Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1018-1023

 GGS:บทที่ 1018 ดื่มชา


ในขณะที่สมาร์ทโฟนกาลเวลากำลังมียอดขายที่พุ่งสูงทะยานฟ้า ซูจิ้งได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งจากเมืองหลวง ที่ปลายสายเป็นเสียงของชายวัยกลางคนที่ค่อนข้างจะสงบ

ที่เขาโทรมานั้นเป็นเพราะต้องการแจ้งสถานการณ์บางอย่างให้ซูจิ้งได้รับทราบเอาไว้ หลังจากนั้นซูจิ้งได้พูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาของสถานการณ์และสั่งให้ชายคนนี้ดำเนินการบางอย่างอยู่สักพัก


หลังจากนั้นเขาได้โทรออกไปอีกหลายสายโดยปลายทางนั้นอยู่ที่เมืองหลวง สายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสายของคนใหญ่คนโตที่หากมีคนทั่วไปได้ยินเพียงน้ำเสียงล่ะก็คนเหล่านั้นอาจจะตกใจจนสลบล้มไปได้อย่างง่ายดาย

หลังจากซูจิ้งพูดคุยกับคนเหล่านี้เสร็จสิ้น หวังซวนจี้ได้โทรหาซูจิ้งโดยพูดว่า “อาจิ้ง ต่อแต่นี้นายต้องวางตัวดีๆหน่อยนะ อีกไม่นานน่าจะมีคนใหญ่คนโตเชิญนายไปดื่มน้ำชาด้วยกัน บอกได้เลยว่าช่วงนี้นายน่าจะต้องวุ่นวายสักหน่อยล่ะนะ”


“ไม่มีปัญหาครับคุณลุง เรื่องนี้แค่นี้ผมจัดการได้” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“หืม แล้วนายจะจัดการยังไงล่ะนั่น อย่าบอกนะว่านายทำอะไรลงไปอีกล่ะเนี่ย ระวังระวังหน่อยนา เรื่องในครั้งนี้สำคัญยิ่งกว่าเรื่องกิจการยาสูบอย่างมาก

บอกได้เลยว่าเครื่องในครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนักทั้งเรื่องอวัยวะเทียมและระบบอัจฉริยะ โดยเฉพาะเจ้าระบบอัจฉริยะนั่นถ้าลุงเข้าใจไม่ผิดมันสามารถทำอะไรได้หลายอย่างแม้แต่ทางการทหาร นายคิดว่าภาครัฐจะยอมปล่อยเรื่องนี้ให้รอดพ้นหูรอดพ้นตาไปได้งั้นรึ” หวังซวนจี้พูดออกมาอย่างห่วงใย


“เรื่องนี้ผมรู้ดีครับ แน่นอนว่าตัวผมเองก็เตรียมการไว้ก่อนอยู่แล้ว ลุงหวังไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด

ตอนนี้ผมเองก็ได้ซื้อตั๋วเครื่องบินเพื่อที่จะเตรียมตัวไปยังเหมืองหลวงเป็นการส่วนตัวในวันพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้ว”

ซูจิ้งพูดออกมาราวกับไม่ใส่ใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่นัก หากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อนเขาเองคงต้องเป็นกังวลอยู่บ้าน แต่ยังไงซะด้วยพลังของเขาในตอนนี้


แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องสนต่อสิ่งไดอีก

นอกจากนี้ยังมีพวกระดับสูงที่คอยช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าต่อให้มันดูเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหนแต่กับเขานั้นก็แค่เรื่องที่ทำให้เสียเวลาเท่านั้นเอง

เอาจริงๆต่อให้เขาไม่ไปก็ยังมีวิธีการอื่นในการจัดการได้อยู่แล้ว อย่างเช่นการใช้พลังวิญญาณผนวกกับเหรียญตราเทวฑูต ไหนจะวิชาที่ได้จากตำราวิถีมังกรและพระธาตุนั่นอีก แค่ของเหล่านี้ก็ไม่มีใครบนโลกหล้าเทียบเคียงเขาได้อย่างแน่นอน


ถ้าให้พูดตรงๆล่ะก็หากว่าโลกนี้ไม่มีความอยุติธรรม ความเกลียดชัง การเล่นพักเล่นพวก หรือพวกวายร้ายเหล่านั้น เขาเองก็ไม่ได้อยากจะใช้วิธีการพวกนี้สักเท่าไหร่นัก

ถึงแม้ว่าเรื่องในครั้งนี้อาจต้องมีการทำอะไรเกินเลยไปบ้างเพราะมันเกี่ยวข้องกับตัวเขาโดยตรงแต่หากเลี่ยงได้เขาเองก็อยากจะเลี่ยงอยู่ดี


นั่นก็เพราะว่าเขานั้นอยากจะอัพเกรดสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของโลกใบนี้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่เลือกวิธีการอย่างการล้วงความลับ ขมขู่ หรือแม้แต่สะกดจิตควบคุมผู้คนก็ตาม


เช้าวันถัดมา รถลินคอนยาวพิเศษได้เข้ามาจอดยังสนามบินเมืองจงหยุน ในตอนนั้นซูจิ้งและหวังจ้าวได้ก้าวลงมาจากรถคันดังกล่าว

หวังจ้าวนั้นมาที่นี่เพื่อส่งซูจิ้งเพียงเท่านั้น ถึงแม้จะบอกว่าแค่มาส่งแต่เขาเองก็แสดงท่าทีประหม่าออกมาไม่ได้เช่นเดียวกัน


แต่ความประหม่านี้ก็ไม่ได้แปลกแต่อย่างใดเพราะว่าหากเป็นเรื่องปกติเขานั้นก็ยังพอใช้อำนาจของตัวเองจัดการได้อย่างง่ายดาย แต่เรื่องในครั้งนี้มันใหญ่มากแม้แต่พ่อของเขาก็ยังยื่นมือเข้ามายุ่งไม่ได้


“เฮ้ นายแน่ใจนะว่าไม่อยากให้ฉันไปด้วยจริงๆ” หวังจ้าวถามออกมา

“ให้พี่ไปก็คงแปลกแล้วล่ะ ตอนนี้ที่นี่ต้องการพี่มากกว่าผมนา ตอนนี้สมาร์ทโฟนกาลเวลากำลังอยู่ในจุดรุ่งจนทุกคนอิจฉา หากมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างนี้แล้วตัดสินใจได้ไม่ดีพออาจล้มได้อย่างง่ายดาย

เอาน่า ยังไงซะพี่มีโอกาสอีกหลังครั้งที่จะไปด้วยกันอย่างแน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“เฮ้อออ ก็ได้ ต่อให้ฉันไปในครั้งนี้ฉันก็ช่วยอะไรนายไม่ได้อยู่ดี ว่าแต่นายแน่ใจแล้วใช่ไมใหมว่าเรื่องในครั้งนี้นายรับมือไหวน่ะ

เอาจริงๆนะหากรัฐบาลอยากได้เทคโนโลยีนี้จริงๆล่ะก็นายก็ให้พวกนั้นไปเถอะ ยังไงซะพวกเรานั้นก็ยังได้เงินจากทางอื่นมากมายอยู่แล้ว” หวังจ้าวพูดออกมา


“เอาจริงๆฉันก็ไม่ว่าหรอกนะหากรัฐบาลจะเอาไปใช้น่ะ ยังไงซะหากเป็นเรื่องนี้ฉันเองก็อยากให้เประเทศจีนเข็งแกร่งอยู่แล้ว เพราะยังไงซะที่นี่ก็ยังประเทศของเรา หากว่ามอบให้แล้วใช้เพื่อการนี้จริงล่ะก็ฉันไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


เพียงชั่วพริบตา สองวันก็ล่วงเลยผ่านไป วันนี้เป็นวันที่ซูจิ้งกลับมาจากเมืองหลวง หวังซวนจี้และหวังจ้าวเองก็ประหลาดใจในทันทีที่ได้ยินเรื่องราวจากซูจิ้ง

รัฐบาลเลือกที่จะเป็นหุ้นส่วนกับซูจิ้ง แถมไม่ใช่การเป็นหุ้นส่วนแต่ในนามแล้วควบคุมทุกสิ่งอย่างแต่เป็นการเป็นหุ้นส่วนอย่างแท้จริง


การที่ซูจิ้งไปในครั้งนี้เอาจริงๆแล้วกลุ่มทุนห้วงเวลาแทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยแม้แต่น้อย รัฐบาลได้เชิญซูจิ้งให้เป็นที่ปรึกษากิติมาศักดิ์ให้กับรัฐบาลในด้านต่างๆ อย่างเช่นด้านการบินและการทหาร

และแน่นอนว่าหากมีการพัฒนาในด้านไหนก็ตามที่ซูจิ้งใช้เทคโนโลยีของตัวเองในการพัฒนา รัฐบาลยินดีที่จะจ่ายเงินเป็นค่าธรรมเนียมพร้อมทั้งออกค่าใช้จ่ายต่างๆที่จำเป็น

เพียงแค่เงินที่ได้จากการเป็นที่ปรึกษาในครั้งนี้สามารถสร้างรายได้มหาศาลให้ซูจิ้ง และนี่ยังไม่รวมถึงว่าซูจิ้งไม่จำเป็นต้องส่งมอบเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของเขาให้แต่อย่างใด หากว่าเขานั้นไม่อนุญาต


หวังซวนจี้ หวังจ้าว หวังเจิ้ง และหวังจุ่น ที่ได้ยินเรื่องราวจากปากของซูจิ้งต่างก็ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก

ตอนนี้พวกเขานึกกันไม่ออกเลยจริงๆว่าซูจิ้งนั้นมีอำนาจมากมายขนาดไหนอยู่ในมือแล้ว

แน่นอนว่าเรื่องนี้นอกจากคนสำคัญของตระกูลหวังแล้วยังมีอีกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รู้เรื่องนี้ แม้แต่คนในสี่ตระกูลใหญ่เองก็ยังมีคนแค่นับหัวได้เท่านั้นที่รู้เรื่อง

เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องลับสุดยอดของประเทศจริงๆ

เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ปัญหาอย่างได้คลี่คลายลงไปโดยปริยาย แต่กลับโลกภายนอกนั้นไม่มีใครเลยที่จะรู้ว่ามีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในประเทศมาก่อน


มีบางคนที่รู้เรื่องนี้ในตอนแรกนั่นต่างก็คิดว่าซูจิ้งต้องถูกภาครัฐเชิญไปดื่มชาเพื่อหาโอกาสตัดเนื้อเถือหนังเพื่อให้ส่งมอบทุกอย่างให้

ใครจะไปคิดว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเชิญดื่มชาเพื่อส่งมอบเงืนทองและประเทศให้แบบนี้


เมื่อซูจิ้งกลับไปถึงบ้าน เขาก็กลับเข้าไปคลุกอยู่ในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯของเขาเพื่อกิจวัตรที่ห่างหายไปนานนั่นก็คือการจัดการขยะของเขา

อย่างแรกที่เขาทำนั้นคือการเข้าไปตรวจสอบขยะฯกองกระดาษที่เสี่ยวไป๋ซ่อมเอาไว้ เขานั้นดึงข้อมูลทุกอย่างออกจากกระดาษจนกระทั่งเขาพบอะไรบางอย่างที่ทำให้ดวงตาของเขาต้องส่องประกาย


เขาคิดอะไรบ้างอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่พบเจอ เขาได้รีบออกไปยังสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของเขาและตรงไปยังห้องวิจัยเครื่องยนต์ที่เขาได้เจอก่อนหน้านี้

เมื่อเข้าไปถึงเขาก็ได้ถามออกมาทันทีว่า “เป็นยังไงบ้าง”

การวิจัยเครื่องยนต์นี้แม้แต่หวังจ้าวเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ซูจิ้งมีข้อตกลงกับภาครัฐและการทหารแล้วยิ่งจะให้รู้ไม่ได้เข้าไปใหญ่


เหตุผลนั่นก็คือเขานั้นมีเรื่องอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าการเอาเทคโนโลยีของเครื่องยนต์นี้ไปใช้ในการพัฒนาประเทศ แน่นอนว่าเขานั้นต้องการใช้เครื่องยนต์นี้ด้วยตัวเอง

“อย่าเรียกว่าคืบหน้าดีกว่าครับ เรายังไม่ค่อยเข้าใจวิธีการของมันสักเท่าไหร่เลย” เหล่านักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานต่างก็ต้องยอมแพ้และยอมรับความจริงกับซูจิ้ง

พวกเขานั้นล้วนแล้วแต่เป็นนักวิจัยด้านพลังงานชั้นนำในสายพลังงานเรียกได้ว่าแค่เอ่ยชื่ออย่างน้อยคนในวงการต้องรู้จัก

แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่การวิจัยสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นก็ไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลยแม้แต่น้อย

ในตอนแรกที่เห็นหากไม่มีใครมาทดสอบเครื่องยนต์นี้ให้พวกเขาดูล่ะก็ พวกเขานั้นคิดว่ามันเป็นแค่แท่นตีเหล็ก


พวกเขาในตอนนี้รู้เพียงว่าเครื่องยนต์ที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นคือสิ่งประดิษฐ์สุดล้ำยุคเพียงเท่านั้น

ตอนที่ซูจิ้งชวนเขาให้มาทำงานด้วยนั้น พวกเขาได้ลองเสนอเงินเดือนที่สูงกว่าเดิมสองสามเท่าเพื่อจะเปลี่ยนงานแต่ซูจิ้งกลับตอบตกลงอย่างง่ายดาย

ด้วยเครื่องยนต์ที่อยู่ต่อหน้าของพวกเขานี้ พวกเขารู้สึกละอายจริงๆที่ในตอนนั้นกล้าเรียกเงินเดือนแพงไปขนาดนั้น

“ลองดูนี่หน่อยสิว่าพอจะทำความเข้าใจได้รึเปล่า” ซูจิ้งได้ส่งกระดาษชุดหนึ่งให้นักวิจัย

“นี่…” เหล่านักวิจัยได้เห็นต่างก็ถึงกับชะงักงัน พวกเขาค่อยๆเปิดดูภาพวาดที่ถูกวาดเอาไว้ในกระดาษอย่างช้าๆและละเอียดละออ

เมื่อมาถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็หรี่ตามองและมีสายตาที่เบิกกว้าง หลังจากนั้นก็มองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรแต่ก็แสดงความตื่นเต้นออกมาแทบจะพร้อมๆกัน

หนึ่งในนั้นได้หันมาพูดกับซูจิ้งว่า “นี่เครื่องภาพวาดเครื่องยนต์”


“อืม ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันแต่มันไม่เหมือนกับเครื่องยนต์ตัวนี้น่ะฉันเลยไม่แน่ใจ” ซูจิ้งพูดออกมา

“ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ผมบอกได้เลยว่าเทคโนโลยีที่ใช้นั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นเทคโนโลยีเดียวกันอย่างแน่นอน”

“สุดยอด รีบศึกษาภาพวาดนี่เร็ว หัวหน้า ถ้าหัวหน้ามีเจ้านี่ล่ะก็น่าจะรีบเอาออกมานะครับ” ซูจิ้งก็ทำได้เพียงยิ้มรับออกมา เขาเองก็อยากจะบอกออกมาจริงๆว่าถ้ารู้ว่ามีก็คงรีบเอามาให้แล้ว


ในห้วงเวลาฯสุดยอดทหารจ้าวนักรบนั้น หุ่นยนต์เกราะเบาแต่ละรุ่นนั้นมีความเหมาะสมกับเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะที่แตกต่างกันไป

และแน่นอนว่าเครื่องยนต์ที่มาจากตัวกำเนิดพลังงานระดับต่ำนั้นไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนหุ่นยนต์เกราะเบาได้อย่างแน่นอน ต่อให้เป็นรุ่นที่ต่ำที่สุด พลังงานที่ต้องใช้ในหุ่นยนต์ก็ต้องใช้พลังงานไม่น้อยเลยเช่นเดียวกัน

แต่กับเครื่องยนต์ที่อยู่ตรงหน้าของเขานี้ถือได้ว่าโชคดีอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าเครื่องยนต์ที่เขาได้มานั้นเป็นเครื่องยนต์ที่เรียกได้ว่าธรรมดาสามัญอย่างมากในห้วงเวลาฯนั้น

ดีที่ภาพวาดที่เขาได้มาเองก็มีความคล้ายคลึงกับเครื่องยนต์เช่นนี้ด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็เขาเองก็คิดว่าต่อให้ได้ภาพวาดเครื่องยนต์มาก็คงจะเปล่าประโยชน์อยู่ดี


“เอาล่ะ ในเมื่อได้ตัวช่วยแล้วผมก็คงต้องให้พวกคุณทำงานหนักกันหน่อยล่ะนะ อ้อ บอกไว้ก่อนนะว่าหากพวกคุณพัฒนาและทำการผลิตเครื่องยนต์นี้จนขายได้ล่ะก็

พวกคุณเองก็จะได้รับเงินส่วนแบ่งด้วยเช่นเดียวกับนักวิจัยในกลุ่มอวัยวะเทียมและระบบปัญญาประดิษฐ์ที่อยู่ห้องข้างๆเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าตอนนี้พวกเขานั้นมีเงินมากจนมีแต่คนอิจฉาไปหมดแล้ว

แต่ผมก็ว่าพวกคุณน่าจะพอได้ยินมาบ้างตอนที่พวกนั้นมาขิงให้พวกคุณฟังแล้วล่ะนะ”ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องห่วงครับหัวหน้า พวกเราจะพยายามให้ดีที่สุดครับ” เหล่าสมาชิกนักวิจัยด้านพลังงานในตอนนี้ต่างก็หึกเหิม ดวงตาเปล่งประกาย และมีท่าทีตื่นเต้นกันไปหมด

ที่พวกเขานั้นมีความรู้สึกแบบนี้แล้วไม่ใช่เป็นเพราะเรื่องเงินแต่อย่างใด พวกเขานั้นล้วนแล้วแต่ภูมิใจที่ตัวเองจะได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมในการผลักดันงานวิจัยเทคโนโลยีล้ำยุคที่จะขับเคลื่อนโลกได้แบบนี้


GGS:บทที่ 1019 3 เรื่อง


หลังจากซูจิ้งได้ส่งมอบภาพวาดเครื่องยนต์ให้สถาบันวิจัยกาลเวลาฯไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ซูจิ้งก็ดูเหมือนจะยังกลัวว่าระดับการวิจัยเครื่องยนต์จะยังไม่เร็วพอ

ซูจิ้งจึงได้โทรหาเฉิงหนานและให้เธอนำข้อมูลของนักวิจัยมาให้เขาโดยหวังว่าจะเจอนักวิจัยดีๆเพื่อจะได้มาช่วยพวกเขาผลิตเงิน เขานั้นคาดหวังไว้ว่าหลังจากที่เครื่องยนต์นี้วิจัยเสร็จสิ้นเขาจะมีเงินเพิ่มขึ้นอย่างน้อยก็สักวินาทีละล้านหยวน

หลังจากนั้น ซูจิ้งได้เข้าไปยังห้องวิจัยที่เหล่านักวิจัยกำลังศึกษาชิ้นส่วนเครื่องจักรชนิดหนึ่งอยู่ ชิ้นส่วนนี้เป็นทรงกระบอกแข็งๆ

ส่วนท้ายของมันในตอนนี้เชื่อมต่อเข้ากับสายไฟ ส่วนหัวนั้นมีขนาดเล็กกว่าส่วนอื่น ขนาดของมันไม่ต่างจากปากกระบอกปืนธรรมดา


เมื่อซูจิ้งมาถึง นักวิจัยกำลังเปิดสวิสเพื่อถ่ายเทพลังงานเข้าไปในกระบอกดังกล่าว ตอนนั้นเองก็ได้มีแสงยิงจากกระบอกดังกล่าวไปยังแผ่นเหล็กที่ซ้อนกันไว้ที่วางห่างออกไปจากปากกระบอกประมาณสิบเซนติเมตร

เพียงไม่กี่อึดใจ แผ่นเหล็กที่ซ้อนกันไว้กลายเป็นรูสามแผ่นในช่วยพริบตา และหยุดลงที่แผ่นเหล็กแผ่นที่สี่

“เลเซอร์นี่ช่างแรงเสียจริง”

“นั่นสิ พลังเจาะทะลวงนี่น่าสะพรึงมาก”

เหล่านักวิจัยในห้องต่างตกตะลึงกันไปหมด ซูจิ้งที่เห็นดังนั้นเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เลเซอร์เครื่องนี้เขาพบมาในระหว่างที่คุ้ยหาเครื่องยนต์ของหุ่นเกราะเบาในตอนนั้น

ความจริงเขานั้นต้องการจะหาหุ่นเกราะเบาให้ครบทุกชิ้นส่วน ถึงแม้ว่าจะไม่หวังอะไรมากมายนักแต่สิ่งที่ได้มาตอนนี้ก็ยังถือว่าดีมากแล้วอยู่ดี

ตอนที่เขาพบเจอชิ้นส่วนต่างๆ เขาก็เลยเลือกที่จะทยอยส่งมายังสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของเขา แน่นอนว่าเขาได้ทยอยหานักวิจัยที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางกับชิ้นส่วนที่เขานำมาอย่างต่อเนื่อง

ตัวยิงเลเซอร์ตัวนี้เองก็เป็นหนึ่งในชิ้นส่วนที่เขาเจอ ชิ้นส่วนนี้เองก็สมควรจะเป็นหนึ่งในอาวุธของหุ่นยนต์เกราะเบา


โดยปกติแล้วหุ่นยนต์เกราะเบานั้นถึงแม้จะตัวเล็กกว่ารุ่นไหนๆแต่ก็ยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ที่ติดตั้งได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นปืนเลเซอร์ กริชเลเซอร์ กริชแม่เหล็กไฟฟ้า ปืนสไนเปอร์ ปืนคลื่นเสียง มิสไซล์ระยะไกล ระอาวุธแบบอื่นอีก และปืนเลเซอร์นี้เองก็เป็นอาวุธที่สุดแสนจะธรรมดาเท่านั้นเอง


ถึงจะเป็นแบบนั้น ตัวยิงเลเซอร์ก็หาใช่สิ่งของธรรมดาบนโลกมนุษย์ แน่นอนว่าสิ่งนี้แม้แต่นักวิจัยชั้นนำของโลกเมื่อเห็นเครื่องยิงเลเซอร์เครื่องนี้ก็ยังต้องตกตะลึงและไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้เห็นอย่างแน่นอน

โลกใบนี้เองก็มีเลเซอร์นี้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าเทคโนโลยีทางด้านเลเซอร์ค่อนข้างจะธรรมดา หากว่าต้องนำมาเทียบกับตัวยิงเลเซอร์ตัวนี้คงเปรียบได้ไม่ต่างจากปืนฉีดน้ำอย่างแน่นอน

ซูจิ้งเองในตอนนี้ได้รู้สึกว่าเทคโนโลยีของเลเซอร์ตัวนี้ไม่สมควรจะทำให้มันจบแค่การเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังซะก่อนหน้าที่จะทำอะไรจำเป็นต้องเข้าใจหลักการของมันเสียก่อน


“หัวหน้าซู” เหล่านักวิจัยทั้งหลายที่เห็นซูจิ้งต่างก็โค้งคำนับให้เล็กน้อย

“ดูเหมือนว่าการวิจัยจะเป็นไปได้ด้วยดีนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ใช่ครับมันเป็นไปได้ด้วยดีเลย เครื่องยิงเลเซอร์ตัวนี้ทางหลักการแล้วมันไม่ได้ต่างจากเลเซอร์ทั่วไปที่พวกเราเห็นกันครับ

เพียงแต่ว่าตอนนี้เรายังไม่เข้าใจทฤษฏีที่เครื่องยิงเลเซอร์ตัวนี้ใช้สักเท่าไหร่นักเพราะว่ามันล้ำกว่าเทคโนโลยีเลเซอร์ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน”

“โอเค งั้นฉันจะให้พวกนายเริ่มการทดลองขั้นถัดไปได้ แต่ว่าไม่ต้องเร่งรีบล่ะ ยังไงซะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยก่อนเป็นอย่างแรก”

“เยี่ยม พวกผมจะทำให้ดีที่สุดครับ”


หลังจากนั้นซูจิ้งได้ออกจากห้องวิจัยเลเซอร์และตรงไปยังห้องวิจัยที่อยู่ข้างๆ นักวิจัยในห้องนั้นกำลังหมกมุ่นอยู่กับการวิจัยอย่างเคร่งเครียด

หากแต่มองเพียงแวบแรกนั้นพวกเขามีการแต่งตัวและท่าทางไม่ต่างอะไรจากนักศึกษาเลยแม้แต่น้อย

เรียกได้ว่าบรรยากาศภายในห้องต่างจากห้องวิจัยเลเซอร์อย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามสำหรับซูจิ้งแล้วการที่พวกเขานั้นมีท่าทางแบบนี้ นักวิจัยเหล่านี้เหมาะสมกับคำว่านักวิจัยเสียยิ่งกว่านักวิจัยในห้องเลเซอร์ซะอีก

“การวิจัยถึงไหนแล้วล่ะ” ซูจิ้งได้ถามออกมา

“ยังไม่สมบูรณ์ครับ” นักวิจัยคนหนึ่งได้ตอบออกมาด้วยท่าทีที่ซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่

ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งได้เดินเข้ามาแล้วพูดออกมาว่า “หัวหน้าครับ ในเมื่อสิ่งที่หัวหน้านำมานั้นเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แล้วงั้นก็หมายความว่าต้องมีใครสักคนในโลกนี้ได้ศึกษาระบบโลกเสมือนได้แล้วสินะครับ

เขาเป็นใครที่ไหนกันแน่ แล้วหากเราวิจัยได้แล้วนำมาเป็นของตัวเองแบบนี้ หากเขามาเรียกร้องที่หลังจะไม่หมากันหมดเหรอครับ”

“เรื่องนั้นไม่ต้องสนใจหรอกน่า แค่วิจัยเจ้าสิ่งนี้ให้สำเร็จเร็วที่สุดก็พอแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมา

“พวกเราจะพยายามให้เร็วที่สุดครับ” นักวิจัยจำนวนหนึ่งได้รีบตอบรับซูจิ้งในทันที


สิ่งที่นักวิจัยแล้วนี้กำลังศึกษาอยู่นั้นก็คือระบบโลกเสมือน ระบบนี้เองก็เป็นระบบพื้นฐานของห้วงเวลาฯสุดยอดทหารเจ้านักรบเช่นเดียวกัน แต่เมื่อมันมาอยู่ในโลกนี้ก็ได้เป็นหนึ่งในวิทยาการล้ำยุคที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกนี้

โลกใบนี้เองก็มีแนวคิดนี้อยู่เช่นเดียวกัน แถมหลักการทำงานยังคล้ายกันคือการสวมใส่หมวกแล้วนำเพียงสติเข้าไปในโลกเสมือนนี้ บรรยากาศในโลกเสมือนเองสมควรจะไม่แตกต่างไปจากโลกจริงเลยแม้แต่น้อย

ซูจิ้งนั้นความจริงแล้วเขานั้นยังไม่มีความคิดที่อยากจะปล่อยวิทยาการล้ำยุคเหล่านี้ให้โลกได้รับรู้แต่อย่างใด แต่ยังไงซะหากว่าเขาเตรียมตัวเอาไว้ก่อนสำเร็จได้ก็เป็นการดีกว่าอยู่แล้ว

เพราะเมื่อถึงเวลาต้องใช้ล่ะก็ แน่นอนว่าเทคโนโลยีโลกเสมือนนี้สามารถทำอะไรได้มากมายนัก


หลังจากพูดคุยกับนักวิจัยในส่วนโลกเสมือนเสร็จสิ้น ซูจิ้งก็ได้เดินไปยังห้องถัดไป ที่นั่นเองก็มีนักวิจัยจำนวนหนึ่งที่มีท่าทียอมแพ้ในบางสิ่ง

พวกเขานั้นได้ล้อมรอบวัตถุอย่างหนุ่งที่มีรูปร่างคล้ายจาน เส้นผ่าศูนย์กลางของมันนั้นอยู่ที่ประมาณ 10 เซนติเมตร

อย่างไรก็ตาม พวกเขานั้นยังไม่แน่ใจว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ รู้เพียงแต่ว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่คล้ายกับเครื่องฉายภาพเท่านั้น

“หืม? ยังทำให้มันทำงานไม่ได้อีกรึ” ซูจิ้งถามออกมา

“ยังเลยครับ ไม่แน่ใจว่ามันพังไปแล้วรึเปล่า” นักวิจัยจำนวนที่ได้ยินซูจิ้งถามก็ได้แต่ส่ายหัวไปมา

“อืมมมม น่าจะยังไม่ถึงขั้นนั้นนะอย่าพึ่งด่วนสรุปไปว่ามันพังจะดีกว่า แต่ต่อให้เป็นแบบนั้นแล้วพวกนายก็คงจะซ่อมมันได้ล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมา

“…เอ่อ พวกเราจะพยายามให้ดีที่สุดครับ” นักวิจัยหลายๆคนก็ทำได้เพียงพูดออกมาอย่างอิดออด พวกเขาเองก็ได้ศึกษาส่วนประกอบต่างๆจนพอจะรู้แล้วว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นเครื่องฉายภาพ แต่พวกเขานั้นยังหาวิธีเปิดมันไม่ได้เท่านั้น

หากว่ามันเสียจริงๆล่ะก็พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่ามันเสียตรงไหนกันแน่ เมื่อไม่รู้ว่าเสียตรงไหนแล้วจะซ่อมมันได้ยังไงกัน

ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาพอจะทำได้นั้นก็เป็นเพียงแค่การศึกษาส่วนประกอบที่ละชิ้นและเช็คดูว่ามีส่วนไหนที่ไหม้หรือว่ามีส่วนไหนที่น่าจะขาดไปรึเปล่า


สิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นไม่ต่างไปจากสัตวแพทย์ที่พยายามจะชุบชีวิตม้าตายซาก หากไม่นับรวมปฏิสสาร ระบบประสาทเทียม ระบบปัญญาประดิษฐ์ และเครื่องยนต์หุ่นเกราะเบาแล้ว

สถาบันวิจัยแห่งนี้ถือได้ว่ายังมีเทคโนโลยีล้ำยุคที่กำลังศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาอยู่อีกสามอย่าง การที่สถาบันวิจัยหนึ่งจะมีการวิจัยเทคโนโลยีที่สุดแสนจะล้ำยุคแบบนี้เพียงแค่หนึ่งก็ถือว่าสุดยอดเกินไปแล้ว แต่การมีถึงสามอย่างนี่เป็นอะไรที่หาได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก

จึงไม่แปลกที่เมื่อเฉิงหนานและหวังจ้าวได้ยินว่าซูจิ้งนั้นทุ่มเม็ดเงินลงไปในงานวิจัยของเขานั้นจึงอยู่กันอย่างไม่สุข เอาจริงๆพวกเขานั้นไม่รู้ว่าทำไมซูจิ้งต้องทุ่มเทเงินลงมามากมายขนาดนี้

หากให้พูดอีกอย่างแล้วการทำของซูจิ้งในสายตาของทั้งสองก็คงไม่ต่างไปจากการทำอะไรหลายๆอย่างในเวลาเดียวกันแล้วผลที่ได้ออกมานั้นก็มีแต่ความว่างเปล่าและไม่ได้อะไรเลย

แต่กับซูจิ้งแล้วแน่นอนว่าย่อมไม่เป็นไปตามคำกล่าวนี้อย่างแน่นอน


หลังจากเข้าไปตรวจงานในห้องต่างๆเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งก็เตรียมตัวที่จะออกจากสถาบันวิจัยกาลเวลาฯ

แต่เพียงแค่เขาก้าวออกมาจากห้องวิจัยเท่านั้นเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้น

เมื่อเห็นว่าเป็นอันจือฮ่าวโทรมาเขาเองก็นิ่งๆไปพักหนึ่ง เขาและอันจือฮ่าวนั้นได้รู้จักตอนที่เขาพาพ่อที่มีอาการALSมารักษาจนหาย

หลังจากนั้นเขาก็ได้ตัดสินใจซื้อหุ้นของกลุ่มทุนห้วงเวลาในทันทีจึงถือได้ว่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็ว่าได้ แต่เขาแค่สงสัยเฉยๆว่าอันจือฮ่าวนั้นมีอะไรกันแน่

ถึงจะสงสัยอยู่แต่ซูจิ้งก็รับสายอย่างไม่รังเกียจแต่อย่างใด

“สวัสดีครับคุณซู ตอนนี้คุณยุ่งอยู่รึเปล่า” อันจือฮ่าวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคารพ

“โอ้ คุณอัน ผมพึ่งจะตรวจงานเสร็จเนี่ยแหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“วันมะรืนนี้คุณพอจะว่างรึเปล่าครับ คืออออ…ผมอยากจะขอเชิญคุณไปงานเลี้ยงสักหน่อยน่ะ” อันจือฮ่าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“หืม? งานเลี้ยงอะไรล่ะนั่น” ซูจิ้งถามออกมาด้วยความสงสัย

“มันเป็นงานเลี้ยงของชนชั้นสูงน่ะครับ คุณซูน่าจะพอได้ยินชื่อฟูฮงซิ่วอยู่บ้าง เขานั้นเป็นในคุณชายสี่เหมือนกัน เขาเองก็จะไปด้วยเช่นเดียวกัน หากคุณไม่เคยได้ยินชื่อก็น่าจะพอรู้รถยนต์ยี่ห้อฮงเหอบ้างนะครับ” อันจือฮ่าวพูดออกมา

“…ใช่ฮงเหอออโต้โมบิลที่เป็นหนึ่งในสุดยอดบริษัทของจีนนั่นรึเปล่า หากว่าใช่ก็คงจะบอกว่าไม่เคยได้ยินไม่ได้ล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาพลางคิดถึงเรื่องฉายาคุณชายสี่ที่เป็นฉายาเด็กน้อยที่ชาวเน็ตที่ไม่มีอะไรทำบางคนได้ตั้งขึ้นมา

แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ยังไงซะแต่ละคนที่ได้ฉายานี้มานั้นไม่ได้ถูกตั้งขึ้นมาเล่นๆเฉยๆเท่านั้น นั่นก็เพราะว่าพวกเขานั้นล้วนแล้วแต่มีเบื้องหลังที่น่าสะพรึงกลัวทั้งสิ้น


แม้แต่ฟูฮงซิ่วคนนี้ก็เช่นเดียวกัน เขาเองนั้นไม่ได้ดีไปกว่าฮัวหยุนชูเลย ไม่สิต้องบอกว่าเขานั้นเทียบฮัวหยุนชูไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ถ้าให้บอกตรงๆคือเขานั้นเป็นพวกคุณหนูเจ้าสำราญเพียงต่อว่าเขานั้นมีพ่อที่อยู่ในระดับเดียวกับพ่อของฮัวหยุนชู จึงอาศัยอำนาจของพ่อก่อเรื่องไปทั่วจนทำให้แม้แต่พ่อของเขาก็ยังอนาจใจ

“ผมพอจะรู้มาว่าคุณซูกำลังหานักวิจัยที่มีอัจฉริยะภาพทางด้านเครื่องยนต์อยู่ แล้วบริษัทของฮงเหอเองก็มีเครื่องยนต์ชั้นเลิศที่ผลิตด้วยตัวเอง ผมว่าเป็นโอกาสอันดีที่คุณซูได้ผมนักวิจัยของบริษัทนั้นได้

“เดี๋ยวนะ คุณรู้ได้ยังไงว่าผมกำลังมองหานักวิจัยที่เก่งเรื่องเครื่องยนต์เนี่ย”ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ฮ่าฮ่าฮ่า ผมแค่บังเอิญเห็นข้อมูลนักวิจัยที่คุณต้องการจ้างเท่านั้นเองน่ะ” อันจือฮ่าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็ไม่คิดว่าเรื่องแค่นี้จะเรียกความสนใจจากซูจิ้งได้

“ก็ดี เอาเป็นว่าผมจะไปก็แล้วกัน ส่งที่จัดงานมาให้ผมด้วยล่ะ” หลังจากคิดไปสักพัก ซูจิ้งก็ได้ตัดสินใจที่จะไปนั่นก็เพราะว่ามีโอกาสอย่างมากที่ในงานนี้จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์ของกลุ่มทุนฮงเหอเข้าร่วมไม่น้อยอย่างแน่นอน

เขาหวังเพียงอย่างเดียวว่าคนพวกนั้นจะเก่งจริงเท่านั้นเอง


GGS:บทที่ 1020 ฝึก


ซูจิ้งได้กลับไปยังบ้านของตัวเองและตรงไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาเพื่อจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อ

ขยะห้วงเวลาฯกองนี้ได้สร้างความประหลาดใจให้เขามากมายเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นหนูกลายพันธุ์ ซาลามันเดอร์แดง กิ้งก่างูเหล็ก หญ้าหวาน เครื่องยนต์หุ่นเกราะเบา ปืนเลเซอร์ ระบบโลกเสมือน และของอย่างอื่นอีก

แต่พอนึกถึงว่าช่วงสองสามวันมานี้เขานั้นยังไม่เจอของดีๆอะไรเลยนั้นทำให้เขารู้สึกเซ็งๆอยู่บ้าง แต่ยังไงซะเขาเองก็ยังคาดหวังว่าจะเจอของดีๆจากขยะห้วงเวลาฯสุดยอดทหารจ้าวนักรบกองนี้อยู่ดี

แน่นอนว่าสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดนั่นก็คือหุ่นยนต์เกราะเบาแบบครบทั้งตัว ถึงแม้ว่าโอกาสที่จะเจอนั้นช่างต่ำเติ้ยเรี่ยดินขนาดไหนก็ตาม แต่เขาเองก็ยังไม่ละทิ้งความหวังเพราะว่าขยะฯกองโลหะนั้นยังเหลืออีกตั้งครึ่งกอง

ต่อให้ไม่มีแต่ก็คงจะเจออะไรดีๆอยู่บ้างแหล่ะนะ


แต่ถึงจะรู้สึกแบบนั้นแต่สิ่งแรกที่เขาทำนั้นกลับเป็นกลายไปดูเสี่ยวไป๋ที่กำลังซ่อมขยะฯกองกระดาษอยู่ ตอนนี้เสี่ยวไป๋ได้ซ่อมแซมขยะกองกระดาษไปเกินครึ่งแล้ว

ซูจิ้งได้หยิบกระดาษที่เสี่ยวไป๋ซ่อมเสร็จแล้วมาดูอย่างรวดเร็ว

ตัวอักษรที่เขาพบนั้นมีความชัดเจนและสมบูรณ์ดีทำให้ซูจิ้งนั้นเพลิดเพลินกับการอ่านไม่น้อยเลย ด้วยทักษะการอ่านของเขาในตอนนี้ทำให้เขานั้นสามารถอ่านข้อความในกระดาษแต่ละแผ่นได้อย่างรวดเร็ว

ความเร็วของเขานั้นหากจะเทียบกับคนธรรมดาแล้วก็คงจะเป็นเขาอ่านหนังสือจบได้หนึ่งเล่มได้ทั้งๆที่คนอื่นถึ่งจะอ่านได้จบหน้าก็เท่านั้นเอง


ซูจิ้งได้ดูกระดาษนับร้อยแผ่นอย่างรวดเร็ว แต่เพียงไม่นานนักเขาก็ต้องชะงักในทันที นั่นก็เพราะมีคำบางคำในกระดาษที่สะดุดตาเขาอย่างมาก

ถ้าเขาจำไม่ผิดนั้น คำเหล่านี้ถูกกล่าวถึงหลายครั้งหลายหนมากในห้วงเวลาฯสุดยอดทหารกล้าจ้าวนักรบ

ตัวเอกของเรื่องที่ชื่อเย่ซ่งนั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขานั้นต้องเข้ารับการฝึกฝนในฐานะนักล่า

ถึงจะบอกว่าเป็นนักล่าก็จริงแต่สิ่งที่นักล่าต้องทำนั้นคือการควบคุมปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อสิ่งที่จะล่า ความสามารถของเพวกเขานั้นเปรียบได้ดั่งนักเพาะพันธุ์สัตว์ที่ต้องมีความรู้ทางชีววิทยา สัตววิทยา เภสัชศาสตร์ และความรู้อื่นๆด้านชีววิทยา


หากจะให้ยกตัวอย่างล่ะก็นักล่าเหล่านี้ก็คงเปรียบได้ดั่งพ่อครัวเฉพาะทางก็ว่าได้ พวกเขาแต่ละคนนั้นจะมีความสามารถเฉพาะทางในการจัดการวัตถุดิบที่แตกต่างกันไป

คนเหล่านี้จะรู้ดีว่าวัตถุดิบแต่ละอย่างมีความพิเศษด้านไหน ต่อให้เขานั้นมีวัตถุดิบชนิดเดียวแต่ก็มีวิธีเตรียมวัตถุดิบก่อนการล่าที่ทำให้สัตว์ที่ล่ามีรสชาติที่หลากหลายและไม่เป็นอันตรายเมื่อกินเข้า

หากจะยกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดก็คงจะเป็นการใช้พืชท้องถิ่นบางชนิดให้แก่สัตว์ที่จะล่าก่อนการล่าเพื่อให้วัตถุดิบที่ได้นั้นมีคุณภาพดี

ดีขนาดที่ว่าต่อให้เป็นวัตถุดิบราคาถูกแต่สามารถขายได้ราคาแพงได้ยิ่งกว่าเนื้อสังเคราะห์ที่ราคาแพงมากอย่างง่ายดาย นี่ยังไม่พูดถึงการเตรียมวัตถุดิบที่มีสรรพคุณทางยาและเครื่องเคียงที่นักล่าเหล่านี้ต้องรู้จักเป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ซูจิ้งถืออยู่ในตอนนี้นั้นน่าจะเป็นเพียงคู่มือของนักล่าเท่านั้น แน่นอนว่าคู่มือนี้ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากมายนัก ดีไม่ดีนี่น่าจะเป็นคู่มือสำหรับนักล่าระดับฝึกหัดด้วยซ้ำ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ซูจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะเปิดดูคู่มือนี้อย่างรวดเร็ว


หลังจากดูไปได้พักหนึ่ง ซูจิ้งก็พอจะสรุปได้ว่ากระดาษชุดนี้น่าจะมีประมาณร้อยแผ่น เนื้อหาของมันนั้นเป็นการแนะนำสิ่งต่างๆเกี่ยวกับการเป็นนักล่า เท่าที่ดูถึงแม้ว่าจะมีกระดาษบางแผ่นที่ยังขาดหายไปบ้างแต่โดยรวมแล้วรายละเอียดของเนื้อหานั้นถือว่าดีเลยทีเดียว

“นี่แสดงให้เห็นความต่างระหว่างสุดยอดนักล่าและนักล่าระดับล่างจริงๆ สุดยอดนักล่านั้นล้วนแล้วแต่มีเคล็ดลับในการล่าที่ไม่ประสงค์จะเผยแพร่ออกไปง่ายๆ

กระดาษเหล่านี้สมควรจะเป็นคู่มือแนะนำนักล่าระดับต้นเท่านั้น แน่นอนว่าคู่มือนี้ถูกเผยแพร่ออกในวงกว้างเรียกได้ว่าหาได้ง่ายๆเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามคู่มือนี้ก็ยังถือได้ว่าเป็นตำราล้ำค่าบนโลกมนุษย์อย่างแน่นอน”

ซูจิ้งบ่นกับตัวเองพลางเรียบเรียงเนื้อหาต่างๆของคู่มือนี้ภายในจิตใต้สำนึกของตัวเองอย่างรวดเร็ว จากคู่มือทั้งร้อยแผ่นนี้เขานั้นเลือกออกมาได้ยี่สิบถึงสามสิบแผ่น โดยกระดาษที่เขาเลือกมานั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดเตรียมเครื่องปรุง


หลังจากนั้น ซูจิ้งได้เข้าไปยังพื้นที่ระบบนิเวศเสมือนและตรงไปยังพื้นที่ที่เขาใช้เพาะเลี้ยงสิ่งมีชีวิตที่ได้จากห้วงเวลาฯยอดทหารจ้าวนักรบ

ลำดับแรก เขาได้ตรงไปยังพืชชนิดหนึ่งที่เขาได้เจอเป็นต้นแรกๆ พวกมันนั้นมีสีแดงกระจ่าง ดูแวววับ ใบเรียวยาวและมีเส้นใบเลี้ยงที่หนาแต่มีท่อน้ำเลี้ยงที่แดงเข้มจนม่วง

บนยอดของพวกมันนั้นมีผลที่มีรูปร่างคล้ายกับเชิงเทียนที่มีสีเหลืองไม่ก็สีแดงทั้งลูก เจ้าผลเหล่านี้นั้นดูหนักอย่างมากจนราวกับว่าลำต้นอันผอมแห้งนี้แทบจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว

ซูจิ้งได้เคยลองชิมผลเทียนนี้มาก่อนแล้วหนหนึ่ง ตอนนั้นเขากินผลที่แตกอยู่แล้ว ตอนนั้นภายในผลเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงเพลิง แต่กลิ่นของมันนั้นถึงแม้จะไม่หอมมากแต่ก็ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลายและจิตใจสงบได้

ก่อนหน้านี้ซูจิ้งเคยคิดว่าจะนำเจ้าผลไม้เชิงเทียนนี้ไปทำน้ำหอมแต่ตอนนี้เขาพบวิธีการที่เหมาะสมกับผลไม้นี่ที่สุดแล้ว

เจ้าต้นนี้เรียกว่าเฟยเย่เจียว(หอมชื่นใจ) เป็นพืชที่ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องปรุงที่ใช้กันทั่วไปในห้วงเวลาฯยอดทหารฯ ผลของมันคือช่วยให้อาหารที่ปรุงมีความหอมที่ลึกล้ำมากขึ้น


ถัดจากนั้นซูจิ้งได้เดินไปยังพืชที่มีใบสีน้ำเงินที่พริ้วไหวราวกับเป็นก้อนเมฆ ก่อนหน้านี้ซูจิ้งยังไม่พบอะไรเกี่ยวกับต้นไม้ต้นนี้เลยแม้แต่น้อย

แต่หลังจากที่เขาได้อ่านคู่มือนักล่าทำให้เขาก็ได้รู้ว่าพืชชนิดนี้มีชื่อว่าเมฆสีน้ำเงิน ความพิเศษของมันนั้นคือกลิ่น ต่อให้กลิ่นของมันนั้นไม่ได้แรงมากแต่ก็มีฤทธิ์ในการทำให้เคลิบเคลิ้มและหลงใหล

ปกติแล้วเจ้าต้นนี้ถูกนำไปใช้ในการทำเป็นน้ำหอมที่มีชื่อว่าน้ำเงินอ่อนซึ่งเป็นน้ำหอมที่เหมาะกับผู้หญิงที่ชอบกลิ่นน้ำหอมกลิ่นอ่อนๆ


นอกจากพืชสองต้นนี้ซูจิ้งยังพบพืชที่มีประโยชน์กับเขาอีกหลายต้น วิธีการใช้ประโยชน์พืชเหล่านี้ล้วนแล้วมาจากคู่มือนักล่าระดับเบื้องต้นทั้งสิ้น

พืชเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นพืชที่พบได้ทั่วไปของห้วงเวลาฯยอดทหารฯ จึงไม่แปลกที่จะพบพืชเหล่านี้เติบโตอยู่ในกองขยะในห้วงเวลาฯที่พวกมันจากมา

ด้วยการที่พืชเหล่านี้เป็นพืชทั่วไปทำให้มีรายละเอียดถูกบันทึกเอาไว้ในคู่มือนี้ค่อนข้างมาก หากว่าพืชเหล่านี้เป็นพืชเฉพาะถิ่นล่ะก็ รับรองเลยว่าไม่มีทางเลยที่ซูจิ้งจะได้ข้อมูลมาจากคู่มือนี้อย่างแน่นอน


“เจ้าคู่มือนักล่านี่น่าสนใจไม่เลวเลยจริงๆ ดูๆไปแล้วก็มีค่าพอที่จะศึกษามันอยู่ล่ะนะ ถึงแม้ว่าในคู่มือจะมีวิธีการผสมเครื่องเทศระดับพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังไงก็คงต้องขอลองหน่อยล่ะ” ตอนนี้ซูจิ้งค่อนข้างจะสนใจเนื้อหาในส่วนการผสมเครื่องปรุงด้วยวิธีต่างๆที่ได้บันทึกไว้อย่างมาก

กาผสมเครื่องปรุงเหล่นี้ไม่ได้ยากแต่อย่างใด วิธีการต่างๆล้วนแล้วแต่เขียนเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ถึงจะว่ามาแบบนั้นหากเป็นคนทั่วไปมาเห็นล่ะก็บอกได้เลยไม่ได้ง่ายเลยแม้แต่น้อย

นั่นก็เพราะสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนร่างกายมานั้นเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะใช้วิธีการที่บันทึกเอาไว้ แต่กับซูจิ้งนั้นกลับต่างออกไป

สำหรับเขานั้นวิธีการเหล่านี้ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ภายใต้การควบคุมโดยพลังจิตของเขานั้นทุกวิธีการทุกรายละเอียด เขาสามารถทำได้โดยไม่พลาดแม้แต่น้อย


ไม่นานนัก น้ำหอมจำนวนหนึ่งก็ถูกสร้างขึ้นมาโดยซูจิ้ง แต่ละกลิ่นนั้นมีความโดดเด่นและหอมเย้ายวนจนแม้แต่ซูจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะต้องสูดดมมันเข้าไปจนชุ่มปอด

เอาจริงๆซูจิ้งนั้นเป็นคนที่ไม่ได้ชอบน้ำหอมเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นน้ำหอมระดับสูงมากขนาดไหนก็ตามเขาก็เกลียดแทบจะเข้าไส้

สำหรับตัวเขานั้นถือว่าผู้หญิงนั้นมีกลิ่นหอมอันเป็นธรรมชาติที่หอมพออยู่แล้วไม่เห็นจะต้องไปหาอะไรมาเพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่กลับน้ำหอมพวกนี้นั้นต่างกันออกไป ซูจิ้งนั้นหลงใหลพวกมันเลยก็ว่าได้

พวกมันเป็นกลิ่นหอมที่ได้มาจากวัตถุดิบธรรมชาติราวกับเป็นกลิ่นของดอกไม้ คงมีเพียงแค่น้อยคนนักที่จะไม่หลงใหลพวกมัน


นอกจากนั้นคนที่ได้กลิ่นเหล่านี้ก็จะทำให้พวกเขานั้นรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการที่พวกมันนั้นเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแล้ว พวกมันยังส่งเสริมให้จิตวิญญาณของผู้ใช้นั้นสดชื่นอยู่ตลอดเวลา

“น้ำหอมพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นน้ำหอมผู้หญิง ขนาดฉันยังชอบเลย พวกผู้หญิงเองก็คงจะชอบเสียยิ่งกว่า ฉันอยากหาคนมาลองจริงๆจะได้รู้ว่าจะถูกใจรึเปล่า” ซูจิ้งคิดอยู่ในในสักพักก็ได้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา

เขานั้น

เมื่อเขาลองหยิบออกมาดูก็พบว่าคนที่โทรมานั้นคือเชิงชิเหยา นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้ซูจิ้งต้องนิ่งเงียบไป

นี่เธอจะโทรหาฉันทำไมกันเนี่ย ซูจิ้งได้คิดขึ้นมา

เขากับเชิงชิเหยานั้นเคยเจอกันหลายครั้งแล้ว เธอเป็นนางแบบเรียวขาของบริษัทซือหยาเวชสำอาง ซูจิ้งเคยรักษารอยแผลเป็นบนขาให้เธอจนหาย

หลังจากนั้นเขาก็ได้พบเจอเธอตอนที่เธอหลงเข้าไปในเกาะร้างของเขาจนในที่สุดพ่อของเธอก็กลายเป็นหนึ่งในอาจาย์ที่สอนซูจิ้งวาดภาพเขียนพู่กันจีน แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยได้พบเจอหรือติดต่อกันอีกเลย

ถึงจะยังนึกสงสัยแต่ซูจิ้งก็ยังรับสายอยู่ดี เขารับโทรศัพท์และพูดออกไปว่า “ว่าไงครับคุณเชิงสุดสวย ลมอะไรถึงทำให้คุณโทรหาผมได้กัน นี่ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆ”

“ไม่ต้องมาปากหวานเลย ต่อให้สวยแค่ไหนก็เข้าบ้านคุณไม่ได้ง่ายๆอยู่ดี นี่ฉันไม่ได้สวยพอใช่รึเปล่าเลยทำให้เจ้านกแก้วสองตัวนี่ไม่ยอมไปบอกคุณเนี่ย” เชิงชิเหยาพูดออกมาอย่างเหลืออดและจิตตกในเวลาเดียวกัน

“อ้อโทษทีโทษที พอดีว่าผมยุ่งๆน่ะเลยสั่งมันไว้ไม่ให้ใครกวน รอแป๊บนะ” ซูจิ้งยิ้มออกมาก่อนจะวางสายและไปยังประตูหน้าบ้านในทันที

เขาได้พบเชิงชิเหยาที่สวมใส่ชุดสีน้ำเงินเข้ารูปพร้อมกระโปรงสั้น เธอนั้นยังสาวและสวยอยู่ ผิวของเธอขาวเนียนและเช่นเดิม เรียวขาของเธอยังยาวระหงษ์จนน่ามอง


ซูจิ้งได้พูดเชิงขอโทษออกไปว่า “โทษทีที่ให้รอนะ เข้ามาก่อนสิ”

“ต้องขอโทษจริงๆท่านเทพซูที่มากวน คุณนี่ยุ่งอยู่ตลอดเวลาเลยนะ” เชิงชิเหยาหัวเราะเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตามซูจิ้งเข้าไปในบ้านอย่างงามสง่า

ด้วยเรียวขาที่สูงยาวของเธอนั้นอยู่บนรองเท้าส้นสูงก็ยิ่งทำให้เธอดูมีราศีมากขึ้นไปอีก

“ว่าแต่คุณเชิงมาหาผมถึงที่นี่มีอะไรเหรอ” ซูจิ้งถามออกมา

“ในเมื่อคุณกำลังยุ่งอยู่ฉันเลยจะไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน คือฉันได้ยินมาว่าคุณนั้นได้เช่าเกาะร้างเอาไว้ฉันเลยอยากจะขอคุณไปเล่นที่เกาะนั่นหน่อยจะได้รึเปล่า” เชิงชิเหยาพูดออกมาในขณะที่กำลังจ้องมองซูจิ้งราวกับว่าอยากจะมองให้เห็นถึงความคิดของซูจิ้งเลยทีเดียว

ตอนนี้ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาก็ตาม แต่ในใจของเขาตอนนี้นั้นราวกับสัมผัสได้ถึงเค้ารางบางอย่าง

เขานิ่งอยู่พักหนึ่งพลางคิดในใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเชิงชิเหยาถึงอยากจะไปที่นั่นกันล่ะ หรือว่าเธอจะจำเรื่องอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นบนเกาะนั้นได้กัน


GGS:บทที่ 1021 ความเสี่ยงของการสะกดจิต


“เกาะของฉันมีอะไรที่ทำให้เธอสนใจงั้นเหรอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ปล่อยพลังจิตออกมาและส่งเข้าไปยังสมองของเชิงชิเหยาด้วยเช่นเดียวกัน

“ฉันแค่เหนื่อยจากการทำงานเลยอยากจะหาอะไรทำก็เท่านั้นเอง และสิ่งที่ช่วยฉันได้มากที่สุดก็คือสิ่งแวดล้อมในสภาพที่เป็นธรรมชาติที่สุดเท่านั้น โดยเฉพาะธรรมชาติที่มนุษย์ไม่ได้ข้องเกี่ยวด้วยได้ยิ่งดี


ฉันเองก็เคยได้ยินว่าคุณเคยเช่าเกาะร้างเอาไว้เลยอยากจะไปที่นั่น แต่คุณไม่ต้องยุ่งยากพาฉันไปที่นั่นหรอกนะ เดี๋ยวฉันจะหาทางไปที่นั่นเอง” เชิงชิเหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ได้หรอก ที่นั่นเต็มไปด้วยแมลงป่องและงูพิษ มันอันตรายเกินไปที่จะปล่อยเธอไปคนเดียว” ซูจิ้งพูดออกมา

“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันชวนคนอื่นไปด้วยได้อยู่แล้ว จำฮวงจิงฮงได้รึเปล่า เขาเองก็เป็นทหารและฝึกการเอาตัวรอดจากป่ามาแล้วนะ ฉันว่าเขาจัดการเรื่องนี้ได้” เชิงชิเหยาพูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆ

ซูจิ้งยิ้มออกมา เขานั้นได้จับสัมผัสออร่าของเธอมาตลอดตั้งแต่เธอถามเขาเรื่องที่จะขอขึ้นเกาะแล้ว ตอนนี้เขาพอจะสรุปได้แล้วว่าเธอนั้นน่าจะรู้สึกตะงิดใจอะไรบางอย่างเลยจะพิสูจน์สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจนั่นเอง เป็นไปได้ว่าเธอเองสมควรจะจำอะไรบางอย่างได้แล้ว


“ถึงจะบอกว่ามันเป็นการสะกดจิตแบบไม่สมูรณ์แต่กับคนธรรมดานี่ก็ควรจะเป็นการสะกดจิตกึ่งสมบูรณ์เลยนี่นา

คำสั่งที่ฉันมอบให้ตอนสะกดจิตว่าอย่าได้คิดย่างกลายเข้าไปที่นั่นอีกนี่ก็สมควรจะหมายถึงไม่คิดถึงเกาะนั่นอีก…

อืมมมม….. ขอดูหน่อยแล้วกันว่าเธอจะฝืนคำสั่งที่ฉันฝังเอาไว้ได้แค่ไหนกัน” ซูจิ้งคิดก่อนที่จะส่งกระแสจิตของเขาเข้าไปในหัวสมองของเชิงชิเหยาอีกครั้ง และนั่นได้ทำให้เขาสะกดจิตเธอได้ในทันที

“เธอจำอะไรได้เกี่ยวกับเกาะร้างของฉันอย่างนั้นเหรอ” ซูจิ้งถามออกมา

“ฉันนึกได้ในตอนที่กำลังนั่งรถกลับ ฉันจำได้ว่าฉันได้พบเจอค้างคาวที่น่าสะพรึงกลัว เถาวัลย์แปลกประหลาดที่เกือบจะลากฉันลงไปใต้ดินเพื่อที่จะกิน และฉันยังได้พบกับเสือแปลกๆตัวหนึ่ง และหลังจากนั้นฉันก็ได้พบนายขี่อินทรีย์ทองลงมาช่วยพวกฉัน” เชิงชิเหยาพูดออกมาด้วยท่าทีเบลอๆ

ซูจิ้งถอนหายใจออกมาในทันที นี่เท่ากับว่าเธอจำมันได้หมดทุกอย่างเลยนี่หว่า เขาเลยถามออกมาต่อว่า “แล้วเธอจำได้ยังไงกัน”

“ฉันมีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งที่เป็นนักจิตวิทยาและนักสะกดจิต ระดับฝีมือด้านนี้ของเขานั้นค่อนข้างสูงตอนนี้เขาเลยมีชื่อเสียงที่ดีทีเดียว


มีอยู่ครั้งหนึ่งเขามาหาฉันที่บ้านเพราะว่าฉันนั้นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จนนอนไม่หลับ ฉันเลยเล่าเรื่องราวที่ติดค้างอยู่ในใจฉันให้ฟัง

เมื่อได้ยินดังนั้นเขาเลยว่าจะช่วยด้วยการสะกดจิตฉันดู ตอนที่เขาได้ฟังเรื่องราวต่างๆที่ฉันจำได้เขาก็บอกว่ามันน่าเหลือเชื่อมากเกินไปจึงน่าจะเป็นเพราะฉันฝันเหมือนจริงมากเลยจดจำไว้ฝังใจ

แต่ฉันจำได้ว่าหลังจากกลับมาถึงบ้านฉันได้พบรอยที่มันเหมือนกับโดนเถาวัลย์ในฝันนั่นรัดไว้ตามร่างกาย แถมฉันเองก็ยังรู้สึกแปลกๆในวันนั้นอีกด้วยราวกับว่ามีความจำบางส่วนของฉันหายไป

ฉันคิดว่ามันแปลกประหลาดและยังคาใจของฉันมาจนถึงตอนนี้จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวและต้องการมาที่นี่เพื่อขอให้คุณช่วยยืนยันสิ่งที่ฉันคิด”


“อืมมมม เข้าใจล่ะ” ซูจิ้งเองก็พึ่งจะตระหนักได้ว่าบนโลกนี้เองก็มีการสะกดจิตอยู่เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าระดับการสะกดจิตนั้นจะห่างไกลจากวิธีการสะกดจิตของห้วงเวลาฯจักรพรรดิ์แห่งดวงดาวมากนัก แต่ก็ยังถือว่าพอใช้การได้อยู่ดี

แน่นอนว่ากับผู้คนที่โดนการสะกดจิตสมบูรณ์ของเขาไปนั้นคนเหล่านี้ย่อมทำอะไรไม่ได้อย่างแน่นอน

แต่กับคนที่ถูกการสะกดจิตแบบธรรมดาไปนั้นแน่นอนว่ายังคงมีเศษเสี้ยวความทรงจำอยู่ และพวกเขาเองก็ยังมีความรู้สึกนึกคิดที่เป็นปกติดี

ต่อให้โดนสะกดจิตด้วยวิธีการธรรมดาก็มีโอกาสที่จะไปกระตุ้นความทรงจำส่วนลึกที่ถูกฝังเอาไว้ในจิตใต้สำนึกได้อยู่ดี


“ฉันล่ะไม่อยากจะทำอะไรแมวน้อยอย่างเธอเลยจริงๆน้า แต่เธอบังคับฉันเอง เฮ้ออออ” ซูจิ้งถอดถอนหายใจออกมาเล็กน้อยในขณะมองไปยังเชิงชิเหยาอย่างช่วยไม่ได้

เขาได้เตรียมส่งคลื่นพลังจิตอย่างหนักหน่วงไปยังสมองของเชิงชิเหยาเพื่อสะกดจิตสมบูรณ์ในทันที และเธอก็จะกลายเป็นบริวารของเขาที่ยอมทำตามที่เขาต้องการทุกอย่างว่าง่าย

แต่ในตอนที่กำลังจะลงมือนั้น เขาเองก็บังเกิดความรู้สึกไม่อยากจะทำการสะกดจิตสมบูรณ์กับเชิงชิเหยาขึ้นมา เขาเลยเลือกที่จะสำกดจิตธรรมดากับเธออีกครั้ง

เขาสร้างความทรงจำขึ้นมาใหม่ว่าเธอนั้นได้ออกไปแล่นเรือแล้วอยากจะผจญภัยเลยเก็บไปฝันเป็นตุเป็นตะว่าได้ผจญภัยยังเกาะของเขาเพราะเคยได้ยินหวังซือหยาเล่าให้ฟังว่าซูจิ้งเคยเช่าเกาะเอาไว้แต่ไม่เคยได้ไปเกาะนั่นจริงๆ


“เห็นแก่เจ๊ซือหยาหรอกนะฉันเลยจะให้โอกาสเธออีกสักครั้ง ฉันได้แต่หวังว่าคราวนี้เธอจะยอมปล่อยมันไปไม่คิดจะรื้อฟื้นมันอีก หากเธอยังจำได้อีกล่ะก็คราวหน้าฉันจะทำให้ตัวตนเธอหายไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์” ซูจิ้งได้พึมพำออกมาก่อนที่จะดีดนิ้วจนบังเกิดเสียงดังลั่น และนั่นเองทำให้เชิงชิเหยากลับสู่สภาวะปกติ


“เอ๊ะ นี่ฉันเล่าถึงไหนแล้วนะ” เชิงชิเหยาถามออกมาด้วยท่าทีสับสนเล็กน้อย

“ก็ถึงตอนที่ว่าเธอฝันแปลกๆนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“โอ้ ใช่ๆ ความฝันของฉันนั้นแปลกประหลาดมากจริงๆ ความฝันนั้นทำให้ฉันสงสัยจริงๆว่าบนโลกนี้จะมีค้างคาวที่น่ากลัวแบบนั้นและเถาวัลย์ที่เลื้อยๆไปไหนมาไหนได้แบบนั้นจริงๆรึเปล่…” ทันทีที่พูดออกมา เชิงชิเหยาได้หยุดคิดจนอายหน้าแดงเลยทีเดียว

เธอพึ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเองนั้นได้เล่าความฝันอันหน้าอายที่ค้างคาในใจจนต้องถ่อมาทีนี่แล้วอีท่าไหนเธอถึงได้เล่าให้ซูจิ้งฟังได้กันล่ะ สาวสวยผู้นี้ไม่มีความรู้สึกตัวเลยว่าเธอถูกซูจิ้งเปลี่ยนแปลงความทรงจำอีกครั้งแล้ว

ตอนนี้เธอลืมแม้กระทั่งความมุ่งมั่นที่จะไปเกาะร้างของซูจิ้งก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เธอแค่คิดว่าเธอนั้นมาที่นี่เพียงเพื่อเล่าเรื่องราวความฝันของเธออย่างเป็นตุเป็นตะให้ซูจิ้งเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจเท่านั้น


ด้วยการที่เธอในตอนนี้รู้สึกอับอายในสิ่งที่ตัวเองกระทำเลยไม่คิดจะอยู่คุยกับซูจิ้งนานอีกต่อไป เธอหาจังหวะตีจากซูจิ้งไปแบบดื้อๆราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้นมาก่อน

ในขณะที่เชิงชิเหยากำลังจะรีบรุดจากไปนั้น ซูจิ้งก็ไม่ได้มีท่าทีรั้งเธอไว้แต่อย่างใด แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรได้ยางอย่างก่อนที่จะนำขวดเล็กๆออกมาและพูดออกมาว่า “นี่คือน้ำหอมที่ฉันนั้นกำลังทดลองผลิตอยู่ เธอลองเอาไปใช้หน่อยก็แล้วกัน อย่าลืมบอกด้วยล่ะว่าใช้แล้วเป็นยังไงบ้าง”

“ได้ค่า… ขอบคุณนะ” เชิงชิเหยาพูดออกมาด้วยรู้สึกเขินอายไปเล็กน้อย ด้วยการที่ต้องให้ซูจิ้งมานั่งรับฟังเรื่องราวไร้สาระของเธอแล้วยังให้ของติดไม้ติดมือไปอีก

นี่ทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยแต่ก็รับมาในที่สุด หลังจากเธอรับขวดน้ำหอมเอาไว้ก็รีบจากไปในทันที

เชิงชิเหยาได้รีบเดินออกจากหมู่บ้านตระกูลซูด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ ระหว่างทางเธอเป็นจุดสังเกตของคนทั้งหมู่บ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชายหนุ่ม

พวกเขานั้นไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้โดยเฉพาะเรียวขาอันสวยงามคู่นั้น แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่มองเฉยๆเท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำอะไรเกินเลยแม้แต่น้อย


เมื่อเชิงชิเหยาไปถึงรถออดี้ที่จอดอยู่ริมหาด เธอได้รีบขึ้นรถแล้วรีบโทรศัพท์ไปทันที ไม่นานนักก็มีหญิงสาวในชุดสูทกระโปรงสั่งตัดเดินมาที่รถพร้อมกับหิ้วถุงอยู่เต็มสองมือ หลังจากเธอจัดการเก็บพวกมันแล้วก็ได้เข้ามานั่งตรงที่นั่งคนขับในทันที

“ชิเหยา จบแล้วเหรอทำไมเร็วจัง” หญิงสาวในชุดสูทกระโปรงสั่งตัดได้ถามออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“เสร็จแล้วล่ะ” เชิงชิเหยาพยักหน้ารับ

“ตกลงว่าเกาะร้างของซูจิ้งนั่นมีอะไรแปลกๆจริงๆเหรอ” หญิงสาวในชุดสูทถามออกมาอย่างสงสัย

“ไม่หรอก ที่ฉันจำได้ก็เป็นแค่ความฝันเท่านั้นเอง” เชิงชิเหยาส่ายศรีษะออกมา

“ถ้ามันเป็นเพียงความฝันแล้วเธอไปคุยอะไรกับหมอนั่นล่ะนั่น” หญิงสาวในชุดสูทถามออกมาพร้อมทั้งสังเกตท่าทางของเชิงชิเหยาไปด้วย


“ก็แค่ก่อนหน้านี้ฉันไม่แน่ใจเท่านั้นแหล่ะน่า ว่าแต่เธอจะถามฉันทำไมเยอะแยะกันเนี่ย” เชิงชิเหยาในตอนนี้นั้นเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าเธอกำลังโดนหลอกถามความในใจอยยู่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะโวยวายออกมา

“จ้าๆ ว่าแต่อะไรอยู่ในมืออ่ะ” หญิงสาวในชุดสูทกระโปรงที่ได้กลิ่นบางอย่างจากขวดในมือจึงได้ถามออกมา

“ฉันแค่ซื้อของติดไม้ติดมือมาจากร้านแถวนี้เท่านั้นเองน่า” เชิงชิเหยานั้นทำเป็นไม่ใส่ใจก่อนที่จะหยิบขวดน้ำหอมของซูจิ้งใส่ไว้ในกระเป๋าอย่างบรรจงและหวงแหน

ด้วยการที่เธออายจนรีบหนีออกมาและกลิ่นที่หอมชวนให้เธอสบายใจทำให้เธอนั้นดมน้ำหอมนี้มาตลอดเวลาตั้งแต่ออกจากบ้านของซูจิ้งจนลืมเก็บลงไปในกระเป๋าไปซะอย่างนั้น

“อ่อออออ แค่ของติดไม้ติดมือชิมิ…” หญิงสาวในชุดสูทกระโปรงได้ถามออกมาราวกับจับสังเกตอะไรบางอย่างได้


“ยัง ยัง ยังไม่หยุดอีก ห้ะ รีบๆปักหมุดจีพีเอสแล้วขับรถออกไปได้แล้ว” ด้วยการที่เชิงชิเหยานั้นเป็นคนโกหกแทบจะไม่ได้เลย เธอจึงเลือกตัดบทเปลี่ยนเรื่องคุยไป แค่การที่เธออดลนทนไม่ได้จนต้องมาที่นี่ก็ทำให้เธออายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีแล้ว


หญิงสาวในชุดสูทที่เห็นท่าทางของเชิงชิเหยาก็ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไป เธอได้ยิ้มรับและขับรถออกไปอย่างว่าง่ายโดยไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมอีก

อย่างไรก็ตามเธอเองก็อดที่จะนึกในใจไม่ได้ว่าขวดนั่นเธอหวังว่าจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่ซูจิ้งมอบให้ชิเหยาหรอกนะ ตอนแรกเธอเองคิดว่าเชิงชิเหยานั้นไม่ใช่ว่าไม่ชอบซูจิ้งหรอกเหรอ

หากว่าซูจิ้งนั้นโสดอยู่ล่ะก็แน่นอนว่าเธอเองก็จะหนุนหลังสาวน้อยผู้นี้อย่างเต็มที่

นั่นก็เพราะว่าอย่างแรกซูจิ้งนั้นดังมากๆ อย่างที่สองตอนนี้เขารวยแบบสุดๆ อย่างที่สามซูจิ้งนั้นใกล้ชิดกับหวังซือหยา และอย่างที่สี่เขานั้นหล่อลากดินและนิสัยอย่างกับเทพบุตร

หากว่าเชิงชิเหยานั้นได้แต่งงานกับซูจิ้งจริงแน่นอนว่าชิเหยาจะมีอนาคตที่สดใสและไม่สิ้นสุด

แต่ตอนนี้เขาเองก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว การที่สาวน้อยคนนี้ไปชอบคนมีเจ้าของอยู่นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ


GGS:บทที่ 1022 น้ำหอมที่รุนแรงประดุจดั่งพายุ


หลังจากเชิงชิเหยาได้จากไป ซูจิ้งได้คิดจะให้ตัวอย่างน้ำหอมให้กับคนอื่นด้วย

เหตุผลก็เพราะว่าเขานั้นไม่แน่ใจว่าการที่ให้น้ำหอมเชิงชิเหยาไปลองใช้นั้นจะเป็นตัวแทนของสาวๆทั้งโลกได้รึเปล่า

ต่อให้เธอชอบแต่นั่นก็อาจจะหมายว่าเธอเป็นคนเดียวที่ชอบ ไม่สามารถใช้เธอเป็นตัวแทนของสาวๆคนอื่นๆได้

“อืมมมม… เอาเป็นให้ฉือชิง เจ้ซือหยา โจวเสวี่ย หยินหนิงหนิง มู่หรงเซียนเอ๋อ นาหลันเฟย กับสาวๆคนอื่นที่ฉันรู้จักลองเอาไปใช้ดูก็แล้วกัน

เอาเป็นส่งไปแบบนิรนามไปก่อนแล้วกัน หากว่าได้ผลน่าพอใจค่อยออกหน้าอีกที” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นก็เผลอยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ พลางคิดไปว่าหากส่งไปให้ใช้แล้วถูกใจล่ะก็ เขานั้นอยากรู้จริงๆว่าพวกเธอจะทำยังไงต่อ แค่คิดก็รู้สึกสนุกดีพิลึกแล้ว

เมื่อซูจิ้งคิดได้ดังนั้นเขาจึงได้ทำการผสมน้ำหอมออกมาอีกจำนวนหนึ่ง เขาได้บรรจงคัดเลือกกลิ่นที่เหมาะสมกับตัวตนของสาวๆแต่ละคนอย่างบรรจง

หลังจากนั้นเขาก็ได้เรียกบริษัทรับส่งพัสดุมารับของไปส่งพร้อมทั้งเพิ่มเงินเข้าไปอีกเพื่อจะให้พวกเขาเร่งส่งในทันที หากว่าที่ไหนอยู่ใกล้ๆล่ะก็เขามั่นใจว่าพวกเธอจะได้รับน้ำหอมเหล่านี้ภายในวันนี้อย่างแน่นอน


ณ ร้านขายเสื้อผ้าหลงเต็ง ฉือชิง ตงเจี๋ย และสาวๆคนอื่นๆต่างกรี๊ดกร๊าดกันในทันทีเมื่อมีพัสดุมาส่งให้กับซือฉิงแบบหวู่หมิงและมีเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยเขียนเอาไว้

“ชิงชิงเธอซื้ออะไรมาเหรอ หรือว่ามีใครส่งอะไรมาให้เธอน่ะ”ตงเจี๋ยที่เห็นว่ากล่องไม่ได้เขียนอะไรมาจึงได้ถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ฉันไม่ได้ซื้ออะไรเลยนะ และก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมาด้วย” ฉือชิงตอบกลับพลางส่ายหน้า

“บอกหน่อยน่า…ฉันว่าเป็นซูจิ้งแน่ๆ เขาช่างโรแมนติกซะจริงๆ” ตงเจี๋ยหัวเราะออกมาเล็กน้อย

“ไม่น่าจะใช่นะ” ฉือชิงได้ตอบออกมาพร้อมหัวเราะตอบ นี่ทำให้ตงเจี๋ยต้องรีบเข้ามาใกล้ด้วยความสงสัยในทันที เมื่อเธอเห็นว่าน่ากล่องไม่ได้เขียนเพียงคำว่าหวู่หมิง(นิรนาม) เธอจึงได้ถามออกมาว่า “หืม อย่าบอกนะว่าเขาส่งมาแบบนิรนามอ่ะ ใครกันน้าที่ยังให้ของขวัญกันแบบนี้อีก”

“ฮ่าฮ่า มีหนุ่มที่ไหนมาแอบหลงรักพี่ชิงของเราอีกล่ะเนี่ย รีบแกะดูเลยเถอะน้า…” เหล่าสาวน้อยได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มและท่าทีที่กระตือรือล้น

ด้วยการที่ตอนนี้มีคนมุงดูกล่องในมือทำให้ฉือชิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าแต่ในที่สุดเธอก็จนใจต้องยอมเปิดกล่องออกมาเสียตรงนั้น

ทันทีที่เปิดออกดูพวกเธอก็ได้พบกับขวดแก้วที่ดูสวยงาม บนขวดเขียนเอาไว้ด้วยอักษรจีนโบราณว่า เทียนซิน(เป็นที่รัก)เอาไว้บนขวด

“ดูเหมือนว่าจะเป็นน้ำหอมนะ”

“เทียนซินเหรอ ฉันว่าฉันไม่เคยได้ยินยี่ห้อนี้มาก่อนเลยนะ”

“ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าใครส่งมา แม้แต่การ์ดก็ไม่มีแหะ”

ดงเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะคว้าขวดน้ำหอมมาฉีดที่หลังมือของตัวเอง เพียงเธอสูดเข้าไปนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะสูดเข้าไปลึกจนสุดปอดจนคนรอบข้างรู้สึกว่าท่าทีของเธอโอเวอร์ไปรึเปล่า

แต่กับตงเจี๋ยนั้น ทันทีที่เธอสูดเข้าไปเต็มปอด ดวงตาของเธอก็ได้เบิกกว้างพร้อมใบหน้าที่แสดงออกมาราวกับตกตะลึงในบางสิ่ง

ไม่นานนัก สาวๆที่อยู่รอบๆก็ได้กลิ่นและนั่นทำให้พวกเธอนั้นต้องประหลาดใจในทันที น้ำหอมขวดนี้มีกลิ่นที่ทำให้รู้สึกสดชื่นและให้ความรู้สึกสงบ ราวกับว่าพวกเธอได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติในยามเช้าที่ทำให้ผ่อนคลายและสดชื่นไปเลยก็ว่าได้

“กลิ่นที่ดี”

“ถึงกลิ่นมันจะอ่อนไปหน่อยแต่ทำไมถึงได้ทำให้รู้สึกสบายได้ขนาดนี้กัน”

“ขอดมบ้าง ขอดมบ้าง”

สาวน้อยโดยรอบที่ยังไม่ได้กลิ่นก็ได้รีบกุลีกุจอเข้ามาลองดมดูบ้างในทันที ผลที่ออกมาคือพวกเธอนั้นชอบกลิ่นนี้มากจนไม่อยากจะละมือออกจากขวดน้ำหอมเลยจริงๆ

“นี่นี่ทำตัวดีๆกันหน่อยสิ นี่เรายังไม่รู้เลยนะว่าใครส่งมาหรืออยากจะให้ทำอะไร” ฉือชิงที่ได้สติก็ได้รีบพูดออกมาในทันที

เธอเองนั้นปกติแล้วก็ไม่ได้ชอบใช้น้ำหอมสักเท่าไหร่แต่เธอก็อดใจไว้แทบจะไม่ได้เหมือนกันเมื่อได้กลิ่นจากน้ำหอมขวดนี้

แต่เมื่อคิดถึงว่าอาจจะเป็นผู้ชายคนอื่นส่งมาให้เป็นของขวัญแล้วทำให้เธอนั้นไม่อยากจะรับไว้อยู่ดี

“พี่ฉิงก็คิดมากไปแล้ว คนที่ส่งมานี่น่าจะเป็นคนหลงรักพี่อย่างแน่นอน อย่างๆน้อยๆพี่ก็สมควรจะตอบรับความปรารถนาของคนๆนั้นสักหน่อยนะ”

“พอนึกว่าน้ำหอมนี้ไม่น่าจะใช่ยี่ห้อดังๆแล้วก็น่าเสียดายนะ ฉันว่าน้ำหอมนี่ดีกว่ายี่ห้อดังๆเสียอีก”

“หากว่าชิงชิงไม่อยากได้ล่ะก็ให้ฉันก็ได้น้า……”

เหล่าสาวๆทุกคนที่หลงใหลไปกลับกลิ่นอันเย้ายวนของน้ำหอมจนอดไม่ได้ที่จะชิงมาจากฉือชิงอย่างไม่ทันตั้งตัว พอมารู้ตัวอีกทีทุกคนนอกจากฉือชิงก็ตะลุมบอนกันเรียบร้อยแล้ว


ณ บ้านหรูหราแห่งหนึ่ง มู่หรงเซียนเอ๋อเองก็ได้รับพัสดุเช่นเดียวกัน ผู้จัดการของเธอได้เซ็นรับแทนก่อนจะนำกลับเข้าไปในบ้านแล้วพูดออกมาว่า “หืม หวู่หมิงเหรอ นี่เซียนเอ๋อ เธอมีเพื่อนที่ชื่อว่าหวู่หมิงรึเปล่า”

“ไม่มีนะ” มู่หรงเซียนเอ๋อได้พูดออกมาในขณะที่กำลังเล่นกู่จิ้งอยู่

“งั้นเหรอ แล้วใครส่งมากันหล่ะ หรือว่าจะเป็นแฟนคลับของเธอกัน ให้ฉันเปิดเลยรึเปล่า” ผู้จัดการสาวได้พูดออกมา เมื่อเห็นมู่หรงเซียนเอ๋อพยักหน้า


ผู้จัดการสาวจึงได้เปิดพัสดุออกในทันที ข้างในกล่องเป็นขวดเล็กๆขวดหนึ่ง

“ดูเหมือนจะเป็นน้ำหอมนะ” ผู้จัดการสาวหัวเราะออกมาอย่างขอบใจ

“เป็นที่รักเหรอ” มู่หรงเซียนเอ๋อเมื่อเห็นสิ่งที่เขียนไว้หน้าขวดก็ได้พูดออกมาในทันที

“ก็ไม่รู้หรอกนะว่าแฟนคลับคนนี้รู้จักนางฟ้าของเขาจริงๆรึเปล่าเนี่ย เขาไม่รู้รึไงว่านางฟ้าของเขานั้นตัวหอมอยู่แล้วจนไม่ต้องใช้น้ำหอมแม้แต่น้อย


อีกอย่างนี่มันน้ำหอมอะไรกัน ฉันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย” ผู้จัดการสาวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาพลางเปิดขวดออกมาราวกับจะเยาะเย้ยคนที่ส่งมาให้

แต่ในทันทีที่เธอได้กลิ่น ใบหน้าของเธอแทบจะเปลี่ยนสีและเปลี่ยนท่าทีเป็นงุนงงในทันที เธอได้หลับตาลงและได้ดมดูอีกครั้ง

กลิ่นของน้ำหอมขวดนี้นั้นคล้ายกับกลิ่นดอกนาร์ซิสซัสแต่ว่ากลับให้ความรู้สึกที่ลุ่มลึกมากกว่าเป็นร้อยเท่า กลิ่นนี้ทำให้ผู้คนที่ได้กลิ่นราวกับล่องลอยอยู่ในดินแดนแห่งนางฟ้าบนก้อนเมฆได้เลย

เจ้าน้ำหอมนี่ช่วยให้อากาศโดยรอบเปลี่ยนไปราวกับเป็นอากาศบริสุทธิ์อย่างมากจนทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

“หอมดีไม่ใช่เหรอ” มู่หรงเซียนเอ๋อเองที่ได้รับรู้กลิ่นจากที่ห่างไกลก็ทำได้เพียงหยุดมือ ตกตะลึง และรีบเข้าไปคว้าขวดน้ำหอมนี้ไปดมในทันที หลังจากสูดเข้าไปแล้วเธอนั้นมีท่าทีผ่อนคลายอย่างที่สุด

“กลิ่นมันดีมากเลยนะ ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีน้ำหอมที่ส่งกลิ่นที่ทำให้รู้สึกอยากดมตลอดเวลาแบบนี้มาก่อน เซียนเอ๋อจ๋า…..ในเมื่อเธอไม่ใช่น้ำหอมก็ให้ฉันเถอะนะ” ผู้จัดการสาวได้พยายามจะคว้าขวดน้ำหอมคืนกลับมาไว้ในมือในทันที


“ฉันเปลี่ยนใจแล้วน่ะ” มู่หรงเซียนเอ๋อเองก็เร็วพอราวกับรู้ทันได้รีบเบี่ยงมือหลบผู้จัดการของเธออย่างรวดเร็วและตอบออกมาด้วยรอยยิ้ม

ผู้จัดการสาวได้มองมู่หรงเซียนเอ๋อราวกับว่ามู่หรงเซียนเอ๋อนั้นไปเซ็นสัญญาอะไรสักอย่างพอเซ็นเสร็จแล้วฉีกสัญญาทิ้งเอาเสียดื้อๆเลยทีเดียว

แต่เธอก็รู้จักมู่หรงเซียนเอ๋อดีว่าหากเธอบอกว่าจะใช้คือจะใช้จริงๆและไม่แบ่งให้เธอใช้อย่างแน่นอน ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ได้แล้ว

เธอจึงได้แต่จ้องมองอย่างถอดถอนหายใจแล้วพูดออกมาว่า “ก็ไม่รู้ว่าใครส่งมาหรอกนะ แต่ฉันต้องหามาใช้ให้ได้”

ทั้งสองจึงได้ลองหาข้อมูลดูแต่ก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง นั่นก็เพราะว่าไม่มีน้ำหอมยี่ห้อไหนเลยที่มีชื่อว่าเทียนซิน(เป็นที่รัก)


ณ บริษัทเกี่ยวกับดนตรีแห่งหนึ่ง ผู้จัดการของบริษัทจากฝรั่งเศษได้หยิบพัสดุเข้ามาในบริษัทก่อนที่จะเปิดพัสดุออกเพื่อตรวจสอบสิ่งของตามปกติ

พวกเขานั้นเมื่อแรกเห็นว่าของภายในนั้นคือน้ำหอมที่เขียนข้างขวดไว้ว่าเป็นที่รักก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะออกมา แต่ทันทีที่พวกเขาได้ลองเปิดขวดน้ำหอมดูก็กลับต้องตกตะลึงถึงกับพูดไม่ออก

นั่นก็เพราะกลิ่นของน้ำหอมนี้นั้นหอมราวกับกลิ่นดอกกุหลาบก็จริงแต่ว่ามันให้ความรู้สึกที่ดีกว่านับสิบเท่า ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือกลิ่นของมันไม่ได้แรงแต่อย่างใดแต่กลับทำให้พวกเขานั้นรู้สึกติดใจจนบากจะละขวดออกจากมือตัวเอง

“พระเจ้าเถอะ น้ำหอมนี่มันช่างมีกลิ่นที่ดีจริงๆ” ผู้จัดการได้พูดออกมาราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญ(ฝรั่งเศสเป็นเมืองแห่งน้ำหอม)

“เป็นที่รักเหรอ ฉันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลยนะ ใครส่งมาให้ฉันกันน่ะ” นาหลันเฟยที่ได้กลิ่นน้ำหอมเองก็ถามออกมาด้วยท่าทางประหลาดใจ ในขณะเดียวกันเธอเองก็รู้สึกมีความสุขอย่างมากพลางคิดหาว่าใครกันที่รู้จักเธอดีจนส่งน้ำหอมกลิ่นนี้มาให้กันแน่

“ไม่ได้เขียนไว้นะ ฉันเองก็อยากจะหาไว้ใช้บ้างเหมือนกัน”

“ยี่ห้อเทียนซิน(เป็นที่รัก)ใช่รึเปล่า ไหน ขอดูในเน็ตหน่อยสิ”

อย่างไรก็ตามความคิดของผู้จัดการที่ว่าจะหามาครอบครองนี้ต้องหายไปในบัดดลนั่นก็เพราะว่าพวกเขานั้นไม่เจอข้อมูลเกี่ยวกับน้ำห้อที่มีชื่อยี่ห้อว่าเทียนซินเลยแม้แต่น้อย


ในทำนองเดียวกัน หวังซือหยา โจวเสวี่ย หยินหนิงหนิง ดงซุน นักวิจารณ์น้ำหอมคนหนึ่ง และประธานผู้บริหารของบริษัทน้ำหอมผู้หญิงยี่ห้อดังของประเทศจีนอีกคนหนึ่ง

ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ได้รับน้ำหอมที่มีชื่อว่าเทียนซินนี้คนละขวด และพวกเขาก็ต้องตกตะลึงในทันทีที่ได้กลิ่นน้ำหอมนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิจารณ์น้ำหอมและประธานผู้บริหารของบริษัทน้ำหอมนี่ยิ่งตกตะลึงยิ่งกว่าใคร หากจะกล่าวว่ายิ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญยิ่งเป็นคนในวงการยิ่งตกตะลึงก็ไม่ผิดนัก

นักวิจารณ์น้ำหอมได้เขียนบรรยายความรู้สึกของตัวเองหลังจากได้กลิ่นน้ำหอมเทียนซินนี้อย่างตั้งใจและให้ความเห็นไว้อย่างสูงล้ำ

ตัวเธอนั้นเป็นหนึ่งในห้าสุดยอดนักวิจารณ์น้ำหอมที่ได้รับความนิยมจนมีแฟนคลับจำนวนมาก และเธอเองก็เป็นคนที่ชอบน้ำหอมแบบสุดๆ

ใจตอนแรกเธอรู้สึกประหลาดใจอย่างมากเมื่อพบว่าบนโลกนี้มีน้ำหอมที่หอมจนดึงดูดให้หลงใหลแบบนี้อยู่โดยที่เธอไม่เคยรู้ได้ยังไงกัน

เธอได้ลองค้นหาข้อมูลของน้ำหอมนี้อยู่เป็นวันๆแต่ก็หายังไม่เจอจนในที่สุดจึงได้ตั้งรางวัลให้กับคนที่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลนี้แถมยังตั้งรางวัลได้สูงมาก

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้น้ำหอมที่ชื่อว่าเทียนซินนี้เป็นที่พูดถึงและลือกันไปทั่วจนทำให้หลายๆคนเริ่มจะสงสัยว่ามันมีอยู่จริงใช่รึเปล่าเพราะไม่มีใครเคยได้ยินแม้แต่น้อย

แต่กับผู้ชายบางคนที่ได้เห็นและรับรู้กลิ่นมาแล้วนั้น พวกเขามีท่าทีที่ตื่นเต้นจนอดไม่ได้ที่จะเม้มปากในทันทีที่ได้กลิ่น

พวกเขาบอกว่าแม้แต่พวกเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแต่พวกเขาแน่ใจว่ากลิ่นนี้ไม่ใช่กลิ่นของน้ำหอม แต่เมื่อพวกเขานั้นได้สัมผัสกลิ่นนี้กลับรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้ถ้าหากขาดพวกมันเลยทีเดียว

พวกเขากลายเป็นตัวตั้งตัวตีในการหาที่มาของมันในทันทีและบอกอีกว่ามันเป็นสิ่งสาวๆไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวด้วยแต่อย่างใด


GGS:บทที่ 1023 น้ำหอมที่รุนแรงประดุจดั่งพายุ (2)


“คุณจ้าวคะ….. คือ…พวกเราไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับน้ำหอมยี่ห้อเทียนซินได้เลยค่ะ” ณ บริษัทน้ำหอมซือหลัน หญิงวัยกลางคนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะในสำนักงานด้วยท่าทีที่เหม่อลอย ผ่อนคลาย แต่มีแววตาที่เคร่งขรึมราวกับหญิงแกร่งคนหนึ่ง

ข้างหน้าเธอนั้นมีกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ยืนอยู่กับอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตตัวโดยมีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มมารายงานผลลัพท์ด้วยท่าทีอึกอัก

“หาต่อไป เพิ่มเงินรางวัลเข้าไปอีก” สาวแกร่งที่น่าจะเป็นประธานบริษัทพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“คุณจ้าวครับ ไม่เพียงแต่เราเท่านั้นที่กำลังควานหา ตอนนี้มีอีกหลายๆกลุ่มที่เริ่มตามหาที่มาของน้ำหอมนี่แล้วเหมือนกันแต่ว่ายังไม่มีใครหาเจอเลยครับ


ดูเหมือนว่าเจ้าของน้ำหอมนั่นไม่เพียงจะส่งให้กับคุณจ้าวตงเท่านั้นแต่ยังส่งน้ำหอมนี้ไปอีกหลายคนทีเดียว ผมไม่รู้จริงๆว่าเขาต้องการอะไรกันแน่” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดออกมา

“ถ้าอย่างนั้นฉันพอจะเข้าใจแล้วล่ะ ฉันว่าน้ำหอมยี่ห้อเทียนซิน(เป็นที่รัก)นี้ไม่ควรจะมีในโลก หรือไม่ก็เป็นไปได้ยังไม่ได้เปิดตัวเข้าสู่ตลาดน้ำหอม

หากนี่เป็นความจริงล่ะก็เกรงว่าที่มีคนส่งน้ำหอมมานี่เพียงเพื่อจะดูผลตอบรับเท่านั้น หรือไม่ก็เขาอาจจะกำลังลองโยนหินถามทางดูเพื่อหาสปอนเซอร์ในการผลิตอยู่

หากเป็นอย่างหลังล่ะก็เรายิ่งต้องรีบเข้าไปอีกก่อนที่จะมีคนอื่นมาชุบมือเปิบไป หากเป็นไปได้ล่ะก็เราควรจะซื้อสูตรทำน้ำหอมจากคนนั้นโดยตรงให้ได้” หญิงแกร่งได้รีบพูดออกมา


“ครับ” เหล่ากลุ่มคนชายหญิงที่ได้ยินการคาดการณ์จากหญิงแกร่งผู้เป็นเจ้านายก็เพิ่งจะรู้สึกถึงความพิเศษของน้ำหอมเทียนซินนี้และทำให้พวกเขานั้นเริ่มจริงจังในการหาข้อมูลมากกว่าเดิม

พวกเขาเองก็ได้สัมผัสกลิ่นหอมนี้แล้วด้วยเช่นเดียวกันและนั่นก็ทำให้พวกเขารู้ถึงมูลค่าที่น้ำหอมนี้จะทำได้ในทันทีหากว่ามันวางขายในตลาดน้ำหอม

หากเป็นน้ำหอมนี้พวกเขาแน่นอนเลยว่าหากได้มาแล้วจะทำให้บริษัทของพวกเขาเป็นหนึ่งในประเทศได้อย่างง่ายดาย


ขณะเดียวกัน หวังซือหยาที่กำลังนั่งอยู่ในสำนักงานของบริษัทซือหยาคอสเมติกก็มีท่าทีร้อนรนเช่นเดียวกัน เธอนั้นสั่งให้ทุ่มกำลังค้นหาที่มาของน้ำหอมเทียนซินนี้หลังจากที่ได้สัมผัสกลิ่นหอมของมัน

ตอนแรกที่เธอได้รับน้ำหอมนี้มานั้นเธอเพียงแค่งุนงงในคราแรกและตกตะลึงหลังจากที่ได้สัมผัสกลิ่นหอมอย่างที่สุดนี้


นอกจากนี้เธอยังมารู้ทีหลังอีกว่านอกจากเธอแล้ว โจวเสวี่ย และหยินหนิงหนงเองก็ได้รับคนละขวดเช่นเดียวกัน ถึงแม้น้ำหอมที่พวกเธอได้รับนั้นจะเป็นคนละกลิ่นกัน นี่ทำให้หวังซือหยาตื่นเต้นเพราะเธอไม่คิดว่าน้ำหอมที่ดึงดูดเย้ายวนใจขนาดนี้จะมีอีกหลายกลิ่น

ด้วยการที่บริษัทของเธอนั้นทำธุรกิจเกี่ยวกับความสวยงามของผู้หญิง นอกจากเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และเสื้อผ้าแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่บริษัทของเธอจะขาดไม่ได้นั่นก็คือน้ำหอม

อย่างไรก็ตามด้วยการที่บริษัทของเธอนั้นพึ่งจะเข้ามาในตลาดไม่นาน หากเทียบกับบริษัทอื่นแล้วที่จริงบริษัทของเธอควรจะระดับอยู่แค่กลางๆของวงการเท่านั้น

เพียงหลังจากที่ซูจิ้งเข้ามาร่วมหุ้นกับบริษัทของเธอเท่านั้นทำให้บริษัทของเธอสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ชั้นเลิศมากมายออกมา


ไม่ว่าจะเป็นผงเสริมความงาม ผงเสริมทรวงอก ผงลดน้ำหนัก เสื้อผ้าร่วมสมัย และสินค้าอื่นๆอีก ด้วยสิ่งเหล่านี้ทำให้แบรนด์ของบริษัทของเธอเป็นที่รู้จักและกลายเป็นแบรนด์ชั้นนำของโลกในตอนนี้

ถึงจะว่ามาอย่างนั้นแต่กับเรื่องน้ำหอมนี้ยังเป็นจุดด้อยของบริษัทเธออยู่ดี มาตอนนี้นี่จะเป็นโอกาสที่ดีอย่างมากหากเธอสามารถซื้อลิขสิทธิ์น้ำหอมสุดพิเศษนี้มาได้ล่ะก็นี่จะเป็นการกลบจุดด่างพร้อยของบริษัทได้ในที่สุด

นอกจากนี้นี่ยังถือได้ว่าเป็นการเปิดตลาดใหม่ได้อย่างแน่นอน เธอมั่นใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีว่าน้ำหอมนี้จะมีมูลค่ามหาศาลทันทีที่วางตลาด นั่นก็เพราะว่ามีน้ำหอมหลายกลิ่นที่น่าหลงใหลไม่แพ้กัน

แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเธอไม่สามารถหาข้อมูลที่มาของน้ำหอมเทียนซินนี้ได้เลยแม้แต่น้อย คนที่ส่งน้ำหอมนี้มาไม่ได้ทิ้งช่องทางให้ติดต่อหรือร่องรอยให้ติดตามได้เลยแม้แต่น้อย


นี่ทำให้เธอไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคนที่ส่งมานี่กำลังรอคอยหรือถูกติดต่อโดยบริษัทอื่นไปแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้ นี่ทำให้หวังซือหยารู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยเลยทีเดียว

“ประธานหวังคะ ฉันว่าคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ให้มากนักจะดีกว่า ตอนนี้บริษัทอื่นเองสมควรจะตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ต่างไปจากพวกเราอย่างแน่นอน ขนาดเรายังไม่ได้ร่องรอยอะไรเลยแล้วคนพวกนั้นจะไปหาที่มาของน้ำเทียนซินนี่ได้ยังไงกัน” สาววัยกลางคนคนหนึ่งพูดออกมา


“ก็จริงที่ตอนนี้สมควรที่บริษัทอื่นจะประสบปัญหาเช่นเดียวกับเรา แต่เราเองก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้เช่นเดียวกนนะ หากว่ามีใครบางคนเจอร่องรอยล่ะก็พวกเราจะสูญเสียโอกาสที่จะกลายเป็นหนึ่งในวงการไปเลยนะ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็ทัดทานขึ้นมาในทันที

“การที่อีกฝั่งหนึ่งส่งน้ำหอมให้กับพวกเราแบบนี้แต่กลับไม่ทิ้งช่องทางติดต่อกลับไปแบบนี้ช่างเป็นการกระทำที่น่าฉงนจริงๆ เขาอาจจะสร้างสถานการณ์ที่ทำให้น้ำหอมนี้มีมูลค่าสูงขึ้นก็ได้จากการที่เราหาที่มาไม่เจอ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ฉันยินดีที่จะกระโจนเข้าไปในสถานการณ์นี้อย่างเต็มใจเลย เพียงน้ำหอมขวดเล็กๆขวดหนึ่งแต่กลิ่นของมันช่างเหมาะสมกับคำว่าสุดยอดน้ำหอมขนาดนี้มันคุ้มค่าแล้วล่ะ”


หวังซือหยาที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยและพูดออกมาว่า “น้ำหอมเทียนซินนี้คุ้มค่ากับราคาที่สูงล้ำอย่างแน่นอน คนทั่วไปนั้นล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญกับกลิ่นกายของตัวเองทั้งนั้น

น้ำหอมนี้หากวางตลาดจริงๆล่ะก็การขายไปในราคาที่ถูกไม่มีทางเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย ต่อให้พวกเราไม่ได้มันมาขายก็จริงแต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้ของดีขายด้วยราคาอันต่ำต้อยไปได้

พวกเราต้องทำทุกทางแม้แต่การสู้รบปล้นชิงกับบริษัทอื่นก่อนที่น้ำหอมนี้จะโดนฉกไปต่อหน้าต่อตา”


หลังจากหนึ่งวันผ่านไป ไม่มีใครเลยแม้แต่บริษัทเดียวที่หาที่มาของน้ำหอมเทียนซินขวดนี้ นี่ยิ่งทำให้หวังซือหยาอยากจะได้บริษัทที่ผลิตน้ำหอมเทียนซินนี้มาอยู่ในกำมือเข้าไปใหญ่ แน่นอนว่าบริษัทอื่นๆเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากเธอ

เย็นวันนั้น เชิงชิเหยาได้เข้ามาในบริษัทด้วยชุดเดรสสีแดงยาว เธอตรงไปหาซือหยาเพื่อที่จะคุยเรื่องงาน แต่พอไปถึงก็พบว่าหวังซือหยากำลังคุยกับโจวเสวี่ยและหยินหนิงหนิงเกี่ยวกับน้ำหอมอยู่

หวังซือหยาในตอนนี้เริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง

เธอสงสัยว่าการที่เจ้าของน้ำหอมส่งน้ำหอมมาให้เธอกับหยินหนิงหนิงนั้นเรื่องนี้ยังพอเข้าใจได้เพราะกับเธอนั้นเป็นเจ้าของบริษัทชื่อดังและหยินหนิงหนิงนั้นเป็นดาราดังในตอนนี้ แต่ประเด็นคือทำไมต้องเป็นโจวเสวี่ย

นั่นก็เพราะต่อให้หาชื่อของโจวเสวี่ยในอินเตอร์เน็ต อย่างมากข้อมูลของเธอที่พบนั้นสมควรจะเป็นแค่สมาชิกของบริษัทเท่านั้น


หากว่าเจ้าของน้ำหอมคิดจะเพิ่มมูลค่าให้กับน้ำหอมนี้จริงล่ะก็สมควรจะส่งให้กับเจ้าของบริษัทต่างๆเพียงบริษัทละหนึ่งขวดเสียมากกว่าแต่นี่กับส่งมาให้บริษัทของเธอถึงสามขวดแถมยังเป็นการเฉพาะเจาะจงเสียอีก

หรือว่านี่จะเป็นร่องรอยที่พวกเธอกำลังควานหากัน

“พี่ซือหยา พวกพี่กำลังคุยเรื่องน้ำหอมอะไรกันเหรอ” เชิงชิเหยาถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

“น้ำหอมที่ชื่อว่าเทียนซินน่ะ ว่าแต่ชิเหยา กลิ่นหอมนี่มาจากเธออย่างนั้นเหรอ” หวังซือหยา โจวเสวี่ย และหยินหนิงหนิงในตอนนี้กำลังทำจมูกฟุดฟิดพร้อมดวงตาที่เปล่งประกาย

“ช่างเป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นละมุนชวนดมจนจับใจเลยนะ น้ำหอมของเธอนี่เหมือนกลิ่นดอกลิลลี่แต่มันชวนดมกว่าดอกลิลลี่มากจริงๆ” หวังซือหยาพุดออกมาก่อนที่จะสูดลมหายใจไปอีกเฮือกใหญ่


“นี่กลายเป็นว่าบริษัทของเราได้รับน้ำหอมมาสี่ขวดเลยนะเนี่ย คนที่ส่งน้ำหอมมานี่น่าจะจับตาบริษัทของพวกเราอยู่เป็นแน่” โจวเสวี่ยพูดออกมาพลางหัวเราะกึ่งๆภูมิใจ

“เป็นไปได้ แถมคนๆนี้ยังเข้าใจตัวตนของแต่ละคนอีกด้วย เขาช่างรู้ดีจริงๆว่าน้ำหอมกลิ่นไหนเหมาะกับพวกเราแต่ละคน” หยินหนิงหนิงพูดออกมา

“เดี๋ยวนะ นี่กำลังพูดเรื่องอะไรกันน่ะ” เชิงชิเหยาที่ได้ยินทุกคนพูดออกมาถึงกับงุนงงอย่างหนัก

“ทำไมล่ะ อย่าบอกนะว่าน้ำหอมที่เธอใช้ไม่ใช่น้ำหอมที่ชื่อเทียนซิน” หวังซือหยาที่ได้ยินคำถามของเชิงชิเหยาถึงกับนิ่งอึ้งในทันที


เธอนึกสงสัยเหมือนกันว่าตัวเองเข้าใจผิดไปเหมือนกันแต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้เช่นเดียวกัน นั่นก็เพราะกลิ่นอันลึกล้ำแบบนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นคนละกลิ่นกับของพวกเธอแต่ก็ไม่สมควรที่จะมีน้ำหอมยี่ห้ออื่นที่มีกลิ่นแบบนี้ไปได้

“ไม่นะ ฉันใช้น้ำหอมของซูจิ้งน่ะ” เชิงชิเหยาพูดออกมาด้วยใบหน้าเขินอายเล็กน้อย เมื่อเช้านี้เธอได้ลองดมน้ำหอมที่ซูจิ้งให้เธอมาดูอีกครั้ง คราวนี้เธอรู้สึกว่ามันหอมจบจับใจเลยตัดสินใจจะใช้มันก่อนมาที่นี่

อย่างไรก็ตามตอนที่เธอใช้นั้นเป็นเพราะว่ามันหอมจับใจเธอก็เท่านั้น แถมขวดที่เธอได้นั้นเป็นขวดน้ำหอมธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีตัวอักษรคำว่าเทียนซินแต่อย่างใด


“….นี่…เกี่ยวอะไรกับอาจิ้งได้ล่ะ” หวังซือหยา หยินหนิงหนิง และโจวเสวี่ยที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป เพียงคำพูดนี้ราวกับว่าได้ตัดเอาความสงสัยต่างๆก่อนหน้านี้ของพวกเธอให้กระจายสิ้นไปในทันที

“เมื่อวานนี้ซูจิ้งให้น้ำหอมฉันมาขวดหนึ่งแล้วบอกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เขาทำขึ้นมาเลยให้เอามาลองใช้ดูน่ะ” เชิงชิเหยาพูดออกมา

“…งั้น…น้ำหอมเทียนซิน…ก็…” หวังซือหยา หยินหนิงหนิง และโจวเสวี่ยเอามือตบหน้าผากแทบจะพร้อมกันก่อนที่จะหันไปมองหน้ากันและกันในทันที

หวังซือหยาที่ตั้งสติได้ก่อนใครได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาซูจิ้งในทันที

“โอ้ ว่าไงอาเจ้ซื…..” ซือจิ้งที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์แล้วเห็นเป็นหวังซือหยาโทรมาก็ได้รีบรับแล้วกล่าวทักทายออกไปแต่ยังไม่สิ้นประโยคดี

“อาจิ้งงงงงงงง น้ำหอมเทียนซินนี่อย่าบอกนะว่าเป็นนายผลิตขึ้นมาน่ะ” หวังซือหยาได้กล่าวออกมาโดยไม่ปล่อยให้ซูจิ้งได้กล่าวทักทายจนจบประโยคอย่างอดไม่ได้

“ใช่แล้ว” ซูจิ้งตอบออกมาอย่างยียวน

“หึหึหึ ยังมีหน้ามาบอกว่าใช่อีกเหรอ ทำไมส่งมาแล้วไม่บอกอะไรพวกเราเลยสักคำ ห้ะ” หวังซือหยาที่ได้ยินซูจิ้งตอบออกมาอย่างยียวนก็อดไม่ได้ที่จะตวาดออกไปด้วยอารมณ์โมโหราวกับโดนกลั่นแกล้ง


แต่เดิมนั้นตอนที่เธอได้น้ำหอมนี้มานั้นมันแต่ตื่นเต้นยินดีปนโดนความโลภเข้าครอบงำนิดหน่อยจนลืมคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ไปจนหมดสิ้น

หยินหนิงหนิงและโจวเสวี่ยเองก็ทำหน้าบอกไม่ถูกเหมือนกันเพราะพวกเธอเองก็โดนบังตาจนไม่คิดหรือเอะใจเรื่องนี้ไปเลยแม้แต่น้อย

พวกเธออดจะคิดไม่ได้ว่าท่านเทพซูของพวกเธอนี้ถ้าไม่ทำอะไรดีเวอร์เกินเบอร์แบบนี้จะตายเอารึไงกัน แต่การที่พวกเธอได้รู้ความจริงแบบนี้จะไม่เพียงทำให้พวกเธอต้องประหลาดใจแล้ว

พวกเธอนั้นจะไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าจะมีใครหน้าไหนมาแย่งชิงกรรมสิทธิ์น้ำหอมเทียนซินนี้ไปจากพวกเธออีก

ทันใดนั้นพวกเธอก็พึ่งจะนึกออกว่าคำว่าเทียนซินนี่หากนำมาเรียบเรียงคำใหม่นี่มันก็อ่านว่าซือหยาไม่ใช่เหรอ คำตอบมันอยู่ตรงหน้าพวกเธอมาตั้งนานแล้วนี่นา…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)