Elixir Supplier 750-753
750 เป็นแบบนี้นี่เอง
“เขาเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?” แม่เด็กถาม
“ว่ากันว่า เขาเก่งมากๆเลยล่ะ” สามีของเธอตอบ
…
ภายในบ้านหลังหนึ่งที่ปักกิ่ง หญิงคนหนึ่งกำลังเดินกลับไปกลับมาด้วยความโมโห
“หมอเทพอะไรกัน?” เธอถาม “แต่คนที่ถูกเรียกว่าหมอเทพกลับรักษาชื่อต๋าไม่ได้ เขาเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก กลับมาจากการบินไปเรียนแพทย์แผนจีนที่ประเทศอื่น! บอกแม่มาสิ ว่านี่มันคือการหลอกลวงต้มตุ๋นใช่ไหม?”
“แม่ ใจเย็นๆก่อนเถอะครับ” ลูกชายของเธอพูด
“จะให้แม่ใจเย็นได้ยังไง?” เธอถาม “ตอนนี้ชื่อต๋าก็ยังนอนอยู่บนเตียง ลูกก็เห็นว่าเขาต้องทรมานขนาดไหน แล้วลูกไปหาหมอปลอมๆแบบนี้มาจากที่ไหนกัน?”
เธอโมโหอย่างมาก เมื่อคนรับใช้เดินเข้ามา เธอก็ยังคงไม่สงบลง
“คุณผู้หญิงคะ มีแขกมาค่ะ” คนรับใช้พูด
“ใครมา?” เธอถาม
“กั๋วเจิ้งเหอค่ะ” คนรับใช้ตอบ
“เขามาที่นี่ทำไมกัน?” เธอแปลกใจ “ให้เขาเข้ามา”
หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามา “สวัสดีครับ คุณป้า”
เธอรับปรับอารมณ์ของตัวเองให้เข้าที่และพูดด้วยท่าทีสุภาพว่า “เจิ้งเหอ เข้ามานั่งคุยกันข้างในก่อนสิจ๊ะ”
ความโกรธทั้งหมดถูกกดทับเอาไว้ลึกลงไปในหัวใจเธอ ในเวลานี้ เธอเป็นเพียงผู้อาวุโสที่น่าเคารพนับถือคนหนึ่งเท่านั้น
กั๋วเจิ้งเหอทักทายลูกชายของเธออย่างสุภาพ “พี่ชื่อฉิง”
“เธอกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอจ๊ะ?” เธอถาม
“ผมเพิ่งกลับมานี่เองครับ” กั๋วเจิ้งเหอตอบ “พอดีพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคุณแม่ด้วยน่ะครับ”
“โอ้ จริงด้วยสินะ เธอคงจะกลับมาบ้านเพราะเรื่องนี้สินะจ๊ะ” เธอพูด
“คุณป้าครับ ผมเพิ่งได้ยินมาว่าชื่อต๋าป่วย” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“ใช่จ๊ะ เขาป่วยอยู่” เธอพูด “ตอนนี้ เขาก็ยังต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล”
“ผมได้ยินมาว่า คุณป้าเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก” กั๋วเจิ้งเหอพูด
ปักกิ่งนั้นเป็นเมืองใหญ่ แต่วงสังคมกลับแคบ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาได้ใช้เส้นสายของเธอเพื่อหาทางรักษาผู้เป็นลูกชาย มันจึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่เหล่าคนในตระกูลใหญ่จะรู้เรื่องนี้กัน
“ใช่จ๊ะ ทำไมเธอถึงถามเรื่องนี้เหรอจ๊ะ เจิ้งเหอ?” เธอถาม
“คือว่าแบบนี้ครับ คุณป้าคงจะรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ผมทำงานอยู่ที่ทางใต้” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ที่ทางใต้ หรือจะพูดให้ชัดก็คือในเขตชนเผ่าเมี่ยวมีชายคนหนึ่งชื่อว่า อู่ซาน เขาเป็นที่รู้จักในชื่อของราชาโอสถ เขาเก่งในเรื่องยามากเลยล่ะครับ พูดกันว่า เขาสามารถรักษาได้แม้กระทั่งโรคที่อยู่ในระยะสุดท้าย แต่นิสัยของเขาออกจะแปลกอยู่สักหน่อย คุณป้าลองไปตรวจสอบเรื่องนี้ดูก่อนก็ได้นะครับ”
“พวกนิสัยประหลาดอีกแล้วเหรอ?” เธอพูด
“โอ้ อีกคนเหรอครับ? คุณป้าหมายความว่ายังไงเหรอครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ป้าได้พาชื่อต๋าไปหาหมอคนหนึ่งที่อยู่ในจังหวัดฉีน่ะจ๊ะ” เธอพูด “กฎที่เขาตั้งขึ้นก็แปลกเหมือนกัน”
“อ่อ คุณป้ากำลังพูดถึงหวังเย้าอยู่ใช่ไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“ใช่จ๊ะ เขานั่นแหละ” เธอพูด “เขาอายุยังน้อย ป้าก็ไม่มั่นใจว่าเขาเก่งแค่ไหน แต่กฎของเขาก็แปลกมาก แล้วยังอารมณ์ร้ายอีกด้วย!”
“ฝีมือของเขาถือว่าสูงมากเลยล่ะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ตอนนั้น ผมป่วยหนักมาก แล้วหมอเก่งๆในเมืองต่างก็ทำอะไรไม่ได้เลย แต่เขากลับเป็นคนที่ใช้ยาบางอย่างช่วยผมให้รอดมาได้น่ะครับ”
คิ้วของเธอขมวดแน่น “เป็นไปได้หรือเปล่าว่า เขาไม่อยากจะรักษาชื่อต๋า?”
“เรื่องนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “เขาคงจะมีความคิดของตัวเองอยู่”
หลังจากที่อยู่พูดคุยได้สักพัก กั๋วเจิ้งเหอก็ขอตัวและจากไป
เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง และคิดถึงชายหนุ่มที่เพิ่งจะจากไป เขาเพียงแค่มาด้วยความปรารถนาดี หรือด้วยจุดประสงค์อะไรบางอย่างกันแน่?
“ชื่อฉิง ลูกคิดว่าเรื่องราชาโอสถเชื่อถือได้มากแค่ไหน?” เธอถาม
“เราลองถามคนอื่นดูก่อนดีกว่านะครับ” ลูกชายของเธอพูด “บางที มันอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้”
ในเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาการป่วยลูกชายของเธอ เธอจึงเลือกที่จะเชื่อคำพูดของกั๋วเจิ้งเหอ มากกว่าการทิ้งโอกาสนี้ไปเปล่าๆ เธอจัดการให้คนไปสืบเรื่องของราชาโอสถมาให้มากเท่าที่จะมากได้
…
ในเมืองเต๋าที่ไกลออกไปหลายพันไมล์…
ซุนหยุนเชิงกำลังมึนงง ในเมืองเต๋ามีเรื่องบางอย่างที่พวกเขาตระกูลซุนไม่สามารถสืบหาได้ ตอนนี้ เมื่อสถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว และที่ยิ่งไปกว่านั้น เหยื่อของเรื่องนี้ก็คือคุณชายน้อยของตระกูลโฮ่ว โฮ่วชื่อต๋า เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลไม่ได้ถือว่าเป็นศัตรูกันเสียทีเดียว พวกเขาเพียงปฏิบัติต่อกันอย่างเย็นชาเท่านั้น ความขัดแย้งเพียงเล็กน้อยสามารถส่งผลทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องเผชิญหน้ากันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในช่วงเวลาเช่นนี้ พวกเขาพยายามระมัดระวังและตื่นตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่มีใครในสองตระกูลนี้ที่ต้องการให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น มันคลจะดีที่สุด หากทั้งสองฝ่ายสามารถถอยกันคนละก้าวได้ เพื่อให้ทุกอย่างกลับมาสงบสุขดังเดิม แต่โชคร้ายที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา
“อาการของโฮ่วชื่อต๋าเป็นยังไงบ้าง?” ซุนหยุนเชิงถาม
“ไม่ดีเลยครับ” อาหาวพูด “หมอหลายคนในปักกิ่งต่างพยายามรักษาเขา แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่ดีขึ้นเลย ผมได้ยินมาว่า ตอนนี้สภาพของเขาไม่ต่างอะไรจากคนตาย”
ทันทีที่ซุนหยุนเชิงได้ฟัง เขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที “เฮ้อ นี่มันเป็นปัญหาจริงๆ!”
เขาเข้าใจสถานการณ์ของตระกูลโฮ่วเป็นอย่างดี ทุกเรื่องสามารถจัดการได้อย่างง่ายดายยกเว้นผู้เป็นแม่ของโฮ่วชื่อต๋า เธอนั้นให้ความสนใจในเรื่องของลูกๆอย่างมาก โดยเฉพาะกับลูกชายคนเล็กของบ้าน
“ผมได้ยินมาว่า ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ พวกเขาเดินทางไปที่หมู่บ้านกลางเขาเพื่อพบกับหมอหวังด้วย” อาหาวพูด
“หา จริงเหรอ?” ซุนหยุนเชิงแปลกใจเล็กน้อย
“จริงครับ แต่หมอไม่รับรักษาเขา” อาหาวพูด
“ทำไมล่ะ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“เรื่องนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” อาหาวตอบ
“เอาล่ะ ผมจะไปที่หมู่บ้านกลางเขา ช่วยจัดการให้ผมทีนะ” ซุนหยุนเชิงพูด
…
ในหมู่บ้านกลางเขา
ช่วงเวลาดีดีมักผ่านไปไว หนึ่งวันผ่านพ้นไปเพียงพริบตาเดียว
ซูเสี่ยวซวีนอนนิ่งอยู่บนเตียง เธอลืมตาและเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข เธอกำลังคิดถึงวันเวลาที่ได้อยู่กับหวังเย้า ถ้ามันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆก็คงดี!
บนเนินเขาหนานชาน หวังเย้าก็ยังไม่นอนเช่นกัน เขามีความสุขมากที่ได้ใช้เวลาตลอดทั้งวันร่วมกับซูเสี่ยวซวี ที่มากไปกว่านั้น เขายังมีงานที่น่าสนุกอย่างการจัดสวนให้กับบ้านของซูเสี่ยวซวีรออยู่ด้วย
ค่ำคืนผ่านไปอย่างเงียบเชียบ เข้าวันต่อมา พระอาทิตย์ลอยขึ้นแต่เช้าตรู่ สภาพอากาศยังคงร้อนต่อไป
หวังเย้าไม่ได้เปิดทำการคลินิก เขาและซูเสี่ยวซวีกำลังนั่งดื่มชาและพูดคุยกันอยู่บนเนินเขาหนานชาน ซานเซียนนอนหมอบอยู่ที่เท้าของพวกเขา พร้อมทั้งแกว่งหางของมันไปมา
“ทำไมซานเซียนถึงตัวโตขึ้นแบบนี้ล่ะคะ?” ซูเสี่ยวซวีลูบศีรษะของมันด้วยท่าทีลังเล แต่เมื่อเห็นว่ามันดูว่าง่าย เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตของมัน ทำให้แลดูน่ากลัว มันดูราวกับสิงโตมากกว่าจะเป็นสุนัขตัวหนึ่ง “มันหนักเกินห้าสิบกิโลใช่ไหมคะ?”
“ผมก็ไม่เคยชั่งน้ำหนักมันมาก่อนเหมือนกัน แต่มันก็น่าจะหนักเจ็ดสิบกว่ากิโลได้” หวังเย้าตอบด้วยรอยยิ้มและลูกศีรษะของซานเซียน
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“ฮัลโหล หยุนเชิง” หวังเย้าพูด “ใช่ ผมอยู่บนเขา อย่างนั้นเหรอ? ขอเวลาผมครู่หนึ่ง เดี๋ยวผมจะลงไปนะ”
“มีเรื่องอะไรเหรอคะ? หรือว่ามีคนไข้มาหา?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ไม่ใช่คนไข้หรอก แต่เป็นเพื่อนผมคนหนึ่งน่ะ” หวังเย้าพูด “เธออยากจะอยู่บนเขาต่อ หรือว่าจะลงไปข้างล่างกับผม?”
“ฉันลงไปกับคุณดีกว่าค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบ
ทั้งสองเดินลงจากเขา และไม่นานก็เดินมาถึงที่คลินิก ซุนหยุนเชิงมารอพวกเขาได้สักพักหนึ่งแล้ว เมื่อเขาเห็นหวังเย้าเดินมาจากที่ไกลๆ เขาก็เดินเข้าไปหา
“รบกวนหมอแล้ว” เขาพูด
“ไม่หรอก” หวังเย้าพูด
“สวัสดีครับ คุณหนูซู” ซุนหยุนเชิงพูด
“สวัสดีค่ะ” ซูเสี่ยวซวีทักทายเข้ากลับอย่างสุภาพ
ซุนหยุนเชิงคิดในใจ สรุปแล้ว หมอหวังกำลังใช้เวลาอยู่กับเธอสินะ อ่า ฉันมาผิดเวลาซะแล้ว!
“เข้าไปนั่งข้างในกันเถอะ” หวังเย้าพูดพร้อมกับเปิดประตูคลินิก
“เอ่อ หมอครับ ที่ผมมาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากจะถามน่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“ว่ามาได้เลย” หวังเย้าพูด
“เมื่อไม่กี่วันก่อน มีคนไข้ที่ชื่อว่า โฮ่วชื่อต๋า จากปักกิ่ง มาพบหมอใช่ไหมครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“ใช่ เขามาที่นี่ แต่ผมไม่ได้รักษาเขาหรอกนะ” หวังเย้าพูด “ทำไมถึงถามเรื่องนี้เหรอ?”
“เอ่อ ผมคงอธิบายสั้นๆให้เข้าใจได้ยากสักหน่อย” ซุนหยุนเชิงพูด “แล้วหมอรู้สาเหตุที่เขาป่วยไหมครับ?”
“รู้ ผมรู้แน่นอน” หวังเย้าพูดกลั้วหัวเราะ
“เป็นเพราะอะไรเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“เป็นเพราะผมยังไงล่ะ” หวังเย้าตอบไปตามตรง
ซุนหยุนเชิงอึ้งกับคำตอบที่ได้รับ
หวังเย้าบอกเล่าเรื่องราวคร่าวๆที่เกิดขึ้นในเมืองเต๋าให้เขาฟัง เห็นแก่หน้าคนตระกูลซุน หวังเย้าจึงจงใจละจุดเริ่มต้นของเรื่อง
ซุนหยุนเชิงไม่คิดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะความบังเอิญ เขายกมือขึ้นเขาหัว “เฮ้อ! นี่มันยุ่งยากซะแล้ว!”
“มีปัญหาอะไรเหรอ?” หวังเย้าถาม
“เอ่อ คือว่า ความสัมพันธ์ของตระกูลซุนกับตระกูลโฮ่วไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับโฮ่วชื่อต๋าที่เมืองเต๋า พวกเขาก็สงสัยมาตลอดว่าพวกเราอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด และบอกให้ทางเราหาคำตอบให้กับพวกเขา”
“ในเมื่อไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันอยู่แล้ว ทำไมยังจะต้องหาคำอธิบายให้พวกเขาอีกล่ะ?” หวังเย้าถาม
“เพราะเราไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์แย่ลงไปกว่านี้ยังไงล่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “ในเมื่อตอนนี้เราก็รู้สาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นตามไปด้วย”
เขาไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะโทษว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะหวังเย้า ก็อย่างที่ได้พูดไปก่อนหน้าว่า ความสัมพันธ์ที่มีอยู่นั้นไม่ได้ดีอะไร ดังนั้นจะต้องไปหาคำอธิบายให้ได้อะไร? ใช่ว่าคนตระกูลซุนจะสู้พวกเขาไม่ได้เสียหน่อย ตอนนี้เรื่องทุกอย่างก็ชัดเจนแล้ว ขั้นต่อไปก็คือกลับไปที่เมืองเต๋าและปรึกษาหาวิธีจัดการปัญหาร่วมกับพ่อของเขาก็เท่านั้น
“ผมคงไม่รบกวนคุณแล้ว” ซุนหยุนเชิงพูด
“อย่าเพิ่งรีบกลับ นี่เป็นของขวัญสำหรับนาย” หวังเย้าหยิบแผ่นไม้ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและยื่นมันให้กับซุนหยุนเชิง
“มันคืออะไรเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงรับแผ่นไม้ที่มีกลิ่นยาเคลือบอยู่มาไว้ในมือ
“มันคือใบสั่งแพทย์ปรุงยา ถ้านายมีมัน ผมจะช่วยคุณรักษาคนอย่างสุดความสามารถหนึ่งครั้ง” หวังเย้าพูดกลั้วหัวเราะ
ซุนหยุนเชิงร่างกายสั่นไหวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ของขวัญชิ้นนี้มีค่ามากเหลือเกิน
“ขอบคุณครับ คุณหมอ” ซุนหยุนเชิงพูด
“ด้วยความยินดี” หวังเย้าพูด
หลังจากที่ซุนหยุนเชิงกลับไปแล้ว ซูเสี่ยวซวีก็กระซิบถาม “ใบสั่งแพทย์ปรุงยา?”
“ใช่ นี่ยังไงล่ะ” หวังเย้าหยิบออกมาอันหนึ่ง แล้วยื่นให้เธอ
ซูเสี่ยวซวีรับมาและสังเกตดูอย่างละเอียด “มันสวยมากเลยค่ะ”
“ผมให้คนทำขึ้นมาเป็นพิเศษน่ะ” หวังเย้าพูด
มีคนฝีมือสูงส่งปะปนอยู่ภายในหมู่คนธรรมดา โดยเฉพาะในหมู่บ้าน แผ่นไม้ของเขานั้นมีขนาดเล็ก ดังนั้น มันจึงจำเป็นต้องใช้ทักษะขึ้นสูง ภูเขาที่ถูกแกะสลักลงไปเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ซับซ้อน หวังเย้าได้เสนอเงินจำนวนมากให้พวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงทำงานให้อย่างสุดฝีมือ
“แล้วกลิ่นยาพวกนี้คืออะไรคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ผมแช่แผ่นป้ายพวกนี้เอาไว้ในยาสมุนไพรหลายวัน ตัวยาทั้งหมดได้ซึมเข้าไปในแผ่นป้าย” หวังเย้าพูด “เมื่อมีแผ่นป้ายนี้อยู่ ก็จะไม่มีแมลงกล้าเข้าใกล้”
“มันสุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ถ้าเธอไม่เชื่อ เรามาลองดูก็ได้” หวังเย้าพูด
เขาหยิบขวดที่บรรจุแมลงมีพิษร้ายขึ้นมา จากนั้นก็เปิดฝาขวดและวางแผ่นป้ายเอาไว้ที่ปากขวด แมลงที่อยู่ด้านในเริ่มมีปฏิกิริยารุนแรง และพุ่งตัวชนเข้ากับตัวขวดเพื่อที่จะหนีออกไปให้ได้ แต่พวกมันกลับไม่กล้าเข้าใกล้บริเวณปากขวดเลยแม้แต่นิดเดียว นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่า พวกมันหวาดกลัวกลิ่นที่ปล่อยออกมาจากแผ่นป้าย
“วิเศษไปเลย!” ซูเสี่ยวซวีประหลาดใจ
“ฮาฮา นี่เป็นปฏิกิริยาต่อต้านที่เกิดขึ้น” หวังเย้าพูด
ในตอนที่เขาแช่แผ่นไม้ เขาตั้งใจใส่หญ้าพิษลงไปซึ่งมันสามารถฆ่าแมลงพิษได้ ธรรมชาติของสมุนไพรประเภทนี้ถือเป็นศัตรูกับเปล่าแมลงทั้งหลาย
“รับไปสิ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมให้เธอ”
“ขอบคุณค่ะ” ซูเสี่ยวซวีรับมาด้วยความระวัง
…
ภายในบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านกลางเขา
“นายจะขังฉันเอาไว้แบบนี้อีกนานแค่ไหน?” เจี๋ยจื้อจายพิงผนังเอ่ยถามออกมาอย่างอ่อนแรง
ความรู้สึกอ่อนแรงที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกทรมานอย่างมาก เขาไม่สามารถยกแขนหรือขาของตัวเองได้ แม้แต่การกินและการเคี้ยวอาหารก็ยังรู้สึกลำบาก เขารู้สึกราวกับตัวเองเป็นชายแก่อายุหกสิบ แค่การเข้าห้องน้ำเขายังฉี่ติดๆขัดๆ เวลาถ่ายก็ถ่ายออกไม่หมด ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน เขาก็เบ่งไม่ออก
“เรื่องนี้ นายคงต้องไปถามหมอหวังแล้วล่ะ” จงหลิวชวนพูดพร้อมทั้งจุดบุหรี่
“นี่ อาจารย์เขาสอนอะไรนายเหรอ? ทำไมถึงได้ดูเคารพเขาขนาดนั้น?” เจี๋ยจื้อจายถาม
“เขาสอนฉันหลายอย่างเลยล่ะ” จงหลิวชวนพูด
“ถึงนายจะไม่คิดถึงตัวเอง อย่างน้อยนายก็ควรคิดถึงน้องสาวของนายนะ” เจี๋ยจื้อจายพูด
“นายไม่ต้องขู่ฉันหรอก” จงหลิวชวนพูด “ตอนนี้ อันซินสบายดี”
“แต่นี่เป็นแค่เขตเล็กๆ” เจี๋ยจื้อจายพูด “เธออาจจะถูกคนจับตัวไปเมื่อไหร่ก็ได้”
จงหลิวชวนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้ ฉันเคยคิดว่า ถ้าฉันถอยออกมาทุกอย่างก็จะเงียบสงบ ฉันก็เลยทำแบบนั้น ฉันเลือกที่จะหลบซ่อนตัว หรือฉันควรจะอดทนต่อไปดี แทนที่จะจบลงอย่างสงบ พวกนายกลับได้คืบเอาศอก ฉันทำอะไรไม่ได้เพราะฉันมันอ่อนแอ ดังนั้น ฉันถึงทำได้แค่หนี แต่ตอนนี้มันต่างออกไป อาจารย์ทำให้ฉันมองเป็นประตูบานนั้นที่ฉันเฝ้าฝันแต่ก็เอื้อมไปไม่ถึง ถ้าฉันเปิดมันออกได้ ฉันก็จะแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเดิม แม้นายจะเอาเรื่องน้องสาวของฉันมาข่มขู่ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป เราจะอยู่ที่นี่และรอจนกว่าฉันจะเป็นประตูบานนั้นได้ จากนั้น เลือดในตัวนายก็จะไหลนองเป็นสายน้ำ”
751 ประตูอะไร? ลึกลับ
คำพูดของเขาดูเรียบนิ่ง แต่กลับเต็มไปด้วยการตัดสินใจที่แน่วแน่
เจี๋ยจื่อจายสูบบุหรี่และมองชายที่อยู่ตรงหน้าเขา “แล้วถ้าเกิดนายเปิดประตูบานนั้นไม่ได้ขึ้นมาล่ะ?”
“ฉันแตะมันได้แล้ว” จงหลิวชวนพูด “มันเริ่มคลายแล้วล่ะ”
เจี๋ยจื่อจายตกตะลึง
“สูบบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพ นายควรหยุดสูบได้แล้ว” จงหลิวชวนลุกขึ้นยืนและจากไป
เจี๋ยจื้อจายคิด นี่มันดูลึกลับมาก ฉันกำลังฟังเรื่องจริงอยู่ แต่ประตูนั้นคืออะไร?
เมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้น ภายในห้องจึงเหลือเขาที่ถูกมัดอยู่เพียงลำพัง
“เฮ้ย! อย่าเพิ่งไปเซ่! อยู่คุยกับฉันก่อน!” เจี๋ยจื่อจายตะโกน “ไม่มีอะไรให้ทำสักอย่าง! ทีวี อินเตอร์เนต หรือวิทยุอะไรก็ไม่มีให้! มันอยู่ยากนะโว้ย!”
หลายวันมานี้ เขาพยายามคิดหาทางนี้อยู่ตลอด แต่ร่างกายของเขากลับไม่สามารถควบคุมได้ เขารู้สึกอ่อนแรงอยากที่ยากจะอธิบาย มันเกิดขึ้นอยู่ภายในร่างกาย ทำให้เขาไม่สามารถขยับร่างกายของตัวเองได้ แม้แต่การขยับนิ้วมือก็ยังเป็นเรื่องยาก
เขาถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทาง และล้มตัวลงนอนบนเตียง เขาคิด ความจริง การนอนแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
หลังจากกลับมาถึงที่บ้าน จงหลิวชวนก็เดินเข้าไปในห้องสำหรับการฝึกฝนโดยเฉพาะ ภายในห้องแทบไม่มีอะไรเลย ของมีค่าที่สุดก็คือฟูกที่เขาเพิ่งซื้อมา เขาลงนั่งขัดสมาธิและเริ่มต้นฝึกฝนวิธีการหายใจ
เขาไม่ได้พูด เขาแตะไปที่ประตู นี่คือวิธีที่หวังเย้าสอนเขาเอาไว้ หลายวันที่ผ่านมา เขาสามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของตัวเอง พลังของเขาเพิ่มพูนขึ้น ประสารทสัมผัสของเขาเฉียบคมมากขึ้น นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยประสบมาก่อน
ถึงแม้ว่าจงหลิวชวนจะใช้ความพยายามของเขาเพื่อที่จะก้าวผ่านมันไปให้ได้ แต่เขาก็พบว่า การก้าวข้ามคอขวดเป็นเรื่องที่ยากอย่างมาก ทั้งความพยายามมานะบากบั้นและสิ่งที่เรียกว่าโอกาส ถือเป็นสิ่งจำเป็น
มันคือสิ่งที่ต้องใช้ทั้งชีวิตในการไล่ตาม เพื่อความฝันที่แตกต่างกันไปของหลายๆคน ไม่ว่าจะเพื่อชีวิตที่สงบสุข, เพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย, หรือมุ่งสู่ความบ้าคลั่ง
จงหลิวชวนก็มีฝันของตัวเอง เขาต้องการชีวิตที่เงียบสงบ แต่เขาต้องทำให้คนคิดร้ายเหล่านั้นหวาดกลัวเขาให้ได้ก่อน
เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปรวดเร็ว ซูเสี่ยวซวีต้องกลับในตอนบ่าย เพราะพรุ่งนี้เธอมีเรียน
หวังเย้าพาเธอไปส่งที่สนามบินที่ห่ายชิว
“กลับเถอะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
หวังเย้ากอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนและกระซิบว่า “อาทิตย์หน้าผมจะไปหาเธอนะ”
“โอเคค่ะ” ซูเสี่ยวซวีมีความสุข
ชูเหลียนมองคนทั้งคู่อยู่เงียบๆ
เครื่องบินทะยานขึ้นมุ่งสู่ท้องฟ้า สภาพอากาศที่ห่ายชิวปกติดี ดังนั้น ท้องฟ้าด้านบนจึงปลอดโปร่ง
หวังเย้าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า การมองเห็นของเขาดีกว่าคนทั่วไปมาก ดังนั้น เขาจึงมองได้ไกล เขามองขึ้นไปจนกระทั่งเครื่องบินหายลับไป จากนั้น เขาจึงหมุนตัวและกลับบ้าน
บนเครื่อง ซูเสี่ยวซวีมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ
“คุณหนูทนไม่ไหว” ชูเหลียนพูดเสียงเบา
“ค่ะ ฉันไม่อยากจากไปเลย” ซูเสี่ยวซวียิ้ม
“ระยะห่างคือผลิตผลของความงดงาม” ชูเหลียนพูดด้วยรอยยิ้ม
ซูเสี่ยวซวีกระซิบ “หนึ่งอาทิตย์แปบเดียวก็ถึง”
หวังเย้าซื้ออาหารทะเลจากห่ายชิว ก่อนจะเดินทางกลับไปที่หมู่บ้านกลางเขา
“เสี่ยวซวีกลับไปแล้วเหรอจ๊ะ?” แม่ของเขาถาม
“ครับ เธอขึ้นเครื่องกลับไปแล้ว” หวังเย้าพูด
“แล้วเธอจะกลับมาอีกเมื่อไหร่เหรอ?” จางซิวหยิงถาม เธอชอบเด็กสาวคนนี้มาก
“ถ้าเธอมีเวลา เธอจะกลับมาอีกครับ” หวังเย้าพูด “อาทิตย์หน้า ผมจะไปหาเธอที่ปักกิ่งนะครับ”
“จ๊ะ ลูกควรอยู่กับเธอให้มากๆ” จางซิวหยิงพูด
ครั้งหนึ่ง หวังเย้าเคยชอบถงเว่ย ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาก็ได้จบกันไป เวลานี้ ในที่สุดเขาก็ได้พบกับเด็กหญิงที่ดีคนหนึ่งที่ทำให้เขาคิดถึงเธอที่สุด
“คืนนี้ อาของลูกจะมาที่บ้านนะ” จางซิวหยิงพูด
หวังเย้าไม่ได้กลับขึ้นไปบนเขาหรือกลับไปที่คลินิก แต่เขากลับไปหาจงหลิวชวน
“นายกำลังฝึกอยู่เหรอ?” หวังเย้าถาม
“ครับ” จงหลิวชวนพูด
เวลาที่เขาอยู่ที่บ้าน เขามักจะฝึกการหายใจที่หวังเย้าสอนอยู่เสมอ ในสองวันที่ผ่านมา เขาได้แตะไปที่บานประตูแล้ว ดังนั้น เขาจึงโล่งใจ
“สิ่งที่ผมสอนจำเป็นจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก” หวังเย้าพูด “อย่ารีบร้อนจนเกินไป”
“ครับ ผมเข้าใจ” จงหลิวชวนพูด
วิธีการหายใจคือพื้นฐานที่สุดในการฝึกจิตวิญญาณ ยิ่งฝึกนาน ก็ยิ่งค้นพบประโยชน์ที่ได้รับ มันคือความพยายามที่จะพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ
“มาที่คลินิกผม แล้วผมจะเอาหนังสือให้” หวังเย้าพูด
“ครับ อาจาย์” จงหลิวชวนพูด
“เจี๋ยจื่อจายเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม
“เขายังอยู่ในห้องครับ” จงหลิวชวนพูด
เขาไม่รู้ว่า หวังเย้าใช้วิธีการอะไร แต่ชายคนนั้นดูไม่ต่างจากกุ้งที่ได้เรี่ยวแรงตัวหนึ่งเลย
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ผมยังต้องการความร่วมมือจากเขาอีกสักพัก” หวังเย้าพูด
ในเมื่อเจี๋ยจื่อจายมาที่หมู่บ้านนี้และอยากจะอยู่ที่นี่ มันจึงดูเหมือนเป็นสถานการณ์ที่ตรงกับใจของหวังเย้า ในการที่เขาจะสามารถทดลองยาตัวใหม่กับเจี๋ยจื่อจายได้
จงหลิวชวนเดินตามหวังเย้าไปที่คลินิก หวังเย้าหยิบหนังสือสองเล่มให้กับเขา
“นี่คือ…” จงหลิวชวนตกตะลึง “คัมภีร์เต๋า?”
“ใช่ พูดตามตรง สิ่งที่ผมสอนนายไปเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น” หวังเย้าพูด “การอ่านคัมภีร์เต๋าดีต่อการฝึกฝนของนาย”
ในเมื่อหวังเย้าพูดแบบนี้ จงหลิวชวนก็จะทำตามที่เขาบอก
“อันซินอยู่ที่โรงเรียนเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ เธอชอบมากเลยล่ะ” จงหลิวชวนพูด
“โรงเรียนนั้นดีมากจริงๆ” หวังเย้าพูด “แล้วเธอก็จะได้เพื่อนใหม่ด้วย”
“ใช่ เธออยู่คนเดียวมานานแล้ว และควรจะได้เวลามีเพื่อนเหมือนคนอื่นเค้าสักที” จงหลิวชวนพูด
ในตอนเย็น อาของหวังเย้ามาที่หมู่บ้าน เขายังถือเหล้ามาด้วย
“คราวหน้าไม่ต้องเอาอะไรมาหรอกนะ” จางซิวหยิงพูด “ที่บ้านมีของพวกนี้เยอะแยะ”
“งานเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“โชคดีที่ช่วงนี้มีงานเข้ามามากน่ะ” อาของเขาที่ดูเหนื่อยอ่อนพูด
“ดื่มสักหน่อยไหมครับ?” พ่อของหวังเย้าถาม
อาของหวังเย้ายื่นมือออกไปและส่งเสียงครางเพราะความเจ็บออกมา
“เป็นอะไรไป?” จางซิวหยิงถาม
“ไม่มีอะไรหรอกพี่” อาพูด
“พ่อ อาไม่ค่อยสบาย” หวังเย้ามองดูอาของเขาและพูดว่า “อย่าดื่มเลยครับ”
สภาพร่างกายอาของเขาค่อนข้างแย่ ลมหายใจของเขาทั้งร้อนและมีกลิ่นเปรี้ยว ซึ่งเป็นสัญญาณของความร้อนในร่างกายที่เกิดจากปัญหาในระบบทางเดินอาหาร อาการนี้น่าจะเป็นมาได้สักระยะแล้ว ดูเหมือนว่า ช่วงนี้เขาจะดื่มหนักมาก
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันดื่มนิดเดียวเอง” อาของเขาพูด
“ช่วงนี้ อาน่าจะดื่มหนักสินะครับ” หวังเย้าพูด
“อืม ช่วงนี้ต้องเจอลูกค้าบ่อยน่ะ ก็เลยต้องดื่มอยู่ตลอด” อาของเขาพูด
ธุรกิจหลายๆอย่างมักพูดคุยอยู่บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยเหล้า
“อามีอาการไม่สบายท้อง แล้วยังท้องเสียด้วย” หวังเย้าพูด
“โอ้ ใช่ๆ วิชาแพทย์ของหลานสุดยอดไปเลยนะ แค่มองก็รู้หมดทุกอย่าง” อาของเขาพูด
“ผมจะจ่ายยาให้นะครับ” หวังเย้าพูด “อาต้องดูแลตัวเองดีดีนะครับ อย่าดื่มหรือสูบบุหรี่เยอะ ไม่อย่างนั้นร่างกายจะแย่เอาได้ ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น จะมีเงินเยอะแยะไปเพื่ออะไรล่ะครับ?”
“แต่อาก็มีเธอเป็นหมอคอยดูแลอยู่นี่นา” อาของเขาพูด “ถ้าอาป่วย แค่มาให้เธอรักษาก็ได้แล้ว”
“ผมไม่ใช่พระเจ้านะครับ” หวังเย้าพูดนิ่งๆ “ใช่ว่าทุกโรคจะสามารถรักษาให้หายได้เหมือนกันหมด”
อาของเขาไม่ได้ฟังคำแนะนำเลยแม้แต่น้อย ถ้าเขาไม่ใช่ญาติละก็ หวังเย้าคงไม่คิดจะใส่ใจ
จางซิวหยิงเก็บแก้วเหล้ากลับไป “โอเค งั้นก็ห้ามดื่ม กินอย่างอื่นดีกว่านะ”
“เรามีแต่ผักนะครับ” หวังเย้าพูด
อาของเขาดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร
หวังเย้าทานอาหารเสร็จก็กลับไปที่คลินิก เขาหยิบเอาสมุนไพรบางตัวออกมา ส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษากระเพาะและขับร้อนใน จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้าน
เขาเอาสมุนไพรเหล่านี้มอบให้กับอาของเขาและพูดว่า “เอายานี่กลับไปด้วยนะครับ อย่าเพิ่งกินอาหารรสจัด โดยเฉพาะของเผ็ดๆ แล้วก็เลี่ยงพวกบุหรี่กับเหล้าด้วยก็จะดีมาก”
อาของเขาขับรถจากไป
“ขนาดเมาก็ยังจะขับรถอีก” หวังเย้าพูด
“เขามีเพื่อนเป็นตำรวจจราจรน่ะ” จางซิวหยิงพูด
“เพื่อตัวเขาเองและคนอื่น เขาไม่ควรดื่มแล้วขับเลยนะครับ” หวังเย้าพูด “ที่มาวันนี้เพราะมีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ?”
“ไม่มีหรอกจ๊ะ แค่แวะมาเยี่ยมเท่านั้น” จางซิวหยิงพูด
หวังเย้าโล่งใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะยังไงก็เป็นอาของเขาเอง
…
ซูเสี่ยวซวีกลับมาถึงที่บ้านก็กดโทรหาหวังเย้า ทั้งสองคุยกันได้สักพัก จากนั้นก็วางสาย
“มีความุขไหมจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“มีความสุขสิคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดอย่างพอใจ “หวังเซียนเชิงบอกว่า อาทิตย์หน้าเขาจะมาหาด้วยค่ะ”
“อืม ถ้าอย่างนั้นก็อย่าลืมบอกให้เขาแวะมาเยี่ยมเราที่บ้านด้วยนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ได้ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“นั่งเครื่องมาลูกคงจะเหนื่อยแล้ว” ซงรุ่ยปิงพูด “ลูกขึ้นไปพักที่ห้องเถอะจ๊ะ”
เธอบอกฝันดีกับลูกสาว จากนั้นก็กลับลงมาที่ชั้นล่างเพื่อคุยกับชูเหลียน
“เขาไม่ตกลงที่จะรักษาโฮ่วชื่อต๋าค่ะ” ชูเหลียนพูด
“ถ้าเขาไม่ตกลงก็ไม่มีอะไรต้องกังวล” ซงรุ่ยปิงพูด เธอไม่ได้รับฝ่ายนั้นอยู่แล้ว “เด็กคนนั้นไม่ใช่คนดี นี่อาจจะเป็นบทลงโทษสำหรับเขาก็ได้”
“เอ่อ ค่ะ” ชูเหลียนพูด
“เธอก็กลับไปพักเถอะ คงจะเหนื่อยมากแล้ว” ซงรุ่ยปิงพูด
“จริงๆแล้วก็ไม่ได้เหนื่อยเท่าไหร่หรอกค่ะ” ชูเหลียนพูด “ที่หมู่บ้านนั้นน่าอยู่มาก ทั้งยังเงียบสงบ พอได้อยู่ที่นั้นสักพัก ฉันก็รู้สึกว่าทั้งร่างสงบขึ้นกว่าเดิม”
“คราวหน้า เธอก็พักอยู่ที่นั้นนานสักหน่อยก็แล้วกัน” ซงรุ่ยปิงพูด
ค่ำคืนนั้น เมืองหลวงปักกิ่งคึกคักยิ่งกว่าตอนกลางวัน เพราะผู้คนล้วนเลิกจากงานที่ทำอยู่ในตอนกลางวัน พวกเขาออกมาผ่อนคลายที่บาร์, ร้านอาหาร, และร้านคาราโอเกะ ไกลออกไปหลายพันไมล์ ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนปิดไฟเพื่อเข้านอน มีเพียงเสียงสุนัขเห่าดังให้ได้ยินเป็นครั้งคราวเท่านั้น
752 เงินทำงาน
ไม่มีใครต้องการทำลายความเงียบสงบนี้
“มันเงียบมาก!” ชายคนหนึ่งมองดวงจันทร์ผ่านทางหน้าต่าง ในขณะที่เขากำลังนอนอยู่บนเตียง “เป็นคืนที่งดงามจริงๆ ฉันชักอยากจะร้องเพลงขึ้นมาซะแล้วสิ”
เขาเปิดปาก แต่กลับไม่ได้ร้องเพลง
“ฉันกำลังคิดอะไรอยู่กัน? สภาพฉันตอนนี้ แน่นอนว่ามันร้องเพลงไม่ได้อยู่แล้ว” เขาพึมพำ “เมื่อไหร่มันจะจบสักที?”
พระอาทิตย์โผล่พ้นขึ้นมา เช้าวันต่อมา มันเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของปี
“วันนี้ร้อนจริงๆ!” ชาวบ้านหลายๆคนบ่นเรื่องนี้กัน ในวันที่ร้อนแบบนี้ พวกเขาส่วนใหญ่มักจะไม่ออกไปไหนกัน ถ้าไม่อยู่แต่ในบ้านก็จะนั่งอยู่ตามต้นไม้ใหญ่
…
ขณะเดียวกันนั้น ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในยุนนาน ผู้คนจำนวนมากเดินทางมาเมื่อพบกับราชายา
ถนนเต็มไปด้วยดินโคลน บ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านถูกทำขึ้นมาจากไม้ไผ่ สภาพของหมู่บ้านดูเก่ามอซอ
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือ รถจำนวนมากที่จอดอยู่ด้านนอกหมู่บ้านนั้น มีอยู่เกือบทุกยี่ห้อ รวมไปถึงรถหรูราคาแพง
“ใช่ที่นี่แน่นะ?” รถคันหนึ่งจอดที่ด้านนอกหมู่บ้าน
“กว่าจะหาที่นี่ได้มันยากมาก แล้วรอบๆนี้ก็มีแต่รถเต็มไปหมด” ชายวัยกลางคนที่อยู่ภายในรถพูด
เขาลงมาจากรถและเดินเข้าไปในหมู่บ้าน เขาเรียกชาวบ้านคนหนึ่งเอาไว้เพื่อถามเรื่องของราชายา ชายชราได้บอกกับเขาว่า ราชายามีกฎอยู่หลายข้อ รถทั้งหมดที่จอดอยู่ด้านนอกล้วนแล้วแต่พาคนไข้มาพบราชายา บางคนก็มารอนานถึงหนึ่งเดือน
พวกเขาต้องรับหมายเลขเพื่อรอคิว ถ้าราชายาอารมณ์ไม่ดีเขาก็จะไม่ยอมรักษาให้ใครทั้งนั้น เขายังไม่ยอมพบคนที่เขาไม่ชอบอีกด้วย
“กฎพวกนี้แปลกจริงๆ” ชายวัยกลางคนพูด “เป็นคนที่เข้าใจยาก!”
“ใช่” ชายชราพูด
ราชายาแทบจะไม่เดินทางไปรักษาที่บ้านของผู้ป่วยเลย นอกจากว่าจะเสนอสมุนไพรหรือพิษที่มีค่าและหายากให้กับเขา รวมทั้งยาแผนตะวันตกด้วย
เขารู้ได้เลยว่า ถ้าเจ้านายของเขามาที่นี่ด้วยตัวเอง เธอจะต้องหัวเสียอย่างแน่นอน เขาหยิ่งผยองเกินกว่าที่จะทำตามกฎเกณฑ์ที่ผู้อื่นตั้งไว้ เขาพอคาดเดาได้ว่า ราชายาอาจจะไม่ยอมเดินทางไปรักษาลูกชายของเจ้านายถึงที่ปักกิ่ง
ฉันควรจะเชิญเขาไปที่ปักกิ่งดีไหมนะ? ชายวัยกลางคนคิด
มันแทบจะเป็นภารกิจที่ไม่มีทางเป็นไปได้ เขาได้รับการบอกกล่าวมาว่า ราชายาได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองนานหลายสิบปีแล้ว เขาเคยพบเจอสมุนไพรมาแทบทุกชนิด ชายวัยกลางคนคิดไม่ออกว่า สมุนไพรแบบไหนที่จะสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ราชายาได้
ไม่มีทางสำเร็จแน่! เขาเกาศีรษะของตัวเอง แล้วแบบนี้ฉันจะรายงานคุณหลี่ยังไงดี? เดี๋ยวนะ! ฉันได้ยินมาว่า เขามีลูกศิษย์อยู่ด้วย บางทีฉันอาจจะเข้าหาทางนั้นก่อนน่าจะดี
เขารีบลงมือในทันที โดยการสอบถามเรื่องของลูกศิษย์ของราชายา ราชายามีลูกศิษย์อยู่สองคน แต่พวกเขาเรียนรู้จากราชายาได้แค่ 30% เท่านั้น แต่ถึงจะแค่ 30% ของความรู้ทั้งหมดของราชายา พวกเขาก็ถือได้ว่าเป็นหมอที่มีฝีมือและมีชื่อเสียงอย่างมาก ทั้งสองต่างก็มีรายชื่อคนไข้ยาวเป็นห่างว่าว แต่พวกเขาไม่ได้มีกฎเกณฑ์มากมายเหมือนอย่างอาจารย์ของพวกเขา คนไข้ของพวกเขาล้วนแล้วแต่ได้รับการรักษาตามลำดับก่อนหลัง หากพอใจ พวกเขายังยินดีเดินทางไปรักษาถึงที่บ้านของคนไข้ด้วย
ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมไปเลย! ชายวัยกลางคนคิด
เขาจึงเดินทางไปพบกับหนึ่งในลูกศิษย์ของราชายา เขารอคอยอยู่ตลอดทั้งเช้า
“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอ?” ชายวัยสี่สิบกว่าผู้เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของราชายาถาม เขามีรูปร่างอวบเล็กน้อย
“ผมไม่ได้ป่วยอะไรครับ แต่มาแทนคนอื่น” ชายวัยกลางคนพูด
“แทนคนอื่น?” หมอถามด้วยความแปลกใจ
“ครับ ผมมีประวัติการรักษาของเขามาด้วย หมอพอจะดูให้หน่อยได้ไหมครับ?” ชายวัยกลางคนนำประวัติการรักษาของโฮ่วชื่อต๋ายื่นให้หมอดู
“หืมมม!” หลังจากได้อ่านดูแล้ว หมอก็เริ่มขมวดคิ้ว “คนไข้อยู่ที่ไหนเหรอ?”
“อยู่ที่ปักกิ่งครับ ผมมาจากปักกิ่ง” ชายวัยกลางคนตอบ
“ปักกิ่ง?” หมอถามด้วยความแปลกใจ
ปักกิ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจีน ในขณะที่ยุนนานใต้ตั้งอยู่ทางทิศใต้สุดของประเทศจีน ปักกิ่งยังมีการแพทย์ที่ครบครันที่สุดในประเทศ ทั้งเจ้าหน้าที่การแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์ ตัวเขาที่เป็นหมอไม่เคยได้รักษาคนไข้จากปักกิ่งมาก่อน แต่เขารู้ว่า มีคนมากมายเดินทางไปรักษาที่ปักกิ่ง
“ขอโทษด้วย จากที่ได้อ่านบันทึกแล้ว ผมคงช่วยอะไรไม่ได้” หมอพูด
“หมอพอจะเดินทางไปรักษาคนไข้ที่บ้านได้ไหมครับ?” ชายวัยกลางคนถาม
“ผมรักษาคนไข้ที่บ้านแค่เดือนละครั้งเท่านั้น แล้วเดือนนี้ผมก็ไปมาแล้วด้วย” หมอพูด
“แล้วเดือนหน้าล่ะครับ?” ชายวัยกลางคนถาม
“เดือนหน้าถูกจองเอาไว้แล้ว” หมอพูด
“โอ้!” ชายวัยกลางคนได้รู้แล้วว่า หมอคนนี้ก็มีกฎเช่นกัน เพียงแค่ประหลาดน้อยกว่าก็เท่านั้น “หมอพอจะยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษไม่ได้เหรอครับ?”
หมอส่ายหน้าและยิ้มตอบ
ชายวัยกลางคนไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี เขาคิด การไปหาลูกศิษย์อีกคนของราชายาคงจะยากยิ่งกว่านี้แน่ ฉันได้ยินมาว่า ลูกศิษย์อีกคนเดินทางไปทั่วเลย ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะไปโผล่ที่ไหนและเมื่อไร่
เขาไม่ได้จากไปในทันที เขาติดสินใจเลือกที่จะรอจนกระทั่งหมอตรวจคนไข้ทั้งหมดเสร็จ เขาต้องการคุยกับหมออีกครั้ง หมอทำการจนถึงสามทุ่มของวัน ในตอนที่เขากำลังจะกลับบ้านนั้น เขาก็เห็นชายวัยกลางคนรออยู่ที่ด้านนอกคลินิก
“สวัสดีครับ หมอหวู่” ชายวัยกลางคนพูด
“คุณยังอยู่ที่นี่เหรอเนี่ย!” หมอหวู่แปลกใจที่เห็นเขา
“หมอกินอะไรรึยังครับ? ผมขอเลี้ยงอาหารหมอสักมื้อจะได้ไหม?” ชายวัยกลางคนถาม
“ไม่ดีกว่า ขอบคุณ แค่บอกมาว่าคุณต้องการอะไร” หมอหวู่พูด
“การที่ผมจะเดินทางมาถึงที่นี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ชายวัยกลางคนพูด เขาเริ่มอ้อนวอนหมอ “หมอพอจะช่วยยกเว้นให้หน่อยได้ไหมครับ? ผมยินดีจ่ายไม่ว่าเท่าไหร่ก็ตาม ความจริง ผมสามารถจ่ายได้สามเท่าจากราคาจริงก็ยังได้”
“เอ่อ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินหรอก” หมอหวู่พูด
“ห้าเท่า” ชายวัยกลางคนพูดโดยไม่ลังเล
หมอหวู่ไม่ได้ตอบในทันที
“สิบเท่า” ชายวัยกลางคนเพิ่มราคาอีกครั้ง
“คุณรู้ไหมว่าผมคิดเงินค่ารักษาที่เท่าไหร่?” หมอหวู่ถาม
“เท่าไหร่ครับ?” ชายวัยกลางคนถาม
หมอหวู่กางมือ “50,000 หยวน”
“ผมยินดีจ่ายที่ห้าแสนหยวนครับ” ชายวัยกลางคนพูด
“ฮาฮา” หมอหวู่หัวเราะ “งั้นก็ได้”
“เยี่ยม!” ชายวัยกลางคนปรบมือ “หมอสะดวกเมื่อไหร่ครับ?”
“วันมะรืน” หมอหวู่พูด
“เยี่ยมครับ ผมจะจัดการเรื่องการเดินทางให้หมอเอง” ชายวัยกลางคนพูดอย่างยินดี เขายังจ่ายเงินมัดจำเอาไว้อีกด้วย
ชายวัยกลางคนคิด โชคดีที่ลูกศิษย์ของราชายาว่าง่ายกว่า อย่างน้อยฉันก็ใช่เงินตกลงกับเขาได้
ถึงแม้ราคาจะฟังดูแพงสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่สำหรับตระกูลโฮ่ว ชายวัยกลางคนรายงานเรื่องทั้งหมดต่อคุณหลี่ในเช้าของวันถัดมา
“ดี ในเมื่อการเข้าหาราชายาเป็นเรื่องยาก ก็ให้ลูกศิษย์ของเขามาดูลูกชายของฉันแทน” เธอพูด “หวังว่าเขาจะรักษาเด็กน้อยได้”
…
ขณะเดียวกัน หวังเย้ามีคนไข้ในตอนเช้าอยู่สี่คน สามคนในนั้นเป็นคนในหมู่บ้าน ทั้งหมดล้วนมาด้วยอาการท้องเสีย
“เสี่ยวเย้า ฉันปวดหัว แล้วก็ท้องเสียด้วย” หนึ่งในนั้นพูด
“คุณกินของที่ไม่ควรกินเข้าไป มันเลยส่งผลเสียกับกระเพาะ” หวังเย้าพูด
เขารักษาคนไข้ด้วยการฝังเข็ม เขาแทงเข็มลงไปที่บริเวณหน้าและจ่ายยาให้เขาไปสองขนาน
“อย่าเพิ่งกินของเย็น, ของดิบ, หรืออาหารเผ็ดนะครับ” หวังเย้าพูด “กินยาสองครั้งต่อวัน ตอนเช้ากับตอนเย็น ผ่านไปสองวันอาการก็จะดีขึ้นเอง”
“ได้ ขอบคุณนะเสี่ยวเย้า” คนไข้พูด
หวังเย้าไม่ค่อยอยากรักษาคนไข้คนต่อไป เพราะเขาขึ้นชื่อเรื่องเป็นนักดื่มตัวยงในหมู่บ้าน สำหรับคนคนนี้ ของมึนเมาสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น เขามักจะไม่กินข้าวเพราะดื่มหนักเกินไป และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาที่คลินิกเพราะดื่มหนักเกินไป
“เสี่ยวเย้า เธอตรวจให้ฉันหน่อยได้ไหม?” เขาพูด “ฉันทนเจ็บท้องไม่ไหวแล้ว ไม่ว่าฉันจะกินอะไรเข้าไป ฉันก็ท้องสียอยู่ตลอด ฉันไม่ได้ดื่มแล้วนะ ฉันพูดจริงๆ”
มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ลอยออกจากปาก ในขณะที่เขากำลังพูด
“ผมจ่ายยาให้ได้” หวังเย้าพยายามพูดดีดีกับเขา เพราะถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน “คำแนะนำของผมก็ยังเหมือนเดิม คุณต้องห้ามดื่มหรือสูบบุหรี่ ถ้าทำไม่ได้ก็อย่ามาหาผมอีก”
“ได้ๆ ฉันเข้าใจแล้ว” หลังจากจ่ายค่ายาแล้ว คนไข้ก็กลับไป
คนไข้คนที่สามเป็นชายวัยสามสิบต้นๆ ใบหน้าของเขาเป็นสีเหลืองซีด และการเดินดูไม่มั่นคงนัก
“สวัสดีครับหมอ ผมก็ปวดท้องเหมือนกันครับ” เขาพูด
“แลบลิ้นให้ผมดูหน่อยครับ” หวังเย้าพูด
คนไข้แลบลิ้นออกมา
“อืมมม คุณป่วยจากพิษร้อนและความชื่นในร่างกายสูง” หวังเย้าพูด
ในช่วงฤดูร้อน ผู้คนมักเจ็บป่วยจากความร้อน แต่หน้าร้อนก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการกำจัดพิษร้อนด้วยเช่นเดียวกัน
“คุณจำเป็นต้องได้รับการดูแล” หวังเย้าพูด
“เดี๋ยวนะหมอ ผมแค่ปวดท้องเท่านั้น” คนไข้พูด “หมอให้ยาหยุดท้องเสียได้ไหม? ทำไมจะต้องดูแลอะไรด้วย?”
“ในเมื่อคุณรู้อาการของตัวเองดีอยู่แล้ว คุณยังต้องการอะไรอีก?” หวังเย้าถาม
“ผมไม่ได้…” คนไข้พูดไม่ออก “ฟังนะหมอ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น แล้วผมต้องทำยังไงบ้าง?”
“คุณจำเป็นต้องได้รับการขับพิษร้อนออกจากร่างกาย และพยายามขับความชื้นออกไป” หวังเย้าพูด “ผมจะจ่ายยาให้คุณสองอย่าง ให้กินทีละตัว”
“แล้วต้องใช้เวลารักษานานแค่ไหน?” คนไข้ถาม
“สิบวัน” หวังเย้าตอบ
“ก็ได้” คนไข้พูด
753 พอใจก็ดีแล้ว
ดูเหมือนว่าการรักษาเป็นเวลา 10 วัน จะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากสำหรับคนไข้ เขารับสมุนไพรมา จ่ายเงินค่ารักษาและจากไป ตัวคนไข้ดูสับสนและไม่มั่นใจ เขาไม่ได้นำคำพูดของหวังเย้าเก็บมาใส่ใจมากนัก
หวังเย้าเคยเห็นท่าทีแบบนี้จากคนไข้มาหลายต่อหลายคนแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่มารักษากับเขาเพราะได้ยินถึงความมหัศจรรย์ที่เขาเคยทำ แต่พวกเขาเมื่อเห็นว่าหวังเย้ายังอายุน้อย พวกเขาก็เริ่มไขว้เขว และไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ แต่หลังจากที่การรักษาเริ่มเห็นผล พวกเขาก็ค่อยๆเชื่อในฝีมือของหวังเย้ามากขึ้น พวกเขาส่วนใหญ่อาการดีขึ้นในเวลาไม่นาน แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนั้น คนไข้บางรายไม่ได้ทำตามที่หวังเย้าแนะนำหรือลืมกินยาหลังกลับไปจากคลินิกแล้ว ไม่นานอาการของคนเหล่านั้นก็จะแย่ลง
คนไข้รายที่สี่ไม่ใช่คนจากหมู่บ้านเดียวกับหวังเย้า เขาสวมแว่นสายตา อาการของเขาต่างไปจากคนอื่นๆ ดวงตาข้างซ้ายของเขาได้รับความเสียหายจากด่าง
หวังเย้าสังเกตเห็นว่า ดวงตาข้างซ้ายของคนไข้เต็มไปด้วยเลือด และเริ่มเปื่อยยุ้ย “คุณได้รับบาดเจ็บที่ตาเมื่อไหร่ครับ?”
“ประมาณอาทิตย์ที่แล้วครับ” คนไข้พูด
“คุณไม่ได้รีบไปรักษาที่โรงพยาบาลในตอนแรกเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เปล่าครับ ตอนแรกผมไม่ได้ใส่ใจมาก” คนไข้พูด
“แล้วทำไมคุณถึงได้มาที่นี่ล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
คนที่มีอาการแบบนี้มักจะเดินทางไปที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลเป็นอันดับแรก คลินิกส่วนใหญ่จะไม่รับคนไข้แบบเขา เพราะการใช้ยาแค่ไม่กี่ตัวอาจไม่สามารถทำให้ดวงตาของเขาดีขึ้นได้
“คือ ผมได้ยินมาว่า คุณเป็นหมอที่เก่งมาก แล้วถ้ามารักษาที่นี่ก็ไม่แพงด้วย” หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง คนไข้ก็ตอบกลับมา
“ไม่แพงงั้นเหรอ?” หวังเย้ายิ้ม เขาคิดว่า นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำไมเขาถึงได้มาที่นี่
นั่นเป็นเพราะว่า เขายังไม่เคยเห็นคนที่ต้องจ่ายเงินค่ารักษาเป็นล้านที่นี่ต่างหาก หวังเย้าคิด
ของคุณภาพสูงในราคาถูกมักไม่มีอยู่บนโลกนี้
“ผมสามารถรักษาตาให้คุณได้ แต่ค่ารักษาค่อนข้างแพงนะครับ” หวังเย้าพูด
“เท่าไหร่เหรอ?” ชายในวัยสี่สิบถาม
“อย่างน้อยก็หนึ่งพันหยวนครับ” หวังเย้าตอบ
“แพงขนาดนั้นเลยเหรอ?!” คนไข้ตกใจ “คุณคิดถูกกว่านี้หน่อยได้ไหม?”
“อืม แล้วคุณคิดว่า ตาของคุณมีค่าเท่าไหร่ล่ะครับ?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม
ก็อก! มีคนเดินเข้ามาในคลินิก
“สวัสดี หมอหวัง” เขาก็คือ พันจวิน
“สวัสดี พันจวิน วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ไป พอดีมีเรื่องต้องจัดการที่บ้านน่ะ” พันจวินพูด “ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันคงมาที่นี่เร็วกว่านี้ หมอมีคนไข้เหรอ?”
“อืม ลองมาดูตาของคนไข้คนนี้สิ” หวังเย้าพูด
หลังจากตรวจดูดวงตาของคนไข้แล้ว พันจวินก็พูดว่า “โอ้โห! นี่มันหนักมาเลยนะ เกิดอะไรขึ้นกัน?”
เขาทำหน้าในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล คนไข้ที่มาแผนกของเขาจะได้รับการรักษาเบื้องต้นก่อนจะถูกนำส่งต่อไปยังแผนกอื่น คนไข้ที่มาแผนกฉุกเฉินมักจะเป็นคนไข้ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เช่น ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ หรืออยู่ๆก็หมดสติไป
พันจวินพบเจอคนไข้ที่มีปัญหาที่ดวงตามามากกว่าหนึ่งคน หนึ่งในนั้นถูกแทงด้วยเส้นลวดที่หล่นลงมากเครื่องยนต์ และทำให้เขาต้องตาบอด ทางโรงพยาบาลรักษาให้เขาเท่าที่จะทำได้ ก่อนส่งเขาไปรักษาต่อที่เมืองเต๋า ดังนั้น สุขภาพและความปลอดภัยในระหว่างการทำงานเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก
“ดวงตาของเขาได้รับบาดเจ็บจากด่างชนิดหนึ่ง” หวังเย้าพูด “ถ้าเขาไปรักษาที่โรงพยาบาลของคุณ พวกหมอจะทำอะไรกับบ้าง?”
หลังจากตรวจดูดวงตาของคนไข้อย่างละเอียดแล้ว พันจวินก็ตอบกลับไปว่า “เขาต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล สภาพของดวงตาในตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ฉีดยาให้เขาก่อนเพื่อดูอาการต่อไป”
“นี่ใครเหรอ?” คนไข้ถาม
“สวัสดีครับ ผมชื่อพันจวิน เป็นหัวหน้าแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลประจำเขต หมอหวังเป็นอาจารย์ของผมครับ” พันจวินพูดด้วยรอยยิ้ม
คนไข้ตกใจ “คุณล้อเล่นใช่ไหม? หมอระดับอาวุโสของโรงพยาบาลกลายมาเป็นลูกศิษย์ของหมออายุน้อยแบบนี้เนี่ยนะ?”
พันจวินหัวเราะ
“เอ่อ คือ ช่างมันเถอะ” คนไข้ไม่ได้เก็บคำพูดของพันจวินมาคิดเป็นจริงเป็นจัง
“ถ้าเขารักษาตัวที่โรงพยาบาลจะต้องใช้เงินเท่าไหร่เหรอ?” หวังเย้าถาม
“เรื่องนี้ก็พูดยากนะ” พันจวินพูด “ค่าตรวจหลังจากแอดมิท บวกกับค่าเตียง ค่ายา อย่างน้อยๆก็สองพันต่ออาทิตย์”
“นี่กำลังเล่นละครกันอยู่ใช่ไหม?” คนไข้ถามด้วยความไม่พอใจ “หึ ฉันว่าฉันกลับดีกว่า ขอบคุณ”
คนไข้ลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินออกไป หวังเย้าก็พูดขึ้นมาว่า “ตัวผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว คุณต้องคิดดูให้ดีดีนะครับ จากนี้ก็ควรจะรีบไปโรงพยาบาล ถ้าไม่อย่างนั้น คุณอาจจะตาบอดได้”
“โอเค” คนไข้พูด
“นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?” พันจวินถาม
เขาประหลาดใจที่คนไข้กลับไปแบบนี้ เขาสามารถบอกได้ทันทีว่า บาดแผลของคนไข้เริ่มมีการติดเชื้อแล้ว คนไข้จำเป็นต้องรับการรักษาอย่างเร่งด่วน ถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะตาบอด”
“เขาไม่เชื่อใจผมน่ะสิ” หวังเย้าพูด
“หนึ่งพันหยวนนี่มันบ้าไปแล้ว” หลังเดินออกมาจากคลินิก ชายคนนั้นก็ยังคงไม่พอใจเรื่องนี้ “อีกคนยังมาบอกว่าเป็นหมอแผนกฉุกเฉินอีก ให้ตายเถอะ ทำไมไม่บอกล่ะว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่ง คิดว่าฉันโง่รึยังไง?”
ฉันน่าจะไปรักษาที่โรงพยาบาลดีกว่า เขาคิด
“ค่ารักษาหนึ่งพันนี่ไม่ถือว่าแพงเลยนะ” พันจวินพูด หลังจากที่หวังเย้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง
“ผมก็คิดเหมือนกันว่ามันไม่ได้แพงมาก แล้วอาการของเขาก็จะดีขึ้นในทันทีด้วย” หวังเย้าพูด “แต่เขาก็ไม่เชื่อผม”
“ผมว่า อีกไม่นานเขาจะต้องเสียใจแน่” พันจวินพูด
“ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกรับการรักษาที่พวกเขาต้องการ” หวังเย้าพูด “คนไข้คนต่อไป ผมปล่อยให้พี่เป็นคนจัดการได้ไหม?”
“ไม่มีปัญหา” พันจวินพูดด้วยรอยยิ้ม
ในขณะเดียวกัน ภายในโรงแรมหรูที่สุดของยุนนานใต้ ชายที่ถูกมาโดยแม่ของโฮ่วชื่อต๋าก็ได้มาพบกับหมอหวู่ ผู้เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของราชายา
“คุณพร้อมรึยังครับ หมอหวู่” เขาถาม
“ครับ” หมอหวู่ตอบ
พูดตามตรง เขาเคยพบเจอคนมีเงินมาแล้วมากมาย แต่ชายคนนี้ต่างออกไป
“เราออกเดินทางวันพรุ่งนี้ได้ใช่ไหมครับ?” เขาถาม
“แน่นอน” หมอหวู่พูด
“เยี่ยมเลยครับ ผมแทบจะรอไม่ไหวแล้ว” เขาพูด
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถเชิญราชายาไปรักษาที่ปักกิ่งได้ แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถเชิญลูกศิษย์ของราชายาไปได้ ถือว่าดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
วันถัดมาเป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่ง เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า และมุ่งหน้าสู่ปักกิ่ง
“นี่คือปักกิ่งเหรอ?” หมอหวู่ถามเสียงเบา เมื่อเขามองดูเมืองอันเก่าแก่และคับคั่งที่อยู่ด้านล่าง
“ครับ นี่เป็นครั้งแรกของคุณที่ปักกิ่งสินะครับ?” เขาถาม
“ใช่แล้ว” หมอหวู่พูด
“ยินดีต้อนรับครับ” เขาพูด
“ขอบคุณ” หมอหวู่พูด
ปักกิ่งทั้งร้อนและวุ่นวาย
“พระเจ้า ที่นี่ร้อนจริงๆ” หมอหวู่พูดในขณะที่เดินออกจากสนามบิน
“มันร้อนกว่าเมืองที่คุณหมออยู่มาก” เขาพูด
สภาพอากาศที่ปักกิ่งแตกต่างจากเมืองเล็กๆที่หมอหวู่อาศัยอยู่ มันเป็นความร้อนราวกับกำลังถูกเผา หมอหวู่รู้สึกว่า เขากำลังสูดเอาเปลวไฟเข้าสู่ปอด มันเป็นความรู้สึกไปไม่ดีเลย
ความประทับใจแรกต่อปักกิ่งของหมอหวู่ไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก แม้จะเป็นเมืองใหญ่ ความวุ่นวายก็มากตามไปด้วย ไม่นานเขาก็ขึ้นนั่งบนรถหรูพร้อมกับแอร์เย็นฉ่ำคันหนึ่ง
“เราไปหาคนไข้กันเลยไหมครับ?” เขาถาม
“ครับ” หมอหวู่พูด
รถเคลื่อนตัวออกไปตามถนนคอนกรีตอย่างช้าๆ
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ ตอนนี้เป็นช่วงเวลารถติดพอดี” เขาพูด
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่มีโอกาสได้เห็นรถเยอะขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน” หมอหวู่พูด
ตามจริง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญกับสถานการณ์รถติดหนักขนาดนี้
“เมืองนี้อาศัยอยู่ได้จริงเหรอ?” หมอหวู่ถามในขณะที่กำลังมองดูตึกคอนกรีตสูงที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ต้นไม้ที่ประดับประดาตามท้องถนนทำได้เพียงเพิ่มสีสันให้กับเมืองเท่านั้น เขาสงสัยว่า สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองหรือว่าคุกขนาดใหญ่กันแน่ “เมืองนี้ถือว่าคับคั่งสำหรับผมมาก”
“โทษที หมอพูดว่าอะไรนะครับ?” เขาถาม
“ผมรู้สึกอึดอัดน่ะ” หมอหวู่พูด “คนที่อาศัยอยู่ที่นี่คงจะเคร่งเครียดกันมาก ตัวเมืองก็เต็มไปด้วยความเร่งรีบ”
“จริงเหรอครับ?” เขาถาม “ที่หมอพูดอาจจะถูกก็ได้ อยู่ในรถแบบนี้ก็ยังรู้สึกได้เหรอครับ?”
“อืม ผมทั้งรับรู้และมองเห็นมัน” หมอหวู่ชี้ไปที่ดวงตาของตัวเอง
พวกเขาใช้เวลาเดินทางไปโรงพยาบาลเกือบสองชั่วโมง
“นี่คือโรงพยาบาลเหรอ?” หมอหวู่ถาม
“ครับ หมอพอจะคุ้นบ้างไหมครับ?” เขาถาม
“ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับโรงพยาบาลนี้มาบ้าง” หมอหวู่พูด
“คนไข้อยู่ข้างในครับ” เขาพูด
ทั้งสองเดินเข้าไปด้านในโรงพยาบาลและพบกับคุณหลี่ที่กำลังรอพวกเขาอยู่
“คุณผู้หญิงครับ นี่คือหมอหวู่ หนึ่งในลูกศิษย์ของราชายาครับ” เขาพูด
“สวัสดีค่ะ หมอหวู่ ขอบคุณที่อุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่นะคะ” คุณหลี่พยายามสุภาพให้มากเท่าที่จะทำได้ เพราะตัวเธอเองเป็นถึงหนึ่งในสมาชิกของชนชั้นสูง
“ยินดีครับ แค่ทั้งสองฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ต้องการก็พอ” หมอหวู่พูด
“ดีค่ะ” คุณหลี่ยิ้ม เธอชอบคนตรงไปตรงมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น