Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1002-1005
GGS:บทที่ 1002 ผงดอกฝิ่น
จากการประเมินร้านอาหารปลาหญ้าสวรรค์ของมิชชาลินได้ทำให้ภัตตาคารแห่งนี้ก้าวล้ำสู่อีกระดับขั้นที่เหนือกว่าใครในทันที
เพียงเพื่อที่จะให้ได้รับการประเมินหนึ่งดาวนั้น ภัตตาคารและร้านอาหารมากมายต่างก็ต้องทำงานหนักกันนานแรมปี ถึงขนาดนั้นหลายๆร้านก็ยังยากที่จะผ่านเกณฑ์ไปได้ นับประสาอะไรกับการได้ระดับสามดาว
แต่ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์แห่งนี้กลับได้ผลการประเมินจากมิชชาลินระดับสองดาวไปอย่างไม่รู้ตัว แม้กระทั่งพื้นที่พิเศษของภัตตาคารยังได้ระดับสามดาวแยกออกมาอีก(อยากให้มากกว่านี้แต่มีแค่นี้)
นี่ทำให้ภัตตาคารชื่อดังทำได้แต่อิจฉาตาร้านจนยากจะเผาภัตตาคารของซูจิ้งในทันที เจ้าของภัตตาคารชื่อดังบางคนถึงกับรับไม่ได้จนต้องไปพิสูจน์ให้รู้ด้วยปากของตัวเอง
แต่แค่พวกเขานั้นเพียงได้ลิ้มชุดอาหารระดับธรรมดาไปเท่านั้นความรู้สึกเดียดฉันท์ทั้งหลายได้หายไปในทันที และนี่ยิ่งสงเสริมให้ชื่อเสียงของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์สูงขึ้นไปอีกอย่างฉุดไม่อยู่
“แม้แต่มิชชาลินยังนำดาวมามอบให้ถึงที่แบบนี้ ดูเหมือนว่าพื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์นี่จะเป็นของจริงสินะ”
“พี่จิ้งนี่สุดยอดจริงๆ เป็นฉันเองที่กังวลไปไกล”
“ถึงแม้จะเป็นร้านเล็กๆแต่อาหารแพงขนาดนั้นก็ไม่แปลกที่จะกังวลล่ะนะ ใครจะไปคิดว่าพี่จิ้งจะซ่อนหนามแหลมคมเอาไว้กันล่ะ”
“พวกนายได้ยินเรื่องที่ว่าเจ้าของภัตตาคารชื่อดังรับไม่ได้ที่ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ของพี่จิ้งได้ดาวมิชชาลินเลยจะหาเรื่อง แต่เพียงพวกเขาได้กินอาหารของพี่จิ้งเขาไปเพียงคำเดียวก็ยอมแพ้กันไปทุกคนน่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่จิ้งต่างหากที่ควรจะเป็นคนที่รับไม่ได้กับการกระทำของคนพวกนี้”
“ต่อให้มีหมอขั้นเทพร่วมมือกับพ่อครัวชั้นยอดฉันว่าก็ทำไม่ได้เหมือนหรอก ในโลกใบนี้และภายใต้ฟ้าผืนนี้คงมีคนเดียวที่ทำได้คือพี่จิ้ง ต่อให้ไม่ยอมรับสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้อยู่ดี”
“ไม่ว่าจะแพงยังไงฉันก็ไม่สนใจแล้ว ฉันจะต้องกินมันให้ได้”
ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะทัดทานเรื่องพื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ของซูจิ้งอีกต่อไปพร้อมทั้งได้รับความเชื่อถือจากสาธารณชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาพอจะหาเรื่องซูจิ้งได้นั้นมีเพียงอย่างเดียวคือเรื่องของราคา แต่ไม่ว่าจะโจมตีเรื่องนี้ต่อซูจิ้งยังไงก็ไร้ค่า
นั่นก็เพราะว่ายังมีลูกค้าที่ยินดีที่จะจ่าย และพวกเขาก็พร้อมที่จะเล่นงานคนที่มาหาเรื่องซูจิ้งในทันทีหากมันทำให้พวกเขานั้นมีโอกาสที่จะได้กินอาหารฝีมือซูจิ้งได้น้อยลง
นี่ทำให้เหล่าคนที่มีก่อเรื่องทำอะไรได้ไม่มากนัก มันก็เหมือนกับเรื่องคนรวยทำได้แต่ตำหนิเรื่องการแต่งกาย คนทั่วไปทำได้เพียงตำหนิเรื่องราคา มันเป็นสิ่งที่เรียกว่า ทำได้แต่ไม่ทำ ซื้อได้แต่ไม่ซื้อ
ที่น่าตลกก็คือแม้แต่ผู้ทรงอิทธิพลในวงการอาหารหลายๆคน อย่างเช่นโจวเซียน พวกเขาเองก็ได้ไปที่พื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ของซูจิ้งเพื่อหวังจะได้ลิ้มลอง แต่เมื่อเขาไปถึงกลับอยู่ได้เพียงไม่นาน ตราบใดก็ตามหากต้องการย่างก้าวเข้าไป คุณต้องสั่งของให้ได้ในราคาขั้นต่ำหนึ่งแสนหยวน
นั่นก็เท่ากับว่าถ้าอย่างน้อยไม่สั่งชุดอาหารระดับธรรมดาก็จะไม่สามารถนั่งอยู่ต่อได้ ต่อให้สั่งได้แต่ราคาอาหารที่ต่ำที่สุดก็คือเรื่องดื่มที่มีราคาหนึ่งหมื่นหยวน
ราคานี้เป็นราคาที่เมื่อคนธรรมดาเข้าไปสั่งก็กระอักเลือดมาไปหลายคำแล้ว
หากจะให้พูดแล้วนั้นสถานการณ์โดยทั่วไปของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ของซูจิ้งนั้นดีมากและชื่อเสียงเองก็สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม อะไรที่ดีเกินไปก็มักจะทำให้ผู้คนนั้นอิจฉาและริษยาจนกล้าที่จะใส่ร้ายกันได้อย่างหน้าไม่อาย
คราวนี้มีใครคนหนึ่งได้โพสต์ไว้ในอินเตอร์เนตว่าตัวเองได้มีโอกาสเข้าไปยังพื้นที่พิเศษของภัตตาคารแล้วสั่งชุดอาหารธรรมดามา เขานั้นรู้สึกว่ามันอร่อยมากแต่มันน่าจะผสมผงดอกฝิ่นเข้าไปด้วย
ทันทีที่ข่าวนี้ออกไปทำให้การเป็นที่พูดถึงอย่างมากบนอินเตอร์เน็ตในทันที
“อะไรคือผงดอกฝิ่นน่ะ ใส่แล้วจะเป็นยังไงเหรอ”
“ห้ะ ไม่รู้จักฝิ่นเหรอ มันมีสรรพคุณทางพิษ แต่มันก็ไม่ได้มีผลเหมือนยาพิษทั่วไป มีคนพูดกันว่าหากใส่มันในอาหารจะมีผลต่อการหลอนของระบบประสาท แถมยังช่วยให้อาหารนั้นรสชาติดี อาหารที่ใส่ผงดอกฝิ่นเข้าไปนั้นนอกจากจะอะไรมากจนผิดปกติแล้วยังทำให้ผู้คนติดใจมันได้อย่างง่ายดาย”
“นอกจากนั้น ผงดอกฝิ่น นอกจากจะทำให้อร่อยแล้ว พวกมันยังมีสารพิษอย่างอัลคาลอยด์อยู่ หากรับไปเป็นเวลานานจะส่งผลในการทำลายระบบประสาทและอาจเกิดอาการALSได้”
“ไม่น่าใช่นะ คนที่ไปกินนั้นนับวันยิ่งดูดียิ่งขึ้น”
“อาจเป็นเพราะระบบประสาทหลอกเพราะตื่นเต้นที่ได้กินของอร่อยก็ได้นะ พวกเขาน่าจะดีเพียงไม่นาน หากยังกินต่อไปสักพักพวกเขาน่าจะโทรมยิ่งกว่าเดิม”
“ไอ้คนที่โพสต์มาก่อนหน้านี้น่ะไม่รู้อะไรก็อย่ามาพูดดีกว่า อาหารที่ต้องใส่ผงดอกฝิ่นนั้นมันจะไม่อร่อยเลยสักนิด
แถมผงดอกฝิ่นเองก็ไม่มีรสชาติ ต่อให้เติมในน้ำซุปหรืออาหารลงไปมากมายแต่ไหนก็ไม่มีทางทำให้เกิดความรู้สึกอร่อยขึ้นมาได้
บางร้านเองก็มีการใส่ผงดอกฝิ่นพวกนี้ลงไปพวกน้ำซุปเหมือนกัน พวกเขาใส่พวกมันในฐานะเครื่องเทศ แต่คนทั่วไปนั้นไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร แถมต่อให้รู้กันยังไปนั่งกินกันจนติดงอมแงมกันได้ทุกวัน
เมื่อเทียบกับอาหารของซูจิ้งแล้วนั้นพวกมันคือความอร่อยที่แท้จริงซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผงดอกฝิ่นนั้นให้ไม่ได้
อีกอย่าง ผงดอกฝิ่นนั้นมีผลเสียต่อร่างกาย ไม่มีทางเลยที่จะทำให้ผู้คนนั้นสุขภาพดีแม้แต่น้อย
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการที่มันทำให้ดูอ่อนวัยขึ้นด้วยเวลาอันสั้น ฝิ่นไม่มีสรรพคุณแบบนี้อย่างแน่นอน”
“โฮ่ยยยย โพสต์บนนี่มันจะพิมพ์ยาวไปไหนเนี่ย แกเป็นแฟนคลับซูจิ้งใช่ม๊ายยยยย”
“ฉันเองก็ไม่รู้จักซูจิ้งซะด้วยสิ เชื่อหรือไม่เชื่อดีล่ะ”
“ตอนนี้ฉันงงไปหมดแล้วว่าใครพูดจริงเนี่ย”
ความจริงแล้วมีหลายๆคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้แม้แต่น้อยมีเพียงน้อยคนนักที่เชื่อกันเป็นบ้านเป็นหลังเพราะฟังดูน่าเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ด้วยการที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับภาครัฐจึงไม่อยากจะเสี่ยง ทำให้หลายๆคนเรื่องที่จะไม่ไปยังภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ของซูจิ้ง
ถึงกระนั้น ด้วยชื่อเสียงอันเข้มแข็งของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ที่สั่งสมมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่พิเศษที่ซูจิ้งเพิ่งจะเปิดได้ไม่นาน เรื่องนี้กลายเป็นสร้างความลึกลับให้กับภัตตาคารจนทำให้คนที่ไม่เคยสนใจหลายๆคนหันมาสนใจอย่างช่วยไม่ได้
และเป็นคราวนี้เองที่ซูจิ้งได้ตอบโต้เป็นครั้งแรกด้วยการเชิญชวนให้องค์การอาหารและยาแห่งรัฐเข้ามาตรวจสอบ แถมเขายังเชิญเหล่าผู้มีอิทธิพลในวงการอาหารอย่างโจวเซียนและเหล่านักชิมที่มีชื่อเสียงจากทั่วประเทศจีนมายังภัตตาคารของเขา
หลังจากนั้นซูจิ้งได้โพสต์ไว้ในไมโครบลอกของตัวเองว่า “กับใครบางคนที่บอกว่าอาหารของฉันนั้นใส่ผงดอกฝิ่น
ผงดอกฝิ่นสามารถทำให้อาหารอร่อยได้จริงรึเปล่านั้น ควรจะไปหาความรู้ในอินเตอร์เนตสักหน่อยก็ดีนะแค่อ่านก็น่าจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร กับเรื่องนี้ฉันจะไม่อธิบายให้มากความ
แต่เพื่อความบริสุทธิ์ใจ ฉันได้เชิญคนจากองค์การอาหารและยาแห่งรัฐ พร้อมทั้งเหล่านักชิมมาจากทั่วทั้งประเทศจีนมาแล้ว
ในวันพรุ่งนี้ช่วงสิบโมงเช้า ฉันจะสตรีมการทำอาหารตั้งแต่เริ่มต้น ทุกๆขั้นตอน ทุกๆการปรุง จนถึงการจัดลงจาน ทุกคนจะได้เห็นอย่างกระจ่างแจ้ง
แล้วฉันจะให้เหล่านักชิมทั้งหลายทดลองลิ้มรส พร้อมทั้งให้องค์การอาหารและยาของรัฐทำการวิเคราะห์ส่วนประกอบ
จะได้เลิกเถียงกันสักทีว่าฉันทำยังไงถึงอร่อย ฉันใส่อะไรลงไปในนั้นบ้าง เพียงแค่ได้ดูก็หวังว่าจะกระจ่างใจกันนะ”
ทันทีที่โพสของซูจิ้งขึ้นไปบนโลกอินเตอร์เนต ข้อความของเขาเป็นที่สนใจกันจนทั่วในทันที เหตุผลหลักก็เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่ซูจิ้งออกมาโต้ตอบอย่างรวดเร็วแถมยังทำแบบดีๆอีกด้วย (ปกติหากไม่ทิ้งไว้นานข้ามเดือนก็จะเป็นกวาดล้างในทันที)
อีกทั้ง ภายใต้สายตาอันแหลมคมของเหล่านักชิมและองค์การอาหารและยาของรัฐ หากว่าวิธีการของซูจิ้งไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ แน่นอนว่าการกระทำนี้ย่อมมากพอที่จะลบคำว่าร้ายและสบประมาททั้งหลายจนหมดสิ้น
อย่างไรก็ตามนี่ทำให้เกิดปัญหาหนึ่งขึ้นมาในทันที
“พี่จิ้งจะเจ๋งงงเกินไปแล้ว เขาจะทำอาหารต่อหน้าทุกคน”
“แต่นี่มันสตรีมนะ นั่นหมายความว่าเขาจะยอมเปิดเผยวิธีทำอาหารและเคล็ดลับต่างๆจนหมด พี่เขาไม่กลัวจริงๆเหรอว่าจะมีคนทำเลียนแบบน่ะ”
“นั่นน่ะสิ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะ หลายๆคนจะต้องเรียนรู้สูตรลับของพี่จิ้งอ่างแน่นอน”
“ซูจิ้งทำเรื่องโง่ๆออกไปจนได้สินะ นี่เขาไม่รู้เลยเหรอว่าตัวเองทำเรื่องผิดพลาดไปแล้ว”
หลายๆคนต่างก็รู้ดีว่าสูตรลับในการทำอาหารนี้สำคัญขนาดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาหารระดับภัตตาคารที่ราคาอาหารขั้นต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งแสนหยวนแบบนี้
ขนาดขายแพงขนาดนี้ก็ยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่านี่แสดงว่าเขานั้นต้องคิดค้นสูตรนี้มาอย่างยากลำบาก หากมีคนเอาไปต่อยอดได้ แน่นอนว่าการจะสร้างสุดยอดร้านอาหารย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
ที่สำคัญที่สุดก็คือนี่คือการทำอาหารที่มีหนึ่งเดียวในโลก เมื่อความลับจะกลายเป็นไม่มีความลับอีกต่อไปแล้วล่ะก็เขาไม่ต้องปิดร้านไปเลยรึไงกัน
GGS:บทที่ 1003 เชิญเลย…ตามสบาย…
โพสต์ของซูจิ้งนั้นได้แสดงให้เห็นถึงความจริงใจเพื่อที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง แต่นี่กลับทำให้เหล่าผู้คนที่คอยสนับสนุนเขาอย่างหมดหัวใจเป็นกังวลว่าเคล็ดลับการทำอาหารของเขาจะหลุดรอดออกไป
และพยายามจะบอกให้เขาอย่าเพิ่งวู่วาม ไม่อย่างนั้นจะเป็นการเสียรู้ให้พวกเลวชาติอย่างไม่จำเป็น แต่ถึงจะห้ามปรามยังไง ซูจิ้งก็ยังไม่คิดที่จะเปลี่ยนแผนอยู่ดี
“ซูจิ้งโพสต์ในไมโครบลอกไว้ว่าจะสตรีมการทำอาหารจริงๆเหรอ”
“ฮ่าฮ่า ฉันต้องไปดูอย่างแน่นอนและต้องอัดวิดีโอวิธีการทำเอาไว้ให้ได้ ต่อให้ฉันไม่ได้เปิดร้านอาหารเพื่อทำเงินก็เอาไว้ทำกินเองก็ยังดี อย่างเจ้าชุดอาหารธรรมดาที่ราคาหนึ่งแสนหยวนนั่นฉันลองดูแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรเลยนะ”
“ซูจิ้งนี่สุดยอดจริงๆเลยนะ ยินยอมเผยเคล็ดลับให้โลกรู้โดยไม่คิดจะหาประโยชน์อะไรเพิ่มเลย”
“ฉันว่ามันเป็นเพราะวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะเป็นหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองมากกว่า แต่ก็อีกล่ะนะ หลังจากสูตรอาหารของเขาเผยแพร่ไปทั่วประเทศ อาหารแสนอร่อยในเขตพิเศษจะขายแพงไม่ได้อีกต่อไป”
ในขณะที่โลกภายนอกนั้นกำลังพูดคุยกันอย่างร้อนแรงเกี่ยวกับการประกาศของซูจิ้งนั้น ซูจิ้งก็ยังทำงานของเขาไปเรื่อยๆอย่างอารมณ์ดี
“หัวหน้า หัวหน้าจะสตรีมการทำอาหารจริงๆเหรอ” เหมาเว่ยเหยียน ที่เป็นหนึ่งในพ่อครัวของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ของซูจิ้งได้ถามออกมาด้วยความกังวล
ความจริงตัวเขานั้นก็ไม่ได้คิดว่าพื้นที่พิเศษของภัตตาคารจะมาได้ไกลขนาดนี้แถมยังคิดว่าราคาแพงไปเสียด้วยซ้ำ
คิดไม่ถึงว่าหลังจากซูจิ้งได้เปิดพิ้นที่พิเศษนี้อย่างเป็นทางการทำให้เขานั้นรู้ว่าตัวเองคิดไป เขาเองยังรู้สึกด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ซูจิ้งทำนั้นดีกับภัตตาคารอย่างมากทำให้เขายอมซูฮกต่อซูจิ้ง
เขาเองก็พยายามที่จะรู้การทำอาหารจากซูจิ้ง แต่ขนาดแค่มองเพื่อลักจำเขานั้นยังไม่มีโอกาสเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่ามีโอกาสที่จะมีคนตัดหน้าเขาไป เขาย่อมไม่ยินดีอย่างแน่นอน
เหตุผลที่เขาไม่มีโอกาสนั้นเป็นเพราะว่าอาหารทุกๆจานนั้นถูกทำในพื้นที่ครัวที่ห้ามไม่ให้ใครเข้าเลยสักคนเดียว พวกเขานั้นต่างก็นึกว่าซูจิ้งนั้นมีวิธีการพิเศษที่ไม่อยากจะเปิดเผยให้ใครรู้
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันเองก็มีวิธีของฉัน ยิ่งไปกว่านั้น ในวันพรุ่งนี้ตอนที่ฉันสตรีม นายเองก็จงศึกษาวิธีการของฉันให้ดีล่ะ ฉันหวังว่านายจะเรียนรู้ได้สัก 70 % ล่ะนะ”
เหมาเว่ยเหยียนเองที่ได้ยินก็ถึงกับใจเต้นแรง อารมณ์ของเขาในตอนนี้เองตื่นเต้นจนแทบจะขีดสุดเลยทีเดียว
เขาพลางนึกในใจตั้งคำถามว่าหัวหน้าของเขานั้นเหมือนจะไม่แยแสสักนิดว่าเคล็ดลับของเขานั้นจะถูกแพร่กระจายออกไปแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าเขานั้นจะมีอะไรบางอย่างในใจเป็นแน่
แต่นี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสของเขาเช่นกันที่จะได้เรียนรู้อย่างเต็มที่ ตอนนี้เขาเองก็ได้เลือกที่จะตัดความกังวลใจต่างๆ และเลือกที่จะทำตามคำพูดของซูจิ้งในการเรียนรู้เทคนิคของเขาอย่างเต็มที่ในวันพรุ่งนี้
“อ้อ พวกนายก็ด้วยนะ ถ้าหากเรียนรู้เทคนิคของฉันได้สัก 60% ล่ะก็ ฉันจะมีความสุขอย่างมาก
และคนที่ทำได้ฉันจะขึ้นเงินเดือนให้อีกสองสามเท่าเลย” ซูจิ้งได้หันไปทางพ่อครัวคนอื่นก่อนที่จะนำเงินเดือนมาหลอกล่อให้เหล่าพ่อครัวตั้งใจเรียนรู้เทคนิคจากเขาอย่างเต็มที่
พวกเขาบางคนคิดในใจว่าแค่เพียงได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะของหัวหน้าขั้นเทพของพวกเขาก็ถือว่าอัศจรรย์แล้ว แต่นี่หัวหน้าของเขายังเอาเงินเดือนมายั่วยวนพวกเขาอีก นี่อาหารของเขามีเทคนิคระดับไหนกันแน่
วันต่อมา คนจากองค์การอาหารและยาแห่งรัฐได้เข้ามาถึงเป็นกลุ่มแรก พวกเขาเข้ามาตรวจสอบการทำงานปกติของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์
ในช่วงนี้เองเหล่านักชิมอย่างโจวเซียนและคนอื่นๆก็ได้เข้ามา ต้องบอกไว้ก่อนว่าโจวเซียนนั้นเป็นนักชิมที่ได้ฉายาว่าลิ้นสารพัดพิษ(กินแล้วติจนพ่อครัวต้องปิดร้าน)
โจวเซียนเองก็เคยได้กินอาหารของซูจิ้งมาแล้วครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นซูจิ้งได้ทำอาหารจานปลาอยู่บนชายหาดเมืองฉิงหยุน
ในครานั้น เขาไม่สามารถหาข้อติเตียนในฝีมือทำอาหารของซูจิ้งได้เลยสักนิด ในครานี้เขาก็ได้มาด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยมพร้อมความสงสัยว่าฝีมือการทำอาหารของซูจิ้งจะขึ้นไปอีกสักเท่าไหร่กัน
ด้วยการที่มีคนยอมกินอาหารอันแสนแพงซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ เขาน่าจะขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของวงการอาหารแล้วจริงๆก็ได้
“คุณซู ผมไม่ได้กินอาหารฝีมือคนมานานมากเลย ผมคิดถึงฝีมือของคุณแบบสุดๆเลยครับ” โจวเซียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ผมก็หวังว่าอาหารมื้อนี้จะไม่ทำให้คุณต้องผิดหวังนะครับ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ผมรู้ดีว่าคุณไม่ทำให้ผมผิดหวังอย่างแน่นอนครับ ว่าแต่…คุณจะสตรีมเทคนิคลับของคุณจริงๆอย่างนั้นเหรอ” โจวเซียนถามออกมาอย่างอดเสียมิได้
“โอ้ เรื่องนั้นผมไม่ใส่ใจมันหรอกครับ” ซูจิ้งพูดออกมา หลังจากนั้นเขาก็ได้หันไปเตรียมการสตรีมในทันทีเพราะเขานั้นได้โพสต์ช่องสตรีมลงในไมโครบลอกของเขาเรียบร้อยแล้ว
และแน่นอนว่าเหมือนเช่นเคย เว็บไซต์ชาร์คทีวีได้นำช่องสตรีมขึ้นไปอยุ่อันดับแรกของเว็บไซต์อีกครั้ง และไม่นานนักผู้ชมในช่องสตรีมก็พุ่งขึ้นสูงจนถึงสามแสนคนอย่างรวดเร็ว
“โอ้ ซูจิ้งสตรีมการทำอาหารของเขาจริงๆด้วยล่ะ”
“นี่ฉันไม่รู้จริงๆนะเนี่ยว่าซูจิ้งกล้าหาญหรือโง่เขลากันแน่”
“ยังไงก็ช่าง ฉันขอยอมรับนับถือการกระทำของเขาจริงๆ”
ซูจิ้งไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย เขานั้นค่อยๆทำการเตรียมอาหารของเขาอย่างสบายอารมณ์ และอยากแรกที่เขาเริ่มทำนั่นก็คือ ชุดอาหารระดับทั่วไป หรือก็คือโจ๊กมะละกอและชาเขียว
ถึงแม้จะบอกว่าเป็นโจ๊กที่ฟังดูเหมือนง่าย แต่จริงๆแล้วการทำโจ๊กนี่ต้องใช้เวลานานพอสมควร แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับวัตถุดิบแต่ละชนิด
อย่างแรกที่ซูจิ้งทำคือการเตรียมเครื่องปรุงอย่างเช่นขิง หอมหัวใหญ่ พริกไทย และวัตถุดิบอื่นๆ พวกมันนั้นไม่ได้ดูแตกต่างจากวัตถุดิบทั่วไปเลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่ออยู่ในการจัดเตรียมของซูจิ้งแล้วทำให้พวกมันราวกับเครื่องดนตรีที่ซูจิ้งกำลังบรรเลงอย่างสบายอารมณ์ ซูจิ้งได้จัดเตรียมอย่างไม่ชะงักและดูลื่นไหลราวสายน้ำ
ไม่นานนัก เขาก็จัดเตรียมเครื่องปรุงเหล่านี้ได้อย่างไม่ยากเย็น ถึงแม้ว่าเขาจะดูไม่ได้เร่งรีบแต่อย่างใด แต่ในสายตาของคนนอกที่ดูจะเห็นว่าเขานั้นเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ
หลังจากนั้น ซูจิ้งก็ได้เริ่มจัดการปลาหญ้าสวรรค์เป็นลำดับต่อไป เขาจับปลาที่ยังดิ้นอยู่ไว้ในมือก่อนที่จะพูดออกมาโดยไม่หันไปมองกล้องว่า
“ปลาหญ้าสวรรค์นี้ได้รับความนิยมอย่างมากในภัตตาคารแห่งนี้ เหตุผลก็เพราะว่าพวกมันนั้นยังสดใหม่และมีเนื้อที่นุ่มละมุน และการจะจัดการกับได้ดีนั้นวิธีการใช้มีดเป็นสิ่งที่สำคัญ
ตอนนี้ฉันจะลองทำแบบช้าๆให้ดูก่อนแล้วกัน แต่แน่นอนว่าความเร็วจะมีผลต่อความอร่อย ฉันจึงไม่สามารถลดความเร็วลงได้มากสักเท่าไหร่นัก หาใครเห็นไม่ชัดก็ค่อยไปย้อนดูวิดีโอนี้แบบสโลโมชั่นดูก็แล้วกัน”
พูดจบ ซูจิ้งก็ได้ขยับมือที่จับมีดอยู่อย่างรวดเร็ว หลายๆคนนั้นเห็นได้แต่เพียงแสงและเงาของมีดที่ซูจิ้งถืออยู่เท่านั้น
แต่ที่พวกเขาเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือเกล็ดปลาที่ลุดลอกออกกระเด็นกระจายอยู่เต็มกลางอากาศ แม้แต่เครื่องในเองก็ไม่เว้น กว่าจะรู้ตัว เนื้อของปลาเฉาก็ได้ถูกแล่ออกเป็นชิ้นไปแล้ว กระบวนการทั้งหมดนี้ช่วงรวดเร็วจนน่ารังเกียจเลยทีเดียว
“แม่…เอ๊ย เร็วเกินไปแล้ว ทำช้ากว่านี้อีกหน่อยจะตายไหม”
“สุดยอดดดดดดด”
“ดูเหมือนว่าเขานั้นจะทำได้เร็วและคล่องแคล่วยิ่งกว่าตอนแข่งสุดยอดพ่อครัวอาหารจีนอีกนะ”
กับคนส่วนใหญ่แล้วนอกจากความเร็วที่เกินเลยไป พวกเขาไม่เห็นอะไรอย่างอื่นอีกแม้แต่น้อย แต่กับผู้เชี่ยวชาญอย่างเหมาเว่ยเหยียนและโจวเซียนนั้นต่างกันออกไป
แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นเองก็เช่นกัน พวกเขานั้นต่างมองการใช้มีดของซูจิ้งด้วยสายตาอันเปล่งประกาย หากมองผ่านๆแล้วสิ่งที่ซูจิ้งทำอยู่นี้ก็คงเป็นเพียงการแล่ปลาธรรมดาทั่วไป แต่กับพวกเขานั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน
การแล่ปลานั้นส่งผลต่อรสชาติของเนื้อปลาโดยตรง หากเปลี่ยนวิธีแล่ รสชาติของชิ้นปลาจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
สำหรับผู้เชี่ยวชาญอย่างพวกเขา เมื่อได้เห็นเทคนิคการใช้มีดของซูจิ้งแล้วบอกได้เลยว่าไม่เพียงจะเร็วแบบสุดๆแล้ว มันช่างดูนุ่มนวลและสมบูรณ์ราวกับการร่ายรำก็ว่าได้
ถึงแม้พวกเขาจะไม่สามารถเห็นได้ชัดนักเพราะว่ามันเร็วมาก แต่ที่เขารู้แน่ๆคือฝีมือการลงมีดนี้ไม่ใช่ธรรมดาอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ
หลังจากที่ซูจิ้งจัดการเตรียมปลาหญ้าสวรรค์เสร็จแล้ว ตอนนั้นเอง น้ำมันในกระทะก็ร้อนกำลังได้ที่ ซูจิ้งจึงได้วางเนื้อปลาไว้ในกระทะก่อนจะพูดออกมาว่า “อย่างที่ผมว่าไปแล้ว ปลาหญ้าสวรรค์นี้ที่สามารถได้รับความนิยมได้ขนาดนี้ก็คือความสดใหม่และนุ่มละมุน และนี่ คือวิธีการทำ จงมองและจดจำไว้ให้ดี”
หลังจากซูจิ้งได้นำปลาใส่ลงกระทะแล้ว เขาได้ใช้ช้อนตักน้ำมันในกระทะมาหนึ่งช้อนแล้วทำการสาดลงไปบนไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ใต้กระทะ
ทันทีที่กองไฟพวยพุ่ง ซูจิ้งก็ทำการผัดเนื้อปลาในทันที ในกระทะตอนนี้ราวกับว่ามีมังกรไฟลงมาวิ่งเล่นอยู่ ไม่เพียงเท่านั้นมันยังลุกโชนราวกับว่ามันกำลังทะยานขึ้นท้องฟ้า
ด้วยการที่กองไฟลุกโชนอยู่ทำให้ทุกคนที่ชมการสตรีมมองเห็นได้ยากเย็น แต่ซูจิ้งก็ใช้การอธิบายแทนที่ว่าเขาทำอะไรในระหว่างนี้บ้างในขณะที่เขากำลังขยับมือให้เนื้อปลาลอยไปมาระหว่างกระทะและอากาศ
“นี่ นี่มันมังกรไฟร่ายรำ”
“ไอ๊หยา นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ นี่มันเล่นกับไฟชัดๆ”
“ถ้าผัดอย่างนี้เนื้อปลามันก็เสียหมดน่ะเซ่”
“ไอ้คนบรรทัดข้างบนทั้งหลาย ที่เอ็งว่ามาแบบนี้คือไม่รู้เลยสินะว่าซูจิ้งเป็นใคร”
“…..” เหมาเว่ยเหยียนตอนนี้กำลังสับสน และพ่อครัวคนอื่นๆเองก็มีสภาพสับสนเช่นเดียวกันในขณะที่พยายามจะเรียนรู้เทคนิคของซูจิ้ง
ทุกคนต่างก็คิดว่าพวกเขาไม่ได้อะไรเลยแม้แต่น้อย และกระบวนการทำอาหารของซูจิ้งนั้นแหกสามัญสำนักที่อย่าว่าแต่คนทั่วไปจะทำตามได้เลย แม้แต่พ่อครัวอย่างพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำ
กว่าจะเรียนรู้ได้พวกเขาเกรงว่าจะเผาตัวเองตายท่ามกลางครัวไปซะก่อน นี่ทำให้พ่อครัวในภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ตื่นจากความฝันเรื่องเงินเดือนที่ซูจิ้งมอบให้ก่อนหน้านี้ในทันที
GGS:บทที่ 1004 เปิดรับ
ไม่นาน ไฟที่ลุกโชนในกระทะเมื่อครู่นี้ก็ได้จางหายไป ซูจิ้งได้นำกระทะออกมาจากเตาแล้วเทลงไปในจานที่ตกแต่งเอาไว้ นอกจากนั้น เขายังจัดเรียงเนื้อปลาให้กลายเป็นรูปดอกบัว
ปลาแต่ละชิ้นนั้นดูสดใหม่ ละมุน และมีสีเหลืองเพราะน้ำมันที่ใช้ผัด ด้วยเครื่องเคียงที่หลากหลายแบบนี้ทำให้พวกมันนั้นเต็มไปด้วยความอร่อยหลากหลายรูปแบบ
นี่ขนาดซูจิ้งเล่นใหญ่ไฟบรรลัยกัลป์ขนาดนั้นแต่เนื้อปลากับยังคงดูสวยงาม ปราศจากชิ้นที่ไหม้และเสียเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าสมบูรณ์ครบถ้วนในทุกชิ้น
พ่อครัวอย่างเหมาเว่ยเหยียนและนักชิมอาหารอย่างโจวเซียน หรือแม้แต่คนจากองค์การอาหารและยาของรัฐเองต่างก็ตกตะลึงจนนิ่งอึ้งไปเฉยๆ แม้แต่ผู้คนเองก็ยังต้องโง่งม
“โอ้….โคตรน่าอร่อยยยยย”
“ขนาดดูผ่านสตรีมฉันยังได้กลิ่นมาเลย”
“การผัดอาหารด้วยไฟทรงพลังขนาดนั้นแต่ยังไม่มีชิ้นใดเสียหรือไหม้เลยแม้แต่น้อย เขาทำได้ยังไงกัน”
“ฉันเองก็ได้ตั้งอัดไว้นะแต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเหมือนกัน ฉันไม่รู้เลยจริงๆว่าเขาทำได้ยังไง”
“ฉันรู้แล้วว่าทำไมเขานั้นไม่หวงสูตรหรือวิธีการอะไรเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เครื่องปรุงและวัตถุดิบทำอาหารมากองอยู่ตรงน่าฉันก็ทำอะไม่ได้เลยสักนิด ฝีมือการใช้มีดและการทำอาหารของซูจิ้งนั้นวิเศษเกินไป”
ณ ภัตตาคารแห่งหนึ่ง เจ้าของภัตตาคารได้พุ่งเข้ามาในร้านทันทีที่รู้ว่าซูจิ้งทำการสตรีมอาหารเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วหนึ่งอย่าง เขาพูดออกมาด้วยท่าทีรีบร้อนว่า “หมอนั่นทำเสร็จเร็วแบบนั้นได้ยังไงกัน แถมเนื้อปลายังดูสดใหม่ด้วย นายได้อัดวิดีโอได้รึเปล่า”
“ผมก็อัดไว้อยู่ แต่…” พ่อครัวที่กำลังดูการสตรีมอยู่ ในตอนนี้ได้แต่หัวหัวเราะและยิ้มออกมาแบบแห้งๆ
“แต่อะไร พูดเร็วๆสิ” เจ้าของร้านพูดออกมาด้วยความร้อนรน
“พวกเราไม่สามารถ..” พ่อครัวได้พูดออกมาราวกับร้องไห้อยู่ทั้งที่ไม่มีน้ำตา
“หรือว่า….เขาใช้มุมกล้องในการปิดบังสูตรลับเอาไว้เหรอ” เจ้าของถามออกมาด้วยท่าทีคิ้วขมวดอย่างสงสัย
“ไม่ใช่ครับ…. คุณคงต้องลองดูด้วยตาของตัวเองดีกว่านะ” พ่อครัวได้ส่งวิดีโอที่เขาอัดเอาไว้เจ้าของภัตตาคาร เมื่อเข้าของภัตตาคารได้เห็นก็ต้องตกตะลึง เขาตั้งคำถามขึ้นมาในทันทีว่านี่ซูจิ้งทำอาหารหรือเล่นมายากลกันแน่
ที่ภัตตาคารอื่น เจ้าของภัตตาคารและพ่อครัวที่พึ่งจะได้เห็นวิธีการทำอาหารของซูจิ้งก็ได้แต่นิ่งเงียบไปนาน จนในที่สุดเจ้าของภัตตาคารก็ได้ส่งเสียงออกมาว่า “วิธีการทำอาหารนี้มีใครพอจะทำได้บ้างรึเปล่า”
เหล่าพ่อครัวต่างก็เงียบสนิท
เจ้าของภัตตาคารได้พูดต่อว่า “ถ้าใครทำได้ฉันจะให้เงินเดือนเพิ่มเป็นสองเท่า”
เหล่าพ่อครัวของภัตตาคารแห่งนี้ก็ยังนิ่งเงียบต่อไป ถึงแม้จะมีบางคนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ทำได้เพียงปิดปากลงเท่านั้น
ถึงแม้จะมีเงินเดือนล่อตาล่อใจขนาดไหนแต่ถ้าต้องฝึกให้ทำได้เหมือนซูจิ้งนี่ ดีไม่ดีทั้งชีวิตก็ทำไม่ได้
ฉากนี้เกิดขึ้นในทำนองเดียวกันกับภัตตาคารต่างๆและร้านอาหารทั่วๆไป ตอนแรกทุกคนต่างก็ตื่นเต้นและตั้งใจดู แต่เมื่อดูแล้วก็เหลือไว้เพียงหัวใจอันห่อเหี่ยว ไร้เรี่ยวแรง วิธีการทำอาหารของซูจิ้งนั้นอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของพ่อครัวทั่วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถึงจะรู้สึกประดักประเดื่อไปบ้างแต่พวกเขาก็ยังฝืนดูสตรีมการทำอาหารของซูจิ้งต่อไป ในตอนนี้ซูจิ้งกำลังนำโจ๊กมะละกอมาให้เหล่านักชิมได้ลิ้มลองคนละหนึ่งถ้วย พร้อมทั้งเสริฟด้วยชาเขียวหนึ่งถ้วยชา
เหล่านักชิมไล่ดมอาหารที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าทั้งอาหารจานปลาและโจ๊กมะละกออย่างหนักราวกับไม่อยากให้กลิ่นลอยออกไปไหน
ในที่สุดพวกเขาก็ได้เริ่มลิ้มลองในทันที เพียงคำแรกเท่านั้น ทุกคนต่างตกตะลึงจนนึ่งอึ้งกันไปหมด
เพียงหลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาตั้งหน้าตั้งตากินกันไม่พูดไม่จาอะไรเลยสักนิดราวกับคนงานในพื้นที่ชุมชนแออัด
เพียงไม่กี่ช่วงอึดใจ ชุดอาหารระดับทั่วไปสะอาดเอี่ยมอ่องราวกับเป็นการนำจานสะอาดเปล่าๆมาวางไว้เฉยๆ และเมื่อทุกคนได้ดื่มชาเขียวลงไป ทุกอย่างก็ดูสงบลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
นี่ทำให้เหล่าผู้ชมอดเสียไม่ได้ที่จะลอบด่าว่าแม่ของเหล่านักชิมทั้งหลาย
“คุณซูครับ ก่อนหน้านี้ผมเพียงคิดแค่ว่าคุณซูนั้นเพียงแค่พัฒนาความสามารถด้านการทำอาหารของคุณอีกแล้ว แต่หลังจากได้กินชุดอาหารนี้แล้วทำให้ผมต้องทำความเข้าใจใหม่
ตอนนี้คุณซูนั้นไม่ได้ทำอาหารได้ดีที่สุด แต่สมควรจะบอกเป็นว่าคุณซูทำอาหารที่มีเพียงคุณซูคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้” โจวเซียนได้เอ่ยวาจาในการตีค่าอาหารของซูจิ้งออกมา
“ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมมิชชาลินนั้นไม่ค่อยจะกล้าให้สามดาวแก่อาหารของคุณแต่ก็ต้องให้เพราะไม่มีอะไรที่ดีกว่าที่เขาจะให้ได้
เหตุผลหลักๆก็เพราะเขานั้นเห็นเพียงแค่อาหารที่คุณทำเสร็จ แต่เขาไม่รู้ว่าที่มาของความอร่อยของคุณซูนั้นคืออะไรกันแน่
หากว่าเขานั้นได้เห็นวิธีการใช้มีดของคุณ ทักษะการใช้ไฟที่สุดแสนจะทรงพลังและแม่นยำที่พอเหมาะกับการคงสภาพความสดใหม่ของเนื้อปลาไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจแบบนี้
ขนาดผมเองที่อยู่ในวงการนี้มานาน ได้เห็นพ่อครัวปรุงอาหารมามากมายหลากหลาย แต่ผมก็ยังไม่สามารถสื่อถึงความอัศจรรย์ในการใช้มีดและไฟของคุณซูได้อย่างเต็มที่เลย
แต่ที่ผมนั่นมั่นใจและสามารถพูดได้อย่างเต็มปากก็คืออาหารจานปลานี้เป็นอาหารที่สุดยอดที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมาแล้วในชั่วชีวิตนี้
แล้วยังมีโจ๊กมะละกอนั่นอีก ไม่เพียงแค่หวานอร่อยแล้วยังทำให้มีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้อย่างง่ายดาย
และอย่างสุดท้ายแม้แต่ชาถ้วยนั้นเอง เมื่อผมได้ดื่มชานี้ไปแล้วทำให้จิตใจของผมนั้นปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก
ขนาดผมเองก็เป็นนักดื่มชาตัวยงก็ยังไม่เคยได้กินชาที่ดีแบบนี้มาจากที่ไหนมาก่อนเหมือนกัน” นักชิมอาหารอีกคนกล่าวชมเชยออกมาอย่างจริงใจ
“ผมก็คงจะพูดออกมาได้เพียงว่า รสชาติอันสมบูรณ์ ครับ” นักชิมอีกคนหนึ่งได้พูดออกมาด้วยใบหน้าแจ่มใสและเขาในตอนนี้ยังเลียริมฝีปากของตัวเองเพื่อรับทราบรสชาติอันแสนอร่อยที่ยังคงเหลือเอาไว้
เหล่านักชิมคนอื่นๆเองต่างก็ประเมินค่าอาหารของซูจิ้งอย่างสูงสุดหยั่งไปทุกคน และแน่นอนว่าเหล่าผู้ชมเองต่างก็คุ้นเคยและเชื่อถือนักชิมเหล่านี้ได้
กับโจวเซียนนั้นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นนักชิมฝีปากร้ายด่าได้จนล้มละลายไปหลายร้านแล้ว ส่วนคนอื่นๆเองก็ถือได้ว่าเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญที่วงการอาหารจีนต่างก็รู้จักและเคารพนับถือ
พวกเขานั้นเป็นคนที่ให้ข้อคิดเห็นในเรื่องอาหารได้อย่างตรงไปตรงมาและแม่นยำราวกับเป็นผู้ทำเองเลยทีเดียว และเมื่อไหร่ที่พวกเขานั้นเอ่ยปากชมอาหารจานใด จานนั้นย่อมอร่อยตามความเป็นจริง
ตอนนี้เหล่าเจ้าของภัตตาคารทั้งหลายที่เคยได้รับการประเมินจากเหล่านักชิมพวกนี้ต่างก็อิจฉา ริษยา และเกลียดชังซูจิ้งอย่างมาก
นั่นก็เพราะแทบจะทุกภัตตาคารล้วนแล้วแต่มีข้อติติงจนไม่เคยมีใครได้คำชมเชยที่ดีแบบนี้มาก่อน นี่ทำให้พวกเขานั้นตระหนักได้แล้วว่าอาหารของซูจิ้งนั้นอร่อยเกินกว่าที่พวกเขานั้นจะทำตามได้อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นเหล่านักชิมชิมกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งจึงได้บอกให้คนจากองค์การอาหารและยาของรัฐตรวจสอบอาหารจานปลา โจ๊กมะละกอ และชาเขียวที่เขายังหลงเหลือเอาไว้
แน่นอนว่าผลที่ออกมาคือไม่เพียงจะไม่มีผงดอกฝิ่นเป็นส่วนผสม แม้แต่ส่วนประกอบบของอาหารที่ด้อยคุณภาพยังไม่เจอเลยสักนิด
“โคตรไร้สาระเลยจริงๆกับเรื่องผงดอกฝิ่นนั่น ต่อให้เติมผงดอกฝิ่นลงไปทั้งไร่ก็ไม่มีทางทำให้อาหารอร่อยขึ้นมาหรอก” โจวเซียนได้พูดออกมาพลางส่ายศรีษะในขณะที่กำลังมองดูคนจากองค์การอาหารและยาแห่งรัฐตรวจสอบอาหารของซูจิ้ง
“มีแต่คนที่ขาดความรู้เท่านั้นที่หลงเชื่อข่าวลือล่ะนะ” นักชิมอาหารอีกคนหนึ่งพูดออกมา
….
“กลายเป็นว่ามันเป็นข่าวลือหรอกเหรอ สรุปว่าในอาหารของซูจิ้งไม่มีผงดอกฝิ่นสินะ”
“อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ไง ผงดอกฝิ่นนั้นแค่ทำให้คนติดการกินอาหารนั้นๆเท่านั้น มันไม่ได้ช่วยเพิ่มรสชาติอะไรเลย แถมไม่มีผลในการทำให้สุขภาพดีและทำให้อ่อนเยาว์เลยแม้แต่น้อย ไอ้คนที่เชื่อเรื่องนี้สมควรจะไปหาความรู้จริงจังได้แล้ว”
ด้วยเหตุนี้ทำให้เรื่องข่าวลือที่ว่าอาหารของซูจิ้งนั้นไร้ค่าไปโดยปริยาย ขนาดนักชิมและคนขององค์การอาหารและยาแห่งรัฐยังไม่เจออะไรเลยแม้แต่น้อยแล้ว นับประสาอะไรกับคนทั่วไป
และเรื่องในครั้งนี้นั้นไม่เพียงจะเป็นการคืนความบริสุทธ์ให้แก่อาหารของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ได้แล้ว ชื่อเสียงของภัตตาคารยังเพิ่มสูงมากขึ้นอย่างมากจนทำให้ภัตตาคารอื่นๆยอมแพ้ที่จะแข่งด้วยไปเลย
และเหตุผลหลักๆที่ทำให้พวกเขานั้นยอมแพ้เป็นผลมาจากพวกเขานั้นรู้ซึ้งถึงความสามารถในการทำอาหารของซูจิ้งได้อย่างถ่องแท้ และฝีมือการทำอาหารแบบนั้นไม่มีใครเลยที่จะสามารถเลียนแบบได้
หลังจากเรื่องทุกอย่างจบลง ซูจิ้งได้หันไปพูดกับกล้องว่า “เอาล่ะ ทีนี้ทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่าอาหารของฉันไม่มีอะไรไม่ดีเลยโดยดูได้จากการตรวจสอบจากองค์การอาหารและยาของรัฐและนักชิมชั้นเลิศพวกนี้
ยังจะมีอะไรจะถามอีกรึเปล่า หากมี ฉันจะตอบทุกอย่าง พิสูจน์ทุกสิ่งที่ทุกคนถามต่อหน้าทุกคน แน่นอนว่าฉันนั้นยังมีจุดประสงค์อื่นที่จะบอกผ่านการสตรีมนี้ด้วย”
ซูจิ้งได้เว้นช่วงพูดเพื่อที่จะรอให้คนอื่นถามอะไรเข้ามาในช่องสตรีม แต่เหล่าคนดูกลับกลายเป็นสับสน พลางคิดไปว่านี่เขานั้นยังมีจุดประสงค์อยู่อีกอย่างนั้นเหรอ
หลังจากที่เว้นไว้พักหนึ่งแล้วไม่มีใครพิมพ์อะไรมา เขาจึงได้พูดต่อว่า “ฉันเชื่อว่าทุกคนได้เห็นวิธีการทำอาหารของฉันแล้วในวันนี้ถึงแม้ว่ามันจะต้องดูผ่านการสโลโมชั่นก็ตาม
เอาจริงๆเลยนะ ฉันนั้นไม่เคยกลัวว่าจะมีใครมาเรียนรู้วิธีการทำอาหารของฉัน แต่ฉันกลัวจริงๆว่าจะไม่มีใครสามารถเรียนรู้ได้มากกว่า
ฉันขอแนะนำว่าหากคุณต้องการจะเรียนรู้วิธีการทำอาหารของฉันจริงๆล่ะก็ จำเป็นต้องศึกษาจากวิดีโอสโลโมชั่นของฉันในขั้นช้าสุดแล้วคุณจะเห็นได้ว่าแต่ละเสี้ยววิที่ฉันทำอาหารนั้นฉันทำอะไรลงไปบ้าง
หากว่าใครสามารถเรียนรู้วิธีการของฉันและทำได้มากกว่า70%ล่ะก็ เมื่อนั้นของให้มาหาฉันที่ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์
เพราะนายคนคือคนที่มีความสามารถที่คู่ควรและฉันยินดีที่จะมอบเงินเดือนที่ดีที่สุดเท่าที่นายเคยได้รับมาในชีวิต
พร้อมทั้งฉันยินดีที่จะสอนเทคนิคและสูตรลับในการทำอาหารที่ขายในพื้นที่พิเศษอีกสองชุด ที่สำคัญที่สุดคือฉันจะทำให้นายได้ลิ้มรสชาติอาหารสองชุดนั้นแบบฟรีๆไปเลย”
ทันทีที่สิ้นเสียงของซูจิ้ง เหมาเว่ยเหยียน และพ่อครัวคนอื่นๆที่ได้เห็นฉากนี้ แม้แต่ผู้ชมทั่วไปเองต่างก็กู้ร้องออกมา
แต่สำหรับเหล่าเจ้าของภัตตาคารที่เห็นฉากนี้ล้วนแล้วแต่จะเป็นลมล้มทั้งยืน พวกเขานั้นเพิ่งจะรู้ตัวว่าแทนที่จะได้ใช้กับดักเล่นงานซูจิ้ง
กลายเป็นว่าซูจิ้งวางแหคลุมพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แถมยังเป็นกับดักที่ทรงพลังจนต่อให้พวกเขารวมตัวกันก็ทำอะไรไม่ได้
แน่นอนว่าคำพูดของซูจิ้งได้ทำให้เหล่าพ่อครัวทั้งหลายได้รับผลกระทบในครั้งใหญ่ เหล่าเจ้าของภัตตาคารต่างๆก่อนหน้านี้ล้วนแล้วอยากจะให้พ่อครัวของเขาเลียนแบบและเรียนรู้ทักษะของซูจิ้งอย่างมาก
แต่มาถึงตอนนี้ พวกเขานั้นล้วนแล้วจะไม่อยากแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะหากมีใครเรียนรู้ได้ตามคำกล่าวที่ซูจิ้งว่าเอาไว้ พ่อครัวเหล่านี้ล้วนยินดีที่จะตีจากพวกเขาไปอย่างแน่นอน
GGS:บทที่ 1005 ช้าๆ
ในภัตตาคารแห่งหนึ่ง เจ้าของภัตตาคารได้รีบปิดช่องสตรีมของซูจิ้งที่เปิดอยู่ในทันที แต่เขาก็รู้ดีแล้วว่าเขานั้นปิดช้าเกินไปแล้ว
พ่อครัวของเขาต้องได้ยินคำพูดของซูจิ้งแล้วแน่ๆ และแน่นอนว่าพวกเขาได้จดจำคำพูดเหล่านั้นอย่างแน่นแน
“แกคิดอยู่ว่าจะไปที่ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์หลังจากเรียนวิธีการทำอาหารนั่นได้ใช่รึเปล่า” เจ้าของภัตตาคารได้ถามออกมาในทันทีเมื่อเห็นพ่อครัวของเขามีท่าทีมุ่งมั่น
“ไม่ครับ ไม่มีทาง” พ่อครัวได้ส่ายศรีษะในทันที แต่จริงๆแล้วพ่อครัวทุกคนในที่นี่กำลังนึกถึงความเป็นได้ที่จะเรียนรู้วิธีการของซูจิ้งอยู่ หากพวกเขาทำได้ดีพอล่ะก็แน่นอนว่าพวกเขาต้องไป
เพราะนอกจากจะได้เงินเดือนที่สูงขึ้นแล้ว พวกเขายังได้มีโอกาสเรียนรู้การทำอาหารที่สุดยอดเหนือกว่าใคร แถมยังมีโอกาสได้ชิมอาหาราคาแสนหยวนที่นอกจากอร่อยแล้วยังทำให้คนที่กินสุขภาพดีและอ่อนเยาว์ได้ฟรีๆ
หากว่าพวกเขาไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ล่ะก็คงเป็นพวกจิตป่วย แน่นอนว่าพวกเขานั้นไม่กล้าแสดงตัวออกมาหรอก
เหตุผลก็เพราะว่าเป้าหมายนี้มันยากเกินจะฟันฝ่าไปได้ ต่อให้พวกเขาไม่สามารถเรียนรู้ได้ตามเป้าหมายที่70%ได้จริง แต่หากเจ้านายของพวกเขารู้ล่ะก็ต่อให้ไม่ได้ไปก็ไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้จักพวกแกนะ….หากใครก็ตามที่ทำแบบเดียวกับซูจิ้งได้70%” ฉันจะดูแลพวกแกอย่างดี เอาเป็นเพิ่มเงินเดือนให้อีกสัก15%แล้วกัน พวกแกคิดว่ายังไง พวกแกอย่าไปฟังคนแบบนั้นพูดให้มากนักเลยดีกว่า พวกแกเองก็น่าจะรู้นะว่าการเลือกที่จะมีหัวหมายังดีกว่าเป็นหางนกไฟ
เพราะฉะนั้นอย่าไปฟังที่ซูจิ้งพูดเลยจะดีกว่า หากพวกแกไปแล้วฝีมือไม่เข้าตาจะโดนให้ทำอะไรก็ไม่รู้
แต่ที่นี่ยังซะแกก็คือพ่อครัว ไม่จำเป็นต้องเริ่มอะไรใหม่ พวกแกสามารถกินดิ่มอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจไม่ต้องแข่งขันกับใคร เข้าใจใช่รึเปล่า”
เจ้าของภัตตาคารได้พูดออกมาดักทางเอาไว้ นั่นเพราะว่าเขารู้ดีว่าคนพวกนี้คือผู้ใหญ่ที่มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง ต่อให้สิ่งที่พูดจะส่งผลต่อความคิดของพ่อครัวของเขาได้เล็กน้อยก็ดีกว่าไม่ได้พูดอะไรออกมา
ในตอนนี้เองเหล่าเจ้าของภัตตาคารทั้งหลายที่ต้องการให้พ่อครัวของตัวเองนั้นเรียนรู้เทคนิคลับของซูจิ้งนั้นต่างก็จิตตกกันไปหมดจนอดไม่ได้ที่จะด่าแม่ออกมา
พวกเขานั้นพึ่งจะรู้ตัวว่าสิ่งที่พวกเขาพยายามกดดันซูจิ้งได้กลายเป็นดาบทิ่มแทงตัวเองอย่างช่วยไม่ได้
พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าที่ซูจิ้งไม่ยอมเคลื่อนไหวอะไรก่อนหน้านี้เป็นเพราะต้องการให้เขานั้นมีโอกาสมาแสดงทักษะของเขาเพื่อหาพ่อครัวไปทำงานด้วยกันแทน
และไม่เพียงแค่พ่อครัวธรรมดาแต่ต้องเป็นพ่อครัวชั้นเลิศอีกด้วย
ในเรื่องนี้เองนอกจากเหล่าเจ้าของภัตตาคารแล้ว เหล่าผู้คนทั้งหลายที่มีใจรักในการทำอาหารและพ่อครัวทั่วทั้งประเทศต่างก็ตื่นเต้นกันไปหมด แม้แต่แม่บ้านทั่วไปก็ยังคิดว่านี่คือโอกาสอันดี
“ฉิบ… ที่เขาทำนี้ไม่ต่างจากหาลูกมือต่อหน้าสาธารณชนเลยนะ”
“โอ้ พระเจ้าช่วย ตราบใดที่สามารถเรียนรู้ได้70%ของวีธีการทำอาหารจานนั้นได้ก็จะมีโอกาสได้ทำงานกับเขาเลยนะ
ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้มีโอกาสกินอาหารชั้นยอดที่ขายเฉพาะพื้นทิ่พิเศษที่มีราคาขั้นต่ำที่หนึ่งแสนหยวนนั่นอีก”
“เยี่ยม ได้เวลาทีฉันจะได้กลายเป็นมังกรทะยานฟ้าแล้ว”
“ไอ้พวกบรรทัดข้างบนนี่น่าตลกเนอะ คนอย่างพวกนายมีทางได้เรียนรู้กับเขากันด้วยเหรอ”
“นายจจะรู้อะไรหากว่ายังไม่ได้ลองทำดู ไปล่ะ ฉันจะไปลองซื้อปลามาหัดละ”
“เฮ้เฮ้ ฉันว่าฉันพอมีอยู่นะ ลองมั่งดีกว่า”
“อย่างที่เขาว่าหากลับมีดไม่คม ตัดไม้ยังไงก็ไม่เข้า ฉันว่าจะเริ่มจากการดูวิดีโอของซูจิ้งแบบลดความเร็วตามที่ซูจิ้งแนะนำไว้”
เพียงคำแถลงประกาศหาพ่อครัวของซูจิ้งเผยแพร่ออกไป ผู้คนทั้งหลายต่างทดลองที่จะเรียนรู้วิธีการทำอาหารจานปลาของซูจิ้งกันอย่างแพร่หลาย
แม้แต่บางคนที่ทำเป็นเพียงมะเขือเทศและไข่ดาวก็ยังรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่จะทำให้พวกเขานั้นมีชีวิตที่รุ่งโรจน์ในวงการอาหารได้เลยทีเดียว
หลายๆคนได้ซื้อปลากลับไปฝึกฝนเพื่อว่าพวกเขานั้นจะเป็นอัจฉริยะทางด้านการทำอาหารที่ยังไม่ถูกค้นพบก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม มีหลายคนที่รู้สึกถอดใจไปแล้ว แต่ก็ยังมีพ่อครัวบางส่วนที่สามารถเรียนรู้เทคนิคของซูจิ้งได้จริงๆ และนั่นก็ทำให้พวกเขาทำอาหารอร่อยได้มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมวัตถุดิบ หรือแม้แต่วิธีการคัดเลือกก็ตาม นี่ทำให้พวกเขารู้ได้เลยว่าวิธีการของซูจิ้งนั้นดีที่สุด
นี่ทำให้พวกเขานั้นไม่ได้คิดว่านี่เป็นสูตรลับอีกต่อไปแล้ว เพราะมันเหนือล้ำยิ่งกว่ามาก แต่ถึงจะบอกว่ามันอร่อยขึ้นก็จริง แต่ก็ยังไม่สามารถเทียบกับของซูจิ้งได้
พวกเขาสามารถบอกได้เลยว่าหากว่าพวกเขาต้องการที่จะทำอาหารขายในราคาหนึ่งแสนหยวนได้แบบซูจิ้งล่ะก็ เพียงวัตถุดิบที่พวกเขามีนั้นไม่เพียงพอที่จะเป็นไปได้อย่างแน่นอน
ในส่วนนี้ก็ยังมีคนที่มีฝีมือเลยทดลองทำจริงไปเลยก็มี แต่พวกเขาก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด พวกเขาเลียนแบบตามวิดีโอความเร็วปกติไปสองสามหนจนถอดใจ และได้เปลี่ยนมาเป็นค่อยๆศึกษาจากวิดีโอลดความเร็วดู
ก็อย่างที่เขาว่าคือของมันจะเห็นก็คือเห็น ของมันจะไม่เห็นก็คือไม่เห็น พวกเขานั้นเมื่อลดความเร็ววิดีโอดูถึงพบสิ่งที่น่าตกตะลึง
“พระเจ้า ทุกครั้งที่เขาตัดเนื้อปลา เขาตัดไปตรงกับลายของเนื้อได้อย่างพอดิบพอดี”
“หากเรื่องนั้นล่ะก็ฉันรู้ดีแล้วน่า มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ไม่ ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้น เขาตัดไปตามลายของเนื้อปลาเลยจริงๆไม่ใช่การตั้งมุมมีดให้เป็นทิศทางเดียวกับเนื้อปลา
ลองดูดีๆสิ นายจะเห็นได้เลยว่าเนื้อปลาที่ได้ราวกับว่าไม่ได้โดนตัดด้วยมีดแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกมันเป็นชิ้นมาอยู่แล้วแล้วเขาเอามาประกอบให้เป็นตัวปลาใหม่เท่านั้นเอง”
“เป็นไปไม่ได้น่า เขาเตรียมไว้ก่อนแต่แรกรึเปล่า”
“ไม่ใช่การเตรียมไว้ก่อนแต่แรกนะ ดูภาพช่วงนี้สิ มีดของเขานั้นเปลี่ยนไปทุกครั้งเลยในทุกความลึกของมีดที่ลงไปในเนื้อปลา
เป็นเพียงเพราะว่ามันเร็วมากจนทำให้พวกเราคิดว่าเขานั้นแค่เพียงตัดเป็นชิ้นๆเท่านั้นเอง มิน่าล่ะ ปลาทุกชิ้นถึงได้ราวกับว่าดูมีชีวิตนัก”
“พระเจ้า เป็นไปได้ด้วยเหรอ”
“เท่าที่ฟังนายบอกมานี่ ฉันลองไปดูวิธีการเตรียมวัตถุดิบอย่างอื่นของเขาแล้วเหมือนกันนะ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่วิธีการลงมีดทั่วไปเลยสักอย่างเดียว ลองดูนี่สิ ทุกครั้งที่เขาลงมีด เขาไม่เคยลงมีดแบบเดียวกันเลยสักครั้ง”
“ทำไมยิ่งฉันฟังยิ่งรู้สึกมันน่ามหัศจรรย์พันลึกนักล่ะ มันก็แค่การหั่นหอมใหญ่เองนะ”
“นายเห็นปลาในกระทะนั่นไม๊ล่ะ ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเขาโยนไปส่งๆก็จริง แต่ลองดูดีๆสิ เนื้อปลานั้นกระจายออกจากกันแทบจะพอดีกันเลยนะ
ไม่มีเนื้อชิ้นไหนเลยที่จะอยู่ติดกัน และเมื่อเนื้อพวกนี้ลงไปในกระทะ น้ำมันก็จะเคลือบพวกมันเอาไว้ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าพวกมันจะติดกันตอนทำอีกต่อไป
แถมตอนที่เขาผัดนั้น แวบแรกอาจจะเห็นว่าไฟนั้นลุกท่วมไปบนกระทะก็จริง แต่ความจริงแล้วเขาสามารถควบคุมกระทะได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แถมยังควบคุมความร้อนในกระทะได้อย่างน่าพิศวง
นี่ทำให้ถึงแม้ว่ามันจะดูราวกับเป็นเพลิงนรกโลกันต์ที่เขาใช้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เกิดการไหม้ในอาหารแม้แต่น้อย ย่งไปกว่านั้นหากดูดีๆชิ้นเนื้อตอนเขาผัดนั้นเขาไม่ได้โดนความร้อนเลยสักนิด ราวกับว่าเขาควบคุมอากาศเอาไว้ทำให้ไฟล้อมรอบตัวเขาไปแต่ไม่โดนไหม้เลย”
“เป็นไปได้ยังไงกัน นอกจากว่าเขาจะควบคุมไฟได้โดยตรง”
“เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะตัดเนื้อตามเส้นลายของเนื้อได้ ไหนจะการควบคุมไฟในการผัดนั่นอีก”
“วันนี้ฉันได้เปิดตาแล้วจริงๆ”
“แม่…เอ๊ย เข้าใจแล้ว แต่ฉันจะทำได้แค่ดูจริงๆเหรอ”
“ฉันว่าพวกนายจะคิดกันมากเกินไปแล้ว เขาน่าจะมีวิธีบางอย่างก็ได้ มันไม่ใช่ความน่าพิศวงแต่อย่างใด อีกอย่างซูจิ้งก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่จะเป็นต้องทำให้ได้อย่างสมบูรณ์ ตราบใดที่ทำได้เจ็ดในสิบส่วนก็ถือว่าสำเร็จแล้ว แค่ฉันได้ทำได้ส่วนเดียวนี่ก็ทำให้ฉันพึงพอใจแล้วนะ ไม่ต้องพูดถึงเจ็ดหรือแปดส่วนเลย”
“ฉันลองทำตามแล้วนะ ลูกสะใภ้บอกว่าอาหารของฉันอร่อยขึ้นจริงๆ”
“ฉันว่าฉันน่าจะเรียนรู้ได้มากพอแล้วนะ ฉันจะลองไปที่ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ดูในวันพรุ่งนี้”
ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ผู้ที่เรียกว่าปรมาจารย์ในวงการอาหารก็อดไม่ได้ที่จะเรียนรู้วิธีการของซูจิ้ง และก็ทำให้หลายๆคนนั้นนึกกันว่าในกลุ่มคนพวกนี้จะมีใครที่จะได้ทำงานกับซูจิ้งเป็นคนแรก ว่าแต่จะมีคนผ่านเกณฑ์ของซูจิ้งจริงๆรึเปล่านี่สิ
อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันถัดมาก็ได้มีผู้คนจำนวนกว่าโหลได้ไปยังภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ แต่ไม่มีใครเลยที่จะทำได้เกินกว่าสามส่วนแน่นอนว่าซูจิ้งไม่ได้ออกมาปรากฏตัวแต่อย่างใดเพราะไม่มีใครผ่าน
แต่ในที่สุดก็มีใครบางคนที่น่าจะผ่านเกิน นั่นก็คือเหมาเว่ยเหยียน เขานั้นเป็นพ่อครัวของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์นี่เอง
ในตอนแรกนั้นไม่มีใครคิดว่าเขาจะทำได้เลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเหมาเว่ยเหยียนได้ทำอาหารจานปลาออกมาจากปลาทั่วไป และเมื่อได้ทุกคนได้กินดู ทุกคนที่ได้กินกลับต้องยอมรับในฝีมือเขา
วิดีโอของเหมาเว่ยเหยียนที่ทำอาหารจานปลานี้ได้ถูกถ่ายไว้และโพสต์ขึ้นบนอินเตอร์เน็ต วิธีการของเขานั้นแทบจะถอดแบบมาจากซูจิ้งได้เลย เขานั้นเคยได้เรียนอยู่ในโรงเรียนทำอาหารซูโจว และดูเหมือนว่าเขายังใช้วิธีการของซูจิ้งในการทำอาหารอย่างอื่นได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ฉันว่าแล้วไง การตัดเนื้อปลาและวัตถุดิบอย่างอื่นต้องตัดตามลายเส้น”
“นั่นคือการควบคุมไฟจริงๆด้วย”
“เหมาเว่ยเหยียนนั้นมีทักษะด้านการทำอาหารที่ดีเยี่ยมอยู่แล้วทำให้เขานั้นสามารถเรียนรู้เทคนิคของซูจิ้งได้ และตอนนี้เขาจะล้ำหน้ากว่าพวกเราแล้ว”
พ่อครัวคนอื่นที่เห็นเหมาเว่ยเหยียนทำได้ต่างก็คิดว่าพวกเขาเองก็ต้องทำได้ พวกเขาได้ลองเรียนรู้จากวิดีโอที่ลดความเร็วของเหมาเว่ยเหยียนดูบ้าง แต่ยิ่งดูพวกเขาก็ยิ่งถอดใจ พลางนึกออกมาว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะธรรมได้จริงๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น