Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1006-1007
GGS:บทที่ 1006 ขยะแห่งวงการศิลปะการต่อสู้จีน
ในโลกภายนอกตอนนี้ต่างก็กำลังวุ่นวาย คนรวยจำนวนไม่น้อยต่างก็มุ่งตรงไปยังพื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ พ่อครัวอีกจำนวนไม่น้อยต่างก็ฝึกฝนตนเองเพื่อจะได้ทำงานที่ภัตตาคารของซูจิ้ง
แต่ซูจิ้งนั้นกลับโพสต์ข้อความลงบนไมโครบลอกของตัวเองว่า พื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์จะเปิดเฉพาะวันเสาร์
นี่ต่างทำให้เหล่าผู้คนในวงการอาหารนั้นต่างก็พูดกันไม่ออก นี่ขนาดเขาขายอาหารชุดละหนึ่งแสน ห้าแสน และหนึ่งล้านหยวนที่คนมากมายต่างก็ไม่มีทางหามาจ่ายแต่ยังขายดีได้ขนาดนี้ เขายังขึ้นเกียจจะขายอีกอย่างนั้นเหรอ
ความจริงแล้วที่ซูจิ้งทำแบบนี้หลักๆแล้วก็คือเขานั้นไม่มีเวลา ในช่วงที่ผ่านมานี้เขานั้นไม่มีเวลาไปจัดการขยะห้วงเวลาฯมากสักเท่าไหร่นัก
อีกอย่างหนึ่งคือวัตถุดิบของเขาอย่างเซนทอร์(หนูยักษ์)และซาลาแมนเดอร์แดงยังไม่เริ่มต้นขยายพันธุ์ ทำให้วัตถุดิบของเขาในตอนนี้มีจำกัด
แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ได้มีผลต่อชื่อเสียงของภัตตาคารแต่อย่างใด นั่นก็เพราะมิชชาลินได้มอบดาวให้กับภัตตาคารของเขาไว้ แม้แต่ในชั้นธรรมดายังได้สองดาว
นี่ทำให้เหล่าลูกค้าที่มาก็ยังสามารถสนุกสนานกับการลิ้มรสอาหารแสนอร่อยได้อยู่ดี อีกทั้งยังมีพ่อครัวบางคนที่มีความสามารถพอที่เขาจะรับเข้ามาทำงานด้วยได้
แต่ก็ยังไม่มีใครที่สามารถทำได้ตามเป้าของซูจิ้งอยู่ดี หากมีใครสักคนล่ะก็ แน่นอนว่านั่นจะทำให้ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์กลายเป็นตำนานของวงการอาหารได้ในทีเดียว
วันนี้ซูจิ้งเลือกที่จะจัดการขยะของเขาต่อ แต่ทันใดนั้นเอง โทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็นฮู่เฟยหยุนเขาก็ได้รับสายในทันที ฮู่เฟยหยุนได้ถามเขาขึ้นมาว่า “พี่จิ้ง วันนี้พี่ยุ่งรึเปล่า”
“ไม่ได้ยุ่งอะไรนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“เอ่อ….ผมขอถามหน่อยสิ พี่เคยได้ยินชื่อโค็ดที่เป็นปรมาจารย์ไทเก๊กที่เป็นนักสู้ชาวต่างชาติบ้างรึเปล่า” ฮู่เฟยหยุนถามออกมา
“อืมมมมม….ไม่เคยนะ ทำไมเหรอ” ซูจิ้งถามกลับมาด้วยความสงสัย
“เมื่อไม่นานมานี้ นักสู้ชาวอเมริกาคนหนึ่งไปสู้กับปรมาจารย์ไทเก๊ก ตอนแรกปรมาจารย์ไทเก๊กคิดว่าจะเป็นการต่อสู้กระชับความสัมพันธ์
นึกไม่ถึงว่านักสู้อเมริกันคนนั้นโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวแล้วล้มปรมาจารย์ไทเก๊กคนนั้นด้วยเวลาเพียงสิบวินาที
แล้วตอนนั้นเอง นักสู้อเมริกันนั่นได้ประกาศออกมาว่าศิลปะการต่อสู้ของจีนทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของปลอมที่ดีแต่ใช้ทริคในการต่อสู้
เขานั้นยังท้าดวลต่อหน้าสาธารณะชนกับเหล่าปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงของพวกเรา แล้วบอกว่าสามารถรับมือได้ทุกรูปแบบ แถมตอนนี้เขาได้จัดการท้าประลองออกสื่อไว้หลายสำนักเลยล่ะ” ยิ่งฮู่เฟยหยุนพูดออกมา น้ำเสียงของเขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น
“โฮ โฮ่….” ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแบบเหี้ยมเกรียม นักสู้อเมริกันคนนี้ได้รับความนิยมทั้งๆที่เล่นทีเผลอแต่ก็ยังได้รับความนิยมอย่างงั้นเหรอ ดูเหมือนว่าการเล่นทีเผลอของหมอนี่จะทำให้พวกสื่อจะสนใจสินะ
ในเรื่องศิลปะการต่อสู้นี้ ถึงแม้ว่าในยุคสมัยนี้อาจจะตกต่ำลงบ้างก็จริง แต่นั่นก็เพราะว่ามีบางคนที่อ้างตัวว่าเป็นปรมาจารย์หลังจากฝึกฝนวิธีการต่อสู้ปลอมๆไป
แต่ยังไงซะศิลปะการต่อสู้จีนนั้นก็เป็นมรดกตกทอดที่สืบต่อกันมานับพันปี แน่นอนว่าเหล่าปรมาจารย์ที่แท้ต่างก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ฝึกฝน
แต่ถ้าเพียงแค่หมอนี่ชนะกับไอ้เจ้าปรมาจารย์ไทเก๊กนั่นแล้วเหมารวมว่าศิลปะการต่อสู้จีนเป็นของเก๋ละก็ นี่เปรียบได้ดั่งการทึกทักไปเองเลยไม่ใช่เหรอ
ซูจิ้งได้ลองหาวิดีโอการต่อสู้ระหว่างสองคนนี้ดูและก็ได้พบอย่างรวดเร็ว เขาดูแล้วก็พบว่านักสู้ชาวอเมริกันคนนั้นมีฝีมืออยู่จริง แต่ไอ้คนที่เรียกตัวเองว่าปรมาจารย์แห่งไทเก๊กนั่นดูอ่อนแอสุดๆ
แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นพวกแอบอ้าง ปรมาจารย์ไทเก๊กผู้นี้ไม่มีร่างกายที่กระชับแม้แต่น้อย แถมท่วงท่าก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งไทเก๊กแม้แต่น้อย
แม้แต่ผู้สูงอายุที่ฝึกไทเก๊กอยู่ตามถนนยังมีกลิ่นอายแห่งไทเก๊กมากกว่าเสียอีก ที่สำคัญที่สุดคือไทเก๊กของจริงนั้นที่ว่าทรงพลังระดับหนึ่ง แน่นอนว่าหากเขาฝึกจริง ต่อให้ไม่ได้ตั้งตัวก็ไม่มีทางน็อคเอาท์ไปโดยง่ายแบบนี้
ได้ยินดังนั้นซูจิ้งจึงถามออกไปว่า “แล้ว นักสู้อเมริกานั่นอย่ากสู้กับฉันเหรอ”
“หมอนั่นไม่ได้โง่เง่าขนาดนั้นครับ ถึงแม้ว่าชาวเน็ตจะพยายามบอกให้เขามาท้าพี่แต่หมอนั่นก็ทำเป็นไม่สนใจและรีบบอกว่าศิลปะการต่อสู้พี่นั้นนอกกรอบจากวิทยายุทธ์จีนไปแล้ว
ไอ้เด็กนั่นบอกว่าในเพลงหมัดของเราทั้งหมดที่พอจะยอมรับได้ก็คือเพลงหมัดตระกูลฮู่ ผมได้ยินแล้วของขึ้นก็เลยออกไปสู้
แต่เจ้าหนูนั่นก็ดูจะมีฝีมืออยู่บ้าง ร่างกายแข็งแกร่งพอดู เพลงหมัดตระกูลฮู่ที่ผมใช้ก็แค่สูสีกับเด็กนั่นเท่านั้น ผมจะใช้เพลงหมัดวัวคลั่งกับเพลงหมัดอสุราก็ได้เพราะชนะไปเด็กนั่นก็ไม่ยอมรับ
เอาจริงๆนะด้วยฝีมือของผมเองก็ไม่มั่นใจว่าจะให้เพลงหมัดวัวคลั่งและเพลงหมัดอสุราชนะได้ หากว่าเพลงหมัดไหนแพ้ผมก็กลัวจะทำให้พี่เสียหน้า
ผมก็เลยคิดว่าหากพี่จิ้งให้ผมลิ้มรสอาหารแสนอร่อยของพี่ที่ขายในพื้นที่พิเศษของภัตตาคารล่ะก็ นั่นไม่เพียงจะทำให้ร่างกายและสุขภาพของผมดีขึ้น ผมมีความมั่นใจว่าด้วยสิ่งนี้จะทำให้ผมชนะเด็กนั่นอย่างแน่นอน” ฮู่เฟยหยุนพูดออกมาด้วยเสียงกระจ่างชัด
เมื่อได้ยินดังนั้นซูจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาและพูดกลับไปว่า “ไอ้เด็กนี่ เพื่อการนี้ถึงกับชักแม่น้ำทั้งห้าเลยรึ คิดว่าฉันจะยอมโดนหลอกง่ายๆรึไงกัน
ต่อให้หมอนั่นไม่ได้เก่งขึ้นจากการสู้ครั้งแรกสักเท่าไหร่เมื่อต้องสู้ครั้งที่สองก็ตาม แต่ในเมื่อหมอนั่นมีประสบการณ์กับนายแล้ว
แน่นอนว่าหมอนั่นต้องปรับกลยุทธ หากนายยังไปเพียงเพราะคิดว่ามีร่างกายที่แกร่งขึ้น แน่นอนว่ามีโอกาสแพ้อย่างมาก”
“เฮ้อออ พี่จิ้ง ผมยอมรับความผิดนี้ครับ” ฮู่เฟยหยุนนึกไม่ถึงว่าจะโดนซูจิ้งจับได้เร็วถึงเพียงนี้จึงทำได้แต่หัวเราะออกมาอย่างอายๆ
ความจริงแล้วที่เขาโทรมานี่เพราะฮู่ฮงหยางให้โทรมาเพื่อขอความเห็นจากซูจิ้ง แต่เป็นเขาที่อยากกินของอร่อยในพื้นที่พิเศษของปลาหญ้าสวรรค์มากๆ
แถมเขายังได้ยินทั้งข่าวลือ เห็นรูปภาพ และวิดีโอเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เขานั้นต้องเพ้อไปไกลเลยทีเดียว
แน่นอนว่าเขานั้นไม่มีความสามารถพอที่จะหาเงินได้เพียงพอกับค่าอาหารดังกล่าว
นี่จึงเป็นโอกาสให้เขาได้ลองดูสักหน่อย ถึงแม้จะโอกาสสำเร็จต่ำไปหน่อย แต่เขาก็เชื่อว่าซูจิ้งอาจจะตอบรับอย่างไม่คิดอะไรมากเหมือนกัน สุดท้ายกลับโดนจับได้อย่างรวดเร็ว
“….พวกนายไม่ต้องทำอะไรหรอก ปล่อยเรื่องนี้ให้ฉันเอง” ซูจิ้งคัดสักพักแล้วพูดออกมา
“ห้ะ” ฮู่เฟยหยุนได้ยินก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป “พี่จิ้งพี่ไม่ได้หลอกผมเล่นใช่รึเปล่า ผมจะกวนพี่เรื่องนี้ได้ยังไงกัน อีกอย่าง พี่ยังมีเรื่องต่างๆอย่างโรงพยาบาล ภัตตาคาร สถานีวิจัย และเรื่องอื่นๆที่ทำให้พี่วุ่นมากๆ พี่จะทิ้งเรื่องพวกนั้นไว้ก่อนจริงๆเหรอ หรือว่าพี่ไม่เชื่อความสามารถของผม ถ้าเอาจริงๆตอนนี้ผมกำราบเสี่ยวไจ๋ได้เลยนะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า ฉันก็แค่มีแผนอื่นเข้ามาในหัวก็เท่านั้นเอง เอาเป็นว่านายปล่อยให้ฉันจัดการเองก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาก่อนจะวางสายไป
“อาจิ้งว่ายังไงบ้าง” ปรมาจารย์สูงสุดแห่งโรงเรียนสัประยุทธ์ฮู่ฮงหยางเมื่อเห็นฮู่เฟยหยุนมีท่าทีแปลกๆจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“พี่จิ้งบอกว่าให้เราวางมือเรื่องในครั้งนี้ เดี๋ยวที่เหลือเขาจะจัดการเอง” ฮู่เฟยหยุนพูดบอกมาแบบอึ้งๆ
“หืม จัดการเองเลยเหรอ” ไคหวูเฟิง จี้เสี่ยวถิง หวูหลง และคนอื่นๆที่ได้ยินต่างก็ตกใจว่าทำไมซูจิ้งถึงต้องจัดการด้วยตัวเอง
หากเขาลงมือด้วยตัวเองหมอนั่นต้องสิ้นอนาคตในวงการนี้อย่างแน่นอน นี่มันจะไม่โหดไปหน่อยเหรอ นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาต่างก็ไม่เข้าใจ อีกอย่างเขายุ่งมากจะมาสนใจเรื่องเล็กๆแบบนี้ทำไม
เมื่อซูจิ้งวางสายจากฮู่เฟยหยุนก็ได้โทรหาลูฉินหมิงในทันที เมื่อลูฉินหมิงเห็นก็ได้รีบรับสายโดยซูจิ้งพูดออกมาว่า “ลูงลู สองพี่น้องนั่นยังคุกเข่าอยู่ที่ประตูโรงพยาบาลอยู่รึเปล่า”
“ยังอยู่อยู่เลย จะให้ฉันทำยังไงกับพวกเขาดี นี่ก็สามวันเข้าไปแล้วนะ พวกเขาไม่น่าจะทำอย่างนี้เลยจริงๆ” ลูฉินหมิงพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ก่อนหน้านี้หลังจากที่ซูจิ้งได้รับฉายาว่าเป็นหมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออกนั้น
ตัวเขาก็ได้รับชื่อเสียงอย่างมาก หลายๆคนเองต่างก็พยายามจะมาหาซูจิ้งเพื่อรักษา แต่บางคนนั้นไม่มีเงินพอจึงได้แต่เข้าไปรักษายังคลีนิกทั่วไป
นอกจากนั้นยังมีบางคนที่ไม่ต้องการรักษาในพื้นที่ทั่วไปและก็ไม่มีเงินแต่ปฏิเสธที่จะยอมแพ้ โดยล่าสุดนี่มีสองคนที่อยู่ในกลุ่มนี้และทำการคุกเข่าอยู่หน้าโรงพยาบาลไม่กินไม่นอนอยู่สามวันแล้ว
หากเป็นเคสการรักษาทั่วไปนั้นแน่นอนว่าลูฉินหมิงย่อมไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้อย่างแน่นอน แต่ว่าความต้องการสองพี่น้องนี้คือการรักษาพ่อของพวกเขาให้กลับมาขยับได้อีกครั้ง นี่เกินกว่าความสามารถของลูฉินหมิงจึงไม่อาจทำอะไรได้
“พาทั้งสองเข้าไปยังคลีนิกพิเศษ เดี๋ยวผมจะไปที่นั่น” ซูจิ้งพูดออกมา
“หืม? ที่จะรักษาพ่อของสองคนนั่นเหรอ แต่…” ลูฉินหมิงอึ้งไปเล็กน้อย
“ทำตามที่ผมว่าก่อนแล้วกันครับ ให้พวกเขารอในนั้นไปก่อนเดี๋ยวผมจะไปที่นั่น” ซูจิ้งพูดออกมา ลูฉินหมิงได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วยในทันที
หลังจากที่ซูจิ้งวางสายไป เขาได้ขับปอร์เช่911ของเขาไปยังโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุน พร้อมความคิดหนึ่งในหัวสมองของตนเอง
GGS:บทที่ 1007 แผนการประชาสัมพันธ์
ซูจิ้งตรงไปยังคลีนิกพิเศษแห่งโรงพยาบางกังเฟิงจงหยุน ที่นั่น ลูฉินหมิงกำลังพูดคุยกับชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่ง ทั้งสองดูอิดโรยจากการที่ต้องนั่งคุกเข่าอยู่หน้าโรงพยาบาลทั้งวันทั้งคืนมาสามวันติดแล้ว
“คุณซู” เมื่อทั้งสองได้เห็นซูจิ้งต่างก็ตื่นเต้นและลุกขึ้นมาจากเก้าอี้แต่ด้วยการที่ทั้งสองต้องคุกเข่ามานานจึงทำให้เป็นไปด้วยท่าทีที่ยากลำบาก
“สวัสดี” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“คุณซู ขอบคุณมากครับที่ยอมให้พวกเราพบ ผมหวังว่าคุณจะสามารถรักษาพ่อของพวกเราได้ พวกเรานั้นไม่มีเงินมากขนาดนั้นในตอนนี้ แต่แน่นอนว่าในอนาคตพวกเราจะหาทางคืนให้อย่างแน่นอน” ชายหนุ่มพูดออกมา
“พวกเราต้องจ่ายตามที่คุณหมอซูกำหนดให้ครับถ้วนแน่นอนค่ะ ต่อให้เราต้องทำงานเป็นวัวเป็นม้าก็ยอม” หญิงสาวพูดออกมา
“ผมพอจะได้ยินอาการของพ่อคุณจากคุณหมอลูคร่าวมาแล้ว ตอนนี้ผมขอรายละเอียดเชิงลึกซักหน่อยแล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“พ่อของผมประสบอุบัติเหตุร้ายแรงทางรถยนต์เมื่อปีก่อน เขาต้องเสียแขนสองข้างและขาอีกหนึ่งข้างครับ ผมได้ยินมาว่าคุณซูกำลังพัฒนาอวัยวะเทียมที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระอยู่” ชายหนุ่มพูดออกมา
“แขนสองข้างและขาของเขาถูกทับจนกระดูกหักแหลกละเอียดทำให้ต้องตัดแขนและขาออกไปน่ะ” ลูฉินหมิงอธิบายเพิ่มเติม
“ทั้งสองคนก็น่าคงพอจะรู้อยู่แล้วว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ แน่นอนว่าอีกไม่นานงานวิจัยนี้จะถูกทำขายเป็นสินค้าก็จริงแต่คุณรู้รึเปล่าว่าพวกมันราคาเท่าไหร่” ซูจิ้งถามออกมา
“ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งหรือสองล้านก็ไม่เป็นไรครับ พวกเรารับรองว่าจะทยอยจ่ายเงินก่อนนี้คืนได้อย่างช้าๆ” ชายหนุ่มกัดฟันเล็กน้อยในขณะที่พูด
“พ่อของพวกเรารู้สึกกดดันและหดหู่ที่ต้องเป็นคนที่ใช้การอะไรไม่ได้และคิดว่าตัวเองเป็นภาระไม่อยากจะให้พวกเราต้องลำบากจนคิดฆ่าตัวตายมาแล้วหลายหน ฉันไม่สามารถทนเห็นพ่อของฉันเป็นแบบนี้อีกต่อไปได้แล้ว คุณซูได้โปรดช่วยพวกเราด้วยค่ะ” หญิงสาวคุกเข่าอ้อนวอน
“สองล้านเหรอ ผมว่านั่นไม่พอหรอกนะ” ซูจิ้งส่ายหัวออกมาและพูดต่อว่า “ด้วยการที่ว่านี่เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าใครแน่นอนผมทุนเทวิจัยไปกับงานนี้สูงมาก
ต่อให้ผมอยากจะเห็นใจและคิดลดทอนรักษาแค่ไหนแต่ในกรณีพ่อของคุณคือแขนสองข้างและขาอีกหนึ่งข้าง
ค่ารักษาอย่างต่ำก็ต้องอยู่ที่ห้าล้านหยวนซึ่งนี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอีก คุณก็รู้ว่านี่คือโรงพยาบาลไม่ใช่บ้านเมตตา”
เมื่อสองพี่น้องได้ยินค่าใช้จ่ายนี้ถึงกับหน้าถอดสี แต่เงินหนึ่งหรือสองล้านเองทั้งสองก็ยังหามาได้อย่างอยากยิ่ง ต่อให้ต้องขายบ้านของตัวเองและทำงานอย่างหนักตลอดชีวิตก็ยังอยากเย็น นับประสาอะไรกับห้าล้านหยวน
“แต่ผมเองมีทางเลือกอื่นให้ ผมมีข้อเสนอ หากพ่อของคุณยินยอมร่วมมือ ผมจะไม่คิดเงินจากเขาเลยสักหยวนเดียว” ซูจิ้งพูดออกมา
เมื่อทั้งสองได้ยินก็มองซูจิ้งด้วยสายตาเปล่งประกาย แต่ลูฉินหมิงที่พอจะเดาออกเองก็เริ่มอยู่ไม่สุข
“คุณซู ความร่วมมือที่ว่าคืออะไรครับ” ชายหนุ่มถามออกมา
“ก็อย่างที่คุณรู้ ตอนนี้ผมกำลังพัฒนาระบบประสาทเทียมอยู่ และนี่เองก็เพิ่งจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ที่โลกภายนอกนั้นถึงแม้ต่างก็คิดว่ามันไม่มีทางจะสำเร็จ ต่อให้สำเร็จก็ไม่มีทางจะเหมือนจริงอย่างที่ผมพูดไว้
ผมต้องการคนที่จะมาประชาสัมพันธ์ในเรื่องนี้
ผมเพียงหวังว่าพ่อของคุณจะยอมร่วมมือกับผมในการมาเป็นคนประชาสัมพันธ์ให้ผมเป็นเวลาสามปี แน่นอนว่าผมไม่มีเงินในส่วนการออกประชาสัมพันธ์ให้ แต่ว่ามีค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตประจำให้อย่างแน่นอน”
“เดี๋ยวก่อนนะคะคุณซู งานประชาสัมพันธ์นี้จะไม่ยากเกินไปที่คนธรรมดาจะทำได้หรือคะ” หญิงสาวถามออกมาอย่างกังวล
“ก็ไม่เชิงประชาสัมพันธ์แบบนั้นนะ ผมแค่อยากให้พ่อของคุณคอยบอกสื่อเฉยๆว่าเวลาเขาใช้อวัยวะเทียมแล้วรู้สึกยังไงบ้าง ใช้ทำอะไรได้บ้าง
แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของพ่อของคุณด้วยเช่นกัน ผมรับรองว่าปลอดภัยไร้กังวล” ซูจิ้งพูดออกมา
“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีเลย” สองพี่น้องแสดงท่าทีมีความสุขออกมา ตราบใดที่ทั้งสองไม่ได้โง่งมจนเกินไปย่อมเห็นว่าซูจิ้งนั้นต้องการดูแลครอบครัวของทั้งสองอย่างไม่รังเกียจ พร้อมเสนอเส้นทางการดำเนินชีวิตให้ครอบครัวของทั้งสองเลยทีเดียว
ทั้งสองรีบโทรไปหาพ่อของตัวเองแล้วบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างตื่นเต้นและยินดี เมื่อพ่อของพวกเขาได้พูดออกมาพวกเขาก็หันมาบอกกับซูจิ้งว่า
“พ่อของผมบอกว่าตราบใดที่คุณทำให้เขาสามารถลุกขึ้นยืนและทำให้เขากลับมาดูแลครอบครัวของเขาได้แล้ว ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟที่ไหนเขาก็ยินดีครับ”
“ถ้าอย่างนั้นไปพาเขามาที่นี่” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ครับ” สองพี่น้องได้จากไปด้วยความตื่นเต้นอย่างที่สุด หลังจากผ่านไปสามชั่วโมงกว่า พวกเขาได้พาชายวัยกลางคนที่มีท่าทีผอมแห้งและอิดโรยมา
ชายคนนี้นั่งอยู่ในรถเข็นโดยมีสองพี่น้องเป็นคนเข็นเข้ามา และมีหญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่มีท่าทีอิดโรยไม่ต่างกันแต่เธอก็ดูมีท่าทีตื่นเต้น
ตอนที่พวกเขาได้พบกับซูจิ้ง ทุกคนล้วนปลื้มปิติและแสดงเคารพซูจิ้งมากอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาต่างก็เคยได้ยินฉายาหมอเทวดาของซูจิ้งมาก่อนหน้านี้และก็เชื่อว่าซูจิ้งนั้นมีทักษะด้านการแพทย์สูงที่สุดในโลกนี้
เพียงแต่ต่างก็คิดว่ากับเรื่องอวัยวะที่สูญเสียไปนั้นเกินมือเกินไปอย่างแน่นอน แต่เมื่อได้ยินข่าวว่าซูจิ้งกำลังพัฒนาอวัยวะเทียมทำให้พวกเขามีความหวังและนั่นจึงทำให้สองพี่น้องมาคุกเข่าขอร้อง
นึกไม่ถึงว่าไม่เพียงซูจิ้งจะยอมรักษา เขายังเอ่ยปากที่จะดูแลทั้งครอบครัวอย่างดี นี่จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะรู้สึกเคารพเทิดทูนซูจิ้งแม้แต่น้อย
เมื่อคนไข้ของเขามาถึง ซูจิ้งและหมออีกจำนวนหนึ่งร่วมกันวินิจฉัยอาการของเทียนดาจูหรือชายที่สูญเสียแขนและขาคนนี้
แขนข้างหนึ่งของเขาถูกตัดตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไป อีกข้างหนึ่งนั้นถูกตัดตั้งแต่ข้อศอก ส่วนขาเองก็ถูกตัดตั้งแต่ต้นขาลงไป นี่เป็นการบ่งบอกว่าเขานั้นได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ร้ายแรงอย่างมาก แค่มีชีวิตรอดได้นี่ก็ถือว่าเป็นปาฏิหารย์มากแล้ว
ในตอนนี้เขาเองก็ได้เชื่อมต่อกับแขนและขาเทียมอยู่ แต่แน่นอนว่ามันคือแขนและขาปลอมธรรมดาที่ทำให้ยากต่อการเคลื่อนไหว
“เราจะติดตั้งอวัยวะเทียมยังไงดี” ลูฉินหมิงถามออกมา
“แน่นอนว่าต้องทั้งหมดอยู่แล้ว แต่จะทำกันไหวรึเปล่า” หมออีกคนพูดออกมา
“ประเด็นคือเขาดูอ่อนแรงมากนะ สภาพของเขาน่าจะยังไม่เหมาะสักเท่าไหร่ที่จะผ่าตัด” หมออีกคนหนึ่งพูดออกมา
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ผมอยู่ทั้งคน เรามาเร่มกันดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมา
“หมอจ้าวหรือหมอหลินดีล่ะ” หมอคนอื่นๆต่างก็มองหน้ากัน พวกเขานั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอวัยวะเทียมที่ซูจิ้งจ้างมาในระหว่างที่เขากำลังพัฒนาระบบประสาทเทียม
“เอาล่ะนะ ผมลงมีดละ” ซูจิ้งพูดออกมาและลงมือในทันทีนี่ทำให้หมอทุกคนต่างมองการผ่าตัดของซูจิ้งด้วยสายตาเป็นประกาย
ทุกคนในที่นี้ต่างก็คิดว่าตัวเองนั้นมีฝีมือการผ่าตัดที่สูงมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการผ่าตัดระบบประสาท
แต่เมื่อทุกคนได้เห็นการผ่าตัดของซูจิ้งต่างก็ยอมแพ้ไปทุกคน
นั่นก็เพราะมือของซูจิ้งนั้นทั้งเร็ว แม่นยำ และนิ่งมาก สมกับที่ได้รับฉายาหมอเทวดาจริงๆ
สามวันผ่านไปไวอย่างโกหก
ข่าวที่ว่านักสู้ชาวอเมริกันท้าทายวงการศิลปะการต่อสู้จีนนั้นได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง มีสื่อหลายเจ้าหลายรูปแบบที่เล่นข่าวนี้กันอย่างสนุกสนาน
พร้อมทั้งถากถางว่าเหล่าปรมาจารย์ในวงการศิลปะการต่อสู้จีนนั้นเอาแต่หลยหน้าไม่กล้าออกมาท้าประลองกับนักสู้ชาวอเมริกันคนนี้
ในตอนนี้เพลงหมัดออกกำลังกาย(กายวิเศษ)นั้นเป็นที่นิยมในวงกว้างและแพร่หลาย หลายๆคนในประเทศนี้อย่างน้อยๆจะทำท่าทางรูปแบบขั้นที่หนึ่งได้เป็นอย่างดี และแน่นอนว่าทุกคนต่างก็ถือว่าซูจิ้งเป็นผู้คิดค้น
หากว่านับผู้ฝึกฝนเพลงหมัดวัวคลั่งที่ก่อตั้งนิกายวัวคลั่งนั้นเป็นนิกายหนึ่งจริงๆล่ะก็ ในทำนองเดียวกันเหล่าผู้ฝึกฝนเพลงหมัดกายวิเศษก็คงไม่ต่างจากนิกายอันดับหนึ่งของจีนในตอนนี้
ด้วยเหตุที่หลายๆคนฝึกฝนเพลงหมัดกายวิเศษนี้ทำให้พวกเขาประหนึ่งดั่งตัวเองเป็นผู้ฝึกฝนยุทธและอยากจะท้าทายกับนักสู้มะกันคนนี้อย่างมาก และเกินครึ่งเป็นคนจากนิกายวัวคลั่ง
แต่นักสู้อเมริกันคนนี้กลับทำตัวราวกับเก่งแต่ปากและยืนยันว่าสำหรับเขานั้นเพลงหมัดวัวคลั่งเป็นเพลงหมดที่มีกลิ่นอายวิชาการต่อสู้สมัยใหม่เข้าไปด้วย ไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้ของจีนอย่างแท้จริง
แน่นอนว่านี่ทำให้โลกภายนอกพาคิดไปว่าเพลงหมัดกายวิเศษของซูจิ้งเองก็ไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้จีนแท้ๆเช่นกัน
นี่ทำให้ฮัวเฟยหยุนและผู้ศึกษาศิลปะการต่อสู้จีนคนอื่นอยากจะไปกวาดล้างคนที่อยู่ข้างเดียวกับนักสู้มะกันคนนี้ให้ตกตายกันไปเรื่องจะได้จบๆ
แต่เป็นเพราะว่าซูจิ้งนั้นออกปากเองว่าเขานั้นจะจัดการเองทำให้พวกเขายังไม่อยากจะเคลื่อนไหว มีเพียงฮู่เฟยหยุนเท่านั้นที่เลือดร้อนกว่าใครและเรียกที่จะโทรหาซูจิ้งในวันนี้
เมื่อเขาโทรหาซูจิ้ง ซูจิ้งบอกกับเขาว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะจัดการเรื่องนี้ให้จบๆไป แต่เขาจะไม่ใช่คนที่ท้าประลองกับนักสู้ชาวอเมริกันคนนั้น
แต่เป็นคนของเขาที่ชื่อเทียนดาจูโดยเขานั้นจะใช้หมัดไท้เก๊กและเพลงหมดดอกไม้ร่ายรำ นี่ทำให้ฮู่เฟยหยุนอดจะสงสัยไม่ได้ว่าใครคือเทียนดาจูแล้วเขามีชื่อเสียงมาจากไหน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น