Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1012-1017
GGS:บทที่ 1012 ยอมสยบ
ในอเมริกา กลุ่มนักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้ทำการศึกษาวิดีโอที่พวกเขาได้มาอย่างตั้งใจ ทุกครั้งที่พวกเขาดูวิดีโอนี้จบลงพวกเขาก็ทำได้เพียงอึ้งนิ่งๆไปนานก่อนที่จะเริ่มดูใหม่อีกครั้ง ราวกับว่าพวกเขานั้นยอมรับสิ่งที่เห็นไม่ได้ไปเสียทุกคนเลยทีเดียว
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน”
“นี่…วิดีโอนี้ตัดออกมาจากหนังไซไฟรึเปล่า”
“แต่ถ้าดูจากภาพประกอบพวกนี้ไม่ว่ามองยังไงก็ไม่น่าจะเป็นการโฆษณาหนังเลยนะ ถ้าดูจากข่าวนี้แล้วมันนักสู้มืออาชีพของอเมริการเองที่ไปท้านักสู้จีนก่อนด้วยซ้ำ
หากดูจากเรื่องนี้แล้วล่ะก็วิดีโอนี้เป็นการถ่ายมาแบบสดๆอย่างไม่ต้องสงสัย”
“นี่นายจะบอกว่าระบบประสาทเทียมของจีนล้ำหน้ากว่าเราถึงระดับนี้แล้วอย่างงั้นเหรอ หากนี่เป็นเรื่องจริงล่ะก็มันไม่เพียงจะหมายความว่าประเทศจีนล้ำหน้ากว่าพวกเรานะ นี่รวมถึงเทคโนโลยีของเขาล้ำหน้ากว่าคนทั้งโลกไปกว่ายี่สิบปีได้มั้ง”
“ถ้าระบบประสาทเทียมของพวกมันล้ำหน้ากว่าเราขนาดนี้จริงล่ะก็ พวกเราต้องเอามาครองให้ได้”
ในประเทศอิตาลี นักวิจัยกลุ่มหนึ่งเองก็ได้เปิดดูวิดีโอข่าวของซูจิ้งเช่นเดียวกัน
“อะไรกัน ไหนบอกว่าเป็นการงานแถลงโฆษณาระบบประสาทเทียมไงล่ะ ไหงภาพฉากหลังถึงเป็นเวทีประลองได้กัน”
“รอก่อนสิ นายไม่เห็นเหรอว่านักสู้จีนมีอวัยวะเทียมอยู่บนร่างสามชิ้นน่ะ”
“พระเจ้า…นักสู้จีนคนนั้นชนะด้วยการใช้อวัยวะเทียม”
“ไม่มีทาง วิดีโอนี้ของจริงแน่ๆรึเปล่า ระบบประสาทเทียมของจีนจะล้ำหน้าขนาดนี้ได้ยังไงกัน”
“วิดีโอนี่ทำขึ้นแน่ๆ”
ประเทศสวิสเซอรแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อังกฤษ และประเทศอื่นๆเองที่ได้เห็นต่างก็ตกตะลึง ที่สำคัญที่สุดคือไม่ว่าจะมองยังไงก็ตาม จากองค์ประกอบต่างๆแล้วล้วนแล้วแต่บ่งบอกว่าวิดีโอนี้คือของจริง
แต่พวกเขาเองก็ยังเชื่ออีกว่าเทคโนโลยีการตัดต่อแต่งภาพสมัยนี้ก็เหนือล้ำพอที่จะสร้างวิดีโอที่แนบเนียนแบบนี้เช่นเดียวกัน
และในที่สุดตีความว่าวิดีโอนี้สมควรเป็นของปลอมที่ทำขึ้นมาแทนที่จะเชื่อว่าเป็นเทคโนโลยีระบบประสาทเทียมจริงๆ
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ทั่วทั้งโลกแม้แต่ชาวเน็ตที่ไม่เคยสนใจอะไรก็ยังต้องจับตามองไปยังงานแถลงข่าวที่กลุ่มทุนห้วงเวลาที่จะจัดขึ้น
และคนเหล่านี้ได้เข้าไปในเว็บไซต์ทางการของกลุ่มทุนห้วงเวลาเพื่อเฝ้าดูงานแถลงข่าวดังกล่าวที่จะจัดขึ้นทั้งในรูปแบบสตรีมและต่อหน้านักข่าวจากหลากหลายสื่อหลายสำนัก
ซูจิ้ง หวังจ้าว เฉิงหนาน และคนอื่นๆต่างก็มาร่วมงานนี้ แน่นอนว่าเทียนดาจูเองก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกับเทียนดูจูนี้ เขาได้ทำทุกอย่างตามที่นักข่าวร้องขอได้อย่างว่าง่าย
และทุกสิ่งที่เขานั้นดูเป็นธรรมชาติอย่างมากราวกับว่าเขานั้นไม่เคยสูญเสียแขนขามาก่อน เทียนดาจูเองได้แสดงท่าทางออกมาแทบจะทุกอริยาบทที่เขาจะนึกออกไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง ดื่มน้ำ ออกกำลังกาย และอย่างอื่นอีก
นอกจากนี้พิธีกรยังให้เหล่าผู้ชมร่วมเล่นเกมกับเทียนดาจูอย่างการเล่นมวยปล้ำนิ้วมือ แข่งบีบข้อมือ กระโดดเชือก และอย่างอื่นอีก
หนึ่งในนั้นได้ขอให้เทียนดาจูลองพิมงานในคอมพิวเตอร์ให้ดู ถึงแม้ว่ามือข้างซ้ายของเขานั้นจะยังเป็นมือจริงๆก็ตาม แต่มือขวาของเขานั้นในตอนนี้ถูกเคลือบไว้ด้วยชั้นหนังเทียมที่มีสีเกือบจะเข้ากับสีผิวปกติของเขา
หากไม่ได้มองดีๆแล้วจะแทบมองไม่ออกเลยว่าเป็นแขนเทียม นิ้วทั้งห้าของมือขวานั้นได้พิมพ์ลงไปบนคีย์บอร์ดอย่างคล่องแคล่วเท่าทีเทียนดาจูจะสามารถเพราะความไม่คุ้นชิน
แต่นี่ก็เพียงพอแล้วเพราะทุกคนได้เห็นว่านิ้วทั้งห้าของข้างขวา เคลื่อนไหวได้พอๆกับนิ้วปกติบนมือซ้ายอย่างแยกไม่ออกเลยจริงๆ
หลังจากเห็นฉากนี้ทุกคนทำได้เพียงตกตะลึงไปเท่านั้น แม้แต่ผู้ที่กำลังดูการสตรีมอยู่เองก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก แน่นอนว่ารวมถึงเหล่านักวิจัยจากนานาประเทศ
ต่อให้พวกเขาไม่เชื่อแต่นั่นก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้คือการสตรีมสด แถมยังเกิดขึ้นชนิดที่พวกเขาก็เห็นด้วยตาตัวเอง ต่อให้ไม่เชื่อยังไงก็ต้องเชื่อจนได้
แต่ความรู้สึกหนึ่งเองก็ได้บังเกิดขึ้นมาเช่นเดียวกัน นั่นก็คือความรู้สึกรับไม่ได้ พวกแองก็ทุ่มเทศึกษาเรื่องนี้มานานนับปี ไหนจะทุ่มเททั้งเงินทุนและเทคโนโลยีต่างๆในการวิจัยเช่นเดียวกัน
พวกเขานั้นต่างถือว่าตนเองเป็นประเทศแรกๆที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้แล้วอยู่ๆในวันหนึ่งกลับมีคนมาบอกว่างานวิจัยของพวกเขานั้นล้าหลังกว่าของคนอื่นไปไกล สิ่งที่พวกเขาค้นพบนั้นมันใช้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จะให้พวกเขายอมรับอย่างว่าง่ายก็คงแปลกไปแล้ว
ในงานแถลงโฆษณาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศในครั้งนี้ พวกเขาได้แจกจางรายการค่าใช้จ่ายในการสร้างอวัยวะเทียมเอาไว้สามระดับได้แก่ระดับทั่วไป ระดับดี และระดับสุดยอด
ความแตกต่างของแต่ละระดับนั้นก็เป็นเรื่องของราคาและประสิทธิภาพของอวัยวะเทียม สำหรับระดับทั่วไปนั้นแน่นอนว่าพวกเขานั้นตั้งเอาไว้สำหรับคนทั่วไปโดยมีสนนราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนหยวน
ถึงแม้ราคานี้คนทั่วไปจะเข้าถึงได้ยากแต่ก็ยังเข้าถึงได้หากพวกเขานั้นทำงานได้หนักพอ นอกจากนี้กลุ่มทุนยังมีการจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงอีกด้วย
ด้วยการนี้นอกจากเขาจะได้รายได้จากการขายเป็นเงินก้อนใหญ่แล้ว พวกเขายังมีรายได้อย่างต่อเนื่องไปอีกนาน
อย่างไรก็ตามอวัยวะเทียมรุ่นทั่วไปนี้ไม่ได้หวือหวาแต่อย่างใด
พวกมันนั้นเรียบง่าย และดูปกติเห็นได้ชัด แน่นอนว่าต่อให้เป็นรุ่นทั่วไปพวกเขาก็ยังออกแบบมาไว้ให้ทำกิจกรรมพื้นฐานอย่างการเดินได้แบบปกติอย่างไม่ติดขัด ราวกับว่าพวกมันเป็นอวัยวะทั่วไปจริงๆ
แต่มันค่อนข้างจะวุ่นวายในการดูแลบำรุงรักษาเท่านั้นเอง นอกจากนี้พวกมันยังไม่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ และไม่ได้แข็งแรงพอที่จะบีบก้อนอิฐให้แตกได้คามือแต่อย่างใด
ถ้าให้บอกง่ายๆคือพวกมันนั้นก็เหมือนกับอวัยวะทั่วไปที่ยังไม่ได้ฝึกฝน เมื่อต่อยก้อนอิฐแล้วก็ได้รับความเสียหายด้วยเช่นเดียวกัน
วัตถุประสงค์หลักที่สร้างรุ่นนี้มานั่นก็เพราะเพื่อให้คนธรรมดาสามารถเข้าถึงได้จริงๆ มันจึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตามสนองการใช้ชีวิตพื้นฐานของมนษย์เพียงเท่านั้น
และด้วยเหตุนี้เช่นเดียวกัน หากว่าซื้อรุ่นนี้ไปแล้วล่ะก็ เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายของผู้สวมใส่มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกอย่างการเติบโต
พวกเขายินดีที่จะเปลี่ยนอวัยวะเทียมให้สอดคล้องกับผู้สวมใส่โดยไม่คิดเงินเพิ่มแต่อย่างใด
สำหรับอวัยวะเทียมระดับที่สองหรือรุ่นดีนั้นพวกเขาตั้งไว้ที่ขั้นต่ำสองล้านหยวน ความแตกต่างคือวัสดุที่ใช้ในการประกอบสร้างมีราคาที่สูงกว่า นอกจากนี้พวกมันมีคุณสมบัติที่สูงขึ้นทั้งในด้านความทนทาน ความแข็งแรง การทนต่อการสึกหรอ และคุณสมบัติด้านอื่นๆอยู่ในระดับที่ดี โดยกล่าวรวมๆแล้วพวกมันแข็งแกร่งมากและมีความยืดหยุ่นสูง นี่คือรุ่นที่เทียนดาจูสวมใส่อยู่
สำหรับรุ่นสุดยอดนี้ถูกตั้งเอาไว้อยู่ที่สิบล้านหยวน รุ่นนี้จะมีซูจิ้งเป็นคนลงมือจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง
วัตถุที่ใช้นั้นดีกว่ารุ่นกลางไปอีกขั้นหนึ่งเลยทีเดียวโดยวัสดุที่ใช้นี้เป็นวัสดุอัลลอยด์ชนิดพิเศษสูตรเฉพาะ
ทั้งความทนทาน ความแข็งแกร่ง ความทนทานต่อการสึกหรอและกัดกร่อน ความเร็ว ความแข็งแรง การตอบสนอง และคุณสมบัติต่างๆล้วนแล้วแต่เรียกได้ว่าเกือบจะสมบูรณ์แบบ
สำหรับคนที่สวมใส่อวัยวะเทียมนี้ไปแล้วสามารถเรียกได้ว่าจะกลายเป็นสุดยอดมนุษย์กลได้อย่างไม่ยากเย็น ยิ่งไปกว่านั้นวัสดุที่ห่อหุ้มอวัยวะเทียมนี้เป็นวัสดุพิเศษที่มีความใกล้เคียงกับอวัยวะทั่วไปอย่างมาก
หากไม่ใช้วิธีการตรวจสอบที่พิเศษนิดหน่อยล่ะก็จะไม่รู้เลยว่ามันแตกต่างยังไง สำหรับรุ่นนี้นั้นสามารถรับรู้ความรู้สึกได้ทั้งเรื่องของอุณหภูมิและการรับสัมผัสได้ไม่ต่างจากอวัยวะทั่วไป
หากจะให้เรียกมันว่าอวัยวะของจริงก็ไม่ได้เกินเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะให้พูดตรงๆล่ะก็ดีกว่าอวัยวะจริงด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าด้วยการที่อวัยวะเทียมเหล่านี้เป็นอวัยวะที่ต้องทำให้เหมาะสมกันไปในแต่ละคน วัสดุที่ใช้ของแต่ละคนเองย่อมไม่เท่ากัน ราคาที่ว่ามานี้จึงถือได้ว่าเป็นเพียงราคาขั้นต่ำเท่านั้น
แน่นอนว่าในการสร้างอวัยวะเทียมแต่ละรุ่นสามารถที่จะเพิ่มเติมฟังชั่นความต้องการของแต่ละบุคคลได้เช่นเดียวกัน แต่ฟังชั่นเพิ่มเติมเหล่านั้นก็จะทำให้เกิดราคาที่สูงต่ำแตกต่างกันไป
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอวัยวะเทียมของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯระดับทั่วไปกับระดับดีและระดับดีกับระดับสุดยอดถึงได้มีราคาห่างกันมากนัก
ถึงแม้จะบอกว่าราคานี้มันสูงมากจนยากที่จะยอมรับได้ แต่พวกเขาสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าพวกมันนั้นคุ้มค่าอย่างแน่นอน
เพียงยังไม่จบการแถลงเปิดตัวผลิตภัณฑ์อวัยวะเทียมของกลุ่มทุนห้วงเวลา ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนได้รับโทรศัพท์มาอย่างไม่ขาดสายเพื่อที่จะต้องการสวมใส่อวัยวะเทียมเหล่านี้
สำหรับเหล่านักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทเทียมและชาวเน็ตทั้งหลายที่ได้เห็นอวัยวะเทียมเหล่านี้ต่างก็ทำได้แต่เพียงหัวหมุนกันไปหมด
แต่กับเหล่าผู้คนที่สูญเสียอวัยวะไปแล้วนั้น การแถลงผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลานี้เปรียบได้ดั่งโอกาสที่พระเจ้ามอบให้
ในประเทศจีนนั้นมีคนที่เกิดมาพิการแต่กำเนิดอยู่ที่สองล้านคนเป็นอย่างน้อย แต่กับเหล่าผู้ที่ต้องสูญเสียอวัยวะไปนั้นกลับมีมากกว่ายี่สิบล้านคน
ในหมู่ผู้พิการเหล่านี้มีหลายๆคนที่ต่อให้พิการแต่พวกเขานั้นก็ยังพยายามหาเงินมารักษาตัวเองให้สามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างปกติต่อให้ต้องทำงานหนักกว่าคนทั่วไปสิบเท่าก็ยอม จึงไม่แปลกที่จะมีคนสนใจที่จะใส่อวัยวะเทียมเหล่านี้อย่างรวดเร็ว
สำหรับเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้โรงพยาบาลต้องวุ่นวายแต่อย่างใด พวกเขานั้นได้เตรียมการพื้นที่ผ่าตัดเฉพาะ รวมถึงมีการฝีกฝนเหล่าแพทย์ให้มีความพร้อมในการผ่าตัดไว้อยู่แล้ว
ด้วยการที่เตรียมตัวไว้เป็นอย่างดีทำให้พวกเขานั้นต้องรู้สึกร้อนรนมากนัก ถึงแม้ว่าการผ่าตัดอวัยวะเทียมรุ่นทั่วไปของซูจิ้งนี้จะไม่ได้อยากเย็นอะไรนัก
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับจำนวนคนไข้ที่พวกเขาคาดการณ์ว่าต้องการเข้ารับการผ่าตัดแล้วทำให้พวกเขาไม่กล้าประมาทแต่อย่างใดนี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเขานั้นเตรียมตัวไว้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่างานแถลงเปิดตัวผลิตภัณฑ์อวัยวะเทียมของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯนี้ยังสร้างอีกผลกระทบหนึ่ง นั่นก็คือยอดขอยอวัยวะเทียมของบริษัทอื่นที่ดิ่งลงเหวในทันทีทันใด
หากจะให้พูดล่ะก็ ตอนนี้ยอดขายของอวัยวะเทียมของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯพุ่งสูงขึ้นเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้ เรียกได้ว่ากวาดล้างบริษัทอื่นทั่วโลกให้พ้นทางได้ด้วยการเปิดตัวเพียงครั้งเดียว
ด้วยเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดแบบนี้ทำให้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายสาขาเองก็ไม่กล้าที่จะไม่สอดมือพูดถึง ทำได้แค่เพียงมองดูเฉยๆเท่านั้น
GGS:บทที่ 1013 มือถือแห่งกาลเวลา
“ซูจิ้งมันทำได้ยังไงกัน หมอนั่นมีธุรกิจมากมายอยู่แล้ว ไม่มีทางเลยที่จะแบ่งเวลาในการวิจัยด้านอวัยวะเทียมนี่นา แล้วอยู่ๆทำไมหมอนั่นก็ได้สร้างอวัยวะเทียมได้ล้ำซะขนาดนั้น”
ชายหนุ่มหน้าหล่อที่กำลังรายงานผ่านโทรศัพท์มาให้ฮัวหยุนชูฟังนั้นอดไม่ได้ที่จะโวยวายออกมา เขาเรื่องรู้สึกว่าเรื่องอวัยวะเทียมนี้มันเป็นวิกฤตพวกเขาอย่างมาก
นั่นก็เพราะว่าขนาดเรื่องยากๆอย่างอวัยวะเทียมยังทำได้ล้ำหน้าขนาดนี้ เรื่องสมาร์ทโฟนตัวใหม่ที่ซูจิ้งพัฒนาก็ไม่น่าจะต่างกันสักเท่าไหร่
“เฮ้อ….เรื่องนี้มันเหนือความคาดหมายของฉันไปจริงๆ” ฮัวหยุนชูอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา แต่ทันใดนั้นอยู่ๆก็ราวกับว่ามีแสงหนึ่งวาบเข้ามาในดวงตา
เขาได้ตอบโทรศัพท์ไปว่า “เรื่องนั้นช่างมัน ยังไงซะเรื่องอวัยวะเทียมนี่ก็เป็นเรื่องที่หมอนั่นน่าจะเก่งอยู่แล้วนี่นา(เพราะเป็นหมอเทวดา)
แต่ยังซะกับโทรศัพท์นี่มันต่างกันอย่างสิ้นเชิงนี่นะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าสมาร์ทโฟนของหมอนั่นที่แบ่งเวลาไปวิจัยแบบนั้นจะดีไปกว่าสมาร์ทโฟนของพวกเรา ฉันเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ของพวกเรา”
“มันก็จริงครับ ที่พวกเราเตรียมตัวไว้ดี แต่ผมว่าพวกนั้นก็คงไม่แพ้กัน พวกนั้นพร้อมที่จะผลิตจำหน่ายในทันทีแถมความรวดเร็วในการผลิตผมคิดว่าย่อมเร็วอย่างแน่นอน
นี่แสดงให้เห็นว่าไม่เพียงพวกนั้นจะเตรียมตัวไว้ดีเพียงอย่างเดียว แต่พวกนั้นยังทุ่มเงินไปจำนวนมาก แสดงว่าพวกเขานั้นมั่นใจในผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนเช่นเดียวกัน” หนุ่มหล่อพูดออกมา
“หึหึหึ มันก็จริง ก็ถือได้ว่าเป็นคู่แข่งที่ดีล่ะนะ” ฮัวหยุนชูพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขานั้นมั่นใจในสมาร์ทโฟนที่บริษัทของเขาพัฒนาขึ้นมาอย่างมาก
เขาเชื่อว่าไม่เพียงสมาร์ทโฟนของเขาจะนำหน้าซูจิ้งแต่ต้องเหนือล้ำกว่าแบรนด์ใหญ่ๆได้อย่างง่ายดาย
หลังจากงานแถลงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ซูจิ้งยังคงวุ่นอยู่กับการจัดการขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศภายในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯของเขา
ถึงแม้ว่าเขาจะมีเรื่องหลายๆอย่างต้องจัดการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอวัยวะเทียม สมาร์ทโฟน และผลิตภัณฑ์อื่นๆอีก แต่ตัวเขาประเมินแล้วว่าสามารถมอบให้คนอื่นทำแทนได้ จึงเลือกที่จะมาทำสิ่งที่เขาเป็นคนเดียวที่ทำได้ดีกว่า
หลังจากงานแถลงเปิดตัวอวัยวะเทียมไปแล้ว ซูจิ้งไม่ได้เผยตัวให้ใครเห็นอีกจนกระทั่งถึงงานวันเปิดตัวสมาร์ทโฟน
และในวันเดียวกันนี้เองก็เป็นวันเปิดตัวสมาร์ถโหนของอีกแบรนด์หนึ่งที่มีชื่อว่ารุยจิน แบรนด์อยู่ภายใต้สังกัดของฮัวหยุนชู และเขาได้เลือกที่จะเปิดตัดหน้าซูจิ้งเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
แต่ถึงแม้ทางฝั่งของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯจะรับทราบข้อมูลอยุ่แล้วแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีร้อนรนหรือตอบสนองแต่อย่างใด ราวกับว่าใครจะว่ายังไงก็ไม่สน
“แม่…เอ๊ย โทรศัพท์สมาร์ทโฟนสองข่ายเปิดตัววันเดียวกัน วันนี้มันฤกษ์งามยามดีรึไงกัน”
“ฉันรู้จักพ่อของฮัวหยุนชูนะ พ่อของเขาเป็นคนที่รวยที่สุดคนหนึ่งของประเทศ ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นอัจฉริยะทางธุรกิจคนหนึ่งและทำเงินได้มากตั้งแต่อายุยังน้อย
พวกของเขาได้สำรวจการตลาดในกลุ่มสมาร์ทโฟนและได้พัฒนาสมาร์ทโฟนของตัวเองมานานมากแล้ว เรียกได้ว่าเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี
แต่กับซูจิ้งนี่ฉันว่าเขาเพิ่งจะเข้ามาสนใจตลาดสมาร์ทโฟนเมื่อไม่นานมานี้เองนะ”
“ในเรื่องแบบนี้การวิจัยการตลาดให้ดีก่อนทำอะไรขายสำคัญก็จริง ถึงฟังๆดูแล้วโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุยจินของฮัวหยุนชูจะดูน่าใช้ แต่ยังไงฉันก็ยังรู้สึกว่าครั้งนี้ซูจิ้งก็จะชนะอยู่ดี”
“ฉันก็เหมือนกัน ฉันรู้สึกได้เลยว่าถึงแม้ฝั่งของซูจิ้นจะดูมีเวลาเตรียมตัวน้อยไปหน่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมว่าเขานั้นจะปล่อยของดีออกมาอีกแน่ๆ”
“ก็ใช่ว่าฉันจะไม่รู้เหตุผลนะว่าทำไมนายถึงคิดแบบนั้น นายก็แค่กำลังตกตะลึงกับผลิตภัณฑ์ที่มาจากบริษัทของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯเท่านั้นเอง โดยเฉพาะกับผลิตภัณฑ์ตัวล่าสุด เจ้าอวัยวะเทียมพวกนั้นมันสุดยอดมากจริงๆ ไม่แปลกหรอกที่นายจะรู้สึกแบบนี้”
“แต่ฉันก็ไม่ได้หวังอะไรมากนักนะ ฉันรู้ดีว่าระบบประสาทเทียมนั่นกับสมาร์ทโฟนนี่มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฉันเลยคิดว่าโทรศัพท์ของทั้งสองแบรนด์นี้จะไม่ต่างกันเท่าไหร่”
“โอ้ ไม่ต้องคุยเรื่องนี้กันแล้ว งานเปิดตัวของรุยจินเริ่มแล้ว มีบางคนส่งช่องสตรีมมาให้ดู เรามาดูกันก่อนดีกว่า”
งานเปิดตัวโทรศัพท์สมาร์ทโฟนแบรนด์รุยจินได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ภายนอกตัวโทรศัพท์นั้นดูธรรมดาไม่ได้มีลูกเล่นอะไร แต่ภายในนั้นมีลูกเล่นมากมาย
จุดเด่นของโทรศัพท์นี้อยู่ที่ประสิทธิภาพในการทำงานและลูกเล่นที่หลากหลาย ค่าประสิทธิภาพได้ถูกวัดให้ดูและค่าของพวกมันนั้นอยู่ในระดับดีมากในทุกด้าน
ส่วนราคาของมันนั้นไม่สูงมากนักและยังรองรับการลงโปรแกรมได้หลากหลายรูปแบบ และทางบริษัทเป็นเจ้าแรกที่กล้ารับประกันการใช้งานมากกว่าหนึ่งปีครึ่ง
นี่ทำให้เหล่าผู้ชมทีเห็นทั้งตรงเวทีและในช่องสตรีมค่อนข้างตื่นเต้น ถือได้ว่าเป็นการเปิดตัวที่ค่อนข้างจะถือได้ว่าสำเร็จเป็นไปได้ด้วยดี
“นี่ได้เวลาที่กลุ่มทุนห้วงเวลาฯจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนรึยัง” ฮัวหยุนชูที่อยู่ในชุดสูทสีดำที่ส่งเสริมให้เขานั้นมีบรรยากาศของชายมาดดีออกมาได้หันไปถามหนุ่มหล่อคนหนึ่ง
จากบรรยากาศภายในงานนั้นเขาสัมผัสได้เป็นอย่างดีเลยว่างานเปิดตัวโทรศัพท์มือถือของเขานี้ประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี จนบังเกิดความรู้สึกที่ว่านี่จะนำพาให้สมาร์ทโฟนแบรนด์รุยจินของเขานั้นเป็นที่หนึ่งในประเทศนี้
ด้วยบรรยากาศแห่งชนะแบบนี้ทำให้เขานั้นอดไม่ได้ที่จะถามไปแบบนั้น
“เพิ่งจะเริ่มสตรีมครับ” หนุ่มหล่อตามออกมาอย่างเคารพ
“ในเมื่อไม่มีอะไรทำแล้วงั้นเราไปดูงานของหมอนั่นกันหน่อยก็แล้วกัน” ฮัวหยุนชูพูดจบก็ได้ออกจากงานเปิดตัวสมาร์ทโฟนของเขา
เมื่อไปถึงห้องที่อยู่ในสถานจัดงาน เขาได้เปิดคอมพิวเตอร์และนั่งดูการสตรีมของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ
แน่นอนว่าตอนนี้สิ่งที่เขาเห็นอยู่ก็คือภาพงานเปิดตัวสมาร์ทโฟนของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ ฮัวหยุนชูได้มองดูตัวเลขที่แสดงจำนวนผู้รับชมผ่านการสตรีมก็พบว่าจำนวนผู้เข้าชมของซูจิ้งมากกว่าตอนที่เขาเปิดตัวสมาร์ทโฟนเมื่อครู่นี้มากนัก
แต่เรื่องนี้เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก นั่นก็เพราะว่าตัวซูจิ้งเองก็เป็นผู้มีชื่อเสียงมากอยู่แล้ว ไม่แปลกที่คนชื่นชอบซูจิ้งจะมาติดตามเขาในทุกขณะแบบนี้
แต่ยังไงซะกับเรื่องสมาร์ทโฟนแบบนี้ใช่ว่าจะสร้างความประทับใจให้ผู้พบเห็นได้หมดทุกคนในทันที จำนวนที่มากไม่ใช่ว่าจะเป็นการประสบความสำเร็จในการขาย
ในตอนนี้ในส่วนแสดงความคิดเห็นของช่องสตรีมได้มีข้อความหลั่งไหลกันอย่างไม่ขาดสาย
“งานเปิดตัวสมาร์ทโฟนกาลเวลาจะเริ่มขึ้นแล้ว”
“งานเปิดตัวสมาร์ทโฟนแบรนด์รุยจินเพิ่งจะจบไปเอง มือถือของฝั่งนั้นดูดีมากเลยนะ”
“นั่นสิ ตอนเขาใช้ให้ดูมันดูมีสมรรถนะสูงอยู่นะ แถมคะแนนที่วัดออกมาได้ยังอยู่ในระดับสูงหมดทุกค่าเลย”
“ยิ่งไปกว่านั้นพวกนั้นยังรับประกันตัวเครื่องตั้งปีครึ่งเลยนะ ช่างใจป้ำดีจริงๆ”
“ฉันก็ได้แต่หวังว่าสมาร์ทโฟนกาลเวลาจะไม่ได้แย่กว่ากันนะ ฉันจะได้มีตัวเลือกเพิ่มขึ้นมาอีก”
“แต่เท่าที่ดูจากรูปที่เขาเผยแพร่ออกมาก่อนหน้านี้สมาร์ทโฟนกาลเวลาของซูจิ้งก็ดูดีมากเลยนะ”
“ยังไงซะภาพก็คือภาพ ไม่รู้ว่าของจริงจะเป็นยังไงบ้าง”
ในระหว่างที่ในช่องข้อความพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติอยู่นี้ พิธีกรก็ได้กล่าวเปิดงานเปิดตัวมือถือแห่งกาลเวลาขึ้น
โดยเขานั้นได้กล่าวเปิดงานแบบง่ายๆก่อนที่จะส่งไม้ต่อให้ซูจิ้ง ซูจิ้งเองก็พูดออกมาเพียงไม่กี่คำ หลังจากนั้นก็ได้นำโทรศัพท์กล่องหนึ่งขึ้นมา แพ็คเกจที่ใช้ในการบรรจุนั้นดูสวยงามอย่างมาก
ซูจิ้งได้หยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกล่องออกมา เพียงมาแค่ภายนอกก็ทำให้ผู้ได้พบเห็นมีความรู้สึกตาเป็นประกายเพราะมันสวยงามมากจริงๆ เรียกได้ว่าสวยเก๋เฉียบไม่แพ้แอปเปิ้ลเลยทีเดียว
แน่นอนว่าทั้งซูจิ้งและหวังจ้าวทุ่มเทเงินในการพัฒนาสมาร์ทโฟนของพวกเขาจำนวนมากจะให้ของที่ได้มาด้อยกว่าสมาร์ทโฟนที่อยู่ในตลาดตอนนี้ได้ยังไงกัน
แต่ในงานนี้ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับสมาร์ทโฟนในยุคสมัยนี้นั่นก็คือประสิทธิภาพอันเหนือล้ำ พวกเขาจึงได้เฝ้ามองดูอย่างใจจดใจจ่อโดยไม่ยอมโดนหลอกเพียงรูปลักษณ์ได้ง่ายๆ
ซูจิ้งเองก็เหมือนรู้ว่าทุกคนกำลังเฝ้ารออะไรกันอยู่ เขาได้ทดลองทำนู่นนี่นั่นให้ทุกคนได้ดู โดยรวมๆทุกคนยังไม่ค่อยรู้สึกถึงความแตกต่างจากสมาร์ทโฟนกาลเวลานี้สักเท่าไหร่นัก
แต่ในที่สุดแล้วพวกเขาก็พบก็อะไรบางอย่างที่สะดุดของพวกเขาจนได้ เรียกได้ว่าทำให้ทุกคนตะลึงจนแสดงสีหน้าอึ้งๆอย่างโง่งมออกมาได้เลย
“สวัสดี นี่คือไอฉิง โปรดเรียกเพศให้ไอฉิงด้วย” สมาร์ทโฟนของซูจิ้งได้ส่งเสียงแนวอิเล็กทรอนิกส์ออกมาทำให้บอกไม่ได้ว่าเป็นชายหรือหญิง
“ผู้หญิง” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ค่ะ จะให้เรียกคุณว่าอะไรดีคะ” เสียงโทรศัพท์ที่พูดออกมาเปลี่ยนเป็นเสียงของหญิงสาวงาม
“เรียกฉันว่าเจ้านาย” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ค่ะเจ้านาย ที่นี้โปรดเรียกชื่อของฉันด้วยค่ะ” สมาร์ทโฟนยังคงพูดต่อไป
“จิงยี่” ซูจิ้งพูดตอบ
“เรียนเจ้านายค่ะ เสียงของคุณถูกบันทึกเอาไว้ในระบบจดจำเสียงเรียบร้อยร้อย ตอนนี้ฉันจะฟังเพียงคำสั่งของเจ้านายเพียงเท่านั้น” เสียงหญิงสาวอันนุ่มนวลยังคงพูดออกมา
แต่ในตอนนี้เหล่าผู้ชมทั้งในงานและผ่านช่องสตรีมต่างก็อึ้งกันไปหมด พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ที่พวกเขารับรู้ได้ในตอนนี้ก็คือนี่เป็นระบบตอบสนองอัจฉริยะจากคำพูดที่น้ำเสียงดูดีราวกับเป็นคนจริงๆเท่านั้น
เอาจริงๆแล้วระบบนี้สมควรจะทำมาเพียงแข่งกับระบบศิริของแอปเปิ้ลอย่างแน่นอน
แต่เมื่อทุกคนได้มองเห็นและสังเกตสิ่งที่ซูจิ้งทำอย่างต่อเนื่องก็จะรู้ได้ในที่สุดว่าระบบของซูจิ้งนั้นจะจดจำเพียงเสียงของคนแรกที่ระบบได้จดจำไว้เท่านั้น
แถมยังเลือกที่จะตอบสนองต่อเสียงของเจ้าของเพียงอย่างเดียวต่อให้ในระหว่างที่พูดจะมีเสียงของคนอื่นปะปนอยู่ด้วยก็ตาม นี่คือสิ่งที่แตกต่างและยากจะทำได้ แม้แต่ศิริก็ยังไม่สามารถทำได้เลย
GGS:บทที่ 1014 ระบบอัจฉริยะ(1)
“นี่มันอะไรกัน นี่คือระบบควบคุมด้วยเสียงอัจฉริยะของสมาร์ทโฟนกาลเวลา(ชิเจียนโชวจิ)เหรอ”
“ก็ไม่น่าประหลาดใจเท่าไหร่นะ เดี๋ยวนี้สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่เขาก็มีกันหมดอยู่แล้ว
แถมยังมีแอพพลิเคชั่นเฉพาะอย่างเช่นไป่ตู้และฮงเฟยนั่นอีก มันก็เหมือนกับเนื้อไก่นั่นแหละที่หาเจอได้อย่างง่ายๆ
ฉันว่าเราควรจะดูที่ระบบภายในดีกว่าที่จะมานั่งสนใจระบบควบคุมด้วยเสียงแบบนี้”
“แต่…โทรศัพท์หมดจดจำเอกลักษณ์เสียงของเจ้าของเครื่องได้เลยนะ”
“ฉันว่าเป็นไปไม่ได้หรอกนะเรื่องนั้น”
“มันก็แค่สมาร์ทโฟนเองนา…จะไปแยกเสียงคนออกได้ยังไงกัน”
“ซูจิ้งไม่มีทางที่จะโชว์ของแบบนี้มาเล่นๆแน่ๆ เขาจะโง่พอที่จะทำอย่างนั้นเลยเหรอ”
“ถ้าจะให้เรียกว่าระบบอัจฉริยะฉันก็ว่าไม่เกินเลยแม้แต่น้อยเลยนะนั่น”
ก็ไม่แปลกแต่อย่างใดที่ความเห็นของเหล่าผู้ชมงานแตกกระสานส่านเซ็นแบบนี้ สิ่งที่เรียกว่าระบบคำสั่งเสียงอัจฉริยะนั้นโดยปกติแล้วจะเข้าใจเพียงคำสั่งที่ถูกสั่งมาเท่านั้น
แต่กับการจดจำเสียงของผู้คนนี่ถือได้ว่าเป็นความอัจฉริยะในอีกระดับหนึ่งไปเลย โดยทั่วไปแล้วเสียงของแต่ละบุคคลนั้นจะมีความต่างไม่มากนัก
จะเรียกให้ถูกก็คือไม่ต่างจนจับจุด มันไม่เหมือนกับการสแกนลายนิ้วมือที่เป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจน จึงบอกได้ว่าการแยกแยะเสียงของแต่ละบุคคลเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
เอาจริงๆขนาดคนด้วยกันเอง บางครั้งยังแยกกันไม่ออก นับประสาอะไรกับการแยกของเครื่องจัก
อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เหล่าผู้ชมงานกำลังพูดคุยกันแม้แต่น้อย เขายังคงทำนู่ทำนี่ผ่านการสั่งจิงยี่ จิงยี่เองก็ยังร้องขอซูจิ้งอย่างต่อเนื่อง
“ถัดไป ขอให้เจ้านายเลือกระบบยืนยันตัวตนระหว่างการสแกนลายนิ้วมือ การสแกนดวงตา และการสแกนใบหน้าค่ะ แน่นอนว่าเจ้านายสามารถเลือกที่จะใช้การยืนยันตัวตนเพียงหนึ่งอย่างหรือหลายๆอย่างก็ได้”
เพียงสิ้นเสียงนี้เหล่าผู้ชมต่างมึนงงกันไปหมด เพียงแค่การสแกนลายนิ้วมือนั้นถึงแม้จะไม่แปลกใหม่แต่ก็ถือว่าทำได้ยากยิ่งแล้ว แต่นี่มีทั้งระบบสแกนดวงตาและสแกนใบหน้าอีกด้วย
“จดจำใบหน้า” ซูจิ้งพูด
“ได้ค่ะ โปรดวางกล้องให้ห่างจากใบหน้าในระยะห่างสิบเซนติเมตรค่ะ”
ซูจิ้งก็ทำตามอย่างว่าง่าย หลังจากเขาถือโทรศัพท์ไว้ตรงข้างหน้าของเขาห่างไปสิบเซนติเมตร ได้มีแสงไฟจากกล้องฉายออกมาเป็นระยะหลายๆครั้ง
จนในที่สุด จิงยี่ก็ได้พูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้ทำการจดใจใบหน้าเอาไว้ในระบบยืนยันบุคคลเรียบร้อยแล้ว ยินดีอย่างยิ่งที่ฉันเลือกพวกเราเหล่าโทรศัพท์กาลเวลาค่ะ”
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ จิงยี่ได้ทำการรีบูตระบบตัวเอง หลังจากนั้นระบบของโทรศัพท์ก็ได้เปิดขึ้นมา แน่นอนว่าหน้าจอของสมาร์ทโฟนกาลเวลานั้นสวยงามอย่างมาก
แต่สิ่งที่ยังคงคาใจเหล่าผู้ชมอยู่ในตอนนี้จนเก็บไว้ไม่อยู่จริงๆนั่นก็คือระบบจดจำเสียงเฉพาะบุคคลและระบบยืนยันตัวตนทั้งสามรูปแบบ
ทุกคนต่งก็สงสัยกันว่าระบบยืนยันตัวตนทั้งหมดนี้จะสามารถอยู่ในโทรศัพท์เครื่องเดียวได้จริงๆเหรอ
“หืม รู้สึกว่าทุกคนนั้นจะไม่เชื่อคำพูดของผมเลยสินะ เอาอย่างนี้ผมจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นเอง อย่างแรกเอาเป็นระบบจดจำใบหน้าก็แล้วกัน
หากใครสักคนในที่นี้สามารถเปิดโทรศัพท์เครื่องนี้ได้ด้วยระบบจดใจใบหน้าล่ะก็ ผมยินดีมอบเงินให้หนึ่งล้านหยวน” ซูจิ้งได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาได้สังเกตผู้ชมโดยรอบและก็ได้เห็นว่าทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ
นั่นก็เพราะทันทีที่ซูจิ้งพูดจบ เหล่าผู้ชมนั้นมีท่าทีตื่นเต้นกันไปหมด มีบางคนที่คิดว่าตัวเองหล่อเหลาและมีหน้าตาที่ละม้ายคล้ายซูจิ้งถึงกับแสดงความตื่นเต้นยิ่งกว่าใคร
พลางคิดไปว่าตัวเองนั้นคิดถูกจริงๆที่ได้มา เพียงแค่ยื่นหน้านิดหน่อยก็ได้เงินไปใช้หนึ่งล้านหยวนแล้ว ช่างง่ายดายจนทำให้เขานั้นรู้สึกสดชื่นขึ้นมาในทันที
ซูจิ้งยื่นสมาร์ทโฟนของเขาให้ชายหนุ่มคนหนึ่งโดยขอให้คนๆนั้นจัดการแปลงโฉมก่อน และผลก็คือ “นี่ไม่ใช่เจ้านายของฉันค่ะ โปรดอย่าแตะต้องโทรศัพท์ของเจ้านายของฉัน หากคุณพบเจอมันด้วยความบังเอิญล่ะก็คุณสามารถถือฉันได้และรอจนกว่าเจ้านายของฉันจะมารับฉันไป”
ชายหนุ่มคนนี้ยังไม่ยอมแพ้ เขาได้ลองแสกนใบหน้าดูอีกครั้ง คราวนี้จิงยี่ได้กล่าวเตือนออกมาว่า “ถ้าคุณไม่ใช่เจ้านายของฉันโปรดอย่ามาแตะต้องฉันได้ไหมคะ คุณได้ลองใช้โปรแกรมจดจำใบหน้านี้มาแล้วสองครั้ง นี่คุณตั้งใจจะรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเจ้านายของฉันจริงๆใช่รึเปล่า หากคุณทำอีกล่ะก็เราจะได้เห็นดีกัน” จิงยี่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ชายหนุ่มแม้จะได้ยินแบบนั้น เขานั้นหมดความอยากที่จะลองแสกนใบหน้าอีกต่อไป
ซูจิ้งเห็นดังนั้นก็ได้อธิบายเมเติมไปว่า “หากว่านายยังคิดจะลองอีกล่ะก็ ระบบจิงยี่จะตอบโต้นายด้วยการส่งใบหน้าของนายไปทางอินเตอร์เน็ต
หากในอนาคตเกิดอะไรขึ้นมาล่ะก็ ตำรวจจะตามหาตัวนายเป็นอันดับแรก”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอึ้งไปในทันที ถึงแม้เขาจะยังไม่เชื่อเต็มอก แต่ยังไงซะเขาก็ไม่คิดจะลองแต่อย่างใด
เขานั้นไม่อยากจะคิดเลยว่าหากเกิดเรื่องแบบนั้นจริงแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถึงแม้ว่าในครั้งนี้จะเป็นเพียงการทดลองก็ตาม
แต่เขาก็ไม่ได้มีความอยากที่จะให้หน้าตาอันโล่งโจ้งไร้สิ่งปิดบังเข้าไปอยู่ในโลกอิ้นเตอร์เน็ตเพียงเพราะเหตุผลนี้
อีกอย่างในเมื่อมันถูกส่งเข้าไปในโลกอินเตอร์เน็ตแล้วล่ะก็ ต่อให้โทรศัพท์นี้พัง ยังไงซะมันก็ไร้ความหมายอยู่ดี
เมื่อคนอื่นๆเห็นแบบนั้นต่างก็เริ่มรู้สึกไม่เชื่อขึ้นมาและได้ลองดูบ้าง ผลคือไม่ว่าใครก็ตามที่มาลองแสกนใบหน้าดูต่างก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย มันเปรียมได้ดั่งการที่หามาได้ง่ายๆแต่ใช้อะไรไม่ได้เลย
“งั้นตาฉันล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเอาหน้าของตัวเองไปจ่อไว้ที่กล้องโทรศัพท์ จิงยี่ได้แสกนใบหนาของซูจิ้ง ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็เปิดหน้าจะขึ้นมา
ฉากนี้ทำให้ผู้ชมอดไม่ได้ที่จะโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ฉันเชื่อแล้วว่าระบบจดจำใบหน้าของโทรศัพท์เครื่องนี้เจ๋งจริงๆ”
“ดูเหมือนว่าโทรศัพท์เครื่องนี้จะมีเทคโนโลยีที่สูงพอตัวเลยนะ”
“ฮ่าฮ่า แต่ยังไงซะมันก็เท่านั้นล่ะน่า ระบบนี้มันมีมานานแล้วนี่นา”
“แต่ดูๆไปแล้วมันล้ำกว่าโทรศัพท์ของเจ้าอื่นมากเลยนะ”
“ฉันกลัวแต่ว่าใช้ๆไปมันจะเออเร่อร์ซะมากกว่า เมื่อถึงตอนนั้นคงวุ่นวายดีพิลึก”
เมื่อซูจิ้งได้ยินที่เหล่าผู้รับชมพูดคุยกันแล้วเขาก็ได้อธิบายเพิ่มเติมออกมาว่า
“ผมขอรับประกันได้เลยว่าระบบจดจำใบหน้าของสมาร์ทโฟนเครื่องนี้นั้นแม่นยำอย่างมาก และผมกล้ารับประกันได้เลยว่าแม่นยำยิ่งกว่าระบบใดๆที่เคยมีมาบนโลกในตอนนี้
นอกเสียจากว่าผู้ลักลอบเปิดโทรศัพท์เครื่องนี้จะเป็นฝาแฝดแล้ว ไม่มีทางเลยที่ระบบจดจำใบหน้าของสมาร์ทโฟนเครื่องนี้จะผิดพลาด ต่อให้เจ้าของเครื่องนี้จะเติบโตขึ้น อ้วนขึ้น หรือผอมลงก็ตาม
แต่หากพวกคุณไม่แน่ใจล่ะก็คุณเองก็สามารถที่จะเลือกระบบยืนยันตัวตนอื่นได้ไม่ว่าจะเป็นการแสกนดวงตาหรือแม้แต่ลายนิ้วมือ หรือจะใช้หลายๆอย่างด้วยกันก็ยังทำได้ แล้วแต่คุณจะเลือกได้เลย
ถึงแม้ว่าบางระบบนั้นจะดูยุ่งยากไปหน่อยในครั้งแรกที่เริ่มใช้ แต่เมื่อระบบยืนยันตัวตนเหล่านี้ได้ยืนยันตัวตนของคุณเรียบร้อยแล้วล่ะก็ โทรศัพท์เครื่องนี้จะตอบสนองกับคุณเพิ่งผู้เดียวเท่านั้น และการยืนยันตัวตนในแต่ละครั้งก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งถึงสองวินาทีเท่านั้น”
ซูจิ้งยังคงทดสอบระบบให้ผู้เข้าชมภายในงาน โดยในครั้งนี้เป็นการทดสอบระบบแสกนลายนิ้วมือและแสกนดวงตา และผลที่ออกมาก็คือไม่มีใครเลยสักคนที่จะเปิดโทรศัพท์นี้ได้นอกจากซูจิ้งคนเดียวเท่านั้น
นี่เท่ากับว่าเป็นการรับรองประสิทธิภาพของระบบยืนยันตัวตนทั้งสามเรียบร้อยแล้ว
“ต่อไป ถัดไปเรามาลองระบบยืนยันตัวตนด้วยเสียงก็แล้วกันนะครับ เอาอย่างนี้แล้วกัน หากใครก็ตามที่สามารถเรียกให้โทรศัพท์ของผมสามารถตอบรับได้ล่ะก็ ผมให้คุณไปเลยหนึ่งล้านหยวน”
เมื่อพูดจบ ซูจิ้งได้ส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้ผู้ชมอีกครั้ง และผู้ชมต่างก็พยายามที่จะสั่งโทรศัพท์ของซูจิ้งแต่ก็ไม่ได้ตอบสนองแต่อย่างใด
“จิงยี่” อยู่ๆซูจิ้งก็พูดขึ้นมา
“ค่ะเจ้านาย เจ้านายต้องการอะไรคะ” สมาร์ทโฟนของซูจิ้งตอบรับเสียงของซูจิ้งทั้งที่ยังอยู่ในมือของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังโหวกเหวกโวยวายอยู่ น้ำเสียงที่นุ่มนวลเย้ายวนใจ
ฉากที่เห็นนี่เรียกเสียงตกตะลึงไปจนทั่ว ต่างตกตะลึงว่าสมาร์ทโฟนของซูจิ้งนี้สามารถแยกแยะเสียงบุคคลได้จริงๆ
ซุจิ้งกลัวว่ายังมีคนไม่เชื่อเขาอยู่จึงได้ทดลองอีกครั้งและผลที่ได้ก็ยังเหมือนเดิม
“ฉันว่าฉันคงต้องถอนคำพูดแล้วแหะ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าสมาร์ทโฟนของซูจิ้งสามารถแยกแยะเสียงที่ใช้ในการยืนยันตัวตนได้จริง”
“นี่ไม่ใช่ว่าจะเหนือล้ำกว่าระบบศิรินั่นหรอกเหรอ”
“ไม่ว่าจะน้อยหรือมากกว่าก็ช่าง ตอนนี้ฉันชอบสมาร์ทโฟนเครื่องนี้เข้าให้แล้วจริงๆ ตอนฉันใช้ศิรินั้นมันให้ความรู้สึกเหมือนฉันคุยกับหุ่นยนต์รับฟังชาวบ้านเขาไปทั่ว
แต่พอเห็นเจ้าเครื่องนี้ที่ฟังแต่เสียงของเจ้าของเครื่องนี่มันทำให้ฉันรู้สึกสุดยอดยังไงก็ไม่รู้”
“นี่…” ชายหนุ่มหล่อที่ได้เห็นสื่งที่ซูจิ้งทำในงานแถลงเปิดตัวโทรศัพท์ทำให้รู้สึกได้ถึงภัยอันตรายจากผลิตภัณฑ์ของซูจิ้งขึ้นมาในทันที
พอคิดว่านี่เป็นเพียงแค่ช่วงเริ่มต้นของงานเปิดตัวนี้เท่านั้นแต่สมาร์ทโฟนกาลเวลาก็เรียกเสียงฮือฮาให้กับผู้ชมได้อย่างมาก โดยใช้แค่การลองใช้ระบบยืนยันตัวตนเท่านั้น เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขารู้สึกถึงลางร้ายขึ้นมาได้ในหัวใจเลยทีเดียว
“เหอะ สมาร์ทโฟนที่ดีเขาไม่เห็นจะต้องมานั่งแสดงระบบยืนยันตัวตนให้ใครเค้าดูกันแบบนี้หรอกเว้ย มันโคตรจะเป็นระบบที่ไร้ประโยชน์เลยแถมยังยัดเอาไว้ตั้งสี่รูปแบบอีก
ฉันอยากรู้จริงๆว่าสมาร์ทโฟนของแกจะมีพื้นที่เหลือสักเท่าไหร่กัน เท่าที่ดูนี่คงจะทำอะไรได้ไม่ต่างจากนาฬิกาข้อมือแน่ๆ” ฮัวหยุนชูกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
เขาไม่เชื่อว่าสมาร์ทโฟนกาลเวลาเครื่องนี้จะเหนือล้ำยิ่งกว่าสมาร์ทโฟนของแอปเปิ้ล การมีลูกเล่นแบบนี้อยู่มากมายนั้นแน่นอนว่าย่อมทำให้ระบบภายในมีอาการรวนบ้างอย่างแน่นอน
แถมระบบแบบนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ไปมากมายขนาดนี้ นี่เท่ากับว่าใส่ไว้เรียกความสนใจเฉยๆ
ยกตัวอย่างเช่นสมาร์ทโฟนสมัยก่อนที่สามารถดูหนังโดยการฉายภาพไปที่กำแพงได้ ระบบนี้มันดูหรูเลยก็จริงแต่พอเข้าจริงๆกลายเป็นว่าภาพไม่ชัดจึงไม่ได้รับความนิยมแต่อย่างใด
ทำให้ไม่นานนักระบบนี้ก็ถูกยุบทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ฮัวหยุนชูเองก็คิดว่าสมาร์ทโฟนกาลเวลาเครื่องนี้คงจะมีระบบอย่างอื่นที่ด้อยประสิทธิภาพอย่างแน่นอน
GGS:บทที่ 1015 ระบบอัจฉริยะ(2)
เพียงแค่ผู้ชมได้ทดสอบระบบยืนยันตัวตนก็ทำให้พวกเขานั้นรู้สึกประทับใจกันไปทั้งงานเรียบร้อยแล้ว นี่ยิ่งทำให้เหล่าผู้เข้าร่วมงานคาดหวังกับสมาร์ทโฟนกาลเวลายิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีก
นั่นก็เพราะว่าด้วยระบบยืนยันตัวต้นทั้งเสียง ดวงตา ลายนิ้วมือ และใบหน้า ด้วยการที่ระบบเหล่านี้ยังไม่มีใช้กันในสมาร์ทโฟนทั่วไป
หากพวกเขาซื้อไปใช้จะช่วยทำให้ผู้ที่ใช้นั้นสามารถเอามาอวดคนอื่นๆได้อย่างง่ายดาย มันก็เหมือนกับในตอนแรกที่เริ่มมีการใช้ระบบแสกนลายนิ้วมือมาใช้ในสมาร์ทโฟน
ในตอนนั้นพวกเขาแทบจะเปลี่ยนเครื่องใหม่ในทันทีโดยยังไม่ได้ดูฟังชั่นการใช้งานเสียด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะว่าธรรมชาติของมนุษย์ในสังคมนั้นมีความนิยมชมชอบได้รับสิ่งใหม่ๆเร็วกว่าใครนั่นเอง
ถึงแม้ว่าระบบเหล่านี้จะมีการใช้งานบ้างแล้วในสมาร์ทโฟนบางยี่ห้อ แต่สมาร์ทโฟนก็ยังห่างไกลจากความรู้สึกที่สมาร์ทโฟนกาลเวลามอบให้โดยสิ้นเชิง
และที่โดดเด่นเหนือใครมากที่สุดก็คือสมาร์ทโฟนกาลเวลานี้จะรับฟังแค่เพียงเจ้าของเครื่องคนเดียวเท่านั้น นี่ยิ่งทำให้เข้าตาใครหลายๆคนไปเรียบร้อยแล้ว
เพราะเมื่อเทียบกับระบบสั่งการด้วยเสียงโดยทั่วไปแล้ว ทุกระบบตอบรับทุกเสียงที่เกิดขึ้น ต่อให้มีการตั้งค่าเฉพาะอย่างการใช้คำเรียกบางอย่างเพื่อให้เป็นสัญญาณในการเตรียมรับฟังคำสั่งก็ตาม
แต่มันก็รับคำสั่งจากทุกคนที่พูดแบบเดียวกันอยู่ดี แถมยังดูยุ่งยากที่จะต้องมานั่งพูดคำเดิมๆซ้ำๆก่อนจะสั่งการเสียอีก
โดยระบบแบบนี้ทำให้เครื่องต้องทำงานหนักเพราะต้องทำงานตรวจจับคำพูดตลอดเวลา ลองนึกถึงภาพหากทุกคนนั่งอยู่บนรถไฟใต้ดินแล้วทุกคนมีมือถือไอโฟนแล้วไปกดเซ็ตปุ่มคำว่าไงศิริไว้แล้วมีคนใช้คำสั่งดูสิ
มันจะกลายเป็นว่าทุกเครื่องที่ได้ยินคำพูดนี้จะตอบรับคนๆนั้นพร้อมกันในทุกเครื่อง คงจะขนลุกดีไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่กับเรื่องนี้แล้วไม่มีทางเกิดขึ้นกับสมาร์ทโฟนกาลเวลาเครื่องนี้อย่างแน่นอน ด้วยระบบจดจำเสียงนี้ไม่มีทางเลยที่ใครจะสามารถใช้งานมันได้นอกจากเจ้าของมันจริงๆ
“ในส่วนเรื่องของประสิทธิภาพนั้น ทางกลุ่มทุนได้นำโทรศัพท์นี้ไปทดสอบแล้วอย่างเป็นทางการ ผลที่ได้ออกมาอยู่ในระดับดีเยี่ยมในทุกๆค่าที่มีการวัด และทางบริษัทก็ได้เผยแพร่ผลการทดสอบไว้ที่เว็บไซต์ทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพราะฉะนั้นผมจะไม่พูดอะไรให้มากความ
ตอนนี้เรามาทำความรู้จักนวัตกรรมใหม่ที่ทางกลุ่มทุนห้วงเวลาฯได้พัฒนาเพื่อเอาไว้ใช้กับโทรศัพท์เครื่องกันดีกว่า
อย่างแรกคือระบบปัญญาประดิษฐ์และอย่างที่สองคือแบตเตอรี่ ในส่วนระบบปัญญาประดิษฐ์นี้ ทางผมเรียกมันว่าไอฉิง
ผมจะแนะนำระบบไอฉิงนี้ให้ทุกคนได้รู้จักกันก่อน หลังจากนั้นผมจะแนะนำระบบต่างๆของโทรศัพท์เครื่องนี้ให้ทุกคนได้รู้จัก
และเพื่อที่จะแสดงความยอดเยี่ยมของไอฉิงให้ทุกคนได้รับรู้ ผมจะขอสั่งการทุกอย่างด้วยเสียง” ทันทีที่ซูจิ้งสิ้นสุดประโยคนี้ ผู้ชมทั้งหลายแทบจะลุกฮือกันในทีเดียว
ทุกคนต่างสบตากันพลางคิดกันไปว่าได้ยินผิดไปรึเปล่า นี่เขาจะใช้เพียงคำสั่งเสียงจริงๆเหรอ
“ถ่ายรูป” ซูจิ้งพูด
“ได้ค่ะ” ไอฉิงขานรับและเปิดโปรแกรมถ่ายรูปในทันทีและถ่ายรูปออกมาอย่างรวดเร็ว เวลาทั้งหมดที่ใช้เพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น นี่ทำให้เหล่าผู้ชมต่างก็ตาเป็นประกาย
“ปรับแต่งแสงให้มืดลงหน่อย แล้วโฟกัสผู้หญิงเสื้อแดงคนนั้น ช่ายยยยคนนั้นแหล่ะ อ้อ ช่วยลบริ้วรอยบนหน้าผากของเธอด้วยนะแต่ไม่ต้องเปิดโหมดถ่ายรูปสวยล่ะ รูปจะได้สมจริง” ซูจิ้งได้สั่งการโทรศัพท์ของเขาทีเดียวต่อเนื่องด้วยประโยคพูดทั่วไปจนทำให้เหล่าผู้เข้าชมงานถึงกับมองด้วยท่าทีเหวอๆ
แต่ไอฉิงเองกลับทำตามที่ซูจิ้งสั่งได้แทบจะในทันทีแบบคำต่อคำโดยไม่มีคำถามอะไรเพิ่มเติม หลังจากนั้นก็ได้ถ่ายรูปออกมาและนั่นเป็นรูปที่สวยมากจริงๆ
“ถ่ายรูปฉันให้หน่อยสิ” ซูจิ้งพูดออกมาทำให้ไอฉิงเปลี่ยนเป็นระบบกล้องหน้าและทำการถ่ายรูปซูจิ้งอย่างไว
หลังจากนั้นซูจิ้งวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะก่อนที่จะก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนที่จะหยูดเท้าและเต๊ะท่าถ่ายรูปไว้ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ถ่าย” ไอฉิงก็ทำการถ่ายรูปไปหนึ่งที
หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้เปลี่ยนท่าแล้วก็พูดขึ้นมาว่า “ถ่าย” ไอฉิงก็ได้ถ่ายรูปมาอีกรูปหนึ่ง คราวนี้ซูจิ้งได้เปลี่ยนท่าอีกครั้งหนึ่ง เป็นคราวนี้ที่ไอฉิงได้พูดทักออกมาว่า “เจ้านายคะ ตอนนี้หน้าของเจ้านายเลยเลนส์กล้องไปแล้วครึ่งหนึ่ง ยังจะให้ถ่ายต่อรึเปล่าคะ”
“อืม เอาอย่างนั้นแหล่ะ แต่ว่าคราวนี้ถ่ายภาพเป็นโทนขาวดำ” ซูจิ้งพูดออกมา
“แบบนี้เหรอคะ” ไอฉิงได้เปลี่ยนรูปถ่ายออกมาได้ให้กลายเป็นรูปขาวดำในทันที
“อืมมมม… ลองเพิ่มให้แสงเงาดูมีมิติมากกว่านี้สักหน่อยดีกว่านะ เอาแบบให้หน้าของฉันดูมิติรอยขึ้นมาจากภาพให้ดูเด่นๆน่ะ ส่วนฉากหลังก็เอาเป็นเหลือทิ้งไว้เฉพาะหนังสือบนโต๊ะนี่ ส่วนอื่นก็จัดการเบลอไปให้หมดเลยก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“แบบนี้?” หลังจากเสร็จสิ้นคำพูดของซูจิ้ง ไอฉิงก็แสดงภาพที่ปรับแต่งแล้วให้ซูจิ้งดูอย่างไว
“ใช่ นั่นแหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“คลิ๊ก” ไอจิ้งได้ย้ายภาพดังกล่าวเอาไว้ในอัลบั้มภาพถ่ายขาวดำ
เหล่าผู้คนที่ได้เห็นฉากนี้ต่างก็โง่งมกันไปหมด ถึงมันจะเป็นเพียงการแสดงประสิทธิภาพของกล้องถ่ายรูปเท่านั้น
แต่ฉากการสนทนากันระหว่างซูจิ้งและไอฉิงนั้นทำให้ทุกคนราวกับต้องมนต์สะกด ถึงแม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรก็จริงแต่มันก็แฝงไว้ซึ่งความรู้สึกล้ำยุคอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่ฮัวหยุนชูที่ก่อนหน้านี้ยังมีใบหน้าสบายๆ ในตอนนี้หน้าตาของเขาได้แข็งค้างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“โทรหาเบอร์ 10086 ให้หน่อยสิ”
“ได้ค่ะ” ไอฉิงได้ต่อสายเบอร์ 10086 ในทันที หลังจากนั้นซูจิ้งได้ทำการเปลี่ยนแพคเกจการโทรของโทรศัพท์เป็นแบบสามสิบหยวนด้วยตัวเอง
ตอนแรกทุกคนก็คิดว่าในส่วนการโทรนี้หมดแล้ว แต่ทันใดนั้น ซูจิ้งก็ได้พูดขึ้นว่า
“จิงยี่ เปลี่ยนแพคเกจโทรศัพท์ของฉันเป็น 58 หยวน”
“ได้ค่ะ” ไอฉิงได้ทำการโทรออกไปยังเบอร์ 10086 อีกครั้งต่อหน้าผู้คนที่กำลังจับจ้องและฟังเสียงอยู่
ไอฉิงได้ทำการเข้าพูดคุยกับโอเปอเรเตอร์เพื่อขอเปลี่ยนแพคเกจโทรศัพท์ได้อย่างง่ายดายโดยที่อีกฝ่ายคิดเพียงว่าเป็นสาวสวยโทรไปหาจนอดชมเสียงของไอฉิงไม่ได้เลยทีเดียว
ซูจิ้งยังสั่งให้ไอฉิงเปิดQQ วีแชท เว็บไซต์ เกม และทำอย่างอื่นๆอีกมากมายด้วยเพียงการพูดคุยกัน นอกจากนี้อย่างการพูดคุยกันผ่านช่องแชต ไอฉิงก็สามารถเปลี่ยนคำพูดของซูจิ้งให้เป็นตัวอักษรได้อย่างแม่นยำ
หรืออย่างตอนเล่นเกม ซูจิ้งให้ไอฉิงทำการเล่นเกมให้เขาแทน ซึ่งไอฉิงก็ทำได้อย่างดี ไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย
และที่สำคัญที่สุดคือในตอนนี้ทุกคนเริ่มสังเกตเห็นแล้วว่าซูจิ้งเปิดแอพฯไว้มากมายโดยไม่ได้ปิดแอพฯเหล่านั้นลงเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาเพียงแค่เรียกใช้งานแอพฯอื่นเลยโดยไม่ใส่ใจที่จะปิดแอพฯพวกนี้ก่อน
“เช็คตารางงานของฉันอาทิตย์นี้หน่อยสิ” ซูจิ้งพูดออกมา
“เจ้านายไม่มีตารางอะไรนะคะ” ไอฉิงพูดออกมา
“งั้นลงไว้ว่าวันนี้ตอน 10.20 ฉันมีประชุมสำคัญ และเวลา 10.22 ฉันต้องไปร่วมงานวันเกิดแฟนของฉัน”
ผุ้เข้าชมในงานต่างก็ดูนาฬิกาของตัวเองก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลา 10.19 แล้ว ซูจิ้งนั้นต้องการแสดงให้เห็นศักยภาพอีกหนึ่งอย่างของไอฉิง ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องจริงแต่นี่ก็แสดงให้เห็นความสามารถของไอฉิงได้อยู่ดี
เมื่อถึงเวลา 10.20 ไอฉิงได้พูดขึ้นมาว่า “เจ้านายคะ ตอนนี้ 10.20 แล้ว ได้เวลาแล้วค่ะ”
ซูจิ้งแสร้งทำเป็นไม่มีท่าทีตอบสนองแต่อย่างใด ไอฉิงก็ยังเรียกซูจิ้งอยู่ซ้ำๆ จนกระทั่งซูจิ้งพูดขึ้นมาว่า “เตือนฉันโดยการใช้เพลงเตือนในทุกวันโดยใช้เพลงจากอัลบั้มที่ฉันชอบที่สุดนะ”
“ได้ค่ะเจ้านาย” หลังจากนั้นเพียงหนึ่งนาที ไอฉิงได้แจ้งเตือนซูจิ้งว่าจะมีประชุมสำคัญ ตามมาด้วยเสียงเตือนให้ไปร่วมงานแต่ง โดยทุกเสียงเตือนนั้นมีดนตรีประกอบที่ไม่ซ้ำกันเลย
“ฉันมีธุระต่างเมืองแหะ อีกสามวันหลังจากนี้ฉันต้องไปหางโจวน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ฉันขอถามเจ้านายค่ะว่าเจ้านายจะเลือกวิธีการเดินทางแบบไหนดีคะ ตอนนี้ฉันเจอวิธีการไปหางโจวได้แก่เครื่องบิน รถไฟ และรถยนต์” ไอฉิงพูดออกมาพร้อมทั้งแสดงเส้นทางต่างๆที่ได้พบให้ดู
“ไปด้วยเครื่องบินเที่ยวแปดโมงเช้าก็แล้วกัน ขึ้นเครื่องที่สนามบินจงหยุนนะ ปลุกฉันตอนหกโมงเข้า” ซูจิ้งพูดออกมา
“รับทราบค่ะ” ทันทีที่ไอฉิงพูดจบก็ได้ทำการเข้าระบบจองเที่ยวบินในทันที ตอนนี้เหลือเพียยงแค่ให้ซูจิ้งทำการยืนยันและจ่ายเงินเท่านั้น
“ก็อย่างทีเห็นกัน สิ่งที่ฉันแสดงให้ทุกคนได้เห็นเมื่อสักครู่นี้คือระบบพื้นฐานของระบบปัญญาประดิษฐ์ที่อยู่ในสมาร์ทโฟนกาลเวลาเครื่องนี้ ทีนี้ หากใครมีคำถามสงสัยสามารถถามออกมาได้เลยนะครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มในขณะที่มองไปรอบๆ
เหล่าผู้ชมทั้งหลายต่างก็มีใบหน้าโง่งมกันไปหมดทั้งที่อยู่ในงานและดูผ่านการสตรีม วกเขานั้นเงียบกันไปนานมาก เสียงที่เกิดขึ้นมีเพียงเสียงของการพยายามกลืนน้ำลายเท่านั้น
หลังจากเงียบกันไปอีกพักใหญ่ อยู่ๆก็ได้มีเสียงบราโว่ลั่นงาน พวกเขาไม่มีใครสงสัยอะไรหรอก ที่เงียบกันไปก็แค่ตกตะลึงก็เท่านั้นเอง
GGS:บทที่ 1016 สุดแสนจะทนทาน
เหล่าผู้ชมในงานและผู้ชมที่กำลังดูผ่านสตรีมต่างก็ตื่นเต้นกันไปหมด
“แม่…เอ๊ย โคตรอัจฉริยะ”
“ไม่เกินไปเลยที่จะเรียกระบบนี้ว่าระบบอัจฉริยะ”
“มหัศจรรย์อะไรเช่นนี่ มันทรงพลังยิ่งกว่าไอโฟนเสียอีก”
“สมาร์ทโฟนของแอปเปิ้ลนั่นน่ะเหรอ ฉันเกรงว่าน่าจะโดนเหยียบจมดินจนแงะไม่ออกอย่างแน่นอน”
“เมื่อกี้นายได้สังเกตรึเปล่าว่าคำพูดที่ซูจิ้งใช้นั้นไม่ใช่คำพูดภาษามาตรฐาน(จีนกลาง)น่ะ ระบบไอฉิงนั่นแค่ถามยืนยันในตอนแรกเท่านั้นเอง หลังจากนั้นระบบไม่เคยถามอะไรอีกเลยนะ
นี่หมายความว่าไอฉิงสามารถเรียนรู้ได้ด้วย ถึงตอนแรกจะไม่มีใครสังเกตก็เถอะแต่ฉันคิดว่าต้องมีคนรู้สึกแบบเดียวกับฉันอย่างแน่นอนว่าไอฉิงสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
คงมีแต่โทรศัพท์เครื่องนี้ล่ะมั้งที่สามารถสั่งการด้วยเสียงได้โดยไม่ต้องสนใจเรื่องสำเนียงภาษาจีนที่ไม่ใช่จีนกลางอีกต่อไป”
“ไม่เพียงเท่านั้นนะ ตอนที่ซูจิ้งโทรออกไปที่เบอร์ 10086(เบอร์โทรคอลเซ็นเตอร์เครือข่ายโทรศัพท์) เพื่อเปลี่ยนโปรโมชั่นนั่นอีก ไอฉิงสามารถเลียนแบบ เรียนรู้ได้ แถมยังพัฒนาได้เองอีกด้วยการสั่งเปลี่ยนแพคเกจโทรศัพท์เป็น 58 หยวน นี่ยืนยันได้แล้วว่าไอฉิงเป็นระบบที่สามารถที่เรียนรู้ได้และพัฒนาเป็น”
“ที่ฉันว่าสุดยอดกว่านั้นก็คือระบบจับวัตถุ ตอนที่ซูจิ้งสั่งให้ไอฉิงโฟกัสไปยังหญิงสาวคนนั้น ไอฉิงก็ทำตามได้อย่างง่ายดาย
ตอนที่สั่งให้จับโฟกัสไปที่หนังสือนั่นก็อีก ไอฉิงสามารถแยกแยะออกได้อย่างชัดเจน ฉันว่าต่อให้เป็นอย่างอื่นก็ทำได้เหมือนกัน นี่เครื่องจักรก้าวไกลไปขนาดนี้แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“เขาถึงเรียกว่าระบบอัจฉริยะยังไงล่ะ”
ในตอนนี้หนุ่มหล่อและฮัวหยุนชูต่างก็มีใบหน้าที่โง่งมอย่างหนัก ลางร้ายที่หนุ่มหล่อรู้สึกได้ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงในที่สุด แต่จะบอกว่าเป็นเรื่องจริงก็ไม่ถูกซะทีเดียวเพราะว่านี่ร้ายแรงกว่าที่เขาเตรียมใจไว้มากนัก
ฮัวหยุนชูในตอนนี้มีสีหน้าที่เขียวจนเป็นสีน้ำเงินเข้มไปแล้ว เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีกต่อไป เขาทำได้เพียงรับรู้ความรู้สึกพ่ายแพ้อันหนักหน่วงเพียงเท่านั้น
ก่อนหน้านี้เขานั้นไม่ได้ใส่ใจสมาร์ทโฟนกาลเวลาของซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย ที่เขาเลือกจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนของเขาวันเดียวกับซูจิ้งเป็นเพราะเขามั่นใจแน่ว่าต้องชนะและสามารถเหยียบย่ำสมาร์ทโฟนกาลเวลาไปได้อย่างจมดิน
กลายเป็นว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุยจินของเขาต่างหากที่ไม่ได้อยู่ในสายตาของซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย เอาจริงๆต้องพูดว่าไม่มีความจะเป็นต้องใส่ใจแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะว่าสมาร์ทโฟนกาลเวลาของซูจิ้งอยู่คนละระดับกับรุยจินอยู่แล้ว
สมาร์ทโฟนรุยจินของเขานั้นถือว่ามีค่าประสิทธิภาพที่ดีกว่าสมาร์ทโฟนต่างๆที่มีอยู่ในตลาดในตอนนี้จริงๆ
เพียงแต่ว่าค่าประสิทธิภาพนี้ก็เป็นเพียงแค่ค่าที่ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนยี่ห้อใหม่ๆเอาไว้ใช้แข่งกับสมาร์ทโฟนรุ่นเก๋าในตลาดเท่านั้นเอง
สิ่งที่จะทำให้สมาร์ทโฟนอยู่รอดในตลาดสมาร์ทโฟนได้นั้นต่อให้ค่าประสิทธิภาพไม่ได้สูงมากแต่ราคาเข้าถึงได้ก็สามารถทำให้เป็นสมาร์ทโฟนอันดับหนึ่งได้เหมือนกัน
แต่กับสมาร์ทโฟนกาลเวลาของซูจิ้งนี้ถือได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่อยู่ในระดับหนึ่ง กลุ่มทุนกาลเวลาและกาลอวกาศนั้นได้ตั้งเป้าหมายว่าสมาร์ทโฟนของพวกเขานั้นต้องเป็นอันดับหนึ่งในเรื่องประสิทธิภาพและความล้ำสมัย
พวกเขาต้องจะสร้างสมาร์ทโฟนที่แม้แต่ไอโฟนก็ตั้งสยบ พวกเขาจึงไม่ได้ใส่ใจค่าประสิทธิภาพที่สูงหรือราคาที่จะแพงแต่อย่างใด
ด้วยแนวคิดนี้พวกเขาจะไปใส่ใจกับสมาร์ทโฟนรุยจินที่มัวแต่สนใจค่าประสิทธิภาพของสมาร์ทโฟนทำไมกัน
ระบบอัจฉริยะที่ว่ามานั้นหากนำระบบของที่มีอยู่ในสมาร์ทโฟนทุกยี่ห้อมาเทียบกับสมาร์ทโฟนกาลเวลาของซูจิ้งแล้ว
แม้แต่ระบบของไอโฟนที่ล้ำหน้ากว่ายี่ห้ออื่นมาโดยมาตลอดก็ตาม บอกได้เลยว่าสมาร์ทโฟนพวกนั้นไม่สมควรที่จะถูกเรียกว่าสมาร์ทโฟนอีกต่อไป
คำว่าสมาร์ทโฟนนั้น ในตอนนี้สมควรเป็นคำเรียกของสมาร์ทโฟนกาลเวลาของซูจิ้งเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสมาร์ทโฟนของซูจิ้งถือได้ว่าอยู่กันคนละระดับไปแล้ว
“คุณซูครับ การที่สมาร์ทโฟนกาลเวลาเครื่องนี้สามารถที่จะรับฟังคำสั่งได้ตลอดเวลาแบบนี้มันก็หมายความว่าระบบต้องเตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลา
ถ้าเป็นแบบนี้พวกมันสมควรจะต้องกินไฟฟ้าจำนวนมากอย่างแน่นอน พอจะบอกได้รึเปล่าครับว่าแบตเตอรี่จะสามารถอยู่ได้นานแค่ไหน” ผู้คร่ำวอดในการวงการสมาร์ทโฟนคนหนึ่งได้ยืนขึ้นและถามออกมาอย่างสงสัย
เขานั้นยอมรับจริงๆว่าสมาร์ทโฟนกาลเวลาเครื่องนี้นอกจากสวยจับใจแล้ว ด้วยระบบอัจฉริยะของสมาร์ทโฟนกาลเวลาเองก็ยังสร้างความตราตรึงใจให้กับเขาในทันทีที่เห็น
สามารถบอกได้เลยว่าสมาร์ทโฟนกาลเวลาเครื่องนี้สร้างความประทับใจให้เขาได้ทั้งภายนอกและภายในอย่างแท้จริง แต่สิ่งที่ยังคาใจของเขานั่นก็คือเรื่องของพลังงานที่ระบบต้องใช้ในการรองรับความประทับใจเหล่านี้
เมื่อฮัวหยุนชูและหนุ่มหล่อที่ได้ยินคำถามเมื่อครู่ในขณะที่ดูการสตรีมอยู่เองก็ได้คิดตามเช่นเดียวกัน ด้วยระบบอัจฉริยะและระบบทำงานด้วยเสียงที่ดีเลิศขนาดนี้สมควรที่จะต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาลอย่างแน่นอน
หากว่าแบตเตอรี่ไม่สามารถอยู่ได้นานนัก ต่อให้สมาร์ทโฟนกาลเวลาเครื่องนี้จะมีความอัจฉริยะมากมายขนาดไหนก็ตามแต่ความสุดยอดเหล่านี้จะด้อยค่าลงไปในทันที
นั่นก็เพราะว่าไม่มีใครคิดที่จะต้องมานั่งชาร์จแบตโทรศัพท์บ่อยๆเพียงเพื่อการอวดโทรศัพท์อัจฉริยะแบบนี้อย่างแน่นอน เพราะยังไงซะหากสมาร์ทโฟนแบตหมดไปแล้วก็ไม่ต่างจากก้อนอิฐที่มีราคาแพงมากเท่านั้นเอง
“ผมขออธิบายเลยแล้วกันนะครับ อย่างแรก อย่านำระบบอัจฉริยะของสมาร์ทโฟนกาลเวลาเครื่องนี้ไปเปรียบเทียบกับสมาร์ทโฟนทั่วไปจะดีกว่าครับ
เพราะระบบอัจฉริยะนี้มันฉลาดแบบสุดๆ มันสามารถตรวจจับเสียงได้แม้แต่จะอยู่ในโหมดรักษาพลังงาน และด้วยเหตุนี้มันจะไม่ใส่ใจเลยเมื่อเกิดเสียงอย่างอื่น มันจะคอยจับแต่เสียงของเจ้าของมันเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลทที่ว่าระบบนี้ไม่ได้สิ้นเปลืองพลังงานแต่อย่างใด
ที่ดีกว่านั้นที่สุดคือด้วยความอัจฉริยะของมันนั้น ระบบไอฉิงจะคอยจัดการส่วนที่ไม่จะเป็นได้ด้วยตัวมันเองทำให้สมาร์ทโฟนกาลเวลาไม่สูญเสียและสิ้นเปลืองพลังงานอย่างเปล่าประโยชน์แต่อย่างใด
อย่างที่สอง อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ที่ว่าผมจะอธิบายความล้ำหน้าของสมาร์ทโฟนกาลเวลาเครื่องนี้อยู่สองอย่าง ซึ่งอย่างแรกทุกคนก็ได้เห็นกันแล้ว ส่วนอย่างที่สองนั้นก็คือแบตเตอรี่” เมื่อซูจิ้งพูดจบประโยค เขาก็ได้ให้กล้องจับหน้าจะโทรศัพท์ในตอนนี้ก่อนที่จะพูดต่อว่า
“ตั้งแต่ที่ผมเริ่มทดลองใช้สมาร์ทโฟนกาลเวลาเครื่องนี้ให้ทุกท่านได้เห็น ตอนนี้ก็ใช้เวลามาเกือบๆจะหนึ่งชั่วโมงแล้ว
ในหนึ่งชั่วโมงนี้ผมทั้งทดสอบและทดลองใช้ฟังชั่นต่างๆให้ดู รวมถึงการใช้ระบบควบคุมด้วยเสียงเพื่อทำสิ่งต่างๆ งั้นผมขอถามหน่อยว่าแบตเตอรี่ที่ใช้มาตั้งแต่ต้นจนมาถึงตอนนี้นั้นถือว่าเปลืองรึเปล่า”
เพียงสิ้นเสียงของซูจิ้ง ทุกคนที่เห็นปริมาณแบตเตอรี่ที่หายไปต่างก็ทำได้เพียงอึ้งกิมกี่ไปเท่านั้น นั่นก็เพราะว่าแบตเตอรี่ใจตอนนี้เหลือ 97 % บางคนถึงกับขยี้ตาแล้วมองดูใหม่อีกครั้งแต่ตัวเลขก็ยังเท่าเดิม
ทุกคนเองก็เห็นว่าในระหว่างการทดสอบและทดลองต่างๆนั้น ซูจิ้งไม่ได้มีการชาร์จไฟเพิ่มเติมแต่อย่างใด
ต่อให้ตั้งแต่เริ่มชาร์จไว้เต็มก็จริง แต่การที่ทำอะไรต่างๆตั้งมากมายแต่ใช้ไฟไปเพียงแค่3%เท่านั้น
ยังไม่ต้องพูดถึงการใช้ระบบสั่งการด้วยเสียงก่อนหน้านี้เกือบหนึ่งชั่วโมงเลย แรกสุดนั้นซูจิ้งทำอะไรตั้งหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการทดสอบระบบยืนยันตัวตน การเล่นเกม การโทรออก การเปิดQQ การถ่ายรูป และอื่นๆตั้งมากมายแต่ว่าเพิ่งจะใช้ไฟไปเพียง3%เนี่ยนะ
“เป็นไปได้ยังไงกัน สมาร์ทโฟนเครื่องนี้อยู่ได้ถึงสามสิบชั่วโมงเลยรึไงเนี่ย” เหล่าผู้ชมต่างก็สับสนกันไปหมด
โดยทั่วไปแล้วโทรศัพท์สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่นั้นเต็มที่ก็อยู่ได้อย่างมากสุดเพียง 7 ชั่วโมงเท่านั้น ต่อให้อยู่ในโหมดประหยัดพลังงานก็อยู่ได้ประมาณ 10 ชั่วโมงเท่านั้นเอง
“จะบอกว่าใช่ก็ได้ไม่ใช่ก็ได้กับสามสิบชั่วโมงที่คุณเอ่ยมาเมื่อสักครู่นี้ เพราะการจะอยู่ถึงสามสิบชั่วโมงที่ว่านั้นก็เป็นไปได้หากว่าวันนั้นๆมีอากาศที่แจ่มใสล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มยียวนหน่อยๆ
เมื่อสิ้นเพียงประโยคนี้ เหล่าผู้ชมที่ได้ยินต่างก็นิ่งอึ้งไปนาน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่นึกออกและพูดออกมาด้วยความประหลาดในว่า “สุดยอดแผงพลังงานแสงอาทิตย์กาลเวลางั้นเหรอ”
“ผมคิดว่าคงมีหลายๆคนพอจะนึกได้แล้วว่าผมหมายถึงอะไร และนั่นคือคำตอบที่ถูกต้องครับ
สมาร์ทโฟนกาลเวลาเครื่องนี้ได้ผนวกรวมเอาเทคโนโลยีจากสุดยอดแผงพลังงานแสดงอาทิตย์กาลเวลามาใช้ด้วยเช่นเดียวกัน
ส่วนฝาครอบของโทรศัพท์เครื่องนี้ไม่ได้ใช้วัสดุทั่วไปแต่อย่างใด แต่มันคือแผงรับพลังงานของสุดยอดแผงพลังงานแสงอาทิตย์กาลเวลา
แน่นอนว่าคุณสามารถใช้การเสียบปลั๊กไฟชาร์จแบบทั่วไปได้ด้วยเช่นเดียวกัน หรือจะเรียกได้ว่าชาร์จได้สองระบบก็ว่าได้
ถึงแม้ว่าแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนเครื่องนี้ไม่ได้ใหญ่มากนักแต่ก็ไม่ได้เล็กจนเกินไปนั่นก็คืออยู่ที่หนึ่งหมื่นแอมแปร์
ต่อให้พื้นที่โดยรอบมืดสนิทจนไม่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้แต่สมาร์ทโฟนเครื่องนี้ก็ยังสามารถอยู่ได้เกินกว่า 24 ชั่วโมง
แต่หากวันไหนที่มีอากาศดีหน่อย มั่นใจได้เลยว่าสมาร์ทโฟนเครื่องนี้จะอยู่ได้อย่างต่ำ 30 ชั่วโมง นี่ยังไม่พูดถึงว่าหากคุณไปอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ทั้งวันล่ะก็….” ซูจิ้งได้พูดออกมาพร้อมกับเว้นคำพูดไป ในระหว่างนั้นเขาได้เดินออกไปที่พื้นที่หนึ่งที่มีแสงอาทิตย์ส่องผ่าน
เขาเปิดเพลงในอัลบั้มที่เขาชอบเอาไว้ก่อนที่จะยื่นสมาร์ทโฟนของเขาเข้าไปท่ามกลางแสงแดดเพียงไม่เกินนาทีดี
หลังจากนั้นเขาเปิดโทรศัพท์ให้ดูก็พบว่าโทรศัพท์มีปริมาณไฟในแบตเตอรี่อยู่ที่ 99 % อย่างรวดเร็ว
หลังจากยืนนิ่งไปอีกราวๆหนึ่งนาที แบตเตอรี่โทรศัพท์ก็ได้ขึ้นเป็น 100 % เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เหล่าผู้ร่วมงานทั้งหลายที่เห็นฉากนี้ต่างก็นิ่งเงียบด้วยใบหน้าโง่งมหนักยิ่งกว่าเดิม นี่ขนาดซูจิ้งเปิดเพลงอย่างดังที่น่าจะต้องใช้ไฟมากมายหากเป็นสมาร์ทโฟนปกติ
แต่นี่เพียงเขายื่นโทรศัพท์ออกไปเพียงไม่กี่นาทีแบตโทรศัพท์ก็เต็มแล้ว ต่อให้ระบบชาร์จไฟนี้จะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศก็จริง แต่เท่าที่ดุนี่ยังก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลยแม้แต่น้อย
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าสมาร์ทโฟนเครื่องนี้จะเปิดใช้ได้กี่ชั่วโมง หากถามความเห็นพวกเขาในตอนนี้ล่ะก็บอกได้เลยว่าเป็นอนันต์จนกว่าโทรศัพท์จะพัง
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องตะวันลับขอบฟ้าเลย ต่อให้ใช้สมาร์ทโฟนเครื่องนี้อย่างไม่บันยะบันยังข้ามคืนแบตก็ยังเหลือเฟืออยุ่ดี
ต่อให้เป็นช่วงที่ไม่มีแดดดีๆ ตราบใดที่ยังมีแสงยังไงมันก็ยังชาร์จไฟได้ ถึงแม้จะไม่ได้เร็วมากแต่ก็เพียงพอต่อการใช้ยามฉุกเฉิน
ต่อให้ต้องอยู่ที่มืดก็ยังใช้ได้อย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง
พวกเขาสามารถบอกได้เลยว่าสมาร์ทโฟนกาลเวลาเครื่องนี้ล้ำหน้ากว่าสมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่นไปหลายโยชน์เลยทีเดียว
“ทั้งความสวยงาม ทั้งระบบอัจฉริยะ ทั้งความอึดของแบตเตอรี่ สมาร์ทโฟนเครื่องนี้เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง”
“หากเทียบกันแล้วนี่โทรศัพท์ของแอปเปิ้ลนี่แค่ก้อนหินชัดๆ”
“ยิ่งไปกว่านั้นสมาร์ทโฟนของแอปเปิ้ลนั้นเต็มไปด้วยค่าใช้จ่ายจุกจิกยิบน่อย เรียกได้ว่าเสียตังทุกกระบวนการ แม้แต่ที่ชาร์จแรกเริ่มก็ไม่มีให้ต้องซื้อแยกอีกต่างหาก แถมยังเริ่มเป็นต้นแบบให้สมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่นทำตามอีก ฉันไม่ชอบการกระทำของพวกนั้นเลยจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าตอนนั้นเป็นโทรศัพท์ที่ดีที่สุดในตลาดล่ะก็ฉันไม่มีวันซื้ออย่างแน่นอน แต่ในเมื่อสมาร์ทโฟนกาลเวลาเหนือกว่าในทุกด้านแบบนี้ ฉันจะโยนสมาร์ทโฟนเครื่องเก่าทิ้งได้อย่างไม่เสียดายอีกแล้ว”
“ราคาเท่าไหร่ล่ะนั่น”
“หกไม่ก็เจ็ดพันหยวนนะ”
“ราคาพอๆกับสมาร์ทโฟนของแอปเปิ้ลรุ่นล่าสุดนี่นา ฉันจะซื้อสมาร์ทโฟนกาลเวลา”
“แพงไปหน่อยแต่ฉันว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มนะ”
“ต่อให้ฉันต้องขายตับฉันก็จะซื้อ”
เหล่าผู้ชมทั้งหลายต่างก็ส่งเสียงฮือฮากันอย่างจ้าละหวั่น นี่ถือได้ว่างานเปิดตัวสมาร์ทโฟนกาลเวลานี้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียว
GGS:บทที่ 1017 ก็แค่เถ้าธุลี
ข่าวของสมาร์ทโฟนกาลเวลาได้ถูกส่งต่อกันไปอย่างรวดเร็ว เดิมที่แล้วด้วยซูจิ้งเป็นคนดังอยู่แล้ว งานแถลงข่าวเปิดตัวสมาร์ทโฟนกาลเวลาของเขาจึงเป็นสนใจมากอยู่แล้ว
และยิ่งมีข่าวว่าสมาร์ทโฟนกาลเวลาของเขานั้นมีระบบอัจฉริยะแสนล้ำและระบบพลังงานสุดอึดยิ่งทำให้ข่าวนี้แพร่กระจายเร็วยิ่งกว่าเดิม
รวดเร็วพอที่จะทำให้ชาวเน็ตร้อนลนราวกับโดนเลือดไก่สาดก็ไม่ปาน
“ฉันยอมรับเลยจริงๆว่าสมาร์ทโฟนกาลเวลานี่โคตรเท่”
“ไหนจะระบบอัจฉริยะสุดล้ำนั่นอีก ฉันก็อยากได้สักเครื่องจัง”
“ฉันเองก็พอนึกออกนะว่าในอนาคตจะมีสมาร์ทโฟนล้ำๆแบบนั้น แต่ไม่คิดว่าฉันจะมีโอกาสได้เห็นมันได้เร็วขนาดนี้”
“ถ้าหากว่ามีระบบอัจฉริยะสุดล้ำขนาดนั้นล่ะก็ไม่แปลกที่จะตื่นเต้นกันขนาดนั้น ถึงแม้มันจะดูแพงไปหน่อยแต่ฉันว่าไม่ได้แพงเกินไปเมื่อเทียบกับสมรรถนะสุดล้ำนั่น แต่ตอนนี้ฉันก็ยังคว้าไม่ไหวอยู่ดี”
“เฮ้ ดูความอึดของแบตสิ มันอยู่ได้นานจนกว่าเครื่องจะระเบิดได้เลยนะ”
“ในที่สุดฉันก็รู้แล้วว่าทำไมถึงเรียกกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศ นั่นก็เพราะว่าเทคโนโลยีของพวกเขาอยู่เหนือกาลเวลาในยุคสมัยปัจจุบันนี่เอง”
“ฉันขอถอนคำพูดที่ว่าไว้ก่อนหน้านี้ว่าสมาร์ทโฟนกาลเวลาไร้สาระนะ ตอนนี้ฉันอยากได้สักเครื่องบ้างจริงๆ”
“นี่ฉันพึ่งจะเปลี่ยนโทรศัพท์ไปเองนะ นี่ต้องเปลี่ยนอีกแล้วเหรอเนี่ย”
“ฉันเองก็ว่าจะเปลี่ยนเหมือนกันนะ ใครจะไม่อยากซื้อสมาร์ทโฟนเจ๋งๆที่ประเทศจีนผลิตได้เองแบบนี้กันล่ะ”
“เฮ้อ ใครจะไปคิดว่าขนาดซูจิ้งยิ่งวุ่นวายขนาดนั้นยังมีเวลาไปคิดค้นสมาร์ทโฟนเจ๋งๆแบบนี้ได้กันล่ะ เขานี่เทพโดยแท้จริงๆ”
“ซูจิ้งนั้นเทพมาตั้งนานแล้ว ฉันยังไม่เห็นวี่แววว่าเขาจะล่วงลงมาแม้แต่น้อยเลยนะ”
ณ บริษัทฮัวเว่ย ผู้จัดการระดับสูงคนหนึ่งที่ได้ยินข่าวนี้เป็นคนหนึ่งที่แสดงท่าที่ประหลาดใจออกมา
“ระบบอัจฉริยะเหรอ ล้อกันเล่นใช่รึเปล่า”
“เรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริงนะ สมาร์ทโฟนกาลเวลานั่นมีระบบอัจฉริยะที่ต่างกับของแอปเปิ้ลอย่างสิ้นเชิง”
“ยิ่งไปกว่านั้น สมาร์ทโฟนนั่นสามารถเปิดใช้งานได้เกินกว่า 24 ชั่วโมงซะอีก”
“พระเจ้า ซูจิ้งจะไม่น่ากลัวเกินไปแล้วเหรอ”
“เรื่องนี้เราประมาทไม่ได้ ตอนนี้คณะผู้บริหารเตรียมจะการประชุมแล้ว น่าจะเริ่มในอีกไม่นานนี้”
เหล่าพนักงานอาวุโสของซัมซุงกำลังจะกลุ่มคุยกันเรื่องของซูจิ้งอย่างหวาดเกรง
“อยู่ๆประเทศจีนจะไปมีเทคโนโลยีล้ำหน้าแบบนั้นได้ยังไงกัน”
“เป็นไปไม่ได้น่า ก่อนหน้านี้เราตรวจสอบดูแล้วยังพบว่าเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนของจีนยังล้ำหลังเราอยู่เลยนี่นา อยู่ๆทำไมถึงได้ล้ำหน้ากว่าพวกเราคนละระดับแบบนี้ได้กัน”
“ถ้านี่เป็นเรื่องจริงๆล่ะก็ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว พวกเราต้องประชุมกันเดี๋ยวนี้”
ทางฝั่งแอปเปิ้ล ผู้จัดการระดับสูงเองก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเช่นเดียวกัน
“ระบบอัจฉริยะ…แถมยังล้ำหน้ากว่าเราอีกงั้นเหรอ”
“ผมได้ดูงานเปิดตัวนั่นด้วยตัวเองแล้ว ฉากที่เกิดขึ้นนั่นราวกับว่าผมกำลังได้ดูหนังแนววิทยาศาสตร์ก็ว่าได้ มันช่างดูมหัศจรรย์อย่างมากชนิดที่เทคโนโลยีที่เราใช้ก็ยังเทียบไม่ได้ในตอนนี้
ถึงมันจะเป็นเทคโนโลยีแบบเดียวกับที่เราตั้งเป้าไว้ก็จริงแต่พวกเรานั้นยังไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกกี่ปีถึงจะทำได้ คราวนี้ประเทศจีนทำได้แล้วจริงๆ”
“ฉันเองก็พอจะได้ข่าวเรื่องสมาร์ทโฟนกาลเวลามาก่อนหน้านี้แล้วเหมือนกัน เป็นความผิดของพวกเราเองที่ไม่ได้ใส่ใจก่อนหน้านี้”
“ก็นะ ใครจะไปคิดได้ว่าอยู่ๆพวกเขาจะมีเทคโนโลยีล้ำหน้าขนาดนี้ได้กัน”
นอกจากนี้ บริษัทสมาร์ทโฟนต่างๆอย่างวิโว ออปโป กลอรี่ ซีทีอี จินลิ และบริษัทต่างๆทั้งในและต่างประเทศต่างก็ตื่นตัวกันในทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ จะเรียกได้ว่าการเปิดตัวสมาร์ทโฟนกาลเวลาของซูจิ้งนั้นเหนือกว่าที่คิดจนตีแสกหน้าของพวกเขาให้หงายหลังไปเลยก็ว่าได้
ก่อนหน้านี้ไม่มีบริษัทไหนเลยที่ใส่ใจการมีอยู่ของสมาร์ทโฟนกาลเวลาของซูจิ้งแม้แต่น้อย ราวกับว่าไม่ใช่ศัตรูแม้แต่น้อย
แต่ผลที่ออกมาก็คือพวกเขานั้นดูถูกศัตรูมากเกินไปอย่างแท้จริง
หลังจากที่ผู้คนที่ไม่ได้อยู่ในวงการสมาร์ทโฟนได้เห็นยอดการสั่งซื้อสมาร์ทโฟนกาลเวลาของซูจิ้งต่างก็ตกตะลึง สมาร์ทโฟนกาลเวลาในวันแรกนั้นสามารถขายได้ห้าหมื่นเครื่อง วันที่สองเจ็ดหมื่นเครื่อง และในวันที่สามอีกหนึ่งแสนเครื่อง
เรียกได้ว่าเพียงสามวันเท่านั้น ยอดขายของสมาร์ทโฟนกาลเวลาขายได้เทียบเท่ากับสมาร์ทโฟนของต่างประเทศได้เรียบร้อยแล้ว แถมจะนวนเหล่านี้ยังเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดราวกับติดจรวด
ถึงแม้ว่าโดยปกตินั้น การที่จะมีสมาร์ทโฟนยี่ห้อใหม่เข้ามาในตลาดได้ต่อให้มีการรับประกันมากมายสักแค่ไหนก็ตาม
ผู้คนมักจะไม่ได้สนใจที่จะซื้อหามาตรอบครองแต่อย่างใด นี่คือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วทั้งๆที่โทรศัพท์ยี่ห้อนั้นมีราคาเพียงหกพันหยวนเท่านั้น
แต่กับสมาร์ทโฟนกาลเวลาที่มีราคาสูงล้ำแล้ว ผู้คนกลับต่าวถวิลหามาครอบครองอย่างช่วยไม่ได้ เหตุผลนั่นก็เพราะว่าการได้ครอบครองสมาร์ทโฟนกาลเวลานั้นสำหรับพวกเขาแล้วเปรียบได้ดั่งการเปิดประตูสู่โลกยุกอนาคตอย่างแท้จริง
นี่ทำให้เหล่าผู้คนในวงการสมาร์ทโฟนที่คาดการณ์เกี่ยวกับยอดขายของสมาร์ทโฟนกาลเวลาเมื่อตอนที่เห็นราคาแล้วคิดว่าจะได้กี่เครื่องนั้นต่างก็ต้องล้มหงาย
ผิดกับกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศที่ไม่ได้ใส่ใจผลการคาดการณ์ของคนพวกนี้ แถมยังตะแสกหน้าด้วยการทุ่มเม็ดเงินไปกับการโฆษณาจนเป็นที่ได้ยินกันไปทั่ว
“สามร้อยเครื่อง ทำไมยอดขายของพวกเราถึงได้แค่สามร้อยเครื่องกัน ห้ะ” ฮัวหยุนชูตะคอกด้วยเสียงอันดังลั่นออกมาชั่วขณะหนึ่ง สมาร์ทโฟนรุยจินของเขานั้นขายในวันเปิดตัววันแรกได้ห้าร้อยเครื่อง วันที่สองที่สี่ร้อยเครื่อง และในวันนี้ สมาร์ทโฟนของเขาขายได้แค่สามร้อยเครื่อง จำนวนพวกนี้เรียกได้ว่าต่ำกว่ายิ่งกว่าต่ำจากเป้าที่เขาตั้งเอาไว้
“พวกเราพยายามเต็มที่แล้วครับ แต่ว่าทำยอดได้เพียงแค่นี้จริงๆ” คนกลุ่มหนึ่งได้พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“พวกแกรู้กันบ้างรึเปล่าว่าสมาร์ทโฟนกาลเวลานั่นขายได้วันหนึ่งเท่าไหร่ หนึ่งแสนเค…ไม่สิหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นเครื่อง หนึ่งแสนหนึ่งหมื่อนเครื่องเลยนะเว้ย
ต่อให้สมาร์ทโฟนของพวกเรานั้นจะเป็นของในประเทศแต่พวกแกก็ไม่ควรจะทำยอดได้เพียงแค่สามร้อยเครื่องแบบนี้” ฮัวหยุนชูยังพูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่นและดุร้าย
“เอ่อ…ผมคาดว่าน่าจะเป็นเพราะสมาร์ทโฟนกาลเวลานั่นแหล่ะครับ ตอนนี้สมาร์ทโฟนนั่นได้รับความนิยมอย่างมากจนทำให้ไม่มีลูกค้าที่ไหนมาสนใจกับสมาร์ทโฟนของพวกเรา” พนักงานที่รับผิดชอบด้านการตรลาดจนใจอย่างมากที่จะต้องพูดออกมาแบบนี้
เพราะมันเป็นความจริงที่สมาร์ทโฟนกาลเวลาไม่เพียงจะตีสมาร์ทโฟนที่ผลิตในประเทศจนแตกยับ
แม้แต่สมาร์ทโฟนจากต่างประเทศที่เป็นอันดับต้นๆในตลาดสมาร์ทโฟนของจีนต่างก็ต้องแตกกระเจิงกันไปในทันที
ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิ้ล ซัมซุง ฮัวเว่ย และยี่ห้ออื่นๆในตลาดสมาร์ทโฟนนี้ยอดขายก็ต่ำตมราวกับจะเลียดพื้นเช่นเดียวกัน แล้วโทรศัพท์ที่พึ่งจะเปิดตัวไปอย่างรุยจินจะไปเหลืออะไร
เอาจริงๆสมาร์ทโฟนรุยจินนั้นไม่ได้แย่แต่ประการใดเลยสักนิด เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนกาลเวลาแล้วแต่ให้ดีขนาดไหนก็ไม่ต่างอะไรไปจากเถ้าธุลีที่เล็กน้อยมากจนเทียบกันไม่ได้แต่อย่างใด
“เห้ออออ เป็นผมเองครับที่ผิด ผมไม่น่าจะเสนอความคิดแย่ๆอย่างการเปิดตัววันเดียวกับสมาร์ทโฟนกาลเวลาของซูจิ้งเลยจริงๆ” หนุ่มหน้าหล่อพูดออกมาอย่างยอมรับผิด
ใบหน้าของฮัวหยุนชูในตอนนี้เรียกได้ว่าไม่น่าดูเลยแม้แต่น้อย เขากัดฟันของตัวแน่นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ต่อให้ลูกน้องของเขาคนนี้เป็นคนเสนอความคิดนี้ยอมรับผิดออกมาก็จริง
แต่ความจริงแล้วต่อให้ลูกน้องของเขาไม่เสนอมาเขาก็คิดอยู่แล้วว่าจะทำแบบเดียวกันอยู่แล้ว ซึ่งนี่เองทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้
แต่เดิมแล้วสมาร์ทโฟนรุยจินและสมาร์ทโฟนกาลเวลานั้นถือได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่เรียกได้ว่าเจาะกลุ่มตลาดคนละกลุ่มกันอยู่แล้ว
หากว่าคู่แต่สูงของฮัวหยุนเฟยนั้นเป็นคู่แข่งที่มุ่งเน้นจะเจาะกลุ่มตลาดระดับเดียวกันล่ะก็พวกเขานั้นสามารถชนะได้อย่างสบายๆ
ส่วนสมาร์ทโฟนกาลเวลาของซูจิ้งนั้น เหล่าผู้ซื้อจะนำไปเทียบกับสมาร์ทโฟนต่างประเทศอย่างไอโฟนหรือไม่ก็ซัมซุง
พวกเขาจะแค่มองว่าสมาร์ทโฟนรุยจินนั้นถึงแม้จะถูกกว่าแต่ก็ดีเทียบเท่ากับสมาร์ทโฟนยี่ห้อดังเหล่านี้เท่านั้น ไม่มีทางเลยที่จะนำสมาร์ทโฟนรุยจินไปเทียบกับสมาร์ทโฟนกาลเวลาเพราะราคาที่ต่างกันมากจะดีกว่าก็ไม่แปลก
อีกอย่าง ต่อให้สมาร์ทโฟนกาลเวลาของซูจิ้งจะดีขนาดไหน แต่ด้วยราคาที่สูงล้ำแบบนี้ย่อมมีคนที่เอื้อมไม่ถึง และพวกเขาก็จะหันมามองกับสมาร์ทโฟนระดับรองที่ดีที่สุดอย่างสมาร์ทโฟนรุยจินอย่างแน่นอน
แต่ว่าเป็นเพราะเขานั้นต้องการท้าชนกับสุดยอดสมาร์ทโฟนแห่งยุคอย่างไม่ดูหน้าดูหลัง ผลก็คือสมาร์ทโฟนรุยจินของเขานั้นต้องล้มไม่เป็นท่าแตกสลายสิ้นเป็นแค่เถ้าธุลีในทันที
การที่เขาทำการเปิดตัวในวันเดียวกับสมาร์ทโฟนของซูจิ้งนั้นทำให้ผู้คนต่างก็มองว่าสมาร์ทโฟนรุยจินของเขาเป็นเพียงแค่ของเด็กเล่นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ฮัวหยุนชูยังไม่ยอมแพ้แต่อย่างใด เขานั้นยังหาโอกาสกู้วิกฤตสถานการณ์ของเขาให้จงได้อยู่ดี แถมตอนนี้เขาเองก็รู้ด้วยว่าบริษัทอื่นๆในวงการสมาร์ทโฟนนั้นเริ่มตื่นตัวกับสมาร์ทโฟนกาลเวลาของซูจิ้งแล้ว
เพราะยังไงซะการที่สมาร์ทโฟนกาลเวลาทำให้ตลาดสมาร์ทโฟนแตกได้ในทันทีที่วางขายแบบนี้ล่ะก็ยังไงซะย่อมส่งผลกระทบกับสมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่นๆอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามแต่บริษัทสมาร์ทโฟนยักษ์ใหญ่เหล่านี้ร่วมมือกันในตอนนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ตอนนี้เหล่าผู้ซื้อทั้งหลายในประเทศจีนราวกับไม่เห็นสมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่นอยู่ในสายตาอีกต่อไป
สมาร์ทโฟนกาลเวลาในตอนนี้อย่างมียอดขายพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยอดขายในวันที่สี่อยู่ที่หนึ่งแสนห้าหมื่นเครื่อง วันที่ สองแสน วันที่หก สองแสนห้า และในวันที่เจ็ด สามแสนสองหมื่นเครื่อง
ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้ไม่เพียงแต่ในประเทศจีนเท่านั้น สมาร์ทโฟนกาลเวลาเริ่มมีการหลุดออกไปยังต่างประเทศบ้างแล้ว
และเพียงช่วงเวลาแค่หนึ่งสัปดาห์ สมาร์ทโฟนกาลเวลาขึ้นแท่นอันดับหนึ่งได้เป็นที่เรียบร้อยจนทำให้คนที่รู้ต่างก็ตกตะลึง ช่างเป็นความเร็วที่น่ากลัวอย่างแท้จริง
จนในที่สุดแล้วเหล่าบริษัทในวงการสมาร์ทโฟนต่างกับเข้าใจในที่สุดว่า สมาร์ทโฟนกาลเวลาที่ถูกปล่อยออกมาขายในตอนนี้นั้น กลุ่มทุนห้วงเวลาฯไม่เคยคิดว่าพวกเขาเป็นคู่แข่งแม้แต่น้อย
แม้แต่บริษัทแอปเปิ้ลพวกเขาก็ไม่เคยใส่ใจเลยสักนิด นับประสาอะไรกับสมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่นที่ตอนนี้สมาร์ทโฟนเหล่านั้นเปรียบได้ดั่งโทรศัพท์พื้นฐานทั่วไปไปแล้วได้กัน ต่อให้สมาร์ทโฟนเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในตลาดระดับเดียวกับสมาร์ทโฟนกาลเวลาก็ตาม
ด้วยความทรงพลังของสมาร์ทโฟนกาลเวลานั้นเมื่อเทียบกันแล้วล่ะก็ สมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่นๆนั้นไม่ได้ต่างไปจากก้อนอิฐราคาแพงสักเท่าไหร่นัก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น