Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1024-1031
GGS:บทที่ 1024 สนุก?
“เอ้า ไอ้เราก็อุตส่าห์ตั้งชื่อบอกใบ้ไว้แล้วนะนั่น ก็ถ้าเอาคำว่าเทียนกับซินมาเขียนใหม่มันก็จะอ่านว่าซือหยานิ นี่ผมนึกว่าเจ้จะรู้ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับเลยนะ” ซูจิ้งพูดพลางหัวเราะออกมาดังลั่นจนทะลุโทรศัพท์มายังอีกฝั่งยังได้ยิน
“รู้กะผีน่าสิ ใครจะไปคิดว่านายที่มีเรื่องวุ่นวายมากมายอย่างโรงพยาบาล ภัตตาคาร ระบบอัจฉริยะ ระบบประสาทเทียมกับเรื่องอื่นๆอีกเยอะแยะจะมามีเวลามาสนใจผลิตสุดยอดน้ำหอมนี่ได้กัน
แถมนายยังส่งไปทั่วเลยไม่ใช่รึไง ไหนจะเรื่องส่งแบบนิรนามนั่นอีก อย่าบอกนะว่าที่ทำไปแค่จะแกล้งพวกเราน่ะ ห้ะ” หวังซือหยาได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มเมื่อรู้ว่าซูจิ้งที่ยุ่งวุ่นวายขนาดนั้นยังมีเวลามาก่อกวนพวกเธอเล่นได้แบบนี้อีก
“ก็ผมกลัวว่าถ้าผมเอาน้ำหอมที่ลองทำไปให้ใช้กันแล้วจะอวยผมเกินไปนี่นา ดีไม่ดีถ้าเกิดกลิ่นออกมาไม่ถูกใจก็กลัวจะเสียหน้า ผมก็เลยคิดว่าส่งไปให้ใช้กันแบบนิรนามนี่แหล่ะดีสุดละ เอานะอย่างน้อยผลก็ออกมาดีกว่าที่คิดไว้ล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องมาทำเป็นคนไม่มีฝีมือเลยนะ ฉันไม่สนหรอกนะว่านายไปเรียนวิธีการทำน้ำหอมมาจากไหนแต่อยากรู้ว่าตอนนี้นายอยู่บ้านรึเปล่า ถ้าอยู่ล่ะก็ฉันจะไปหานายตอนนี้” หวังซือหยาพูดออกมา
“ไม่อ่ะผมว่าผมไปที่นั่นเองดีกว่า แล้วก็เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ก็ได้ รีบมาเลยนะ” หวังซือหยาพูดด้วยท่าทีไม่อยากจะรอแล้วด้วยซำ
หลังจากวางสายไป หวังซือหยา หยินหนิงหนิง และโจวเสวี่ยต่างก็มองน่ากันและรู้สึกว่าอยากจะทำอะไรสนุกๆขึ้นมา
เชิงชิเหยาที่เห็นก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงพลางรู้สึกว่าเป็นอีกครั้งที่เธอนั้นคิดเองเออเองอีกแล้ว
เมื่อวานนี้ตอนที่เธอได้รับน้ำหอมมานั้นเธอคิดว่าซูจิ้งให้น้ำหอมเธอคนเดียว กลายเป็นว่าซูจิ้งนั้นส่งน้ำหอมไปให้ผู้หญิงอีกหลายคนทั่วไปหมด
แต่นี่มันก็ตรงกับที่เขาบอกมาจริงๆว่านี่เป็นของทดลองทำให้เธอเองก็ไม่รู้จะไปโทษใครได้เหมือนกัน
ในตอนนั้นเองโทรศัพท์ของหวังซือหยาก็ได้ดังขึ้น และเป็นดงจุนที่โทรเข้ามา หวังซือหยาได้รีบรับสาย
เมื่อเธอรับสาย ดงจุนได้รีบพูดออกมาว่า “ตอนนี้กำลังควานหาคนที่ทำน้ำหอมเทียนซินนั้นอยู่อีกไม่นานคิดว่าน่าจะเจอตัวแล้ว ต่อให้ไม่เจอแต่อย่างน้อยในตอนนี้เราได้วางคนเพื่อคอยจับตาดูไว้แล้ว หากว่าคนที่ทำน้ำหอมนั่นเคลื่อนไหวขึ้นมาพวกเราจะรู้ในทันที น้ำหอมระดับนั้นหากปล่อยให้หลุดมือไปล่ะก็ต้องเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราอย่างแน่นอน”
“ใจเย็นๆนะ…. ตอนนี้ฉันเจอคนผลิตแล้วล่ะ” หวังซือหยาพูดออกมาด้วยรอยยั้ม
“เยี่ยม แล้วได้คุยเรื่องสัญญาการซื้อขายไว้บ้างรึยังน่ะ จะให้ดีล่ะก็จับเซ็นสัญญาร่วมหุ้นกันไปเลย” ดงจุนรีบพูดออกมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องกังวลน่า เรื่องนี้เดี๋ยวฉันจัดการเอง” หวังซือหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ให้กังวลได้ยังไง อย่างๆน้อยเราก็ควรจะคุยเรื่องสัญญา….”
“คนผลิตน้ำหอมเทียนซินนั่นก็คืออาจิ้งน่า” หวังซือหยาพูดออกมาตัดบทในทันทีเพราะเธอไม่อยากฟังคำบ่นของดงจุนอีกต่อไป
“ห้ะ อาจิ้งอ่ะนะ” ดงจุนที่ได้ยินก็ทำได้เพียงเงียบนิ่งไป
“ได้ยินถูกแล้วน่า เป็นอาจิ้งของพวกเรานั่นแหล่ะ” หวังซือหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่ว่าเขายุ่งอยู่เหรอ แล้วทำไมอยู่ๆถึงได้มาทำน้ำหอมได้ล่ะ แถมยังเป็นสุดยอดน้ำหอมเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นทำไมเขาถึงส่งมาแบบนิรนามกัน อย่าบอกว่าเขาแค่อยากจะแกล้งพวกเราเล่น” ดงจุนที่ได้ยินก็ทำตัวไม่ถูกเช่นเดียวกัน
นั่นก็เพราะไม่ว่าจะมองทางไหนแล้วก็ดูเหมือนว่าซูจิ้งตั้งใจจะแกล้งพวกเธอ แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเธอโกรธลงได้เพราะว่านี่ก็เท่ากับว่าพวกเธอแถบจะได้รับสิทธิ์ในการขายสุดยอดน้ำหอมเทียนซินนี้ไปโดยปริยายแล้ว
ไม่นานซูจิ้งก็ได้มาถึง เขานำสูตรลับมาพร้อมกับตัวอย่างน้ำหอมที่เขาทำให้ หวังซือหยา โจวเสวี่ย หยินหนิงหนิง และเชิงชิเหยา
ทั้งสี่เมื่อได้ทดลองดมน้ำหอมดูก็รู้สึกติดใจในตวามหอมขึ้นมาในทันที พวกเธอทุกคนได้แสดงความตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด
นั่นก็เพราะว่าทุกกลิ่นที่ซูจิ้งทำมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดน้ำหอม ถึงแม้จะมีกลิ่นแตกต่างกันแต่ทุกขวดล้วนเป็นสุดยอดด้วยตัวมันเอง
แต่ที่ทำให้พวกเธอนั้นไม่เข้าใจก็คือทำไมซูจิ้งสามารถทำให้น้ำหอมให้เหมาะสมกับพวกเธอได้ขนาดนี้
พวกเธอเองต่างก็เคยสัมผัสน้ำหอมมามากมายหลากหลายไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อเล็กๆหรือยี่ห้อดังๆอย่างแชนแนล เอสเต่ลอว์เดอร์ หรือยี่ห้ออื่นๆ
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว พวกเธอชอบน้ำหอมที่ซูจิ้งเลือกให้ที่สุดแล้ว แม้แต่น้ำหอมกลิ่นอื่นที่ซูจิ้งนำมาให้นั้นจะหอมนุ่มลึกไม่แพ้กันแต่ก็ไม่สู้ของที่เขาส่งมาให้แบบนิรนามก่อนหน้านี้อยู่ดี
เมื่อทั้งหมดได้เห็นสูตรการทำน้ำหอมพร้อมทั้งส่วนประกอบทั้งหมดแล้ว ด้วยการที่ส่วนประกอบเป็นสารสกัดจากพืชถึงแม้พวกมันจะดีที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติก็จริง
แต่ด้วยปริมาณเท่านี้พวกเธอหลายๆคนต่างก็คิดว่าไม่สามารถผลิตน้ำหอมนี้ได้เป็นจำนวนมากเพื่อจะทำขายได้อย่างแน่นอน
มีเพียงหวังซือหยาเท่านั้นที่คิดต่างออกไป เธอรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลอย่างประหลาดที่สารสกัดเหล่านี้เมื่อผสมแล้วทำให้กลายเป็นสุดยอดน้ำหอมไปได้
ด้วยน้ำหอมระดับสุดยอดแบบนี้นั่นการวางจำหน่ายต้องทำออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่หรูหราเท่านั้น
และเธอบอกได้เลยว่าราคาของน้ำหอมนี้จะต้องตั้งไว้ไม่ต่ำไปกว่าน้ำหอมดังๆอย่างชาเนล เอสเตลอร์เดอร์ และยี่ห้อชั้นนำอื่นๆอย่างแน่นอน ต่อให้ทำได้ในปริมาณที่น้อย แต่บอกได้เลยว่ากำไรมากกว่าเห็นๆ
เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังซือหยาได้รีบเรียกประชุมเหล่าบุคลากรแผนกน้ำหอมของบริษัทในทันทีเพื่อจะทำการผลิตและวางจำหน่ายให้เร็วที่สุด
ในขณะเดียวกัน เธอ ก็ได้ติดต่อไปยังมู่หรงเซียนเอ๋อและนาหลันเฟยเพื่อให้ช่วยเธอในการประชาสัมพันธ์
“หวังซือยาอยากจะให้เราเตรียมตัวในการประชาสัมพันธ์น้ำหอมเทียนซินให้เร็วที่สุด” ผู้จัดการของมู่หรงเซียนเอ๋อพูดออกมาหลังจากกำลังคุยกับหวังซือหยาผ่านโทรศัพท์ด้วยท่าทีประหลาดใจ
“เดี๋ยวก่อนน” มู่หลงเซียนเอ๋อที่ได้ยินรีบห้ามผู้จัดการของเธอก่อนที่จะตบปากรับคำอะไรไป เธอได้รีบพูดออกมาว่า “บอกพี่ซือหยาว่าฉันจะช่วยเธอแลกกับน้ำหอมนั่นมาให้ฉันสักขวดสองขวดให้หน่อย”
หลังจากที่ผู้จัดการของเธอไปรับน้ำหอมมาด้วยตัวเองแล้ว เมื่อเธอกลับมาเธอก็บอกกับมู่หรงเซียนเอ๋อว่าน้ำหอมนี่ถูกทำขึ้นโดยซูจิ้ง นี่ทำให้มู่หรงเซียนเอ๋อประหลาดใจจนเบิกตาโต
“ไม่ใช่ว่าซูจิ้งนั่นยุ่งอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมเขายังหาเวลาไปเรียนรู้การทำสุดยอดน้ำหอมนี่ได้กันนะ” ผู้จัดการสาวที่ได้ยินเรื่องนี้มากับหูก็ยังมีท่าทีมหัศจรรย์ใจกับชายคนนี้
“คนเทพๆแบบนั้นเอาบรรทัดฐานของพวกเราไปวัดไม่ได้หรอกน่า ก็ดีนะอย่างน้อยๆพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไปหาสุดยอดน้ำหอมนี่จากไหนแล้ว” มู่หรงเซียนเอ๋อพูดออกมาด้วยท่าทีดีใจสุดๆ
“ถ้าเขาเป็นคนผลิตเองล่ะก็การใช้ชื่อเทียนซินนี่ไม่เหมาะเลยนะ พวกเขาควรเรียกน้ำหอมนี้ว่าน้ำหอมแห่งเทพจะดีกว่า
พอมาคิดถึงว่าที่เขาตั้งชื่อเทียนซินนี่เป็นเพียงแค่การเล่นคำมาจากคำว่าซือหยาแล้วได้คำที่ให้ความหมายดีขนาดนี้ หมอนี่แม้แต่การกลั่นแกล้งคนนี่ก็ยังเทพเลยจริงๆ” ผู้จัดการสาวของมู่หรงเซียนเอ๋อเมื่อพูดจบก็ได้หัวเราะออกมาเล็กน้อยพลางสายหัวอย่างหมดคำจะพูด
ในขณะเดียวกัน นาหลันเฟยก็ได้รับคำขอจากหวังซือหยาในทำนองเดียวกัน เมื่อนาหลันเฟยรู้ว่าน้ำหอมเทียนซินนี้เป็นซูจิ้งที่ผลิตขึ้นมาเอง เธอก็ได้พูดออกมาคำๆหนึ่งว่า
“ชายคนนี้ทำได้เทพทุกอย่างจริงๆ” นาหลันเฟยกล่าวออกมาราวกับเป็นความรู้สึกก้นบึ้งของหัวใจ
“ฉันขอบอกเธอตรงๆเลยนะว่า ฉันว่าซูจิ้งนั้นทรงพลังยิ่งกว่ามนุษย์แมงมุมที่เธอเคารพรักนั่นเสียอีก ไม่ใช่ว่ามนุษย์แมงมุมคนนั้นไม่ดีหรอกนะ แต่เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้ว เขานั้นไม่เพียงดีแต่เรียกได้ว่าเทพไปซะทุกเรื่อง นอกจากนั้นหากพูดในเรื่องการต่อสู้แล้ว เขาเองก็ทรงพลังไม่แพ้ใครเลย” ผู้จัดการสาวได้พูดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเช่นเดียวกัน
“ก็จริงนะ แต่ไม่ว่าเขาจะทรงพลังขนาดไหนก็ตาม เขานั้นไม่สามารถแทนที่มนุษย์แมงมุมของฉันได้อยู่ดี” นาหลันเฟยที่ตอนแรกได้ยินคำพูดจากผู้จัดการของเธอนั้นก็อยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ทำได้เพียงเม้มปากไว้
ดั่งคำที่ว่าหญิงสาวนั้นมักหมายตาวีรบุรุษ นาหลันเฟยนั้นเคยถูกช่วยชีวิตไว้โดยมนุษย์แมงมุม แน่นอนว่าใจของเธอนั้นย่อมเทไปที่มนุษย์แมงมุมมากกว่าอยู่แล้ว จะให้เรียกว่าเป็นคนรักในฝันเลยก็ว่าได้
ด้วยเรื่องแบบนี้นั้นเป็นความรู้สึกส่วนตัวที่ฝังใจเธอไปแล้ว ต่อให้ใครหน้าไหนก็ตามไม่สามารถเปลี่ยนใจเธอได้อย่างแน่นอน
แต่อีกหนึ่งเหตุผลที่เธอไม่อยากจะเถียงกับผู้จัดการของเธอนั่นก็คือเธอกำลังคิดหาทางจะได้น้ำหอมนี้มาใช้ก่อนใครนั่นเอง
ไม่นานนักช่าวเรื่องที่ว่าใครเป็นผู้ผลิตสุดยอดน้ำหอมแพร่กระจายออกไป ฉือชิง ตงเจีย และคนอื่นๆไม่นานก็รู้เรื่องนี้
เมื่อตงเจียและคนอื่นๆนั้นรู้ว่าเป็นซูจิ้งเป็นคนส่งน้ำหอมมาให้ฉือชิงเอง
นี่ทำให้ต่อให้พวกเธออยากได้สุดยอดน้ำหอมนี้มาจนต้องเวียนกันใช้ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ก็ต้องตัดใจทำได้เพียงส่งคืนน้ำหอมคืนฉือชิงไปทั้งที่ใจนั้นไม่อยากเลยแม้แต่น้อย
ตอนแรกที่พวกเธอนั้นรู้เรื่องนี้ก็แอบดีใจอยู่หน่อยๆเพราะคิดว่าจะขอใช้ แต่พวกเธอเองก็อายเกินกว่าที่จะขอได้เช่นเดียวกัน
หลังจากที่ฉือชิงได้น้ำหอมนี้คืนกลับไปแล้ว จากตอนแรกที่สายตาของเธอมองสุดยอดน้ำหอมนี้ด้วยความอคติกลับแปลเปลี่ยนเป็นสายตาที่หยาดเยิ้มในทันใด
ด้วยสายตาแบบนี้ทั้งตงเจียและคนอื่นๆรู้ได้ในทันทีว่าเป็นสายตาแห่งความรักอย่างแท้จริง หากว่าพวกเธอฝืนดึงดันไม่ยอมคืนน้ำหอมนี้ล่ะก็ รับรองได้เลยว่าร้านแตกกว่าตอนที่พวกเธอตะลุมบอนแย่งน้ำหอมนี้กันเมื่อวันก่อนอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนั้นทั้งตงเจียและพนักงานคนอื่นๆหลังจากคืนน้ำหอมให้ฉือชิงแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปทำสิ่งต่างๆ บ้างเล่นเกม บ้างออกกำลังกายยืดเส้นสาย บ้างทำเป็นจัดเตรียมของ เพื่อไม่ให้คิดมากเรื่องที่อยากได้น้ำหอมนี้
เมื่อฉือชิงได้เห็นแววตาอันเศร้าสร้อยของพี่น้องเธอก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเช่นเดียวกัน เรื่องนี้เธอทำได้เพียงแค่โทษซูจิ้งเท่านั้น ใครจะไปคิดว่าหมอนั่นจะคิดแกล้งคนจนต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา
ณ บริษัทน้ำหอมแห่งหนึ่ง หญิงสาวคนหนึ่งที่มีท่าทีมั่นหน้าได้นั่งลงอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง
ใบหน้าของเธอในตอนนี้ไม่ได้แสดงความสวยงามออกมาแต่อย่างใด เบื้องหน้าของเธอในตอนนี้มีกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ยืนอยู่ด้วยท่าทีอึดอัดใจ
“นี่หมายความว่าตั้งแต่ต้น เป็นซูจิ้งคนนี้ที่ผลิตน้ำหอมขึ้นมาแล้วแจกจ่ายไปทั่ว ส่วนชื่อน้ำหอมเทียนซินนี้ก็มาจากการเล่นคำอย่างประณีตบรรจงจากคำว่าซือหยา หรือก็คือน้ำหอมนี้เป็นของซือหยามาตั้งแต่ต้นสินะ” สาวมั่นได้พูดออกมาด้วยท่าทีสงบนิ่งแต่สีหน้ากลับขุ่นมัว
เหล่าชายหนุ่มและหญิงสาวที่ได้ยินก็อยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็พูดอะไรไม่ออก ในใจของพวกเขานั้นนึกสาปแช่งซูจิ้งอยู่ในใจว่าหากมีที่ๆจะขายอยู่แล้วจะส่งมาให้หัวหน้าของเขาวุ่นวายทำบ้าอะไร
พวกเขาเองต้องวุ่นวายในช่วงวันสองวันนี้เพราะเรื่องนี้ ขนาดได้คำตอบออกมาแล้วสุดท้ายหัวหน้าของพวกเขาก็ยังต้องขุ่นเคือง หมอนั่นไม่เคยคิดเลยรึไงว่าใครจะต้องมานั่งขัดหม้อก้นดำหลังจากก่อเรื่องเอาไว้
“ก็ดี ในเมื่อหมอนั่นคิดจะดวลกับฉันล่ะก็…. เทียนอัน จืฮ่าว งานเลี้ยงคืนนี้ช่วยเชิญซูจิ้งมาให้หน่อย ฉันเชื่อว่าหมอนั่นจะต้องอยากมางานเลี้ยงในคืนนี้อย่างแน่นอนหากว่าได้รับคำเชิญของฉันไป” ผู้จัดการสาวมั่นพูดในขณะที่ขบฟันของเธอไปมา
ถึงแม้น้ำเสียงของผู้จัดการสาวมั่นคนนี้จะไม่ได้ดังมากแต่กลุ่มคนหนุ่มสาวนี้กับได้ยินอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้พวกเขาเองก็กลัวผลลัพท์ที่ได้หลังจากรายงานเหมือนกัน
พวกเขาคิดว่าหัวหน้าของพวกเขาจะโกรธจนโทษพวกเขาอย่างสาดเสียเทเสีย แต่เมื่อเรื่องนี้กลายเป็นว่าหัวหน้าของพวกเขาหมายหัวซูจิ้งไว้โดยตรง นี่ทำให้พวกเขานั้นรู้สึกสบายใจขึ้นมาในทันที
GGS:บทที่ 1025 เก็บเกี่ยว
สุดยอดน้ำหอมนี้สำหรับซูจิ้งถือได้ว่าเป็นผลกำไรที่ได้รับจากขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศสุดยอดทหารจ้าวนักรบอย่างแท้จริง
แน่นอนว่าการใช้ประโยชน์จากขยะห้วงเวลาฯกองนี้ไม่ใช่เพียงแค่นี้นั่นก็เพราะที่เขาทำไปนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของคู่มือนักล่าระดับเบื้องต้นเท่านั้น
“แก่นแท้ของคู่มือนักล่าเล่มนี้หลักๆแล้วคือการควบคุมสภาพแวดล้อมของสิ่งมีชีวิต มันการควบคุมทั้งสัตว์ พืช จุลินทรีย์ เอนไซม์ และสิ่งชี้วิตอื่นๆ ช่างเป็นคู่มือที่คุ้มค่าจริงๆที่ได้เรียนรู้มัน”
ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและมีความสุขในขณะที่ยังอ่านไปยังเนื้อหาส่วนต่างๆ ก่อนที่เขานั้นจะโยนคู่มือนี้เข้าไปเก็บไว้ในกระเป๋ามิติของตัวเอง
หลังจากเก็บคู่มือนักล่าฯ ซูจิ้งก็ได้เดินออกจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า จนในที่สุดตัวเขาในตอนนี้ก็พร้อมที่จะไปเจอกับอันจือฮ่าวที่สนามบินตามที่ได้นัดกันเอาไว้แล้ว
“อืมมมมม หรือฉันจะลองใช้วิธีนั้น”
ก่อนที่ซูจิ้งจะออกเดินทาง เขานั้นก็เหมือนกับนึกอะไรได้บางอย่าง เมื่อตัดสินใจได้ ซูจิ้งก็ได้นำของสองสิ่งออกมาจากกระเป๋ามิติ หนึ่งคือผ้าเช็ดหน้าไหมสีทอง อีกหนึ่งคือหนังแปลงโฉม
เขาได้โยนผ้าเช็ดหน้าไหมสีทองขึ้นไปบนฟ้าก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่าง เพียงไม่นาน ผ้าเช็ดหน้าไหมสีทองก็ได้แปลเปลี่ยนไปเป็นชายร่างยักษ์ที่มีความสูงมากกว่าสี่ถึงห้าเมตร
ทันใดนั้นซูจิ้งก็ได้ใช้หนังแปลงโฉมกับชายร่างยักษ์คนนี้ในทันทีนี่ทำให้ชายร่างยักษ์กลายเป็นชายหนุ่มรูปหล่อที่มีความสูงเพียง 1.8 เมตรราวกับใช้เวทย์มนต์เลยทีเดียว
“ไม่ว่าเห็นยังไงก็ยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ดีแหะ”
ซูจิ้งเองทีเห็นสิ่งที่ตัวเองทำกลับถอดถอนหายใจออกมาเพราะไม่คุ้นชิน เพียงผ้าผืนเล็กๆผืนหนึ่งกลับแปรเปลี่ยนเป็นชายร่างยักษ์สูงกว่าสี่ถึงห้าเมตร
ด้วยหนังเล็กๆชิ้นหนึ่งกลับแปรเปลี่ยนชายร่างยักษ์สูงเสียดฟ้าเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสูงแค่ 1.8 เมตร
ไม่ว่าได้เห็นกี่ครั้งก็ต้องรู้สึกอัศจรรย์อยู่ในใจอยู่แล้ว ยิ่งเขาตรวจสอบหนุ่มหล่อที่อยู่ตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกพิศวงยิ่งกว่าเดิม
นั่นก็เพราะถึงแม้ว่าชายร่างยักษ์จะแปลเปลี่ยนเป็นหนุ่มหล่อไปแล้ว แต่ความแข็งแกร่งของชายคนนี้ก็ไม่ได้แปรเปลี่ยนตาม แถมยังไม่เหลือเค้าลางของชายร่างยักษ์เมื่อกี้ไว้ซะอีก
บอกได้เลยว่าต่อให้เขาปล่อยชายหนุ่มคนนี้ไปเดินเตล็ดเตร่ก็เชื่อได้เลยว่าไม่มีคนสงสัย จะมีก็เพียงสงสัยในความหล่อเหล่าเท่านั้น
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เพื่อความปลอดภัยแล้วซูจิ้งก็คิดไว้แล้วว่าในครั้งนี้เอาเป็นทดลองให้ทหารผ้าไหมทองนี้ติดตามเขาดูก่อน หากเกิดอะไรขึ้นเขาจะได้จัดการรับมือได้อย่างทันท่วงที
ซูจิ้งได้ขับรถไปยังสนามบิน เมื่อไปถึงก็พบอันจือฮ่าวรออยู่เรียบร้อยแล้วโดยเขานั้นมาคนเดียว
เมื่อซูจิ้งเดินไปหา อันจือฮ่าวก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นชายที่ยืนอยู่ข้างหลังซูจิ้ง
เขานั้นตกตะลึงในความหล่อเหลาของชายคนนี้ทั้งๆที่ตัวเองเป็นผู้ชายทั้งแท่งในทันทีที่เห็น นั่นก็เพราะชายหนุ่มคนนี้ดูหล่อเหลาและคมสันราวกับรูปปั้นมีชีวิตเลยก็ว่าได้
“คุณซูครับ คนนี้คือ…” อันจือฮ่าวถามออกมา
“เขาเป็นบอดี้การ์ดและคาดหวังจะให้เป็นคนขับรถของฉันด้วยน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“โอ้…” อันจือฮ่าวพยักหน้าพลางคิดอยู่ในใจว่าซูจิ้งไปหาบอดี้การ์ดควบคนขับรถหล่อเหลาแบบนี้มาจากที่ไหนกันแน่ นี่เขาไม่กลัวว่าบอดี้การ์ดจะแย่งความเด่นจากตัวเองเลยรึไงกัน
ตอนแรกเขาก็ว่าจะส่งแฟนของเขาหรือไม่ก็น้องสาวมาแทนเพราะกลัวซูจิ้งอึดอัด แต่พอมาเห็นบอดี้การ์ดของซูจิ้งแล้วบอกได้เลยว่าดีแล้วที่ไม่ส่งมา
อย่างไรก็ตามสิ่งที่อันจือฮ่าวสงสัยก่อนหน้านี้เรื่องที่ว่าบอดี้การ์ดของซูจิ้งจะแย่งซีนซูจิ้งไปนั้นเป็นเรื่องที่คิดไปเองอย่างมาก
นั่นก็เพราะว่าความเด่นดังของซูจิ้งนั้นไม่ได้โดนแย่งไปแต่อย่างใด เอาจริงๆความเด่นของเขากับเพิ่มสูงขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ ตอนนี้ชายหนุ่มคนนี้เปรียบได้ดั่งไม้ประดับของซูจิ้งไปแล้ว
“เฮ้อออ… เป็นฉันเองสินะที่โดนแย่งความเด่นดังไปน่ะ”
อันจือฮ่าวได้นึกขึ้นมาในทันทีที่เริ่มสังเกตเรื่องนี้ได้ ตัวเขาเองก็ถือได้ว่าเป็นหนุ่มหล่อคนหนึ่งเหมือนกัน
แต่หากว่าเมื่อเทียบกับสองคนนี้บอกได้เลยว่าช่างห่างไกลนัก เรื่องนี้เขาไม่ได้คิดไปเองอย่างแน่นอน
เพราะตลอดทางที่พวกเขาเดินมานั้น สาวๆทั้งหลายต่างพูดถุงซูจิ้งและหนุ่มหล่อคนนี้แค่สองคนเท่านั้น ไม่มีใครพูดถึงเขาเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าในระหว่างนี้คนที่เห็นซูจิ้งก็ได้อาศัยจังหวะนี้เข้ามาขอลายเซ็นกันเป็นเรื่องปกติ
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปในที่สุดก็ถึงเวลาที่เครื่องบินออก เพียงแต่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี พวกเขาก็มาถึงยังเมืองข้างๆเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาตรงไปยังโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่ง และที่นั่นคือสถานที่จัดงานเลี้ยงที่เป็นเป้าหมายของพวกเขาในครั้งนี้
ตอนที่พวกของซูจิ้งไปถึงก็เป็นเวลาสองทุ่มเข้าไปแล้ว ตอนนี้แขกเหรื่อภายในงานค่อนข้างจะหนาแน่น คนในงานนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าคนดัง คนรวย ผู้มีอำนาจ หรือไม่ก็ตัวแทนจากตระกูลใหญ่ แน่นอนว่างานนี้ไม่มีที่ให้กับคนทั่วไปเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม การมาถึงของกลุ่มของซูจิ้งนั้นได้ทำให้หลายๆคนอดไม่ได้ที่จะประหม่า
หลายๆคนเองถึงกับโค้งคำนับทักทายเขาด้วยท่าทีอันนอบน้อม แน่นอนว่ามีอีกหลายๆคนที่ประหลาดใจเหมือนกันพวกเขานั้นไม่คิดว่าคนอย่างซูจิ้งจะมาในงานนี้ได้
นั่นก็เพราะว่าถึงแม้ตอนนี้ซูจิ้งมีอำนาจที่แข็งแกร่งอยู่ในมือก็จริง แถมเขานั้นยังมีตำแหน่งเป็นคุณชายสี่ที่ชาวเน็ตนั้นยกย่องให้ดีที่สุดในหมู่คนที่มีฉายานี้
อย่างไรก็ตามซูจิ้งนั้นยังถือได้ว่ามีสถานะที่แตกต่างจากคุณชายสี่อีกสามคนอย่างมาก นั่นก็คือพวกเขานั้นเป็นคุณชายสี่ตามตำแหน่งในตระกูลของตัวเองแต่กำเนิด แต่กับซูจิ้ง เขานั้นเป็นคุณชายสี่เพราะการรับเข้ามาอยู่ในตระกูล นี่ทำให้เหล่าคุณชายสี่ที่แท้จริงจงเกลียดจงชังซูจิ้งอย่ามาก
แต่ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นสร้างขุมอำนาจด้วยตัวเองจนเหนือกว่าใครแม้แต่พ่อของคุณชายสี่อีกสามคนก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ แม้แต่เรื่องเงินก็ไม่ได้ด้อยกว่าแม้แต่น้อย
ยังไม่รวมถึงการที่เขานั้นเป็นหมอเทวดาที่สามารถควบคุมได้ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ชีวิต และความตาย ต่อให้คุณชายสี่ที่แท้ทั้งสามจะเกลียดชังยังไงก็ไม่กล้าทำอะไรเขาอยู่ดี
“สวัสดีคุณซู” ชายวัยกลางคนที่เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งได้เข้าทักทายด้วยความเป็นกันเอง
“ไม่คิดเลยนะคะว่าคุณซูจะมาร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย ยินดีที่ได้พบค่ะ” หญิงสาวที่แต่งตัวดูดีมีไสตล์คนหนึ่งได้เข้ามาทักทายเช่นเดียวกัน
“คุณซูครับ ดีจริงๆที่ได้พบคุณในวันนี้” ชายหนุ่มที่พึ่งจะแสดงท่าทางโอ้อวดต่อหน้าหญิงสาวกลุ่มหนึ่งได้รีบเข้ามาทักทายซูจิ้งทันทีด้วยอาการประหม่า
เห็นได้ชัดว่าเขานั้นอยากจะรู้จักซูจิ้งอย่างมาก แต่เขาเองก็ต้องวางตัวอยู่นั่นก็เพราะว่าหากมีอะไรพลาดไปเขาจะเข้าหาคนกลุ่มอื่นไม่ติด
ซูจิ้งเองก็ทำเพียงพยักหน้าและกล่าวทักทายไปเพียงเท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้อันจือฮ่าวได้รู้สึกว่าการที่เขาพาซูจิ้งมาที่นี่ในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นกำไรของเขาแล้วจริงๆ
ถึงแม้ว่าตระกูลของเขานั้นจะไม่ด้อยไปกว่าใครหลายคนในในโลกภายนอก แต่ในที่นี้โดยส่วนใหญ่แล้วคนเหล่านี้ก็อยู่ในระดับที่สูงกว่าเขามากนัก
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ในระดับเดียวกับเขา การที่เขาได้มายืนอยู่ข้างๆซูจิ้งแบบนี้ได้ทำให้เขานั้นเป็นที่กล่าวถึงได้อย่างดี
ในตอนนี้เอง มีคนกลุ่มหนุ่มที่ยืนมองเหตุการณ์นี้อยู่ค่อนข้างไกลก็ได้จับกลุ่มคุยกันในขณะที่มองซูจิ้งตาเขม็ง
“ซูจิ้งนั้นมีชื่อเสียงที่ดีจริงๆ นายเห็นคนนั้นไหม ชายวัยกลางคนคนนั้นเป็นนักธุรกิจที่ติดอันดับหนึ่งในร้อยสุดยอดนักธุรกิจของประเทศจีน การที่คนอย่างเขายังต้องแสดงท่าทีเคารพซูจิ้งแสดงว่าซูจิ้งไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
หญิงสาวสวยคนนั้นเองก็มีเบื้องหลังไม่ธรรมดานะ เธอเป็นเศรษฐีนีพันล้านทีเราพึ่งจะพูดถึงกันเมื่อกี้นี้ ปกติแล้วเธอเป็นคนที่ไม่เคยเสนอตัวเข้าหาใครแบบนี้เลยนะ การที่คนระดับเธอยังเข้าไปอ่อยซูจิ้งแบบนี้ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ อ้ะแล้วก็ไอ้หนุ่มคนที่พึ่งจะเข้าไปกระดิกหางใส่ซูจิ้งคนนั้นน่ะ ปกติเขาเป็นคนที่ยโสโอหังมากเลยนะนั่น การที่คนแบบนั้นไปออดอ้อนซูจิ้งราวกับจะขอเป็นสัตว์เลี้ยงแบบนี้ เห็นได้เลยว่าตอนนี้ชื่อเสียงของซูจิ้งนั้นไม่ธรรมดา ”
“ฮืมมมม ฟูฮงซิ่วที่เป็นเจ้าของงานนี่เขาก็เป็นคุณชายสี่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ขนาดเขามาถึงนี่แล้วคนพวกนี้ยังไม่ได้มีท่าทีแบบนี้เลยนะ”
“ก็ไม่แปลกล่ะนะ หากว่านายนับอำนาจของพ่อเขาเข้าไปด้วยก็ถือว่าเทียบกันได้อยู่ แต่หากพูดถึงความเก่งกาจส่วนตัวล่ะก็บอกได้เลยว่าแม้แต่ฟูฮงซิ่วก็ยังห่างไกลจากซูจิ้งนัก
จะบอกว่าถ้าเทียบกันตัวต่อตัวล่ะก็ออร่ามันต่างชั้นเกินไปก็ได้นะ”
“อีกอย่าง ซูจิ้งนั้นไม่เพียงมีขุมอำนาจและพลังเงินแล้ว เขานั้นยังเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ ปรมาจารย์กู่จิ้ง เทพเจ้าโรงครัว นักฝึกสัตว์ ปรมาจารย์หมากล้อม ปรมาจารย์การวาดภาพ ปรมาจารย์การเขียนอักษร หมอเทวดา และปรมาจารย์ด้านอื่นอีก แน่นอนว่าคนเก่งกาจหลากความสามารถอย่างนี้ย่อมมีคนนิยมชมชอบอยู่แล้ว”
ณ โซฟาอีกที่หนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังหัวร่อต่อกระซิกกับหญิงสาวมากมายที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน ทันทีที่เขารู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในงานนั้นเปลี่ยนไปก็ได้มองไปยังทิศทางที่น่าจะเป็นต้นเหตุ
เมื่อชายหนุ่มคนนี้ได้เห็นซูจิ้ง เขานั้นขมวดคิ้วในทันที
ในขณะเดียวกัน ซูจิ้งก็เห็นชายหนุ่มคนนี้จึงได้ดึงอันจือฮ่าวให้ตรงมายังทิศทางของชายหนุ่มจ้องมองในทันที
หญิงสาวที่นักร่วมโต๊ะเดียวกับชายหนุ่มที่เห็นดังนั้นก็ได้รีบเขยิบถอยห่างชายหนุ่มในทันที
แม้แต่คนอื่นที่สังเกตเห็นเหตุการเองก็เริ่มพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นแต่พวกเขาก็เลือกที่จะมองดูอยู่ห่างๆเพียงเท่านั้น
พอนึกถึงเรื่องฉายาที่ว่าคุณชายสี่นั้นเป็นเพียงฉายาที่ชาวเน็ตตั้งขึ้นมากันเล่นๆ แต่ว่าคนเหล่านี้ก็มีเงินมากจนหน้ากลัวสมฉายาก็จริง
แต่เมื่อเทียบกับธรรมดาที่ไม่ได้อาศัยใครหนุนหลังแต่มีอำนาจขึ้นมาด้วยตัวเองทั้งๆที่มีฉายาเดียวกัน ในเมื่อเสือมาพบกับสิงห์แบบนี้ สำหรับคนที่ไร้ฉายาแล้วนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย
“สวัสดีคุณฟู นี่เพื่อนของผม คุณซู” อันจือฮ่าวพูดออกมา
“โอ้ คุณอัน คุณซู เชิญนั่งก่อน เชิญนั่ง” ฟูฮงซิ่วมีท่าทีต้อนรับที่ดูอบอุ่นและมีไมตรีจิต เขานั้นในตอนนี้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดูธรรมดาสามัญมากๆ ราวกับว่าเขานั้นกลัวเสื้อผ้าและเครื่องเพชรจะมาโดดเด่นเกินใบหน้าของตัวเอง
ไม่ไกลกันนักหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่กำลังพูดคุยเกี่ยวกับเชิงฮวนอย่างออกรสออกชาติเมื่อเห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปก็ได้มองไปตามทางที่คนในงานมองกันก็เห็นซูจิ้ง
ทันทีที่หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งได้เห็นซูจิ้งก็มีสายตาที่เปล่งประกายในทันที แต่หญิงสาวเห็นหนุ่มที่มากับซูจิ้งก็มีท่าทีที่ตกตะลึง
GGS:บทที่ 1026 การสนทนา
“เขามาจริงๆ” หนิงหยิงติง ประธานของบริษัทไจหลันได้มองซูจิ้งด้วยสายตาที่เปล่งประกาย
“ทำไมเขาถึงมาที่นี่ได้ล่ะ” สาวสวยคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆหนิงหยิงติงบ่นออกมา เธอเป็นโฆษกให้กับหนิงหยิงติงและน้ำหอมยี่ห้อบลูของบริษัท
และเธอก็ยังถือได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของหนิงหยิงติง นี่ทำให้เธอได้ออกมางานเลี้ยงในนามบริษัทบ่อยๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า สาวสวยอย่างหนิงและนาหลันยังสนใจกับเขาด้วยเหรอ” หญิงสาวคนหนึ่งได้แซวสาวสวยทั้งสองคน
“เพลงที่คู่หมั้นของฉันชอบมากที่สุดนั่นก็คือเพลงเต้นรำกับพระจันทร์ที่บรรเลงโดยซูจิ้ง แน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติที่ฉันต้องสนใจเขาบ้าง
แต่กับพี่หนิงนี่ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่ารู้จักเขาด้วยเหตุผลอะไรเหมือนกันนะ” หญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
งานปาร์ตี้ถูกจัดขึ้นโดยหนิงหยิงติง แน่นอนว่าด้วยการที่เธอเป็นคนจัดทำให้ได้รับความสนใจจากใครหลายๆคน ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสาวสวยจากบริษัทของเธอ
ถึงแม้เพียงมองแวบแรกนั้นจะเป็นปาร์ตี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนกันก็ตาม แต่ในอีกทางหนึ่งแล้วก็ไม่ได้ต่างจากงานเลี้ยงหาคู่สักเท่าไหร่นัก
นั่นก็เพราะสาวสวยมักชายตาคนที่ประสบความสำเร็จ และเช่นเดียวกันคนที่ชอบความสำเร็จมักชอบสิ่งสวยงาม
เพราะฉะนั้นถึงแม้งานปาร์ตี้นี้จะมีคนที่มาเพื่อสร้างความสัมพันธ์แบบเพื่อนฝูงก็ตาม
แต่อีกทางหนึ่ง ปาร์ตี้เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทของเธอกลับกลุ่มคนผู้มีอำนาจเป็นเป้าหมายหลัก
“ก่อนหน้านี้ฉันก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรข้องเกี่ยวกับเขาหรอก แต่ตอนนี้ฉันมีแล้วน่ะ” หนิงหยิงติงพูดออกมาแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “เธอจำน้ำหอมที่ฉันเคยคุยให้ฟังได้ไหมล่ะ”
“ใช่ที่กลิ่นหอมๆนั่นรึเปล่า”
“ฉันเองก็ได้ใช้น้ำหอมมาเยอะแล้วนะแต่ทันทีที่ได้กลิ่นนั่นฉันก็ตกหลุมรักมันในทันที พี่หนิง น้ำหอมนั่นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ใหม่ของพี่จริงๆเหรอ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะพี่ไม่อยากจะให้พวกเราฟรีๆหรอกนะถึงได้บอกว่าไม่ใช่น่ะ”
“ว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกับซูจิ้งล่ะ”
“ก็ไม่เชิงล่ะนะ” หนิงหยิงติงพูดถึงระยะในขณะจ้องมองไปยังซูจิ้งจากที่ๆตัวเองอยู่ เธอพยายามจะคาดเดาอยู่ว่าซูจิ้งกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
เมื่อเธอค่อนข้างมั่นใจว่านี่น่าจะเกี่ยวกับฉายาคุณชายสี่ นั่นเองทำให้เธอเผยรอยยิ้มราวกับนึกอะไรสนุกๆออกมาได้ หลังจากนั้นเธอก็ได้พูดกับสาวๆในกลุ่มของเธอว่า
“น้ำหอมเทียนซินนั่นเป็นเขาที่พัฒนาและผลิตขึ้นมา และอีกไม่นาน น้ำหอมนั่นจะถูกขายในนามซือหยา”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าสาวๆในวงสนทนาต่างก็มีท่าทีไม่เชื่อคำพูดของหนิงหยิงติงกันออกมา สาวๆได้หันไปมองซูจิ้งด้วยท่าทีไม่เชื่อในทันที
เมื่อนึกถึงว่าคนที่มีเรื่องยุ่งให้ต้องบริหารมากมายไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล ร้านอาหาร หรือแม้แต่งานวิจัย คนที่ใหญ่โตแบบนี้จะไปรู้จักวิธีทำน้ำหอมชั้นยอดแบบนี้ได้ยังไงกัน
“งั้น เราก็ไปหาเขากันดีกว่า” หญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมา
“รอเดี๋ยวก่อนสิ เธอไม่เห็นเหรอว่าซูจิ้งมาที่นี่เพื่อคุยกับฟูฮงซิ่ว ฉันว่าเรารอให้เขาคุยกับจบก่อนดีกว่า” หนิงหยิงติงได้พูดออกมา ความจริงเธอนั้นก็ยังเคืองๆซูจิ้งอยู่เหมือนกันแล้วอยากจะคุยกับซูจิ้งในสิ่งที่เขาได้ทำกับเธอให้มันจบๆไป นั่นก็เพราะเธอไม่ชอบที่จะเป็นฝ่ายถูกเล่นตลกแบบนี้
เธอนั้นนอกจากจะเป็นคนรวยแล้วก็ยังมีเส้นสายไม่น้อยเหมือนกัน แต่เธอก็รู้ดีว่าระดับของเธอนั้นไม่มีทางแม้กระทั่งก่อกวนซูจิ้งได้ด้วยซ้ำ
อีกอย่างซูจิ้งเองก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่มันดูเกินเลยไปแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ส่งน้ำหอมมาให้เธอเพื่อลองใช้ดูเท่านั้น
เธอจึงคิดจะใช้เรื่องนี้ในการเย้าแหย่เขาเล่นเสียหน่อย และด้วยวิธีการเช่นนี้ เธอได้ชนะใจเหล่าผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมานักต่อนักแล้ว
แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ ซูจิ้งได้เข้าไปหาฟูฮงซิ่วทันทีที่มาถึง ดูเหมือนว่าเขามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อื่นอย่างแน่นอน
ไหนจะมีคนที่มาด้วยกันกับเขาที่อยู่ข้างกายไม่ห่างไม่ยอมเข้าไปร่วมสนุกในงานปาร์ตี้นั่นอีก นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าเขานั้นไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่ได้ทำไว้กับหนิงหยิงติงเลยแม้แต่น้อย
สำหรับเธอแล้วรอให้เขาเสร็จเรื่องซะก่อนค่อยคุยกันก็ไม่ได้ช้าเกินไปอย่างแน่นอน
“คุณซู ได้ยินเรื่องราวของคุณมาก็ตั้งมากมาย ไม่คิดเลยว่าจะได้มาพบคุณที่นี่แบบนี้ น่าประหลาดใจจริงๆ” ฟูฮงซิ่วพูดออกมาพร้อมทั้งรินไวน์ลงไปในแก้วให้ซูจิ้ง เขาพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูเท่ทำให้เขานั้นดูดีอยู่ตลอดเวลา
“คุณฟูก็พูดเล่นเกินไปแล้ว ผมเองก็ได้ยินเรื่องราวของคุณมาไม่น้อยเลยเหมือนกัน คุณนั้นได้มีชื่อเสียงมานานหลายปีก่อนหน้าผมซะอีก ผมเองก็เพิ่งจะมีชื่อเสียงเพียงช่วงสองปีที่ผ่านมานี่เอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน
“ผมจะไปเทียบอะไรกับคุณซูได้ล่ะ คุณซูนั้นไต่เต้ามาจากธุลีดิน แต่แค่เพียงสองปี คุณก็ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าผมเสียอีก ผมนั้นเทียบกับคุณไม่ได้เลยจริงๆ”
ฟูฮงซิ่วพูดออกมาด้วยท่าทีเคารพ แต่คำพูดที่ใช้นั้นกลับเฉือดเฉือนอย่างเห็นได้ชัด
นี่แสดงให้เห็นว่าเขานั้นไม่ได้มีความรู้สึกที่จะเป็นมิตรกับซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ชายหนุ่มที่นั่งถัดจากเขาและชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็มีท่าทีเช่นเดียวกัน
ซูจิ้งเมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้มองไปยังคนที่อยู่รอบๆฟูฮงซิ่วในทันที เขานั้นได้นิ่งไปพักหนึ่งเมื่อได้พบกับผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เขานั้นมีหน้าที่ใหญ่และฟันที่เหลือง
ซูจิ้งได้จ้องมองชายคนนี้แบบจ้องเขม็งจนทำให้ชายคนนี้รู้สึกประหม่าไม่กล้าสบตาในทันที จนในที่สุดเมื่อเขาสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาก็หันไปสบหน้าซูจิ้งอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้เขาก็เลือกที่จะเลี่ยงสายตาไปมองจมูกของซูจิ้งแทน เพราะว่าเขาไม่อยากจะใส่ใจกับการมองจากซูจิ้ง
ซูจิ้งที่จ้องมองชายวัยกลางคนคนนี้แบบตาไม่กระพริบนั้นเป็นเพราะเขานั้นรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับชายคนนี้ หลังจากเขานิ่งคิดไปสักพักหนึ่งเขาก็จำชื่อชายคนนี้ได้ในที่สุด
ชายคนนี้มีชื่อว่าหม่าเต๋า เขาเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์และเคยไปที่เมืองฉิงหยุนเพื่อจะพัฒนาที่นั่นให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว
เขานั้นเคยยุยงให้ผู้ว่าการเมืองคอยตอแยฉือชิงที่ตอนนั้นยังเป็นไกด์นำเที่ยวอยู่ เขายังเคยทำเรื่องน่ารังเกียจกับฉือชิงจนทำให้เธอจิตตกไปนาน
มาตอนหลังเป็นหวังจ้าวที่ตอนนั้นไปกินอาหารทะเลที่ภัตตาคารเจิ้งฮงและจ้าวจุ่นที่หมอนี่เข้าผิดว่าเป็นบริกรเล่นงานจนไม่กล้าจะอยู่ที่นั่นต่ออีก
ไม่คิดว่าจะมาเจอหมอนี่ในที่แบบนี้ ดูเหมือนหมอนี่เองจะเป็นลูกน้องของฟูฮงซิ่วอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อซูจิ้งนึกเรื่องราวของหม่าเต๋อออกแต่เขาก็ไม่ไดพูดอะไรออกมา เขาหันกลับมามองยังฟูฮงซิ่ว “คุณฟู ความจริงแล้วที่ผมมาที่นี่เพราะมีเหตุผล ผมมีเรื่องที่ต้องการจะคุยกับคุณ”
“ว่ามา” ฟูฮงซิ่วพูดออกมา
“ตอนนี้ผมนั้นกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องยนต์และรถยนต์ แต่ด้วยการที่เป็นมือใหม่ทำให้ไม่เข้าใจในเรื่องนี้มากนัก
ในฐานะที่กลุ่มทุนฟูเจี่ยฮงเหอเป็นสุดยอดบริษัทรถยนต์ของจีน ทางคุณเองก็น่าจะหัวกระทิมากมายอย่างแน่นอน จะว่ายังไงรึเปล่าหากผมจะขอคนเหล่านี้มาสักคนสองคนน่ะ”
“ผมจะไปกล้าว่าอะไรกัน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เองผมบอกได้เลยว่าได้อย่างไม่มีปัญหา” ฟูฮงซิ่วได้พูดออกมาเชิงหัวเราะ แต่น้ำหนักเสียงของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“แต่ก็อย่างที่เขาว่ากันนะว่าข้าวฟรีนั้นไม่มีในโลก หากว่าคุณอยากได้ คุณก็คงต้องเสนอราคามาก่อน สำหรับนักธุรกิจอย่างผมแล้ว ผมไม่ยอมเสียแต่ไม่ได้อะไรเลยอย่างแน่นอน”
“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้วว่าการใช้เงินพูดคุยนั้นจะทำให้อะไรอะไรก็ง่ายขึ้น” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“ไม่ ไม่ ในเมื่อเพวกเราเองก็เป็นสองในสี่คุณชายสี่เลยนะ ทำไมเราต้องมาใช้ของเล็กน้อยในการพูดคุยกันแหล่ะ”
“โอ้…แล้วคุณฟูหมายถึงอะไรล่ะ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ก็หมายถึงว่า ถ้าเราจะคุยกันเรื่องนี้จริง ทำไมเราไม่ใช้อะไรที่ใหญ่กว่านี้มาคุยกันอย่าง……ส่วนแบ่งจากระบบปัญญาประดิษฐ์….ใช่ๆ อันนี้ก็น่าสนใจนะ”
“แหม่ หากว่าคุณฟูพูดแบบนี้มาแต่แรกก็จบแล้ว แต่เรื่องนี้อาจจะยุ่งยากหน่อยนะ เพราะว่าผมนั้นไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องภายในของบริษัทสักเท่าไหร่
พูดตรงๆเลยนะผมเองไม่ได้รู้เรื่องธุรกิจอะไรสักเท่าไหร่นักหรอก ผมยกเรื่องนี้ให้กับบอร์ดบริหารและผู้จัดทั่วไปของบริษัทจัดการน่ะ ถ้าไม่ว่าอะไรผมคงจะต้องให้คุณเสียเวลาไปคุยกันคนพวกนั้นก่อนแล้วกัน”
คำพูดที่ซูจิ้งพูดออกมานั้นแม้จะฟังดูเรียบง่ายแต่หากฟังดีๆแล้วช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระแบบสุดๆ
มีหรือที่คำพูดเหล่านี้จะรอดพ้นไปจากการจับสังเกตของฟูฮงซิ่ว เขาเองก็ได้ลอบสบถออกมาแต่ก็ได้รีบคืนท่าทางง่ายๆของเขาด้วยการยิ้มเท่ๆในทันที
ด้วยในตอนนี้สมาร์ทโฟนกาลเวลาของซูจิ้งนั้นได้รับความนิยมจนเรียกได้ว่ายอดขายเพียงหนึ่งวันก็เท่ากับยอดขายของแอปเปิ้ลในหนึ่งปีแล้ว
นี่แสดงให้เห็นว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯนั้นได้รับความนิยมจนถล่มทลาย แน่นอนว่าระบบนี้ไม่เพียงจะใช้กับสมาร์ทโฟนได้เท่านั้น
ความจริงแล้วมันสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างมากมายและหลาดหลาย เรียกได้ว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาฯในตอนนี้สามารถแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกได้อย่างดีเลยทีเดียว
ฟูฮงซิ่วก็รู้เรื่องนี้ดีว่าไม่มีทางเลยที่กลุ่มทุนห้วงเวลาจะยอมปล่อยหุ้นหรือส่วนแบ่งให้คนนอก ที่ซูจิ้งบอกเขาว่าให้ไปลองคุยดูนั้นแสดงให้เห็นว่าเขานั้นยังมีอะไรดีๆมากกว่านั้น แค่นี้ก็ถือได้ว่าซูจิ้งยอมเขามากเกินพอแล้ว
“งั้น…ผมมีข้อเสนอเล็กน้อย…” ฟูฮงซิ่วเองในตอนนี้เขาก็ได้ยอมรับในตัวของซูจิ้งขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เขาก็ยังคิดจะเล่นงานซูจิ้งอยู่ดี ในที่สุดเขาก็ได้พูดออกมาด้วยเสียงเบาๆว่า
“ใช่ว่าผมจะกลัวคุณซูเล่นตลกหรอกนะ แต่ว่าผมเองก็สนใจที่จะรู้จักกับหยินหนิงหนิงมานานแล้ว ถ้าไม่ว่าอะไรทำไมคุณซูไม่ลองชวนเธอให้ผมได้ทำความรู้จักหน่อยได้รึเปล่า”
ตอนที่ฟูฮงซิ่วพูดออกมานี้เขานั้นมีท่าทีสบายๆแบบสุด ความจริงแล้วกับเรื่องแบบนี้เขานั้นไม่เคยพูดอะไรกับใครออกมาแบบนี้มาก่อน
นั่นก็เพราะว่าด้วยสถานะของเขานั้นเป็นอะไรที่ผู้หญิงมากมายต่างก็ถวิลหา แม้แต่ดาราดังก็ยังยอมเขาอย่างง่ายๆโดยแทบจะไม่ต้องเอ่ยปากแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อซูจิ้งได้ยินสิ่งที่ฟูฮงซิ่วพูดไม่ทันจะจบประโยคดี ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเขาก็หายวับไปในบัดดล
GGS:บทที่ 1027 เลิกคุย
“โทษทีนะ แต่เรื่องหยินหนิงหนิงนี่ฉันเอามาใช้เป็นข้อตกลงไม่ได้หรอก หากนายอยากจะจีบเธอก็คงต้องลงมือเองแล้วล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เย็นชาทำให้เหล่าผู้คนที่นั่งร่วมโต๊ะมองกันด้วยสายตาโง่งม
ที่ทุกคนได้ยินนั้น ฟูฮงซิ่วเพียงแค่ต้องการที่จะกินข้าวกับหยินหนิงหนิงก็เท่านั้น แต่การที่เขาจะขอใครสักคนเพื่อช่วยเรื่องนี้ก็เป็นอะไรที่ยากมากแล้วเพราะคนระดับนี้ไม่มีความจะเป็นต้องมาขอให้ใครช่วยเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำ
อีกหลายๆคนที่ได้ยินเรื่องนี้บางคนก็มีความคิดที่ว่าเสียสละดาราในสังกัดเป็นเป็นเพื่อนกับหนึ่งในคุณชายสี่เป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก
แต่กับซูจิ้งนั้นมันยิ่งกว่าไร้ค่าอย่างมากเพราะเขาสำหรับเขานั้น การขายคนของตัวเองไม่ได้ต่างจากการขายศักดิ์ศรีของตน
การจะทำอะไรให้สำเร็จได้นั้น บางคนไม่ได้ใช้วิธีที่สุจริตสักเท่าไหร่ คนเหล่านั้นมักมีวิธีการเบื้องลึกเบื้องหลังในการได้มาเพื่อที่จะเป้าหมายที่ตัวเองได้ตั้งเป้าเอาไว้และนั่นจะเป็นการปล่อยให้ตัวเองโดนกัดกินอย่างช้าๆ
แต่กับซูจิ้งนั้นต่างออกไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถใช้วิธีการเหล่านี้ แต่เขานั้นกล้าที่จะไม่ใช้มันมากกว่า
“คุณซูก็พูดเล่นไปแล้ว คุณเองก็เป็นคนปลุกปั้นหยินหนิงหนิงขึ้นมาแถมคุณเองยังเป็นคนพาเธอเข้าวงการเสียอีก
ทั้งคุณและหวังซือหยาต่างก็เป็นประธานของบริษัทหยุนหยินการบันเทิงที่เธอนั้นสังกัดอยู่และเธอก็เคารพคุณทั้งสองมาก
แล้วคุณจะบอกว่าไม่สามารถก้าวก่ายหยินหนิงหนิงได้ยังไงกัน อย่าบอกนะว่าเธอเป็นผู้หญิงของคุณน่ะ” ฟูฮงซิ่วพูดออกมาด้วยท่าทีไม่มีความสุขเล็กน้อย
สำหรับเขานั้น เขาถือว่าซูจิ้งนั้นควบคุมชีวิตของหยินหนิงหนิงได้อย่างเต็มที่ แล้วเขาจะบอกมาว่าเขาไม่ก้าวก่ายเนี่ยนะ
นี่ทำให้เขานึกขึ้นมาในทันทีเลยว่าหยินหนิงหนิงต้องเป็นผู้หญิงของซูจิ้งอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้แบบนี้จึงทำให้เขาต้องอารมณ์เสียเป็นธรรมดา
ตัวเขานั้นเมื่อได้เห็นหยินหนิงหนิงเป็นครั้งแรก จิตใจของเขาก็รู้สึกหวั่นไหวในทันที เขาไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้กับใครที่ไหนมาก่อนเลยในชีวิต
เขานั้นถือว่าเธอเปรียบได้ดั่งพระจันทร์บนฟากฟ้าที่เขานั้นทำได้เพียงคอยมองอยู่ห่างๆเท่านั้น และยิ่งนานวันเข้า เขาเองก็เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป
เขานั้นอยากจะทำความรู้จักกับหยินหนิงหนิงจริงๆและพยายามมาแล้วหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไร พอมาในวันนี้เมื่อได้รู้ว่าเธอน่าจะเป็นผู้หญิงของซูจิ้ง นี่ทำให้เขารับไม่ได้แบบสุดๆ
“หยินหนิงหนิงไม่ใช่ผู้หญิงของฉันหรอก และมันก็จริงที่นั้นเป็นคนปั้นเธอมา แต่ก็อย่างที่บอก ถ้านายอยากได้เธอก็ต้องใช้ฝีมือตัวเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทีเฉยเมย
ฟูฮงซิ่วที่ได้ยินดังนั้นเขายิ่งกลับไม่เชื่อมากกว่าเดิม ในมุมมองของเขาจากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้น หากหยินหนิงหนิงไม่ได้ถูกจ้างโดยซูจิ้งล่ะก็ เธอย่อมไม่มีวันปฏิเสธเขาได้อย่างแน่นอน
ในมุมมองของเขานั้นที่หยินหนิงหนิงปฏิเสธเขาเป็นเพราะว่าเธอนั้นเป็นผู้หญิงของซูจิ้ง เขาคิดว่าคนระดับเธอนั้นไม่จำเป็นเลยที่ต้องไปผูกมัดกับซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย และเป็นไปได้ว่าที่เธอยอมเป็นของเล่นของซูจิ้งอาจเป็นเพราะเขาให้คำสัญญาไปว่าหากมีโอกาสจะทำให้เธอเป็นภรรยาของเขาคนหนึ่ง
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฟูฮงซิ่วก็เหมือนคิดอะไรได้ขึ้นมาบางอย่างและได้ถามออกมาว่า “ในเมื่อหยินหนิงหนิงไม่สามารถงั้นถ้าเป็นฉือชิงล่ะพอจะได้รึเปล่า”
“อยากตายสินะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยสายตาเย็นชา
“ระวังน้ำเสียงของแกหน่อยเวลาพูดกับลูกพี่ฟูน่ะ” หม่าเต๋าที่มีใบหน้าอันใหญ่โตและฟันอันเหลืองอร่ามได้ตะคอกออกมา
ด้วยเหตุที่เขาในตอนนี้ติดตามฟูฮงซิ่วแน่นอนว่าย่อมกล้าที่จะต่อกรกับซูจิ้ง เอาจริงๆนี่เป็นความตั้งใจของเขาแต่กแรกอยู่แล้ว นั่นก็เพราะเขานั้นอยากจะชนะใจฟูฮงซิ่วอย่างมาก
และอีกทางหนึ่งเขาถือว่านี่เป็นการตอบโต้ตอนที่ซูจิ้งมองหน้าเขาเมื่อครู่นี้ เขาจึงได้แสดงออกมาว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าฟูฮ่งซิ่ว เขาไม่กลัวซูจิ้งอย่างแน่นอน
ซูจิ้งได้มองไปยังหม่าเต๋าอย่างไร้อารมณ์ก่อนที่จะหันไปมองที่ฟูฮงซิ่วด้วยสายตาเย็นชา
ฟูฮงซิ่วที่เห็นแบบนั้นก็ได้ตบบ่าหม่าเต๋าแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเยาะว่า “เฒ่าหม่าอย่าไปพูดแบบนั้นสิ ผมต่างหากที่ผิดเองที่ไปเย้าคุณซูเล่นแบบนั้น หวังว่าคุณซูจะไม่ถือสาผมนะ”
ในตอนที่ซูจิ้งจ้องมองเขามาเมื่อกี้เขารู้ในทันทีเลยว่าซูจิ้งนั้นโกรธเขาอย่างมาก ทำให้เขานั้นรีบพูดตัดบทออกมาเพราะยังไงซะเขานั้นก็ไม่อยากจะหาเรื่องซูจิ้งแบบจริงจัง
แต่พอมานึกถึงว่าซูจิ้งได้สองสาวงามมาไว้ในครอบครองแบบนี้ เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขยะแขยง และอิจฉาในเวลาเดียวกัน
“ล้อเล่น?” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ เขาได้คว้าไปที่คอของฟูฮงซิ่วอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแล้วจับฟูฮงซิ่วกดลงไปที่พื้นจนเกิดเสียงดังลั่น ในตอนที่เกิดเสียงดังได้ทำให้แก้ววายกระเด็นกระดอนไปทั่ว บางส่วนก็หกรดใบหน้าของฟูฮงซิ่วจนแดงฉาน
“แกทำอะไรน่ะห้ะ” ฟูฮงซิ่วที่กำลังสับสนเมื่อต้องสติได้ก็ได้แสดงท่าทีโกรธแค้นขึ้นมา เขาพยายามจะดิ้นให้หลุด
แต่กับความแข็งแกร่งของซูจิ้งแล้ว ต่อให้เอาวัวกระทิงมาลากยังไม่กระดิก นับประสาอะไรกับคนแบบนี้
“หยุดเดี๋ยวนี้” บอดี้การ์ดของฟูฮงซิ่วที่เห็นฉากตรงหน้าต่างก็พุ่งเข้าไปหาซูจิ้งเพื่อหยุดเขาอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามบอดี้การ์ดหน้าหล่อของซูจิ้งก็ได้เข้ามาขวางคนทั้งสองเอาไว้
เมื่อเห็นดังนั้นทั้งคู่ก็ต่อยหมัดออกอย่างเดือดดาลใส่บอดี้การ์ดหน้าหล่อ ด้วยการที่ทั้งสองฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจึงมั่นใจในความแข็งแกร่งของตน
บอดี้การ์ดหน้าหล่อได้ได้ยกมือมาป้องกันหมัดที่กระหน่ำที่หน้าของเขา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาสะทกสะท้านแต่อย่างใด ราวกับภูเขาที่โดนลมพัดผ่าน
กลับกันเป็นบอดี้การ์ดสองคนนั่นต่างหากที่รู้สึกได้ว่าตัวเองราวกับต่อยกำแพงเหล็กอยู่
บอดี้การ์ดหน้าหล่อของซูจิ้งได้คว้าคอของบอดี้การ์ดทั้งสองของฟูฮงซิ่วด้วยมือเดียว นี่ขนาดว่าทั้งสองมีน้ำหนักอย่างน้อยก็ 150 กิโลกรัม แต่เขากลับยกคนทั้งสองขึ้นสูงราวกับกำลังคว้าคอไก่ก็ไม่ปาน
บอดี้การ์ดทั้งสองคนนั้นโกรธมากจนหน้าแดง แต่ในไม่ช้าหน้าของก็แดงมากกว่าเดิมเพราะว่าเริ่มขาดอากาศ
ทั้งสองพยายามประเคนทุกสิ่งทุกอย่างที่มีใส่บอดี้การ์ดหน้าหล่อของซูจิ้ง
แต่นั่นเป็นอีกครั้งที่เขานั้นได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังหาเรื่องกับกำแพงเหล็ก ทั้งหมัดและเท้าของพวกเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
เทียบกับบอดี้การ์ดหน้าหล่อแล้วเขานั้นแทบจะไม่มีร่องรอยอะไรเลยแม้แต่น้อย จนในที่สุดทั้งสองก็ขาดอากาศหายใจจนไม่มีแรงที่จะขัดขืนอีกต่อไปและในที่สุดก็นิ่งสนิท ที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้นั้นก็คือการส่งสายตาวิงงอนร้องขอชีวิต
ท่ามกลางวุ่นวายนี้ หม่าเต๋ารู้สึกสับสนในทันที เขาไม่คิดว่าซูจิ้งจะกล้าทำอะไรฟูฮงซิ่ว และไม่คิดว่าบอดี้การ์ดร่างยักษ์จะสิ้นสภาพอย่างน่าอนาถขนาดนี้
แน่นอนว่าบรรดาผู้คนในงานที่ล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์อันดีกับฟูฮงซิ่วนั้นไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เห็น กลับกันพวกเขาเห็นจนเตรียมจะเข้าช่วยเหลือฟูฮงซิ่วตั้งแต่ได้ยินเสียงดังโครมแล้ว
แต่ทุกคนต่างก็จดใจได้ว่าซูจิ้งนั้นสามารถล้างบางนักสู้มืออาชีพได้กว่า สามสิบกว่าคน ไหนจะบอดี้การ์ดหน้าหล่อแต่กลับหน้ากลัวราวกับคนเหล็กนั่นอีก แค่สองอย่างนี้ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรแล้ว
ต่อให้กล้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ผู้คนโดยรอบตอนนี้ต่างก็ตกอยู่ในอาการขวัญผวา พวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่าทำไมทั้งสองถึงได้มีเรื่องกัน เรื่องนี้ทำให้ทั้งหนิงหยิงติงและนาหลันเฟยและคนอื่นๆอดไม่ได้ที่จะเกิดอาการหัวใจเต้นเร็วอยู่ภายใน
“เกิดอะไรขึ้น นายบอกฉันได้รึเปล่า” หนิงหยิงติงที่เข้าดูเหตุการณ์เองก็พยายามที่จะเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ ไปซะ”
ซูจิ้งพูดออกมาด้วยถ้อยคำที่หนิงหยิงติงเองก็คาดไม่ถึงทำให้เธอทำได้เพียงถอยออกมาด้วยความอายเล็กน้อย
หากเป็นคนอื่นในที่นี้ล้วนแล้วแต่ต้องไว้หน้าเธอ เพราะว่าเธอมีปูมหลังที่แข็งแกร่ง ไหนจะเรื่องเส้นสาย และความสวยจนยากจะปฏิเสธ
นี่ก็ถือว่านานมากแล้วที่เธอไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนี้แต่ถึงจะโดนตอกมาแบบนั้น หนิงหยิงติงก็ยังไม่พูดอะไรออกมาอยู่ดี
นั่นก็เพราะว่าเธอรับรู้ได้ในทันทีว่าซูจิ้งกำลังโกรธอย่างหนัก ไม่ใช่เวลาที่ดีที่เธอจะเข้าไปยุ่งในตอนนี้
การที่งานนี้เป็นเธอเองที่จัดงานขึ้นมาแน่นอนว่าเธอย่อมไม่ยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่กับการเอาตัวเองไปขวางทางการกระทำของซูจิ้งที่โกรธจัดแบบนี้เธอย่อมไม่ต้องการอย่างแน่นอน
“ทำไมเขา…” หญิงสาวผมสั้นคนหนึ่งพูดออกมาด้วยท่าทางขมวดคิ้ว
“เลิกพูดเลย อย่างเอาตัวเองเขาไปเอี่ยว” หนิงหยิงติงกระซิบขึ้นมาในทันทีและดึงให้สาวผมสั้นและนาหลันเฟยหลบออกมา
สำหรับคนนอกวงการต่อสู้นี้พวกเขาในตอนนี้ต่างก็รู้สึกกลัวจนขนลุก หลายๆคนในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังบอดี้การ์ดหน้าหล่อของซูจิ้ง
เดิมทีนั้นหลายๆคนต่างก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมซูจิ้งถึงได้นำหนุ่มหล่อคนนี้มาด้วยทำไม แม้แต่สาวๆบางคนยังอดใจไม่ได้ไปชวนเขาพูดคุยด้วยซ้ำ
แต่มาตอนนี้ทุกคนประจักษ์กับสายตาตัวเองแล้วว่าหนุ่มหล่อคนนี้ก็คือบอดี้การ์ดของซูจิ้ง ถึงแม้ว่าเขานั้นจะหล่อเหลามากถึงมากที่สุดราวกับเป็นรูปปั้นที่มีชีวิต
แต่ไม่มีใครคิดมาก่อนเลยว่าเขานั้นจะมีความแข็งแกร่งขนาดนี้ เป็นไปดั่งคำกล่าวที่ว่าไม่ทหารอ่อนแอภายใต้ผู้นำที่เก่งกาจแล้วจริงๆ
“ซูจิ้ง….แกต้องการทำอะไรกันแน่” ฟูฮงซิ่วที่ยังถูกกดลงบนโต๊ะอยู่ในตอนนี้ได้พยายามพูดออกมาจนได้ เขานั้นตั้งแต่ต้นจนมาถึงตอนนี้ยังไม่สามารถขยับไปไหนได้
เขานั้นยังรู้สกึได้ถึงของเหลวเย็นๆที่ไหลอยู่บนใบหน้า และเมื่อได้เห็นสายตาของคนโดยรอบก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำให้เขานั้นได้เพียงตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น
GGS:บทที่ 1028 เพียงก้อนกรวด
ฟูฮ่งซิ่วในตอนนี้นั้นโกรธจนตาแดงกล่ำ การที่ซูจิ้งกล้าที่จะกระชากเขาลงมากดไว้บนโต๊ะแบบนี้ทำให้เขาต้องพบกับความอับอายอย่างมาก เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต
“คุณซู ในฐานะที่คุณนั้นเป็นประชาชนคนหนึ่ง คุณไม่มีสิทธิในการก่อเรื่องแบบนี้นะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งได้รีบเสนอตัวเองเข้ามาในทันที
เขานั้นเป็นคนของฟูฮงซิ่ว ถึงแม้เขาจะต่อสู้ไม่ได้ก็ตาม แต่เขาเองก็มีฝีปากชั้นเลิศจึงคิดจะใช้สิ่งนี้คลี่คลายสถานการณ์
“ประชาชนทั่วไปเหรอ ก็ไม่เชิงนะ ฉันว่าพวกแกน่าจะเหมาะกับคำว่าสัตว์ร้ายใส่เสื้อผ้ามากกว่า” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างเย็นชา
“ซูจิ้ง อย่ามารังแกกันให้มากนัก” คนของฟูฮงซิ่วได้พูดออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
“หึ….ถ้าพวกแกมีกึ๋นก็เข้ามา” ซูจิ้งสบถออกมา นี่ทำให้หลายๆคนต่างก็โกรธจนหน้าแดงแต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไร
พวกเขานั้นต่างก็เป็นเพียงลูกหลานของคนรวยเท่านั้น ถึงแม้ที่ผ่านมาพวกเขาจะใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงคนอื่นแต่ก็ไม่เคยลงมือเองจริงๆเลยสักครั้ง
ที่สำคัญที่สุดก็คือคนตรงหน้าพวกเขานั้นไม่ใช่คนธรรมดาที่จะเอาจำนวนเข้าว่า เขาตัวคนเดียวนั้นสามารถกวาดล้างคนมีฝีมือได้กว่าสามสิบสี่สิบคนราวกับไล่ตีหมา
ไหนจะบอดี้การ์ดที่สุดแสนจะทรงพลังนั่นอีก หากพวกเขากล้าที่จะไปเสนอหน้านั่นจะไม่ต่างจากเดินเข้าหาความตายเพียงเท่านั้น ขนาดผู้ติดตามของฟูฮงซิ่วยังไม่กล้าทำอะไรแล้วพวกเขาจะไปแส่หาเรื่องได้ยังไง
“เรียก รปภ.”
“เรียกตำรวจ”
ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะทำอะไรซูจิ้งไม่ได้แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะปล่อยเรื่องนี้ไว้ได้โดยไม่ทำอะไร หากพวกเขาทำแบบนั้นจะไปกล้าสู้หน้าฟูฮงซิ่วทีหลังได้ยังไงกัน
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าซูจิ้งจะไม่ได้ใส่ใจกับคำว่า รปภ. หรือแม้แต่ตำรวจเลยแม้แต่น้อย แถมเขานั้นยังเพิ่มแรงกดไปยังคอของฟูฮงซิ่วอย่างเห็นได้ชัด
นี่ทำให้ทั้งหนิงหยิงติง นาหลันเฟย และคนอื่นๆต่างก็กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ บางคนในตอนนี้เริ่มรู้สึกแล้วว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองยังคุยกันอยู่ดีๆ ทำไมซูจิ้งถึงได้ทำอย่างนี้ขึ้นมากันล่ะ
ฟูฮงซิ่วเป็นคนแบบไหนกัน เขานั้นมีพ่อเป็นคนรวยคนหนึ่งของจีนก็แค่นั้น เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้วเขานั้นดีกว่าฟูฮงซิ่วเป็นไหนๆ
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามหากว่าเทียบกับเส้นสายของตระกูลฟูที่ลึกสุดหยั่งแล้ว ซูจิ้งก็อาจเทียบอะไรไม่ได้เลย หากว่าฟูฮงซิ่วเป็นอะไรไปแน่นอนว่าพ่อของเขาไม่ปล่อยเรื่องนี้อย่างแน่นอน นี่ซูจิ้งโกรธอะไรกันแน่ถึงได้ทำให้เขานั้นโกรธมากมายขนาดนี้
อันจือฮ่าวเองที่อยู่ใกล้ๆก็ทำได้เพียงมองเฉยๆไม่กล้าจะทำอะไร เขาเองก็คิดว่าตัวเองรู้จักซูจิ้งดีพอแล้วแต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าซูจิ้งจะกล้ามีเรื่องกับฟูฮงซิ่วด้วยเรื่องนี้
ฟูฮงซิ่วก็คงจะไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้าจะมาตอแยซูจิ้งจนต้องมาตกอยู่ในสภาพอับอายแบบนี้
หรือว่าเขาต้องการให้เกิดเรื่องแบบนี้เพื่อที่จะทำให้ผู้คนโดยรอบเกลียดซูจิ้งกันแน่ กับผู้คนที่ไม่รู้ความจริงย่อมรังเกียจซูจิ้งอย่างแน่นอน
แต่กับอันจือฮ่าวที่ได้ยินทุกคำพูดแล้ว เขานั้นไม่เพียงจะไม่หวาดกลัวหรือเกลียดชังซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย แต่เขานั้นกลับเห็นด้วยกับสิ่งที่ซูจิ้งทำซะอย่างนั้น
“ซูจิ้ง แกรู้รึเปล่าว่าแกเล่นกับใครอยู่” ฟูฮงซิ่วที่ขยับไปไหนไม่ได้ก็ทำได้แค่เพียงส่งเสียงอันน่าเกลียดชังออกมา
“อ้าว นี่แกไม่รู้ว่าแกเป็นใครหรอกเหรอ แต่เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันนั้นมีวิธีดีๆที่จะทำให้แกจดจำได้ฝังใจเลย
ฉันจะทำให้แกจดจำไว้ขึ้นใจว่าสถานะที่แกคิดว่าสูงส่งนักหนานั่นมันใช้ไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกที่ใครฟังแล้วก็ต้องขนลุก
“มันก็แค่เรื่องล้อเล่นนะเว้ย แกจะเอาเรื่องแค่นี้มาถือสาทำซากอะไร” ฟูฮงซิ่วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฉันก็ไม่ว่าแกหรอกนะที่แกจะมีจิตใจที่สกปรกและหยาบช้าสามานย์ แต่ต่อหน้าฉัน แกมีหน้ามาพูดถึงผู้หญิงของฉัน ถ้าแกคิดว่าเรื่องนี้คือเรื่องตลก ฉันก็จะทำเรื่องตลกสำหรับฉันกับแกเอง” ซูจิ้งสบถออกมา
ผู้คนที่ได้ยินเรื่องราวแล้วความคิดก็ได้กลับดำเป็นขาวในทันที ในตอนแรกพวกเขานั้นต่างก็รู้สึกเกลียดชังซูจิ้งอย่างลึกสุดใจ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่พูดคุยกันทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเกลียดซูจิ้งได้ลง
เป็นฟูฮงซิ่วที่กล้าไปแหย่ซูจิ้งเรื่องผู้หญิงของเขา แถมยังมีหน้ามาบอกว่าแค่ล้อเล่นซะอีก แต่พอมานึกถึงว่ากับเรื่องแค่นี้ซูจิ้งถึงกับลงมือด้วยตัวเองนี่เขาจะไม่ทำเกินไปรึเปล่า
กับเพียงเรื่องผู้หญิงกลับทำให้เขากล้าที่จะเล่นงานฟูฮงซิ่วซะขนาดนี้ นี่เขากล้าหรือบ้ากันแน่ นี่เขารู้รึเปล่าว่าตัวเองก็กำลังมีเรื่องอยู่กับลูกชายของผู้นำตระกูลฟู
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะมีความแข็งแกร่งและมีอำนาจอยู่ในมือ ไหนจะเรื่องที่ว่าเขานั้นเป็นที่หนึ่งของเหล่าคุณชายสี่ แต่ว่าเขานั้นเพิ่งจะเริ่มมีอำนาจไม่นานเมื่อต้องต่อกรกับตระกูลฟูที่ฝังลากลึกแบบนี้
ไม่ใช่เรื่องดีเลยที่เขาจะไปหาเรื่องตระกูลฟู ใครที่มีอำนาจกว่ากันก็เห็นๆกันอยู่
“ฉันก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง แกอย่ามาทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่จะดีกว่า หากว่าแกปล่อยฉันและยอมกราบขอโทษฉันตอนนี้ฉันจะปล่อยเรื่องนี้ไป ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ ฉันจะไม่มีวันให้แกยืมตัวอัจฉริยะจากกลุ่มบริษัทฉันออกไปให้แกแม้แต่คนเดียว นอกจากนั้นฉันจะทำทุกทางที่จะคัดขวางธุรกิจทางด้านเครื่องยนต์ของแกอย่างสุดกำลัง”
ฟูฮงซิ่วขมขู่ออกมาด้วยน้ำเสียงอาฆาต นี่ทำให้เหล่าผู้คนที่ได้ยินต่างก็ต้องมองหน้ากัน ซูจิ้งมาที่นี่เพียงเพราะต้องการยืมตัวอัจฉริยะไปพัฒนาธุรกิจด้านเครื่องยนต์ของเขา
แต่กลุ่มทุนฮงเหอนั้นเป็นบริษัทชั้นแนวหน้าของประเทศจีน การที่เขาอยู่ๆก็มาหาเรื่องบริษัทชั้นแนวหน้าแบบนี้นี่เขาไม่คิดอะไรเลยการก่อเรื่องรึไงกัน
“นี่แกคิดจริงๆเหรอว่าฉันจะเป็นต้องมาขอแกก่อนที่จะทำอะไรน่ะ คิดว่าฉันไม่มีปัญญาทำอะไรเรื่องนี้ถ้าไม่ได้ร่วมมือกับแก ถ้าแกไม่คิดจะให้ความร่วมมือกันดีๆฉันก็ไม่สนใจหรอก ฉันมีวิธีการตั้งเยอะที่จะได้สิ่งที่ต้องการมา” ซูจิ้งได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเดียดฉันท์
“ถ้าแกยังไม่ปล่อยฉันล่ะก็แกต้องเห็นดีแน่” ฟูฮงซิ่วยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอาฆาต
“เห็นดี อย่าคิดว่าตัวเองแน่นักสิ สำหรับฉันที่แกพูดมามันก็ไม่ต่างจากการผายลม วันนี้นี่จะเป็นเพียงแต่การเตือนเท่านั้น อย่าได้มาคิดจะมาตอแยผู้หญิงของฉันอีกเป็นอันขาด และอย่าได้เสนอหน้าต่อหน้าฉันอีก
ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คราวหน้า ฉันจะทำให้แกต้องรู้สึกว่าตายเสียดีกว่าอยู่” ซูจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
เมื่อพูดจบ เขาก็ได้หยิบขวดไวน์ขึ้นมาและค่อยๆเทไวน์ให้ไหลลงบนหัวของฟูฮงซิ่วอย่างช้าๆ
ในขณะเดียวกัน ซูจิ้งก็ลอบใช้พลังจากเหรียญตรายมฑูตที่เก็บไว้ในกระเป๋ามิติ นั่นทำให้ทุกคำพูดและทุกการกระทำของซูจิ้งดูน่าสะพรึงกลัว ราวกับว่าสิ่งที่เขากระทำนั้นราวกับถูกสิงสู่ด้วยปีศาจร้าย
ฉากนี้ทำให้คนที่อยู่โดยรอบหรือแม้แต่อันจือฮ่าว หม่าเต๋า หนิงหยิงติง และนาหลันเฟยต่างก็เกรงกลัวกันไปหมด แม้แต่คนของฟูฮงซิ่วเองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน
ขนาดรปภ.ของโรงแรมที่มาถึงและได้เห็นฉากนี้ในทันที พวกเขาก็ยังทำได้เพียงนิ่งอึ้งไม่กล้าเข้าใกล้หรือไหวติงแต่อย่างใด
ฟูฮงซิ่วที่เป็นเป้าหมายของคำพูดของซูจิ้งนี้เขานั้นสัมผัสได้ถึงความน่าหวาดหวั่นของซูจิ้งได้มากกว่าใคร ใบหน้าของเขาสีซีดจนเซียวราวกับไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง
ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขารู้สึกได้ทันทีว่ามือที่จับคอของเขาในตอนนี้ไม่ใช่มืออีกต่อไป ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่ามือของซูจิ้งคือเคียวของยมฑูตที่พร้อมจะบั่นคอเพื่อเก็บเกี่ยวชีวิตของเขาได้ตลอดเวลา
ตัวเขานั้นได้พบผู้คนมามากมายแม้แต่คนที่ฆ่าคนได้เพียงชั่วพริบตาเขาก็เคยเจอมาแล้ว แต่ในหมู่คนเหล่านั้น ไม่เคยมีคนไหนเลยที่ทำให้เขาได้รู้สึกถึงความตายมาเยือนตรงหน้าขนาดนี้มาก่อน
ซูจิ้งได้หันหน้าตัวเองไปมองหม่าเต๋าอย่างช้าๆ หม่าเต๋าที่เห็นดังนั้นก็เข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นในทันทีอย่างไม่อิดออด
นี่ไม่ใช่เพียงเพราะว่าซูจิ้งในตอนนี้น่ากลัวเกินไปเท่านั้น แต่ว่าเป็นเพราะเขานั้นกล้าจองหองเพียงเพราะมีฟูฮงซิ่วให้ท้าย
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ซูจิ้งจะไม่ได้สนใจอะไร แต่ในเมื่อเขาเองก็ได้แตแยซูจิ้งมีหรือที่เขาจะปล่อยให้มันเลยผ่าน ไม่ต้องพูดถึงว่าฟูฮงซิ่วจะมาปกป้องเขา หมอนี่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย
“คุณซู ผมรู้แล้วว่าตัวเองนั้นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ตัวผมที่เคยทำเรื่องไม่ดีเอาไว้กับคุณฉือชิงในตอนนั้นยังติดค้างคำขอโทษเอาไว้ มาในวันนี้ก็ยังก่อเรื่องน่ารังเกลียดเข้าไปอีก ถึงตอนนี้คุณจะเหนือล้ำผมในทุกสิ่งจนไม่มีทางไหนเลยที่จะทำให้คุณยอมยกโทษให้ผม แต่ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยเถอะ” หม่าเต๋าร้องขาชีวิตออกมาด้วยความสะพรึงกลัว เขานั้นทั้งหมอบกราบจนแทบเท้าซูจิ้ง
ผู้คนที่เห็นนั้นต่างก็ไม่รู้ว่าหม่าเต๋านั้นเคยทำอะไรซูจิ้งเอาไว้มาก่อน แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญแต่อย่างใด สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือซูจิ้งนั้นมีออร่าแห่งการฆ่าฟันอันน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
มันราวกับว่าหากตอนนี้เขาอยากจะเห็นเลือด ก็ไม่มีใครกล้าพอจะปริปากร้องขอชีวิตเลยสักคำ หากเขาต้องการจริงๆก็คงจะง่ายดายราวกับใช้เคียวเกี่ยวฟางข้าวโดยไม่ต้องออกท่าทางอะไร
ตอนนี้ทุกคนในงานนั้นต่างรู้ในทันทีเลยว่าในสายตาของซูจิ้งแล้ว ฟูฮงซิ่วนั้นหาใช่ศัตรูหรือคู่แข่งแต่อย่างใด แถมยังแย่ยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปเสียอีก
นั่นก็คือฟูฮงซิ่วไม่ได้ต่างไปจากก้อนกรวดที่ให้เขาเหยียบย่ำเล่นจนพอใจเท่านั้น
GGS:บทที่ 1029 ขุด
ซูจิ้ง อันจnvฮ่าว และบอดี้การ์ดหน้าหล่อได้ออกจากโรงแรมไป
หลังจากที่เวลาผ่านไปนานพอสมควร บรรยากาศภายในงานก็ยังอึมครึมและเงียบงัน ราวกับว่างานเลี้ยงได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
ฟูฮงซิ่วและหม่าเต๋าในตอนนี้ยังแน่นิ่งอยู่ที่พื้น คนของฟูฮงซิ่ว หนิงหยิงติง นาหลานเฟย และแขกคนอื่นๆในงานที่เพิ่งจะได้สติก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องนี้
ฟูฮงซิ่วที่โดนซูจิ้งสั่งสอนไปนั้น ในตอนนี้กลับลุกขึ้นมาราวกับบรรลุในบางสิ่ง
“ลูกพี่ฟูหมดสติไปเหรอ”
“ไม่ได้หมดสติ แต่สายตาของเขาเลื่อนลอยมาก นี่มาจากที่หัวของเขากระแทกเหรอ”
“พาเข้าไปโรงพยาบาลเถอะ”
คนกลุ่มหนึ่งได้รีบพาฟูฮงซิ่วไปส่งพยาบาล หม่าเต๋าที่มีสภาพไม่ต่างกันก็ถูกประคองไปด้วยเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าจะมีเพียงแค่ไม่กี่คนที่ออกจากงานไปแต่นั่นก็ไม่ต่างจากงานนี้ได้เลิกลาลงไปแล้ว ถึงคนก่อเหตุจะเดินจากไปอย่างหน้าตาเฉย แต่นั่นก็ไม่มีใครคิดจะโทษซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้ออออ….ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางได้น้ำหอมนั่นมาจากซูจิ้งเลยสินะ”หนิงหยิงติงบ่นออกมา
“เอาจริงๆนะ ฉันว่าอย่าไปยุ่งกับเขาเลยดีกว่า เธอก็เห็นนี่ว่าหมอนี่เวลามีเรื่องแล้วน่ากลัวขนาดไหน” หญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมา
“แต่ทำไมฉันกับคิดว่าเขาเท่กันล่ะ ถึงแม้หมอนั่นจะไม่ได้ดูดีเท่ากับฟูฮงซิ่ว แต่เขานั้นทุ่มเทให้กับผู้หญิงของตัวเองซะขนาดนั้น
ก่อนหน้านี้ฉันได้ข่าวว่าฟูฮงซิ่วนั้นที่เปลี่ยนแฟนบ่อยๆเพราะว่าเขานั้นชอบบังคับให้ผู้หญิงทำอะไรแปลกๆ เขานั้นคิดว่าตัวเองมีอำนาจเลยทำอะไรก็ได้ ช่างน่าขยะแขยงอะไรอย่างนี้
หากว่าวันนี้เขาไม่ได้ถูกซูจิ้งเล่นงานล่ะก็ ไม่รู้เลยว่าจะมีผู้หญิงตกเป็นเหยื่ออีกมากเท่าไหร่” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“อย่ามาพูดแบบนี้แถวๆนี้สิ เดี๋ยวก็มีคนของหมอนั่นได้ยินเข้าหรอก” หนิงหยิงติงได้ดุหญิงสาวคนนั้นเชิงหยอกๆ นั่นทำให้เธอทำท่าสะดุ้งพร้อมแลบลิ้นออกมาในทันทีและไม่ได้พูดออกมาอีก
สำหรับซูจิ้งนั้นเขาสามารถเล่นงานฟูฮงซิ่วได้อย่างสบายๆก็จริง แต่พวกเธอนั้นไม่สามารถ
“ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสามารถสยบซูจิ้งเลยนะ หมอนั่นไม่กลัวฟ้ากลัวดินเลยจริงๆ”
“เรื่องนั้นก็ยังไม่แน่หรอกนะ ใครจะไปรู้ หากพ่อของฟูฮงซิ่วรู้เรื่องเข้าล่ะก็ หมอนั่นอาจจะรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำก็ได้”
นาหลันเฟยในตอนนี้ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเองนั้นก็เกลียนฟูฮงซิ่วไม่น้อยเหมือนกัน แต่ด้วยสถานะของเธอนั้นทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างโจ่งแจ้ง
ในสายตาเธอนั้น คนที่เก่งจริงจะไม่มานั่งใช้ความสามารถหาประโยชน์ใส่ตัวเองแบบนี้ หากว่ามีความสามารถเทียบเท่าได้ดั่งมนุษย์แมงมุมก็ควรจะใช้ความสามารถในการช่วยเหลือผู้คน
แต่ด้วยการที่เธอนั้นหลงใหลในตัวมนุษย์แมงมุมคนนั้นมากเกินไปทำให้เธอโดนทัดทานจากเพื่อนของเธอบ่อยๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอเสื่อมศรัทธาในฮีโร่สวมหน้ากากของเธอเลยแม้แต่น้อย
เธอได้สลักรูปฮีโร่ของเธอเอาไว้ในใจของมานานมากแล้ว
“เอ่อ…ลูกพี่ เราจะกลับเมืองจงหยุนกันเลยรึเปล่า”
หลังจากออกมาจากโรงแรมแล้ว สรรพนามที่เขาใช้เรียกซูจิ้งนั้นได้เปลี่ยนไปในทันที ก็ไม่แปลกอะไรนักเพราะเขาพึ่งจะได้เห็นฉากที่น่าประทับใจสำหรับเขานั่นเอง อันจือฮ่าวได้ถามออกมาในขณะที่มองไปยังซูจิ้งและบอดี้การ์ดหน้าหล่อสลับกันไป
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เขานั้นรู้สึกนับถือบอดี้การ์ดหน้าหล่อคนนี้ขึ้นมาอีกนิดนึง แต่เดิมนั้นเขาเองก็คิดว่าบอดี้การ์ดหน้าหล่อเป็นเพียงไม้ประดับของซูจิ้งเท่านั้น
ไม่คิดเลยว่านอกจากจะมีใบหน้าที่หล่อเหลาแล้ว เขานั้นจะทรงพลังราวกับคนเหล็กเลยก็ว่าได้ ด้วยการที่เขานั้นไม่พูดอะไรออกมาเลยตลอดเวลาที่ผ่านมานี่ช่างทำให้เขาดูเท่สุดๆ
คนๆนี้เพียงมีคนมองหน้าซูจิ้งก็แทบจะปลี่เข้าไปเล่นงานคนๆนั้นแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าเขานั้นมีความภักดีอย่างมาก สำหรับอันจือฮ่าวแล้ว
นิสัยแบบนี้ถึงจะนับว่าเป็นบอดี้การ์ดที่แท้จริงและได้คิดว่าหากกลับไปแล้วจะต้องหาบอดี้การ์ดแบบนี้ให้ได้สักคน
แต่สิ่งที่อันจือฮ่าวไม่รู้นั่นก็คือคนๆนี้ไม่ใช่บอดี้การ์ดธรรมดา กลับกันเขานั้นมีร่างกายที่แท้จริงเป็นชายร่างยักษ์ที่สูงมากกว่าสี่ถึงห้าเมตร
ด้วยการที่ชายคนนี้คือทหารผ้าเหลือง(ผ้าเช็ดหน้าไหมทองคำ)ที่ส่งตรงมาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ เขาจะไปหาบอดี้การ์ดแบบนี้จากที่ไหนของโลกใบนี้ได้กัน
“เราจะกลับไปได้ยังไงกัน นี่เรายังไม่ได้ตามสิ่งที่เราหวังไว้เลยนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แต่เราพึ่งจะเล่นงานฟูฮงซิ่วไปเองนะ ไม่ว่ามองยังไงหมอนั่นก็ไม่มีทางยกคนของหมอนั่นให้เราอย่างแน่นอน
หากว่าลูกพี่จะหาพวกหัวกะทิจากที่อื่นล่ะก็ ผมว่าก็ไม่น่าจะมีเหตุผลที่เราต้องอยู่ที่นี่นะ เราน่าจะกลับไปตั้งต้นที่เมืองจงหยุนจะดีกว่า” อันจือฮ่าวได้แสดงความเห็นออกมา
“เพียงแค่หมอนั่นไม่คิดจะให้ความร่วมมือก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีทางดึงตัวมาจากกลุ่มทุนฮงเหอซะหน่อย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
อันจือฮ่าวที่ได้ยินดังนั้นก็ทำท่าครุ่นคริดก่อนที่จะนึกอะไรบางอย่างออกมาได้ ความจริงแล้วความคิดที่เขาพึ่งนอกออกมานี้ไม่ใช่ว่าจะคิดไม่ถึง แต่ต้องบอกว่าไม่กล้าคิดจะดีกว่า
นั่นก็เพราะว่าการดึงตัวคนมาจากกลุ่มทุนฮงเหอนั้นก็ไม่ต่างจากการตบหน้าตระกูลฟูแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อตอนนี้ซูจิ้งกำราบฟูฮงซิ่วอย่างราบคราบไปแล้ว แล้วทำไมพวกเขาต้องกังวลเรื่องนั้นอีกล่ะ
ซูจิ้งและอันจือฮ่าวนั้นได้ปักหลักอยู่ที่อำเภอข้างๆของเมืองอยู่สองวัน สิ่งเดียวที่พวกเขาทำนั้นก็คือการดึงตัวคนที่เขาหมายตาไว้
ในช่วงนี้สิ่งที่อันจือฮ่าวทำได้นั้นนั่นก็คือได้รับรู้ความน่าสะพรึงกลัวของซูจิ้ง นั่นก็เพราะว่าคนไหนที่เขาหมายตาไว้นั้นถูกดึงตัวมาทีละคนอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าคนเหล่านี้นั้นเป็นคนของซูจิ้งที่ถูกส่งไปเรียนรู้งานก็ไม่ปาน
ไม่ว่าใครหากมาเห็นฉากเหล่านี้ต่างก็ต้องบอกว่าซูจิ้งนั้นมีความสามารถในการโน้มน้าวใจผู้คนได้อย่างมาก แต่เหตุผลหลักๆก็คือตราบใดที่ข้อเรียกร้องเพิ่มเติมของคนเหล่านี้ไม่ได้มากเกินไปจนเขาทำไม่ได้อย่างสะดวกใจล่ะก็ ซูจิ้งรับปากหมดทุกอย่าง จึงไม่แปลกที่ซูจิ้งจะได้คนไปมากมายขนาดนี้
คนเหล่านี้ไม่มีใครเลยที่ปฏิเสธซูจิ้งเลยสักคนเดียว และในหลายๆคนนี้สัญญาการทำงานของเขากับกลุ่มทุนฮงเหอเพิ่งจะทำไปด้วยซ้ำเรียกว่าน้ำหมึกยังไม่แห้งดีด้วยซ้ำ
แน่นอนว่ากับเรื่องแค่นี้ซูจิ้งยินดีอย่างออกนอกหน้าที่จะจ่ายค่าผิดสัญญาให้พวกเขา ทำให้พวกเขาไม่มีอะไรต้องกังวลแม้แต่น้อย
เพียงการมาแค่สองวันของซูจิ้ง เขาก็ได้สุดยอดหัวกระทิติดไม้ติดมือกลับไปได้เจ็ดคนเลยทีเดียว
ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ฟูฮงซิ่วกำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าที่ซีดเสียวเล็กน้อย
ในตอนนี้เอง ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งได้เดินเข้ามา แต่หม่าเต๋านั้นไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนนี้อีกต่อไป นับแต่วันที่หมอนั่นคุกเข่าขอร้องซูจิ้งให้อภัยในตัวหมอนั่น
แถมหมอนั่นเองก็เป็นต้นเหตุทำให้ฟูฮงซิ่วทำเรื่องไม่เป็นเรื่องออกไป เพียงแค่นี้หมอนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับคนทรยศจึงไม่มีหน้าจะมีอยู่ในร่มโพธิ์ของฟูฮงซิ่วอีก
เอาจริงๆหมอนั่นแค่กลัวว่าฟูฮงซิ่วจะโทษหมอนั่นจนคิดเล่นงานก็เท่านั้น
“ลูกพี่ฟูเป็นยังไงบ้างครับ ลูกพี่ดีขึ้นแล้วรึยัง” ชายหนุ่มคนหนึ่งได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ
“อืม ดีขึ้นแล้ว” ฟูฮงซิ่วพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์
“ดีแล้ว ดีจริงๆ” บรรยากาศของชายหนุ่มกลุ่มนี้ดีขึ้นอย่างมากจนทำให้หันหน้าเข้ามาคุยกันไปมาจนมีอีกหลายๆคนต้องเตือนให้หยุดเพราะมันเป็นการรบกวนลูกพี่ที่รักของพวกเขา
“มีคนเท่าไหร่ที่รู้เรื่องในคืนนั้น” ฟูฮงซิ่วถามออกมา
“….คือ…พวกเราพยายามจะปิดข่าวแล้ว…แต่…มีใครบางคนได้ถ่ายรูปเหตุการณ์….แล้วโพสต์มันขึ้นอินเตอร์เน็ตไป…กับเรื่องนี้เลย…” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดออกมาด้วยท่าทีจนปัญญา
ฟูฮงซิ่วที่ได้ยินดังนั้นก็กัดฟันของตัวเองแน่นพลางนึกถึงการที่เรื่องในคืนวันก่อนถูกโพสต์ขึ้นอินเตอร์เน็ตไปแล้ว แน่นอนว่าคนที่เห็นต้องนับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน
เขานั้นได้เสียหน้าไปเรียบร้อยจนทำอะไรไม่ได้แล้ว นี่ทำให้ความโกรธเกิดมาในหัวใจทันที
อย่างไรก็ตามในขณะที่ความโกรธของเขาพุ่งสูงขึ้น ก็ได้มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นในหัวใจจนทำให้ความโกรธของเขานั้นไร้ค่าไปในทันที
ความรู้สึกนั้นคือความรู้สึกเสียวสันหลังที่เกิดจากความเย็นยะเยียบ มันเป็นความรู้สึกที่เรียกว่าความกลัวอย่างแน่นอน ยิ่งเขารู้สึกโกรธมากเท่าไหร่
ความรู้สึกเย็นยะเยียบนี้ก็ยิ่งแรงกล้าจนทำให้เขานั้นต้องขนลุกจึงทำให้ความโกรธในจิตในตัวเองหายไปโดยปริยาย
นี่ทำให้เขานั้นนึกสงสัยขึ้นมาอย่างจับใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ สิ่งที่ซูจิ้งทำกับเขานั้นมันสมควรทำให้เขาโกรธไม่ใช่เกรงกลัวแบบนี้ นี่ไม่ใช่ว่าเขากลัวซูจิ้งไปแล้วจริงๆหรอกเหรอ
ในขณะที่รุ้สึกสงสัยอย่างหนักนั้น อยู่ๆ ร่างกายของเขาก็ได้เรียกความทรงจำอันเจ็บปวดที่ห่างหายไปแล้วขึ้นมาในหัวใจ
เขาจำได้แม้กระทั่งตอนที่เขาพูดเกี่ยวกับฉือชิง แต่เพียงเขานั้นนึกถึงชื่อนี้ก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนทำให้หายใจได้อย่างลำบากยากเย็น
ราวกับว่าชื่อๆนี้เป็นชื่อต้องห้ามที่ประทับไว้ในใจเขา มันเป็นคำสาปที่ทำให้เขาตระหนกจนร่างกายแข็งค้างไปได้เลย
“แม่…เอ๊ย เกิดอะไรขึ้นกันแน่ว่ะเนี่ย ฉันไม่ยอมแพ้หรอก” ฟูฮงซิ่วพร่ำพูดออกมาด้วยควาโกรธเกรี้ยวจนทำให้กลุ่มที่มานั้นหวาดกลัวในสิ่งที่เห็น
ฟูฮงซิ่วยังไม่ยอมแพ้ที่จะคิดถึงฉือชิงแต่นั่นกับทำให้เขาอาการหนักมากจนทำให้เขายอมแพ้ไปอย่างไม่อาจต้านทานได้ เขานั้นอยากจะหยุดคิดเรื่องนี้แบบจริงจังเลยเปลี่ยนเรื่องคุยและถามออกมาว่า
“สองวันที่ผ่านมานี้มันทำอะไรรึเปล่า”
“เรื่องนี้…” ชายหนุ่มคนนั้นอึกอักในทันที
“พูดมา” ฟูฮงซิ่วพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์
“หมอนั่นดึงตัวคนของเราไปเจ็ดคนครับ”
“เจ็ดคนไหน” ฟูฮงซิ่วรู้สึกสังหรร้ายในทันที
“มีโจวติ ลูเป๋าเล่ย..” ชายหนุ่มได้พูดชื่อของเจ็ดคนที่ถูกดึงตัวไปอย่างช้าๆ และในทุกๆชื่อที่ฟูฮงซิ่วได้ยินนั้นทำให้สีหน้าของเขาน่าเกลียดมากขึ้นเป็นระดับ ก็ไม่แปลกอะไรนักเพราะคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดหัวกระทิของกลุ่มทุนฮงเหอ
“เป็นไปได้ยัง หมอนั่นดึงคนไปได้เจ็ดคนเลยเนี่ยนะด้วยเวลาเพียงสองวัน แถมทุกคนคือหัวกระทิของพวกเรา…”
ฟูฮงซิ่วพูดด้วยเสียงอันโหดร้ายรวดเดียวราวกับลืมความเจ็บปวดของตัวเองไป
นี่ทำให้กลุ่มชายหนุ่มได้แต่นิ่งเงียบไปเท่านั้น อย่าว่าแต่ฟูฮงซิ่วเลย พวกเขาเองในตอนแรกก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน
แต่ยังไงซะต่อให้ไม่เชื่อก็เท่านั้นเพราะว่าต่อหน้าพวกเขานั้น ซูจิ้งได้ขุดเอาสุดยอดหัวกะทิของพวกเขาไปอย่างง่ายดาย ต่อให้ไม่เชื่อ ยังไงก็ต้องเชื่อ
GGS:บทที่ 1030 ศัตรูของศัตรู(อุดรอยร้าว)
ไม่ว่าตอนนี้ ฟูฮงซิ่ว จะโกรธเกลียดแค้นซูจิ้งมากมายขนาดไหนก็ตาม แต่เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งเกิดขึ้นไปแล้วไปได้
ไม่ว่าจะเป็นภาพของเขาที่หวาดกลัวต่อซูจิ้ง หรือการถูกขุดเอาเหล่าอัจฉริยะของเขาที่หวงแหนออกไปได้อย่างง่ายดาย ทุกๆอย่างนี้ราวกับว่าถูกจัดเตรียมเอาไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
…..
เหล่าผู้คนแห่งโลกอินเตอร์เนตกำลังพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างสนุกปาก
“เม่…เอ๊ย ฟูฮงซิ่วถูกกำราบโดยซูจิ้ง”
“จริงเหรอ นี่เขาไม่รู้รึไงว่าฟูฮงซิ่วเป็นใครกัน นี่ซูจิ้งไม่ได้กลัวที่จะก่อเรื่องกับเขาเลยเหรอ ”
“เท่าที่ดูจากข้อมูลแล้ว อย่าว่าแต่กลัวเลย ซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจฟูฮงซิ่วเลยแม้แต่น้อยว่าเขาเป็นใครด้วยซ้ำ เขานั้นบีบคอหมอนั่นราวกับบีบคอหมาตัวหนึ่ง”
“ก่อนหน้านี้นายจำได้รึเปล่าว่าฟูฮงซิ่วนั้นเขาลือกันว่าเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่นน่ะ แต่ข่าวบอกมาว่าเหตุผลที่เขาเปลี่ยนแฟนนั้นเป็นเพราะผู้หญิงรับไม่ได้ที่โดนหมอนั่นทำอะไรแปลกๆ
ดูเหมือนว่าการกระทำของซูจิ้งนั้นจะได้รับการสรรเสริญมากกว่าสาบแช่งซะอีกที่ได้ช่วยระบายความขุ่นเคืองใจของสาวๆที่โดนฟูฮงซิ่วบังคับขู่เข็ญมากมายหลายคน
กับคนระยำตำบอนแบบนั้นสมควรแล้วล่ะ ตอนนี้ฟูฮงซิ่วเร่มมาอาละวาดในเน็ตแล้วนะ เขาขู่คนที่พูดคุยเรื่องนี้ว่าจะเอาถึงตายเลยล่ะ
แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วหมอนั่นก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะนะ แม้แต่คนดังๆที่เคยไว้หน้าหมอนั่น ในตอนนี้ต่างก็ออกมาแฉกันเหมดเปลือก เรื่องนี้มันราวกับว่าผู้ร้ายถูกปราบปรามโดยฝ่ายธรรมะยังไงก็ไม่รู้สิ”
“ฟูฮงซิ่วมันเป็นพวกแค้นฝังลึกไม่ใช่เหรอ หมอนั่นน่าจะเตรียมทำอะไรอยู่แน่ๆ”
“ฟูฮงซิ่วในตอนนี้น่าจะกลายเป็นขี้ขลาดจนเกินกว่าจะทำอะไรได้แล้วล่ะ ตอนที่เกิดเรื่องกันเขาโดนซูจิ้งใช้ประกาศิตเพชรฆาตกหมายหัวไว้จนทำไม่ได้แม้แต่จะลุกขึ้นจากพื้นด้วยตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ตอนนี้เขานั้นจะทำอะไรก็ไม่ได้สะดวกสักเท่าไหร่นัก ถึงแม้ก่อหน้านี้หมอนี่จะมีชีวิตอยู่อย่างน่าอิจฉา แต่เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้วความสามารถของหมอนั่นเทียบไม่ได้แม้แต่ลมตดของซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย
มันก็เหมือนกับคำที่เขาว่าเอาไว้ล่ะนะว่า ไม่ประชันขันแข่ง ไม่เจ็บตัวหรือป่วยไข้”
“ฉันว่าเลิกคิดแบบนั้นดีกว่านะ ฉันว่าซูจิ้งต้องการแค่จะโอ้อวดตัวเองเฉยๆ เดี๋ยวเขาก็ต้องมานั่งเสียใจภายหลังเองแหล่ะน่า
ถึงเขาจะทรงพลังก็จริง แต่ยังไงซะคนที่กว้างขวางเท่านั้นที่จะได้ทุกสิ่งไปครอบครอง โดยเฉพาะศัตรูของเขาในครั้งนี้ก็คือตระกูลฟูผู้กว้างขวางและลึกสุดหยั่ง”
“จะว่าไปก็จริงนะ แถมฟูฮงซิ่วเองก็ไม่ใช่ตะเกียงที่ไร้น้ำมันที่พอโดนซูจิ้งเล่นงานแล้วจะดับเพลิงแค้นในใจได้ ฉันว่ากับเรื่องนี้เท่านั้นที่เขานั้นเหนือกว่าซูจิ้งถ้าไม่นับเรื่องปูมหลังและทักษะส่วนตัว”
“แล้วไง คิดว่าซูจิ้งจะกลัวหมอนั่นงั้นเหรอ ถ้ามองตามมุมของฉันนะฉันยังไม่เคยเห็นซูจิ้งจะโดนเล่นงานได้เลยสักครั้ง
และครั้งนี้ฉันว่าเขาก็ไม่น่าโดนจัดการได้เช่นเดียวกัน เขาโดนเล่นงานมามากมายหลายครั้งแล้วฉันก็ยังเห็นเขาอยู่ดีจนถึงทุกวันนี้”
“แต่ครั้งนี้มันต่างจากครั้งอื่นนะ เดี๋ยวนายก็จะได้เห็นเอง”
เมื่อฮัวหยุนชูได้เห็นข่าวเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้นไปในโลกอินเตอร์เนต เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างซะใจสั้นๆสามครั้ง ก่อนจะพูดออกมาว่า “ซูจิ้ง ไม่เพียงแกจะหาญกล้ามาหาเรื่องฉัน นี่แกยังกล้าไปหาเรื่องฟูฮงซิ่วอีกอย่างงั้นเหรอ แกจะรีบหาที่ตายไปถึงไหนกัน”
“ไอ้หมอนี่นับวันยิ่งโอหังจริงๆ” ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆเองเมื่อเขาได้เห็นข่าวนี้ก็พยักหน้าเห็นด้วยและพูดความคิดเห็นของตนออกมา
ถ้าจะให้พูดตรงๆล่ะก็เขานั้นไม่ต้องคิดวิเคราะห์อะไรให้ปวดหัวแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะสิ่งที่ซูจิ้งกระทำนั้นเป็นการมองหาที่ตายอย่างแท้จริง นั่นก็เพราะในตอนนี้เขาได้หาเรื่องสองในสี่ของคุณชายสี่เรียบร้อยแล้ว
แต่เพียงทั้งสองได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความคิดนี้ของทั้งสองถึงกับต้องสั่นคลอนในทันที นั่นก็เพราะว่าถึงภาพเหตุการณ์นั้นจะเป็นเพียงแค่ซูจิ้งได้จับคอของฟูฮงซิ่วกดลงไปบนโต๊ะก็ตาม
แต่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวนั้นได้แผ่ออกมาจากรูปภาพอย่างไม่แน่เชื่อ กลิ่นอายนี้ทำให้ทั้งสองต้องขนลุกในทันทีที่เห็นในแวบแรก
นี่มันราวกับว่าการที่ซูจิ้งกระทำการเช่นนี้นั้นไม่ได้ต่างอะไรกับการประกาศศักดาเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ฮัวหยุนชูนั้นอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเขานั้นรอดออกมาจากเหตุการณ์แบบนี้ได้ยังไงกัน ทั้งๆที่เขาเองก็ไปหาเรื่องซูจิ้งไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“โทรหาฟูฮ่งซิ่วเดี๋ยวนี้” ฮัวหยุนชูพูดออกมา
“แต่…ลูกพี่ฮัวครับ ความสัมพันธ์ของคุณกับฟูฮงซิ่วก่อนหน้านี้ไม่ได้ดีเลยนะครับ แล้วเขาจะรับโทรศัพท์เราเหรอ” ชายหนุ่มท่าทางสุภาพถามออกมาอย่างงงงวย
“ถึงแม้จะไม่ได้ดีแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดชังกันนี่ นี่มันก็เหมือนกับคำที่ว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ศัตรูของศัตรูที่แข็งแกร่งนี่ถึงจะเรียกว่ามิตร” ฮัวหยุนชูยิ้มออกมาและนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มสุภาพเข้าใจความหมายและได้โทรออกไปในทันที
เขานั้นเข้าใจได้อย่างดีเลยว่าฟูฮงซิ่วในตอนนี้ต้องเกลียดชังซูจิ้งอย่างหนักแน่นอน แต่ตัวเขาที่ยังไม่ทำอะไรเพราะว่าเขานั้นมีกำลังไม่มากพอเท่านั้น
หากว่าคนที่มีความเกลียดชังต่อใครสักคนเหมือนๆกันมารวมตัวกันล่ะก็ แน่นอนว่าย่อมสามารถสร้างความร่วมมือได้อย่างง่ายดายจนแทบจะไปต้องพูดอะไรกันเลยด้วยซ้ำ
…
ขณะเดียวกัน ซูจิ้ง อันจือฮ่าว และบอดี้การ์ดหน้าหล่อได้กลับไปยังเมืองจงหยุน พร้อมด้วยเจ็ดอัจฉริยะด้านเครื่องยนต์กลไกที่เขาขุดออกมาจากกลุ่มทุนฮงเหอฯ
เขาได้พาหัวกะทิทั้งเจ็ดตรงไปยังสถานีวิจัยห้วงเวลาและกาลอวกาศในทันทีและให้พวกเขาเริ่มงานวิจัยเลย ด้วยการมีคงอยู่ของหัวกะทิทั้งเจ็ดนี้ทำให้งานวิจัยของซูจิ้งคืบหน้าอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาได้รับข้อมูลการวิจัยเบื้องต้นที่นักวิจัยชุดเดิมพอจะศึกษาเอาไว้ได้ผนวกรวมเข้ากลับรูปเครื่องยนต์ที่ซูจิ้งมอบให้
เพียงไม่นาน พวกเขาก็สร้างเครื่องยนต์ฉบับคัดลอกได้สำเร็จในที่สุด ถึงแม้ว่าประสิทธิภาพนั้นจะยังเทียบไม่ได้เท่าเครื่องยนต์ต้นแบบเพราะว่าวัสดุในการผลิตและเทคโนโลนีที่ใช้ยังห่างไกลกันมาก
แต่บอกได้เลยว่าเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ เครื่องยนต์รุ่นคัดลอกนี้ยังเนื้อล้ำกว่าหลายขุมนัก
ยังมีเรื่องน่ายินดีสำหรับซูจิ้งเรื่องอื่นอยู่อีกนั่นก็คือการวิจัยปืนเลเซอร์ตอนนี้คืบหน้ามากขึ้น และการวิจัยระบบโลกเสมือนเองก็คืบหน้าเช่นกันถึงแม้จะแค่เล็กน้อยก็ตาม
แต่คำว่าเล็กน้อยนี้ถือว่าดีมากเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับความรู้บนโลกใบนี้ในปัจจุบัน เพราะว่าเทคโนโลยีของโลกใบนี้กับห้วงเวลาฯสุดยอดทหารกล้าจ้าวนักรบนั้นห่างกันนับร้อยปีเห็นจะได้
ส่วนหรับเจ้าแผ่นจานฉายภาพที่มีขนาดประมาณสิบเซนติเมตรนั่น ในตอนนี้ยังไม่มีอะไรเพิ่มเติมแม้แต่น้อย ช่างน่าเสียดายนัก
“สุดยอดดดด อาจิ้ง พวกเราจะต้องทำให้โลกตกตะลึงอีกครั้งแน่ๆ” หวังจ้าวที่ทราบสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสถาบันวิจัยนั้นได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นในทันที
“ใจเย็นๆก่อนก็ได้นะลูกพี่ จะรีบตื่นเต้นไปไย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ใจเย็นๆ? เออสิปกติน่ะฉันก็ใจเย็นอยู่แล้วล่ะแต่จะให้ใจเย็นกับงานวิจัยของนายเนี่ยนะ คงต้องรอให้ชาวบ้านทำได้แบบพวกเราก่อนเท่านั้นแหล่ะ
ก่อนหน้านี้ไม่นานฉันเองก็ได้เตรียมตัวไว้แล้วบ้าง พร้อมทั้งลองให้คนไปตรวจสอบตลาดมาและได้คุยกับบอร์ดบริหารของเราแล้ว
ตอนนี้พวกเราก็พบบริษัทหนึ่งที่ชื่อว่าบริษัทกวงหลิงยานยนต์ บริษัทนี้เป็นบริษัทที่สร้างรากฐานขึ้นมาด้วยตัวเองและมีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร
พวกเขานั้นมีรถที่มีสมรรถนะและปริสิทธิภาพที่ดีมากเลยล่ะ เมื่อปีที่แล้วยี่ห้อรถของพวกเขาก็นับได้ว่าติดตลาดได้พอสมควร
แต่พวกเขานั้นได้ติดปัญหาตรงที่เครื่องยนต์ของพวกเขานั้นผลิตเองไม่ได้ใช้ของใครทำให้ค่าการประเมินสมรรถนะเครื่องยนต์ได้ออกมาไม่ดี
สองปีที่ผ่านมาเครื่องยนต์ของบริษัทนั่นไม่เพียงจะไม่พัฒนาขึ้น รถยนต์รุ่นหลังๆของพวกเขาสมรรถนะของเครื่องยนต์ค่อยๆลดลงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้พวกเขานั้นโดนวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นในทุกๆครั้ง
จนใจที่สุดพวกเขาในตอนนี้มียอดขายต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนเกือบถูกธนาคารยึดกิจการอยู่แล้ว แน่นอนว่าหากพวกเราซื้อกิจการของพวกเขา ไม่เพียงจะไม่ต้องอยู่ภายใต้แบรนด์ของคนอื่นแล้ว พวกเรายังสามารถยัดเครื่องยนต์ที่พวกเราพัฒนาได้อย่างตามใจชอบ” หวังจ้าวพูดออกมา
“เยี่ยม จัดการเลย” ซูจิ้งพูดออกมาโดยอดกล่าวชมหวังจ้าวออกมาเสียไม่ได้
“อ้อ อีกเรื่องนึง ฉันว่าเราน่าจะเอางานวิจัยใหม่ของเราสองตัวนี้ไปสร้างความตื่นเต้นให้กับชาวโลกสักหน่อยนะ อีกไม่กี่วันจะมีงานจัดแสดงทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับนานาชาติที่ปักกิ่ง ฉันว่าเราควรจะเข้าร่วมด้วยนะ นายคิดว่ายังไง นายว่าเราควรจะเปิดหูเปิดตาชาวโลกหน่อยไหม” หวังจ้าวพูดออกมาเชิงถามความเห็น
“จัดไปอย่าให้เสีย” ซูจิ้งรีบพูดตอบรับออกมาทันทีที่ได้ยินด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างมาก ถึงแม้งานวิจัยใหม่ของสถาบันห้วงเวลาฯทั้งสามชิ้นนี่จะถือได้ว่าเป็นสุดยอดในโลก ณ ตอนนี้
แต่ก็อย่างที่เขาว่าต่อให้ไวน์ดีแค่ไหนก็ตามแต่หากพวกมันอยู่แต่ในหมู่บ้านเล็กๆมันก็ไร้ค่า หากว่ามันดีแต่ไม่มีใครรู้ว่ามันมีอยู่และดียังไงมันก็ถือว่าไร้ค่าอยู่ดี
ถึงแม้ว่าสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯแห่งนี้สามารถจะจัดงานแถลงเปิดตัวได้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านๆมาก็จริง แต่นั่นมันเทียบไม่ได้กับชื่อเสียงที่จะได้หากไปจัดที่งานแสดงระดับนานาชาติแบบนั้น
งานจัดแสดงเทคโนโลยีแบบนี้จึงถือว่าเป็นช่องทางทางธุรกิจอีกอย่างหนึ่งที่เขานั้นสมควรจะลงไปเล่นด้วยอย่างไม่ต้องคิดมาก
….
ความจริงแล้วด้วยชื่อเสียงของกลุ่มทุนห้วงเวลาและปูมหลังของซูจิ้งและหวังจ้าวนั้น เมื่อพวกเขานั้นยื่นข้อเสนอที่จะเข้าร่วมงานจัดแสดงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนี้สมควรจะได้รับอนุมัติและถูกเชิญไปจัดในพื้นที่จัดแสดงที่ดีที่สุดเสียด้วยซ้ำ
แต่เพียงไม่นานหลังจากพวกเขายื่นเรื่องไปกลับก็ต้องได้รับการตอบกลับมาว่าพวกเขานั้นถูกปฏิเสธอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากพวกเขาได้ตรวจสอบเหตุผลดูก็ได้พบว่า ฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วนั้นเล่นไม่ซื่อ ถึงแม้ว่าประธานการจัดงานจัดแสดงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับนานาชาติแห่งเมืองปักกิ่งในครั้งนี้จะเป็นอะไรที่ทั้งสองนั้นยากที่จะกดดันได้
แต่เมื่อทั้งสองจับมือกันนั้นก็ไม่ได้ต่างจากการที่มีตระกูลใหญ่สองตระกูลมายืนถือมีดจอไว้ที่คอของเขาทำให้เขานั้นต้องยินยอมอย่างทัดทานไว้ไม่ได้
“ไอ้สองตัวนั่นเข้าขากันได้ดีจริงๆแหะ” ซูจิ้งคิดขึ้นในขณะที่หลับตาราวกับใช้ความคิดอะไรบางอย่าง
เขาในตอนนี้นั้นไม่ได้มีเส้นสายที่เล็กๆแบบเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
ต่อให้เขานั้นไม่ใช้ชื่อเสียงของตัวตนอันยิ่งใหญ่ของผู้คนในเมืองหลวงหรือชื่อเสียงของตระกูลหวังก็สามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดายก็จริง
แต่ในเมื่อฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วจับมือกันล่ะก็เขาคาดการณ์ได้ว่าเส้นสายของเขานั้นถึงแม้จะจัดการได้ง่ายจะเป็นอันตรายอยู่ดี และเขาเองก็ยังไม่อยากจัดการปัญหาเล็กๆแบบนี้ด้วยตัวตนที่ยิ่งใหญ่แห่งเมืองหลวงหรือตระกูลหวังแต่อย่างใด
หลังจากที่ครุ่นคิดสักพัก เขาจึงคิดว่าจะตัดใจจากงานแสดงด้านเทคโนโลยีที่ปักกิ่ง แต่คิดจะจัดงานแสดงด้านเทคโนโลยีของตัวเอง
สำหรับเขาแล้วกับแค่งานจัดแสดงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบนั้นไม่ได้ยากเย็นแต่อย่างใด
GGS:บทที่ 1031 ช็อคโลก(1)
ไม่กี่วันผ่านไป งานแสดงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนานาชาติแห่งเมืองปักกิ่งได้เริ่มขึ้น ในวันเดียวกันนั้นเอง สถาบันวิจัยห้วงเวลาและกาลอวกาศได้จัดงานแถลงเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่สถาบันได้วิจัยจนสำเร็จ
และในงานนี้ไม่เพียงเป็นการเปิดตัวเทคโนโลยีเพียงหนึ่งแต่เปิดตัวทีเดียวถึงสามชิ้น นี่สร้างความสนใจให้ผู้คนได้พอสมควร
เหตุผลก็เพราะ โดยปกติการที่สถาบันวิจัยหนึ่งๆกว่าจะบรรลุในแต่ละเรื่องนั้น พวกเขาสามารถทำให้เป็นรูปเป็นร่างได้เพียงหนึ่งก็ถือว่าดีมากแล้ว
แต่กับสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯ พวกเขาสามารถปล่อยผลิตภัณฑ์ที่มาจากงานวิจัยของตัวเองมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในครั้งนี้ พวกเขายังเปิดตัวถึงสามชิ้น นี่เป็นอะไรที่สถาบันวิจัยอื่นยากจะรับได้ แม้แต่คนธรรมดายังต้องสนใจจับจ้องเป็นตาเดียว
“ทำไมกลุ่มทุนห้วงเวลาฯไม่ไปจัดงานที่งานแสดงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนานาชาติที่ปักกิ่งกันล่ะ ต่อให้พวกเขาอยากจะจัดงานของตัวเองก็ไม่ควรจะจัดงานพร้อมกันกับงานใหญ่แบบนั้นนะ มีหวังงานที่ปักกิ่งได้ดึงความสนใจไปหมดแน่ๆ”
“ฉันได้ยินมาว่าตระกูลฮัวและตระกูลฟูได้แทรกแทรงการดำเนินงานของงานนั่นนะ หากฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วได้ร่วมมือกันล่ะก็ การที่จะกดดันไม่ให้ซูจิ้งไปจัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่นั่นก็ไม่ได้ยากเย็นแต่อย่างใด”
“โห ขนาดโดนเล่นแบบนั้นแล้วเขานั้นยังกล้าที่จะจัดงานวันเดียวกันตอบโต้อีก นี่เขาคิดดีแล้วใช่ไหมเนี่ย”
“ก็ไม่รู้เหมือนนะว่าเขาคิดยังไง แต่ถ้าเป็นฉันล่ะก็ไม่ยอมเอากิจการของตัวเองไปเสี่ยงกับการท้าประลองกับงานใหญ่แบบนั้นแน่ๆ”
“แต่ฉันไม่คิดแบบนั้นนะ ฉันว่าเขามั่นใจในตัวเองและเลือกที่จะไม่สนมากกว่า ในช่วงปีนี้สถาบันวิจัยห้วงเวลาฯ ได้ปล่อยผลิตภัณฑ์ที่มาจากงานวิจัยของตัวมาหลายตัวแล้ว
และผลิตภัณฑ์แต่ละตัวนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดผลิตภัณฑ์ที่มาจากเทคโนโลยีล้ำยุคที่พวกเขาวิจัยขึ้นมาเอง แต่ตอนนี้ฉันเองก็คิดว่างานแถลงเปิดตัวนี้จะเทียบกับงานใหญ่ที่ปักกิ่งนั่นได้จริงๆรึเปล่า”
“รู้สึกว่าซูจิ้งจะไม่ได้เข้าร่วมด้วยนี่ ฉันว่าเขาน่าจะรู้ตัวแล้วว่าตัวเองต้องขายหน้าแล้วล่ะ”
ท่ามกลางความเห็นของผู้คนที่หลากหลาย ในที่สุด กลุ่มทุนห้วงเวลาก็ได้เปิดงานแถลงข่าวของตัวเอง เป็นไปดังที่หลายๆคนคาดไว้ ซูจิ้งเหมือนจะไม่ได้มางานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของตัวเอง
พวกเขานั้นเห็นเพียงเฉิงหนานและหวังจ้าวเท่านั้น แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ก็ยังมีผู้ชมสนใจจำนวนมากอยู่ดี
ตอนนี้ผู้ชมผ่านช่องสตรีมทางการของกลุ่มทุนได้พุ่งสูงถึงห้าแสนคนในชั่วพริบตา
โดยส่วนใหญ่นั้นเป็นคนที่ประทับใจจากงานเปิดตัวระบบอัจฉริยะของซูจิ้งในครั้งก่อน
ผลิตภัณฑ์ที่สถาบันวิจัยห้วงเวลาฯได้เปิดตัวเป็นชิ้นแรกนั่นก็คือเครื่องตัดแต่งระบบเลเซอร์
เพียงทุกคนได้ยินคำพูดนี้ต่างก็รู้สึกนิ่งอึ้งกันไปหมด เหตุผลนั่นก็เพราะว่าเพียงได้ยินชื่อพวกเขานั้นรู้สึกผิดหวังพอสมควร
นั่นก็เพราะว่าเทคโนโลยีนี้สำหรับพวกเขาแล้วไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่แต่อย่างใด มันเป็นเทคโนโลยีที่มีการใช้อย่างแพร่หลายอยู่แล้วด้วยซ้ำ
“เครื่องตัดแต่งระบบเลเซอร์เหรอ” ห้าตระกูลใหญ่แห่งเมืองจงหยุนที่กำลังจับตามองงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนกาลเวลาเองแทบจะสบถออกมาด้วยความตกใจว่าทำไมกระจอกนัก
พวกเขานั้นต่างก็ถือว่าซูจิ้งเป็นภัยคุกคามของพวกเขาแต่ในขณะเดียวกันก็อยากเป็นคู่ค้าในบางสิ่ง หากเป็นคนอื่นเขาจะไม่ใส่ใจเลยสักนิด แต่กับซูจิ้งที่มีฐานอำนาจอยู่ที่นี่ ตระกูลก่อตั้งอย่างพวกเขานั้นไม่สามารถปล่อยผ่านได้จริงๆ
ซงจุนยี่ผู้ที่เป็นนายน้อยของตระกูลซงเองที่ได้ยินคำว่าเครื่องตัดเลเซอร์ก็นิ่งอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
“เมื่อกี้ในงานพูดถึงเครื่องตัดเลเซอร์ใช่รึเปล่า ไม่ใช่ว่าเราสำรวจมาแล้วว่าเครื่องยี่ห้อที่พวกเราสั่งไปนั้นเป็นที่สุดของเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เหรอ” ซงเกาหยุนผู้ที่เป็นหัวหน้าตระกูลซงได้ถามออกมาด้วยท่าทีตกตะลึง
“มันยังไม่แน่นี่ครับว่าเทคโนโลยีของพวกนั้นจะดีกว่าของพวกเรา ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะสร้างความสะเทือนทุกครั้งที่หมอนั่นเคลื่อนไหวอย่างโจ่งแจ้ง และนั่นมันทำให้เราเทียบเคียงกับเขายากขึ้นในอนาคต
แต่กับวงการเครื่องตัดเลเซอร์นี้ผมว่ามันเป็นอีกเรื่องนึงนะ หากว่าเทียบกันกับเทคโนโลยีที่บริษัทอื่นใช้กันในตอนนี้เครื่องที่เราสั่งไว้ถือได้ว่าเราล้ำกว่าอยู่ถึงแม้จะนิดหน่อยก็ตาม
ผมว่านี่จะเป็นโอกาสของเรามากกว่า แต่กับซูจิ้งผมว่าในเทคโนโลยีด้านนี้ เขาน่าจะต้องขายหน้าอย่างแน่นอน” ซงจุนยี่พูดความเห็นออกมาอย่างมั่นใจ
หากจะเทียบเคียงเทคโนโลยีด้านการตัดที่เป็นที่นิยมแล้ว เมื่อเทียบวิธีการตัดด้วยเลเซอร์กับการตัดด้วยแก๊สและพลาสม่าแล้ว
การตัดด้วยเลเซอร์นั้นถือได้ว่าเป็นการตัดที่ประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะมันเหนือกว่าทั้งเวลา ร่องรอยการตัด คราบการตัด ความคมชัด และความเรียบเนียน
นอกจากนั้นการตัดด้วยเลเซอร์นี้ยังสามารถใช้ได้กับงานหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเหล็กคาร์บอน สแตนเลส อัลลอยด์(โลหะผสม) ไม้ พลาสติก ยาง เสื้อผ้า แร่ควอซ์ เซรามิต แก้ว โลหะสังเคราะห์ และวัตถุชนิดอื่นๆ
เทคโนโลยีการตัดด้วยเลเซอร์นี้ถูกใช้อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องจักรโรงงาน พลังงาน เฟอร์นิเจอ และเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ยังได้
ด้วยการที่เทคโนโลยีทางด้านนี้ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมได้หลากหลายวงการจึงถือได้ว่าเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก
เมื่อปีก่อน ด้วยเทคโนโลยีในการตัดนี้ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วอย่างน่าสนใจ เพราะว่ามูลค่าในตลาดของเทคโนโลยีนี้เติบโตขึ้นมากกว่า 15-20%
นับต้งแต่ปี 1985 ประเทศจีนได้มีส่วนแบ่งทางการตลาดในเทคโนโลยีด้านนี้ถึง25%ในระดับโลก และในปัจจุบันนี้ก็ยังคงครองตลอดในระดับโลกด้วย%ที่เรียกได้ว่าไม่ได้ลดทอนลงไปเลย
นี่แสดงให้เห็นว่าระดับเทคโนโลยีทางด้านการตัดด้วยเลเซอร์นี้ไม่ได้น้อยหน้ากว่าชาติใดในโลกเลยแม้แต่น้อย
จึงกล่าวได้ว่าผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการตัดด้วยเลเซอร์นี้เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่หน้าลงทุนและพัฒนาธุรกิจหนึ่งเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้มันจะน่าลงทุนขนาดไหนก็ตาม เมื่อเทียบเทคโนโลยีสุดล้ำอย่างระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ซูจิ้งเปิดตัวไว้ก่อนหน้านี้
ไม่ว่ามองยังไงก็ไม่ได้เด่นสะดุดตาเลยแม้แต่น้อย ถ้าให้บอกจริงๆก็คือไม่ได้น่าประทับใจเลยสักนิด
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ซูจิ้งน่าจะพึ่งพัฒนาเทคโนโลยีนี้ได้ไม่นาน หากต้องไปแข่งกับบางบริษัทที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านนี้มากว่าเกือบๆสามสิบปี เขาจะไปสู้ได้อย่างไร
“เครื่องตัดเลเซอร์เนี่ยนะ” ใครบางคนที่อยู่ในวงการนี้เองก็ได้ดูงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของซูจิ้งอยู่ เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดนี้ต่างก็อึ้งและแทบจะปิดช่องสตรีมไปในทันทีเพราะรู้สึกรับไม่ได้นิดหน่อย นั่นก็เพราะมันไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม หลังจากกลุ่มทุนห้วงเวลาฯได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องตัดเลเซอร์ของพวกเขาให้ดู เริ่มจากตัดชิ้นงานจากวัสดุต่างๆไม่ว่าจะเป็นแผ่นเหล็ก ไม้ เซรามิก และแก้ว เป็นรูปทรงต่างๆด้วยความรวดเร็ว แม่นยำ และไม่ทิ้งร่องรอยอย่างน่าเหลือเชื่อ
พวกเขานั้นตัดทุกสิ่งทุกอย่างได้ราวกับใช้เส้นด้ายรูดผ่านเต้าหู้ นี่ทำให้เหล่าผู้รับชมต่างก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก แม้แต่ซงจุนยี่และคนในวงการถึงกับบอกไม่ถูกกันเลยทีเดียว
“พระเจ้า เร็วโคตร”
“การตัดด้วยเลเซอร์นี่ปกติเร็วอย่างนี้อยู่แล้วรึเปล่าน่ะ”
“ถึงแม้การตัดด้วยเลเซอร์จะเร็วก็จริงแต่มันไม่ได้เร็วขนาดนี้นะ หากจะใช้เกณฑ์ทั่วไปล่ะก็ปกติเลเซอร์สามารถเจาะผ่านวัตถุต่างๆด้วยความเร็วสิบห้าเซนติเมตรต่อนาที แต่เครื่องนี้สามารถทำได้ถึงเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรต่อนาทีเลยนะ”
“นั่นมันยังไม่ถูกซะทีเดียวนะ หากถ้าจะให้พูดเป๊ะๆล่ะก็เครื่องทั่วไปนั้นจะมีอำนาจเจาะทะลวงอยู่ที่ยี่สิบเซนติเมตรต่อนาทีแต่เครื่องของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯสามารถเจาะทะลวงได้หนึ่งเมตรต่อนาทีน่ะ”
“แถมระบบทำซ้ำของเครื่องนี้ยังแม่นยำแบบสุดอีกต่างหาก หากเป็นเครื่องทั่วไปแล้วจะมีการขาดเคลื่อนอยู่ที่0.03มิลลิเทมตรในทุกๆสามสิบเซนติเมตร แต่เจ้าเครื่องนี้กับสูงกว่าอย่างน้อยๆก็ห้าเท่า”
“ลองดูที่จุดรวมแสงนั่นสิ นั่นมันเล็กมากเลยนะ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเจาะอะไรเข้าได้เลยนะหากเป็นเครื่องทั่วไป นี่แสดงว่าคุณภาพของตัวจ่ายพลังงานต้องสูงล้ำอย่างแน่นอน”
“พระเจ้าเถอะ นี่มันเครื่องจักรในฝันชัดๆ”
“นี่พวกเขาสร้างเครื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน”
“เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่ว่าเครื่องตัดเลเซอร์เครื่องนี้ดีกว่าที่ใช้กันอยู่หรอกเหรอ”
“เหอะเหอะเหอะ อย่าว่าแต่จะดีกว่าเครื่องที่ดีที่สุดของต่างประเทศเลย มันเหนือล้ำกว่าหลายเท่าจริงๆ”
ซงจุนยี่และเหล่าผู้เกี่ยวข้องกับวงการการตัดด้วยเลเซอร์ทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ต่างก็เกือบจะบ้าคลั่งทันทีที่เห็นประสิทธิภาพของเครื่องตัดของซูจิ้ง
“เฮ้ออออ…ดูเหมือนว่าเครื่องที่เราสั่งไปนี่จะกลายเป็นขยะซะแล้วสิ” ซงกัวหยุนพูดออกมาด้วยท่าทีไม่สู้ดีนัก
“แต่ก็ถือว่ายังไม่เท่าไหร่นะครับ พวกเรายังไม่ได้ของที่สั่งเพราะว่าเราสั่งไม่มากเลยได้แค่จ่ายมัดจำไว้ หากเรายอมเสียมัดจำนั่นไปก็ถือได้ว่าไม่ได้เสียหายอะไรมาก ที่ดีที่สุดผมว่าเราควรใช้เงินที่กันเอาไว้ซื้อเครื่องตัดของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯดีกว่า” ซงจุนยี่พูดออกมา
“อืม ก็เหลือแค่ทางนี้ทางเดียวแล้วล่ะนะ” ซงกัวหยุนเองก็เห็นด้วยที่จะใช้เครื่องตัดของกลุ่มทุนห้วงเวลาด้วยเช่นเดียวกัน เขานั้นพลางคิดในใจว่านับแต่นี้บริษัทอื่นๆนี่จะอยู่รอดกันได้สักแค่ไหนกันนะ
พวกเขานั้นยังดีที่มีช่องทางถายและได้เลือกในสิ่งที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่าน่าจะต้องจ่ายแพงแต่น่าจะคืนทุนได้อย่างรวดเร็วแน่นอน
….
“ตอนนี้ได้เวลาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาแล้วไม่ใช่เหรอ” ฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และเหล่าผุ้ติดตามที่กำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ในงานจัดแสดงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับนานาชาติที่เมืองปักกิ่ง
คนที่พูดขึ้นมานั้นเป็นชายหนุ่มที่ดูภูมิฐานและสวมแว่นตาและเดินอยู่ข้างๆกับฮัวหยุนชู
“ตอนนี้พวกมันน่าจะเริ่มการสตรีมแล้วนะ เราลองดูกันสักหน่อยไม๊ล่ะ ได้ข่าวว่าครั้งนี้พวกมันไม่ได้เปิดตัวแค่หนึ่งแต่เปิดตัวถึงสามเลยนา…” ฮัวหยุนชูพูดออกมา
“เหอะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าไอ้เวรนั่นมันจะทำได้สำเร็จจริงๆหรอก มันพึ่งจะดึงตัวหัวกะทิของฉันได้ยังไม่ข้ามอาทิตย์ดีเลยด้วยซ้ำแล้วมันจะไปทำอะไรได้
เปิดตัวผลิตภัณฑ์สามชิ้นเหรอ มันก็แค่เอาจำนวนมาชวนขู่ล่ะวะ” ฟูฮงซิ่วพูดออกมา
เหล่าชายหนุ่มที่เป็นคนระดับเดียวกันก็ได้แย้งขึ้นมาว่า
“ไปดูก็เท่านั้นแหล่ะน่า ยังไงซะทุกคนก็ต้องสนใจงานนี้มากกว่าอยู่แล้ว ใครจะไปสนใจดูงานเล็กๆแบบนั้นกัน”
“ถ้าไอ้บ้านั่นคิดจะจัดงานก็ควรจะเลือกเวลาหน่อยดีกว่านะ คิดจะเทียบกับงานจัดแสดงใหญ่ที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆในทุกด้านแบบนี้งั้นเหรอ
ถ้าไม่บอกว่าลนหาที่ตายล่ะก็ ก็คงจะเรียกได้ว่าไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำชัดๆ”
แต่….เมื่อมีคนหนึ่งในกลุ่มได้เปิดช่องสตรีมทางการของงานแถลงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯขึ้นมา
พวกเขาก็ต้องอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อพบว่าตอนนี้ยอดผู้ชมผ่านการสตรีมอยู่ที่เกือบหนึ่งล้านคนและพึ่งจะเหยียบหนึ่งล้านต่อหน้าพวกเขา
และที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจมากที่สุดคือ สิ่งแรกที่กลุ่มทุนห้วงเวลาเปิดตัวก็คือเครื่องตัดเลเซอร์ เจ้าเครื่องนี้มันน่าประหลาดใจจนเรียกผู้ชมมาดูมากมายขนาดนี้ได้ยังไงกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น