Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1042-1043
GGS:บทที่ 1042 กองกำลังทั้งสี่?
“หยวนหยินหนิง นายขอให้พวกเรามาที่นี่ต้องการอะไรกันแน่ อย่าบอกว่าจะมาขายถั่วล่ะ ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งอยู่นะเว้ย” หลี่เชิงหรือก็คือชายร่างท้วมตอนปลายได้พูดออกมาอย่างไม่ไว้หน้า แม้แต่ฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วเองก็มองหยวนหยิงหนิงด้วยท่าทีไม่ค่อยพอใจเช่นกัน
“น่าๆ ค่อยๆฟังฉันไปก่อนแล้วกัน หากว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญจริงฉันคงไม่หาญกล้าเรียกนายสามคนมาหรอกนะ” หยวนหยินหนิงหรือก็คือชายที่ไว้เคราได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาปล่อยวางการไว้ท่าของเขาไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินน้ำเสียงอารมณ์เสียของเพื่อนร่วมโต๊ะ
เขาเองก็เคยอยู่ในตำแหน่งที่เคยนั่งอยู่ตอนนี้อยู่บ่อยครั้งแล้ว แต่ในตอนนี้ถึงแม้เขาจะอายุมากกว่าคนทั้งสามแต่ก็ยังไม่สามารถอวดดีได้แบบเมื่อก่อนอีกต่อไป
เพราะสำหรับกรณีของเขาแล้วเรียกได้ว่าสถานการณ์นั้นย่ำแย่มานานจนยากจะฟื้นสถานะกลับมาได้แล้ว ถึงแม้เขาจะเป็นคนตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาก็จริง แต่หลังจากโดนซูจิ้งเล่นงานอย่างหนักจนทำให้เขานั้นถูกเขี่ยหัวส่งโดยชาวเน็ตอย่างทัดทานไม่ได
“เรื่องสำคัญอะไรถึงขนาดต้องให้เราสามคนมาที่นี่” ฟูฮงซิ่วพูดออกมา
“เรื่องซูจิ้ง” หยวนหยินหนิงทันทีที่พูดออกมาก็ได้หุบรอยยิ้มของตัวเองลงในทันที แต่กลับฟูฮงซิ่วและฮัวหยุนชูที่ประสบชะตากรรมมาแล้วเช่นเดียวกันเท่านั้นที่ขมวดคิ้ว แต่หลี่เชิงนั้น เขากลับนิ่งอึ้งไปเท่านั้น
“ในช่วงที่ผ่านมานี้ ซูจิ้งพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วอย่างน่ากลัว ฉันเชื่อว่านายก็เห็นๆกันแล้วว่าเพียงแค่มันก้าวเท้าเข้าวงการยานยนต์ บริษัทฮองเหอยานยนต์ของตระกูลของฮงซิ่วก็แทบจะล้มคลืนด้วยเวลาไม่นานน่าจะเป็นคนที่เข้าใจเรื่องนี้ดีที่สุด
ฉันเกรงว่าหากยังปล่อยให้มันทำตัวแบบนี้ต่อไปล่ะก็ อีกไม่นาน พวกเราทั้งสี่จะได้ผลกระทบกันอย่างครบถ้วน และเชื่อได้ว่า อีกไม่ช้าจะไม่มีที่เหลือให้ตระกูลของพวกเราทั้งสี่ได้ยืนอยู่อีกต่อไป
เมื่อถึงเวลานั้นจริง อย่าว่าแต่เรื่องคุณชายสี่เลย พวกเราเป็นไม่ได้แม้แต่เศษผงของมันด้วยซ้ำ” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
“พวกเรารู้ดีว่านายกำลังจะพูดอะไร แต่เราจะทำอะไรมันได้ล่ะ” ฟูฮงซิ่วพูดพลางกัดฟันแน่น
“ทุกวงการที่มันก้าวเท้าเข้าไปนั้นล้วนแล้วแต่ใช้เทคโนโลยีชั้นสุดยอดทั้งนั้น ต่อให้อยากจะแข่งแต่ก็ไม่มีอะไรจะใช้แข่งด้วยได้
เหนือสิ่งอื่นใดคือเบื้องหลังของมันนั้นมันลึกสุดหยั่ง แม้แต่กฎหมายและนโยบายภาครัฐก็ยังสนับสนุนในทันที เห็นอย่างนี้แล้วนายจะเอาอะไรไปสู้” ฮัวหยุนชูพูดออกมา
“มันมันเตรียมตัวมาดีในทุกย่างก้าวที่มันจะไป แน่นอนว่าตอนนี้มันกำลังมุ่งเน้นไปในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
การที่นายเอาเรื่องที่มันเตรียมตัวไว้ดีแล้วไปสู้อย่างการสั่งห้ามเข้าร่วมงานจัดแสดงนั่นย่อมไม่เป็นผล
การที่นายไปทำแบบนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้มันเจ็บปวดแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน ไม่สิมันไม่ใส่ใจนายด้วยซ้ำนี่
ฉันเชื่อว่าต้องมีใครสักคนที่บงการมันอยู่ นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะไม่รู้ว่าเบื้องหลังของมันเป็นใคร
แม้แต่การที่กลายเป็นผู้นำทางด้านนี้หรือแม้แต่การที่เทคโนโลยีที่มันครอบครองจะต้องเป็นสิ่งนำพาประเทศไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ในตอนนี้ปีกของมันนั้นแข็งแกร่งจนยากจะตัดทิ้งไปแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการเงิน
ในตอนนี้สิ่งที่เราควรมองไม่ใช่แค่เรื่องการเงินของมัน พวกเราต้องทำความเข้าใจว่าทำไมมันถึงพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว หากเราเข้าใจได้ล่ะก็ เราก็จะรู้ถึงตัวตนของศัตรูที่แท้จริง” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
“นายหมายความว่ายังไง” ฮัวหยุนชูถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ
“นายไม่คิดว่ามันแปลกๆบ้างเหรอที่เด็กหนุ่มบ้านนอกแบบนั้นจะก้าวมาได้ไกลถึงขนาดนี้ ก็จริงที่หมอนั่นจะได้รับการยอมรับจากตระกูลสาขาของตระกูลหวังตอนมหาวิทยาลัยก็ตาม
แต่นั่นคือหมอนั่นเป็นที่ยอมรับทั้งๆที่ไม่แม้แต่ต้องแต่งงานเข้าตระกูลเลยนะ เพียงแค่เรียนจบ มันก็ประสบความสำเร็จด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์นักฝึกสัตว์ ปรมาจารย์กู่จิ้ง เทพเจ้าโรงครัว ปรมาจารย์ภาพวาด ปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ ปรมาจารย์นักเขียนอักษร ปรมาจารย์ภาพเขียนพู่กันจีน และอีกหลายๆอย่าง ความสำเร็จเหล่านี้เรียกได้ว่าสูงล้ำกว่าอัจฉริยะด้วยซ้ำ
อย่างเช่นด้านกู่จิ้ง นายเคยเห็นใครสักคนไปถึงขั้นนั้นไหมล่ะ หรือแม้แต่ด้านการทำอาหาร เทคนิคของหมอนั่นราวกับว่าเป็นพ่อครัวของสวรรค์ที่ร่วงหล่นลงมา
ยกตัวอย่างให้อีกอันก็ได้อย่างนักฝึกสัตว์ เคยมีใครขึ้นไปขี่บนอินทรีย์ทองแบบนั้นได้รึเปล่า ถ้ายังไม่พอ ด้านศิลปะการต่อสู้นั่นอีก เคยมีใครสักคนทำได้ไหม
ไหนจะเรื่องแพทย์ห่าเหวอะไรนั่นที่ทำให้ผู้ใหญ่ตัวสูงได้แม้แต่รักษาคนเป็นโรคALSได้นั่นอีก
นี่ยังไม่ได้พูดถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆที่หมอนั่นคิดค้นอย่างผงเสริมความงาม ผงกระชับทรวงอก ผงลดความอ้วน แผงพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบประสาทเทียม ระบบห้าจี ระบบปัญญาประดิษฐ์ สมาร์ทโฟนกาลเวลา รถยนต์กาลเวลา และของอย่างอื่นอีก
พวกนายไม่เคยคิดจริงๆเหรอว่าคนที่มีฐานชีวิตมาแบบนั้นอยู่ๆจะมาทำแบบนี้ได้ยังไง” หยวนหยินหนิงพูดออกมาราวกับระบายความอึดอัดใจของตัวเองที่อัดอั้นไว้มานาน
นี่ทำให้ฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วอดไม่ได้ที่จะพยักหน้ารับความคิดนี้ แม้แต่หลี่เชิงที่นิ่งเงียบไปก่อนหน้านี้ก็ต้องพยักหน้ารับตามไปด้วย
พวกเขานั้นต่างก็คิดว่าการคงอยู่ของซูจิ้งนี้ช่างแปลกประหลาดเกินจะรับได้ ยิ่งได้ฟังคนที่มีความคิดที่เหมือนกันเช่นนี้จึงเห็นพ้องในทันที
“ฉันคิดว่าหมอนั่นต้องได้พบอะไรบางอย่างที่เหนือกว่าคนบนโลกนี้จะคาดเดาได้” หยวนหยินหนิงได้พูดความคิดของเขาที่สรุปไว้ออกมา
“แต่ฉันก็นึกไม่ออกนะว่าหมอนั่นจะไปเจออะไรที่ทำให้หมอนั่นกลายเป็นตัวตนแบบปัจจุบันนี้ได้” ฟูฮ่งซิ่วพูดออกมา
“ฉันเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน ฉันพยายามแล้วแต่ก็ยังขุดไม่เจออะไรเลยแม้แต่น้อย ฉันรู้แต่ว่าใครก็ตามที่เป็นปฏิปักษ์กับหมอนั่นไม่เคยมีใครจบด้วยดีเลยสักราย
ที่หนักที่สุดก็คงจะเป็นจ้าวฉือหลงแห่งตระกูลจ้าวที่ตัดสินใจกระโดดตึกฆ่าตัวตายไป แม่ของหมอนั่นถึงกับโกรธแค้นจนพลั้งมือฆ่าเกาจุนเต็งไปทำให้เกือบจะเข้าคุก นี่เรียกได้ว่าฆ่าตามให้ไปเป็นเพื่อนกันก็ว่าได้ เรื่องนี้มีแต่เสียกับเสียจริงๆ
แถมทั้งซูติฉือคนที่มีเรื่องกับจ้าวฉือหลงและฉือชิงที่เกาจุนเต็งสนใจในตอนนั้น ในที่สุดก็อยู่รอดปลอดภัยโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนแม้แต่น้อย นี่สิคือสิ่งที่แปลกที่สุด” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
“นี่นายจะหมายความว่าซูจิ้งเป็นคนฆ่าจ้าวฉือหลง” ฮัวหยุนชูรีบบอกความคิดของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“นี่ก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้น หากว่านี่เป็นเรื่องจริงล่ะก็แสดงว่าซูจิ้งมีกองกำลังที่ท้าทายสวรรค์ที่เรียกได้ว่าแม้แต่พวกเราก็เกินกว่าจะคาดเดาได้
นี่จึงเป็นเหตุที่พวกเรานั้นไม่ควรจะไปเผชิญหน้ากับมันตรงๆ หากไม่อย่างนั้นล่ะก็พวกเราจะตกในอันตรายอย่างแน่นอนหากหมอนั่นทนไม่ไหว”
“นายพูดมาขนาดนี้เพียงเพื่อจะให้พวกเราอยู่เฉยๆเนี่ยนะ” ฟูฮงซิ่วยกคิ้วสูงขึ้นข้างหนึ่งอย่างสงสัย
“ไม่ไม่ไม่ใช่อย่างแน่นอน ที่ฉันจะสื่อก็คือไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามอย่าได้ออกหน้าเองต่างหาก เพราะการที่พวกเราออกหน้าเองแน่นอนว่าจะทำให้พวกเรานั้นเล่นงานมันได้ยากแน่ๆ
อย่างเราก็ตาม พวกเราสามารถลอบสืบเรื่องของหมอนั่นได้ว่าทำไมหมอนี่ถึงได้ถือครองเทคโนโลยีที่สูงล้ำไว้ได้ขนาดนั้น และควรจะลอบทำอย่างอื่นด้วยเช่นเดียวกัน” หยวนหยินหนิงพูดออกมา นี่ถือว่าเขาได้พูดคำสำคัญในการเรียกนายน้อยทั้งสี่มาคุยกันในครั้งนี้เลยก็ว่าได้ หลังจากนั้นเขาก็พูดต่อว่า
“ฉันก็ไม่รู้นะว่าพวกนายจะคิดยังไงหากฉันจะบอกว่าในช่วงสองปีมานี้ ไม่เพียงซูจิ้งเท่านั้นที่พัฒนาขึ้นมาเหนือกว่าที่คนทั่วไปสมควรจะทำได้”
“ห้ะ ยังมีคนอื่นอีกเหรอ ใครกัน” ฮัวหยุนชูถามออกมา
“เท่าที่ฉันคิด ในตอนนี้มีกองกำลังสี่ฝ่ายที่ลอบพัฒนาตัวเองอย่างลับๆและเหนือกว่ากองกำลังอื่นๆ
หนึ่งคือซูจิ้ง
อีกหนึ่งคือมนุษย์แมงมุมของจีนเรา ฉันเชื่อว่าพวกเนายยังจำความแปลกแยกของหมอนั่นได้
อีกหนึ่งคือพวกสัตว์ประหลาดเกล็ดงู(กองโจรเกล็ดงู)ที่มีเทคโนโลยีด้านชีวภาพที่เหนือล้ำกว่าใครในโลก
อีกกลุ่มหนึ่งนั้นพึ่งจะเผยร่องรอยออกมาเมื่อไม่นานมานี้เอง ฉันไม่รู้ว่านายจะจำได้รึเปล่าที่มีอยู่ครั้งหนึ่ง มู่หรงเซียนเอ๋อโดนขโมยข้อมูลและถูกใส่ร้ายป้ายสีอย่างนัก
เรื่องนั้นเอาจริงๆนี่ไม่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปกติอย่างแน่นอน เรื่องที่ป้ายสีมานั้นต่อให้เป็นคนโง่ก็ยากที่จะเชื่อได้ แต่ในครั้งนั้นมันหนักหน่วงจนถึงขั้นซูจิ้งต้องออกโรงขี่อินทรีย์ทองไปจัดการด้วยตัวเอง
เรื่องนั้นฉันได้สืบสวนมาแล้วว่าตอนนั้นพบตัวคนร้ายแล้วแต่อยู่ๆคนร้ายก็หายไปราวกับภูตผี และจากการตรวจค้นที่นั่นเองก็พบกับหลักฐานแปลกๆมากมายเลยทีเดียว” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
ทั้งฟูฮงซิ่วและฮัวหยุนชูที่ได้ยินก็อดจะแสดงความตื่นเต้นออกมาทางสายตาที่เป็นประกายไม่ได้ มีเพียงหลี่เชิงเท่านั้นที่กำลังกระพริบตาปริบๆโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
เรียกได้ว่าการสืบสวนของหยวนหยินหนิงในใครนี้นั้นทั้งลึกและวิเคราะห์มาได้ถูกทางแล้วจริงๆ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขานั้นคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน นั่นก็คือ ในตอนนี้กองกำลังทั้งหมดนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวพันธุ์กัน นั่นก็คือซูจิ้ง
GGS:บทที่ 1043 พันธมิตร?
“ถ้าถือว่าเรื่องที่นายบอกออกมาว่านอกจากซูจิ้งแล้ว ตอนนี้ยังมีกองกำลังลับอยู่อีกสามกลุ่มนั้นเป็นจริงล่ะก็ มันก็ยังติดปัญหาอยู่นะ พวกเขานั้นไม่ได้เผยตัวมานานมากแล้วทำให้ไม่สามารถหาร่องรอยที่พอจะติดต่อพวกนี้ได้
แม้แต่เว่ยเสี่ยวหยวน นาหลันเฟย และเลาชงที่เคยถูกมนุษย์แมงมุมช่วยเอาไว้และนับถือหมอนั่นมากก็ยังจนปัญญา
ส่วนมู่หรงเซียนเอ๋อนั้นยังไม่รู้ว่าตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองตกเป็นเป้าหมายของคนกลุ่มนี้ แถมซูจิ้งยังออกหน้ามาแก้ไขปัญหาให้อีก
ไม่เพียงเท่านั้น มันยังออกมาช่วยตอนที่เว่ยเสี่ยวหยวน นาหลันเฟย และเลาชงเกิดปัญหาเรื่องข่าวเสียหายของมนุษย์แมงมุมนั่นอีก
หากว่าพวกเราสืบเรื่องของกองกำลังทั้งสามจากคนพวกนี้ แน่นอนว่าซูจิ้งต้องไหวตัว” ฟูฮงซิ่วพูดออกมา
“ที่ซูจิ้งมีสายสัมพันธ์อันดีกับพวกนั้นอาจจะคิดแบบเดียวกับเราก็ได้ว่าอาจจะพบอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกองกำลังทั้งสามก็เป็นได้ หากอยู่ๆคนเหล่านั้นโผล่หางออกมาจริงแน่นอนว่ามันต้องรู้เรื่องนี้
กับเรื่องนี้เองฉันก็ใช้เวลาอยู่นานแล้วเหมือนกัน แต่เพียงกำลังของฉันนั้น มาถึงตอนนี้ก็ยังหาวิธีติดตามกองกำลังอีกสามฝ่ายนั้นยังไม่ได้เลย นี่คือเหตุผลที่ฉันเรียกพวกนายมา
หากว่าพวกเราร่วมมือกันล่ะก็ พวกเราจะสามารถเปิดเผยให้โลกนี้ได้รับรู้ หรือทำได้แม้แต่การแกะลอยไปถึงพวกนั้นได้
เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เว่ยเสี่ยวหยวน นาหลันเฟย เลาชง มู่หรงเซียนเอ๋อ หรือคนอื่นๆจะจับพิรุธได้ หรือแม้แต่ซูจิ้งจะรู้เรื่องและลงมือด้วยตัวเองก็ตาม แต่ตราบใดที่พวกเราทำการสืบสวนเป็นการลับแล้วให้คนอื่นออกหน้าแทน ต่อให้สืบยังไงก็ไม่มีทางมาถึงพวกเรา” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
“พี่หยวนนี่… พี่เคยลองมาแล้วเหรอ” ฮัวหยุนชูรีบถามออกมาทันที
“อืม..ฉันจะไม่ปิดบังก็แล้วกันว่าฉันเคยลองมาแล้ว ไม่รู้ว่าพวกนายเคยได้ยินข่าวที่ว่าเพื่อนของซูจิ้งที่ชื่อว่าเสี่ยวรุยถูกลักพาตัวมาบ้างรึเปล่า
ในเรื่องนั้นเองเป็นฉันที่เป็นคนตั้งค่าหัวหมอนั่นในตลาดมืดและเป็นฉันอีกเช่นกันที่ได้เลือดของหมอนั่นมา” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ทั้งฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วได้สำลักออกมาในทันที ในตอนนั้นทั้งสองจำได้ว่าซูจิ้งยังไม่ได้ถูกนับเป็นคุณชายสี่ด้วยซ้ำแต่กลายเป็นว่าหยวนหยินหนิงหมายหัวซูจิ้งไว้แล้ว นี่หมายความว่าหยวนหยินหนิงนั้นหมายหัวซูจิ้งไว้ตั้งนานแล้วน่ะสิ
“ที่ฉันบอกออกมานี่เป็นเพราะว่าเชื่อใจพวกนายหรอกนะ พวกเรานั้นสามารถร่วมมือกันเพื่อที่จะเล่นงานซูจิ้งได้ พวกนายคิดว่ายังไง” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยท่าทีจริงจังและมองไปยังหลี่เชิงในทันที นั่นก็เพราะตั้งแต่ต้นยันจบ มีเพียงหลี่เชิงเท่านั้นที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาจะอดนึกสงสัยในความคิดของหลี่เชิงในตอนนี้
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ผมเอาด้วย” ฮัวหยุนชูพยักหน้ารับ
“ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกเราจะไม่ได้ร่วมมือกันได้ด้วยดีสักเท่าไหร่นัก แม้แต่จะมีหลายๆครั้งที่ต้องมาตีกันเองก็ตาม แต่ในเมื่อเป้าหมายในครั้งนี้คือซูจิ้งแน่นอนว่าพวกเราต้องร่วมมือกัน” ฟูฮงซิ่วพูดออกมาในทำนองเห็นด้วยอย่างแน่นอน
“…….เรื่องนี้ฉันคงต้องขอคิดก่อนล่ะนะ” หลี่เชิงได้เกาหัวตัวเองออกมาราวกับอยากจะปฏิเสธอยู่เต็มแก่แต่บอกปัดไม่ลง นี่ทำให้ฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิงถึงกับขมวดคิ้วในทันที
“หลี่เชิง อย่าคิดว่านี่เป็นเรื่องไกลตัวสิเฮ้ย อย่าคิดว่าครอบครัวของนายเป็นตระกูลที่ควบคุมธุรกิจสื่อสารเลยไม่ได้ผลกระทบอะไรจากซูจิ้ง
ด้วยการที่กลุ่มทุนห้วงเวลานั้นมีระบบปัญญาประดิษฐ์ อีกไม่นานมันจะส่งผลกระทบกับตระกูลนายแน่ๆ เป็นไปได้เลยว่าหมอนั่นจะไม่ก้าวเข้าไปในวงการสื่อสารนะ สักวันหนึ่งยังไงหมอนั่นก็ต้องเข้าไปมีส่วนด้วยอยู่ดี” ฮัวหยุนชูพูดออกมาอย่างอารมณ์เสีย
“อะแฮ่ม ฉันคิดว่าพวกนายก็น่าจะรู้นะว่าฉันขี้เกียจที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับตระกูลน่ะ นี่ทำให้ตำแหน่งของฉันไม่ได้ดีเด่และมีพลังพอที่จะช่วยเหลือพวกนายได้ กับเรื่องนี้ยังไงซะฉันก็ต้องไปหารือกับพ่อของฉันก่อน ตอนนั้นแหล่ะฉันถึงจะตัดสินใจได้” หลี่เชิงได้พูดออกมาพลางยักไหล่ราวกับว่าต่อให้เขาเข้าร่วมก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ
ทั้งฮัวหยุนชู ฟูฮ่งซิ่ว และหยวนหยินหนิงพยายามกดดันหลี่เชิงทุกวิธีทางและคำพูดที่พวกเขาจะนึกออก อย่างไรก็ตามหลี่เชิงนั้นก็ยืนยันว่ายังไม่สามารถตัดสินใจได้อยู่ดี
กับเรื่องนี้ แม้ทั้งสามจะรู้สึกไม่ค่อยดีราวกับจะเกิดรางร้ายก็ตาม แต่ด้วยเหตุผลที่หลี่เชิงพูดมานั้น พวกเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความจริง ทำให้พวกเขาทำได้เพียงให้เวลาหลี่เชิงไปตัดสินใจเท่านั้น
เมื่อหลี่เชิงคิดว่าการคงอยู่ของตัวเองทำให้เสียบรรยากาศก็เลยขอตัวออกไปในทันที
“นี่เราจะไม่พูดโน้มน้าวกับหมอนั่นอีกสักหน่อยเหรอ” ฮัวหยุนชูพูดออกมา
“ฉันว่าไม่ต้องแล้วล่ะ ความจริงฉันเองก็คิดไว้แล้วว่าหมอนั่นไม่อยากจะเข้าร่วมกับเราเพราะหมอนั่นไม่อยากจะสร้างปัญหาให้ตระกูล ที่ฉันเรียกเขามาด้วยก็แค่เผื่อฟลุ๊คเท่านั้นเอง
อีกอย่าง ฉันทำเพื่อให้หมอนั่นรู้ว่าตอนนี้เราร่วมกันแล้วหมอนั่นจะได้ไม่เข้าร่วมกับซูจิ้ง แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
“โคตรวุ่นวายเลยเว้ยยยยย….” หลังจากหลี่เชิงขึ้นไปบนรถของตัวเอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดสิ่งที่อึดอัดใจออกมา
“นายน้อยเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ชายวัยกลางคนที่เป็นคนขับรถที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
หลี่เชิงก็ได้บอกเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้คนขับรถของเขาฟัง นี่แสดงว่าเขานั้นเชื่อใจคนขับรถของเขาคนนี้อย่างมาก
เมื่อได้ยินเรื่องราว คนขับรถจึงได้ถามออกมาว่า “นายน้อยครับ เท่าที่ฟังดู ดูเหมือนว่านายน้อยเองก็อยากจะร่วมมือกับพวกเขานี่นา แถมเรื่องซูจิ้งเองก็ถือได้ว่าถ้าเกิดขึ้นจริงจะส่งผลเสียกับเราไม่น้อยเลย แล้วทำไมถึงไม่ร่วมมือล่ะครับ”
“…เฮ้อออออ อาหารที่ฉันชอบที่สุดนั้นมีซูจิ้งเป็นคนทำ ไวน์ที่ฉันชื่นชอบนั้นผลิตและจำหน่ายโดยกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศ เพลงที่ฉันชอบที่สุดเขาก็เป็นคนเล่น โทรศัพท์ที่ฉันชอบที่สุดก็เป็นของกลุ่มทุนฯ แม้แต่รถยนต์ไร้คนขับที่ฉันเฝ้ารอมานานก็ยังเป็นของกลุ่มทุนฯนั่นอีก ไหนลองบอกเหตุผลที่ฉันต้องไปตีกับหมอนั่นหน่อยสิ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็จริงนะครับ หากเป็นผมเองก็คงเกลียดไม่ลงเหมือนกัน” คนขับพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ซูจิ้งนั้นไม่ได้จัดการได้ง่ายๆอย่างที่พวกนั้นพูดหรอก ลองนึกดูสิว่าการที่เขากล้าที่จะพัฒนาธุรกิจมากมายอย่างบ้าคลั่งแบบนี้
แน่นอนว่าย่อมต้องรู้ตัวดีว่าหมอนั่นเองก็ต้องสร้างศัตรูไว้อย่างแน่นอน แม้แต่พวกเรา ในภายภาคหน้าก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น
ถึงแม้จะบอกว่าเรื่องแบบนี้อาจจะยังไม่แน่ไม่นอนในอนาคต แต่ไอ้การที่ต้องไปหาเรื่องหมอนั่นก่อนจะมีเรื่องเกิดขึ้นนี่ล่ะก็ อย่างน้อยๆสำหรับฉันแล้วไม่ใช่แนวล่ะนะ” หลี่เชิงพูดออกมา
“งั้นตอนนี้ก็ได้แค่ดูท่าทีสินะครับ” คนขับรถพูดออกมาอย่างรู้ใจ
“อืม ก็เหลือแค่ทางเดียวเท่านั้นแหล่ะ”
ซูจิ้งในตอนนี้นั้นตัวเขาเองย่อมไม่รู้ว่ามีใครบางคนกำลังเล็งหัวเขาเอาไว้อย่างแน่นอน ต่อให้รู้ก็คงจะได้แต่มองเท่านั้น นั่นก็เพราะตัวเขานั้นมีแต่คนอิจฉามากมายจนไม่คิดจะสนใจอย่างแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดคือเขานั้นยุ่งสุดๆ
นี่จึงทำให้เขานั้นเลือกที่จะไม่สนใจว่าลับหลังเขาแล้วจะมีสักกี่คนที่หมายหัวไว้ แต่หากมีใครก็ตามที่ก้าวข้ามเส้นที่เขาขีดเอาไว้ล่ะก็ ซูจิ้งจะโกรธแบบสุดๆและเขานั้นจะลงสนามในทันที นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขานั้นไม่ได้ใส่ใจที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากธุรกิจของเขา
ในตอนนี้ ซูจิ้ง ได้ย่อยขยะห้วงเวลาฯสุดยอดทหารจ้าวนักรบที่เขาไม่ต้องการไปหมดแล้ว เขานั้นในตอนนี้ยืนอยู่ในพื้นที่ทั่วไปและกำลังจ้องมองไปยังกิ้งก่าเกล็ดงูที่ถูกกักขังไว้ด้วยสายตาเสียดายอย่างอดไม่ได้
กิ้งก่างูเหล็กนี้ขนาดความยาวตลอดลำตัวนั้นยาวกว่าสิบเมตรเป็นอย่างน้อย นอกจากความแข็งแกร่งที่สุดยอดแล้วมันยังมีเกล็ดเป็นเกราะที่ยากจะทลวง แต่ในตอนนี้ตัวมันนั้นตกอยู่ในสภาพเกือบตายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ช่วงหลายวันมานี้ ซูจิ้งได้ตัดขาดแหล่งอาหารของมันทุกทางทำให้ตัวมันนั้นหิวจนหมดแรงมาหลายวันแล้ว ความจริงเขาเองก็ลองที่จะลอบเข้าไปเพื่อที่จะสังหารมันแล้ว
แต่ด้วยความเป็นสัตว์ร้ายที่ป่าเถื่อนของมันทำให้มันฮึดสู้เขาได้ทุกครั้งๆไป และด้วยความเป็นสัตว์ร้ายนี้เองที่ทำให้เขานั้นใช้พลังจิตกับมันไม่ได้ เรียกได้ว่าเจ้านี่อึดถึกทนกว่าหมึกยักษ์หัวกลมตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
“เยี่ยม ยอมซักที กิ้งก่างูเหล็กตัวนี้ป่าเถื่อนมากเกินไป หากควบคุมไม่ได้ล่ะก็มันก็ไม่ได้ต่างจากภัยพิบัติของโลกนี้ นอกจากนี้เจ้านี่ยังใหญ่เกินกว่าที่จะเก็บไว้ในกระเป๋ากักอสูร การจะปล่อยให้เจ้านี่ลอยชายไปมาย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
จะดีหน่อยก็ตรงที่เนื้อของมันนอกจากจะอร่อยสุดยอดและมีผลดีต่อร่างกาย หากฆ่ามันได้ต้องได้เนื้อเยอะแน่ๆเพราะตัวมันใหญ่มาก ที่ดีที่สุดคงเป็นเกล็ดของมันนี่แหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาไม่หยุดในขณะที่กำลังตัดเนื้อของกิ้งก่าเกล็ดงูออกมาอีกชิ้นหนึ่งและนำไปย่าง
ก่อนหน้านี้เขาได้เฉือนเนื้อของมาและลองกินดูก็พบว่าเนื้อของมันอร่อยมากและทำให้ร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย
สารอาหารที่เขาได้รับนั้นถึงแม้จะไม่เทียบเท่ากับข้าวสีน้ำเงินแต่มันกลับเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายของเขาเพียงไม่นานหลังจากกินไป
นี่ขนาดเขาไม่ยอมให้มันได้กินอะไรมาแล้วหลายวันยังมีสรรพคุณดีขนาดนี้เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งยังไม่คิดจะฆ่ามันในตอนนี้
เขามีแผนที่จะขุนมันแล้วฆ่าตอนนั้นจะดีที่สุด ด้วยรสชาตินี้ทำให้เขาคาดหวังกับเนื้อของกิ้งก่างูเหล็กที่มีสภาพสมบูรณ์อย่างช่วยไม่ได้จริงๆ
เพียงพริบตาเดียว สามวันผ่านไป ในช่วงหลายวันมานี้เขาไม่ได้มีอะไรทำเป็นพิเศษและไม่ขยะห้วงเวลาฯที่ต้องจัดการขึงได้แต่ทำนู่นทำนี่ไปเรื่อย
ในตอนเช้าตรู่เวลาตีสามถึงตีสี่ ซูจิ้งตื่นขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยินเสียงจากฉิงหยุนว่า “ท่านเจ้าของ ขยะห้วงเวลาฯมาแล้วเจ้าค่ะ” ซูจิ้งจึงได้ลุกขึ้นและตรงไปยังชั้นหนึ่งในทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น