Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1008-1011
GGS:บทที่ 1008 ปรมาจารย์ที่ซูจิ้งพามา
ข่าวที่ว่ามีใครสักคนที่ชื่อเทียนดาจูต้องการสู้กับนักสู้ชาวอเมริกาได้แพร่กระจายออกไปในวงกว้าง
“เยี่ยม ในที่สุดก็มีคนก้าวออกมารักษาชื่อเสียงสักที”
“ว่าแต่ใครคือเทียนดาจูกันน่ะ ชื่อเขาไม่คุ้นเลย”
“ฉันได้ยินมาว่าเขานั้นเป็นผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้จากตระกูลฮู่แถมเขายังเรียนหมัดไท้เก๊กมาอีกด้วย”
“เพลงหมัดของตระกูลฮู่เหรอ ไม่ใช่ว่าเขานั้นเกี่ยวข้องกับซูจิ้งหรอกเหรอ”
“เป็นไปได้นะ ฉันได้ยินมาว่าฮู่ฮงหยางที่เป็นผู้นำของตระกูลเคยฝึกสอนศิลปะการต่อสู้ให้ซูจิ้งอยู่ และนั่นเองทำให้ซูจิ้งเป็นผู้สืบทอดเพลงหมัดตระกูลฮู่ด้วยเช่นกัน
เห็นว่าเพื่อเป็นการตอบแทน ซูจิ้งจึงสอนเพลงหมัดกายวิเศษทั้งสามรูปแบบให้กับฮู่ฮงหยางนะ”
“เพิ่งได้ยินมาว่าตระกูลฮู่นั้นนั้นได้เปิดโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้สัปประยุทธ์แถมผลิตผู้เชี่ยวชาญออกมาได้มากมายเลย
นี่จึงเป็นเหตุผลให้โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้สัปประยุทธ์เป็นสุดยอดโรงเรียนสอนการต่อสู้ของเมืองจีน เทียนดาจูคนนี้เองก็สมควรเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น”
“เฮ้อ…ตอนแรกฉันนึกว่าเสี่ยวไจ๋จะออกโรงเองเสียอีก เขานั้นนับว่าเป็นศิษย์สายตรงของซูจิ้งและเขาเองก็มีความแข็งแกร่งรองแค่ซูจิ้งเท่านั้นเอง
เอาเถอะ ยังไงซะเขาก็มาจากโรงเรียนสัปประยุทธ์ แน่นอนว่าต้องวางใจได้”
“ถ้าซูจิ้งลงมือเองจะไม่ดีกว่าเหรอ”
“ซูจิ้งนั้นมีเรื่องต้องทำมากมายแล้วในตอนนี้ แค่เรื่องคลีนิกพิเศษของโรงพยาบาลกังเฟิง พื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ ไหนจะการวิจัยในสถาบันวิจัยห้วงเวลาและกาลอวกาศนั่นอีก แต่สามเรื่องนี่ฉันก็ว่าเขาหัวหมุนแล้วนะ อีกอย่าง ในครั้งนี้คู่ต่อสู้มีเพียงหนึ่ง ฉันว่าเขาไม่สนใจหรอก ”
“ถ้าซูจิ้งลงมือเองก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนเลยนะนั่น อีกฝั่งนึงนี่จะเอาอะไรไปสู้ได้ล่ะ”
ขณะเดียวกันที่โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้แห่งหนึ่ง ชาวอเมริกันวัยกลางคนหนหนึ่งที่เห็นข่าวที่ว่าเทียนดาจูจะมาท้าปะลองทำให้หน้าของเขาหมองคล้ำและดูไม่ดีนัก
“วิล…เป็นไปได้ว่าเทียนดาจูคนนี้น่าจะเป็นผู้สืบทอดของซูจิ้ง” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ใส่สูตรและใส่รองเท้าหนังขมวดคิ้ว
“อืม ถึงเวลาแล้วสินะ” วิลพยักหน้ารับ
“ทำไมเราไม่หาเรื่องเลี่ยงการปะทะไปล่ะ”
“ไม่ได้หรอก คราวนี้อีกฝั่งบอกว่าจะใช้แค่หมัดไท้เก๊กและเพลงหมัดดอกไม้ร่ายรำเท่านั้น หากว่าฉันเลี่ยงตั้งแต่การรับคำท้ารอบแรกไปล่ะก็ไม่ต่างอะไรกับการขอยอมแพ้กันตรงๆ
ต่อให้วันหลังฉันชนะนักสู้ที่มีชื่อเสียงได้ก็จริงแต่มันก็ไม่ได้เป็นที่สนใจอย่างแน่นอน แล้วก็ ฉันลองดูรายชื่อนักสู้ที่เป็นที่รู้จักของโรงเรียนสัปประยุทธ์นั่นแล้วไม่มีชื่อของเทียนดาจูเลย
ความแข็งแกร่งของเขาสมควรจะไม่ได้มากมายอะไร ตราบใดที่ฉันชนะเขาได้ ชื่อเสียงของฉันต้องมากขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเรจะทำเงินได้มากกว่านี้อีก” พูดเสร็จ วิลก็ได้หัวเราะออกมา
วันถัดมา เหล่าผู้ชมและนักข่าวก็ได้เข้ารอชมเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในสนามประลองคึกคักกันเป็นอย่างมาก ฮู่เฟยหยุน ฮู่ฮงหยาง จี้เสี่ยวถิง ไคหวูเฟิง และนักสู้คนอื่นๆต่างก็มารอดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างถ้วนหน้าเช่นเดียวกัน
“ใครคือเทียนดาจูกัน ทำไมฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน” ฮู่เฟยหยุนเองอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ฉันก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกันนะ แต่ในเมื่ออาจิ้งออกปากเอง แน่นอนว่าเขาน่าจะแข็งแกร่งไม่น้อยเลย” ไคหวูเฟิงพูดออกมา
“ฉันเองก็เคยได้บอกเขาไว้เหมือนกันว่าหากเขานั้นเจอคนที่มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ล่ะก็ให้เขาช่วยสอนเพลงหมัดตระกูลฮู่ให้ด้วยได้เลย ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้ไปเจอจริงๆ” ฮู่ฮงหยางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“ถ้าอยากจะเก่งเหมือนพี่จิ้งล่ะก็คงต้องเรียนวิชาสุดยอดหมัดวัวคลั่งแล้วล่ะมั้งน่ะ” จี้เสี่ยวถิงพูดออกมา
“เรื่องนั้นโยนทิ้งไปได้เลย ก่อนหน้านี้มีเพียงเสี่ยวไจ๋เท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอที่จะเรียนรู้เพลงหมัดของศิษย์พี่จิ้งได้
ขนาดหมอนั่นมีพรสวรรค์ขนาดนั้นยังเสียเวลาอยู่นานเลยกว่าเขาจะเรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งจากศิษย์พี่จิ้งได้ครบ
ตอนนี้ฉันเชื่อเลยว่าทั้งโลกนี้คนที่จะสยบเสี่ยวไจ๋ได้มีเพียงพี่จิ้งเท่านั้น ฉันอยากจะรู้จริงๆว่าศิษย์คนใหม่ของซูจิ้งนั้นจะเป็นคนแบบไหนกัน” หวู่หลงมีท่าทีตื่นเต้นและอิจฉา เขาเองก็อยากได้รับการสอนโดยตรงจากซูจิ้งเช่นเดียวกัน
ในตอนนั้นที่ประตูทางเข้าก็ได้มีเสียงโวกเวกโวยวายออกมา
“โอ้ ดูนั่นสิ ซูจิ้งมาที่นี่”
“น่าประหลาดใจจริงๆ นี่เขามาด้วยตัวเองเลยเหรอ”
“นั่น ชายที่เดินตามมานั่น คนที่ใส่ชุดชกมวยนั่นน่าจะเป็นเทียนดาจูนะ”
“จะใช่เหรอ เขาจะผอมไปหน่อยรึเปล่า แถมยังดูแก่แล้วด้วยนา….”
“นักสู้ไม่สามารถตัดสินได้แค่รูปลักษณ์ภายนอกหรอกนะ ในเมื่อเขานั้นมีซูจิ้งเป็นคนพามา แน่นอนว่าเขานั้นต้องไม่อ่อนแออย่างแน่นอน”
ในระหว่างที่ผู้ชมกำลังคุยกันเรื่องของเทียนดาจูอยู่นั้น ซูจิ้งและเทียนดาจูพร้อมทั้งคู่ชายหญิงก็ได้ก้าวเดินขึ้นไปบนเวทีอย่างรวดเร็ว
เมื่อนักข่าวเป็นซูจิ้งต่างก็พากันประหลาดใจและได้ทำการถ่ายรูปกันจนเกิดแสงสว่างแวบวาบกันอยู่นาน คนๆนี้สมควรจะเป็นเทียนดาจู
เพียงซูจิ้งเป็นคนพามาเองแบบนี้ก็คุ้มค่าแล้วที่พวกเขานั้นต้องมาทำการรายงานข่าวระหว่างนักสู้ชายอเมริกาที่ชื่อว่าวิล กับเทียนดาจูที่ซูจิ้งพามา
อีกฝากของเวที วิล เขม่นตามองไปยังซูจิ้งซ้ำไปซ้ำมา เขาเองงก็ได้มีโอกาสได้เห็นวิดีโอที่กวาดล้างนักเทควันโดเกือบสี่สิบคนในครั้งเดียวมาแล้ว
แน่นอนว่าตัวเขานั้นไม่มีความกล้าที่จะสู้กับซูจิ้งอย่างแน่นอน หากเขาต้องขึ้นมาบนเวทีแล้วอยู่ก็ประกาศว่าซูจิ้งนั้นจะท้าเขาสู้เขาจะยอมแพ้โดยทันที
แต่กลายเป็นว่าในครั้งนี้ซูจิ้งไม่คิดจะลงมือเอง นี่ทำให้วิลอดไม่ได้ที่จะมองไปยังชาวัยกลางคนที่อยู่ในชุดคลุมของนักมวย ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในชุดคลุมแต่ก็มองออกได้อยู่ดีว่าร่างกายของเขาดูผอมและอ่อนแอ นี่ทำให้เขานั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอยู่ในใจ
“อาจิ้ง ผู้นี้คือเทียนดาจูงั้นเหรอ” ฮู่ฮงหยางได้มองไปยังเทียนดาจูพลางคิดอะไรไปหลายอย่าง คนผู้นี้อายุอย่างน้อยๆควรจะอยู่ที่สี่สิบปี แถมยังมีร่างกายที่ผอมแห้งอย่างมาก
“ใช่แล้ว” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“ไม่มีทางน่า” ฮู่เฟยหยุน ไคหวูเฟิง จี้เสี่ยวถิง หวูหลง และนักสู้คนอื่นๆแทบจะมองแบบหัวจรดเท้าลงบนล่างของชายอายุสี่สิบกว่าปีคนนี้ในทันที พลางคิดไปว่าคนเช่นนี้หากเก็บซ่อนทักษะการต่อสู้ไว้จริงๆ พวกเขาก็ยินดีเรียกว่าตัวเองเป็นคนตาบอดอย่างไม่เถียง
“ลุยเลย” ซูจิ้งพูดกับเทียนดาจู เทียนดาจูก็ได้พยักหน้ารับ และค่อยๆก้าวขึ้นไปบนเวทีท้าประลองอย่างช้าๆ แสดงให้เห็นว่าตัวเขานั้นประหม่าพอดู
วิลเองก็ได้ก้าวขึ้นเวทีด้วยลอยยิ้มกว้าง
เหล่าผู้ชมที่เห็นฉากนี้ต่างก็ส่งเสียงเชียร์กันดังลั่น เอาจริงๆพวกเขานั้นต่างก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเทียนดาจูนั้นดูไม่เหมือนนักศิลปะการต่อสู้ของจีนแม้แต่น้อย
แถมดูๆไปแล้วตัวเขานั้นน่าจะอ่อนแอกว่าคนทั่วไปเสียด้วยซำ แต่ในเมื่อคนผู้นี้เป็นซูจิ้งที่พามา จึงไปเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะคาดหวังกับคนผู้นี้ไปด้วย
อย่างไรก็ตามพวกเขานั้นไม่ได้สังเกตุว่าคู่ชายหญิงที่มากับเทียนดาจูเองก็มีท่าทีประหม่าไม่ต่างกัน หญิงสาวหันไปถามซูจิ้งด้วยริมฝีปากอันสั่นระริกว่า “คุณซุคะ นี่จะดีจริงๆแล้วเหรอคะ”
“คุณซูครับ คนจากโรงเรียนการต่อสู้สัปประยุทธ์เองก็มาที่นี่ คุณไม่คิดจะเปลี่ยนตัวหน่อยเหรอครับ” ชายหนุ่มหันมาถามซูจิ้งด้วยใบหน้าที่ทำท่าราวกับจะร้องไห้ออกมา
“ไม่ใช่ว่านายเห็นด้วยกับความร่วมมือในการทำแผนประชาสัมพันธ์ของฉันนี่หรอกเหรอ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ก็…..ก็ใช่ครับ แต่ผมไม่คิดว่าคู่ชกคนแรกของพ่อผมจะเป็นคนที่มีฝีมือแบบนี้” สองพี่น้องในตอนนี้เกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
เดิมทีแล้วพวกเขานั้นคิดเพียงแค่คิดว่าแผนประชาสัมพันธ์ของซูจิ้งนั้นจะเป็นเพียงการถ่ายภาพตอนที่พ่อของเขาเดิน กิน วิ่ง กระโดด หรือทำกิจวัตรประจำวันโดยอวัยวะเทียมตามที่เขาเคยเห็นต่างประเทศทำกันเท่านั้นเอง
ใครจะไปคิดว่าแผนการประชาสัมพันธ์อวัยวะเทียมของซูจิ้งจะเป็นการให้ไปท้าต่อยกับนักสู้มากความสามารถ หากนี่เป็นเรื่องตลกพวกเขาก็อยากจะให้หยุดเสียเดี๋ยวนี้จริงๆ
“นี่คือพ่อของพวกเธอเหรอ” ฮู่ฮงหยางและคนอื่นๆที่เห็นสองพี่น้องคุยกับซูจิ้งต่างก็ประหลาดใจ ดูจากอายุของชายหนุ่มและหญิงสาวตรงหน้าพวกเขาแล้ว เทียนดาจูน่าจะไม่ใช่เพียงคนที่น่าจะแก่แล้วล่ะ เขาคือคนที่แก่แล้วจริงๆ
“ครับ/ค่ะ” สองพี่น้องพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
“เดี๋ยวนะ แล้วไอ้แผนการประชาสัมพันธ์ที่ว่ามันคืออะไรเหรอ” จี้เสี่ยวถิงถามออกมา
“เดี๋ยวก็รู้น่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ในตอนนี้เองที่ผู้ตัดสินได้ส่งสัญญาณให้พี่เลี้ยงเตรียมตัวให้นักชกของตัวเอง
ตอนนี้เอง เทียนดาจูได้ขยับร่างกายแล้วดึงเสื้อคลุมออกไป ตอนนั้นเอง ทุกสรรพเสียงได้เงียบลง ทุกสายตาได้จับจ้องไปยังร่างกายของเทียนดาจู
ปากของหลายๆคนอ้ากว้างจนอยากจะทำให้ปลายคางตกไปอยู่กับพื้นเสียให้ได้ สายตาทุกคนในตอนนี้ราวกับได้เห็นภูตผีวิญญาณเลยทีเดียว
GGS:บทที่ 1009 นี่มันเรื่องตลกระดับชาติรึไงกัน
ผู้คนที่เห็นสภาพร่างกายหลังจากที่เทียนดาจูได้นำผ้าคลุมออกไปแล้วนั้น นอกจากร่างกายที่ผอมมากๆจนราวกับจะเรียกได้ว่าหนังหุ้มกระดูกแล้ว ไม่ว่ามองจากส่วนนี้ดูยังไงแล้วเขานั้นก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น
แต่เมื่อทุกคนมองไปยังขาขวาและแขนทั้งสองข้างที่ดำมันวาวราวกับอวัยวะเทียมแล้วทำให้พวกเขานั้นรู้สึกประหลาดใจ มันดูสูงล้ำและหล่อเท่ แต่เมื่อทุกคนดูดีๆแล้วต่างก็คิดได้ว่ามันคือแขนขาเทียมจริงๆ
“ฉิบ… นี่ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่รึเปล่า”
“นี่มันอะไรกัน นี่เขาจะเอาคนพิการมาแข่งงั้นเหรอ”
“นี่มันไม่ได้เท่ากับว่าพาเขามาตายเปล่าหรอกเหรอ”
“ตอนแรกฉันนึกว่าจะเป็นปรมาจารย์ซะอีก ใครจะไปคิดว่านอกจากจะไม่ใช่นักสู้แล้ว แต่คนๆนี้ยังเป็นคนพิการ”
“มันจบแล้ว เขาต้องตายแน่ๆ”
“….แต่….เขานั้นเดินไปมาอย่างสบายๆเลยนะ ไม่ว่าฉันมองยังไงก็ไม่เหมือนกับอวัยวะเทียมที่ฉันเคนเห็นเลย ฉันว่านี่น่าจะเป็นอวัยวะเทียมที่ซูจิ้งพัฒนาขึ้นมา”
“อวัยวะเทียมนี้ช่างดูดีเสียนี่กระไร หากเป็นช่วงเวลาอื่นฉันก็คงจะกรี๊ดแตกไปแล้ว แต่ยังไงซะอวัยวะเทียมก็คืออวัยวะเทียมอยู่ดี หากว่าต้องนำมาใช้ในการต่อสู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักสู้มืออาชีพแบบนี้ เท่ากับว่านี่เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ”
“คราวนี้ซูจิ้งจะทำเกินไปแล้ว”
เหล่าผู้ชมที่คาดหวังไว้อย่างมาก เมื่อพวกเขาได้เห็นฉากนี้ต่างก็ทำหน้าโง่งม แม้แต่เหล่านักสู้อย่างฮู่ฮงหยาง ฮู่เฟยหยุน ไคหวูเฟิง จี้เสี่ยวถิง หวูหลง และคนอื่นๆต่างก็นิ่งเงียบไปนานและไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้
“ห้ะ นายจะทำอะไรกันแน่เนี่ย” ฮู่ฮงหยางที่เมื่อตั้งสติได้ก็สะดุ้งเฮือกและพูดออกมา
“อืมมมมม…. นี่นายอยากจะใช้งานประลองนี่ในการประชาสัมพันธ์อวัยวะเทียมที่นายพัฒนามาสินะ แต่ฉันว่านายควรจะเลือกวิธีการอื่นมากกว่าวิธีนี้
วิธีการนี้เท่ากับว่าเป็นการสังเวยศิลปะการต่อสู้จีนเพียงเพื่อการประชาสัมพันธ์อวัยวะเทียมนี้มันคุ้มกันเหรอ แถมหลังจากที่เทียนดาจูถูกจัดการ อวัยวะเทียมนั่นเองก็สมควรเสียหายอย่างมาก นี่ไม่ใช่ว่ามันจะขัดขวางกระบวนการผลิตรึไงกัน” ไคหวูเฟิงพูดออกมา
“พี่จิ้ง พี่กำลังเล่นอยู่กับไฟนะ” ฮู่เฟยหยุนที่ได้ยินก็ถึงกับพูดไม่ออก ถึงแม้ว่าเขานั้นจะชอบดูอะไรที่มันตื่นเต้นๆ แต่ในครั้งนี้เป็นการต่อสู้ที่มีเกียรติประวัติของศิลปะการต่อสู้จีนเป็นเดิมพันเลยนะ
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมสองพี่น้องเมื่อครู่นี้ถึงได้มีท่าทีกระวนกระวายนัก ใครจะไม่กังวลได้ล่ะหากพ่อของตัวเองที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ต้องใส่อวัยวะเทียมไปท้าสู้กับนักสู้มืออาชีพแบบนี้
นี่ไม่ต่างกับการปล่อยให้ตั๊กแตนขับรถเลยนะ
“ถึงแม้ว่าฉันจะใช้โอกาสนี้ในการประชาสัมพันธ์อวัยวะเทียมของฉันก็จริง แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ยังต้องการยกระดับให้กับศิลปะการต่อสู้จีนด้วยเช่นเดียวกัน
เอาน่า การประลองยังไม่ได้เริ่มเลย ใครจะไปรู้ เทียนดาจูอาจจะกระทืบฝั่งตรงข้ามจมดินไปเลยก็ได้นา…” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ห้อ นี่จะหมายความว่าเขานั้นมีโอกาสชนะ จริงๆเหรอ” จี้เสี่ยวถิงที่ได้ยินก็อดแสดงท่าทีตกใจไม่ได้
“ต่อให้ขาเทียมนั่นจะเดินได้อย่างง่ายดายก็จริง แต่เมื่อถึงเวลาต่อสู้ อวัยวะเทียมเหล่านั้นสมควรจะทำให้เกิดช่องว่างให้ถูกโจมตีไม่น้อย
โดยเฉพาะกับอีกฝั่งที่เป็นนักสู้มืออาชีพด้วยแล้ว ไม่น่าจะชนะได้ง่ายๆนะ” หวูหลงพูดออกมา
“อ้ะ หรือว่าเทียนดาจูผู้นี้จะเป็นนักสู้ที่ฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กงั้นเหรอ” ฮู่ฮงหยางอดไม่ได้ที่จะถามออกมา พลางคิดถึงความเป็นไปได้ที่ไม่น่าเป็นไปได้นี้ขึ้นมา และเชื่อว่าต่อให้เทียนดาจูเป็นปรมาจารย์จริงก็ยังไม่น่าจะชนะได้อยู่ดี
“เรื่องนี้…” เมื่อซูจิ้งคิดอยู่ว่าจะทำยังไงให้เหล่านักสู้พวกนี้เลิกถามและเชื่อใจเขาบ้าง สองพี่น้องก็ได้ตอบแทนซูจิ้งว่า “พ่อของพวกเราไม่เคยเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้มาก่อนเลยในชีวิตนี้ มีเพียงเมื่อสามวันก่อนเท่านั้นที่คุณซูได้ถ่ายทอดวิชาให้เขา”
“……….” ฮู่ฮงหยาง ฮู่เฟยหยุน จี้เสี่ยวถิง หวูหลง และคนอื่นๆที่ได้ยินต่างก็เงียบงันไป พวกเขารู้สึกในทันทีว่างวดนี้สมองของซูจิ้งสะดุดไปแล้วรึไงกัน ไม่อย่างนั้นเขาจะคิดวิธีการแบบนี้ออกมาได้เหรอ
ให้ชายร่างผอมแห้งที่มีอายุมากกว่าสี่สิบปีที่เพิ่งจะเรียนศิลปะการต่อสู้จีนได้เพียงสามวันพร้อมอวัยวะเทียมอีกสามชิ้น แถมยังเป็นการให้มาต่อสู้กับนักสู้มากฝีมือแบบนี้อีก พระเจ้าช่วยด้วยเถอะ ช่วยทำให้เขาเปลี่ยนใจที
“ไม่ได้ผลหรอกน่า เปลี่ยนคนเถอะ” ฮู่ฮงหยางพูดออกมา
“เชื่อใจผมเถอะน่า ให้เขาจัดการไปนั่นแหล่ะ” ซูจิ้งตอบ
“จะไม่เกินไปหน่อยเหรอที่คู่ชกคนแรกของเขาเป็นนักชกมากฝีมือแบบนี้” ฮู่ฮงหยางยังคงกังวลอยู่เล็กน้อย เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมซูจิ้งถึงได้มั่นใจในตัวเทียนดาจูนัก
“เขายังไม่เริ่มสู้กันเลยนะครับ เอาไว้เขาสู้กันเสร็จค่อยตัดสินกันก็ไม่เสียหาย หากเขาแพ้ล่ะก็ผมยอมให้เฟยหยุนไปสู้แทนก็ได้ หรือไม่ก็ผมจะลงไปสู้เองก็ไม่มีปัญหาครับ” ซูจิ้งพูดตอบ
เมื่อฮู่ฮงหยางได้ยินแบบนั้น เขาเองก็อยากจะพูดอะไรต่ออีกสักสองสามคำแต่เมื่อเห็นท่าทีของซูจิ้งแล้วเขาจึงไม่อยากจะพูดอะไรต่อ
หากว่าต้องเปลี่ยนตัวนักสู้หลังพ่ายแพ้มันก็เปรียบได้ดั่งกับการเป็นพวกไม่ยอมแพ้อยู่กลายๆ ต่อให้มชนะทีหลังก็สมควรจะเสียชื่อเสียงไปไม่น้อยเลย
ถึงแม้ว่าการที่นักสู้ชาวต่างชาติคนนั้นจะไม่ได้เสียแรงอะไรกับการจัดการเทียนดาจูแม้แต่น้อย แต่นั่นก็ยังสร้างชื่อเสียงไม่ดีอยู่ดี
เอาเถอะ ในเมื่อเทียนดาจูขึ้นเวทีไปแล้วล่ะก็ ต่อให้เรียกลงมาเปลี่ยนตัวตอนนี้ก็ทำให้ชื่อเสียงไม่ดีอยู่ดี ก็คงต้องปล่อยให้ซูจิ้งเป็นคนตัดสินใจเรื่องในครั้งนี้ไปแล้วกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” อีกฝากของสนามประลอง วิลได้หัวเราะดังลั่นในขณะที่มองมายังเทียนดาจูอย่างอดไม่ได้ ผู้จัดการของเขาเองที่มาคอยยืนอยู่ข้างๆก็พยายามที่จะกลั้นไม่ให้ตัวเองหัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน
กับฝั่งตรงข้ามที่เลือกจะส่งคนพิการออกมาท้าประลองแบบนี้ไม่ต่างไปจากพวกนั้นรนหาที่ตาย แต่ก็ดี สำหรับพวกเขาแล้วถือได้ว่าเฉือดนิ่มๆไม่ต้องเสียแรง
“พร้อมรึยึง” กรรมการได้ถามทั้งคู่ด้วยสีหน้าสงสัยอย่างแท้จริงโดยเฉพาะกับเทียนดาจู นี่เป็นครั้งแรกของเขาเช่นเดียวกันที่ต้องมาเป็นกรรมการการต่อสู้ให้กับผู้พิการแบบนี้และอีกฝั่งเป็นถึงนักสู้มืออาชีพด้วยแล้ว เขาเองหวังเพียงว่าจะไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นเท่านั้นเอง
“พร้อม” วิลพยักหน้า
“พร้อมเสมอ” เทียนดาจูพยักหน้รับ ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าประหม่าอย่างมาก แต่เขานั้นก็พยายามกดข่มอาการเอาไว้
“ถ้าอย่างนั้น….เริ่ม” เพียงสิ้นเสียง กรรมการได้สับมือลงตรงหน้าของคนทั้งสองเพื่อเป็นสัญญาณว่าการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว
เทียนดาจูในตอนนี้ตั้งท่าในรูปแบบป้องกันตามเพลงหมัดไท้เก๊กในทันที เหล่าผู้ชมการต่อสู้ต่างก็ตกใจกันไปหมด นั่นก็เพราะพวกเขาเห็นได้ชัดเจนว่าแขนเทียมองเทียนดาจูนั้นขยับได้อย่างอิสระ
ไม่เพียงแค่ยกแขนมาป้องกันได้ด้วยการตั้งข้อศอกขึ้น ทั้งข้อมือและข้อนิ้วของเขายังขยับได้อย่างง่ายดาย และตอนนี้เขาเองก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อมของไท้เก๊กเรียบร้อยแล้ว
ทางฝั่งวิล เขานั้นไม่ได้มีท่าทีจริงจังอะไร ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะอย่งเห็นได้ชัด เขานั้นรักษาระยะห่างและเคลื่อนไหวไปรอบๆเทียนดาจูราวกับพยายามเล่นเป็นบทหมาป่าหยอกแกะ(หมาหยอกไก่)
“นายว่าเทียนดาจูจะอยู่ในเวทีได้อีกกี่วิ”
“ฉันว่าสิบ”
“ฉันว่าห้านะ สมควรจะเป็นถูกจัดการในทีเดียว”
“ฉันว่าอย่างต่ำๆกว่าจะได้เห็นฉากนั้นก็คงอีกสักสองนาทีได้น่ะ พวกนายไม่เห็นเหรอว่าหมอนั่นไม่ได้มีท่าทีจะจัดการเทียนดาจูแม้แต่น้อย ดูท่าทางของหมอนั่นสิ ฉันว่าเขาคงจะไล่อัดเทียนดาจูจนหนำใจก่อนที่จะซัดทีเดียวจอดนั่นแหล่ะ”
“เรื่องนั้นฉันว่าช่างมันเถอะ ฉันว่าอวัยวะเทียมของเทียนดาจูนี่สุดยอดไปเลยนะ”
“มันเร็วไปที่จะกล่าวชมนะ ฉันว่ามันน่าจะเป็นตัวโชว์ที่ทำดีกว่ารุ่นขายปกตินะ”
ท่ามกลางเสียงผู้ชมที่เซ็งแซ่ เทียนดาจูในตอนนี้รู้สึกประหม่ามากกว่าเดิม ตอนนั้นเอง วิลได้ก้าวเข้าไปข้างหน้าพร้อมทั้งต่อยหมัดแย็บซ้ายออกมาหนึ่งที เทียนดาจูเองที่เตรียมตัวไว้แล้วก็ได้ถอยล่นอย่างเร่งรีบ
แต่ด้วยความประหม่าทำให้เขานั้นเคลื่อนไหวช้าไปทำให้หมัดของวิลเข้าไปที่ใบหน้าของเขาไปหนึ่งทีจนทำให้เขากระเด็นไปข้างหลังอีกสามก้าวก่อนที่จะยืนได้อย่างมั่นคง
ด้วยการนี่เป็นเพียงหมัดแย็บ ทำให้พลังของหมัดนั้นไม่ได้สูงมากจนต้องเจ็บสาหัส แต่นี่ก็มากพอที่จะทำให้แก้มของเทียนดาจูต้องได้รับบาดเจ็บ ถึงแม้แจะไม่ได้มากมายแต่แก้มของเขาก็เป็นรอยแดงช้ำขึ้นมาเล็กน้อย
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ชมประหลาดใจที่สุดนั้นไม่ใช่การที่เทียนดาจูหลบได้ แต่เป็นขาเทียมของเขานั้นยืดหยุ่นอย่างมาก และไม่เพียงแค่ขาเท่านั้น ทั้งเข่า ข้อเท้า และนิ้วเท้าของขาเทียมนี้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยแท้
“เทียนดาจู สงบสติลงหน่อย อย่าลืมสิ่งที่ผมสอนไปสิ” ซูจิ้งตะโกนจากข้างเวที
“ได้” เทียนดาจูที่ได้ยินดังนั้นได้ทำการสูดหายใจเข้าลึกๆและพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง
“เฮ้เฮ้” วิลยิ้มออกมาพลางคิดออกมาว่าต่อให้สงบสติอารมณ์ลงได้ก็ไม่ช่วยอะไรหรอก คราวนี้วิลได้ทำการแย็บหมัดซ้ายออกมาซึ่งในครั้งนี้เทียนดาจูก็ตอบสนองได้ทันและทำการหลบเลี่ยง
แต่นี่เป็นเพียงหมัดลวงของวิลเท่านั้น ทันทีที่เขาชักหมัดแย็บซ้อยกลับเข้ามากลางคัน เขาก็ได้ปล่อยหมัดฮุคขวาออกมาในทันที
ทุกๆคนในที่นี่รู้ดีว่าหมัดฮุคนั้นมีพลังทำลายล้างหนักหน่วงกว่าหมัดแย็บอย่างมาก โดยเฉพาะหมัดฮุคของนักสู้มืออาชีพแบบนี้ยั่งทำให้คู่ต่อสู้ล้มคว่ำมาอย่างง่ายดายนักต่อนักแล้ว
ตอนนี้เอง เทียนดาจูคนที่ควรจะหมอบกระแตลงไปตั้งนานแล้วกลับกลายเป็นเคลื่อนไหวร่างกายด้วยท่วงท่าที่ไหลลื่นจนทำให้ผู้คนต้องประทับใจ
เขาได้ใช้แขนเทียมข้างขวาของเขาปัดการโจมตีจากหมัดฮุคขวาของวิลได้อย่างง่ายดาย
ในขณะเดียวกันเขาก็ได้กระทืบเท้าขวาเทียมของตัวเองลงบนพื้นอย่างหนักแน่นเป็นหลักของร่างกาย
พร้อมทำการหมุนวนตัวเองโดยมือขวาของได้คว้ามือขวาวิลไว้อย่างแน่นหนา ส่วนที่มือซ้ายของเขานั้นกดลงไปที่สะบักหลังด้านขวาของวิลอย่างลื่นไหลราวสายน้ำ
GGS:บทที่ 1010 สุดยอดอวัยวะเทียม
การเคลื่อนไหวของเทียนดาจูนั้นเต็มไปด้วยทักษะแห่งไท้เก๊กอย่างแรงกล้า การเคลื่อนไหวของเขานั้นไหลลื่นราวกับสายน้ำและสายลม นี่คือที่มาของคำว่าสูงสุดคือสามัญ
ด้วยการเคลื่อนไหวที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนนี้ทำให้นักศิลปะการต่อสู้จีนอย่างฮู่ฮงหยาง ไคหวูเฟิง และคนอื่นๆถึงกับตาเป็นประกายในทันที
ด้วยการดึงและผลักของเทียนดาจูนี้ทำให้วิลตันหรือนักสู้ผู้ท้าทายศิลปะการต่อสู้จีนต้องเสียหลักพุ่งไปข้างหน้าจนแทบจะล้มหน้าขมำ
อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์อันโชกโชนของเขานั้นทำให้เขาตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว
แต่นั่นก็ยังไม่ดีพอเพราะเมื่อเขารู้ตัวก็พบว่ามือเหล็กของเทียนดาจูยังคงดึงเขาให้พุ่งไปข้างหน้าจนเมื่อเทียนดาจูได้ปล่อยมือไปแล้วใบหน้าอันแข็งกร้าวของวิลตันก็ต้องไถลกับพื้นเวทีในที่สุด
และการไถลนี้ไม่ใช่การเสียหลักธรรมดาแต่เป็นเทียนดาจูเองที่หลังจากดึงวิลตันจนเกือบถลาหน้าลงจอดพื้น
เทียนดาจูได้ใช้ไหล่ขวากระแทกกับสะบักหลังแขนขวาของวิลตันช่วยเพิ่มแรงให้เกิดใบหน้าของวิลตันได้ลงจอดไปยังพื้นอย่างสวยงาม
นี่เองราวกับเป็นการลั่นกลองเปิดศึก วิลตันที่เลือดขึ้นหน้าได้ดีดตัวม้วนหน้าให้ลำตัวตั้งกับพื้นที่ห่างจากเทียนดาจูเป็นระยะสามก้าว
ในตอนนี้เขานั้นยืนนิ่งๆราวกับทบทวนเรื่องราว และตอนนี้เองที่เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ทั้งที่ใบหน้า และสะบักหลัง
เขายินหนึ่งยืนนานพอสมควร นั่นก็เพราะความเจ็บปวดนี้มันเกิดขึ้นในกล้ามเนื้อส่วนลึกจนเขานั้นเริ่มรู้สึกได้เลยว่าแขนของเขานั้นไม่สามารถใช้การได้มากนัก ทำได้เพียงยกขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ตอนนี้เองที่น้ำตาของเขาได้ไหลออกมา เขารู้ดีว่าตัวเองมีจุดอ่อนอยู่ทีสะบักหลังนี้ แต่ไม่คิดว่าเทียนดาจูนั้นเพียงโจมตีส่งๆมาแต่กลับเจาะเข้าจุดอ่อนของเขา
ความเจ็บปวดได้แล่นเข้าสู่สมองมากขึ้นจนทำให้วิลตันต้องกึ่งกระโดดกึ่งถอยหนีในทันที พร้อมความรู้สึกอันสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้แต่ผู้จัดการของวิลตันเองก็สับสนไม่ต่างกัน
ผู้ชมการแข่งขันที่เห็นฉากนี้ต่างก็ทำได้เพียงแค่หน้าโง่งม
“พระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“โจมตีสวนกลับ ฉันว่าเทียนดาจูน่าโจมตีสวนกลับเข้าจุดอ่อนนะ”
“แขนเหล็กและขาเหล็กของเขานี่ยืดหยุ่นชะมัด”
“ไม่เพียงเท่านั้นนะ แขนขานั่นมันราวกับว่าจะแข็งก็ได้จะอ่อนก็ได้ มันเหมือนกับว่าอวัยวะพวกนี้มันเปลี่ยนสภาพตัวเองได้ยังไงอย่างนั้น อวัยวะเทียมพวกนี้เหมาะเจาะกับหมัดไท้เก๊กดีได้อย่างลงตัว”
“การเคลื่อนไหวนั่น….ดูเหมือนว่าเขานั้นเป็นปรมาจารย์ไทเก๊กนะ”
“นั่นน่ะสิ ช่างคาดไม่ถึงเลยจริงๆ”
“เป็นไปได้ยังไง นี่เขาเพิ่งจะเรียนเพียงสองสามวันจริงๆเหรอ” ฮู่ฮงหยางได้พูดออกมาด้วยสายตาที่ตกตะลึง
“ยิ่งไปกว่านั้น อวัยวะเทียมนั่นมันยืดหยุ่นมากเลยนะ เมื่อไหร่กันที่เทคโนโลยีอวัยวะเทียมมาได้ถึงขนาดนี้แล้ว”ไคหวูเฟิงพูดออกมาด้วยท่าทีไม่ต่างกัน
ฮู่เฟยหยุน จี้เสี่ยวถิง หวูหลง และคนอื่นๆต่างก็มีสภาพไม่ต่างกันและพวกเขาไม่ได้พูดอะไรออกมา สองพี่น้องลูกของเทียนดาจุนเองก็สับสนไม่น้อยเลยทีเดียว
นั่นก็เพราะว่าพ่อของพวกเขานั้นเพิ่งจะห่างจากพวกเขาไปฝึกวิชากับซูจิ้งเพียงสามวันเท่านั้น และทำไมตอนนี้เขาถึงได้เก่งกาจขนาดนี้
“นี่ๆ ผมบอกแล้วนี่ครับต้องวางมาดในทุกท่วงท่า” ซูจิ้งกล่าวทัดทานออกมาด้วยรอยยิ้ม เอาจริงๆเขาแค่อยากจะตบหน้าของนักสู้มะกันคนนั้น
อวัยวะเทียมนี้เขานั้นได้มาจากขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศโจโจ้ล่าข้ามศตวรรษ เจ้าของแขนเทียมนี้คือสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ในห้วงเวลาฯนั้นได้สร้างขึ้นมาเองกับมือ
นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่แขนข้างนี้จะเคลื่อนไหวได้ราวกับเป็นอวัยวะของจริง แน่นอนว่าอวัยวะเทียมส่วนอื่นนั้นเป็นสถาบันวิจัยของเขาเป็นผู้ตัฒนาขึ้นมา
ในการที่จะให้อวัยวะเทียมเคลื่อนไหวได้ราวกับเป็นอวัยวะจริงๆนั้น โดยปกติแล้วจะต้องมีการบวนการหนึ่งที่เรียกว่าความทรงจำของกล้ามเนื้อ
มันเป็นการทำอะไรซ้ำๆเพื่อที่จะได้คุ้นชินกับอวัยวะเทียมให้ใช้ได้อย่างเหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวันของเจ้าของให้ได้มากที่สุด
แน่นอนว่ากระบวนการนี้จะไม่เกิดขึ้นในอวัยวะเทียมของซูจิ้ง เหตุผลก็เพราะว่าอวัยวะเทียมของซูจิ้งนั้นการเคลื่อนไหวต่างๆจะเชื่อมต่อกับสมองโดยตรง
ตราบใดที่สมองยังสั่งการได้อย่างปกติ อวัยวะเทียมเหล่านี้จะสามารถทำได้ทุกสิ่งอย่างราวกับมันเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย และนี่เองจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอวัยวะเทียมอื่นๆเทียบไม่ได้และยากต่อการพัฒนาให้สมบูรณ์
แน่นอนว่าหากอวัยวะเทียมอื่นๆสามารถก้าวผ่านขีดจำกัดนี้ไปได้ อย่าว่าแต่การยกแก้วดื่มน้ำเลย แม้แต่หยิบของกิน การเขียน วาดภาพ หรือแม้แต่การใช้ในการต่อสู้ก็สามารถทำได้
โดยเฉพาะอวัยวะเทียมของซูจิ้งแล้ว ตราบเท่าที่คนที่ใช้มีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์ พวกเขาไม่ต้องผ่านการใช้ซ้ำๆนั้นแต่อย่างใด ต่อให้เป็นคนโง่ที่สมองไม่ดี ตราบใดที่ยังมีสมองปกติก็ยังใช้คล่องอย่างง่ายดาย
เทียนดาจูนั้นแต่เดิมสมองของเขาไม่ได้ดีนักเพราะผ่านเหตุการณ์เจ็บปวดมาอย่างยาวนาน แต่ด้วยการสอนสั่งของซูจิ้งแล้วเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งนั้นไม่เพียงสอนเขาแบบตัวต่อตัวเท่านั้น เขายังได้สะกดจิตเทียนดาจูในระหว่างฝึกสอนและนั่นเป็นเพียงการสั่งการสมองของเขาให้จดใจการเคลื่อนไหวต่างๆได้อย่างมั่นยำมากขึ้น
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเทียนดาจูสามารถจดจำกระบวนท่าต่างๆในหมัดไท้เก๊กได้อย่างสมบูรณ์แน่นอนว่าทั้งกระบวนท่ารุกและกระบวนท่ารับ
ด้วยเหตุนี้ตัวเขานั้นเปรียบได้ดั่งปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้หมัดไท้เก๊กนี้ไปแล้ว เพียงแค่ก่อนหน้านี้เขาประหม่ามากเกินไปทำให้โดนโจมตีได้ง่ายๆเท่านั้น
“ต้องแค่บังเอิญแน่ๆ” ตอนนี้สะบักหลังของแขนขวาของวิลตันนั้นเริ่มเจ็บปวดน้อยลงแล้ว และเขาเองไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าคนพิการที่อยู่ตรงหน้าจะแข็งแกร่งมากไปกว่าเขา
เขาคิดไปว่าเป็นเพียงเพราะเขาประมาทมากเกินไปจึงได้พลาดท่าได้ง่ายๆ และเป็นเพียงเหตุบังเอิญเท่านั้นที่เทียนดาจูโจมตีโดนจุดอ่อนของเขาพอดี
ตอนนี้วิลตันได้ทำการสงบจิตใจลงแล้ว เขาตั้งท่าต่อสู้ในทันทีและได้ก้าวเข้าหาเทียนดาจูอย่างหนักแน่นราวกับเจอคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจ
ทางฝั่งเทียนดาจูเอง หลังจากที่เขาสามารถเคลื่อนไหวตอบโต้วิลตันได้สำเร็จไปแล้วหนึ่งกระบวนท่า ตอนนี้เขาได้มีความรู้สึกมั่นใจมากขึ้นและไม่ประหม่าอีกต่อไป
เขาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมด้วยเช่นกัน ท่าทางของเขาหนักแน่นราวหินผาราวกับเป็นปรมาจารย์หมัดไท้เก๊กคนหนึ่ง
ตอนนี้ทั้งคู่ไม่ได้ประมาทคู่ต่อสู้ของตัวเองอีกต่อไป และก็ยังไม่มีใครเริ่มต้นโจมตีแต่อย่างใดต่างดูเชิงกันอย่างสงบ
ไม่นานนักทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับกันอย่างดุเดือดสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้ผู้ชมได้อย่างมาก ผู้ชมนั้นส่วนใหญ่แล้วล้วนให้ความสนใจกับเทียนดาจูเป็นพิเศษ
นั่นก็เพราะว่าอยากจะสังเกตประสิทธิภาพของอวัยวะเทียมของเทียนดาจูเพื่อหาข้อด้อยของพวกมัน แต่กลายเป็นว่ายิ่งผู้ชมมองยิ่งตกตะลึง บางคนเริ่มคิดว่านี่เป็นภาพลวงตาไปน้อยคนทีเดียว
นั่นก็เพราะว่าภาพที่ทุกคนเห็นนั้นมันราวกับว่าเทียนดาจูเป็นคนสมบูรณ์ธรรมดา ไม่ได้มีท่าทีว่าเขานั้นได้สวมใส่อวัยวะเทียมเลยแม้แต่น้อย
และที่น่าขำไปกว่านั้นก็คือในขณะที่สองคนกำลังแลกหมัดกันอย่างนัวเนียนั้น วิลตันได้ถูกหมัดของเทียนดาจู่ต่อยเข้าไปเต็มๆ นั่นทำให้เขานั้นต้องเผลอกัดฟันด้วยความเจ็บปวดจนน้ำตาของเขาต้องไหลออกมาอีกครั้ง
วิลตันตอบโต้ด้วยการเคลื่อนไหวหลอกอีกครั้งโดยการแกล้งแย็บออกไปก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเตะออกมา ในตอนนั้นที่ผู้ชมเริ่มเอะใจว่าเขากำลังจะทำอะไร วิลตันก็ได้หมุนตัวเตะไปยังเป้าของเทียนดาจูเรียบร้อยแล้ว
เทียนดาจูเองก็ตกใจไปเล็กน้อยแต่การเคลื่อนไหวของเขานั้นไม่ได้หยุดชะงักแต่อย่างใด เขาได้หลบฉากออกมาครึ่งก้าวในทันที และเมื่อลูกเตะพลาดเป้าของเขาไป เขาก็ได้ก้าวเข้าไปชิดวิลตันต่อก่อนที่จะโจมตีในทันที
ฉากนี้ทำให้ผู้คนนั้นตื่นตะลึงเพราะว่าการเคลื่อนที่ของเทียนดาจูนั้นรวดเร็วมาก แม้แต่วิลตันเองก็ยังแทบตามไม่ทัน เมื่อวิลตันตั้งตัวได้เขาก็ได้ฟันศอกลงไปยังอกของเทียนดาจู
เป็นอีกครั้งที่เทียนดาจูได้หลบฉากออกไปอีกครั้งด้วยกระบวนท่าหนึ่งของเพลงหมัดไท๊เก๊ก เขาในตอนนี้เปรียบได้ดั่งเมฆหมอกและสายน้ำ
ด้วยสายตาอันแหลมคมของเทียนดาจู ทันทีที่เขาหลบฉากหลบการฟันศอกของวิลตันมาได้ ตอนนั้นเองก็ได้ทำการดึงวิลตันไปตามทิศทางที่วิลตันฟันศอกจนทำให้ร่างกายของวิลตันสูญเสียการทรงตัวอีกครั้ง
และในตอนนี้เอง ขาขวาโลหะของเทียนดาจู่ได้ยกตัวขึ้นและฟาดลงไปยังสีข้างของวิลตันอย่างรวดเร็วและหนักหน่วงจนเกิดเสียงดังลั่นสนาม
ร่างกายของวิลตันนั้นบิดงอราวกับกุ้งตัวหนึ่ง และก่อนที่วิลตันจะทำอะไรต่อได้ เทียนดาจูได้ทิ้งศอกขวาของเขาลงมาที่หลังที่กำลังโค้งงอของวิลตันไปหนึ่งที
ราวกับวิลตันโดนทุบด้วยค้อนปอนด์เหล็ก ร่างกายของเขาอัดลงไปกระแทกกับพื้นอย่างหนักหน่วง วิลตันลงไปชักดิ้นชักงออยู่ที่พื้นอย่างเจ็บปวดและไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
วิลตันในตอนนี้กำลังซึมซับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นที่สีข้างและหลังของเขาอย่างทุกข์ทรมาน เทียนดาจูเองก็ไม่ได้มีท่าทีรีรอแต่อย่างใด เขาได้ใช้ฝ่ามือเหล็กของเขาสับไปที่หลังคอของวิลตันไปหนึ่งที และนี่เองทำให้วิลตันที่กำลังชักดิ้นชักงอนิ่งสนิทไปกับพื้นเวทีปะลองอย่างไม่ไหวติง
หลังจากผ่านไปสองสามวินาที รอบสนามต่างก็ส่งเสียงเอ็ดตะโรกันอย่างจ้าล่ะหวั่น
“ฉิบ…. วิลตันแพ้เหรอ”
“นี่ฉันฝันไปรึเปล่า นักสู้มืออาชีพพ่ายแพ้ให้คนพิการ”
“….แถมโดนแค่สองทีอีก”
“ตอนนั้นฉันเห็นการเคลื่อนไหวของเทียนดาจูแล้วนะ อวัยวะเทียมของเขานั้นยืดหยุ่นมาก โดยเฉพาะการโจมตีครั้งสุดท้ายนั่น ฉันมองแทบไม่ทันเลย ความเร็วที่เขาใช้นั้นมันรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด ฉันว่าท่านี้ฟันอิฐให้ขาดสองท่อนได้ง่ายๆเลยนะ”
“อวัยวะเทียมของเขานั้นเท่จริงๆ สุดยอดไปเลย”
“อย่างกับแขนกลในนิยายวิทยาศาสตร์แน่ะ”
“เสียดายจริงๆที่อวัยวะฉันครบถ้วน ไม่งั้นคงหาติดไว้ใช้สักอัน”
ผู้คนในสนามต่างก็โห่ร้องออกมา บางคนก็โห่ร้องด้วยความตื่นเต้นยินดี แต่ที่แน่ๆคือทุกคนนั้นต่างก็ไม่เชื่อในสายตาตัวเอง ในสายตาของพวกเขาแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าราวกับกำลังดูหนังแนววิทยาศาสตร์ยังไงอย่างนั้นเลยทีเดียว
GGS:บทที่ 1011 โฆษณาชวนเชื่อ
“ช่วยวิลตันเร็วเข้า” สมาชิกในทีมของวิลตันที่นิ่งอึ้งอยู่นอนนั้นเมื่อได้ยินเสียงนี้ก็ตื่นจากภวังแล้วรีบตรงไปช่วยเหลือวิลตันในทันที
ก็ไม่แปลกที่พวกเขานั้นจะอึ้งจนนิ่งแต่อย่างใด นั่นก็เพราะพวกเขาเพิ่งจะได้เห็นคนพิการที่ใส่อวัยวะเทียมอัดนักสู้ที่เก่งที่สุดของพวกเขาสลบเหมือดไปต่อหน้า นี่เป็นฉากที่พวกเขาไม่ได้คาดคิดเอาไว้จริงๆ
“ชนะ? เทียนดาจูชนะเหรอ” จี้เสี่ยวถิงในตอนนี้ถามออกมาด้วยท่าทีอึ้งๆราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“แถม…ชนะได้ง่ายๆเลยนะนั่น เทียนดาจูนั่นสมควรจะไม่เคยขึ้นสู้ที่ไหนมาก่อนอย่างแน่นอน เห็นเขาประหม่าตั้งแต่ตอนแรกนั่นก็รู้แล้ว
หากไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเขาประหม่าล่ะก็ ฉันว่าวิลตันนั่นหมอบกระแตไปตั้งแต่ยังไม่ได้ขยับตัวด้วยซ้ำ” หวูหลงกล่าวสำทับออกมาอย่างตื่นเต้น
“อวัยวะเทียมนั่นเองก็เคลื่อนไหวได้อย่างสวยงามจนวางตาไม่ได้เลย” ตาของฮู่เฟยหยุนในตอนนี้จ้องไปยังอวัยวะเทียมของเทียนดาจุนอย่างเปล่งปะกาย เขาไม่เคยนึกฝันเลยจริงๆว่าจะต้องมาอิจฉาคนที่มีอวัยวะเทียมแบบนี้มาก่อน
“เพลงหมัดไท้เก๊กของเขาเองก็อยู่ในระดับสูงเลยนะ ยากที่จะเชื่อได้เลยจริงๆว่าเขาจะเพิ่งเรียนหมัดไท้เก๊กได้แค่สองสามวัน” ไคหวูเฟิงพูดออกมา
“ไม่นึกมาก่อนเลยว่าพ่อของพวกเราจะแข็งแกร่งขนาดนี้” ลูกๆของเทียนดาจูเองทำได้มองแบบอึ้งๆเท่านั้น
“อาจิ้ง นายทำได้ยังไงกัน” ฮู่ฮงหยางอดไม่ได้ที่จะถามออกมา ซูจิ้งเองที่ได้ยินก็แค่หัวเราะตอบแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
ผู้ชมโดยรอบตอนนี้พูดกันอย่างไม่หยุดปากราวกับว่ายอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ายังไม่ได้
“นี่ฉันฝันไปใช่รึเปล่า”
“นั่นสิ อย่างกับดูหนังไซไฟเลย”
“นายคิดว่าเทียนดาจูเก่งเพราะวิชาการต่อสู้ของเขาหรือว่าเป็นเพราะอวัยวะเทียมน่ะ”
“ถึงแม้ว่าอวัยวะเทียมนั่นจะเจ๋งมากก็จริงแต่หากเขาไม่ได้เรียนศิลปะการต่อสู้มาไม่มีทางเลยที่เขาจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วแบบนั้น แต่ขาเทียมนั่นก็สุดยอดไปเลยนะที่ไล่ตามการเคลื่อนไหวของศิลปะการต่อสู้ได้ทันแบบนี้”
“ฉันได้ยินมาว่าเทียนดาจูไม่ได้ฝีกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็กอะไรนั่นเลยนะ เขาพึ่งจะเรียนรู้จากซูจิ้งได้เพียงสองสามวันเท่านั้นเอง ก่อนหน้านี้เขายังต้องนั่งบนรถเข็นอยู่เลย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผู้คนในสนามต่างส่งต่อคำพูดออกไปก่อนที่จะจับจ้องไปยังเทียนดาจูที่กำลังก้าวเดินลงจากเวทีอย่างสงบเยือกเย็น
เมื่อเขาลงจากเวทีก็ได้คำนับซูจิ้งราวกับว่าเป็นการรายงานว่าภารกิจเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาจะเดินไปรับผ้าขนหนูที่ลูกสาวยื่นมาให้อย่างสบายอารมณ์มาเช็ดหน้าราวกับเพิ่งออกกำลังกายมาเหนื่อยๆ
แน่นอนว่าเขาใช้แขนเหล็กของเขามาซับหน้าราวกับใช้มือปกติ นี่ยิ่งทำให้ผู้ชมต่างก็มองตาไม่กระพริบ แม้แต่ฮู่เฟยหยุน จี้เสี่ยวถิง และนักศิลปะการต่อสู้คนอื่นๆเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน แถมพวกเขายังอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปจับ ราวกับเด็กน้อยที่เจอของเล่นที่ถูกใจแต่ไม่สามารถครอบครองไว้ได้
“ไปเถอะ” ซูจิ้งได้นำทีมของพวกเขาจากไป แต่ยังไม่ทันได้ออกไปดี วิลตันที่ได้ตื่นขึ้นมาอย่างสลึมสลือก็ได้จ้องมองยังแผ่นหลังอันผอมบางและแขนขาเหล็กของเทียนดาจู
ตอนนั้นเองเขาก็เหมือนจะเพิ่งนึกออกว่าเกิดอะไรขึ้น เขานั้นรับไม่ได้ที่ต้องแพ้ เขาพยายามจะลึกขึ้นแต่ก็ทำได้อย่างยากลำบาก และทันทีที่เขาลุกขึ้นได้ เขาก็พยายามตะโกนออกมาว่า “หยุ…”
เพียงยังไม่สุดเสียงดี ราวกับว่าอาการบาดเจ็บทั้งหลายราวกับเรียกร้องความเป็นธรรมที่ถูกลืมเลือน วิลตันพ่นเลือดออกมาจากปากกระจายไปทั่ว ร่างกายของเขาเกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนทำให้หัวของเขาหมุนและเกือบหมดสติไปอีกครั้ง
โค๊ช ผู้จัดการ คนในทีมของวิลตัน รวมทั้งหมอต้องรีบเข้ามาประคองก่อนที่จะพูดให้เขานั้นตัดใจไป พวกเขาเองก็ไม่อยากจะยอมรับแม้แต่น้อย
แต่จากฉากที่เห็นนั้นทำให้พวกเขารู้ดีว่าคู่ต่อสู้ในครั้งนี้แย็งแกร่งจนน่ากลัวเกินไป ต่อให้ต้องสู้กันอีกครั้งผลที่ได้ก็ไม่ต่างจากเดิม ดีไม่ดีจะแย่กว่านี้ด้วยซ้ำ
แถมต่อให้วิลตันจะชนะได้จริง แต่ตอนนี้เหล่าผู้คนที่แข็งแกร่งที่สุดในวงการศิลปะการต่อสู้จีนนั้นได้เคลื่อนไหวแล้ว
ต่อให้ชายพิการผู้นี้ต้องพ่ายแพ้ต่อพวกเขา แต่คนที่แกร่งกว่าอย่างไคหวูเฟิง ฮู่เฟยหยุน และซูจิ้งก็อยู่ตรงนี้ด้วย พวกเขาไม่ยินยอมให้พวกของวิลตันได้ดูถูกศิลปะการต่อสู้จีนอีกต่อไปอย่างแน่นอน
พวกเขาในตอนนี้เองต่างพึ่งจะเริ่มตระหนักในความน่ากลัวของศิลปะการต่อสู้จีนแล้ว โดยเฉพาะหากชายพิการผู้นี้เป็นเพียงแค่วัวชิมลางล่ะก็ พวกเขาก็ไม่มีหน้าที่จะเหยียบประเทศนี้ได้อีกต่อไป
นักข่าวหลายๆคนเองก็ได้พยายามติดตามกลุ่มของซูจิ้งไปตลอดทาง มีหลายคนเหมือนกันที่อดไม่ได้ที่จะขวางซูจิ้งและเทียนดาจูเอาไว้ให้หยุดสัมภาษณ์ก่อน
แต่ทันทีที่พวกเขาสบตาเข้ากับเทียนดาจูเท่านั้น ต่อให้เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่นั่นก็ทำให้เหล่านักข่าวที่สบตาไม่กล้าที่จะสัมภาษณ์แม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้มีท่าทีที่จะห้ามไม่ให้ถ่ายรูปหรือภาพวิดีโอ นี่ทำให้ช่างภาพกระหน่ำกล้องของตัวเองกันอย่างจ้าละหวั่นจนกระทั่งพวกของซูจิ้งและเทียนดาจูได้ก้าวขึ้นรถบัสและจากไป
เมื่อรถของพวกซูจิ้งได้จากไป นักข่าวได้เร่งรีบสร้างหัวข้อข่าวและปล่อยออกไปอย่าวรวดเร็ว
“เฮ้ ผลการประลองออกมาเร็วขนาดนี้ แทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าฝ่ายไหนชนะ”
“ฉันเชียร์เทียนดาจูนะ ยังไงซะเขาเองก็เป็นคนของซูจิ้ง เขาเองก็สมควรจะชนะด้วยศิลปะการต่อสู้จีนอย่างแน่นอน”
“แต่ฉันว่าแค่นั้นก็ไม่ได้ช่วยตัดสินได้เลยนะนั่น วิลตันคนนั้นก็ไม่ใช่นักสู้ข้างทางนะ หากเขาไม่เก่งจริงคงไม่ก่อเรื่องแบบนั้นหรอก”
“เดี๋ยวนะ นี่มัน…ฉันไม่ได้เข้าใจผิดใช่รึเปล่า เทียนดาจูเป็นคนพิการนี่นา แล้วเขาจะไปชนะวิลตันได้ยังไง”
“นั่นสิ แต่อวัยวะเทียมของเขานี่ดูดีมากเลยนะ โคตรเท่”
“ห้ะ ชนะ… เทียนดาจูชนะวิลตัน แถมยังจบลงโดยเกือบฆ่าอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วอีกด้วย นี่ฉันตาฝาดไปรึเปล่า”
“นี่คืออวัยวะเทียมที่โคตรเจ๋งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลยล่ะ”
“ก่อนหน้านี้ซูจิ้งออกมาบอกว่าเขานั้นกำลังพัฒนาอวัยวะเทียมอยู่ ฉันเองก็เห็นเขาโฆษณาเรื่องนี้ไปทั่วเลยนะ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นเขาออกมาใช้วิธีการแบบนี้ ฉันบอกได้เลยว่านี่เป็นการโฆษณาที่เจ๋งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา”
“มีคนบอกมาว่าซูจิ้งนั้นเพิ่งจะก้าวลงมาเล่นในตลาดเทคโนโลยีแน่นอนว่าเขาแค่จะชิมลางดูเฉยๆไม่มีทางจะลงมาในวงการนี้เต็มตัวอย่างแน่นอนและเขาจะไม่มีทางได้อะไรกลับไปเลย
ฉันอยากรู้จริงๆว่าไอ้คนที่พูดนี่ถ้ามาเห็นว่าอวัยวะเทียมของซูจิ้งนั้นทรงพลังขนาดนี้แล้วพวกนั้นจะทำหน้ายังไงกัน สวรรค์ทรงโปรดจริงๆที่ซูจิ้งตัดสินใจมาพัฒนาวงการเทคโนโลยีแบบนี้”
แต่เดิมนั้นทุกคนต่างก็คิดว่าการประลองระหว่างนักสู้ศิลปะการต่อจีนกับนักสู้มืออาชีพชาวอเมริการนั้นจะยืดเยื้อไปนาน และสุดท้ายเป็นชาวอเมริกาเป็นผู้ชนะ
ตอนนี้นักสู้ศิลปะการต่อสู้จีนจะชนะแล้ว แต่ทุกคนก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป เหตุผลก็เพราะพวกเขาต่างไปติดใจกับอวัยวะเทียมของซูจิ้งทีนักสู้จีนคนนี้ใช้
ทั้งข่าวและวิดีโอการต่อสู้นี้ได้เผยแพร่ขึ้นไปบนอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว จากในกลุ่มเพื่อน ส่งต่อไปเป็นการตั้งกระทู้ ส่งออกไปยังฟอรั่ม ไมโครบลอก และเว็บไซต์ต่างๆ จนก่อนให้เกิดแรงกระเพื่อมในโลกอินเตอร์เน็ตอีกครั้ง
และเพียงชาวเน็ตได้เห็นข่าวและวิดีโอเหล่านี้ในแวบแรก พวกเขานั้นได้แต่เพียงทำหน้าโง่งมราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“ลูกพี่ฮัว ไม่ดีแล้วครับ” ชายหนุ่มหล่อคนหนึ่งได้โทรหาฮัวหยุนชู น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
“เกิดอะไรขึ้น” ฮัวหยุนชูถามออกมา
“ผลิตภัณฑ์อวัยวะเทียมที่ซูจิ้งพัฒนาขึ้นถูกโฆษณาไปแล้วครับ”
“หืม? ทำไมฉันไม่ได้ยินว่ามันจะจัดงานแถลงออกมาล่ะ แล้วอวัยวะเทียมของมันเป็นยังไงบ้าง”
“หมอนั่นไม่ได้จัดงานแถลงครับ เขาเลือกใช้วิธีที่แตกต่างและไม่มีใครคิดว่านั่นจะเป็นการโฆษณาอวัยวะเทียมของมันเลยแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้ลูกพี่คงจะได้ข่าวมาบ้างว่ามีนักสู้ชายอเมริกาคนหนึ่งมาท้าประลองกับนักศิลปะการต่อสู้จีนของเรา ซูจิ้งได้พาคนของตัวเองไปสู้ด้วย
ประเด็นคือคนที่ซูจิ้งพาไปด้วยนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีแขนขาเทียมสามชิ้น ที่สำคัญที่สุดคือเขาชนะอย่างง่ายดาย”
“……………………………” เมื่อฮัวหยุนชูได้ยินสิ่งที่หนุ่มหล่อพูดก็ได้แต่อึ้งจนเงียบเสียงไป
“ประธานหวังคะ ฉันว่างานแถลงข่าวผลิตภัณฑ์อวัยวะเทียมของเรานั้นคงจะต้องยกเลิกแล้วล่ะคะ”
ณ ห้องประธานสำนักงานของกลุ่มทุนห้วงเวลา เฉิงหนานได้รีบเดินเข้ามาหาหวังจ้าวที่กำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะ
“อ้าว จะยกเลิกทำไมกัน ซูจิ้งบอกเหรอ” หวังจ้าวที่ได้ยินถึงกับต้องหยุดมือและหันไปถามเฉิงหนานอย่างจริงจัง
“ต่อให้เขายังไม่พูดมันก็ไม่ต่างจากเขาได้พูดออกมาแล้วค่ะ ประธานควรจะดูด้วยตาตัวเองดีกว่า” เฉิงหนานในตอนนี้มีสีหน้าแปลกๆ เธอได้เปิดข่าวข่าวหนึ่งที่มีคลิปวิดีโอหนึ่งอยู่ให้หวังจ้าวดู
หลังจากหวังจ้าวได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงจนนิ่งเงียบ ตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แถมหัวเราะออกมาลั่นจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว
เมื่อสงบสติอารมณ์ได้เขาจึงได้พูดออกมาว่า “เฮ้ออออ ไอ้หมอนี่….. ไอ้เรารึก็อุตส่าหาวิธีโฆษณาชวนเชื่อไว้เสียดิบดี แต่หมอนี่แค่ลงมือทำสิ่งที่พวกเราเตรียมไว้นี่ไร้สาระไปเลยจริงๆแหะ
แม้แต่ฉันที่ได้เห็นเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้เลย ว่าแต่ทำไมเธอถึงบอกว่าเราควรจะยกเลิกงานล่ะ ตอนแรกที่ฉันได้ยินนี่ฉันตกใจจนหัวใจจะวายเลยนะนึกว่างานจะล่มไม่เป็นท่าไปซะแล้ว”
“ก็ก่อนหน้านี้ประธานหวังได้คุยกับประธานซูเรื่องจัดงานแถลงข่าวไปนี่คะ หลังจากประธานซูได้ยินก็เกิดเรื่องนี้ในทันที พอฉันคิดๆดูแล้วฉันว่าประธานหวังควรถามประธานซูก่อนก็ดีค่ะว่าจะเอายังไงดี” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เอาน่า ไหนๆก็เตรียมตัวกันซะดิบดีแล้วก็ทำต่อไปแล้วกัน” ที่หวังจ้าวพูดออกมาอย่างนั้นเป็นเพราะว่าเพียงการกระทำของซูจิ้งในครั้งนี้ก็เพียงพอที่จะเกิดความโกลาหลบนโลกนี้แล้ว
ไม่จำเป็นเลยสักนิดที่จะต้องมาจัดงานแถลงอธิบายผลิตภัณฑ์อะไรอีกต่อไป
แต่ที่เขานั้นไม่คิดจะยกเลิกนั้นเป็นเพราะว่าการกระทำของซูจิ้งนั้นช่วยยกระดับความสนใจในผลิตภัณฑ์ตัวอื่นที่ซูจิ้งวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ด้วยเช่นเดียวกัน
บรรดานักวิจัยทั่วโลกอย่างในประเทศอเมริกา สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี และประเทศอื่นๆที่เคยปรามาตรในเรื่องที่กลุ่มทุนห้วงเวลากำลังพัฒนาระบบประสาทเทียมนั้น
ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้และได้เห็นวิดีโอการต่อสู้
พวกเขาทำได้เพียงแสดงท่าทางโง่งมออกมาเท่านั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น