริงๆงั้นเหรอ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถามออกมา
“ใช่แล้ว” ฟานเว่ยเฉินพยักหน้ารับ
“นายนี่ยอมแพ้ได้ง่ายดีจริง ว่าแต่สัตว์อะไรกันที่เขาทำให้คุณมาทำงานแบบนี้ได้เนี่ย” ชายแก่คนหนึ่งได้ถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เดี๋ยวก็รู้น่า วันนี้ให้ฉันเป็นไกด์ให้นายเอง เริ่มจากทางนี้ก่อนแล้วกัน” ฟานเว่ยเฉินพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งซิวจงหงได้นำผู้ชมทั่วไปเดินตามไปไม่ห่างนัก
พวกเขานั้นแน่นอนว่าย่อมไม่มีความสนใจสัตว์ดั้งเดิมของสวนสัตว์แห่งนี้อยู่แล้ว
พวกเขานั้นเห็นพวกมันมาหลายครั้งจนจดจำได้แม้แต่รายละเอียดเฉพาะตัวเลยก็ว่าได้ อีกอย่าง สัตว์เหล่านั้นสวนสัตว์อื่นในเมืองก็มีไม่ต่างกัน
พวกเขาจึงต้องการจะรู้ว่าสัตว์อะไรกันแน่ที่ซูจิ้งนำมาแล้วถึงกับทำให้ฟานเว่ยเฉินมาทำงานพื้นๆแบบนี้ได้ และนี่เองก็ทำให้ท้งหมดเดินตามไปแต่โดยดี
“นึกไม่ออกเลยแหะว่าอาจิ้งนำสัตว์อะไรมาจัดแสดงที่นี่” เฉินฮงอดไม่ไดที่จะถามออกมาอย่างอดสังสัยไม่ได้
“ฉันลองถามซูจิ้งแล้วนะแต่เจ้าเด็กนั่นมันเลนท่ายึกยักไม่ยอมบอกอะไรสักอย่าง บอกแต่ว่ามาเดี๋ยวก็รู้เอง นี่ทำให้ฉันคิดว่าสัตว์ที่เด็กนั่นนำมานี่ย่อมไม่ธรรมดา” จูเจียนหัวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หรือว่าจะเป็นฝูงลูกแพนด้า” หลิวหยินได้เสนอความเห็นออกมา
“เป็นไปไม่ได้นา…. มีเพียงศูนย์ขยายพันธุ์แพนด้าที่เซฉวนเท่านั้นที่จะมีฝูงลูกแพนด้าได้ เพราะสภาพอากาศที่นั่นมีความเหมาะสมมากที่สุดแล้ว แต่กับที่นี่มีสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสมอย่างที่สุดจึงเป็นไปไม่ได
ต่อให้เหมาะสมจริงก็ยากที่จะนำฝูงลูกแพนด้ามาที่นี่ได้เพราะแพนด้าเองก็ถือว่าเป็นสมบัติแห่งชาติเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่านึกจะพาไปไหนมาไหนก็ทำได้โดยง่าย” เฉินเจียเหยาได้แสดงความเห็นออกมา
แน่นอนว่าเธอเองก็สนใจอย่างมากว่าซูจิ้งได้นำสัตว์อะไรมาจัดแสดงกันแน่ เพราะซูจิ้งนั่นได้ทำเรื่องใหญ่ๆมาก่อนหน้านี้มากมายนัก
เขานั้นไม่มีทางที่จะทำเรื่องเล็กๆ แถมในครั้งนี้เขาเองก็ได้เปิดสวนสัตว์แบบฉุกละหุกอีกด้วย ไม่มีทางเลยที่จะเป็นเรื่องเล็กๆแบบฝูงลูกแพนด้าอย่างแน่นอน
ทุกคนได้เดินเส้นทางป่าไผ่จนกระทั่งไปถึงสวนเล็กๆสวนหนึ่ง จากระยะไกลนั้น ทุกคนได้เห็นนกยูงฝูงหนึ่งที่มีสันสวนงามอย่างมาก
หนึ่งในนั้นมีนกยูงสีขาวที่เด่นสะดุดตาที่สุด มันยืนอยู่เด่นสง่าทามกลางนกยูงตัวอื่นๆราวกับไก่พ่อพันธุ์ก็ไม่ปาน เพราะตัวมันนั้นใหญ่กว่านกยูงทั่วไป
หากยาวมาก และขนของมันสีขาวปลอดราวกับหิมะ เรียกได้ว่าสง่างาม ทรงพลัง และน่าจับตามอง ราวกับว่ามันคือนกไฟอมตะสีขาวก็ว่าได้
อาจจะเป็นเพราะว่ามันได้เห็นว่ากลุ่มคนได้เดินมา นกยูงสีขาวตัวนั้นก็ได้สยายขนของตัวเองที่ราวกับพัดในทันที เส้นของมันนั้นมีความยาวประมาณสามเมตรและทอแสงวิบวับเป็นประกายท้าทายกับแสงอาทิตย์
เรียกได้ว่าทั้งวิบวับและเปล่งประกายอย่างที่สุด จนราวกับว่ามันเป็นชุดแต่งงานสุดสวยงามที่ถูกออกแบบมาจากดีไซน์เนอร์มือหนึ่ง
ภาพที่เห็นในตอนนี้ทำให้เจ้านกยูงขาวตัวนี้ดูแล้วไม่เหมือนกับนกยูงขาวแต่เหมือนกับนางฟ้ามีปีกที่ลงมาจากทรวงสวรรค์
“ว้าวววววว สวยจัง”
“ในโลกนี้มีนกยูงที่สวยงามแบบนี้ได้ยังไงกัน”
“ฉันรู้จักตัวนึงนะ มันเรียกว่านางฟ้าแห่งดาบ”
“ถึงจะบอกว่านกยูงขาวมันไม่ได้มีตัวเดียวในโลกก็จริง แต่ตัวนี้ทั้งใหญ่กว่าและสวยกว่าตัวที่เห็นจากในทีวีอีกนะ พระเจ้าเถอะมันเหมือนกับว่านกยูงที่มาจากสรวงสวรรค์จริงๆเลยด้วยซ้ำ”
ไม่ว่าจะมองยังไงก็ตาม พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องจ้องมองวนๆซ้ำๆอยู่หลายหน มีบางคนได้เริ่มหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมาถ่ายทั้งรูปและวิดีโออยู่นานสองนาน
ถึงแม้ว่านกยูงนั้นจะไม่ใช่สัตว์ที่หายาก แต่นกยูงขาวปลอดแบบนี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดาอยู่ดี
แต่อย่างน้อยๆกับนกยูงตัวนี้ พวกเขานั้นเชื่อว่าไม่เพียงแต่มันจะสวยที่สุดในโลกนี้แล้ว หากบอกว่ามันสวยสุดในทรวงสวรรค์พวกเขาก็เชื่อ
“เฮ้ออออ….นกยูงที่คุณซูนำมานี่สุดยอดจริงๆ” ผอ.สวนสัตว์แห่งอื่นได้พูดออกมาพลางถอดถอนลมหายใจ
“ถึงแม้มันนั้นจะเป็นเพียงนกยูง แต่ความสามารถในการดึงดูดใจผู้คนของมันนี่ไม่ต่างไปจากแพนด้ายักษ์เลยจริงๆ” ผอ.สวนสัตว์แห่งอื่นอีกคนได้พูดออกมา
ถ้าจะให้พูดแล้วหากใครก็ตามที่ทำงานในวงการสวนสัตว์นั้นไม่มีใครเลยสักคนที่อยากจะมาเห็นนกยูงเป็นสิ่งแรกแบบนี้ นั่นก็เพราะพวกเขานั้นล้วนเคยเห็นมาหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม กับนกยูงขาวนี้ พวกเขาไม่เพียงจะปฏิเสธที่จะพลาด พวกเขายังต้องการดูซ้ำๆด้วยความมหัศจรรย์ใจอีกด้วย
“หลันน้อย อย่างที่ฉันบอกเลยเห็นรึเปล่าว่าสัตว์ที่พี่จิ้งนำมาจัดแสดงนั้นต้องสุดยอดอย่างแน่นอน นี่น่าสนุกกว่าไปเที่ยวสวนสนุกซะอีก” ฉินซูหลานพูดแล้วหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะกระหน่ำถ่ายรูปนกยูงแทบจะทุกมุมมอง
“ก็แค่นั้นแหล่ะน่า” โจวหลันพูดออกมา ถึงจะพูดออกมาแบบนั้นแต่ในใจเธอนั้นยังตกตะลึงกับความงามของนกยูงขาวตัวนี้ไม่หาย เธอตกตะลึงจนเกือบจะหลุดปากพูดไปว่าสวยดีออกมาแล้ว
แต่ว่าเธอยังเคืองฉินซูหลานอยู่ที่จู่ๆเขาก็มาเปลี่ยนแผนที่วางกันไว้แบบนี้ ทำให้เธอไม่อยากจะทำให้โจวหลันได้ใจเกินไปนัก เธอเลยแกล้งตอบออกไปเพื่อจะสื่อว่าเพียงแค่นี้ยังทำให้เธอหายคุ่นเคืองไม่ได้หรอก
“นกยูงตัวนี้ไม่ว่าจะมองสักเท่าไหร่ก็อดจะจ้องมองจนละสายตาจากความสวยงามของมันไม่ได้เลยจริงๆ การที่อาจิ้งส่งมาไว้แบบนี้นี่เขาไม่เจ็บปวดบ้างรึไงกัน” จูเจียนฮัวพูดออกมา
“แค่นกยูงขาวตัวนี้ตัวเดียวก็สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาที่นี่ได้มากมายแล้ว” เฉินฮงพูดออกมา
ทางด้านเฉินเจียเหยาและหลิวหยินในตอนนี้เองก็กระหน่ำถ่ายรูปด้วยความตื่นเต้นจนเรียกได้ว่าทุกท่วงท่าอริยาบถและมุมมอง
ในตอนนี้เฉินเจียเหยาที่โดยปกติแล้วดูเท่และงามสง่านั้นไม่ต่างจากสาวน้อยไร้เดียงสาที่กำลังตกหลุมรัก
ทันใดนั้นก็มีใครบางคนมองเห็นอะไรบางอย่างจากกลางสวนแห่งนี้
“ห้ะ ดูเหมือนว่าจะมีอะไรอยู่กลางสระด้วยน่ะ”
“จริงด้วย มันดูตัวดำๆนะ”
“โอ้…มันออกมาจากสระแล้ว ตัวใหญ่มาก มันเหมือนจะเป็นเต่านะ”
“มันไม่ใช่เต่า มันเป็นตะพาบ”
“อะไรคือตะพาบน่ะ”
“…..เดี๋ยวนะ….ไม่ใช่ว่า…..นั่น…..” เฉินฮง เฉินเจียวเหยา และจูเจียนหัวได้มองไปที่ตะพาบตัวนั้นอย่างตกตะลึงและพยายามสงบจิตใจของตัวเอง
“พระเจ้า นั่นมันตะพาบนี่” ไม่นับฟานเว่ยเฉินและซิ่วจงหงที่ยืนอยู่ข้างแล้ว เหล่าผู้คนจากสวนสัตว์ที่นิ่งเงียบตั้งแต่แรกเห็นก็ได้สติหลังจากได้ยินเสียงใครบางคนอุทานออกมา
กระดองของสัตว์ที่ปีนขึ้นมาจากน้ำนั้นขนาดพอๆกับบานประตู ร่างกายของมันดูแบนๆ ลื่นๆ และสะท้านแสงแวววับ
ลำตัวของมันมีสีเขียวมะกอกเข้มและมีจุดสีเหลืองกระจายไปทั่ว คอและหลังของมันเองก็มีสีและจุดที่ไม่ต่างกัน
“ตะพาบ(เต่าแม่น้ำแยงซี)? เป็นเป็นไปได้ยังไงกัน ไม่ใช่ว่ามันเหลือแค่สองตัวในโลกหรอกเหรอ ตัวหนึ่งที่สวนสัตว์ชางชาและอีกหนึ่งที่สวนสัตว์ซูโจวนี่นา หรือว่าซูจิ้งนำหนึ่งสองตัวมาที่นี่ นี่พวกเขายอมได้ยังไงกัน”
“ไม่ใช่สองตัวนั้น เจ้านี่ใหญ่กว่าเยอะมาก”
“…หมายความว่า….นายจะบอกว่านี่เป็นตัวที่สาม!!!! เป็นไปได้ยังไงกัน”
“นี่ฉันเข้าใจผิดไปรึเปล่า ฉันจำได้ว่าหลังจากที่ตัวที่ทะเลสาบเจียนฮูในเวียดนามตายไปก็น่าจะเหลือแค่สองตัวในโลกนี่นา จะไปโผล่มาอีกตัวได้ยังไงกัน”
หลังจากที่ได้ยินใครหลายๆคนพูดด้วยความตื่นเต้นออกมานั้น เหล่าคนทั่วไปที่ไม่เข้าใจว่าคนเหล่านี้จะตื่นเต้นกันทำไมนั้นก็เข้าใจได้ในทันที
พวกเขานิ่งอึ้งในบัดดลเมื่อรู้ว่าตะพาบตัวนี้คือสิ่งมีชีวิตหายากที่เหลือเพียงสองในโลกนี้ แล้วนี่ซูจิ้งไปเสกตัวที่สามออกมาได้ยังไงกัน
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นกันนั้นเอง พวกเขาก็ได้เห็นเงาดำๆในน้ำที่อยู่ข้างหลังตะพาบยักษ์ตัวนั้น
ทันใดนั้นเองก็ได้ตะพาบอีกสองตัวตามขึ้นมา และพวกมันก็เกือบจะคล้ายเต่ายักษ์นั่นเลยทีเดียว
GGS:บทที่ 1047 สุดยอดสวนสัตว์ (2)
“ยังมีตะพาบอีกสองตัวที่เหมือนกันด้วย”
“ไม่ใช่แค่สองตัวในโลก….ไม่ใช่สิสามตัวในโลก ยังมีอีกสองตัวนั่นอีก”
“พระเจ้า นี่มันอะไรกันเนี่ย”
ตอนนี้เหล่าผู้คนที่รู้เรื่องนี้ดีก็อดที่จะคลั่งออกมาไม่ได้ ทั้งเฉินฮง เฉินเจียเหยา และจูเจียนหัวเองที่พยายามจะรักษาท่าทีก่อนหน้านี้เมื่อเห็นตะพาบตัวใหญ่นั่นแล้ว
พวกเขาก็อดแสดงความตื่นเต้นออกมาไม่ได้ในทันทีที่เห็นอีกสองตัวที่เล็กกว่า
“นี่น่าจะเป็นตะพาบที่ฉันเคยเห็นที่บ้านซูจิ้งแน่ๆ แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะมีลูกด้วยนี่สิ” เฉินฮงพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ไม่น่าจะใช่ลูกนะ หากว่าเขาจะขยายพันธุ์จริงก็นะจะต้องไปนำตะพาบจากซูโจวกับชางซีมามากกว่า” จูเจียนหัวพูดออกมา
“ถ้าพวกมันขยายพันธุ์ได้ง่ายๆแบบนั้นจริงก็คงไม่เหลือแค่สองสามตัวบนโลกนี้หรอก” เฉินเจียเหยาพุดออกมาด้วยความรู้และความเข้าใจที่มี
แต่ที่พวกเขาไม่รู้ก็คือตะพาบทั้งสองตัวนี้ไม่ใช่ตะพาบสองตัวที่เหลืออยู่ หรือแม้แต่ลูกหลานของมันแต่อย่างใด เป็นซูจิ้งที่ใช้น้ำจากแม่น้ำซิมู่(แม่น้ำเมืองแม่ม่าย)ในห้วงเวลาฯไซอิ๋วไปนั่นเอง
น้ำจากแม่น้ำซิมู่นี้ทำได้แม้กระทั่งทำให้ผู้ชายก็สามารถตั้งท้องคลอดลูกได้เลย แล้วเช่นนั้นมันจะไม่สามารถใช้ในการขยายพันธุ์สัตว์หายากพวกนี้ได้ยังไง
การใช้น้ำจากแม่น้ำซิมู่ในการนี้ยังดีกว่าไปรักษาภาวะการมีบุตรยากในผู้คนเป็นไหนๆ แถมนี่ยังช่วยป้องกันการสูญพันธ์กับสัตว์หายากได้อีกด้วย
หลังจากเขาใช้กับเจ้าตัวใหญ่จนให้กำเนิดเจ้าตัวเล็กแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ได้ใช้มันอีกครั้งหนึ่งจนกลายเป็นเจ้าสองตัวนี้ขึ้นมา
แต่ด้วยคุณสมบัติของน้ำจากแม่น้ำซิมู่เองทำให้ตัวที่ออกมานี่เป็นตัวเมีย
“เดี๋ยวนะ นายเคยเห็นเจ้าตัวใหญ่?” หลิวหยินถามออกมา
“ใช่แล้วล่ะ ฉันเคยเห็นครั้งหนึ่งตอนไปบ้านอาจิ้งน่ะ เจ้าตะพาบนั่นว่ายน้ำเล่นอยู่ในสระที่บ้านอาจิ้ง ทำให้ฉันที่เห็นแล้วประหลาดใจจนอยากได้มันมาเป็นสัตว์เลี้ยงน่ะ” จูเจียนฮัวยิ้มออกมาอย่างอายๆ
หลิวหยินพึมพำออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้นเพราะเธอเคยโดนว่ามาแล้วตอนที่เอาเต่าไปเลี้ยงไว้ในสระว่ายน้ำ เมื่อได้ยินว่าซูจิ้งเองก็ทำก็อดจะบ่นออกมาไม่ได้เพราะเธอก็อยากจะว่ายน้ำเล่นกับตะพาบแบบนี้บ้าง
“ไม่ดีแล้ว” ชายหนุ่มใส่ตุ้มหูกระซิบออกมา
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า เราแค่รายงานตามความเป็นจริงก็พอ” ชายหนุ่มมาดสุขุมได้พูดออกมาแต่ก็ถอดถอนหายใจไปด้วย
เขานั้นหาโอกาสที่จะชนะซูจิ้งมามากมายหลายครั้งแล้ว แต่ยิ่งรู้ก็ยิ่งทำให้เขาเข้าใจว่าซูจิ้งนั้นน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน และเขาเองก็ไม่แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เป็นคำสั่งของฮัวหยุนชูล่ะก็ เขาเองก็ไม่อยากจะมาเสียเวลาแบบนี้
“ผู้อาวุโสฟาน เรื่องราวเป็นยังไงกันแน่” หลายๆคนเองก้เริ่มหันไปหาฟานเว่ยเฉินด้วยท่าทีตื่นเต้น
“หากว่าจะถามที่มาที่ไปฉันคงจะตอบว่าฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน นั่นก็เพราะซูจิ้งเป็นคนนำพวกมันมาที่นี่ ฉันบอกได้เพียงว่าทั้งสามตัวนี่เป็นแม่ลูกกันเท่านั้น”
ทั้งฟานเว่ยเฉินและซิ่วจงหงต่างก็ยิ้มออกมา พวกเขาเข้าใจความรู้สึกของทุกคนในที่นี้ดี นั่นก็เพราะพวกเขาก็เป็นเหมือนกันตอนแรกเห็นตะพาบตัวนี้ ในตอนนั้นพวกเขาขยี้ตาเพราะคิดว่าตาฝาดจนช้ำไปหมดด้วยซ้ำ
“คลิ๊ก คลิ๊ก คลิ๊ก”
คนที่ไม่อยากจะตามตื้อขอข้อมูลก็ได้เปลี่ยนเป็นนำกล้องและสมาร์ทโฟนออกมากระหน่ำถ่ายรูปอีกครั้ง พวกเขานั้นต่างก็ส่งรูปไปอวดในสิ่งที่เห็นด้วยความตื่นเต้นในทันที
หลังจากที่ชาวเน็ตได้เห็นข่าวนี้ก็ตกตะลึงในทันทีพร้อมเริ่มโอดครวญขึ้นมาในทันใด สำหรับคนที่ซื้อบัตรไปแล้ว พวกเขาได้รีบตรงไปยังสวนสัตว์ในทันที
“ผู้อาวุโสเอี้ย ไม่ดีแล้วครับ” นักศึกษาในสาขาบรรพชีวินคนหนึ่งที่ได้เข้ามาฝึกงานได้พูดออกมาด้วยท่าทีเร่งรีบ
“เกิดอะไรขึ้นเสี่ยวหลิน ทำอะไรพลาดมาล่ะ” เอี้ยป๋อได้หยุดมือจากงานที่ทำแล้วถามออกมา
“ที่เมืองจงหยุนครับ… มีสิ่งผิดปกติที่สวนสัตว์เมืองของหยุน ที่นั่นมีตะพาบสามตัว ตะพาบตัวเป็นๆเลยครับ” นักศึกษาฝึกงานได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“สาม? ต่อให้เขาได้ตะพาบจากสวนสัตว์เมืองชางซีและซูโจวมาก็สมควรจะมีแค่สองนี่นา แล้วเขาเอาตัวที่สามมาจากไหนกัน” เอี้ยป๋อที่ได้ยินเรื่องตะพาบน้ำก็ได้คิดถึงความเป็นไปได้ที่เขาได้รู้มา ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่นนั้นก็มีสีหน้าครุ่นคิดไม่ต่างกัน
“ไม่ใช่ครับ มันมีสามตัวและสองตัวนั่นก็ไม่ใช่ตัวจากซางซีและซูโจวที่ว่า มันเป็นตะพาบที่ตัวใหญ่มากหนึ่งตัวและตัวเล็กมากๆอีกสองตัว พวกมันเป็นครอบครัว” เจ้าหน้าที่ฝึกงานได้พูดออกมา
“เป็นไปได้ยังไง” เอี่ยป๋อถามกลับมาด้วยสายตาไม่เชื่อที่ได้ยิน
“จริงๆครับ ถ้าไม่เชื่อผมดูรูปพวกนี้ได้” เจ้าหน้าที่ฝีกงานได้ส่งสมาร์ทโฟนของตัวเองที่เปิดรูปตะพาบให้เอี้ยป๋อดู
“พระเจ้าเถอะ” เอี้ยป๋ออุทานออกมาด้วยสายตาเบิกกว้าง
“เป็นไปได้ยังไง ไม่เพียงแต่จะมีตัวเล็กแต่ว่ายังมีตัวใหญ่ด้วย”
“นี่ก็หมายความว่าตะพาบนั่นจะขยายพันธุ์ได้แล้วเหรอ”
นักวิจัยของสถาบันคนอื่นที่ได้เข้ามาดูภาพนี้ใกล้ๆก็ได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
เอี้ยป๋อที่เห็นเจ้าตัวใหญ่นี่เขาก็ได้เอะใจและรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างบอกไม่ถูก หลังจากใช้ความคิดอยู่สักพักเขาก็นึกออกสักทีว่าเขาเคยเห็นมันที่ไหน
ซูจิ้งเคยส่งภาพตะภาพนี้มาให้เขาดูแล้วหนหนึ่งเพราะต้องการรู้ว่าโลกนี้มีสัตว์แบบนี้ด้วยเหรอ
ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะแปลกใจเล็กน้อยเพราะว่าตะพาบที่เขาเห็นมันค่อนข้างใหญ่กว่าที่เขาเคยเห็นนิดหน่อยแต่ตอนนั้นเขาก็นึกไปเองว่าอาจเป็นเพราะมุมกล้อง
เขาไม่คิดว่าซูจิ้งได้พบตะพาบตัวที่สามนี้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว หลังจากที่ฟังซูจิ้งบอกว่าเป็นรูปถ่ายตะพาบจากสวนสัตว์ซูโจวเขาก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร
เขายังบอกซูจิ้งกลับไปอีกว่าไหนๆก็ไปแล้วหัดอ่านคำอธิบายที่เขาเขียนไว้ซะบ้างไม่ใช่ส่งรูปมาถามเขาแบบนั้นอีก
“อาจิ้งเล่นฉันเข้าแล้วสินะเนี่ย เฮ้อออออ… แต่เอาเถอะ ในเมื่อเขาได้เจอตะพาบตัวที่สามแถมยังมีลูกของมันแบบนี้อีกฉันก็คงจะเคืองเขาไม่ลงล่ะนะ คงต้องไปสวนสัตว์จงหยุนสักหน่อยแล้วสิ”
เอี้ยป๋อพูดออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อย ก่อนที่จะวางมือจากงานทุกอย่างที่มือแล้วใส่เสื้อคลุมของเขาแล้วออกไปทันทีทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังพูดว่าไม่สนที่จะไปอยู่เลย
แต่ตอนนี้เขากลับนึกเสียใจนิดๆ และคิดไปว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ล่ะก็ เขาจะเป็นคนแรกที่เข้าไปต่อแถวรอเพื่อจะได้เห็นตะพาบน้ำโบราณตัวนี้ ต่อให้ได้แค่ส่องศึกษาพฤติกรรมจากระยะไกลๆก็คุ้มค่า
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปในระดับโลก ไม่มีประเทศไหนที่ได้ยินแล้วจะรู้สึกยินดีไปมากกว่าประเทศเวียดนามอีกแล้ว
นั่นก็เพราะพวกเขานั้นถือว่าตะพาบน้ำยักษ์นั้นไม่ใช่แค่สัตว์หายาก สำหรับที่นั่น มันคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เลยทีเดียว ตอนที่ตะพาบน้ำยักษ์ที่มีชื่อว่ากุยซูตายลงไป ในตอนนั้นทำให้ผู้คนทั้งประเทศต้องหดหู่และทำให้เกิดบรรยากาศอันโศกเศร้าอยู่นาน
พวกเขานั้นรู้ดีอยู่แล้วว่ายังเหลือตะพาบน้ำยักษ์อีกสองตัวอยู่ที่ประเทศจีนซึ่งนั่นก็ถือว่ายังเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพวกเขา และเมื่อรู้ว่ามีตะพาบยักษ์ตัวที่สามและยังมีลูกของมันอีก นี่จะทำให้พวกเขาอยู่นิ่งเฉยได้ยังไง
“เป็นไปไม่ได้ แกล้งกันรึเปล่า”
“ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกันแต่พอได้เห็นรูปและวิดีโอแล้วก็รู้เลยว่ามันเป็นเรื่องจริง”
“ประเทศจีนในตอนนี้มีสภาพสิ่งแวดล้อมที่แย่ ทรัพยากรของพวกเขาก็เสื่อมโทรม พวกเขาคงต้องไปเจออีกสามตัวนั่นในป่าแน่ๆ”
“ไม่ยุติธรรมเลยโว้ยยยย”
“ไปที่นั่นแล้วไปขโมยกลับมาที่นี่สักตัวเถอะ”
“ไอ้บรรทัดนี่น่าจะวอนหาคุกแล้วใช่ไหมนั่น”
“พวกเราขอซื้อมาสักตัวไม่ได้เหรอ”
“สัตว์หายากอย่างนั้นพวกเขาจะขายเหรอ”
สำหรับคนที่ไม่ได้คาดหวังอะไรกับสวนสัตว์ของซูจิ้งและคิดเพียงว่าซูจิ้งแค่จะนำสัตว์เลี้ยงของเขาไปจัดแสดงเท่านั้น แต่ในทันทีที่พวกเขาได้เห็นสวนสัตว์จงหยุนที่ปรับปรุงโดยซูจิ้งแล้วก็ทำได้แต่นิ่งแข็งค้างตกตะลึงไปในทันที บางคนถึงกับตั้งคำถามต่อได้เลยว่าแล้วต่อไปจะมีอะไรโผล่มาอีก
GGS:บทที่ 1048 สุดยอดสวนสัตว์ (3)
หลังจากผู้เข้าชมสวนสัตว์ได้ชื่นชมนกยูงขาวและตะพาบยักษ์อยู่อีกพักใหญ่ ฟานเว่ยเชินและซิ่วจงหงได้นำคนทั้งหมดไปยังสถานที่ต่อไป
ถึงแม้พวกเขาจะยังชื่นชมในความสวยงามของนกยูงขาวและความปลื้มปิติที่มีต่อตะพาบน้ำยังไม่หนำใจก็ตามและไม่อยากจะไปที่อื่นแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ในกลุ่มก็เลือกที่จะตามไป มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังคงอยู่ต่อ
เดินไปได้อีกพักหนึ่ง ทุกสายตาก็มายังส่วนถัดไป พวกเขานั้นได้เห็นดอกไม้มากมายและต้นไม้นานาชนิด มีเสียงนกที่ร้องเพลง และกลิ่มหอมของดอกไม้ที่เตะจมูก แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ยังไม่เห็นเลยว่าสัตว์ที่อยู่ที่นี่คือสัตว์ชนิดใด
“ส่วนนี้มีอะไรเหรอ” บางคนมองอยู่นานแต่ก็ไม่พบอะไรจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ใจเย็นๆก่อนนะ แค่รออีกนิด” ฟานเว่ยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ซิ่วจงหงเองในตอนนี้ก็ได้เปิดประตูรั้วเข้าไปก่อนที่จะโยนเมล็ดธัญพืชต่างๆเข้าไปในกระสวยให้กระจายไปโดยรอบ และไม่มีใครสนใจแม้แต่น้อยว่าที่โปรยไปนั้นคือข้าวสีน้ำเงินที่ราคาอย่างต่ำก็ชั่งละพันเข้าไปแล้ว
ไม่นานนัก หนูกลุ่มหนึ่งก็ได้ปีนลงมาจากต้นไม้ พวกมันนั้นมีลำตัวส่วนบนสีน้ำตาลดำแต่มีส่วนล่างสีขาว ลักษณะของพวกมันดูปุกปุยและน่ารักกว่าหนูทั่วไปอย่างมาก
พวกมันทำจมูกฟุตฟิตสักพักก่อนที่จะรุมล้อมกินธัญพืชต่างๆอย่างอย่างรวดเร็วและเพลิดเพลิน
“หนูเหรอ สัตว์แบบนี้เนี่ยนะมาอยู่ในสวนสัตว์”
“หนูพวกนี้มันมีอะไรดีกัน อย่างมากพวกมันก็แค่ดูน่ารักหน่อยก็เท่านั้นเองนี่นา สวนสัตว์อื่นยังไม่ใจกล้าหน้าหนาขนาดนี้เลย แล้วทำไมซูจิ้งถึงกล้าได้กัน”
“หนูพวกนี้จะไม่ถูกดูแลดีไปหน่อยเหรอ พวกมันเป็นสัตว์คุ้มครองนะฉันว่า”
“ฉันลองดูในรายการสัตว์คุ้มครองระดับโลกแล้วนะ ไม่เห็นเจ้าหนูนี่อยู่ในรายการเลย อย่าว่าแต่ระดับหนึ่งเลย ระดับสามก็ไม่เห็น”
“ผู้อาวุโสฟาน นี่…หนูพวกนี้อยู่ในพวกนั้น….ใช่ไหม?” ชายแก่คนหนึ่งถามออกมา นี่ทำให้ทุกๆคนหันมองฟานเว่ยเชินเป็นตาเดียว
“อืม… หนึ่งในนั้น”ฟานเว่ยพยักหน้าเบาๆพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“หนูพวกนี้มันแปลกยังไงล่ะ”
“ฉันว่าฉันรู้จักพวกมันนะ คุ้นๆว่าเคยได้ยินแต่นานมากจนนึกไม่ออก”
“ไม่ใช่ว่าพวกมันคือหนูป่าออสเตรเลียเท้าขาวที่เคยพูดถึงกันหรอกหรือนั่น” ชายวัยกลางคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงบางเบาเพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
“ไร้สาระ จะเป็นไปได้ยังไงกัน” ชายแก่คนหนึ่งยกมือมาโบกไปมาตรงหน้าของเขา
“อะไรคือหนูป่าออสเตรเลียเท้าขาวกันครับ? แล้วทำไมมันถึงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะใช่พวกมันล่ะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งถามออกมาอย่างสงสัย
“หนูป่าออสเตรเลียเท้าขาวนี้ก็ตรงตามชื่อของมันนั่นแหล่ะ มันเป็นสัตว์ถิ่นของประเทศออสเตรเลีย เหตุผลที่ว่าเป็นไปไม่ได้นั้นเพราะพวกมันถูกประกาศว่าสูญพันธุ์ตั้งแต่ช่วงต้นยุคศตวรรษที่ยี่สิบ”
“ผมลองดูในเอ็นไซโครพิเดีย(สารานุกรม)แล้วนะ พบข้อมูลของมันจริงๆ หนูป่าออสเตรเลียเท้าขาวพวกนี้ถูกประกาศและยืนยันว่าสูญพันธุ์ไปมากกว่าร้อยปีแล้ว
จากข้อมูลที่บันทึกไว้นั้น หนูป่าเท้าขาวออสเตรเลียควรจะมีขนาดที่เล็ก ขนลู่ ครึ่งบนมีสีน้ำตาลดำส่วนครึ่งล่างมีสีขาว อ้อนี่มีภาพของพวกมัน….” หลังจากที่ลองเปิดเอ็นไซโครพิเดียของไป่ตู้ดูแล้ว พวกเขาที่เห็นว่าภาพที่บันทึกกับสิ่งที่เห็นนั้นเหมือนกันอย่างกับแกะก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอุทานทั้งน้อยใหญ่ออกมา
ขนที่ลู่และนุ่ม ครึ่งบนสีน้ำตาลดำครึ่งล่างสีขาว จะบอกว่าที่อยู่ต่อหน้าทุกคนในตอนนี้คือสิ่งมีชีวิตที่หลุดออกมาจากรูปที่เห็นเลยก็ว่าได้ นี่ทำให้ทุกคนต่างสับสนในทันที
ชายแก่และชายวัยกลางคนที่บอกออกมาก่อนหน้านี้ว่าเป็นไปไม่ได้นั้น ทั้งสองก็ได้ลองดูในข้อมูลเช่นเดียวกันแต่พวกเขาก็ทำได้แค่เพียงพูดไม่ออกเท่านั้น
ทั้งสองต่างก็อยู่ในวงการสวนสัตว์และก็ได้ยินมากับหูว่าหนูป่าเท้าขาวออสเตรเลียนั้นสูญพันธุ์ไปแล้วจริงๆจึงได้กล้าจะบอกออกมาว่าเป็นไปไม่ได้
แต่ถึงแม้จะบอกว่าหนูป่าเท้าขาวออสเตรเลียสูญพันธุ์ไปแล้วกว่าร้อยปีแต่กับสิ่งที่เห็นตรงหน้าพวกเขาก็คือสัตว์ที่มีลักษณะของหนูป่าเท้าขาวออสเตรเลียจริงๆทำให้พวกเขานั้นตกตะลึงจนเถียงต่อไม่ออก
ฉินซูหลาน โจวหลัน เฉินฮง เฉินเจียเหยา หลิวหยิน และคนอื่นๆในตอนนี้ต่างก็หาข้อมูลในสมาร์ทโฟนของตัวเองเพื่อมาเทียบกับสิ่งที่เห็น แต่ยิ่งเห็น พวกเขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น
“พระเจ้า นี่มันหนูป่าเท้าขาวออสเตรเลียของจริง” ฉินซูหลานได้อุทานออกมา
“เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นซูจิ้งก็ไม่มีทางจะคืนชีพให้สัตว์สูญพันธุ์ได้หรอก” โจวหลันเองก็พูดออกมาด้วยท่าทีไม่เชื่อแม้แต่น้อย แต่ในตอนนี้คำพูดของเธอเป็นอะไรที่พูดไปก็เท่านั้นเพราะยังไงซะพวกเขาก็เห็นมันอยู่ต่อหน้า
“มันก็คงจะจริงที่กับคนอื่นจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้กับพี่จิ้งล่ะนะ” ฉินซูหลานได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นแบบสุดๆในขณะที่จ้องมองไปยังหนูป่าเท้าขาวออสเตรเลีย เหตุที่เขากล้าพูดออกมาแบบนี้ได้เต็มปากเต็มคำนั้นนั่นก็เพราะเขาได้นับถือซูจิ้งอย่างหมดหัวใจนั่นเอง
“ครั้งนี้ฉันว่าเขาเล่นใหญ่เลยนะ” จูเจียนฮัวได้พูดออกมาอย่างประหลาดใจ
“มันไม่ใช่แค่เล่นใหญ่หรอก กับเรื่องนี้คงจะเป็นการเล่นจนทำให้ทั่วทั้งโลกตกตะลึงอย่างแน่นอน” เฉินฮงพูดออกมา
ที่เขากล้าพูดออกมาแบบนี้นั้นก็เพราะว่ามนุษย์ได้ก่อมลพิษออกมามากมายจากโรงงานอุตสาหกรรม ทำการล่าและฆ่าเพื่อความสนุกสนาน และยังมีเหตุผลโง่ๆอีกมากมายที่ทำให้สัตว์หลายสายพันธุ์นั้นได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
เรียกได้ว่ามีสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องสูญพันธุ์ไปเพราะมนุษย์เลยก็ว่าได้ กว่ามนุษย์จะตระหนักถึงปัญหาและต้องการยื่นมือเข้าช่วยเหลือก็สายเกินไปแล้ว
สัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วนั้นจะไม่มีวันกลับมาอีก ต่อให้เทคโนโลยีการโคลนนิ่งจะล้ำหน้า แต่อย่างน้อยๆในตอนนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะฟื้นคืนชีวิตให้กับสายพันธุ์เหล่านั้น นี่คือความอัปยศหนึ่งของมนุษย์เลยก็ว่าได้
การที่ได้เห็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วมาปรากฏตรงหน้าแบบนี้ คนที่รู้เรื่องนี้อยู่แล้วจึงไม่แปลกที่จะตื่นเต้นแบบนี้
ตอนนี้อีกหลายๆคนจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมสัตว์ที่เห็นตรงหน้าพวกเขาจึงไม่ได้อยู่ในรายการสัตว์ป่าคุ้มครอง นั่นก็เพราะพวกมันนั้นถูกบอกว่าสูญพันธุ์ไปแล้วนั่นเอง หากว่าพวกมันสูญพันธุ์ไปแล้วจะไปปกป้องผีกันรึยังไง
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกมันมาปรากฏกายต่อหน้าพวกเขาแล้วแบบนี้ พวกมันก็สมควรจะถูกขึ้นบัญชีคุ้มครองลำดับหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะพวกมันนั้นหายากยิ่งกว่าแพนด้ายักษ์ของจีนซะอีก
“นั่นๆ มีหนูอีกฝูงหนึ่งออกมาจากพงหญ้าด้วย”
“แปลกจัง ทำไมพวกมันเดินล่ะ”
ฝูงชนที่เห็นฉากนี้ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นไม่ได้เพราะยังมีความตื่นเต้นที่ค้างคาจากหนูป่าเท้าขาวออสเตรเลียอยู่
หนูกลุ่มใหม่นี้มีขนาดเท่ากับหนูบ้านธรรมดา พวกมันมีขาหน้าที่สั้นมาก แต่กลับมีขาหลังที่ยาวและดูแข็งแรงกว่าหนูทั่วไป เอาจริงๆพวกมันก็ไม่เชิงเดินแต่เป็นกึ่งๆคลานออกมา หลังจากนั้นพวกมันก็ได้กระโดดด้ยสองขาหลังเหมือนจิ้งโจ้เลยทีเดียว
“รีบหากันเร็วว่าพวกมันคือตัวอะไร”
“โอ้ พระเจ้า มันเหมือนตัวมาร์มอตจัง”
คราวนี้ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครคิดจะดูแคลนสิ่งมีชีวิตใหม่ที่อยู่ภายในสวนสัตว์ของซูจิ้งอีกต่อไปต่อให้พวกมันจะดูเหมือนหนูก็ตาม
ทุกคนต่างก็ลองค้นหาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ตเพราะกลัวว่าจะทำได้เพียงแค่เห็นหน้าพวกมันแต่ไม่รู้จักว่าจริงๆแล้วพวกมันถือตัวอะไรกันแน่
และในที่สุดพวกเขาก็เจอมัน พวกมันนั้นเหมือนหนูพื้นเมืองของออสเตรีเลียที่เคยเล่าขานกันอย่างกับแกะ และแน่นอนว่ามันเองก็ได้ขึ้นชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยปีเช่นเดยวกัน
หนูชนิดนี้เรียกได้ว่ามีชื่อเสียโด่งดังมากเพราะมันมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างจากหนูชนิดอื่นอย่างสิ้นเชิง ผู้คนต่างก็เรียกขานมันว่า หนูจิงโจ้ เหตุเพราก็เพราะวิธีการที่มันไปไหนมาไหนนั่นเอง
“พระเจ้าเถอะ สัตว์สูญพันธุ์อีกหนึ่งเหรอ บ้าไปแล้ว”
“โลกนี้ต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ หรือว่าฉันกำลังฝันไป”
“ตอนนี้ฉันคิดว่าสิ่งที่ตัวเองรู้กับที่ทั่วทั้งโลกคิดคงจะต้องกัปตาลปัตรแล้วแน่ๆ”
“ซูจิ้งนั้นคือพระเจ้าแน่ๆ ตะพาบยักษ์นั่นฉันยังพอเข้าใจได้ แต่นี่….นี่คือสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วนะ เขาทำได้ยังไงกัน”
ถึงแม้ว่าหนูสองสายพันธุ์ที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้นจะน่าดึงดูดไม่เท่านกยูงขาวและตะพาบน้ำยักษ์อย่างเทียบกันไม่ได้
แต่เมื่อพวกมันนั้นได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วนั้น นี่ทำให้ไม่อาจที่จะคิดว่าพวกมันเป็นแค่หนูไปได้เลยแม้แต่น้อย และหากพูดถึงความหายากแล้วนั้นเรียกได้ว่าพวกมันย่อมมีชื่อเสียงสูงเทียมฟ้าในทันทีที่มีคนรู้
นั่นก็เพราะหากต้องการที่จะเห็นเจ้าหนูทั้งสองพันธุ์นี้ ในโลกนี้คงจะมีที่นี่ที่เดียวแล้วจริงๆที่พวกมันยงคงอยู่
GGS:บทที่ 1049 สุดยอดสวนสัตว์ (4)
“เฒ่าฟาน บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่านี่มันอะไรกัน เจ้าหนูสองชนิดนี้ใช่หนูจิ้งโจ้กับหนูป่าออสเตรเลียเท้าขาวจริงๆรึเปล่า นายไปได้พวกมันมาจากไหนเนี่ย” ชายแก่คนหนึ่งถามออกมาด้วยความตกตะลึง
“ใช่ พวกมันคือหนูจิ้งโจ้กับหนูป่าออสเตรเลียเท้าขาวจริงๆ ถ้าไม่ใช่ล่ะก็มันคงไม่มาอยู่ที่นี่หรอก ส่วนพวกมันมายังไงนั้นคงต้องไปถามซูจิ้งแล้วล่ะว่าเขาไปเจอพวกมันที่ไหน สถานที่ที่พวกมันจากมานั้นพวกเราไม่รู้เลยจริงๆ มีเพียงซูจิ้งเท่านั้นที่รู้” ฟานเว่ยเชินอธิบาย
“แล้ว…นำพวกมันมาไว้ด้วยกันแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ” ชายวัยกลางคนอีกคนถามออกมา นั่นก็เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้ว หนูต่างสายพันธุ์กันมักจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงที่อยู่และอาหาร หากว่าพวกมันต่อสู้กันถึงตายล่ะก็
ด้วยการที่พวกมันต่างก็เป็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่าสูญพันธุ์แล้วทั้งคู่ แน่นอนว่าหากเกิดเรื่องแบบนั้นจริงต้องกลายเป็นโศกนาฏกรรมของโลกอีกครั้งแน่ๆ
“ด้วยการที่เวลามีจำกัดทำให้พื้นที่ที่พวกเราจัดการได้นั้นมันน้อยนิดจึงต้องทำแบบนี้ไปก่อน เราวางแผนว่าจะแยกมันออกจากกันทีหลังน่ะ
ส่วนจะมีปัญหาอะไรแบบนั้นรึเปล่านั่น ซูจิ้งยืนยันว่าแค่ช่วงเวลาไม่นานมากถือว่าไม่มีปัญหา แล้วก็นะ ไม่ใช่มีแค่เจ้าสองชนิดนี้ ยังมีอีกชนิดนึง” ฟานเว่ยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ยังมีอีกเหรอ” ทุกคนที่ได้ยินต่างก็อุทานออกมาแทบจะพร้อมๆกัน
ฟานเว่ยเชินได้หันไปมองหน้าซิ่วจงหงเชิงให้สัญญาณ ตอนนั้นเองซิ่วจงหงก็ได้เดินไปอีกฝั่งหนึ่งของสวนนี้ หลังจากนั้นเขาหยุดและไปเขย่าพุ่มไม้ข้างสระน้ำ ก่อนที่เขาจะโยนอาหารไว้บนพื้น
หลังจากนั้นไม่นาน พุ่มไม้นั้นก็ได้สั่งด้วยตัวเองก่อนที่จะมีเต่าตัวใหญ่มากเดินออกมา
ร่างกายของเต่าตัวนี้มีขนาดประมาณหนึ่งเมตรเห็นจะได้ ส่วนน้ำหนักของมันนั้นอย่างน้อยๆก็หลายร้อยจินอย่างแน่นอน
หัวของมันนั้นเป็นสีเหลืองสว่าง และมีเกล็ดเล็กๆอยู่บนหัวของมัน เกล็ดกระดองของมันนั้นเป็นสีดำและใหญ่โตราวกับว่าตัวมันได้แบกโล่อันใหญ่ไว้ที่หลัง
ผิวของมันนั้นตำปุ่มตะปั่มราวกับหนังของช้าง ส่วนด้านหน้าของกระดองเองก็เป็นลอยเว้าเข้าไปแล้วไปโผล่ทางด้านหลังแทน ผิวหนังในส่วนขาเองก็ไม่ได้ต่างจากผิวหนังช้างแม้แต่น้อย
“พระเจ้า เต่ายักษ์อะไรกันล่ะนั่น”
“มันดูเหมือนเต่าก็จริงแต่ทำไมฉันกลับคิดว่ามันไม่ใช่เต่ากัน”
“แต่มันก็ดูเหมือนเต่าอยู่ดีนะ”
“มันเป็นสายพันธุ์ย่อยของเต่าที่มีชื่อ่าเต่าช้างน่ะ” เฉินฮงพูดออกมาในขณะที่จ้องมองเต่าตัวนี้อย่างไม่วางตา เขาเหมือนนึกอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองออกมาหาข้อมูล
ไม่นานเมื่อเขาเจอข้อมูล หนังตาของเขาก็ได้กระตุกและพูดออกมาอย่างตื่นเต้นเว่า “พระเจ้า เหมือนว่านี่คือเต่าบกยักษ์ของเซเชลส์”
“คุณปู่ คุณปู่อ่านข้อมูลถูกแน่รึเปล่าน่ะ” เฉินเจียเหยาที่ได้ยินก็อดถามย้อนด้วยความตกตะลึงไม่ได้
“หัวสีเหลือง โหนกหลังใหญ่ มีรอยเว้าที่ด้านหน้าของกระดอง เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะสำคัญของเต่าบกยักษ์ของเซเชลล์ทั้งนั้นเลยนะ มันต้องไม่ผิดแน่ แต่….เป็นไปได้ยังไงกัน” เฉินฮงพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“มันไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่เหรอ…” หลิวหยินกึ่งๆถามกึ่งๆยอมรับได้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ผู้อาวุโสพูดถูกแล้ว และนี่ก็เป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่สูญพันธุ์ไปแล้ว” จูเจียนฮัวพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแห้งผาก “เท่าที่ฉันรู้ก็คือชื่อของมันนั้นตั้งตามชื่อของเกาะเซเชล ที่นั่นมีเต่าที่ชื่อว่าเต่าช้างมาไลออนอยู่ และมันเป็นตัวสุดท้ายของสายพันธุ์”
มาลิออนนั้นหมายถึงการเป็นตัวแทนของสายพันธุ์ และตัวแทนของสายพันธุ์นั้นได้ตายลงด้วยกระสุนปืน ทันทีที่มันตายนั่นก็หมายความว่าเต่าบกยักษ์เซเชลได้สูญพันธุ์ไปแล้ว แน่นอนว่าอย่างน้อยๆมันก็ถูกถือว่าสูญพันธุ์ไปแล้วถ้าไม่นับเจ้าตัวที่อยูตรงหน้าพวกเขา
คนอื่นๆที่ได้ยินจนมาถึงตอนนี้ต่างก็พูดอะไรไม่ออกกันเลยสักคำ และนี่กลายเป็นบรรยากาศที่คุ้นเคยของคนกลุ่มนี้ไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือหากเทียบกับหนูอีกสองสายพันธุ์ก่อนหน้านี้แล้ว เต่าบกยักษ์เซเชลนี้สมควรจะสร้างความตกตะลึงได้มากยิ่งกว่า
ต่อให้มันไม่ใช่สัตว์สูญพันธุ์ ด้วยขนาดและท่าทางของมันแน่นอนว่าต้องได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ในเมื่อมันคือสัตว์ที่เคยสูญพันธุ์ไปแล้วล่ะก็ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำว่ามันจะได้รับความนิยมมากมายแค่ไหน
“พระเจ้าเถอะ เพียงสวนๆนี้ก็มีค่าเหลือคณะนับแล้ว”
“มีสัตว์ที่สูญพันธุ์ถึงสามสายพันธุ์ในสวนเดียว…นี่มันจะบ้าเกินไปแล้ว”
“แล้วแบบนี้สวนสัตว์ที่อื่นจะมาสู้ได้ยังไงกัน”
“การมาที่นี่ช่างคุ้มค่าจริงๆ”
เหล่าผู้เข้าชมในตอนนี้ต่างก็ตื่นเต้นและถ่ายรูปของสัตว์ทั้งสามอย่างกระหน่ำก่อนที่จะส่งต่อกันไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว
และผลก็คือ จำนวนคนที่ซื้อตั๋วเข้าชมสวนสัตว์จงหยุนแห่งนี้มากขึ้นจนจองกันไม่ทัน เรียกได้ว่าจำนวนคนที่จะเข้ามาชมสวนสัตว์จองหยุนแห่งนี้สูงสุดเป็นประวัติการณ์
สำหรับคนที่ไม่คิดจะซื้อตั๋วเข้าชมก่อนหน้านี้ต่างก็รู้สึกว่าตัวเองโง่หนักมากที่ไม่ยอมซื้อทั้งๆที่มีโอกาส
“แม่เจ้า… ไม่เพียงแต่จะมีนกยูงขาว ตะพาบน้ำยักษ์ ยังมีสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วถึงสามสายพันธุ์ ฉันอยากเห็นพวกมัน ฉันอยากเห็นพวกมันกับตาตัวเองจริงๆนะ”
“อา…….ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบัตรเข้าชมสวนสัตว์ถึงได้หมดเร็วนัก ว่าแต่ปกติตั๋วสวนสัตว์นี่เขาต้องจำกัดกันด้วยเหรอ”
“นายไม่รู้เหรอ ฉันว่าที่เขาทำแบบนี้เพราะรู้แน่ๆว่าทันทีที่มีคนรู้เรื่องนี้จะต้องแห่กันไปที่นั่นแน่ๆ หากไม่จำกัดล่ะก็มีหวังคนขายตั๋วต้องขายกันจนมือหงิกแน่ๆ”
“ไม่เวอร์ไปหน่อยรึไง”
“ไม่เวอร์ไปหรอกน่า นายไม่สามารถประมาทกับเรื่องแบบนี้ได้หากมันเกี่ยวกับซูจิ้ง เอาจริงๆแค่มีชื่อเขาปะเอาไว้ คนก็แทบจะแฮ่แฮนกันไปตั้งแต่รู้เรื่องแล้ว แล้วนี่ยิ่งมีสัตว์สูญพันธุ์อยู่ที่นั่นด้วยล่ะก็ หึหึหึ….”
“รถมันติดอะไรกันนักหนาเนี่ย” อีกด้านหนึ่ง เอี้ยป๋อในตอนนี้กำลังอารมณ์เสียสุดๆเพราะว่าเขานั้นต้องมาติดแหงกอยู่บนท้องถนน และยิ่งเวลาผ่านไป เขาก็รู้สึกได้ว่ารถยิ่งติดหนักมากกว่าเดิม
“วันนี้เป็นช่วงโมงเร่งด่วนเฉพาะกิจน่ะ หากเป็นตอนธรรมดาล่ะก็ถนนสายนี้ค่อนข้างจะคล่องตัวเลยนะ แต่ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันนี้คนน่าจะแห่กันไปที่สวนสัตว์จงหยุนกัน” คนขับรถพูดออกมา
“คุณเอี้ย ลองดูข่าวนี่สิ” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเล่นสมาร์ทโฟนอยุ่ข้างเอี้ยป๋อ เมื่อเขาได้เห็นข่าวสวนสัตว์จองหยุนก็ได้รีบส่งสมาร์ทโฟนให้ดูทันที
“ข่าวอะไร” เอี้ยป๋อถามออกมา
“ลองดูสิครับ” ชายหนุ่มพูดด้วยความตื่นเต้น
“…..เป็นไปได้ยังไงกัน” เอี้ยป๋อที่เห็นข่าวก็อดจ้องจนตาไม่กระพริบไม่ได้ “เป็นไปได้ยังไงกัน ที่นั่นมีแม้กระทั่งหนูป่าออสเตรเลียตีนขาว หนูจิ้งโจ้ แล้วก็เต่ายักษ์เซเชลนั่น นี่มัน….”
“มันช่างน่าเหลือเชื่อจริง นี่เขาไม่รู้หรือไงว่าสิ่งที่เขาทำนั้นช่างสร้างความตกใจให้โลกนี้มากมายขนาดไหนกัน เขาควรจะทำอย่างนี้ตั้งนานแล้ว” ชายหนุ่มฝึกงานที่มาด้วยกันเริ่มโวยวาย
“พูดไปก็เท่านั่นน่า นี่คนขับขับให้เร็วกว่านี้ไม่ได้เหรอ” เอี้ยป๋อพยายามร้องอ้อนวอนออกมา
“ห้ะ จะไปเร็วได้ยังไงกัน” คนขับพูดออกมาอย่างจนปัญญา
“คุณเอี้ย ผมเพิ่งจะนึกได้ว่าพวกเราไม่มีตั๋วนี่นา ตอนนี้ต่อให้เราจะซื้อมันก็หมดไปแล้ว” ชายหนุ่มนึกออกมาด้วยท่าทีเสียดย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันโทรหาอาจิ้งก่อน อย่างน้อยเขาก็คงจะไว้หน้าฉันบ้างแหล่ะ” เอี้ยป๋อได้หยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองออกมาเพื่อโทรหาซูจิ้ง
เป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้ ซูจิ้งยินดีต้อนรับเขาอย่างดี แต่ด้วยการที่รถในตอนนี้ติดจนกระดึ๊บไปทีละน้อย ต่อให้เขาได้โอกาสแต่ก็ยากจะไปถึง
“ครั้งนี้อาจิ้งเล่นใหญ่เลยแหะ” เฉิงหนานพูดออกมาในขณะก้าวเท้าเข้าไปในห้องสำนักงานของหวังจ้าว
“ฉันว่าฉันพร้อมจะฟังอยู่นะ ไหนว่ามาสิ” หวังจ้าวพูดออกมาในขะที่กำลังหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
“ในตอนนี้ที่สวนสัตว์ของซูจิ้งได้มีสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์และสูญพันธุ์ไปแล้วปรากฎขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนกยูงขาว ตะพาบน้ำยักษ์ หนูป่าออสเตรเลียเท้าขาว หนูจิ้งโจ้ เต่าบกยักษ์เซเชล
โดยเฉพาะตะพาบยักษ์นั่นที่มีด้วยกันสองตัวบนโลกนี้ ในตอนนี้นอกจากตัวที่อยู่ในสวนสัตว์ของซูจิ้งจะเป็นตัวที่สามแล้ว มันยังมีลูกอีกสองตัวด้วยกันทำให้ที่นั่นมีตะพาบยักษ์อยู่สามตัว
อ้อ อีกอย่าง เจ้าสามชนิดหลังนั่นถูกขึ้นบัญชีว่ามันสูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้วด้วย” เฉิงหนานพูดออกมาอย่างเรียบง่าย
“พรู๊ดดดดดดดด…………” หวังจ้าวได้สำลักน้ำออกมาจนกระจายไปทั่วก่อนที่จะมีท่าทีตื่นเต้นและพูดออกมาว่า “ฉันก็คิดไว้อยุ่แล้วล่ะนะ แต่ไม่คิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้
สัตว์ที่มีเพียงสองตัวในโลกแต่หมอนั่นมีถึงสามงั้นเหรอ แถมยังมีสัตว์ที่ได้ชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วอีกตั้งสามชนิด นี่หมอนี่ไปขโมยมาจากสวรรค์รึไงกัน”
“แล้ว? ฉันไม่เห็นว่ามันจะวิเศษตรงไหนเลยนี่นา” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนี้สวนสัตว์ของหยุนนั้นย่อมแน่นอนว่าจะมีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วโลกแบบนี้ แล้วเราจะปล่อยโอกาสดีๆแบบนี้ออกไปได้ยังไงกัน” หวังจ้าวพูดออกมา
“จริงด้วย” เฉิงหนานพยักหน้ารับในทันทีก่อนที่จะเรียกฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้มาหา ในเมื่อเรื่องนี้มีซูจิ้งเกี่ยวข้องด้วยแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาต้องย่อมไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้หหลุดมือไปได้อย่างแน่นอน
GGS:บทที่ 1050 สุดยอดสวนสัตว์ (5)
“ไปยังพื้นที่ถัดไปกันดีกว่า ตอนนี้คนเริ่มเข้ามามากขึ้นแล้วล่ะ พวกเรายืนอยู่นานคงไม่ดี” ฟานเว่ยเชินที่เห็นคนเริ่มหลั่งไหลมาแล้ว พวกเขาจึงได้ไปยังพื้นที่ถัดไปเพื่อที่จะเปิดโอกาสให้คนอื่นได้ดูบ้าง
ในพื้นที่ที่สามนี้ เป็นทางเดินที่พาเข้าไปสู่พื้นที่ที่มีสวนล้อมรอบ
บางคนนั้นยังติดใจอยู่ที่นี่อยู่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “เดี๋ยวสิ ฉันยังดูไม่หนำใจเลย”
คนกลุ่มแรกที่มาด้วยกันนั้นยังมีบางคนที่ยังดูสัตว์สูญพันธุ์ไม่หนำใจเลยสักนิด บางคนถึงกลับคว้ากล้องออกมาถ่ายรูปตลอดทางที่เขากำลังจะเดินจากไป
ก็ไม่แปลกที่เขานั้นยังไม่หนำใจ นั่นก็เพราะหากว่าสัตว์กลุ่มนี้เป็นอะไรไปอีกล่ะก็ พวกเขาอาจจะไม่ได้มีวันเห็นพวกมันอีกแล้วก็ได้
“ในเมื่อว่ามาอย่างนั้นล่ะก็ เอาเป็นว่าคนไหนจะอยู่ก็ได้นะ ส่วนผมจะพาคนอื่นๆไปยังพื้นที่ถัดไป” ฟานเว่ยเชินพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะนำคนกลุ่มแรกไปยังสถานที่ต่อไปพร้อมซิ่วจงหง
ถึงแม้จะมีหลายๆคนในกลุ่มนี้ที่ยังอยากจะดูบรรดาสัตว์สูญพันธุ์เหล่านี้อยู่ก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังเดินตามไปอยู่ดี
“”ผู้อาวุโสฟาน สัตว์ชนิดต่อไปคืออะไรหรือ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถามออกมาอย่างอดจะถามเสียไม่ได้
“เอาน่า เดี๋ยวไปก็รู้เอง” ฟานเว่ยเชินพูดออกมา
พวกเขาได้พาคนกลุ่มแรกพื้นถนนคดเคี้ยวมาอีกประมาณหลายสิบเมตร พวกเขาก็ถึงพื้นที่ถัดไปแล้ว ที่นี่เป็นสวนขนาดเล็กสวนหนึ่ง พื้นที่โดยรอบนั้นเป็นทรงกลมเส้นรอบวงประมาณสิบเมตรเห็นจะได้
ทั้งสวนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าเถาวัลย์ที่นำมาปลูกอย่างดีราวกับว่าเพื่อป้องกันอะไรบางอย่าง นี่ทำให้ทุกคนที่เห็นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมหัศจรรย์ใจไม่ได้ พวกเขาต่างก็นึกไปต่างๆนานาว่าอะไรจะอยู่ข้างในสวนแห่งนี้ จะเป็นว่าพวกเขาเดินเข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงนกรึเปล่านะ
แต่ถ้าพวกเขามองดีๆล่ะก็จะพบว่าพืชส่วนใหญ่ที่ปลูกในสวนแห่งนี้นั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นดอกไม้ซะมาก ส่วนพืชอย่างอื่นนั้นมีไม่มากนัก แม้แต่ต้นไม้ก็มีเพียงสองต้นเท่านั้นเอง
ถึงจะพูดว่ามีแค่นี้ แต่บรรยากาศภายในนั้นกลับสวยงามอย่างมาก แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น พวกเขาก็ยังไม่พบว่าในสวนนี้มีสิ่งมีชีวิตอะไรอยู่
“ที่นี่มีสัตว์ตัวเล็กๆซ่อนอยู่ใต้ดอกไม้และใบหญ้าพวกนี้อย่างนั้นเหรอ”
“ฉันว่าจะต้องเป็นนกหายากแน่ๆ”
“ผู้อาวุโสฟานครับ ที่นี่มีอะไรกันแน่” ชายวัยกลางคนคนเดิมได้ถามออกมาอีกครั้ง
“ถ้าคุณมองดูดีๆคุณก็เห็นมันแล้วล่ะ” ฟานเว่ยเชิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ด้วยประโยคนี้ทำให้หลายๆคนที่ได้ยินต่างก็ไม่เข้าใจ มีใครบางคนได้เข้าไปลองค่อยๆแหวกใบไม้ออกดู แต่ไม่ว่าพวกเขานั้นจะแหวกยังไง พวกเขาก็ไม่พบอะไรสักตัว
ทันใดนั้น มีใครคนหนึ่งรู้สึกว่ามีลมอะไรบางอย่างพัดมาจากใบหญ้าใบหนึ่ง ไม่สิ ต้องบอกว่าทั้งใบหญ้า และดอกไม้นั้นอยู่ๆก็ได้เกิดลมพัดเบาๆออกมาจากพวกมัน
เมื่อพวกเขามองดีๆก็พบว่าทั้งใบหญ้าและดอกไม้นั้นต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยผีเสื้อที่เกือบจะพร้อมใจกันกระพรือปีกในทุกครั้งที่มีตัวใดตัวหนึ่งกระพรือปีก ราวกับว่ามีคนกำลังเล่นเวฟกันอยู่
ก็ไม่รู้ว่าพวกมันจะสวยงามดีรึเปล่า รู้แต่ว่าพวกมันนั้นทำให้สวนแห่งนี้สวยงามราวกับเป็นดินแดนแห่งภูตในเทพนิยายเลยทีเดียว
“สวยจัง”
“ผีเสื้อพวกนี้ทั้งสวยและตัวใหญ่จังเลยแหะ”
“เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าที่เราเห็นทั้งหมดนี่คือผีเสื้อพันธุ์เดียวกันหรอกเหรอ”
“ไม่น่านะ ต่อให้พวกมันนั้นสวยก็จริงแถมยังมีลวดลายที่งดงาม แต่พวกมันไม่น่าจะเป็นผีเสื้อพันธุ์เดียวกันนะ”
“นอกซะจากว่านี่จะเป็นพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วนั่นล่ะนะ ฮ่าฮ่าฮ่า….”
ผู้คนที่ได้ยินคำพูดนี่จากที่หัวเราะกันอย่างร่าเริงก็เปลี่ยนเป็นเงียบกริบในทันทีที่รู้สึกตัว พวกเขาในตอนนี้เริ่มรู้สึกแล้วว่าสัตว์ที่ซูจิ้งนำมาจัดแสดงได้ลางๆแล้วว่าพวกมันล้วนแล้วน่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่อย่างน้อยผีเสื้อพวกนี้ก็ดูเหมือนจะยังไม่น่าสูญพันธุ์ล่ะนะ น่าจะแค่จับมาใส่แบบมั่วๆเท่านั้น
“เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าพวกนี้มัน….” ชายแก่คนหนึ่งที่เริ่มจดจำผีเสื้อพวกนี้ได้ก็ได้พูดออกมาลอยๆ
เขานั้นได้มองไปยังผีเสื้อที่โบยบินไปมา ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปหาผีเสื้อที่เกาะอยู่ที่ดอกไม้อย่างรวดเร็ว จนทำให้ชายหนุ่มหลายๆคนประหลาดใจจนอดจะคอยประคองเขาไปตลอดทางไม่ได้
ชายแก่ในที่สุดก็ได้เห็นผีเสื้ออย่างชัดถนัดตา ผีเสื้อกลุ่มนี้นั้นมีขนาดลำตัวประมาณสามเซนติเมตรเห็นจะได้ แต่ปีกของมันนั้นมีขนาดใหญ่กว่าลำตัวถึงสิบเซนติเมตรเลยทีเดียว
บนปีกคู่บนของพวกมันนั้นมีลายสีเขียวออกทองเป็นวงอยู่ ส่วนปีกล่างของมันเองก็มีลวดลายสีทองวนเป็นวงทั่วไปหมด นอกจากนั้นยังมีวงกลมสีทองอยู่บนปีกนี่อีก นี่ทำให้พวกมันดูสวยงามอย่างมาก
ชายแก่ที่เป็นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและพูดออกมาว่า “พระเจ้าเถอะ นี่มันผีเสื้อจุดทองคำ”
“เป็นไปได้ยังไง ที่พวกเราเห็นนี่ก็ร่วมๆยี่สิบตัวเลยนะ”
“พระเจ้าช่วย จริงด้วย”
เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่มีท่าทีตื่นเต้นอย่างมาก นี่ทำให้คนที่เหลือต่างก็เริ่มสงสัยไปกันหมด
“ผีเสื้อพันธุ์นี้มีอะไรเหรอ ทำไมถึงได้ดูตื่นเต้นกันจัง”
ผีเสิ้อจุดทองคำนี้เป็นผีเสื้อสายพันธุ์หนึ่งที่เรียกได้ว่หายากยิ่งในโลกใบนี้ จำนวนของพวกมันที่ยังคงหลงเหลือในป่านั้นน้อยเสียกว่าจำนวนแพนด้ายักษ์เสียอีก
พวกมันถูกล่าวขานกันในวงการว่าสมบัติลับแห่งเมืองจีน และรู้จักกันทั่วไปในนามผีเสื้อแห่งชาติ นั่นก็เพราะผีเสื้อพันธุ์นี้พบได้เฉพาะในพื้นที่คุ้มครองพิเศษแห่งรัฐบาลจีนเท่านั้น
ความหายากของมันนั้นติดอันดับหนึ่งในแปดของผีเสื้อพันธุ์หายากบนโลกใบนี้ บางคนก็เรียกพวกมันว่าผีเสื้อแห่งความฝัน ฟอสซิลมีชีวิต หรือแม้แต่ราชินีแห่งผีเสื้อกันเลยทีเดียว
และสำหรับนักสะสมแล้ว พวกมันเพียงส่วนเดียวก็มีค่าหลายแสนหยวนเข้าไปแล้ว
“ช่างน่าเหลือเชื่อนัก”
ในขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกมหัศจรรย์กับมวลหมู่ผีเสื้อนั้น หนึ่งในนั้นก็ได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “พระเจ้า ผีเสื้อพวกนี้ดูน่าประหลาดจริงๆ”
“นั่นสิ ลวดลายของปีกซ้ายนั้นช่างสวยงาม แต่ลวดลายของปีกขวานี่ช่างน่าขนลุกจริงๆ”
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็มองตาม พวกเขามองไปยังผีเสื้อกลุ่มหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ ปีกซ้ายของมันสวยงามราวกับหญิงงาม แต่ปีกขวานั้นดูน่ากลัวราวกับโครงกระดูกจนหน้าขนลุก
“พระเจ้า ผีเสื้อนางไม้ไม่ใช่เหรอ” เฉินฮงพูดออกมาอย่างตื่นเต้น และก้าวเข้าไปหาผีเสื้อกลุ่มที่ว่าในทันที นี่ทำให้เฉินเจียเหยา จูเจียนฮัว และหลิวหยินอดไม่ได้ที่จะเดินตาม
“คุณปู่ อะไรคือผีเสื้อนางไม้คะ” เฉินเจียเหยาอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“มันผีเสื้อในตำนานของจีนอย่างแท้จริงน่ะ ในตอนนั้น มีชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ชื่อคาสเชฟ เขาได้มาเยือนที่ประเทศจีนในช่วงปี 1920 แล้วได้พบกับผีเสื้อที่สุดแสนจะแปลกตาในหมู่บ้านพิศวงแห่งหนึ่งในยูหนาน
หลังจากนั้นเขาก็ได้เผยแพร่ลักษณะของมันในตำราสารานุกรมทางชีววิทยาของอเมริกาและเรียกชื่อมันว่า “ผีเสื้อนางไม้”
แถมยังตั้งค่าหัวพวกมันไว้อีกว่าหากใครจับให้เขาได้ เขาจะมอบเงินจำนวนสองแสนห้าหมื่นดอลลาร์สหรัฐให้ แต่ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ยังไม่เคยมีใครเห็นพวกมันอีกเลย” เฉินฮงพูดออกมา
“สองแสนห้าหมื่นเหรียญเนี่ยนะ นี่ไม่ใช่ว่าผีเสื้อนางไม้นี่จะหายากยิ่งกว่าผีเสื้อจุดทองคำนั่นเหรอ” จูเจียนฮัวพูดหลังจากสะดุ้งเฮือกออกมา
“ก็ไม่แปลกที่จะว่ามาอย่างนั้นเพราะมันถือได้ว่าอยู่คนละระดับกันน่ะ ผีเสื้อจุดทองคำนั้นยังพอจะมีคนพบเห็นเป็นตัวเป็นตนอยู่จะมีสถานที่ที่พบเห็นมันได้
แต่กับเจ้าผีเสื้อนางไม้นี้นั้นถ้าจะให้บอกว่าเป็นเพียงคำร่ำลือก็ว่าได้เพราะมันมีแค่คนที่พบเห็นแค่คนเดียวเท่านั้น” เฉินฮงพูดออกมา
“ผีเสื้อนางไม้งั้นเหรอ ช่างเป็นผีเสื้อที่สมกับคำร่ำลือที่เลื่องไปทั่วโลกจริงๆ” หลิวหยินพูดออกมาพลางถอดถอนหายใจ
“แม่..เอ๊ย มันไม่ได้มีอะไรดูน่าแปลกใจอะไรขนาดนั้นเลยสักหน่อย” ชายหนุ่มเจาะหูพูดออกมาเบาพร้อมน้ำเสียงไม่เห็นด้วยอย่างแรงกล้า
เขาและพวกถูกส่งมาเพื่อตรวจสอบสภาพของสวนสัตว์จงหยุนแห่งนี้เพราะยังซะต่อให้ทำอะไรไม่ได้แต่พวกเขาก็ไม่อยากจะเห็นซูจิ้งได้ดีอย่างแน่นอน
นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่พวกเขาได้พบนั้นช่างเหนือกว่าที่คิดไปมากมายนัก นี่จึงทำให้พวกเขานั้นอารมณ์ไม่ดีอย่างมากเพราะการที่จะต้องรายงานเรื่องแบบนี้ให้นายน้อยของพวกเขาได้รับทราบย่อมทำให้นายน้อยของพวกเขาอารมณ์ไม่ดีอย่างแน่นอน
“อืม…มันไม่ใช่แค่ผีเสื้อแล้วล่ะ”
“ใช่ พวกมันจะต้องถูกใครสักคนทำขึ้นมาแน่ๆเพราะจำนวนมากมายขนาดนี้ไม่มีทางเลยที่จะพบสัตว์หายากได้มากมายขนาดนี้ ลองดูผีเสื้อกลุ่มนั้นสิ ดูยังไงก็น่าจะเป็นผีเสื้อธรรมดาเท่านั้น”
ชายหนุ่มที่อยู่ในมาดสุขุมที่ใส่แว่นได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูกนิดหน่อย นั่นก็เพราะตอนที่เขาและหนุ่มเจาะหูได้ยินเรื่องของผีเสื้อจุดทองคำและผีเสื้อนางไม้นี้จนทำให้พูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่ามีผีเสื้อธรรมดาอยู่ที่นี่จึงรีบชิงโอกาสเล่นงานในทันที นั่นก็เพราะว่าต่อให้มันเป็นผีเสื้อธรรมดาที่สวยงามยังไง แต่ในเมื่อมันได้มาอยู่ท่ามกลางตัวตนที่สูญพันธุ์ไปแล้วแบบนี้มันชวนน่าหัวเราะเกินไป
คนที่มากับสองคนนี้เองล้วนแล้วแต่เป็นคนของฟูหงซิ่วและหยวนหยินหนิง พวกเขาจึงเลือกที่จะไม่สนใจฟังคำอธิบายต่างๆ และนี่ทำให้ผู้คนเริ่มแตกตื่น
“หนุ่มน้อย เธอแน่ใจนะว่ามันคือผีเสื้อธรรมดาน่ะ” ซิ่วจงหงที่ได้ยินคำพูดนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปถาม
“แล้วไม่ใช่รึไงกัน ผีเสื้อพวกนี้ดูน่ารักก็จริงแต่มันก็แค่นั้น พวกมันน่จะเห็นได้ทั่วไปในป่าอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มอีกคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงค่อนข้างค่อนแคะไปยังซิ่วจงหง เขานั้นคิดว่าซิ่วจงหงจะออกมายอมรับความจริงว่าพวกมันเป็นผีเสื้อธรรมดา นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฝ่ายเขาที่โดนถามกลับมา
แต่ว่าชายหนุ่มคนนี้ก็ยังไม่ลดละและนึกว่ามันก็แค่การข่มกลับเฉยๆเพื่อไม่ให้เสียหน้าเท่านั้น และเขามั่นใจว่าผีเสื้อฝูงนี้เป็นเพียงผีเสื้อธรรมดาเท่านั้นเอง
ทั้งชายหนุ่มแว่นมาดสุขุมและคนอื่นๆก็ตั้งจับจ้องไปที่ผีเสื้อกลุ่มนั้นอย่างไม่วางตา นั่นก็เพราะคำพูดของซิ่วจงหงจึงทำให้ผีเสื้อฝูงที่เป็นประเด็นถูกจับจ้องเป็นพิเศษ
GGS:บทที่ 1051 สุดยอดสวนสัตว์ (6)
ผีเสื้อกลุ่มนี้นั้น บางตัวนั้นมีลวดลายสีน้ำเงินไม่ก็สีเขียวพาดผ่านไปบนปีกสีดำทมิฬ บางตัวก็มีลวดลายสีขาวน้ำตาลพาดผ่านซ้ำเข้าไปอีกราวกับทางช้างเผือก
ลวดลายเหล่านี้ส่งเสริมให้มันดูสวยงามอย่างมาก ถึงแม้จะสวยไม่เท่ากับผีเสื้อจุดทองคำและผีเสื้อนางไม้ก็ตาม
“นี่มันผีเสื้ออะไรกัน”
“ฉันไม่คุ้นมันเลยนะ”
“ฉันก็เหมือนกัน”
“ฉันหาข้อมูลพวกมันบนเน็ตไม่เจอเลย”
“ในเมื่อคุณซิ่วพูดว่าพวกมันนั้นไม่ใช่ผีเสื้อธรรมดา ถ้าอย่างนั้นก็ลองส่งข้อมูลพวกมันขึ้นอินเตอร์เน็ตดูแล้วกัน ฉันว่าต้องมีคนรู้จักมั่งแหล่ะ”
เมื่อคิดได้ดีงนั้น หลายๆคนจึงเริ่มถ่ายรูปนี้ขึ้นไปบนอินเตอร์เน็ตทันที ในกลุ่มนี้รวมถึงเฉินฮงและเหล่าผู้คนจากวงการสวนสัตว์ที่รู้จักผู้เชี่ยวชาญผีเสื้อมากมายหลายคน
อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปสักพักแล้วก็ไม่มีใครที่พอจะรู้จักหรือคุ้นเคยผีเสื้อลักษณะนี้เลยแม้แต่น้อย แม้แต่คนที่ได้ชื่อว่ารู้จักพันธุ์ผีเสื้อมากที่สุด ก็ยังไม่คุ้นเคยกับผีเสื้อสายพันธุ์นี้ทั้งๆที่มันมีคุณลักษณะที่พิเศษมาก
แม้แต่คนทั่วไปที่เข้ามาเห็น ต่างก็บอกไม่ได้ว่ามันมีชื่อว่าอะไร
ในถนนที่คับคลั่งไปด้วยรถรา บนรถแท็กซี่คันหนึ่ง เอี้ยป๋อและชายหนุ่มคนหนึ่งทำได้แต่นั่งนิ่งๆกระสับกระส่ายเพราะไปไหนไม่รอด
ชายหนุ่มฝึกงานที่อยู่ข้างๆที่กำลังส่องเรื่องราวของสวนสัตว์จองหยุนผ่านอินเตอร์เน็ตอยู่นั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นในทันทีว่า “สวนสัตว์จองหยุนเป็นประเด็นอีกแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น” เอี้ยป๋อถามออกมา
“ลองดูนี่สิครับ นี่มันผีเสื้อจุดทองคำและผีเสื้อนางไม้” ชายหนุ่มพูดออกมา
“พระเจ้า” เอี้ยป๋ออุทานออกมาหลังจากสะดุ้งเฮือกไป
“ยังมีผีเสื้อสายพันธุ์อื่นอยู่ด้วยนะครับ แต่ว่าในตอนนี้ยังไม่มีใครบอกได้เลยว่ามันคือสายพันธุ์อะไร ผมเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่านี่มันผีเสื้ออะไรกันแน่” ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างพิศวง
“………ก็ไม่แปลกที่เธอจะไม่รู้จัก แม้แต่คนบนโลกนี้คนที่รู้จักส่วนใหญ่ก็ตกตายกันไปหมดแล้วล่ะ ชื่อของมันคือเซเชลพาพิเลีย” เอี้ยป๋อพูดออกมา
“เซเชลพาพิเลีย?” ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างอึ้งๆ
“มันเป็นสายพันธุ์หายากยิ่งนักที่พบเฉพาะบนเกาะเซเชล หลังจากที่มนุษย์ได้รุกล้ำเข้าไปบนเกาะนั้น พวกเขาได้ตัดต้นไม้ที่มีเฉพาะที่นั่นเพื่อที่จะปลูกไม้ผลที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า ด้วยการที่สภาพแวดล้อมที่นั่นส่งเสริมต่อไม้ผลอย่างมากทำให้พวกมันมีราคาสูงและถูกส่งออกไปทั่วทั้งโลก ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่กลายเป็นสวนผลไม้ไป
อย่างไรก็ตามมีแมลงศัตรูพืชสายพันธุ์หนึ่งติดไปจากโลกภายนอกทำให้พวกมันแพร่กระจายไปยังพืชพันธุ์เฉพาะบนเกาะนั้นทำให้ผีเสื้อเหล่านี้ขาดแหล่งอาหาร
นี่เป็นสาเหตุหลักที่พวกเรารู้ได้รับรู้ว่าทำไมพวกมันถึงได้สูญพันธุ์ กว่าที่มนุษย์จะรับรู้และได้ตระหนักเรื่องนี้ก็เป็นช่วงปี 1895 ในตอนนั้นพวกเขาเริ่มที่จะควบคุมแมลงศัตรูพืชนั่นได้แล้ว แต่ก็ไม่มีใครได้เห็นผีเสื้อเซเชลพาพิเลียนี้อีกเลย
พวกเขาได้ใช้เวลากว่าห้าปีในการตามหาแต่ก็ไม่มีใครพบแต่อย่างใด มีคนบันทึกไว้ว่าก่อนหน้านั้นในปี 1979 มีคนที่จัดตั้งโครงการปกป้องผีเสื้อเหล่านั้นก่อนหน้านี้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ทันการอีกแล้วเช่นเดียวกันเพราะไม่มีใครเห็นมันมานานตั้งแต่ตอนเริ่มโครงการแล้ว
จึงไม่แปลกที่จะไม่มีคนรู้จัก เพราะพวกมันนั้นสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ก่อนที่จะมีคนจัดทำบัญชีสัตว์สูญพันธุ์แบบในปัจจุบันนี้ซะอีก” เอี้ยป๋อพูดออกมาอย่างเศร้าสร้อย
เอี้ยป๋อรู้จักสัตว์สูญพันธุ์เหล่านี้มากกว่าสัตว์ในสวนสัตว์และสัตว์เลี้ยงซะอีก แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะรู้จักผีเสื้อตัวนี้
“นี่….เป็นสัตว์สูญพันธุ์อีกแล้วเหรอ” ชายหนุ่มจ้องมองด้วยตาไม่กระพริบ
“คนขับ ช่วยลองหาวิธีเร่งหน่อยไม่ได้เหรอ หากไม่ได้ล่ะก็ผมขอลงแล้วกัน” เอี้ยป๋อในตอนนี้รับรู้แล้วว่าสวนสัตว์ของซูจิ้งนั้นน่าสนใจแบบสุดๆ
สำหรับเขานั้นการที่ได้เห็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วมากมายขนาดนี้ เป็นสิ่งที่สุดยอดที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว แต่การที่พอรู้ว่าสัตว์เหล่านี้อยู่ใกล้ๆแต่ไปไม่ถึงสักทีทำให้เขานั้นรู้สึกอึดอัดใจอบ่างบอกไม่ถูก
ความรู้สึกของเขาไม่ต่างดอนฮวนที่ได้ยินเสียงหญิงสาวว่าถอดเสื้อผ้ารออยู่ในห้องแต่เขากลับหาทางเข้าห้องไม่ได้
“ไม่มีทางล่ะ ตอนนี้เราไม่มีทางเร่งความเร็วได้มากไปกว่านี้และฉันก็จะไม่ยอมจอดรถให้นายลงไปแน่นอน ดูจากสภาพนี้แล้วฉันจะต้องจอดแหงกเฉยๆโดยไม่ได้เงินอย่างแน่นอน” คนขับพูดมาปฏิเสธแบบทันควัน
ความจริงเอี้ยป๋อนั้นอยากจะลงแล้ววิ่งไปแทนซะด้วยซ้ำ แต่เมื่อเทียบกับระยะทางที่ยังเหลือและกระดูกของคนแก่ๆแบบเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอดใจและนั่งเคาะนิ้วกับขอบรถรอแก้เก้อไปจนกว่จะถึง
ส่วนชายหนุ่มในตอนนี้กำลังรีบส่งคำตอบของผีเสื้อนี้ลงไปบนอินเตอร์เน็ตอย่างวดเร็ว
“เซเชลลพาพิเลีย?” ที่สวนสัตว์จองหยุน มีใครบางคนได้พูดออกมาในขณะที่เห็นว่ามีคนตอบคำถามนี้มาแล้ว หลังจากที่รู้ชื่อแล้ว เขาก็ได้หาข้อมูลเพิ่มเติมดูในทันที และเมื่อเทียบกันแล้วก็พบว่ามันเหมือนกันอย่างมาก
“เซเชลพาพิเลีย ที่เดียวกับเต่าบกยักษ์นั่นน่ะเหรอ”
“ใช่และดูเหมือนว่ามันเองก็เป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว”
“โอ้พระเจ้าช่วย ฉันนึกว่ามันเป็นผีเสื้อธรรมดาซะอีก”
ชายหนุ่มที่โวยวายออกมาก่อนหน้านี้ได้เล่นใหญ่เพื่อจะกลบเกลื่อนสิ่งที่ตัวเองได้แสดงออกไปก่อนหน้านี้แบบหน้าด้านๆ
คนที่มากับหมอนี่เองก็มีท่าทีสงบเสงี่ยมและไม่กล้าทำอะไรอีก นี่ทำให้ชายสวมแว่นมาดสุขุมทำได้เพียงส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อย
ผู้คนที่เข้าชมยังพยายามหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับผีเสื้อชนิดอื่นๆที่อยู่ที่นี่ จนกระทั่งมีผีเสื้อสายพันธุ์หนึ่งที่สวยงามมากแต่ก็หาไม่เจอสักทีว่าเป็นสายพันธุ์อะไร
แม้แต่คนที่เคยตอบพวกเขาเกี่ยวกับปีเสื้อเซเชลก่อนหน้านี้ก็ไม่มีท่าทีว่าจะตอบแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าผีเสื้อนี้สมควรจะเป็นสายพันธุ์ใหม่มากกว่า
เรื่องนี้เองก็ทำให้ทุกคนในที่นี้ตื่นเต้นไม่น้อยเลยเช่นเดียวกัน ความรู้สึกของพวกเขานั้นไม่ต่างจากนักบินอวกาศที่ได้ไปเกาะที่ขอบหน้าต่างของยานอวกาศที่ได้มองเห็นดวงดาวที่ยังไม่เคยมีคนเข้าไปเหยียบย่าง
“พี่เซินคะ ตอนนี้ส่วนสัตว์จงหยุนกำลังดังมากเลยล่ะ” หญิงสาวที่ตัวเล็กและดูมีเสน่ห์ได้พุ่งเข้ามาในห้องสำนักงานแห่งหนึ่งด้วยใบหน้าตื่นเต้นอย่างชัดเจน
“หืม? นี่เขาเอาสัตว์เลี้ยงของตัวเองไปไว้ที่นั่นจริงๆเหรอ” หญิงงามวัยกลางคนตัดผมสั้นที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองได้ถามออกมา เธฮก็คือเซินหยินที่เป็นรองประธานของบริษัทชื่อดังในวงการสัตว์เลี้ยง
เธอเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความสัมพันธุ์กับซูจิ้งในหลากหลายรูปแบบเช่นเดียวกัน เธอนั้นพบกับซูจิ้งครั้งแรกในงานแสดงสัตว์เลี้ยงเมืองของหยุน และเป็นครั้งนั้นที่เธอได้พบกับผีเสื้อประกายแสงนางฟ้าและนั่นก็ทำให้เธอหลงไหลมันและอยากจะได้มาครอบครอง
แต่ซูจิ้งนั้นยอมขายแค่ซากผีเสื้อให้เธอเพียงเท่านั้น พลังจากนั้นเธอก็พบว่าซากผีเสื้อที่ซูจิ้งขายให้เธอนั้นไม่ได้พิเศษแต่อย่างใดเพราะเขานั้นขายมันไปทั่ว
หากว่าไม่ใช่เพราะว่ามันสวยมากล่ะก็เธอเองคงจะเอามันไปหาซูจิ้งเพื่อของเงินคืนแล้ว หลังจากนั้นเธอก็ได้มีโอกาสเจอซูจิ้งอีกสองสามครั้งในงานที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเท่านั้นเอง
เธอเองได้ยินมาเหมือนกันว่าซูจิ้งได้ทำเรื่องใหญ่ๆมามากมายในช่วงเวลาที่เธอไม่ได้เจอเขา เรื่องราวเหล่านั้นทำให้เธอนั้นประหลาดใจมากก็จริงแต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอสนใจซูจิ้งได้แต่อย่างใด เพราะยังไงซะเธอก็สนแต่เรื่องสัตว์เลี้ยงเท่านั้น
กับเลี้ยงสวนสัตว์นี้ในตอนแรกเธอเองก็คิดว่าซูจิ้งจะนำสัตว์เลี้ยงของเขาไปจัดแสดงไว้ที่นั่นเหมือนกัน หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็เธอแน่นอนว่าย่อมไปโวยวายซูจิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย
เหตุผลก็เพราะสัตว์เลี้ยงไม่เหมือนกับสัตว์ป่า พวกมันนั้นต้องการการดูแลอย่างดีจากเจ้าของ และพวกมันก็จะตอบแทนการดูแลนั้นด้วยความภักดีอย่างที่สุด โดยเฉพาะสุนัขที่จะมีความรู้สึกว่าเจ้านายเปรียบได้ดั่งจ่าฝูงที่อยากจะคอยทำตามอย่างว่าง่าย
“เรื่องนั้นไม่เป็นความจริงเลยค่ะ เขาได้นำสัตว์ป่าที่ถูกรู้กันดีว่าใกล้จะสูญพันธุ์และสูญพันธุ์ไปแล้วมากมายไปไว้ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นนกยูงขาว ตะพาบน้ำยักษ์ หนูป่าออสเตรเลียเท้าขาว หนูจิ้งโจ้ เต่าบกยักษ์เซเชล ผีเสื้อจุดทองคำ ผีเสื้อนางไม้
และข้อมูลที่พึ่งจะปล่อยออกมานั้นคือผีเสื้อแห่งเกาะเซเชลที่มีชื่อว่าเซเชลพาพิเลียค่ะ” หญิงสาวที่ทรงเสน่ห์ได้ร่ายยาวจนแทบหมดลมหายใจในทีเดียว
“ห้ะ” เฉินหยินได้อุทานออกมาพร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง เธอนั้นหลงไหลในผีเสื้ออย่างบอกถึงกระทั่งเมื่อเจอผีเสื้อแล้วเธอแทบจะละทิ้งสัตว์อื่นๆที่อยู่ตรงหน้าไปโดยทันที
เธอรีบพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “มีแม้กระทั่งผีเสื้อจุดทองคำ ผีเสื้อนางไม้ แล้วก็ผีเสื้อพาพิเลียด้วย!!!! โดยเฉพาะผีเสื้อสองสายพันธุ์นั่นที่เหลือไว้เพียงแค่เรื่องเล่าเพราะสูญพันธุ์ไปนานมากแล้วน่ะนะ”
“ฉันก็ไม่แน่ใจในเรื่องนั้นหรอกค่ะ”
“ไป พวกเราไปสวนสัตว์จงหยุนกันเดี๋ยวนี้เลย” เฉินหยินพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น แต่ทันทีที่เธอตัดสินใจที่จะไปนั้นก็ไม่มีโอกาสแล้วอย่างน้อยก็ในวันนนี้
นั่นก็เพราะตั๋วเข้าชมได้ขายหมดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยการที่เธอนั้นไม่อยากจะรอไปในวันหลัง เธอเลยเลือกที่จะเสนอราคาซื้อตั๋วที่สูงกว่าราคาขายปกติหลายเท่าตัว จนในที่สุดเธอก็ได้มาใบหนึ่ง หลังจากนั้นเธอจึงรีบไปที่สวนสัตว์จองหยุนในทันที
และด้วยการที่เธอนั้นเป็นคนที่คลั่งไคล้ในผีเสื้ออย่งมาก แน่นอนว่าเธอย่อมไม่ลืมที่จะกระจายข่าวของมันไปด้วยอย่าแน่นอน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น