Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1034-1039
GGS:บทที่ 1034 หวั่นไหว
ในขณะที่บรรยากาศภายในงานกำลังขึ้นถึงขีดสุด พิธีกรก็ได้พูดออกมาว่า “นอกจากรถคันนี้จะมีสุดยอดเครื่องยนต์สุดแสนจะล้ำหน้าและใช้พลังงานสะอาดอย่างแท้จริงแล้ว
รถสปอร์ตกาลเวลาคันนี้ยังได้ติดตั้งหนึ่งในระบบที่พวกเราภูมิใจ นั่นก็คือระบบปัญญาประดิษฐ์”
เพียงได้ยินคำพูดนี้ เหล่าผู้ชมที่ได้ยินอดที่จะส่งสายตาที่เป็นประกายออกมาเสียไม่ได้ ด้วยความช่วยเหลือจากระบบปัญญาประดิษฐ์นี้จะกลายเป็นรถของคนคนเดียวที่ไม่สามารถมีใครขับอีกได้
นักข่าวคนหนึ่งที่ได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “ถ้าแบบนี้หมายความว่ารถคันนี้จะมีระบบนำทาง ระบบป้องกันอุบัติเหตุ และระบบป้องกันการขโมย และระบบยิบย่อยที่ถูกจัดการด้วยระบบอัจฉริยะใช่รึเปล่าครับ”
“หากจะให้พูดอย่างนั้นมันก็ใช่นะครับ แต่มันก็ยังมีอย่างอื่นอีก…” พิธีกรได้ยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาได้สูดหายใจเข้าลึกๆและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันภูมิใจว่า “คุณอาจจะลืมไปแล้วหรืออาจจะนึกไม่ถึงนะครับ แต่ด้วยการที่ทางเรานั้นได้แสดงความสุดยอดของระบบ5จีไปเมื่อสักครู่นี้
พวกเราย่อมไม่มีทางเลยที่จะละเลยการใส่ระบบนี้เข้าไปในกาลเวลา001 ใครหลายๆคนในที่นี้อาจจะเริ่มคิดออกแล้วว่าผมนั้นจะพูดถึงอะไร
ใช่แล้วครับที่ผมจะบอกพวกคุณก็คือ ระบบไร้คนขับ ด้วยการที่ระบบ4จีนั้นจะมีการหน่วงเวลาในการรับส่งข้อมูลที่นานมากทำให้เรื่องนี้แทบไม่ต้องพูดถึงในความเป็นไปได้จริงเลย
แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเราได้มีระบบ5จีที่มีการหน่วงเวลาในการรับส่งข้อมูลที่น้อยกว่ามาก นี่จะทำให้การใช้ระบบในการควบคุมรถยนต์ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป
ด้วยระบบไร้คนขับนี้หากว่าได้ใช้กับระบบ4จีล่ะก็ ต่อให้รถยนต์แล่นไปด้วยความเร็วเพียงหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง หากว่ามีอะไรเกิดขึ้น
ระบบของรถจะไม่สามารถตัดสินใจที่จะหยุดรถได้อย่างทันท่วงที หรือแม้แต่การหักรถหลบอย่างกระทันหันก็ยากจะทำได้
แต่กับระบบ5จีนี่แล้วนั้น เมื่อผนวกรวมเข้ากับระบบปัญญาประดิษฐ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาของพวกเราแล้ว ระบบไร้คนขับนี้จะปลอดภัยเสียยิ่งกว่ามีคนขับรถซะอีก”
เมื่อได้ยินดังนี้ ผู้คนที่ได้ยินทั้งภายในงานและผ่านช่องทางสตรีมก็ทำได้เพียงสูดหายใจเข้าลึกๆเท่านั้น
ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้แล้วว่ารถยนต์กาลเวลา001คันนี้คือผลิตภัณฑ์ที่รวบรวมเอาสุดยอดเทคโนโลยีถึงสี่อย่างเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสุดยอดเครื่องยนต์กาลเวลา สุดยอดระบบพลังงานแสงอาทิตย์กาลเวลา ระบบ5จี ระบบปัญญาประดิษฐ์กาลเวลา หากว่ามีใครสักคนบอกว่านี่ยังไม่ใช่สุดยอดรถล่ะก็ พวกเขาจะพร้อมใจกระโดดเตะยอดหน้าคนๆนั้นในทันที
แนวคิดรถยนต์ไร้คนขับนี้เองก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด หากจะให้พูดกันตรงๆก็คือแต่ละประเทศทั่วโลกนั้นพยายามแข่งขันกันเพื่อที่จะทำให้ระบบนี้สำเร็จก่อนชาติใดใจโลกเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คำพูดนี้จะทำให้รู้สึกว่าอีกไม่นานก็น่าจะมีรถยนต์ไร้คนขับไว้ใช้กันทั่วไป แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้ยังห่างไกลอีกพอสมควร
หากก่อนหน้านี้ซูจิ้งได้ไปจัดแสดงผลิตภัณฑ์ทั้งสามนี้ที่งานจัดแสดงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนานาชาติที่กำลังจัดที่เมืองปักกิ่งในตอนนี้ล่ะก็
อย่าว่าแต่เขาจะได้จัดแสดงผลิตภัณฑ์ของเขาทั้งสามนี้เลย แค่เข้าไปเหยียบในงานก็คงจะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับระบบปัญญาประดิษฐ์โดยไม่ต้องทำอะไรแล้ว
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงระบบ5จีหรือแม้แต่รถยนต์ไร้คนขับเลยแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะด้วยความที่มันล้ำหน้ามาก มากซะจนสังคมและกฎหมายไม่กล้าที่จะใช้และยอมรับมันได้อย่างง่ายๆ
บอกได้เลยว่าการจะใช้จริงได้นั้น ซูจิ้งจะต้องเปิดศึกหนักกับหลายฝ่าย แม้แต่ด้านกฎหมายและภาครัฐ ก็อาจจะทำให้เขาต้องวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้ไปอีกนานพอสมควร
“พระเจ้าเถอะ พวกเขาใช้เทคโนโลยีของตัวเองมาประยุกต์ใช้สิ่งต่างๆได้อย่างสุดยอดจริงๆ”
“ระบบไร้คนขับนี่มันเหมือนกับนิยายวิทยาศาสตร์เลยนะ นี่พวกเราจะได้เห็นพวกมันในช่วงชีวิตนี้จริงๆแล้วใช่ไหม”
“ลองคิดดูสิ ระบบคนส่งสาธารณะไร้คนขับ แท็กซี่ไร้คนขับ รถทุกๆคนที่ล้วนแล้วไร้คนขับ แค่คิดก็สั่นไปหมดแล้ว”
ในตอนนี้ข่าวของรถยนต์กาลเวลาไม่เพียงจะทำให้ทั้งประเทศต้องตกตะลึงแล้ว ในตอนนี้ทั่วทั้งโลกเองก็ยังต้องสั่นสะเทือน
“ซูหยา พี่ชายของเธอนี่เทพจนไม่รู้จะเทพยังไงแล้วนะ” เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังเฮโลกันเข้าไปหาซือหยาที่กำลังนั่งคุยกับเพื่อนๆของตัวเองอยู่ที่ห้องเรียนในโรงเรียนมัธยมต้นลำดับที่หนึ่งแห่งเมืองจองหยุน
ฉากนี้ทำให้ซูหยาอดไม่ได้ที่จะขำการกระทำของเหล่าเพื่อนๆของเธอ หลังจากนั้นเธอก็ได้ถามออกมาว่า “เกิดอะไรขึ้นล่ะนั่น”
“นี่พวกนายจะรีบไปไหนเนี่ย โตกันขนาดนี้แล้วยังทำท่าทางตื่นๆเป็นเด็กๆไปได้” ถังเสี่ยวหยูได้พูดออกมาด้วยท่าทางราวกับจะเตรียมก่นด่า
”จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง ก็พี่ชายของเธอนั้นสุดยอดมากเลย ตอนนี้เขาเพิ่งจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทเขา ทั้งสุดยอดเครื่องตัดเลเซอร์ ระบบ5จี และที่สำคัญที่สุดรถยนต์กาลเวลาที่รวบรวมสุดยอดเทคโนโลยีของบริษัทเอาไว้ตั้งหลายอย่าง”
เหล่าเด็กหนุ่มได้พยายามแย่งกันพูด แต่ไปๆมาๆพวกเขานั้นเหมือนจะพูดประโยคเหมือนๆกันเป๊ะๆอย่างไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำ
“ห้ะ นี่พวกนายพูดอะไรกันเนี่ย” นักเรียนคนอื่นๆที่อยู่รอบนอก เพียงได้ยินก็ถึงกับหูผึ่ง และทุกคนในที่นั้นได้รีบเข้าไปหาข้อมูลในอินเตอร์เนตผ่านทางสมาร์ทโฟนของตัวเองในทันที
และในทันทีทุกคนได้เห็นข่าวของซูจิ้ง พวกเขาต่างก็ตกตะลึงและตาลุกวาวไปพร้อมๆกัน
“ว้าวววว อีกไม่นานฉันก็จะได้ใช้ระบบ5จีแล้วสินะ สุดยอดดดดดดด” สาวน้อยคนหนึ่งได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ระบบไร้คนขับนี่ บอกเลยว่ายังซะฉันต้องหามาไว้ใช้สักคันให้ได้” ถังเสี่ยวหยูได้พูดขึ้นมาพร้อมทั้งกระโดดโลดเต้น
ซูหยาที่เห็นข่าวนี้เองก็ทำได้เพียงแค่ถอดถอนหายใจออกมาอย่างยอมรับเสียไม่ได้ในความเก่งกาจของซูจิ้งพี่ชายของเธอผู้นี้
ในช่วงสองปีมานี้ พี่ชายของเธอได้ทำการปฏิวัติวงการต่างๆออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ถึงแม้ว่าตัวเธอเองก็ยังเคยมีส่วนร่วมในการปฏิวัติวงการต่างๆของเขามาแล้วด้วยก็ตาม
แต่กับข่าวนี้ทำให้เธออดไม่ได้ที่รู้สึกภูมิใจในความเก่งกาจของพี่ชายของตัวเองที่จะปฏิวัติโลกนี้ไปในทิศทางที่ดีขึ้น
“ไม่จริงน่า…การจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์งั้นเหรอ นี่มันงานจัดแสดงสุดยอดเทคโนโลยีชัดๆ” ผู้จัดการหญิงที่กำลังนั่งอ่านข้อมูลอยู่ในห้องซ้อมร้องเพลงองมู่หรงเซียนเอ๋อได้อุทานออกมา
“เกิดอะไรขึ้น มีใครไปก่อกวนงานงั้นเหรอ” มู่หรงเซียนเอ๋อที่ได้เห็นท่าทางของผู้จัดการก็ได้หยุดร้อง ถอดหูฟัง และรีบถามออกมาในทันที
“ป่าวๆ ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก พอดีฉันอ่านข่าวงานจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯน่ะ พวกเขานั้นได้พัฒนาเทคโนโลยีบางอย่างที่ใช้กับผลิตภัณฑ์ของตัวเองที่มันล้ำมากจนฉันอดอุทานออกมาไม่ได้”
เมื่อได้ยินผู้จัดการของเธอพูดออกมาซะขนาดนั้น มู่หรงเซียนเอ๋อจึงได้เดินเข้าไปดู แต่เพียงเธอได้เห็นข่าว เธอเองทำได้เพียงนิ่งอื้งไปเฉยๆซะอย่างนั้น
“เฮ้….. กลุ่มทุนห้วงเวลาได้พัฒนาอะไรบางอย่างที่สูงล้ำเสียดฟ้าออกมาได้เลยล่ะ” ผู้จัดการสาวคนหนึ่งได้วิ่งพลางตะโกนหาใครคนหนึ่งจนทำให้ผู้คนแถวๆนั้นต้องหันไปมองอย่างสนใจ
หลังจากที่พวกเขาได้เข้าไปหาข้อมูลในอินเตอร์เนตก็ทำได้เพียงแสดงความอึ้งกิมกี่ไปทีละคนสองคน
“โอ้…พี่ชายของฉันก่อเรื่องใหญ่อีกแล้วแหะ” ฉินซูหลานที่เห็นข่าวนี้อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” โจวหลันที่ได้ยินก็ได้ถามออกมา ทั้งสองคนในตอนนี้ได้เป็นดาราของรายการทีวีร่วมกัน นี่จะเรียกได้ว่าเป็นโชคชะตาก็ว่าได้เหมือนกัน
แน่นอนว่าการที่โจวหลันมาถึงระดับนี้ได้นั้นเป็นเพราะฝีมือตัวเองล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับฉินซูหลันเลยแม้แต่น้อย
“กลุ่มทุนห้วงเวลา อืม… พวกเขาจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์นี่..แล้วยังไงล่ะ” คนที่อยู่รอบๆคนทั้งสองที่ได้ยินก็ได้แอบชำเลืองมองข่าวนี้แต่มองเห็นแค่หัวข้อข่าวเลยสงสัยจนต้องถามออกมา
“หืม? ลองอ่านเองสิ พี่ชายของฉันคนนี้ไม่รู้จะสุดยอดไปถึงไหนกันนะ” ฉินซูหลันได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่เขาจะยื่นสมาร์ทโฟนของตัวเองให้คนอื่นดู
เมื่อทุกคนได้เห็นเนื้อหาภายในข่าว พวกเขาถึงกับตกใจจนทำตาโตอย่างตื่นตะลึงกันไปหมด พวกเขานั้นล้วนแล้วแต่ทำใจเชื่อได้ยาก
นั่นก็เพราะถึงแม้พวกเขาจะคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ก็จริง แต่ก็เคยเห็นเพียงแค่จากหนังที่พวกเขามีส่วนร่วมในการถ่ายทำก็เท่านั้น
…
“แม่…เอ๊ย….” ในภัตตาคารแห่งหนิ่ง หลินฮ่าวและหลิวหยันกำลังกินข้าวด้วยกันสองคน เมื่อหลินฮ่าวได้เห็นข้อความที่ส่งมาผ่านวีแชทของเขา
เขาได้ลองเปิดดูก็พบว่าเป็นเสี่ยวรุยและฉือเล่ยได้ส่งข่าวเกี่ยวกับกลุ่มทุนห้วงเวลามาให้ดู เมื่อเขาได้เข้าไปดูก็พบเนื้อหาข่าวที่เขานั้นเพียงแค่อ่านไปได้ครึ่งเดียวก็ถึงกับสำลักจนเกือบพ่นข้าวที่อยู่ในปากออกมา
“นี่จะรีบกินไปไหนเนี่ย” หลิวหยันที่เห็นหลินฮ่าวสำลักข้าวก็ได้ทักออกมา
“อ่า….ไม่ได้รีบกินหรอก แค่อยู่ๆฉันก็ได้ไปเห็นข่าวที่สุดยอดมากจนตกใจน่ะ” หลินฮ่าวพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“อย่าบอกว่าเป็นข่าวของนายนะ” หลิวหยันที่ได้ยินก็อดจะแซวออกมาพร้อมรอยยิ้มเสียมิได้ แต่ในทันทีที่เธอเห็นข่าวนี้ เธอก็ต้องประหลาดใจจนสำรักข้าวออกมาไม่ต่างกัน
…
หลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ทำให้หลายๆคนคิดที่จะไปดูความสุดยอดของผลิตภัณฑ์ของซูจิ้งถึงแม้จะเป็นเพียงการดูวิดีโอย้อนหลังก็ตาม
แม้แต่คนที่เข้าร่วมงานจัดแสดงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับนานาชาติที่จัดขึ้นที่เมืองปักกิ่งในตอนนี้ก็ยังทนไม่ไหวที่จะรีบกลับบ้านไปเปิดดูวิดีโอดังกล่าว
คนกลุ่มนี้เรียกได้ว่าเท่ากับคนครึ่งหนึ่งที่เข้าร่วมงานนี้เลยก็ว่าได้
ส่วนคนที่เหลือนั้นไม่ใช่ว่าพวกเขานั้นไม่สนใจ แต่พวกเขาเลือกที่จะหาพื้นที่เหมาะๆภายในงานเปิดดูช่องสตรีมของกลุ่มทุนห้วงเวลาในตอนนั้นกันเลยทีเดียว
เพียงไม่นานที่เปิดดู พวกเขาก็ได้จับกลุ่มพูดคุยกันเรื่องผลิตภัณฑ์ทั้งสามของกลุ่มทุนห้วงเวลาด้วยความตื่นเต้นกันไปหมด บอกได้เลยว่าในตอนนี้ไม่มีใครสนใจงานจัดแสดงที่อยู่ตรงหน้าอีกต่อไป
นี่เท่ากับว่าเพียงแค่งานจัดแสดงผลิตภัณฑ์เล็กๆ ยังน่าสนใจกว่างานแสดงใหญ่ๆก็ว่าได้
“เกิดอะไรขี้นเนี่ย” ประธานการจัดงานที่เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็อดจะถามออกมาด้วยท่าทีประหลาดใจแบบสุดๆเสียไม่ได้
“…แค่…มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเท่านั้นแหล่ะ…เฮ้อ…” ชายคนหนึ่งได้พูดออกมาพลางถอดถอนหายใจ
“ไม่จริงน่า ไม่ว่าจะเป็นข่าวใหญ่ขนาดไหนก็ไม่น่าที่จะเทียบกับงานแสดงนี้ได้นี่นา งานที่พวกเราจัดนี่มันเป็นการรวบรวมเทคโนโลยีที่จะทำให้พวกเราก้าวไปสู่โลกยุคถัดไปได้เลยนะ”
“หึหึหึ ถ้างั้นคุณประธานคงต้องเห็นด้วยตาตัวเองแล้วแหล่ะ”
ประธานการจัดงานผู้นี้ดูๆแล้วไม่ว่ายังไงก็คงไม่เชื่อหากไม่ได้เห็นกับตา ชายคนที่พูดออกมาได้ส่งสมาร์ทโฟนของตัวเองให้ดู
ประธานจัดงานที่อ่านข่าวได้ยังไม่ถึงครึ่งนึงดี ในตอนนี้ เขาได้ยืนนิ่งเงียบราวกับพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป
ฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วที่ถึงแม้ว่าตัวเองจะยังอยู่ในงานแสดงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับนานาชาติที่เมืองปักกิ่ง
แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้เปิดดูการสตรีมของงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาตั้งแต่ต้นจนจบ
ถึงจะเป็นแบบนั้น พวกเขาก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นอยู่ดีจนต้องเลื่อนวิดีโอที่บันทึกไว้ดูใหม่ซ้ำๆ
และการดูในแต่ละครั้งทำให้ทั้งสองสีหน้าน่าเกลียดยิ่งขึ้นเป็นระดับและไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
คนอื่นๆที่เดินมาด้วยกันเมื่อได้เห็นท่าทางของคนทั้งสองที่เป็นอยู่ในตอนนี้พวกเขานั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาเหมือนกัน
ต่อให้พวกเขาจะพยายามพูดปลอบคนทั้งสอง แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะปลอบแบบไหนดี ไม่ใช่ว่าพวกเขานั้นไม่มีสถานะพอที่จะปลอบคนทั้งสองได้ แต่เป็นเพราะว่าแม้แต่พวกเขาเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน
ด้วยเหตุการณ์ในวันนี้ พวกเขาทุกคนได้รู้ซึ้งไปถึงทรวงในทันทีว่า อีกไม่นาน กลุ่มทุนห้วงเวลาจะก้าวขึ้นไปกลายเป็นสุดยอดบริษัทของโลกใบนี้ แม้แต่พวกเขาเองก็ยังต้องรู้สึกกดดันกับเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
แต่ที่หนักสุดในวันนี้ก็คงจะเป็นฟูฮงซิ่ว เพราะว่าธุรกิจรถยนต์ที่เขาภูมิใจนักภูมิใจหนาและฟูมฟักมาเป็นอย่างดี เพียงวันนี้วันเดียวก็แทบจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไปโดยปริยาย
GGS:บทที่ 1035 เอ็นไซม์และเปปไทด์
หลังจากข่าวการเปิดตัวสุดยอดผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศได้แพร่กระจายออกไปจนทำให้ทั่วทั้งประเทศและโลกหล้าได้ตื่นตะลึงกันไปหมด
เรียกได้ว่ากลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกเลยก็ว่าได้ และนี่ทำให้ชื่อกลุ่มทุนกาลเวลาและซูจิ้งเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งทั้งโลก
ด้วยเหตุนี้ทำให้กลุ่มทุนห้วงเวลาฯต้องวุ่นวายอย่างไม่ว่างมือ นี่ยิ่งส่งผลให้กลุ่มทุนฯพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้เครื่องตัดเลเซอร์ ระบบ5จี และรถกาลเวลา001 ได้ถูกผลิตออกมาพร้อมจำหน่าย
และถูกยื้อแย่งราวกับสัตว์ป่าไล่ล่ากินเลือดเนื้อ เรียกได้ว่าแทบจะหมดในทันทีที่พวกเขาประกาศขาย
ในตอนนี้กล่าวได้เลยยว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาฯเป็นสัตว์ใหญ่ยักษ์ที่ครองตลาดในทุกอย่างก้าวที่เหยียบย่ำ จนเหล่าบริษัทใหญ่ๆที่เคยครองตลาดมาก่อนหน้านี้ กลายเป็นบริษัทเล็กๆที่รอคอยวันเจ๊งไปโดยปริยาย
ด้วยการที่บริษัทใหญ่ๆเหล่านั้นไม่เคยคิดว่าผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาจะสุดยอดทั้งๆที่ทำอะไรออกมาตั้งมากมายหลากหลายขนาดนี้
ทำให้พวกเขาไม่เคยใส่ใจการคงอยู่ของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯในวงการของพวกเขาแม้แต่น้อย จนมาถึงตอนนี้ทำให้พวกเขาต้องรับผลกระทบไปเต็มๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นี่ทำให้บริษัทเหล่านี้ทั้งโอดครวญและเรียกร้องโดยไม่เคยดูว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเขาได้เคยทำมาเช่นเดียวกัน
พวกเขานั้นต้องการทำข้อตกลงเพื่อหาทางลงให้ตัวเองบ้าง ทั้งที่พวกเขาก็ไม่เคยไว้หน้าบริษัทเล็กบริษัทน้อยที่ร้องขอพวกเขาแบบนี้มาก่อน
แต่ทันทีที่พวกเขาเรียกร้องการทำข้อตกลง ไม่เพียงซูจิ้งจะไม่สนใจเท่านั้น เขายังเริ่มทำการวิจัยผลิตภัณฑ์ชิ้นอื่นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“……ทำไมนายถึงได้เปิดแผนกวิจัยเพิ่มขึ้นมาอีกล่ะ ฉันว่าพวกเราในตอนนี้ก็มีผลิตภัณฑ์ล้ำยุคมากมายจนเต็มมือกันไปหมดแล้วนะ นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีในการหยุดพักสักหน่อยเหรอ หากว่าเรายังพัฒนาแบบนี้ต่อไปฉันว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้” หวังจ้าวได้พูดออกมาในทันทีเมื่อรู้เรื่องการเปิดแผนกวิจัยใหม่ของซูจิ้ง
ทันทีเขารู้ข่าวนั้นเหงื่อของเขาก็แทบจะไหลโชลมกายในทันที ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ชอบที่กลุ่มทุนกาลเวลาพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วแบบนี้
แต่เขารู้สึกว่ามันเร็วเกินไปจนเริ่มจะตามไม่ทันแล้ว ขนาดบริษัทที่อยู่ในระดับสุดยอดร้อยอันดับของโลกก็ไม่มีบริษัทไหนเลยที่เติบโตได้เร็วแบบนี้มาก่อน
ถึงแม้ความรวดเร็วนี้จะทำให้เขานั้นตื่นเต้นก็จริง แต่เขาเองก็ยังรู้สึกเป็นกังวลเช่นเดียวกัน แต่เขาก็รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้ใช่ว่าพอบอกให้หยุดก็จะหยุดได้
มันก็เหมือนกับการขี่หลังเสือที่ขี่แล้วจะไม่สามารถลงได้จนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงต้องรีบห้ามปรามซูจิ้งเอาไว้ก่อนในช่วงที่ยังพอเป็นไปได้
ถึงแม้จะรู้ดีว่าซูจิ้งจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ แต่อย่างน้อยในฐานะที่เขาได้ขี่ม้าตัวเดียวกัน ก็ขอให้ได้พูดสักหน่อยก็ยังดี
“หืม? ทำไมล่ะ นายจัดการไม่ไหวแล้วเหรอ หรือบริษัทกำลังขาดเงิน” ซูจิ้งถามออกมา
“ไม่ใช่ว่าจัดการไม่ไหว ตอนนี้การพัฒนาของพวกเรานั้นราบลื่นมาก นอกจากแทบจะไร้คู่แข่งแล้ว พวกเรายังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเสียอีก เรียกได้ว่าพวกเราไม่ต้องทำงานหนักแต่อย่างใดและมั่นคงแบบสุดๆ
แม้แต่เงินเดือนที่เราต้องจ่ายให้กับนักวิจัยแม้มันจะดูมากมายแต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรแม้แต่น้อย แม้เราจะขยายแผนกวิจัยของนายไปอีกสักสี่หรือห้าแผนกพวกเราก็ยังไม่ขาดเงิน”
“แล้ว….นายกลัวอะไรล่ะ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้…” หวังจ้าวเองก็ถึงกับพูดไม่ออกเหมือนกันเมื่อได้ยินคำถามนี้และเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังกลัวอะไรอยู่
เขารู้แต่ว่าตามความคิดของเขานั้นกลุ่มทุนห้วงเวลาฯมีกำไรมากพอแล้ว หากว่าเรายังพัฒนาแบบนี้ต่อไปล่ะก็ อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลย แม้แต่พระเจ้ายังต้องสยบ…นั่นสิ แล้วเขาจะกลัวอะไรกัน
“แล้วพี่คิดยังไงเกี่ยวเรื่องนี้ล่ะพี่หนาน” ซูจิ้งได้หันไปหาเฉิงหนานแล้วถามออกมา
“คำพูดของประธานที่เป็นที่สิ้นสุดล่ะนะ” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ในช่วงที่ผ่านมานี้แม้เธอจะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แต่ความเหนื่อยนั้น เธอล้วนแล้วแต่เต็มใจอย่างยิ่ง ถ้าจะบอกให้ถูกคือเธอมีความสุขกับการทำงานให้ซูจิ้งแบบสุดๆไปเลย
“งั้น…ดำเนินการต่อไปแล้วกัน”ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เออเออเออ นายใหญ่สุดนี่ แม้แต่พระเจ้าก็ยังเป็นใจให้นาย ว่าแต่ คราวนี้นายจะทำอะไรต่อล่ะเนื่ย” หวังจ้าวที่ได้ยินคำพูดของเฉิงหนานก็หมดอารมณ์ที่จะพูดเรื่องนี้ต่อไปอีก เพื่อไม่ให้อารมณ์เสียไปมากกว่านี้เขาจึงเลือกที่จะตามน้ำไปดีกว่า
และอีกหนึ่งนั้นก็คือเขานั้นสนใจมากจริงๆ เพราะช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เขาได้เห็นนักวิจัยในชุดกราวสีขาวที่ไม่คุ้นเคย เดินเข้าเดินออกแผนกวิจัยเป็นว่าเล่น
แถมพวกเขานั้นยังหมุนเวียนกันถือทั้งหลอดทดลอง กล้องจุลทรรศน์ และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ต่างๆที่บางอย่างเขาก็ไม่รู้จัก
เขารู้แน่นอนว่าเลยว่าในครั้งนี้ซูจิ้งไม่ได้กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีล้ำยุค แต่เป็นการพัฒนาทางไบโอเคมีไม่ก็ทางการแพทย์แนวๆนั้น
“ตอนนี้ฉันกำลังศึกษาเกี่ยวกับพวกจุลินทรีย์กับสารอินทรีย์อะไรพวกนั้นน่ะ จะบอกว่าเป็นยาก็ไม่เชิงนักเพราะว่าฉันเองก็ยังไม่แน่ใจว่าผลลัพท์เท่าที่ฉันรู้นี้จะเรียกมันว่าอะไรดี
แต่อย่างน้อยฉันก็ยืนยันได้อย่างนึงนะว่ากระบวนการตอนนี้เป็นไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน”
ที่เขากล้าพูดออกมาได้อย่างนี้เป็นเพราะเขาพึ่งจะได้เรียนรู้ความรู้เหล่านี้มาจากคู่มือนักล่าระดับเบื้องต้นที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุดยอดทหารจ้าวนักรบ
ก่อนหน้านี้เขาได้ลองเครื่องเทศชนิดหนึ่งที่เขาได้มาด้วยมีดของเขาแล้วพบว่ารสชาติของมันนั้นเหนือล้ำอย่างมาก มากจนทำให้เขานั้นคิดว่าน่าจะมีอะไรที่มากกว่าคู่มือนักล่าฯเล่มนั้นบันทึกเอาไว้
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาคิดว่าจะเริ่มวิจัยมันอย่างจริงจัง แต่แน่นอนว่าแทนที่เขาจะมานั่งเสียเวลาทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เขาเลือกที่จะตั้งแผนกวิจัยขึ้นมาเพื่อศึกษาเครื่องเทศต้นนี้
หากว่านักวิจัยของพวกเขาในตอนนี้ตีโจทย์ได้ไม่แตกล่ะก็ เขาก็แค่หานักวิจัยมาเพิ่มก็แค่นั้นเอง
“หืม?เป็นไปได้ด้วยดีอีกแล้วเหรอ” หวังจ้าวถลึงตาขึ้นจ้องมองซูจิ้งในทันที
“ใจร่มๆก่อนน่า…. ถึงจะบอกว่าเป็นไปได้ด้วยดีแต่มันก็แค่ของเล็กๆน้อยๆกระน๊อยนึง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม พลางทำนิ้วแสดงขนาดของมันว่ามันเล็กมากจริงๆ
“มันคืออะไรอ่ะ” เฉิงหนานในตอนนี้สงสัยมากจนอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ก็ของพื้นๆอย่างพวกเอนไซม์และเปปไทด์อ่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“…………………………..คือ?” หวังจ้าวเมื่อได้ยินชื่อทั้งสองก็ต้องนิ่งไปนานก่อนที่จะถามย้ำออกมา ถึงแม้เขาจะคุ้นๆว่าเคยได้ยินคำๆนี้อยู่บ้าง แต่บอกตรงๆเลยว่าเขานั้นไม่เคยรู้เลยว่ามันคืออะไร
ในการนี้ ซูจิ้งจึงเปิดครอสสอนวิชาจุลชีวฉบับย่อๆในทันที หลังจากอธิบายความสำคัญฉบับย่อๆของมันจะพอเข้าใจแล้ว เขาก็ได้อธิบายถึงเป้าหมายหลักในการวิจัยครั้งนี้
การที่เขาตั้งเป้าเป็นเอ็นโซม์และเปปไทด์ไว้นั้นเป็นเพราะพวกมันมีผลสำคัญต่อการเติบโตของพืชและสัตว์ไม่ต่างไปจากสารอาหารในทางเคมีทั่วๆไป
จะให้พูดง่ายๆหน่อยมันก็เหมือนกับวัสดุประเภทโพลิเมอร์สำหรับกระบวนการทางชีววิทยา ทุกๆเซลล์ในร่างกายต่องการเอ็นไซน์ในการเป็นตัวเพิ่มกระบวนการต่างๆในเซลล์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในทางตรงกันข้าม หากว่ากระบวนการใดที่ขาดเอ็นไซม์เข้าไปมีส่วนด้วยล่ะก็ นั่นจะทำให้กระบวนการต่างๆทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ
โดยทั่วไปแล้วเอ็นไซม์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กระบวนการต่างๆได้มากกว่าตอนที่ไม่มีเอนไซม์อยู่ช่วยประมาณล้านเท่า
เอ็นไซม์เหล่านี้ถูกศึกษาและนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร โรงงานอาหาร โรงงานยาง โรงงานกระดาษ โรงงานเคมี และอีกมากมาย
บอกได้ว่าเอนไซม์และเปปไทด์ต่างๆเหล่านี้มีส่วนแบ่งการตลาดจากผลิตภัณฑ์ทั้งหมด หมื่นล้านหยวน และยังมีอัตราการเติบโตประมาณ 11 %
สำหรับโพลีเปปไทด์นั้นคือสารประกอบที่อยู่ในรูปของกรดอามิโนหลายๆชนิดมาเชื่อมต่อกันเป็นสายสั้นๆ ตัวมันนั้นถือว่าเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง
สารประกอบเหล่านี้เกิดจากการแตกตัวและประกอบขึ้นใหม่ของกรดอามิโน หากว่าเปปไทด์นี้ประกอบมาจากกรดอะมิโนสองชนิดจะถูกเรียกว่าได้เปปไทด์ หากว่ามีการเชื่อมต่อเพื่อ ก็จะเรียกไปว่า ไทร… เตตระ… เป็นต้น
คำว่าโพลีเปปไทด์นี้ใช้ในการเรียกกรดอะมิโนที่ผูกพันธะกันตั้งแต่สามตัวขึ้นไป
ในปัจจุบันการใช้เปปไทด์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมยาซึ่งถือว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องการเปปไทด์มากที่สุด
พวกมันถูกใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อ ผลิตยา และสร้างอาหารสังเคราะห์ ยกตัวอย่างเช่นการใช้ต้านไวรัส ต้านแบคทีเรีย ยารักษาเฉพาะโรค อาหารฟังค์ชั่น(อาหารเสริมเฉพาะทาง) และประโยชน์อื่นๆ กล่าวได้ว่าถือว่ามีส่วนแบ่งทางการตลาดใหญ่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
หลายจากสาธยายมาพักหนึ่ง ซูจิ้งจึงสรุปให้พี่ชายนอกเลือดของเขาให้ฟังว่า
“ที่ฉันให้ทำการวิจัยเกี่ยวกับเอ็นไซม์และเปปไทด์นี้หลักๆแล้วก็คือการเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิตและลดค่าใช้จ่าย นอกจากนั้นหากว่าเราทำได้ดีพอล่ะก็พวกเราสามารถผลิตขายได้อย่างอู้ฟู่”
หวังจ้าวและเฉิงหนานที่ฟังเลคเชอร์จากซูจิ้งจนหน้าตาแสดงออกมาว่าไม่ได้เข้าหัวเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่ได้ยินคำว่าอู้ฟู่ พวกเขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าพวกเขาจะได้เงินมาอีกจำนวนมหาศาลอย่างแน่นอน
ทั้งสองในตอนนี้ก็ยากจะใช้คำของชาวเน็ตที่ชอบบอกเวลาคุยเรื่องซูจิ้งบ่อยๆว่า ถ้าง่ายนักก็ขึ้นสวรรค์ไปเลยดีกว่าไหม
แต่พอนึกได้ว่าส่วนแบ่งการตลาดของเอนไซม์และเปปไทด์ที่เคยเห็นนั้นอยู่ที่หมื่นล้านหยวนแล้ว ต่อให้เทียบกับระบบปัญญาประดิษฐ์ สมาร์ถโฟนกาลเวลา รถยนต์กาลเวลา ระบบเครือข่าย5จี และผลิตภัณฑ์อย่างอื่นของพวกเขาแล้ว ถึงแม้จะห่างไกลนักแต่ก็ยังน่าสนใจอยู่ดี
“นี่…หัวหน้าต้องการเปิดบริษัทใหม่เหรอ” เฉิงหนานถามออกมา
“เอาเป็นว่าลองให้คนไปประเมินตลาดก่อนก็ได้นะ ว่าแต่….ตอนนี้บริษัทวุ่นอยู่ไม่ใช่เหรอนั่น ไปทำให้ตัวเองวุ่นๆกันได้แล้ว ไม่ต้องมาสนใจที่นี่หรอก เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง” ซูจิ้งพูดออกมา
“ก็ได้ แต่อย่าหักโหมล่ะ ทำแค่พอประมาณก็พอแล้ว” หวังจ้าวและเฉิงหนานที่เห็นท่าทีของซูจิ้งก็ได้แต่ตัดใจออกมาจากสถาบันวิจัยพร้อมทั้งคำถามที่ยังค้างคาในสมองว่าตกลงแล้วมันคืออะไร
ส่วนซูจิ้งยังคงอยู่ต่อเพื่อทำการศึกษาเอนไซม์และเปปไทด์ร่วมกับนักวิจัยอย่างขะมักเขม่น เหตุผลก็เพราะเขาเองก็ต้องการฝึกปรือฝีมือไปในตัวด้วยเช่นเดียวกัน
หากว่าเขาเข้าใจการทำงานของเอนไซม์และเปปไทด์ที่ได้รับมาจากเหล่าเครื่องปรุงแห่งห้วงเวลาฯสุดยอดทหารกล้าจ้าวนักรบล่ะก็ อย่าเรียกว่าเป็นโอกาศทางธุรกิจเล็กๆน้อยๆจะดีกว่า
สิ่งที่ทั้งเฉิงหนานและหวังจ้าวเข้าใจนั้นมันเป็นเพียงแค่มูลค่าเบื้องต้นสำหรับสิ่งนี้เท่านั้นเอง เหตุผลที่เปปไทด์และเอนไซม์มีมูลค่าทางการตลาดในโลกนี้เพียงเท่านี้นั้นเป็นเพราะว่าซูจิ้งยังไม่ได้เข้าไปมีส่วนด้วยก็เท่านั้นเอง
GGS:บทที่ 1036 ก็แค่กลางๆ
หลายวันถัดมา ซูจิ้งได้วุ่นวายกับการจัดการขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศพร้อมๆกับการศึกษาคู่มือนักล่า ถึงแม้ว่าเขานั้นจะยังไม่ได้อะไรที่มีค่าเพิ่มเติมสักเท่าไหร่นัก
แต่อย่างน้อยๆเขาก็ยังได้โลหะไปเป็นวัตถุดิบส่งไปให้สถาบันวิจัยวัตถุศึกษาจำนวนหนึ่งซึ่งมีค่าพอต่อการพัฒนาด้านวัตถุดิบโลหะของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ ไม่น้อยเลยทีเดียว
ระหว่างนี้การศึกษาด้านต่างๆที่ยึดเอาความรู้จักคู่มือนักล่าระดับต้นมาใช้เป็นไปได้ด้วยดี จนเรียกได้ว่าเขานั้นประสบความสำเร็จด้วยดีกันเลยทีเดียว
และนี่ก็ไม่ผิดพลาดแต่อย่างใด
“เอนไซม์ สารอาหาร ความชื้น และปัจจัยอื่นๆ อยุ่ในสภาวะที่พร้อมแล้ว”
“ถ้าดูจากสี ความหนืด และคุณลักษณะอื่นๆแล้ว ก็อยู่ในสภาวะที่พร้อมแล้วเช่นเดียวกัน”
“ว่าแต่….ไอ้อาหารเลี้ยงเชื้อตามที่บันทึกไว้นี่มันจะใช้ได้จริงๆรึเปล่าหว่า”
หลังจากที่ซูจิ้งเตรียมการมาหลายวัน ในที่สุด เขาก็สามารถปรับแต่งสูตรอาหารเพาะเลี้ยงที่น่าจะใกล้เคียงกับที่บันทึกเอาไว้ในคู่มือนักล่าได้สำเร็จ แต่ซูจิ้งก็ยังไม่น่าใจว่ามันจะได้ผลที่เวอร์วังตามที่คู่มือบันทึกไว้รึเปล่าแค่นั้นเอง
“คงได้แต่ลองดูล่ะนะ” ซูจิ้งพูดในขณะที่ถือขวดที่มีของเหลวสีฟ้าเอาไว้ในมือ เขาได้นำเมล็ดพันธุ์ออกมาจำนวนหนึ่ง และได้หย่อนมันลงไปในขวด
“หืม? หัวหน้าเอาเมล็ดอะไรใส่ไปล่ะนั่น” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถามขึ้นมาเมื่อเห็นซูจิ้งหย่อนเมล็ดพันธุ์อะไรบางอย่างลงในขวด
“แคคตัสพันธุ์กระดองเต่าน่ะ(Tortoise shell peony)” ซูจิ้งพูดออกมา
“ห้ะ เปลือกมันหนามากจนไม่น่าจะได้ผลไม่ใช่เหรอครับ” ชายวัยกลางคนถามออกมาอย่างประหลาดใจ
“อะไรคือแคคตัสกระดองเต่า” คนอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ในวงการนี้จึงได้ถามออกมา
“ถึงแม้ฉันจะไม่ได้อยู่ในวงการจนรู้จักพวกไม้อวบน้ำจนรู้ทุกสายพันธุ์ แต่กับเจ้านี่ฉันรู้จักนะ แคคตัสกระดองเต่าเป็นพืชชนิดแพโอเนียในตระกูลแคคตัส
ด้วยการทีรูปร่างของต้นมันนั้นคลายกับกระดองเต่าและแข็งราวกับงานหินแกะสลักจึงได้รับฉายาว่า “หินมีชีวิต” เมล็ดของมันนั้นมีอัตราการงอกที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน และอัตราการเจริญเติบโตที่เรียกได้ว่าช้าเสียยิ่งกว่าช้า
จนเรียกได้ว่าช้าที่สุดในวงตระกูลก็ว่าได้ หากว่าพวกมันเติบโตด้วยตัวเองล่ะก็ ช่วงชีวิตหนึ่งของมันนั้นอย่างมากสุดก็มีเส้นรอบวงอยู่ที่สิบเซนติเมตรเท่านั้นเอง” ชายวัยกลางคนได้อธิบายออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้นเหล่านักวิจัยทุกคนก็เงียบนิ่งไปแล้วเข้าใจในทันที การที่ต้นไม้ต้นหนึ่งในช่วงชีวิตหนึ่งจะเติบโตได้เพียงเส้นรอบวงสิบเซนติเมตรแสดงว่ามันต้องโตได้ช้ามากแน่ๆ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าต้นไม้นี่ไม่เหมาะกับการทดลองอย่างยิ่ง
“ก็เพราะมันโตช้าไงมันถึงเหมาะกับการทดลองนี้ที่สุด เจ้าต้นนี้แหล่ะเหมาะกับการทดสอบอาหารเพาะเลี้ยงนี่แล้ว” ซูจิ้งพูดออกมา นี่ทำให้เหล่านักวิจัยต่างก็คิดไปว่า ซูจิ้งจะไม่ตั้งความหวังไว้กับอาหารเพาะเลี้ยงนี่เกินไปหน่อยรึเปล่า
“แน่นอนว่าพวกนายสามารถลองกับเมล็ดอย่างอื่นด้วยได้นะ” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมนำของเหลวอีกสองขวดออกจากกระเป๋าแล้วใส่เมล็ดอีกสองชนิดเข้าไป
ผ่านไปเพียงเวลาไม่นานนัก ตอนแรกเหล่านักวิจัยคิดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆก็เจ็ดวันที่จะได้เห็นผลลัพธ์ของอาหารเลี้ยงเชื้อนี้ แต่นี่เพียงแค่ห้านาที พวกเขาก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง
ทุกคนในตอนนี้ได้เห็นเมล็ดพันธุ์ทั้งสามงอกออกมาเป็นตัวอ่อนอย่างสวยงาม ต้นพันธุ์สองในสามนั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนจับสังเกตได้ด้วยตาเปล่า ต้นหนึ่งคือต้นข้าว อีกหนึ่งคือต้นใบยาสูบ
“พระเจ้า เป็นไปได้ยังไง”
“นี่ฉันตาฝาดไปรึเปล่า”
ทุกคนต่างก็ตกตะลึง พวกเขานั้นไม่เคยคิดมาก่อนจนกระทั่งเห็นกับตาตัวเองในตอนนี้ก็ไม่อยากจะเชื่อทั้งๆที่เห็นอยู่กับตาของตัวเองว่าอาหารเพาะเลี้ยงนี้สุดยอดแค่ไหน
แต่กับซูจิ้งนั้นเขาได้บังเกิดรอยยิ้มบนใบหน้าในทันที ถึงจะมีคนไม่อยากจะเชื่อขนาดไหนก็ตามแต่ว่ากับซูจิ้งนั้นไม่ได้ถือว่าเกินเลยจากที่คาดแม้แต่น้อย
นั่นก็เพราะอาหารเพาะเลี้ยงชนิดนี้เป็นหนึ่งในสิบห้าอาหารเพาะเลี้ยงที่มีบันทึกในคู่มือนักล่าที่ซูจิ้งได้มาจากขยะห้วงเวลาฯยอดทหารจ้าวนักรบ
ความสามารถของมันคือก็เร่งอัตราการเจริญเติบโตของพืชพรรณและเพิ่มสารอาหารในลำต้น
หรือจะให้พูดอีกอย่างคือซูจิ้งสามารถทำให้พืชพรรณเติบโตขึ้นได้เท่าที่ต้องการโดยใช้การควบคุมสารอาหาร เอ็นไซม์ สารเคมี และสิ่งต่างๆ ที่ฟังแล้วรู้สึกสะดิ้งหู นี่คือแก่นสำคัญของการเป็นนักล่าอย่างแท้จริง
ในห้วงเวลาฯสุดยอดทหารจ้าวนักรบมีการใช้อาหารเพาะเลี้ยงเหล่านี้ในการเร่งต้นไม้ที่มีรอบชีวิตสิบห้าปีให้โตเต็มวงรอบโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
สำหรับอาหารเพาะเลี้ยงที่ซูจิ้งได้ทดลองทำนั้นที่ได้ว่าเป็นระดับกลางๆเท่านั้น แต่เพียงแค่นี้ก็เพียงพอต่อการเร่งการเจริญเติบโตของต้นข้าวสีเงินและใบยาสูบแห่งไชร์ได้ก็ถือว่าดีแล้ว
หากว่าอาหารเพาะเลี้ยงนี้ผิดพลาดล่ะก็ แน่นอนว่าเส้นทางของเขาในการเป็นนักล่าก็คงจะถึงทางตันอย่างแน่นอน
เวลาผ่านไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดยั้ง นักวิจัยทั้งหลายก็ยิ่งตกตะลึงไปตามระดับ
เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง ต้นข้าวได้เติบโตโดยมีความสูงกว่าสามสิบเซนติเมตร ส่วนต้นยาสูบนั้นเติบโตมากกว่าเดิมเป็นสิบเซนติเมตรเข้าไปแล้ว
แม้แต่ต้นแคคตัสกระดองเต่าเองก็เริ่มงอกขึ้นมาแล้ว และไม่มีเมล็ดไหนเลยที่ไม่งอกออกมา
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เมล็ดข้าวก่อนหน้านี้ได้โตกว่าครึ่งเมตรเห็นจะได้ และก็เริ่มที่จะตั้งท้องแล้วด้วยเช่นเดียวกัน สำหรับต้นใบยาสูบนั้น ในตอนนี้มันสูงเกือบๆจะหนึ่งเมตรเห็นจะได้ ส่วนแคคตัสกระดองเต่านั้นพึ่งจะโตได้เพียงนิดหน่อย
หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง ต้นข้าวในตอนนี้รวงข้าวใกล้จะสุกดีแล้ว ใบยาสูบที่สูงเกือบเมตรก่อนหน้านี้ก็จากใบที่เคยเขียวชะอุ่มก็เริ่มจะปลิดใบทิ้ง ส่วนแคคตัสกระดองเต่าก็เริ่มมีใบงอกออกมานิดหน่อย
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดรวงข้าวก็สุกงอมจนเป็นสีเหลืองทองพร้อมเมล็ดข้าวที่ใหญ่โตเห็นได้ชัด ต้นยาสูบในตอนนี้ออกดอกบานสะพรั่ง ส่วนแคคตัสกระดองเต่าเองก็มีใบเพิ่มมากขึ้นอีกสองสามใบ ถึงแม้มันจะยังต้นเล็กอยู่แต่ใบของมันก็ขึ้นมาจนครบรอบต้นมันแล้ว
หลังจากผ่านไปสี่ชั่วโมงเท่านั้น พืชพันธุ์ทั้งหมดที่ทดลอง ก็เหมือนกับว่าพวกมันได้ใช้เวลาบนโลกนี้มากว่าสี่เดือนแล้ว
เหล่านักวิจัยที่เห็นต่างก็อึ้งกันจนพูดอะไรไม่ออก แต่กับซูจิ้งนั้น เขามีความสุขแบบสุดๆ ดูเหมือนว่าอาหารเพาะเลี้ยงแกโลแลนนี้จะสำเร็จได้จริงๆทั้งๆที่มีการปรับเปลี่ยนสูตร ไม่สิ ต้องบอกว่ามันใช้ได้จริงๆอย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงแม้ซูจิ้งนั้นจะมีของหลายๆอย่างที่ช่วยในการเร่งการเจริญเติบโตได้ก็จริง อย่างเช่นหัวกะโหลกเร่งเวลา ดินจอมเขมือบ แม้แต่อาหารที่ช่วยเร่งการเจริญเติบโตก็ตาม
แต่ของเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีขีดจำกัดไม่ว่าจะเป็นการเสื่อมสภาพ หรือไม่ก็จำนวนที่น้อยมาก ต่อให้เทียบอาหารเพาะเลี้ยงนี้กับกะโหลกเร่งเวลาก็ตามเขายังถือว่าอาหารเพาะเลี้ยงนี้ดีกว่าอยู่ดี นั่นก็เพราะเขานั้นสามารถผลิตอาหารเพาะเลี้ยงได้เป็นจำนวนมาก และนั่นหมายความว่าเขาสามารถเร่งเวลาพืชพันธุ์ได้จำนวนคราวละมากๆได้อีกด้วย
ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงการทดลองแต่ก็ถือได้ว่าเป็นการทดลองที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เพราะว่าถ้าไม่นับแคคตัสกระดองเต่านี้แล้ว
ใบยาสูบและเมล็ดข้าวนี้ก็คือใบยาสูบแห่งไชร์และเมล็ดข้าวสีน้ำเงินที่เป็นหนึ่งในแหล่งรายได้ของเขานั่นเอง
ถึงแม้ว่าพืชทั้งสองนี้จะมีการจัดการที่ดีจนสร้างรายได้ให้กับเขาจนคนรวยๆในโลกต้องอิจฉาและไม่จำเป็นต้องเร่งการเจริญเติบโตก็ตาม
แต่ในเมื่อสามารถเร่งการเจริญเติบโตของพวกมันได้อย่างดีล่ะก็ แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ให้เขาเร่งให้มันออกดอกออกผลเป็นเงินให้เขาล่ะ
“หัวหน้า อาหารเพาะเลี้ยงนี้ดีมากๆเลย”
“พระเจ้าเถอะ นี่ฉันได้กลิ่นของรางวัลโนเบิลมารางๆแล้วนะ”
“โนเบิลน่าโคตรไร้ค่าไปเลยหากเทียบกับการที่มันสามารถเบิกม่านการทำกสิกรรมแบบใหม่ของโลกได้แบบนี้ นี่ถือว่าท้าทายสวรรค์เลยล่ะ”
“ก่อนหน้าจะดีใจกันก็ลองดูหน่อยว่ามันมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับต้นไม้ทดลองรึเปล่า” ซูจิ้งพูดออกมาแล้วทำการตรวจสอบต้นยาสูบและต้นข้าวสีเงินในทันที
ผลการตรวจสอบ เขาไม่พบสิ่งปกติอะไรเลยแม้แต่น้อย และต้นข้าวก็สมบูรณ์ดีทุกประการ ถึงแม้จะเป็นอย่างที่คาดหวังแต่ก็ยังถือว่าเป็นระดับทดลองเท่านั้น
หลังจากที่เขามั่นใจแล้วว่าต้นไม้ที่เพาะจากอาหารเพาะเลี้ยงนี้ไม่มีผลกระทบอะไร นี่เทียบกับว่าเขาได้ทำเรื่องท้าทายสวรรค์บนโลกนี้อีกครั้ง แต่ยังไงซะเมื่อเทียบกับห้วงเวลายอดทหารจ้าวนักรบแล้วนี่ถือได้ว่าเป็นของพื้นๆแบบสุดๆ
GGS:บทที่ 1037 ระดับของข้าวสีน้ำเงิน
ซูจิ้งได้เรียกหวังจ้าว เฉิงหนาน และเตียนจงยี่มาพูดคุยเกี่ยวกับการใช้อาหารเพาะเลี้ยงแกโลแลน ด้วยความสุดยอดของมัน ใจตอนนี้ทำให้เรียกได้ว่าธุรกิจด้านเกษตรของเขานั้นแทบจะไม่สิ้นสุดได้เลยทีเดียว และนี่ยังช่วยเปิดช่องทางการค้าให้เขาได้อีกด้วย
ในตอนแรกนั้นทั้งสามเพียงได้ยินต่างก็ไม่เชื่อ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทั้งสามจะรู้สึกอย่างนั้นเพราะมันเวอร์วังเกินไป แต่หลังหลังจากพวกเขาได้เห็นด้วยตาตัวเองต่อหน้า นอกจากจะเชื่อสุดใจแล้ว พวกเขายังตั้งใช้เวลานานพอดีกว่าจะหยุดความคิดที่โลดแล่นภายในหัวให้สงบลง
“อาจิ้ง อาหารเพาะเลี้ยงนี่มันท้าทายสวรรค์สุดๆ เอาจริงๆนี่สุดยอดยิ่งกว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ ระบบ5จี และเครื่องยนต์กาลเวลาซะอีก ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความตกใจแม้จะสงบบ้างแล้วก็ตาม
“อย่างนี้ก็หมายความว่าคุณซูก็ไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกแล้วสิครับ” ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นในใจของเตียนจงยี่ในทันทีเมื่อรู้สึกตัว เขานั้นวาดฝันไว้ว่าตัวเองจะสร้างอนาคตที่สุดใสด้วยการเกษตร
การที่อยู่ๆมีสุดยอดอาหารเพาะเลี้ยงแบบนี้ขึ้นมาทำให้ใจเขาต่อต้านในทันที การที่ทำให้พืชพันธ์เติบโตเต็มที่ได้ด้วยเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงแบบนี้มันไม่ใช่แค่อาหารเพาะเลี้ยงแล้ว เจ้าสิ่งนี้สมควรจะเรียกว่าเวทย์มนต์มากกว่า
“ไม่ไม่ไม่ ยังไม่ถึงเวลานั้นหรอก อาหารเพราะเลี้ยงนี้แม้ว่าจะสุดยอดก็จริง แต่มันเองก็ต้องใช้สิ่งต่างๆในการเตรียมมันขึ้นมากมายเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าด้วยเหตุนั้นทำให้ค่าใช้จ่ายของมันนั้นสูงมากกว่าเมื่อเทียบกับการเพาะปลูกทั่วๆไปจนเกินกว่าจะรับได้
แต่เจ้านี้ก็ยังมีวิธีใช้อย่างอื่นอยู่อย่างการเพาะปลูกกับพืชพันธุ์ที่มีมูลค่าสูงอย่างข้าวสีน้ำเงินและใบยาสูบของฉันเท่านั้นที่จะทำให้เกิดความคุ้มค่าที่จะลงทุน
ถึงจะบอกแบบนั้นแต่เจ้าอาหารเพาะเลี้ยงนี่สามารถจะเจือจางได้อยู่นะ แต่แน่นอนว่าผลการเร่งการเจริญเติบโตของมันนั้นก็จะลดลงตามไปด้วย
เท่าที่ฉันศึกษาดูในตอนนี้ฉันสามารถเจือจางที่ประมาณสิบเท่า และผลของมันก็จะลดลงประมาณสิบเท่าเช่นเดียวกัน
ถึงแม้จะว่ามาอย่างนั้นแต่หากเราใช้ในการเร่งช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตให้เร็วขึ้นได้จะเดิมที่เราปลูกพืชต่างๆที่สองรอบต่อปี เราจะสามารถเพิ่มรอบการปลูกได้สี่ถึงหกรอบต่อปีเลยทีเดียว
“ผมเข้าใจแล้วครับ คุณจะสื่อว่าหากว่าเราเจือจางเจ้าสิ่งนี้และขายให้ชาวนาในหลายๆระดับล่ะก็จะทำให้สามารถปลูกพืชหลายรอบในปีหนึ่งมากขึ้น
นอกจากนั้นเราสามารถใช้อาหารเพาะเลี้ยงที่ความเข้มข้นสูงที่สุดในการเพราะเลี้ยงข้าวสีน้ำเงินของเราเป็นการเฉพาะ
ด้วยการนี้เรายังสามารถใช้อาหารเพาะเลี้ยงที่มีหลากหลายระดับในการสร้างสายสัมพันธ์กับเหล่าสวนลูกของพวกเราได้อีกด้วย” เมื่อได้คิดในทางนี้ เตียนจงยี่ก็ได้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในทันที
นั่นก็เพราะหากว่าใช้วิธีการนี้ล่ะก็ เงินที่ได้มากอยู่แล้วจากการปลูกข้าวสีน้ำเงินและใบยาสูบจะเพิ่มจากหนึ่งรอบกลายเป็นสองรอบได้อย่างง่ายดาย แทบจะนึกไม่ออกเลยว่าจะได้เงินมาอีกเท่าไหร่
ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถในการเร่งการเติบโตของพืชได้แบบนี้จะพวกเขามีสวนที่เข้าร่วมกับพวกเขามากขึ้นอย่างแน่นอน
นั่นก็เพราะชาวนาและชาวสวนทั้งหลายต่างก็ต้องปวดหัวกับสภาพอากาศที่ต้องเผชิญในแต่ละปี ถึงจะมีการแก้ปัญหาอย่างการทำเรือนกระจก
แต่นั่นก็แทบจะไม่ได้ส่งผลอะไรต่ออัตราการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์เลยแม้แต่น้อย มันแค่ช่วยป้องกันจากสภาพแวดล้อมเท่านั้น
หากใช้อาหารเพาะเลี้ยงของซูจิ้งที่เจือจางแล้วไปเร่งการเจริฐเติบโต ด้วยวิธีการนี้จะทำให้ชาวสวนและชาวนาสามารถควบคุมผลกำไรที่ตัวเองจะได้รับได้ดีขึ้น หรือจะให้พูดอีกทางหนึ่งก็คือสามารถควบคุมราคาตลาดได้อย่างแน่นอน
ทั้งหวังจ้าวและเฉิงหนานที่ได้ยินซูจิ้งและเตียนจงยี่คุยกันนั้นต่างก็รู้สึกตื่นเต้นจนใจเต้นเร็ว เพียงการพูดคุยสั้นๆนี้ก็ส่งผลต่ออนาคตของตลาดการเกษตรทั้งประเทศ…ไม่สิทั้งโลกเลยก็ว่าได้
หลังจากที่ทั้งหมดพูดคุยกันแล้ว พวกเขาก็สามารถสรุปวิธีการใช้อาหารเพาะเลี้ยงได้สามแนวทาง
อย่างแรกผลิตออกมาในหลายๆคุณภาพเพื่อใช้ในการเพิ่มรอบการผลิตของพืชพันธุ์ธรรมดา
อย่างที่สองผลิตและใช้กับข้าวสีน้ำเงินและต้นยาสูบ
แน่นอนว่าพวกเขาเองยังไม่ทิ้งความคิดที่จะทำอาหารเพาะเลี้ยงนี้ขายแต่อย่างใด แต่สิ่งที่สำคัญกว่าใจตอนนี้คือการเพิ่มเมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินและใบยาสูบแห่งไชร์
เมื่อได้เมล็ดพันธุ์ทั้งสองจนเพียงพอแล้ว อย่างอื่นค่อยว่ากันอีกที
ในตอนแรกนั้น ทั้งซูจิ้งและเตียนจงยี่เองก็คิดว่าจะปลูกข้าวสีน้ำเงินให้ได้ผลผลิตมากพอที่จะป้อนเข้าตลาดได้ให้เร็วที่สุด
แต่ด้วยกลไกทางการตลาดและปัญหาต่างๆทำให้เกิดการสะดุดอยู่ทำให้มีเมล็ดแต่ไม่มีที่เพาะพอจะป้อนเข้าตลาดได้
มาในตอนนี้ พวกเขาได้เพาะพันธุ์เมล็ดทั้งหมดที่มีโดยที่ไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่อไป แทบจะบอกได้เลยว่าเพียงเขาหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปก็แทบจะประกาศขายได้ในทันที
ชาวเน็ตที่เห็นโฆษณาของซูจิ้งก็อดจะประหลาดใจไม่ได้
“นี่ฉันเข้าใจถูกรึเปล่าว่าซูจิ้งเพิ่งจะโฆษณาข้าวน่ะ นี่เขาก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมการเกษตรแล้วเหรอ”
“เฮ้ คุณบรรทัดบน ฉันเองก็ประหลาดใจไม่ต่างจากนาย ก่อนหน้านี้เขานั้นมีผลิดภัณฑ์ทางการเกษตรอย่างสตอเบอรี่ที่ใช้ทำไวน์จิ้งจอกแดง แล้วก็มะเขือเทศที่ใช้ทำซอสมะเขือเทศอยู่นะ พวกมันอร่อยมากจริงๆ ”
“เดี๋ยวนะ ฉันตาฝาดไปรึเปล่า ข่าวสีน้ำเงินแบบธรรมดาหนึ่งหมื่นหยวนต่อชั่ง ข้าวสีน้ำเงินคัดพิเศษหนึ่งแสนหยวนต่อชั่งเนี่ยนะ”
“ห้ะ ชั่งละหมื่นกับชั่งละแสนเนี่ยนะ นี่เขากำลังเล่นสี่เมษาหน้าโง่รึไง”
“ฉันดูดีๆแล้วนะ ราคานี้ไม่ผิดอย่างแน่นอน นายดูไม่ผิดหรอก”
ชาวเน็ตที่เห็นต่างก็ตกตะลึง แฟนคลับของซูจิ้งเองก็ได้ทักท้วงว่าพิมพ์ผิดรึเปล่า ผลก็คือ ซูจิ้งออกมายืนยันด้วยตัวเองว่าไม่ได้ผิดแม้สักหยวนเดียว
“ไม่ผิดเหรอ พี่จิ้งเอาจริงดิ”
“ไม่จริงน่า พี่จิ้ง พี่จิ้งจะเล่นอย่างนี้ไม่ได้นา… แค่ข้าวหนึ่งกิโลราคาเพียงไม่กี่หยวนก็ยังถูกชาวบ้านด่ากันระงมเลยว่ามันแพง แต่ของพี่นี่ตกกิโลละสี่พันหยวนเลยนะ นี่จะทำให้คนจำนวนมากสาบส่งพี่อย่างแน่นอน อย่าว่าแต่พี่จะไม่สามารถขายข้าวเกรดคัดพิเศษได้เลย ข้าวเกรดธรรมดาก็ไม่น่าจะได้สักโลเดียว”
“พี่จิ้ง บอกพวกเราอีกทีเถอะว่าพี่แค่ล้อเล่นน่ะ”
ในครั้งนี้ แฟนคลับของซูจิ้งไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง และหลายๆคนก็หวังจริงๆว่าซูจิ้งแค่ล้อกันเล่นเท่านั้น
แน่นอนว่าดังที่เหล่าแฟนคลับคาดเอาไว้ ในตอนนี้คนทั่วไปได้เห็นข่าวนี้แล้วต่างก็ด่าซูจิ้งกันละงมและเรื่องนี้ก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วจนทำให้พวกแฟนคลับที่พยายามปิดข่าวนี้ต่างก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยชื่อเสียงของเขาที่ผ่านมานั้นทำให้แถมจะไม่มีใครทำอะไรเขาได้อีกต่อไป ส่วนใหญ่แล้วชาวเน็ตก็ได้แค่บ่นและด่าอยู่น่าคอมและสมาร์ทโฟน แต่ก็ไม่กล้าที่จะพิมพ์อะไรออกมาสักเท่าไหร่นัก
แต่ถึงจะอย่างนั้นกับเรื่องแบบนี้ก็ไม่สามารถทำให้ประชาชนทั่วไปปล่อยให้หลุดรอดไปได้อย่างง่ายๆ สำหรับพวกเขานั้นทันทีที่เห็นข่าวนี้ต่างก็รู้สึกคล้ายกัน นั่นก็คือ หมอนี่เอาอีกแล้วเหรอ
“หืม!!!!!!! ไม่ใช่ว่านี่คือข้าวที่เขาใช้ในภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ไม่ใช่เหรอ ฉันจำได้ว่ามีเมนูที่มีการใช้ข้าวสีน้ำเงินแบบธรรมดากับแบบคัดพิเศษในพื้นที่พิเศษของภัตตาคารอยู่นะ”
“เอ้อ..ใช่ใช่ ฉันจำได้ว่าในเมนูมีการเขียนชื่อสายพันธุ์ข้าวอยู่นะ”
“เจ้าข้าวพันธุ์นี้มันอร่อยจริงดิ”
“ไม่รู้เหมือนกันแหะ ฉันเองก็ไม่เคยลองเหมือนกัน”
“ฉันได้ยินมาว่าไม่เพียงจะอร่อยเท่านั้นนะมันยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย หลายๆคนเองที่ได้ไปกินอาหารในพื้นที่พิเศษยิ่งกินก็ยิ่งสุขภาพดีขึ้นทุกๆครั้งเลย เรียกได้ว่ายิ่งกินยิ่งแข็งแรง ยิ่งกินยิ่งอ่อนเยาว์”
“เจ้าข้าวนี่จะไม่มหัศจรรย์ไปหน่อยเหรอ”
เหล่าผู้คนทั่วไปเองที่คอยติดตามซูจิ้งอยู่ก่อนแล้วก็ได้เข้าใจแทบจะในทันทีว่าทำไมถึงแพงนัก แต่กันยังมีคนทั่วไปอีกหลายๆคนที่ไม่ได้สนใจและไม่เห็นดีเห็นงามกับซูจิ้งจนเอาตัวออกมาขวาง
“เอาละโว้ยยยยย คราวนี้ซูจิ้งก่อเรื่องอีกแล้ว คอยดูเถอะ คราวนี้ฉันจะเผาแกให้ยอดเปลวไปสูงเสียดฟ้าให้ได้อย่างแน่นอน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าวชั่งละหมื่นเนี่ยนะ ใครซื้อก็โง่แล้ว”
“ฉันบอกได้เลยว่าพวกมันไม่มีทางขายได้อย่างแน่นอน อีกไม่นานพวกมันก็ต้องโดนลดราคาลงมา”
“การกระทำของซูจิ้งนี่จับทางได้ง่ายจริงๆ ก่อนหน้านี้ที่เขาทำพื้นที่พิเศษของภัตตาคารของเขาทำไมล่ะ ก็เพราะว่าต้องการสร้างชื่อให้กับข้าวโง่ๆของเขานี่ไง
นี่เขาคิดว่าแค่ดีดนิ้วก็จะเชื้อเชิญให้คนโง่ๆแห่กันไปซื้อเพียงเพราะวิธีการแค่นี้อ่ะนะ ช่างเป็นวิธีการหาเงินที่ง่ายดายซะนี่กระไร”
“เรื่องนั้นฉันว่าไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีคนโง่ที่ไหนไปซื้อกินอย่างแน่นอน”
ท่ามการเสียงด่าทอ ดูถูก และถากถาง ซูจิ้งก็หาสนใจไม่ เขาได้วางขายข้าวสีน้ำเงินนี้อย่างเป็นทางการ ในตอนแรกนั้น เขาได้จำกัดการขายด้วยปริมาณที่จำกัด และไม่มีวี่แววจะลดราคาแต่อย่างใดต่อให้ซื้อจนสุดจำนวนการสั่งก็ตาม
นอกจากนั้นร้านที่ขายก็เป็นร้านที่ขายข้าวนี้เฉพาะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แม้แต่ช่องทางการขายแบบออนไลน์ก็มีขายแค่ข้าวสีน้ำเงินนี้เพียงอย่างเดียวเช่นเดียวกัน
ในเช้าตรู่วันนั้น ที่หน้าร้านขายข้าวของซูจิ้ง ร้านอื่นๆยังคงปิดอยู่และมีเพียงไม่กี่คนที่มา แต่พวกเขาไม่ได้มาซื้อแต่อย่างใด พวกเขาแค่ต้องการจะดูว่าใครหน้าไหนจะมาซื้อ
GGS:บทที่ 1038 นิยม
ในตอนเช้าตรู่ ถังฮ่าวได้ตื่นขึ้นเพราะเสียงโทรศัพท์ทำให้เขานั้นอารมณ์ไม่ดีเลยสักนิด เมื่อเห็นว่าเป็นถังเสี่ยวหยู เขาก็ได้บ่นพิมพำออกมาว่า “ยัยเด็กนี่โทรมาเช้าเกินไปไหมเนี่ย” หลังจากบ่นเสร็จก็ได้รับโทรศัพท์ทันที
“คุณลุง มีเรื่องดีๆล่ะ…” ถังเสี่ยวหยูได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
“เกิดอะไรขึ้น หลานมีแฟนเหรอ” ถังฮ่าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่นะไม่ไม่ คนพวกนั้นก็แค่ตามหนูต้อยๆก็เท่านั้นเอง หากหนูอยากมีแฟนจริงๆล่ะก็…. เดี๋ยวสิ หนูไม่ได้รู้สึกดีเพราะเรื่องนั้นซะหน่อย เป็นพี่จิ้งต่างหาก เขาปล่อยข้าวสีน้ำเงินออกมาขายแล้วนะ ตอนนี้ลุงสามารถซื้อหามาไว้ใช้กินได้ทุกๆวันแล้ว” ถังเสี่ยวหยูพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“โอ้….” ถังฮ่าวลืมตาตื่นในทันทีที่ได้ยินและแจ่มใสราวกับจะส่องไฟออกมาได้ ทุกๆครั้งที่ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์เปิดพื้นที่พิเศษ เขาเองก็หาโอกาสไปกินอยู่บ่อยครั้งมาก
นอกจากพวกมันจะอร่อยแล้วยังทำให้ค่างกายของเขามีสุขภาพที่ดีขึ้นมาก ต่อให้เขาต้องกรีดเลือดซื้อกินก็ไม่พลาดเลยสักครั้งที่ที่นั่นเปิด
เขายังจำได้ดีว่าข้าวสีน้ำเงินนั้นมีสองเกรดคือเกรดปกติและเกรดคัดพิเศษ และนี่เองทำให้เขาต้องกรีดเลือดเข้าเนื้อไปไม่น้อยจนยากจะลืมเลือน และในที่สุดเขาก็ถามออกมาว่า “ราคาล่ะ”
“เกรดธรรมดาหนึ่งหมื่นหยวนต่อชั่ง เกรดคัดพิเศษหนึ่งแสนหยวนต่อชั่ง พ่อหนูรู้เรื่องนี้แล้วเหมือนกันแล้วเขาสั่งให้ซื้อแบบธรรมดาสามสิบกิโลและเกรดพิเศษอีกหนึ่งกิโล ลุงจะเอาด้วยรึเปล่า” ถังเสี่ยวหยูถามออกมา
ถังฮ่าวที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งเงียบไปนาน พลางคิดขึ้นว่าแพงโคตรและอดจะบ่นออกมาไม่ได้ว่านี่ข้าวหรือไข่มุกกันเนี่ย
แต่เมื่อนึกถึงว่าราคานี้ถูกมากเมื่อเทียบกับการไปนั่งกินที่พื้นที่พิเศษของภัตตาคารในแต่ละมื้อแล้วทำให้เขานั้นยอมรับขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
“หลานนี่น่ารักจริงๆ มีเรื่องดีๆแล้วบอกลุงตลอดเลย บอกพ่อหนูว่าซื้อแบบธรรมดาให้ลุงสามสิบกิโลและแบบคัดพิเศษหนึ่งชั่งนะ” ถังฮ่าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
หลังจากเขาสั่งซื้อข้าวสารสีน้ำเงินกับถังเสี่ยวหยูแล้ว ในวันนั้น ถังฮ่าวก็ได้ไปบ้านถังเสี่ยวหยูเพื่อจะนำข้าวกลับมา
ทันทีที่เข้าไปในสวนหย่อม เขาก็ได้กลิ่นหอมหวลและแรงกล้า กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่เขาไม่ได้สัมผัสมานานแสนนานเลยก็ว่าได้
เขาสูดหายใจลึกๆอย่างสดชื่นและพูดออกมาว่า “โอ้ มาถึงก็เริ่มทำกินกันเลยเหรอเนี่ย กลิ่นนี้ต้องเป็นข้าวสีน้ำเงินอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ตอนแรกฉันนึกว่าการหุงข้าวนี่หากไม่ใช่คุณซูลงมือเองจะไม่ได้เรื่องอะไรซะอีก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ฝีมือของคุณซูเลย ข้าวนี่มันมีกลิ่นหอมในตัวมันเองจริงๆ” พ่อของถังเซี่ยวหยูอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมออกมา
“มันต้องอร่อยแน่ๆ ตอนนี้หนูมีน้ำลายอยู่เต็มปากแล้วอ่ะ” ถังเสี่ยวหยูพูดออกมาพลางพยักหน้าเป็นไก่จิกข้าวสาร
“ฮ่าฮ๋าฮ่า ไม่ใช่แค่เต็มปากหรอก มันไหลออกมาแล้วต่างหาก” ถังยี่เองก็ได้หัวเราะออกมาเมื่อเห็นน้องสาวตัวเองยืนน้ำลายไหล นี่ทำให้ถังเสี่ยวหยูรีบเอามือปาดน้ำลายที่ไหลออกมาในทันที
ทันทีที่กับข้าวเสร็จและนำมาวางกลางโต๊ะ ทุกๆคนอดไม่ได้ที่จะเริ่มกินกันในทันที ผลก็คือแต่ละคนต่างก็กินกันอย่างสนุกปากและแทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลยสักพักใหญ่
“อาโร่ยยยยยยย นี่เป็นมื้อที่อร่อยจริงๆ” ถังเสี่ยวหยูพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“แถมกินแล้วยังรู้สึกอบอุ่นราวกับมีพลังอีกด้วย นี่ต้องเป็นเพราะข้าวกับเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทำจากข้าวนี่แน่ๆ” ถังยี่ได้พูดออกมาอย่างเพลิดเพลิน
“ชั่งและหนึ่งหมื่นหยวนนี่ ถ้าเทียบกับการที่ต้องซื้อชุดอาหารในพื้นที่พิเศษของภัตตาคารแบบนั้นนี่ถือว่าคุ้มแล้วจริงๆ” แม่ของถังเสี่ยวหยูก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ช่างสมราคาจริงๆ คราวหน้าฉันจะซื้ออีกห้าสิบชั่งจะได้มีไว้อุ่นใจสักร้อยชั่ง” ถังฟู่พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ผมว่าจะตุนไว้อีกสักสองร้อยนะ” ถังฮ่าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ด้วยความอร่อยของข้าวสีน้ำเงินนั้นก็ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกินในทันทีที่ข้าวมาส่งที่บ้าน อีกทั้งข้าวนี่ไม่เพียงจะอร่อยแถมยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย นี่ทำให้พวกเขานั้นรู้สึกว่าคุ้มค่าแล้วจริงๆ
“หัวหน้า มีอะไรจะใช้ผมหรือครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งได้เข้ามาในห้องสำนักงานแห่งหนึ่ง
“โอ้…เสี่ยวหลินนี่เอง ช่วยฉันเตรียมรถบรรทุกสักคันและหาคนขนของให้หน่อยสิ”
“หัวหน้าจะขนอะไรหรือครับ” ชายหนุ่มถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ตอนนี้ข้าวสีน้ำเงินวางขายแล้วน่ะ ฉันว่าจะซื้อตุนไว้หลายๆร้อยชั่งเก็บไว้ที่บ้านน่ะ” ผู้อาวุโสหวู่พูดออกมาอย่างอารมณ์ดี แต่หนุ่มน้อยตอนนี้ได้มองบนในทันใด
นั่นก็เพราะว่าเขาเองก็รู้จักข้าวสีน้ำเงินนี้เช่นเดียวกัน มันถูกทำเป็นข่าวถ่ายทอดไปทั่ว และแน่นอนว่าเขาย่อมรู้ถึงราคาอันสูงเสียดฟ้าของมันเช่นเดียวกัน
นี่จึงทำให้เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าสาบส่งออกมาเมื่อเห็นข่าวนี้ และลั่นปากออกมาว่าไม่มีคนโง่ที่ไหนที่จะซื้อหาด้วยเงินขนาดนั้นเพียงเพื่อได้ลิ้มรส ไม่นึกว่าหนึ่งในจะมีหัวหน้าของเขาที่จะซื้อ
แถมไม่ใช่น้อยๆอีกต่างหาก นั่นก็เพราะเขาพึ่งจะได้ยินมากับหูว่าเขาจะซื้อหลายร้อยชั่ง นี่หากว่าเขาจะซื้อตามที่พูดจริงล่ะก็เขาต้องจ่ายเงินไม่น้อยกว่าล้านหยวนอย่างแน่นอน
คนรวยในโลกนี้ล้วนแล้วแต่ทำสิ่งที่ยากจะเข้าใจได้จริงๆ
“โอ้…ข้าวสีน้ำเงินนั่นฉันส่งคนไปซื้อแล้วนะ” อันจือฮ่าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“พี่จะซื้อไว้กี่ชั่งล่ะนั่น” น้องสาวของอันจิฮ่าวถามออกมา
“สั่งไปสองร้อยชั่งน่ะ ยังไงซะถ้าเก็บดีๆก็ไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้วนี่นา อีกอย่าง พวกเราควรซื้อเก็บไว้เพื่อว่าของจะหมดซะก่อน” อันจิฮ่าวพูดออกมา
“โอ้ว…….ข้าวสีน้ำเงินออกวางขายสักที….” ฉินซูหลานและหลิวฉิงที่รู้เรื่องนี้ต่างก็ดีใจจนเนื้อเต้นที่เห็นข่าวนี้
ตอนที่ภัตตาคารของซูจิ้งเปิด ทั้งสองนั้นยุ่งมากจนหาเวลาไปกินฝีมือของซูจิ้งไม่ได้เลยสักครั้งเดียว
พอจะว่างจะว่างก็ปรากฎว่าซูจิ้งนั้นเปลี่ยนวันเปิดพื้นที่พิเศษของภัตตาคารเป็นวันเสาร์อาทิตย์ มาตอนหลังทั้งสองก็ไม่ว่างซะอีกจนทำให้ในที่สุดก็ไม่ได้กินสักที
ในที่สุดทั้งสองทนไม่ไหวจนต้องโดดงานไปกินได้แค่มือเดียว และมื้อนั้นเป็นมื้อที่ล้ำค่าสำหรับทั้งสอง และนั่นทำให้ทั้งสองได้รู้จักกับข้าวสีน้ำเงินและจดจำจนฝังใจ
พอมาตอนนี้เมื่อได้ยินว่าข้าวสีน้ำเงินถูกนำมาขายในตลาดในที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งสองจะดีใจเมื่อได้ยิน
โดยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ฉินซูหลานได้ซื้อข้าวสีน้ำเงินเกรดธรรมดาสามสิบชั่ง ส่วนหลิวฉิงได้ซื้อข้าวธรรมดาไปที่สี่สิบชั่ง
ถึงแม้ทั้งสองจะถือว่าเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวยอยู่บ้าง แต่ด้วยราคาขนาดนี้เพียงเท่านี้ก็คือว่ากรีดเนื้อเถือหนังได้แล้ว
แน่นอนว่ายังมีเหล่าคนรวยอีกมากมายทั้งที่เคยและไม่เคยไปยังพื้นที่พิเศษของภัตตาคารของซูจิ้งต่างก็แห่แหนกันสั่งซื้ออย่างจ้าละหวั่น
ถึงแม้จะมีหลายๆคนที่ไม่เคยได้ไปกินที่นั่นแต่ก็ยังกล้าที่จะซื้อไปลองทำกินกันเองดู แต่เพียงพวกเขาได้กินไปมื้อหนึ่งก็ผมว่ามันคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปอย่างมากและยินดีที่จะกลับไปซื้ออย่างช่วยไม่ได้
“นี่พี่ชาย ที่นี่ขายข้าวสีน้ำเงินใช่รึเปล่าครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบถึงสามสิบปีได้ถามขึ้นมา เขานั้นใส่ชุดที่ดูธรรมดาสามัญมากๆ และพูดขึ้นมาในขณะที่ก้าวเข้าไปในร้าน
“ใช่แล้วล่ะ” คนขายพนักหน้ารับ
“เอ่อออ…เป็นไปได้รึเปล่าครับถ้าผมจะซื้อซักขีดสองขีด” ชายหนุ่มคนนั้นเกาหัวแกรกและมีท่าทีเอียงอายเล็กน้อยในขณะที่ถามออกมา
ชายคนนี้มีชื่อว่าโจวจือหยุน เขานั้นเป็นคนธรรมดาที่ทำงานสุจริต เงินเดือนของเขานั้นถือได้ว่าสูงมากเมื่อเทียบกับคนทั่วไป
เขาได้รับเงินเดือนเดือนหนึ่งมากกว่าสองหมื่นหยวนและปีๆหนึ่งเขาได้รับโบนัสประมาณสามหมื่นถึงสี่หมื่นหยวนเลยทีเดียว
นอกจากนี้เขายังมีอีกสถานะหนึ่ง นั่นก็คือแฟนคลับพันธุ์แท้ของซูจิ้ง เขาเองก็ได้ยินเรื่องข้าวสีน้ำเงินนี้เลยนึกอยากจะลองดูบ้าง
ความจริงเขาเองก็อยากจะสนับสนุนซูจิ้งมานานแล้วแต่มีเพียงข้าวสีน้ำเงินนี้เท่านั้นที่เขาพอจะเข้าถึงได้
“ได้ค่า…” คนขายพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“งั้นผมขอสักขีดนึงแล้วกันครับ” โจวจิหยุนได้นำเงินออกมาหนึ่งพันหยวน หลังจากซื้อข้าวเสร็จ เขาก็ไปยังตลาดเพื่อซื้อผักสด ก่อนที่เขาจะตรงกับไปยังบ้านเช่าของเขา
เขาจัดการซาวข้าวและหุงมันในทันที หลังจากนั้นเขาก็ได้หันไปทำกับข้าว ในขณะที่กับข้าวยังไม่เสร็จดีนั้น เขาก็ได้กลิ่นข้าวที่หุงสุกอยู่ในหม้อที่ลอยโชยมา
นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่นนี้เข้าไปจนชุ่มปอดจนเขานั้นลืมไปว่ากำลังเตรียมจะทำกับข้าวและได้ใช้ช้อนตักข้าวกินอย่างอดไม่ได้ไปหนึ่งคำ
หลังจากนั้นเขาก็หยุดมือไม่ได้และตักข้าวเข้าปากไปอย่างต่อเนื่อง จนถึงชั่วขณะหนึ่ง เขารู้สึกมีความสุขที่ได้กินข้าวสีน้ำเงินนี้มากจนน้ำตาเกือบไหลออกมา เขารู้สึกมีความสุขจนรู้สึกว่าโลกนี้ยังมีอะไรดีๆรออยู่อีกเยอะเลยจริงๆ
ไม่นานนัก เขาก็ได้กินข้าวจนหมดหม้อน้อยๆของเขา จนไม่ให้เหลือเลยแม้แต่เม็ดเดียวทั้งๆที่ไม่ได้กินกับกับข้าวเลยด้วยซ้ำ
“มันอร่อยจนทำให้มีความสุขได้เลยจริงๆ ไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมมันถึงมีราคาถึงชั่งละหมื่นหยวน” ใบหน้าของโจวจือหยุนในตอนนี้แสดงออกถึงอารมณ์ที่หวั่นไหว ตัวเขานั้นนอกจากการใช้เงินซื้อของกินในการจีบสาวแล้ว นี่ถือว่าเป็นมื้ออาหารที่หรูหรามื้อหนึ่งในชีวิตเขาเลยทีเดียว
ในตอนนั้นเขาหมดเงินไปกับการกินอาหารในภัตตาคารระดับสูงที่มีค่าอาหารอยู่ที่จานละหนึ่งพันหยวนเลยทีเดียว
ถึงแม้ในตอนนั้นมันจะอร่อยก็จริง แต่เมื่อเทียบกับข้าวสีน้ำเงินเพียงขีดเดียวนี้ช่างเทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าเขานั้นจะต้องซื้อข้าวสีน้ำเงินนี้อย่างแน่นอน แต่เขาก็คงจะกินทุกมื้อไม่ไหวจริงๆ ถึงแม้จะแพงไปหน่อยแต่สักเดือนสองเดือนหนหนึ่งก็ยังถือได้ว่าพอจ่ายไหวอยู่เหมือนกัน อย่างมากก็แค่เก็บเงินจากส่วนอื่นก็เท่านั้นเอง
นอกจากโจวจือหยุนแล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่ได้ลองและมีความคิดแทบจะไม่ต่างกันเลยสักนิด ตอนนี้ชื่อเสียงของข้าวสีน้ำเงินนั้นพุ่งสูงขึ้นราวกับหน่อไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่สูงขึ้นได้เพียงชั่ววันเดียว และนี่เองก็ทำให้หลายๆคนเริ่มยอมรับกับการกระทำของซูจิ้งมากขึ้น
แน่นอนว่ายอดขายของข้าวสีน้ำเงินเองก็พุ่งขึ้นตามจนทำให้แม้แต่คนที่เคยออกมาดูถูกเหยียดหยามและสาบส่งในตอนแรกทั้งในโลกทั่วไปและโลกอินเตอร์เน็ตต้องนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง
GGS:บทที่ 1039 ขโมยเมล็ดพันธุ์
“ลูกพี่ฮัวครับ” ชายหนุ่มท่าทางสุขุมคนหนึ่งได้ยืนที่หน้าประตูร้านขายข้าวสีน้ำเงินได้โทรหาฮัวหยุนชู
“เกิดอะไรขึ้น มีใครไปซื้อข้าวสีน้ำเงินนั่นหรือไงกัน” ฮัวหยุนชูถามออกมา
“ใช่ครับ”
“ก็คงจะเป็นถังฮ่าว อันจือฮ่าว และก็พวกคนสนิทๆทั้งหลายนั่นแหล่ะที่จะยอมซื้อเพื่อจะสนับสนุนกิจการของซูจิ้ง”
“ไม่เชิงครับ นอกจากตระกูลถังที่ซื้อไปรวมๆกันแล้วหลายร้อยชั่งก็ยังมีคนรวยอีกจำนวนหนึ่งอย่างอันจือฮ่าวและผู้อาวุโสหวู่ที่ซื้อกันคนละร้อยชั่ง
นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายๆคนที่ซื้อแบบเป็นกิโลไปเหมือนกัน เท่าที่ดูๆแล้ววันนนี้ที่ร้านน่าจะขายไปได้สักประมาณ สามสิบล้านหยวน
แถมตอนนี้คนก็เริ่มหลั่งไหลมาซื้อกันจนผมนับไม่ทันแล้ว ทำให้ผมไม่แน่ใจแล้วว่ายอดขายในตอนนี้น่าจะสักเท่าไหร่”
“เป็น…ไปได้ยังไงกัน” ฮัวหยุนชูที่ได้ยินก็เกือบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งแล้ว แต่เขาได้ยินเสียงจากปลายสายจึงนำกลับมาฟังต่อ
“ผมเองตอนแรกก็คืดว่าเป็นไปไม่ได้เหมือนกันผมก็เลยซื้อไปลองหนึ่งถุงเล็ก หลังจากได้ลองแล้วผมก็ไม่กล้าจะพูดคำว่าเป็นไปไม่ได้อีกเลย
รสชาติของมันนั้นอร่อยจริงๆ และยังมีบางคนบอกว่ามันดีต่อสุขภาพด้วย”
“เข้าไปซื้อมาให้ฉันครึ่งชั่ง แล้วก็ลองหาวิธีซื้อเมล็ดที่ยังไม่ได้สีหรือฉายฆ่าเชื้อมาด้วย”
“ได้ครับ” เมื่อได้ยินว่าฮัวหยุนชูอยากได้ข้าวนั้นชายมาดสุขุมก็เข้าใจในทันทีว่าฮัวหยุนชูต้องการอะไร
ข้าวสารนั้นก็คือเมล็ดข้าวที่ได้รับการเสียดสีจนสูญเสียความสามารถในการเป็นเมล็ดพันธุ์ไปแล้ว แต่กับเมล็ดข้าวที่ยังไม่ได้สีและฉายแสงฆ่าเชื้อนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หากว่าได้เมล็ดข้าวที่ยังไม่ได้สีและฉายแสงมา นั่นก็ไม่ต่างจากก็ปล้นธุรกิจมาได้อย่างง่ายดาย
ขณะเดียวกัน ฟูฮงซิ่วกำลังอยู่ไม่สุข นั่นก็เพราะเรื่องรถยนต์กาลเวลาของซูจิ้งทำให้กิจการของเขาได้รับความเสียหายหนักเกินกว่าที่คิดไว้
ความจริงแล้วไม่เพียงแค่กลุ่มทุนฮงเหอเท่านั้นที่ได้รับความเสียหาย ต้องเรียกว่าล้มคืนกันทั้งวงการรถยนต์กันเลยก็ว่าได้
ผลกระทบจากรถยนต์ของกลุ่มทุนห้วงเวลานั้นช่างใหญ่หลวงนัก และแทบจะกลืนกินทั้งตลาดรถยนต์ในทันทีที่วางจำหน่ายเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น รถยนต์กาลเวลายังได้รับการสนับสนุนจากรัฐอย่างมาก เพราะรถกาลเวลาเป็นรถที่เรียกได้ว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง การคงอยู่ของรถนี่ทำให้รถยนต์ที่ยังใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ไร้หนทางไปอย่างสิ้นเชิง
ได้การที่มีลมที่เรียกได้ว่ารัฐพัดพาแบบนี้ เรือใหญ่อย่างกลุ่มทุนห้วงเวลาฯก็แทบจะแล่นผ่านไปได้ทุกน่านน้ำแล้ว และทำให้ชื่อเสียงของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯโด่งดังขึ้นไปอีก
ด้วยสถานการณ์แบบนี้จะให้รถยนต์ที่ไม่ใช้ไฟฟ้าคงอยู่ได้อย่างไร โดยเฉพาะรถยนต์ของกลุ่มฮงเหอที่มียอดขายดีที่สุดในจีนต้องไปไม่เป็นกันเลยแม้แต่น้อย
“ลูกพี่ฟุ ซูจิ้งในตอนนี้ตกเป็นข่าวอยู่ครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งได้วิ่งเข้ามาในออฟฟิศเพื่อบอกข่าวซูจิ้ง
“เกิดอะไรขึ้น” ฟูฮงซิ่วได้ยกหัวขึ้นมาก่อนที่จะเอามือนวดหน้าผากอย่างหนัก นั่นก็เพราะช่วงนี้เขาวุ่นอยู่กับธุรกิจทั้งวัน
ที่สำคัญที่สุดคือเขาอย่างจะขยันเพราะกลัวพ่อของเขาโมโหที่เขาปล่อยสุดยอดหัวกะทิให้ตกอยู่ในมือซูจิ้งไป
นี่ทำให้เขานั้นทำงานจนไม่รู้ข่าวสารภายนอกเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ข้าวสีน้ำเงินเอง เขาก็ไม่รู้จักเลยสักนิด
“เมื่อวานนี้ข้าวสีน้ำเงินได้วางขายในตลาด ราคาข้าวเกรดธรรมดานั้นอยู่ที่ชั่งและหมื่นหยวน ส่วนเกรดคัดพิเสษราคาอยู่ที่ช่างละหนึ่งแสนหยวน….” ชายหนุ่มพูดออกมา
“หึ แล้วยังไง ไม่มีใครไปซื้อพวกมันหรอกน่า” ฟูฮงซิ่วสบถออกมา
“ไม่เลยครับ แค่ยอดขายวันแรกเขาก็ทำยอดได้ยี่สิบล้านหยวนไปแล้ว ในวันที่สองพวกเขาทำยอดได้ถึงสามสิบล้านหยวนแล้ว แถมถ้าดูจากแนวโน้มล่ะก็คาดว่าจะมียอดขายสูงขึ้นกว่านี้ครับ”
“ว่าไงนะ” ฟูฮงซิ่วกระตุกปลายเท้าของเขาในทันทีนั่นก็เพราะเรื่องนี้มันยากเกินที่จะยอมรับได้
แค่ธุรกิจยานยนต์นั่นซูจิ้งก็เรียกได้ว่าขโมยเงินจากเขาไปจนทำให้แทบจะไม่ได้อะไรเข้ามาจากธุรกิจช่างทางนี้เลยแล้ว
นี่หมอนั่นยังไปวงการการเกษตรด้วยการขายข้าวแถมยังทำเงินได้มากซะขนาดนั้น หากว่าเมื่อได้ยินแบบนี้แล้วฟูฮงซิ่วยังนิ่งเฉยได้ก็คงแปลกพิลึก
“ไอ้ลูกสำส่อนนี่มันมีพระเจ้าหนุนหลังอยู่รึไงกัน ฉันไม่เชื่อหรอกว่าหากแกมีพระเจ้าหนุนนำแล้วปีศาจจะส่งเสริมน่ะ แก…..ไปที่ร้านแล้วหาทางเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินมาให้ได้”
ทันทีที่ฟูฮงซิ่วคิดวิธีนี้และสั่งออกไป เขาก็เหมือนนึกอะไรได้ก่อนที่จะพูดออกมาทันทีว่า “เดี๋ยวก่อน ต่อสายฮัวหยุนชูให้ฉันก่อนจะทำอะไรไป”
ด้วยการที่มีพื้นฐานเหมือนกันทำให้เขาเองก็คิดว่าฮัวหยุนชูก็คงจะมีความคิดไม่ต่างไปจากเขา เขาเชื่อว่าในตอนนี้ฮัวหยุนชูได้ก้าวเท้านำหน้าเขาไปก่อนหน้านี้แล้วอย่างแน่นอน
ในเมื่อทั้งสองเป็นพันธมิตรกันเพราะเรื่องซูจิ้งแล้ว อย่างน้อยๆกับเรื่องนี้ก็น่าจะพอแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้บ้าง
ไม่เพียงแค่ฮัวหยุนชูและฟุฮงซิ่วเท่านั้น กับเรื่องการขโมยพันธุ์ข้าวนี้ก็ได้มีหลายๆคนที่เริ่มดำเนินการแล้วเช่นเดียวกัน เพียงแค่ขายข้าวก็ได้เงินมากมายขนาดนี้ มีหรือที่จะไม่มีคนโลภที่อยากได้
ด้วยการที่พื้นที่เพาะปลูกเมล็ดข้าวสีน้ำเงินนี้ค่อนข้างใช้พื้นที่กว้าง แน่นอนว่าจำเป็นต้องใช้ชาวนาและคนงานไม่น้อยอย่างแน่นอน
แต่ให้ซูจิ้งจะระวังขนาดไหนก็ตาม แต่ยังซะก็ต้องใครบางคนยอมหักหลังยอมปล่อยเมล็ดพันธุ์ข้าวนี้ออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย
ด้วยการนี้ทำให้เริ่มมีคนยอมทุ่มเงินเพื่อลอบซื้อเมล็ดพันธุ์มาให้ได้ แน่นอนว่าคนที่ทุ่มทุนกับเรื่องนี้มากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่ว
พวกเขาทุ่มทุนขนาดดึงตัวสุดยอดนักเพาะพันธุ์ของประเทศจีนให้มาร่วมงานโดยหวังว่าจะทำให้ต้นข้าวสีน้ำเงินนี้ ออกดอกออกผลให้พวกเขาโดยเร็วที่สุด
แต่ทันทีที่เริ่มต้นการเพาะพันธุ์พวกเขาก็ต้องพบเรื่องน่าฉงนในทันที เมล็ดพันธุ์ข้าวพวกนี้สามารถงอกได้ก็จริง แต่เพียงมันปริแตกออกจาเมล็ด พวกมันก็เหมือนจะตายในทันที
ถึงแม้จะจัดเตรียมสิ่งแวดล้อมให้ดีขนาดไหนก็ตามแต่นั่นก็แทบจะไม่ได้ส่งผลให้เมล็ดพันธุ์พวกนี้อยากจะออกมาดูโลกเลยสักนิด
สุดยอดนักเพาะพันธุ์พืชเองก็ได้ลองหลากหลายวิธีการจนในที่สุดก็มีต้นหนึ่งที่รอดมาได้ แต่ต้นที่รอดมานั้นก็แคระแกนจนประเมินได้เลยว่าการที่มันจะอยู่จนออกรวงข้าวได้นั้นยากเกินกว่าจะเป็นไปได้
เรื่องนี้นั้นแม้แต่สุดยอดนักเพาะพันธุ์พืชก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าด้วยเหตุใดทำไมต้นพันธุ์เมล็ดข้าวสีน้ำเงินนั้นถึงไม่สามารถรอดอยู่ได้
หากพวกเขารู้ว่าซูจิ้งต้องทุ่มเทไปกับดินจอมเขมือบไปมากมายขนาดไหนถึงสามารถเพาะพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินได้แบบนี้ล่ะก็ เขาจะยิ่งไม่เข้าใจหนักขึ้นไปอีก
ฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วเองก็ยังไม่ได้ละความพยายามแต่อย่างใด พวกเขายังคงหาวิธีซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินมามากขึ้น และได้ดึงตัวผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุดในโลกมาเลยทีเดียว เรียกได้ว่าทุ่มจนแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว
แต่ถึงพวกเขาจะทุ่มทุนกันขนาดนั้นแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยทำให้ต้นพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินอยู่รอดเพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย นี่กลับแทบจะเป็นการตอกย้ำสำหรับความคิดของพวกเขาเข้าไปอีกว่าไม่มีทางสำเร็จได้เลย
ถึงแม้ว่าจะมีอีกหลายๆคนที่ยังไม่ยอมจะตัดใจจากเรื่องนี้ แต่ เมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินเองก็ไม่ใช่ว่าจะราคาถูกแต่อย่างใด นี่ทำให้พวกเขานั้นต้องยอมตัดใจไปโดยปริยาย
ด้วยเรื่องนี้ทำให้เหล่าผู้คนที่อิจฉาซูจิ้งนอกจากจะต้องถอดใจแล้ว พวกเขานั้นยังได้รู้จักซูจิ้งมากขึ้นว่าคนอย่างเขานั้นที่ไม่เคยกลัวว่าใครจะขโมยของๆเขาอย่างเมล็ดพันธุ์นี้ไปนั้น
นั่นเป็นเพราะว่าซูจิ้งได้เตรียมการมาเป็นอย่างดีแล้ว ราวกับคนที่จะขโมยของจากพระเจ้าสูงสุดที่ต่อให้ขโมยไปได้แต่ก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี
ในขณะที่เรื่องราวของข้าวสีน้ำเงินยังเป็นที่พูดถึงกันอย่างร้อนแรงจนทำให้ผู้คนมากมายต้องอิจฉาซูจิ้งนั้น
ในระหว่างนี้ก็ได้มีข่าวใหม่ออกมา นั่นก็คือ ในที่สุดบุหรี่ของซูจิ้งก็ได้วางจำหน่ายในท้องตลาดสักที แถมบุหรี่ของซูจิ้งยังมีการแบ่งเกรดอีกด้วย
ราคาบุหรี่ของซูจิ้งนั้นถูกสุดอยู่ที่ห้าสิบหยวนและแพงสุดอยู่ที่หนึ่งแสนหยวน ถึงแม้ว่าราคาบุหรี่ซองละห้าสิบหยวนนั้นจะดูแพงกว่าบุหรี่ธรรมดาก็จริง
แต่ราคานี้ก็ไม่ได้แพงมากเกินกว่าที่คนธรรมดาจะเอื้อมถึง นั่นก็เพราะว่าบุหรี่มียี่ห้ออย่างแพนด้าซองอ่อนนั้นก็ราคาซองละหกสิบหยวนเข้าไปแล้ว
และราคานี่จะว่าซูจิ้งก็ไม่ได้เพราะธุรกิจยาสูบนี้ไม่เหมือนกับข้าวสีน้ำเงินที่ตั้งได้ตามใจ ด้วยการที่ธุรกิจยาสูบนั้นรัฐเป็นคนกำหนดราคา
นี่จึงทำให้ต่อให้ภาครัฐพยายามที่จะเข้าไปควบคุมราคาข้าวสีน้ำเงินก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีรัฐเข้ามาควบคุม แต่ซูจิ้งก็ยังมีการแบ่งเกรดโดยตั้งราคาไว้สูงสุดที่หนึ่งแสนหยวนแบบนี้
นี่จึงทำให้หลายๆคนอดจะสงสัยไม่ได้ว่าภาครัฐควบคุมราคาแล้วจริงๆรึเปล่า ถ้าจะต้องสูงขนาดนี้ไม่ตั้งไปสักล้านนึงซะเลยล่ะ
แต่ถึงจะมีหลายๆคนจะคิดแบบนั้นแต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรออกมาโดยตรง นั่นก็เพราะเรื่องข้าวสีน้ำเงินก่อนหน้านี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่จะบอกว่ามันคุ้มค่าสมราคาแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้าออกมาว่าเขาแต่อย่างใด ทำได้เพียงแค่มองอยู่เฉยๆเท่านั้น
“เห้อ…หนึ่งแสนหยวนเหรอ คงได้แค่คิดเท่านั้นแหล่ะ แต่แค่ห้าสิบหยวนนี่ฉันสบายๆอยู่แล้ว”
“เห็นเขาว่ากันว่าตอนนี้รัฐได้พัฒนาสายพันธุ์ยาสูบใหม่ขึ้นมาโดยมีซูจิ้งเป็นคนผลักดัน ด้วยเหตุนี้ทำให้ภาครัฐตอบแทนซูจิ้งโดยให้ส่วนแบ่งจากผลกำไรถึง10%เลยนะ ฉันอยากรู้จริงๆว่าบุหรี่นี่จะดีขนาดไหนกัน”
“ฉันได้มาซองนึงแล้วลองดูเรียบร้อยแล้วล่ะ ความรู้สึกมันเหมือนกับฉันได้กินของหรูๆเลยทีเดียว”
ด้วยการที่บริษัทยาสูบนั้นเป็นธุรกิจของภาครัฐ แน่นอนว่ารัฐย่อมดำเนินการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้แพร่กระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว
ตอนแรกนั้นนอกจากข้าวสีน้ำเงินแล้วก็ไม่ได้มีใครสนใจกับการซื้อบุหรี่ของซูจิ้งแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ในวงการก็เลยไม่ได้ติดตาม
แต่ด้วยการที่บุหรี่นี้มีราคาที่พอจะเข้าถึงได้ เลยทำให้หลายๆคนได้ทดลองดู
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น