Elixir Supplier 742-749
742 ตามหาคุณช่างยากเย็น
เขาไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่หวังเย้าตั้งขึ้น เขายืนสูบบุหรี่อยู่ใต้ต้นไม้หมดไปแล้วหลายมวน
มีชายชรากับวัวตัวหนึ่งเดินผ่านเขาไป
“โอ้ ฉันไม่ได้เห็นวัวมานานมากแล้วเหมือนกันนะเนี่ย” เขาพูด
เขามองดูวัวแก่ตัวนั้น ชีวิตแต่ละวันในเมืองหลวงของเขานั้น มีให้เห็นเพียงตึกสูง, ผู้คนที่รีบร้อน, กับหมาแมวเท่านั้น การที่ได้มาเห็นวัวจึงถือว่าเป็นเรื่องที่เขาแทบไม่ค่อยมีโอกาส
ในตอนที่ชายชราและวัวเดินผ่านเขาไป วัวตัวนั้นก็ยกก้นของมันขึ้นและปล่อยของเสียออกมา
“เชี่ย!” เขาที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ก็มีท่าทีตกใจ “หา?”
ชายชราและวัวของเขายังคงเดินไปตามทางของพวกเขา และปล่อยให้ชายคนนั้นยืนอึ้งอยู่เพียงลำพัง
ตลอดทั้งเช้า หวังเย้าเอาแต่ยุ่งอยู่กับการปลูกต้นไม้ ชายวัยกลางคนรอเขาอยู่ด้านนอกคลินิกตลอดทั้งเช้าและสูบบุหรี่หมดไปแล้วเจ็ดมวน เขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“ไอ้หมอนี่มันคิดว่าตัวเองเป็นใครกันวะ!” เขาถอนหายใจ
มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “คุณพูดว่าอะไรนะ?”
เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา และกำลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าพิกล
“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรเหรอ?” ชายอีกคนถามอีกครั้ง
“เอ่อ เปล่า” ชายที่สูบบุหรี่อยู่พูด
เขาคิดว่าว่า แววตาของชายคนนี้ดูเกรี้ยวกราด มันทำให้เขารู้สึกราวกับว่า ถ้าเกิดเขาพูดอะไรไม่ดีออกไป เขาอาจจะถูกชายคนนี้ตบหน้าเอาได้
ชายอีกคนที่เข้ามาถามก็คือ จงหลิวชวน เขาถาม “คุณมาทำอะไรที่นี่?”
จงหลิวชวนกำลังอยู่ระหว่างทางเดินไปฝึกฝน แล้วก็บังเอิญเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ด้านนอกคลินิก ถึงจะพอเดาได้ว่า ชายคนนี้น่าจะมาที่นี่เพื่อมารอพบหวังเย้า แต่คำพูดที่เขาได้ยินมันทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ
“ผมมาหาหมอที่นี่น่ะ” ชายคนนั้นพูดออกมาด้วยท่าทางอึดอัดใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
“วันนี้ หมอหวังไม่รักษาคนไข้” จงหลิวชวนพูด “คุณไม่ได้ดูในเว่ยป๋อของเขาเหรอ?”
“เอ่อ ผมเพิ่งจะเห็นน่ะ” ชายคนนั้นพูด “แล้วผมก็เพิ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรกด้วย”
“คุณไม่ต้องเสียเวลารอหรอก” จงหลิวชวนพูด
“โอ้ ได้ๆ” ชายคนนั้นพูด
หลังจากคุยกันจบแล้ว ชายที่ต้องเดินทางมาจากเมืองหลวงที่ห่างออกไปหลายพันไมล์ก็มีท่าทีไม่อยากจะจากไป เขาอยากจะอยู่รอที่นี่ต่ออีกสักหน่อย แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีไม่เป็นมิตร เขาก็รีบล้มเลิกความคิดนั้นไปในทันที นอกจากนี้ อากาศก็ยังร้อนอีกด้วย เขาจึงตัดสินใจที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงบ่าย
บนเนินเขาหนานชาน หวังเย้ามองดูต้นไม้ที่เขาปลูกด้วยรอยยิ้ม “ซานเซียน ต้าเซี่ย ขอบคุณนะ”
หลังจากทำงานเสร็จและเก็บกวาดจนสะอาดแล้ว หวังเย้าก็ลงเขาเพื่อกลับไปทานอาหารที่บ้าน
ตอนเที่ยงของวันเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด มีใครคนหนึ่งเดินทางมาถึงที่หมู่บ้านเล็กๆกลางเขา เขาเป็นชายวัยประมาณสามสิบ มีหน้าตาธรรมดา และได้ขับรถมาจากทางเหนือและจอดอยู่ที่ทางใต้ของหมู่บ้าน เขาลงมาจากตัวรถและมองไปรอบๆ ก่อนที่จะกลับขึ้นไปบนรถและจากไป
เขาขับรถออกไปจาหมู่บ้าน และพึมพำกับตัวเองว่า “มันก็แค่หมู่บ้านเล็กๆกลางเขา ฉันไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษนอกจากคลินิกนั่น ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมนายถึงยอมมาอยู่ในที่แบบนี้ จงหลิวชวน”
ในตอนบ่าย คลินิกก็เปิดทำการ ชายที่มารอในตอนเช้ารู้สึกยินดีกลับเรื่องนี้ และได้เดินเข้าไปเคาะประตู
หวังเย้าเพิ่งจะรักษาคนไข้คนหนึ่งเสร็จพอดี
ชายคนนั้นเดินเข้าไปและเอ่ยถามว่า “คุณคือหมอหวังเหรอ?ไ
“ผมเอง คุณมาหาหมอเหรอครับ?” หวังเย้ามองไปที่ชายคนนั้น ร่างกายของเขาแข็งแรงดี และไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไรเลย
“ไม่ใช่ผมหรอก แต่เป็นลูกชายของเจ้านายน่ะ” ชายคนนั้นพูด
“แล้วเขาอยู่ที่ไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่” ชายคนนั้นพูด
“ถ้าอย่างนั้นก็พาเขามาที่นี่” หวังเย้าพูด
“หมอ อาการของเขาหนักมา” ชายคนนั้นพูด “เขาทั้งปวดหัว แล้วก็ปวดท้อง ขนาดจะลุกออกจากเตียงก็ยังทำไม่ได้ หมอช่วยไปดูอาการเขาหน่อยได้ไหม?”
หวังเย้าตอบออกไปโดยไม่ลังเล “ไม่ได้หรอกครับ”
“ผมยินดีจ่ายค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับเขาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม” ชายคนนั้นพูด
“ผมไปไม่ได้หรอกครับ” หวังเย้าพูดอย่างใจเย็น “แล้วผมก็ไม่อยากพูดอีกเป็นครั้งที่สาม ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เชิญคุณออกไปเถอะครับ”
ชายคนนั้นพูดอะไรไม่ออก เขาไม่เข้าใจความคิดของหมอคนนี้เลย เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากก็ถูกเชิญออกไปแล้ว เขาไม่รู้ว่าควรจะบอกเรื่องนี้กับแม่ของโฮ่วชื่อต๋าอย่างไรดี
“อะไรนะ? เขาไม่ยอมมางั้นเหรอ?” แม่ของโฮ่วชื่อต๋าที่ได้รับข่าวก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา “ไม่ลองเพิ่มเงินให้เขาดูล่ะ?”
“ไม่ได้ครับคุณผู้หญิง ผมคิดทุกวิธีเท่าที่จะทำได้แล้ว” ชายคนนั้นพูด
ความจริง เขาไม่ได้คิดหาวิธีการอะไรแม้แต่อย่างเดียว เพราะเขายังไม่ทันพูดจบ เขาก็โดนผลักไสออกไปแล้ว
“”ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง” แม่ของโฮ่วชื่อต๋าพูด
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน จงหลิวชวนก็กำลังฝึกฝนเพียงลำพังอยู่ภายในบ้านเล็กๆหลังหนึ่งหมู่บ้าน หลังจากผ่านไปได้สองวัน ตอนนี้เขาก็สามารถย่างขาเข้าสู่หนทางการฝนตนได้แล้ว ถึงแม้จะยังดูเก้ๆกังๆ แต่เขาก็เชื่อว่า เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง เขาก็จะคุ้นเคยกับการฝึกฝนได้เอง ทุกอย่างล้วนต้องใช้เวลา หลังจากที่ได้เรียนรู้เทคนิคจากหวังเย้าแล้ว มันก็ทำให้เขาอยากรู้มากขึ้นไปอีก
เมื่อยามเย็นมาเยือน ก็มีชายวัยสามสิบคนหนึ่งขับรถเข้ามาในหมู่บ้าน ป้ายทะเบียนแสดงให้รู้ว่าเป็นรถจากเมืองเต๋า
เมื่อเห็นชายชราอยู่ที่ข้างทาง เขาก็หยุดรถและถามออกไปว่า “ขอโทษครับ ที่นี่มีคลินิกไหม?”
“มีสิ อยู่ตรงทางใต้ของหมู่บ้านน่ะ” ชายชราพูด “ตอนนี้น่าจะปิดแล้วล่ะ เธอจะไปหาหมอเหรอ?”
“เอ่อ ครับ ผมอยากจะมาหาหมอน่ะครับ” ชายคนนั้นพูด สีหน้าของเขาดูแปลกเล็กน้อย
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นคงต้องมาพรุ่งนี้แล้วล่ะ” ชายชราพูด เขาและชาวบ้านต่างก็รู้เกี่ยวกับคลินิกของหวังเย้าและกฎประหลาดของเขาดี “เธอน่าจะเช็คดุในเวยป่อนะ!”
“พรุ่งนี้สินะ เข้าใจแล้ว” ชายคนนั้นขับรถออกไป
เขาขับรถเข้าไปในตัวเมืองเหลียนชานและเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง ในคืนนั้น เขาได้ยินเสียงใครบางคนมาเคาะประตูห้อง
“ใครน่ะ?” เขาถามออกไป
“สวัสดีค่ะ คุณต้องการรับบริการพิเศษรึเปล่าคะ?” หญิงสาวคนหนึ่งถาม
“พิเศษเหรอ?” เมื่อเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร เขาก็เริ่มโมโหขึ้นมา “ไม่ ไปไกลๆเลยนะ! บริการพิเศษอย่างนั้นเหรอ? ฉันจะกลายเป็นขันทีอยู่รอมร่อแล้ว!”
เช้าวันต่อมา ชายคนนั้นเดินทางไปถึงหมู่บ้านแต่เช้าตรู่และตรงไปที่คลินิก
“โอ้ คุณนั่นเอง!” เมื่อหวังเย้าเห็นชายคนนั้น เขาก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
ชายคนนั้นก็คือเจ้าของผับที่หวังเย้าเคยพบที่เมืองเต๋า และยังเป็นคนที่ชื่นชอบการนวดอย่างมาก หวังเย้าไม่คิดว่าเขาจะเดินทางมาถึงที่นี่
“กว่าจะได้เจอคุณ มันช่างยากเย็นจริงๆ” เขาพูด
ตั้งแต่ที่เขาได้เจอกับหวังเย้า เขาก็ได้ค้นพบว่า ตัวเขาไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ หรือแม้แต่คิดก็ยังไม่ได้ ทุกครั้งที่เขาทำ ร่างกายของเขาก็จะเจ็บปวดขึ้นมาในทันที และมันแทบจะฆ่าเขาให้ตายอยู่แล้ว
ปัญหาก็คือ ในเวลานี้เขามีความรู้สึกลึกซึ้งกับหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ เขาต้องการมีเธอเป็นคู่ชีวิตของเขา แต่ในตอนนี้ร่างกายของเขากลับมีปัญหา เขาจึงจำต้องปิดบังเรื่องนี้กับหญิงสาว
เขาอยากจะเข้าไปตบหน้าหวังเย้าสักฉาด ถ้าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่ผู้กุมสุขภาพและอนาคตของเขาเอาไว้ละก็ เขาก็คงไม่ต้องถ่อมาถึงที่นี่
“เป็นยังไงบ้าง? ช่วงหลังมานี้รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เห็นจะดีเลยสักนิด! แล้วมันก็แย่มากเลยด้วย!” เขาระบายโทสะออกมา “ตอนที่เราติดต่อกัน ผมทั้งเป็นมิตรและดีกับคุณขนาดไหน แต่คุณกลับมาทำกับผมแบบนี้ซะได้ คนเขาพูดกันว่า คนบ้านนอกเป็นคนซื่อไม่ใช่หรือยังไง?”
“ไม่นะ ผมเห็นว่าอารมณ์ของคุณดีขึ้นกว่าหลายวันก่อนด้วยซ้ำ” หวังเย้าพูด
อารมณ์ของเขาดีกว่าตอนที่เจอกันที่เมืองเต๋าอย่างเห็นได้ชัด การควบคุมเรื่องเพศสัมพันธ์ให้อยู่ในความพอเหมาะ ถือเป็นประโยชน์สำหรับร่างกาย
“คุณช่วยรักษาผมได้ไหม ได้โปรดเถอะนะ?” ชายคนนั้นพูด
“อืม มันคงต้องใช้เวลาสักระยะกว่าที่คุณจะหายดี” หวังเย้าพูด
สิ่งที่ทั้งสองพูดมากลับเป็นคนละความหมายกัน
“หมอหวัง ผมกำลังจะแต่งงาน ดังนั้น จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้” เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ
“แต่งงานเหรอ? ยินดีด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด “แต่ในมุมมองทางการแพทย์ ผมไม่แนะนำให้คุณแต่งงานในช่วงเวลานี้หรอกนะครับ คุณยังไม่หายดีและมันอาจจะทำให้อาการของคุณแย่ลงด้วย!”
743 ผมไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขาป่วย
“นายมันป่วย ป่วยกันทั้งบ้านเลย!”
เขาส่งเสียงตะคอกออกมาด้วยความโมโห ความโกรธพุ่งพรวดจนทำให้หัวร้อน ถ้าเขาอยู่ที่เมืองเต๋าละก็ เขาคงจะจัดการหวังเย้าไปแล้ว
“ตอนนี้ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว หมอช่วยยกเลิกมันจะได้ไหม?” เขาถามเสียงค่อย โดยพยายามที่จะกดอารมณ์โกรธของตัวเองเอาไว้
“คิดให้ดีนะครับ” หวังเย้าพูด “การที่ผมจะยกเลิกนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าคุณต้องจะกลับมารักษาทีหลัง มันจะยากมาก!”
“ผมคิดดีแล้ว” เขาพูด
“ไม่เสียใจทีหลังแน่นะครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่มีทาง” เขาพูด
“ก็ได้ ผมจะยกเลิกให้คุณ” หวังเย้ากดไปที่หน้าท้องของเขา “เรียบร้อย”
ชายคนนั้นรู้สึกถึงความอุ่นที่เกิดขึ้นภายในช่วงท้องของเขา และมันก็หายไปอย่างรวดเร็ว “เสร็จแล้วเหรอ?” เขาดูจะไม่เชื่อสักเท่าไร
“แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะครับ?” หวังเย้าถามกลับ “ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณก็ลองทดสอบดู แต่ผมแนะนำให้คุณทนไว้ก่อน เพราะความสุขเพียงสั้นๆ อาจจะทำให้ครึ่งชีวิตที่เหลือของคุณต้องจมอยู่กับความเสียใจก็เป็นได้”
“เท่าไหร่?” เขาถาม
“อะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ก็ค่ารักษายังไงล่ะ?” เขาพูด
“โอ้ ช่างมันเถอะครับ การจะเดินมาถึงที่นี่คงจะไม่ง่ายสำหรับคุณเท่าไหร่” หวังเย้ายิ้มและโบกมือปฏิเสธ
“ช่างมันงั้นเหรอ?!” เขามีท่าทีอึ้งไป
เขาคิดว่า หวังเย้าคิดจะใช่สถานการณ์นี้ในการเบลคเมลเขา ที่เลวร้ายที่สุด เขาก็อาจจะต้องเสียเงินพันหยวนที่ได้จากหวังเย้าครั้งที่แล้วไป แต่เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ในเวลานี้ เขาจึงอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า หรือเขาจะคิดผิด? หมอแค่อยากจะรักษาฉัน และไม่ได้มีอะไรแอบแฝงอยู่เลย?
“มีอะไรอีกไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“เอ่อ เปล่า ไม่มีอะไร ขอบคุณ” เขาพูด
“ยินดีครับ” หวังเย้าพูด
อยู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เธอมีอายุประมาณสี่สิบ และมีท่าทางดูดี เธอถามออกไปว่า “สวัสดีค่ะ คุณคือหมอหวังใช่ไหมคะ?”
“ผมเองครับ” หวังเย้าพูด
“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” เธอพูด “คุณหมอสามารถไปรักษาคนไข้ข้างนอกได้ไหมคะ?”
“ที่ไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ปักกิ่งค่ะ” เธอตอบ
หวังเย้าตอบกลับไปโดยไม่ต้องคิด “ไม่ครับ”
“ทำไมล่ะคะ?” เธอถาม
“มันไกลเกินไป แล้วผมก็ไม่อยากไปด้วย” เหตุผลของหวังเย้านั้นเรียบง่ายมาก และออกจะเอาแต่ใจเล็กน้อยด้วย
“ฉันสามารถจัดการการเดินทางไม่ให้คุณรู้สึกเบื่อได้นะคะ” เธอพูด
“ไม่ครับ” หวังเย้าคิดว่า ผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นพวกเดียวกับชายที่มาหาเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน
“คุณหมอสามารถเรียกร้องค่ารักษาได้ตามต้องการเลยนะคะ ฉันไม่มีทาวปฏิเสธแน่นอน” เธอพูด
“ไม่ครับ แล้วผมก็ไม่อยากพูดอะไรมากแล้ว” หวังเย้าโบกมือปฏิเสธ
เขาสัมผัสได้ท่าทางที่เหนือกว่าคนอื่นและการแสดงอำนาจจากสายตาของเธอ และมันทำให้เขาอดรู้สึกรังเกียจขึ้นมาไม่ได้
สุดยอดไปเลย!
ชายจากเมืองเต๋าที่เพิ่งจะรักษาเสร็จ และยังคงไม่ไปไหน ก็ต้องตกใจกับสถานการณ์ตรงหน้า เขาไม่เคยเห็นหมอที่สุดยอดแบบนี้มาก่อน แล้วยังมาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ด้วย แม้แต่คนจากปักกิ่งก็ยังเดินทางมาเพื่อพบเขา
เดี๋ยวนะ นี่ไม่ได้หมายความว่าเขามีความสามารถมากหรอกเหรอ? ถ้าอย่างนั้น ที่บอกว่าฉันป่วยก็เป็นเรื่องจริงน่ะเหรอ?
“อ้าว ทำไมคุณยังไม่ไปอีกล่ะครับ?” หวังเย้ามองไปที่เขา “หรือจะรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว?”
“เปล่าๆ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” เขาพูด
ถึงเขาจะรู้สึกสงสัย แต่เขาก็ไม่อยากทรมานแบบนั้นอีกแล้ว เขาเดินออกไปและทิ้งหวังเย้ากับผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ในห้อง
“ลูกชายของฉันป่วยหนักมาก คุณหมอช่วยรักษาเขาได้ไหมคะ?” นี่เป็นอีกวิธีการหนึ่งของเธอ แต่น้ำเสียงของเธอไม่ได้อ่อนลงเลยสักนิด
หวังเย้าไม่พูดและโบกมือปฏิเสธ
เธอไม่มีทางเลือกนอกจากถามออกไปว่า “ฉันพาเขามารักษาที่นี่จะได้ไหมคะ?”
“ได้ครับ” หวังเย้าพูด
“ขอบคุณค่ะ” เธอพูด
หลังจากเดินออกมาแล้ว เธอก็เอ่ยออกมาด้วยความโมโหว่า “นี่มันหมอประเภทไหนกัน! ไม่รู้ว่าจะเก่งสักแค่ไหน แต่กลับทำตัวอวดดีจริงๆ!”
ถ้าไม่ใช่ว่าเธอต้องการบางอย่างจากเขาละก็ เธอคงจะสร้างเรื่องลำบากให้เขาไปแล้ว
แน่นอนว่า เธอไม่มีทางรู้เลยว่า หวังเย้าที่อยู่ภายในคลินิกจะได้ยินคำพูดทั้งหมดของเธอ
“โอ้ อารมณ์ร้ายจริงๆ!” หวังเย้าถากถาง
อยู่ๆเขาก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมากะทันหัน ถึงผู้หญิงคนนั้นจะพาคนไข้มาหาเขา เขาก็จะไม่ยอมรักษาให้
เธอมาเร็วไปเร็ว ในวันเดียวกันนั้น เธอก็กลับไปถึงปักกิ่งและไปพบกับแพทย์ที่รับหน้าที่ดูแลลูกชายของเธอ
“อะไรนะ? จะออกจากโรงพยาบาลอย่างนั้นเหรอ?” แพทย์ตกใจ “คุณนายหลี่ ตอนนี้เขาป่วยหนักมากนะครับ!”
“ฉันรู้” เธอพูด “ฉันจะรับผิดชอบปัญหาทุกอย่างที่ตามมาเอง”
“ก็ได้ครับ ผมจะจัดการเรื่องเอกสารให้” แพทย์พูด
วันต่อมา พวกเขาบินด้วยเครื่องบินส่วนตัวไปยังเมืองเต๋าพร้อมกับแพทย์ประจำตระกูล และขับรถต่อไปยังหมู่บ้านกลางเขา พวกเขาไปถึงที่นั่นในตอนกลางวัน และภายในคลินิกมีคนไข้อยู่หลายคน
หลายคนที่ติดตามมารู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่พวกเขาได้เห็น แต่พวกเขาก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป พวกเพียงแค่คิดว่า ทำไมเธอถึงมาที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้?
“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” เธอเก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้
“สวัสดีครับ” หวังเย้าพูด
“ฉันพาลูกชายของฉันมาแล้วค่ะ” เธอพูด “ตอนนี้ เขาอยู่ข้างนอก”
“คุณเอาบัตรคิว แล้วก็รอตามคิวได้เลยครับ” หวังเย้าชี้ไปที่แผ่นไม้ที่ห้อยอยู่ที่กำแพง
“อะไรนะ?” เธอมีท่าทางตกตะลึง
มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อสำหรับเธอ ในการเดินทางมาที่หมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ แถมยังต้องทำตามกฎแบบนี้อีก เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเดินไปหยิบแผ่นไม้ จากนั้นก็นั่งรอตามคิว ใบหน้าของเธอไม่สามารถเก็บซ่อนความโกรธเอาไว้ได้อีกต่อไป
คนที่มารอพร้อมกับเธอกระซิบกระซาบกัน “คุณนายโกรธแล้ว เรื่องคงไม่จบง่ายๆแน่”
มีสองคนที่รอคิวอยู่ด้านหน้าของเธอ พวกเขามีอาการป่วยเพียงเล็กน้อย นั่นก็คืออาการปวดศีรษะ หวังเย้ารักษาพวกเขาด้วยการฝังเข็ม แล้วอาการของพวกเขาก็ดีขึ้นในทันที
เขามีฝีมืออยู่พอตัว เธอที่กำลังนั่งรออยู่เงียบๆคิดในใจ
ในที่สุดก็ถึงตาของเธอ เธอเดินเข้ามาพร้อมกับเข็นรถเข็นที่มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่
เป็นเขา!
เมื่อได้เห็นชายที่นั่งอยู่บนรถเข็น หวังเย้าก็อึ้งไป เขาค่อนข้างจะคุ้นเคยกับคนคนนี้ เขาก็คือชายหนุ่มที่อาศัยอยู่ในวิลล่าที่เมืองเต๋า หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สาเหตุที่ชายหนุ่มคนนี้ป่วยก็เป็นฝีมือของหวังเย้าเอง
“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่สามารถรักษาคุณชายของคุณได้” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณรู้ได้ยังไงว่าคุณรักษาไม่ได้ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ตรวจอะไรเลย?” เธอถาม
“ไม่จำเป็นต้องตรวจดูหรอกครับ” หวังเย้าพูดเสียงเย็น “ผมรักษาเขาไม่ได้ แล้วเขาก็อาการหนักมากด้วย”
นอกจากอาการป่วยที่เกิดจากฝีมือของหวังเย้าแล้ว เมื่ออยู่ที่เมืองเต๋า หวังเย้ายังสังเกตเห็นด้วยว่าชายหนุ่มยังมีอาการบาดเจ็บอื่นอีก อาการบาดเจ็บเหล่านั้นล้วนเกิดจากการที่เขาได้ทำเรื่องไม่ดีบางอย่างมา ที่หวังเย้าทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัสก็เป็นเพราะว่า เขาโมโหมากและอยากจะช่วยตระกูลซุน
“เขาเพิ่งป่วยมาได้ไม่กี่วันเองนะคะ” เธอพูด
“โรคบางชนิดที่จะแสดงอาการเมื่อเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้ว” หวังเย้าพูด “เมื่อมันปะทุออกมา ก็จะมีความรุนแรงไม่ต่างจากแผ่นดินไหวและน้ำท่วม พวกมันไม่สามารถหยุดยั้งได้ และนั่นก็กำลังเกิดขึ้นกับเขาอยู่ในตอนนี้”
“ดังนั้น คุณเลยช่วยอะไรเขาไม่ได้?” เธอถาม
“ไม่ได้ครับ” หวังเย้าพูด
“คุณสามารถรักษาซูเสี่ยวซวีได้ แต่กลับรักษาเขาไม่ได้” เธอรู้สึกว่า หวังเย้าเพียงแค่หาข้ออ้าง เพราะไม่อยากรักษาลูกชายของเธอมากกว่า
“คุณรู้จักเสี่ยวซวีด้วยเหรอ?” หวังเย้าประหลาดใจที่เธอเอ่ยชื่อเสี่ยวซวีขึ้นมา
“ฉันเคยอุ้มเธอตอนที่เธอยังเป็นเด็ก” เธอพูด
“ที่อาการป่วยของเสี่ยวซวีสามารถหายได้” หวังเย้าพูด “ก็เป็นเพราะว่าเธอมีโชคที่ยิ่งใหญ่ ส่วนอาการคุณชายของคุณนั้น ผมเสียใจด้วย!”
เขาไม่คิดจะยกเว้น เพียงเพราะผู้หญิงคนนี้รู้จักกับซูเสี่ยวซวีหรือญาติคนใดคนหนึ่งของเธอ ท่าทีของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ดีเลย และลูกชายของเธอก็แย่ยิ่งกว่า เขาสมควรได้รับการลงโทษ
เธออดไม่ไหวอีกต่อไปและถามออกไปว่า “หมอหวัง ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณกำลังสร้างความลำบากใจให้ฉันอยู่?”
“แปลกนะครับที่คุณพูดแบบนี้ออกมา ทั้งๆที่ผมไม่ได้รู้จักคุณเลยด้วยซ้ำ” หวังเย้าพูด “ผมไม่ได้ไม่พอใจอะไร แล้วพวกเราก็ไม่ได้เป็นศัตรูกันด้วย แล้วทำไมผมจะต้องสร้างความลำบากให้กับคุณด้วยครับ?”
“หมอรักษาลูกชายของฉันไม่ได้จริงๆน่ะเหรอ?” เธอถาม
“ถูกต้องครับ” หวังเย้าพูดอย่างใจเย็น
“ดี ดี!” เธอลุกขึ้นและจ้องไปที่หน้าของหวังเย้า เธอสูดลมหายใจเข้าลึกและจากไปพร้อมกับลูกชายของเธอ “ไปกันเถอะ”
“จุ๊ๆๆ อารมณ์ของเธอแปรปรวนจริงๆ” หวังเย้าพูด “เทียบกับแม่ของเสี่ยวซวีไม่ได้เลย”
หลังเดินออกมาจากคลินิกและขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว ในที่สุดเธอก็สามารถสงบใจลงได้และกดโทรออก
“คุณลุงคะ ฉันมีปัญหาที่นี่ค่ะ” เธอพูด “ใช่ค่ะ เขาไม่รักษา คุณลุงพอจะช่วยพูดกับเขาให้หน่อยสิคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับมาเถอะ” หลี่เชิงหรงพูด
“แล้วอาการป่วยของชื่อต๋าล่ะคะ?” เธอถาม
“ฉันช่วยพูดให้ไม่ได้หรอก” หลี่เชิงหรงพูดอย่างไร้หนทาง “ถ้าเขาบอกว่า เขารักษาไม่ได้ก็แปลว่าไม่ได้ มาคิดหาวิธีอื่นกันดีกว่า”
“เข้าใจแล้วค่ะ” เธอกดวางสายพร้อมกับใบหน้าที่ดำคร้ำ
744 จดจำบุญคุณ
แม้ว่าจะไม่ได้อะไรเลยแต่เธอก็ต้องกลับ ส่วนลูกชายของเธอก็คงต้องทนทรมานต่อไป แม่ของโฮ่วชื่อต๋ารู้สึกไม่พอใจมากยิ่งขึ้น
“รอก่อนเถอะ!” แม่ของโฮ่วชื่อต๋าสบถเสียงเย็น พร้อมกับมองไปที่หมอหนุ่มซึ่งยืนเงียบๆอยู่ตรงนั้น เธอไม่คิดปิดบังความเกลียดชังที่มีต่อเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
ชายที่มาพร้อมกับเธอคิดในใจ หมอคนนั้นซวยแล้ว!
แต่หวังเย้าไม่ได้แค่เลยสักนิด ดูเหมือนว่าฉันจะสร้างศัตรูเพิ่มขึ้นมาอีกคนซะแล้ว เขาคิด
แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้สร้างความไม่พอใจให้กับคนอื่น เขาไม่มีทางรักษาเศษสวะอย่างโฮ่วชื่อต๋าแน่ เพราะมันถือเป็นการดูถูกอาชีพแพทย์แผนจีนของเขา เขาไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่จะช่วยทุกคน ไม่ว่าจะคนคนนั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ไม่สิ แม้แต่พระเจ้าก็ใช่ว่าจะช่วยทุกคนเหมือนกัน
ค่ำคืนนี้เงียบสงบ
…
ผับแห่งหนึ่งในเมืองเต๋า คู่รักคู่หนึ่งอยู่ภายในห้องบนชั้นแรกของผับ พวกเขากำลังร่วมรักกันอยู่บนเตียงใหญ่น่าสบาย
วิเศษไปเลย! ชายที่อยู่บนเตียงคิด หมอคนนั้นไม่ได้หลอกฉันจริงๆด้วย!
หลายวันที่ผ่านมา เขาเหมือนตกอยู่ในนรก เขาไม่สามารถมีอะไรกับแฟนสาวของเขาได้ ทุกครั้งที่เขามีอารมณ์ เขาก็จะรู้สึกเจ็บปวดที่ท้องน้อยของเขาอยู่เสมอ และมันทำให้เขาทรมานอย่างมาก
“คุณโอเคไหม?” แฟนสาวของเขาถามคำถามนี้อยู่หลายครั้ง เธอกังวลในทุกเรื่องของเขา เพราะเขาคือคนที่เธอจะใช้ชีวิตด้วยไปตลอด
“สบายมาก ผมสบายดี!” เขายืนย้ำอย่างหนักแน่นว่าตัวเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร
โชคดีที่หวังเย้าไม่ได้เล่นเล่ห์กับเขา และทำให้เขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาจุดบุหรี่และพิงตัวลงบนหมอนเพื่อพักผ่อน
“คุณควรเลิกสูบบุหรี่ได้แล้วนะคะ” แฟนสาวของเขาพูด พร้อมหยิบบุหรี่ออกจากมือของเขาไป “ที่รักคะ”
“หืม?” เขาถาม
“เราแต่งงานกันดีไหมคะ?” แฟนสาวของเขาถาม
“ได้สิ” เขาตอบ
“จริงเหรอคะ?” เธอถามอยากตื่นเต้น
“จริงสิ” เขาพูด
เขาไม่ได้คบใครจริงจังมานานหลายปีแล้ว มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะลงหลักปักฐานกับผู้หญิงสักคน ทางพ่อแม่ของเขาก็อยากได้หลาน ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าไม่สามารถอยู่เป็นโสดตลอดไปได้
“เยี่ยมไปเลยค่ะ!” แฟนสาวของเขามีท่าทางตื่นเต้น เธอโถวตัวเข้าไปกอดเขาและมอบจูบชุดใหญ่เป็นรางวัล
“มาทำกันอีกรอบนะ” เขาพูด
“ไม่เอา พอแล้วค่ะ!” แฟนสาวของเขาแกล้งทำเป็นต่อต้าน
ภายในห้องอบอวลไปด้วยความรัก
…
เช้าวันต่อมา มีแขกที่คาดไม่ถึงมาที่หมู่บ้าน
“สวัสดีครับ ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
คนที่มาก็คือเมี่ยวซานติง อาจารย์ดูฮวงจุ้ยคนนั้น “สวัสดีครับ หมอหวัง ขอโทษที่ต้องมารบกวนคุณอีกแล้วนะครับ”
“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ผมมีบางเรื่องอยากจะปรึกษาคุณน่ะครับ” เมี่ยวซานติงพูด
ครั้งก่อน หวังเย้าได้สร้างบุญคุณครั้งใหญ่ด้วยการจัดการกับวิญญาณร้ายที่สุสานโบราณ เมี่ยวซานติงไม่เคยลืม เขาคิดมาตลอดว่าจะทดแทนบุญคุณครั้งนี้ยังไง ตัวเขาไม่ได้มีเงินทองหรือของมีค่ามากมาย สิ่งเดียวที่เขามีก็คือความรู้เรื่องฮวงจุ้ยของเขา
มีอยู่วันหนึ่งที่เขานึกถึงเรื่องพลังงานความตายบนเนินเขาซีชานขึ้นมาได้ ดังนั้น เขาจึงอยากจะทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้ เขาต้องการช่วยหวังเย้าจัดการกับเรื่องนี้ และเป็นวิธีที่เขาจะสามารถใช้ทดแทนบุญคุณกลับไปด้วย
“เข้ามานั่งข้างในก่อนสิครับ” หวังเย้าเชิญเขาเข้ามาด้านในคลินิก
เขามีความประทับใจที่ดีกับเมี่ยวซานติง และคิดว่าเขาเป็นดีคนหนึ่ง ถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็คงจะไม่เดินทางไปถึงหงโจวเพื่อช่วยเหลือเรื่องที่เกิดขึ้น
หวังเย้าชงชาให้กับเมี่ยวซานติงอยู่ภายในคลินิก หลังจากที่พวกเขานั่งลงกันแล้ว เมี่ยวซานติงก็บอกจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้กับเขา
“ผมเข้าใจแล้วครับ ถ้าคุณช่วยเรื่องนี้ได้ผมจะขอบคุณมาก!” หลังจากที่ได้รู้ว่า เมี่ยวซานติงต้องการจะช่วยเขาเรื่องปัญหาของเขาซีชาน มันจึงยิ่งทำให้เขาชอบเมี่ยวซานติงมากขึ้นไปอีก
ในปัจจุบัน มีคนอยู่ไม่มากนักที่จะจดจำบุญคุณและตอบแทนมันกลับไป
“ผมอยากจะรู้ว่า คุณจะจัดการกับพลังความตายพวกนี้ยังไง” หวังเย้าพูด
“ผมคงต้องไปดูที่นั่นก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะทำอะไรได้บ้าง” เมี่ยวซานติงพูด
“โอเคครับ งั้นเราไปดูกัน” หวังเย้าพูด
ในตอนที่พวกเขากำลังจะออกไปจากคลินิกนั้น ก็มีคนไข้คนหนึ่งมาที่คลินิก หลังของคนไข้โค้งงอ สีหน้าของเขาดูไม่ดีอย่างมาก
“คุณมีปัญหาอะไรครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันปวดหลังมาก” ชายชราพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา
เขาอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว สุภาพร่างกายของเขาจึงถดถอยลงไปทุกวัน
“เชิญนั่งก่อนครับ ผมขอตรวจดูหน่อย” หวังเย้าช่วยพยุงชายชราให้นั่งลงและตรวจดูอาการของเขาอย่างละเอียด เขายังมีปัญหาที่กระดูกสันหลังช่วงเอวจากการทำงานหนักอีกด้วย
ชายชราถอนหายใจ เขาก็ไม่ได้อยากเหมือนกัน เพราะเขาก็อายุใกล้จะแปดสิบอยู่รอมร่อแล้ว แต่ลูกชายของเขาเพิ่งจะซื้ออพาร์ทเมนท์ห้องใหญ่ไว้หนึ่งห้อง แล้วยังมีหลานคนที่สองออกมาอีกด้วย ตั้งแต่ที่คลอดลูกคนที่สองออกมา ลูกสะใภ้ของเขาก็ลาออกจากงานเพื่อมาดูแลเด็กๆ ดังนั้น ลูกชายของเขาจึงเป็นคนที่หาเงินเข้าบ้านเพียงคนเดียว เขาเป็นพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่งและต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว และเพราะงานทั้งหลายแหล่ทำให้เขาผายผอมลงเรื่อยๆ
ส่วนภรรยาของชายชราก็อายุมากและสุขภาพไม่ค่อยดี เธอจึงไม่สามารถช่วยลูกสะใภ้เลี้ยงหลานได้ ดังนั้น เขาจึงรู้สึกสงสารลูกชายของตัวเอง และพยายามช่วยเหลือเรื่องการเงินอย่างสุดความสามารถ
“ผมจะนวดให้ ช่วยนอนคว่ำด้วยครับ” หวังเย้าพูด
ชายชรานอนคว่ำหน้าลงไปบนเตียง หวังเย้าก็ได้เริ่มนวดให้กับเขา หลังจากผ่านไปได้ห้านาที ความเจ็บปวดก็ค่อยๆจางหายไป ชายชรารู้สึกอุ่นร้อนที่ช่วงเอวของเขา เขารู้สึกถึงสบายที่เกิดขึ้น 20 นาทีผ่านไป เขาก็ไม่รู้สึกเจ็บที่หลังของเขาอีกแล้ว และรู้สึกแข็งแรงขึ้นอีกด้วย
“เรียบร้อยแล้วครับ” หวังเย้าพูด
“อาเย้า เธอเก่งมาก!” ชายชราอุทานออกมา “ค่ารักษาเท่าไหร่เหรอ?”
ชายชราหยิบซองกระดาษออกมาจากกระเป๋าของเขาด้วยมือที่สั่นเทา เขาพอจะมีเงินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร
“คุณตาไม่ต้องจ่ายเงินหรอกครับ” หวังเย้าตอบ
“ไม่ได้ นั่นไม่ถูกต้อง” ชายชราพูด
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ ผมแค่นวดให้เท่านั้นเอง” หวังเย้าพูด “คุณตาต้องพักผ่อนให้บ่อยที่สุดนะครับ อากาศร้อนๆแบบนี้อย่าเพิ่งกลับไปทำงานในไร่เลย ผมยังตรวจพบว่า คุณตามีปัญหาเรื่องการไหลเวียนของเลือดในสมองด้วย คุณตาต้องพักผ่อนให้มากๆนะครับ”
เพราะชายชราอายุใกล้จะแปดสิบแล้ว เขาจึงเจ็บป่วยได้ง่าย เขาจึงไม่เหมาะที่จะทำงานในไร่ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่อากาศร้อนแบบนี้ ถ้าเกิดเขาหมดสติตอนทำงานในไร่ขึ้นมา มันก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้
“ได้ๆ ขอบคุณมากนะ” ชายชราออกจากคลินิกไป
มันเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่ชายชราไม่มีใครให้พึ่งพิง ในตอนที่เฝ้ามองชายชราที่กำลังเดินจากไปนั้น หวังเย้าก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง
ในยุคสมัยนี้ พ่อแม่ที่แก่ชราจำนวนมากยังต้องให้ความช่วยเหลือเรื่องเงินแก่ลูกๆของพวกเขา หวังเย้าหันกลับไปหาเมี่ยวซานติงและพูดขึ้นมาว่า “พวกเราไปกันเถอะครับ”
ทั้งสองพากันเดินขึ้นไปยังสถานที่แห่งความตายบนเนินเขาซีชาน
“หืม!” ก่อนที่จะเดินขึ้นไปถึงด้านบนของเนินเขาซีชาน เมี่ยวซานติงก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ เขาเดินขมวดคิ้วไปตลอดทาง ส่วนหวังเย้านั้นไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงเดินนำเมี่ยวซานติงไปเงียบๆเท่านั้น
“แปลก!” เมี่ยวซานติงเดินไปรอบสถานที่แห่งความตายทั้งสองแห่ง และเดินไปพักที่จุดหนึ่ง
“คุณคิดว่ายังไงครับ?” หวังเย้าถาม
“ทั้งสองที่มันแปลกมาก” เมี่ยวซานติงพูด มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาพบเจอสถานที่แบบนี้ “ผมรู้สึกว่า ทั้งสองที่นี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเนินเขา มันคล้ายกับว่า พวกมันถูกสร้างขึ้นมา”
“ผมเคยเจอแมลงแปลกๆที่อยู่ที่นี่มาก่อนด้วย” หวังเย้าพูด “แมลงพวกนั้นมีพิษร้าย แถมยังดุร้ายมาก”
“แมลงเหรอ?” เมี่ยวซานติงรู้สึกประหลาดใจ “แมลงพิษชนิดไหนเหรอครับ?”
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” หวังเย้าพูด “ผมก็ไม่เคยเห็นแมลงพิษแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน”
“บางที พลังของที่นี่อาจจะมีส่วนกับเรื่องของแมลงพิษก็ได้นะครับ” เมี่ยวซานติงพูด
เขาเดินไปรอบๆสถานที่แห่งความตายทั้งสองแห่งอีกครั้ง พร้อมกับคิดหาวิธีที่จะจัดการกับพลังงานความตายที่กระจายออกมาไปด้วย
“พวกเราไปที่เนินเขาใกล้ๆดีไหมครับ?” เขาเสนอ
ข้างๆกับเนินเขาซีชานก็คือเนินเขาหนานชานของหวังเย้า แน่นอนว่า เนินเขาหนานชานนั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
“เป็นที่ที่ดีมาก!” เมี่ยวซานติงรู้สึกประทับใจกับภาพที่ได้เห็น
หวังเย้าเพียงแค่ยิ้มตอบเท่านั้น ที่เนินเขาหนานชานกลายเป็นสถานที่ที่วิเศษแบบนี้ ก็เพราะค่ายกลรวมวิญญาณที่หวังเย้าสร้างขึ้น
เมี่ยวซานติงมองสำรวจเนินเขาหนานชานอย่างละเอียด จากนั้น เขาก็หันกลับไปมองเนินเขาซีชานและเริ่มใช้ความคิด ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นมาว่า “บางที เราอาจจะสามารถย้ายพลังจากเนินเขาหนานชานไปที่เนินเขาซีชานได้”
“คุณทำได้เหรอ? ต้องทำยังไงเหรอครับ?” หวังเย้าถามด้วยความสงสัย
“ผมจำเป็นจะต้องสร้างค่ายกลขึ้นมาครับ” เมี่ยวซานติงพูด “แต่ว่าตอนนี้มันเป็นแค่แผนแผนหนึ่งเท่านั้น ผมยังต้องจัดการบางอย่างเพื่อให้พลังกระจายไปให้ถึงเนินเขาซีชายให้เร็วที่สุดอีกด้วย”
“เราปลูกต้นไม้ที่ตรงนั้นได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ได้ครับ แต่เราก็ต้องทำให้แน่ใจว่า ต้นไม้พวกเขาจะอยู่รอดได้” เมี่ยวซานติงตอบ
“ผมทำให้พวกมันรอดได้ครับ” หวังเย้าพูด
จากการทดลองที่ผ่านมาของเขา ทำให้เขารู้ว่า จุดไหนที่ดินมีพิษปนเปื้อนอยู่ และยังมีหญ้าหางกระรอกกับดอกแดนดิไลที่มีฤทธิ์ต่อต้านพิษในดินได้ด้วย
“ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมไปเลยครับ” เมี่ยวซานติงพูด
พวกเขาลงไปจากเนินเขาหนานชาน จากนั้น เมี่ยวซานติงก็บอกลาหวังเย้า ตอนนี้ เขาพอมีแผนการคร่าวๆไว้แล้ว ดังนั้น เขาจึงจำเป็นที่จะต้องคิดทุกอย่างให้ละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้ เขาไม่สามารถสร้างค่ายกลธรรมดาทั่วไปในสถานที่ทั้งสองแห่งนั้นได้
ตอนที่ 745
มันฟังดูน่าเหลือเชื่อกับการที่จะเปลี่ยนแปลงฮวงจุ้ยของสถานที่นั้นๆ หรือสร้างฮวงจุ้ยที่สุดยอดขึ้นมา สำหรับผู้ที่มีความรู้แบบเมี่ยวซานติงแล้ว การเปลี่ยนแปลงฮวงจุ้ยถือเป็นเพียงเรื่องทางทฤษฎีมากกว่า เขาเคยนำทฤษฎีมาปฏิบัติจริงมาก่อน แต่มันเป็นการออกแบบฮวงจุ้ยหลุมศพคน ดังนั้น มันจึงต่างจากสถานการณ์ตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
“อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ดีกว่า ขอบคุณครับ” เมี่ยวซานติงพูด “ผมยังต้องคิดเรื่องที่ต้องทำต่อจากนี้อีกหลายอย่าง”
มันคุ้มค่าที่จะเป็นเพื่อนกับคนแบบเขา หวังเย้าคิด
เขามีมาตรฐานในการคบเพื่อน สิ่งแรกก็คือ คนคนนั้นต้องมีจิตใจที่ดี หวังเย้าไม่ชอบคนที่มีนิสัยหยาบคาย มันอาจจะฟังดูธรรมดา แต่มีคนไม่มากที่จะมีจิตใจที่ดีอยู่จริงๆ อย่างที่สอง คนคนนั้นต้องมีลักษณะที่โดดเด่นหรือน่าดึงดูด ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขาให้ความสำคัญกับการเลือกคบเพื่อน
หลังจากที่เมี่ยวซานติงกลับไปแล้ว หวังเย้าก็ไปพบกับจงหลิวชวนที่กำลังฝึกวิชาที่หวังเย้าสอนเขาไป
“สวัสดีครับ หมอหวัง” จงหลิวชวนพูด
“สวัสดี หลิวชวน ฝึกไปถึงไหนแล้วล่ะ?” หวังเย้าถาม
“เพิ่งเริ่มเองครับ” จงหลิวชวนพูด
การฝึกการหายใจได้เปลี่ยนวิธีการหายใจของเขาไป เขารู้สึกติดขัดในตอนเริ่ม แต่จากนั้น เขาก็ค่อยๆคุ้นชินกับมัน
“ไม่จำเป็นต้องรีบหรอกครับ และการรีบเร่งก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยด้วย” หวังเย้าพูด
พวกเขาคุยเรื่องการฝึกของจงหลิวชวนเพียงสั้นๆ เมื่อเห็นว่า การฝึกฝนของจงหลิวชวนไม่มีปัญหาอะไร หวังเย้าก็ขอตัวกลับ
จงหลิวชวนยังต้องเรียนรู้อีกมาก การฝึกฝนอย่างเข้มข้นในระยะสั้นสามารถช่วยได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น เขาจำเป็นต้องฝึกฝนให้มาก การเร่งรีบไม่เป็นผลดีสำหรับเขาเลย
ด้านนอกเริ่มมืดลงแล้ว มีรถคันหนึ่งขับไปทางทิศเหนือของหมู่บ้าน แต่ก็ไม่ได้เข้าไปด้านใน ชายในวัยสี่สิบคนหนึ่งลงมาจากตัวรถ เขามีรูปร่างสันทัดไม่ได้สูงมากนัก และดูคล้ายกับศิลปิน เขาค่อนข้างน่าดึงดูด
เขาจุดบุหรี่และยืนอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้านเงียบๆ เขามองเข้าไปด้านในในขณะที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ หลังจากที่สูบเสร็จแล้ว เขาก็เดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างช้าๆ
ตัวถนนไม่ได้กว้างมากนัก หากรถสองคันจอดข้างกันก็สามารถปิดการจราจรได้เลย ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง ซึ่งมีความกว้างประมาณ 4 เมตร
มีชาวบ้านบางคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ข้างทาง พวกเขาบางคนกำลังสูบบุหรี่และบางส่วนก็กำลังคุยเล่นกัน ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ คนที่อายะน้อยที่สุดในกลุ่มอยู่ที่ประมาณสี่สิบกว่าปี
เขามองไม่เห็นคนหนุ่มสาวตามถนนเลยแม้แต่คนเดียว เขาเดินไปตามถนนอย่างช้าๆ พร้อมทั้งสังเกตสิ่งรอบตัวไปด้วย
“เป็นหมู่บ้านที่น่าสนใจจริงๆ” เขาพูด
เขาเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้น เขาไม่ได้ลงจากรถ และทำเพียงมองเข้าไปด้านในหมู่บ้านเท่านั้น ความประทับใจแรกที่เขามีต่อหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือ ความเงียบสงบ
ในหมู่บ้านไม่ค่อยมีคนหนุ่มเลย เขาคิด
เขาเดินไปช้าๆ คล้ายกับว่ากำลังเดินกินลมชมวิว
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! อยู่ๆก็มีสุนัขบ้านตัวหนึ่งมายืนเห่าอยู่ตรงหน้าเขา
“ว่าไง เจ้าหมา” เขาพูด
โฮ่ง!
เขาส่งยิ้มพร้อมกับฟันที่ขาวสะอาดไปให้กับสุนัขตัวนั้น จากนั้น เขาก็โบกมือให้มันและเดินต่อไปยังทางทิศใต้
เมื่อเขาเดินไปเกือบถึงทางทิศใต้ของหมู่บ้านนั้น เขาก็พบเข้ากับชายหนุ่มวัยยี่สิบคนหนึ่ง ชายหนุ่มมีรูปร่างสันทัดและดูธรรมดา แต่เขาบอกได้เลยว่า ชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเลยสักนิด
ชายหนุ่มที่ว่าก็คือ หวังเย้า ก่อนจะมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาก็รู้อยู่แล้วว่าหวังเย้าอาศัยอยู่ที่นี่ เขายังรู้อีกด้วยว่า หวังเย้าเป็นที่รู้จักของชาวบ้านในระแวกนี้
เขายังเด็กอยู่มาก เขาคิด
ชายทั้งสองต่างมองหน้ากัน
มาอีกคนแล้ว? หวังเย้ายิ้มให้กับชายที่ส่งยิ้มกลับมาให้เขาและพูดว่า “สวัสดีครับคุณลุง คุณไม่ใช่คนที่นี่นี่นา”
“อะไรนะ?” ชายวัยกลางคนทำบุหรี่ร่วง “ลุงงั้นเหรอ? ฉันแก่ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?”
“ฮาฮา ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” หวังเย้าพูด
“นายพูดถูก ฉันไม่ใช่คนแถวนี้หรอก” ชายวัยกลางคนหยิบบุหรี่ขึ้นมาจากพื้น โดยใช้นิ้วคีบเอาไว้และเอามาสูบต่อ “ฉันไม่ควรให้มันเสียเปล่า นี่ของดีเลยนะ นายรู้ไหม”
“คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันผ่านมาทางนี้พอดี ก็เลยอยากจะดูรอบๆหน่อยน่ะ” เขาพูด
“อ่อ” หวังเย้าพูดอย่างใจเย็น “ถ้าดูเสร็จแล้ว คุณก็ควรจะกลับเลยนะครับ คนแบบนี้ไม่ได้เป็นที่ต้อนรับสำหรับที่นี่”
“จริงเหรอ? ทำไมล่ะ?” เขาถาม
“กลิ่นบนตัวคุณออกจะต่างไปจากคนทั่วไป และแม้แต่กลิ่นบุหรี่ก็ไม่สามารถกลบมันได้” หวังเย้าพูดพร้อมทั้งชี้ไปที่ตัวของชายคนนั้น
“นายพูดว่ากลิ่นบนตัวฉันอย่างนั้นเหรอ?” เขาถามด้วยความแปลกใจ
“ผมเป็นแพทย์ปรุงยา ก็เลยค่อนข้างจะไวกลับเรื่องกลิ่นน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“อ้อ เดี๋ยวฉันก็จะกลับแล้วล่ะ” เขาพูด
“ดีครับ” หวังเย้าพูด
พวกเขาเดินสวนกัน แล้วอยู่ๆร่างกายของเขาก็เกิดการสั่นไหว เขารู้สึกได้ถึงพลังฉีที่พุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขา
เขาไม่คิดว่า นี่เป็นแค่การคิดไปเอง เพราะมันเป็นร่างกายของเขาเอง เขาหยุดเดินและหันกลับไปมองหวังเย้าที่ไม่คิดสนใจจะหันกลับมามอง
“นายเป็นคนทำเหรอ?” เขาถาม
“คุณพูดเรื่องอะไรเหรอ?” หวังเย้าหยุดเดินและหันกลับไปถาม
“เมื่อกี้ นายส่งพลังฉีเข้ามาในร่างกายของฉัน” เขาพูด
เขาไม่ได้ดูผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว แต่กลับมีท่าทีจริงจังและตื่นตัวแทนที่ เขารู้สึกสงสัยว่า หวังเย้านั้นมีความสามารถอะไรถึงทำแบบนั้นได้โดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว
“ผมว่า คุณควรไปได้แล้วนะครับ” หวังเย้าพูดก่อนที่จะเดินจากไป
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและหยิบบุหรี่ออกมาอีกมวนหนึ่ง จากนั้น เขาก็เดินต่อไปยังทิศใต้ของหมู่บ้าน เขาเดินผ่านแม่น้ำและมาถึงยังมุมทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่บ้าน เขาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่มีบานประตูเหล็กสีเขียว บานประตูทั้งเก่าและสกปรก สีของมันได้หลุดลอกออกไปแล้วบางส่วน
ก๊อก! ก๊อก! เขาเคาะประตู
“ใครน่ะ?” คนที่อยู่ภายในบ้านส่งเสียงถามออกมา
“ฉันเอง” ชายวัยกลางคนพูด
จงหลิวชวนเดินมาเปิดประตู ทันทีที่ประตูเปิดออก เขาก็ก้าวถอยไปสองสามก้าว นาทีต่อมา ในมือทั้งสองข้างของเขาก็มีกริชอยู่ข้างละเล่ม เขาจ้องไปที่ชายวัยกลางคนที่ยังคงยืนอยู่ด้านนอก ราวกับว่านี่คือศัตรูตัวร้ายของเขา
“ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้” ชายวัยกลางคนพูด “ฉันแค่ผ่านมาทางนี้ ก็เลยแวะมาเยี่ยมนายก็เท่านั้นเอง”
“นายมาทำอะไรที่นี่?” จงหลิวชวนถาม
“ไอ้วิปริตนั่นตายที่นี่เหรอ?” ชายวัยกลางคนถาม
“ใช่” จงหลิวชวนพูด
“จริงเหรอเนี่ย? ถ้านายฆ่าเขาได้ นายก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรฉันแล้ว” ชายวัยกลางคนพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันก็แค่โชคดีเท่านั้น” จงหลิวชวนพูด
“โชคดีหรือว่ามีคนช่วยกันแน่?” ชายวัยกลางคนถาม
จงหลิวชวนไม่ได้ตอบคำถามของเขา และกำลังคิดอยู่ว่า เขาควรจะจู่โจมชายที่อยู่ตรงหน้าเขาดีหรือไม่
“วันนี้ ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อฆ่านายหรอกนะ” ชายวัยกลางคนพูด “เก็บกริชของนายไปซะ ผู้ชายคนนั้นพูดถูก กลิ่นฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันสงสัยจริงๆว่าเขาคิดยังไงกับกลิ่นบนตัวนาย”
“กลิ่นเหรอ?” จงหลิวชวนถามด้วยความแปลกใจ
ไม่นานเขาก็เข้าใจความหมายของชายวัยกลางคน เขาได้บังเอิญเจอเข้ากับหวังเย้า ซึ่งได้ใช้พลังฉีตรวจสอบตัวเขา
“นี่ ไม่คิดจะเลี้ยงชาฉันสักหน่อยเหรอ?” ชายวัยกลางคนถาม “ฉันเป็นแขกนะ แล้วก็เดินทางมาตั้งไกลด้วย”
“โอเค รอเดี๋ยว” จงหลิวชวนเดินเข้าไปในครัวและกลับมาพร้อมกับน้ำชาหนึ่งกา “เชิญดื่มชา”
เขาระมัดระวังตัวอย่างมาก ชายวัยกลางคนมีประสบการณ์และร้ายกาจกว่าชายวิปริตคนนั้นมาก ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับเขา และเขาก็ไม่ได้ใจดีเหมือนอย่างที่แสดงให้เห็นอยู่ตอนนี้ด้วย
“อืมมม ชาดี” หลังจากที่จิบชาไปหนึ่งอึก เขาก็พูดออกมา เขาดื่มจนหมดถ้วยและเทเพิ่มให้ตัวเองอีก “เรามาคุยกันหน่อยดีไหม?”
“มีอะไรให้คุยกัน?” จงหลิวชวนถาม
“หมู่บ้านที่นายอยู่ดูเงียบสงบดีนะ” ชายวัยกลางคนพูด “นายหาที่อยู่แบบนี้ได้ยังไงเหรอ?”
“บังเอิญน่ะ” จงหลิวชวนพูด
“ที่นี่ยังมีบ้านหลังไหนที่ประกาศขายอีกไหม?” ชายวัยกลางคนถาม
“นายถามทำไม?” จงหลิวชวนถามด้วยความแปลกใจ
“ฉันอยากจะซื้อบ้านที่นี่เอาไว้สักหลัง ฉันยังอยากจะปักหลักอยู่ที่หมู่บ้านดีดีแบบนี้ แล้วก็เป็นเพื่อนบ้านกับนายด้วย” ชายวัยกลางคนพูดพร้อมยิ้มกริ่ม
“มีบ้านอยู่หลายหลังที่ประกาศขายอยู่” จงหลิวชวนตอบ “บ้านข้างๆก็กำลังจะย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเดือนหน้า”
“จริงเหรอ?” ชายวัยกลางคนถาม
“จริงสิ” จงหลิวชวนพูด
“ฉันจะลองคิดดู” ชายวัยกลางคนพูด “บ้านพวกเขาขายที่เท่าไหร่เหรอ?”
“ราคา 80,000 หยวน มีสี่ห้องนอนพร้อมลานบ้าน” จงหลิวชวนพูด
“นั่นมันถูกมาก!” ชายวัยกลางคนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
พวกเขาพูดคุยกันราวกับเป็นเพื่อนเก่า ไม่นาน ชายวัยกลางคนก็เปลี่ยนเรื่องพูด “นายรู้อะไรมา ถึงทำให้คนพวกนั้นร้อนรนแบบนี้?”
“นายจะเชื่อฉันไหม ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่รู้?” จงหลิวชวนพูด
“แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ?” ชายวัยกลางคนถาม
“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ” จงหลิวชวนพูดด้วยรอยยิ้มขื่น
“นายก็รู้นี่ ว่าจุดที่ฉันอยู่มันค่อนข้างซับซ้อน” ชายวัยกลางคนจุดบุหรี่ “นายก็รู้เรื่องกฎของบริษัทดี โดยเฉพาะในตอนที่พวกเขารับนายเข้าเป็นพนักงานเหมือนกับพวกเราแล้ว ถึงเราจะลาออก แต่ถ้าบริษัทต้องการ พวกเราก็ต้องให้ความร่วมมืออยู่ดี”
ตอนที่ 746
“พูดตามตรงนะ ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย” เจี๋ยจื้อจายยกมือขึ้นเกาศีรษะตัวเอง “ฉันไม่ได้สนใจว่านายจะรู้เรื่องอะไรมากแค่ไหน ฉันสนใจว่านายฆ่าเจ้านั่นได้ยังไงมากกว่า”
อยู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“มีแขกของนายมาหารึเปล่า?” เจี๋ยจื้อจายถาม
“รอเดี๋ยวนะ” จงหลิวชวนพูดทั้งที่ยังคงมองหน้าของเจี๋ยจื้อจายอยู่
แม้แต่ตอนที่เดินไปเปิดประตู จงหลิวชวนก็ยังเดินถอยหลังไป เขาไม่เคยสู้กับชายคนนี้ แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงของเขามามาก การระวังตัวเอาไว้ก่อนถือเป็นเรื่องดี
“ดูนายทำเข้าสิ” เจี๋ยจื้อจายพูดกลั้วหัวเราะ “นายระแวดระวังเกินไปแล้ว!”
“ใครน่ะ?” จงหลิวชวนตะโกนออกไป
“ผมเอง” เสียงของหวังเย้าดังมาจากด้านนอก
“หมอหวัง?” ทันทีที่ได้ยินเสียง จงหลิวชวนก็รีบเปิดประตูทันที ในเวลาเดียวกัน ความกดดันที่ต้องพบเจอกับศัตรูร้ายกาจก็จางหายไป
“มีอะไรงั้นเหรอ?” เจี๋ยจื้อจายที่นั่งดื่มชาอยู่รู้สึกแปลกใจขึ้นมา
การเปลี่ยนแปลงของจงหลิวชวนไม่สามารถหลุดรอดสายตาของเขาไปได้ อารมณ์ที่เปลี่ยนไปส่งผลกับร่างกาย บางคนก็ไม่ทันรู้ตัวถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
“เชียนเชิงมาที่นี่คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญสินะ!”
เมื่อบานประตูเปิดออก เจี๋ยจื้อจายก็ต้องประหลาดใจ “นายนั่นเอง?”
“ใช่น่ะสิ ผมตั้งใจมาที่นี่” หวังเย้าพูดพร้อมกับมองไปที่ชายที่นั่งอยู่ด้านใน
“เขาชื่อคุณหวังเหรอ?” เจี๋ยจื้อจายรู้สึกสับสันเล็กน้อย
“ใช่ มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“คุณหวัง คุณเป็นอาจารย์ของเขางั้นเหรอ?” เจี๋ยจื้อจายถาม
“ใช่ ถูกต้องแล้ว” หวังเย้าพูด
“คุณสอนอะไรเขาเหรอ?” เจี๋ยจื้อจายถาม
“แล้วทำไมผมจะต้องบอกคุณด้วย?” หวังเย้าถามพร้อมทั้งนั่งลงที่เก้าอี้
จงหลิวชวนเทชาให้เขา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ผ่อนคลายเสียทีเดียว แต่ร่างกายของเขาก็หายเกร็งไปมากกว่าก่อนหน้านี้
“มาพูดเรื่องของคุณกันดีกว่านะครับ” หวังเย้าพูด “คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอ?”
“ฉันก็แค่แวะมาหาเพื่อนเก่าก็เท่านั้น” เจี๋ยจื้อจายพูดพร้อมกับหันไปยิ้มให้จงหลิวชวน
“ให้ผมเรียกคุณว่าอะไรดีครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันแซ่เจี๋ย เจี๋ยจื้อจาย” เจี๋ยจื้อจายพูด
“อ้อ คุณเจี๋ย กลิ่นบนตัวคุณมันเข้มข้นมาก” หวังเย้าพูด “มันไม่เหมาะกับหมู่บ้านนี้ คุณควรจะกลับไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่านะ”
“กลิ่นบนตัวฉันเข้มข้นก็จริง แต่กลิ่นบนตัวเขาแย่กว่าฉันซะอีกนะ” เจี๋ยจื้อจายพูด แล้วชี้ไปที่จงหลิวชวน
เขาคิดกับตัวเอง ชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถอะไรกันแน่ ถึงขนาดทำให้จงหลิวชวนเชื่อใจเขาได้มากขนาดนี้? หรือมันจะเกี่ยวข้องกับการตายของไอ้บ้านั่น?
ยิ่งเขาคิดมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเข้าเค้ามากเท่านั้น
“กลิ่นบนตัวเขาจางลงมาก แลถมเขายังหยุดทำเรื่องพวกนั้นแล้วด้วย” หวังเย้าพูดพร้อมกับยื่นถ้วยชาให้กับเจี๋ยจื้อจายอย่างใจเย็น “เชิญดื่มชาครับ”
“ขอบใจนะ” เจี๋ยจื้อจายพูด
“ดื่มชาถ้วยนี้หมอ ก็ไปจากที่นี่ซะ แล้วก็อย่าได้กลับมาอีก” หวังเย้าพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉย
“เฮ้ ฉันออกจะชอบที่นี่มากอยู่นะ” เจี๋ยจื้อจายพูด “ฉันเพิ่งจะถามเขาไปเอง ว่ามีบ้านปล่อยขายไหม ฉันอยากจะซื้อเอาไว้สักหลังน่ะ”
เขายังคงไม่ค่อยเข้าใจชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขามากนัก เจี๋ยจื้อจายคิด เขาจะรู้ได้ยังไง ถ้าหากว่าฉันแกล้งทำ? เขาอายุยังน้อย อายุแค่นี้จะมีความสามารถอะไรได้?
อยู่ๆหวังเย้าก็ยกมือขึ้น จากนั้นก็ผลักออกไปกลางอากาศ ทำให้เก้าอี้ที่เจี๋ยจื้อจายนั่งอยู่พังลง และเขาก็หล่นลงไปนั่งตัวเกร็งอยู่ที่พื้น
เจี๋ยจื้อจายรู้สึกได้ถึงพลังที่บีบคั้นรอบด้าน โดยเฉพาะเหนือศีรษะของเขา เขาไม่สามารถต้านทานมันได้ และไม่รู้ว่าควรจะต่อต้านมันได้ยังไง ร่างทั้งร่างของเขาบีบรัดเข้าหากัน เขาไม่สามารขยับเขยื้อนได้เลย แม้แต่จะหายใจก็ยังลำบาก
“เขาทำได้ยังไงกัน? หรือว่าจะเป็นพลังเหนือธรรมชาติ?” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป “ไม่แปลกใจเลยที่เขากล้าพูดแบบนั้นออกมา และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไอ้บ้านั่นจะต้องมาตายอยู่ที่นี่ มิน่า จงหลิวชวนถึงได้เลือกอยู่ที่แห่งนี้ นายรู้ว่ามีอันตรายอยู่รอบด้าน และรู้ทั้งรู้ว่าบริษัทจะสั่งให้คนอื่นมาหานาย แต่นายก็ไม่คิดจะหนีไปไหน ทั้งหมดเป็นเพราะคนคนนี้ใช่ไหม? นายกำลังเรียนทักษะแบบนี้จากเขาอยู่งั้นเหรอ?”
“ถ้าคุณอยากจะอยู่ที่นี่ต่อก็ตามสบาย” หวังเย้าพูด
เขาตบไปตามจุดต่างๆบนร่างกายของเจี๋ยจื้อจาย ทำให้พลังกายของเขาหดหายไปจนไม่มีเหลือ
“หลิวชวน ผมจะปล่อยให้คุณเป็นคนจัดการเขาเองนะ” หวังเย้าพูด “มีบ้านข้างๆที่ไม่มีคนอยู่”
“เข้าใจแล้วครับ หมอ” จงหลิวชวนพูด
หลังจากจบการสนทนา จงหลิวชวนก็แบกเจี๋ยจื้อจายไปที่บ้านอีกหลัง และจับเขามัดเอาไว้ ในเวลาเดียวกัน เขาก็จัดการถอดทุกอย่างออกจากร่างกายของเจี๋ยจื้อจาย
“บริษัทรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่” เจี๋ยจื้อจายพูด
จงหลิวชวนหยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้น เขาก็ลงมือต่อ
“หมู่บ้านกลางเขาแบบนี้ก็ดีไม่น้อยเลยนะ” เจี๋ยจื้อจายพูด “ครูของนายคนนี้ฝีมือไม่เบาเลย แต่ถึงเขาจะเก่งยังไง เขาก็แค่คนคนเดียว มดฝูงใหญ่ก็สามารถกัดช้างตายทั้งตัวได้ นายก็รู้นี่”
“นายอยากจะพูดอะไร?” จงหลิวชวนถาม
“ปล่อยฉันไป” เจี๋ยจื้อจายพูด “บริษัทจะไม่ส่งคนมาที่นี่อีก”
“นายคิดว่า ฉันจะเชื่อนายงั้นเหรอ?” จงหลิวชวนมัดเขาเอาไว้แน่น
“ฉันรู้สึกแย่นะ ที่เห็นว่านายต้องมาอยู่ที่นี่น่ะ” เจี๋ยจื้อจายพูด
มันเป็นค่ำคืนที่ยาวนานสำหรับเจี๋ยจื้อจาย
“เฮ้อ หมู่บ้านนี้เงียบจริงๆ” เจี๋ยจื้อจายพึมพำอยู่บนเตียง
เขาพยายามทำทุกทางแล้ว แต่เขาก็ยังคงไร้เรี่ยวแรง และถึงจงหลิวชวนจะไม่มัดมือมัดเท้าเขาเอาไว้ เขาก็คงจะหนีไปไหนไม่ได้อยู่ดี
บนเนินเขาหนานชาน หวังเย้าค้นพบยาใหม่ๆมากมาย ช่วงหลังมานี้ เขารู้สึกว่า เขาไม่ควรผลิตยาเพียงเพื่อรักษาคนเท่านั้น แต่ควรจะทำยาที่ช่วยให้สุขภาพของคนดีขึ้นด้วย เขายังอยากทำยาที่มีผลลัพธ์พิเศษออกมาด้วย อย่างเช่น ยาพิษ เป็นต้น
มันก็แค่การทดลองเท่านั้น หวังเย้ายิ้มกับความคิดของเขาในตอนกลางดึก ก่อนที่แสงไฟภายในกระท่อมจะดับลง
เช้าวันถัดมา พระอาทิตย์ลอยขึ้นสูงแต่เช้าตรู่ มันเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวอีกวันหนึ่ง
“เรามาคุยกันดีกว่านะ” เจี๋ยจื้อจายพูดกับจงหลิวชวนที่กำลังเอาน้ำให้เขาดื่ม
“นายอยากจะคุยอะไร?” จงหลิวชวนถาม
“นายไปถามครูของนายให้ทีสิ ว่าฉันต้องทำยังไงเขาถึงจะยอมปล่อยฉันไป” เจี๋ยจื้อจายพูด
“อืม เดี๋ยวเช้านี้ฉันจะลองไปถามเขาให้” จงหลิวชวนพูด “ตอนนี้ก็กินข้าวได้แล้ว”
หลังจากผ่านไปหนึ่งคืน ร่างกายของเขาก็ยังคงไร้เรี่ยวแรง รางกับว่านี่ไม่ใช่ร่างกายของเขา เพราะเขาไม่สามารถควบคุมส่วนไหนได้เลย
“ขอบคุณ” เจี๋ยจื้อจายพูด
“นายถือว่ามองโลกในแง่ดีมากเลยนะ” จงหลิวชวนพูด
“แล้วจะให้ฉันทำอะไรได้ล่ะ?” เจี๋ยจื้อจายพูด “ที่ครูของนายทำกับฉันมันคืออะไรเหรอ? มันคือพลังเหนือธรรมชาติหรือพลังอะไรกันแน่?”
“กังฟู” จงหลิวชวนตอบ
“อะไรนะ? กังฟูทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?” เจี๋ยจื้อจายเชื่อไม่ลง
“ฉันพูดเรื่องจริง” จงหลิวชวนพูด
ตอนสาย เขาก็ไปหาหวังเย้าและถามถึงเรื่องของเจี๋ยจื้อจาย
“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกนะครับ” หวังเย้าพูด “ผมยังต้องการตัวเขาอยู่!”
“โอเค” ในเมื่อหวังเย้าต้องการตัวเจี๋ยจื้อจาย จงหลิวชวนก็มีหน้าที่ที่จะต้องคอยเฝ้าเขาเอาไว้
เมื่อไม่มีคนไข้แล้ว หวังเย้าก็ใช้เวลาไปกับการคิดเรื่องการผลิตยาตัวใหม่ ต้นเซียนชิวหลัวน่าจะใช้ได้
ดอกของมันมีพิษร้าย หลังจากที่สูดดมเข้าไป ก็จะมีอาการอ่อนแรงและอาจจะถึงขั้นเห็นภาพหลอน มันสามารถนำมาทำยาได้หลายชนิดและถูกนำมาใช้ในการทดลองอย่างแพร่หลาย
เมื่อมีคนไข้เดินเข้ามาในคลินิก เขาก็วางความคิดนั้นลงและจดจ่อกับการรักษา
…
ไกลออกไปหลายพันไมล์…
“ยังมีทางอื่นอีกไหมคะ คุณอา?” เธอมองไปสภาพของลูกชาย ที่ผ่ายผอมลงไปทุกวันที่ใจที่เจ็บปวด
เธอเดินทางไปตามโรงพยาบาลต่างๆในปักกิ่ง รวมทั้งเชิญหมอมาจากทั่วสารทิศ พวกเขาล้วนแล้วแต่พูดว่าไม่มีทางรักษาได้
“อาขอคิดดูก่อนนะ” หลี่เชิงหรงพูด
เขารู้ว่า ทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งก็คือหมอหนุ่มที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านกลางเขา ได้ถูกสองแม่ลูกคู่นี้ทำลายโอกาสลงไปแล้ว
“ทั้งหมดเป็นความผิดของตระกูลซุน!” อาการป่วยของโฮ่วชื่อต๋า ทำให้แม่ของเขาโมโหคนตระกูลซุนที่อยู่เมืองเต๋าอย่างมาก
เธอไม่สนว่าอาการป่วยของลูกชายเธอเป็นฝีมือของพวกเขาหรือไม่ก็ตาม เธอก็เกลียดพวกเขาอยู่ดี ความเกลียดชังนี้ไม่มีทางลดลง เพราะสำหรับเธอ มันคือสิ่งที่มีไว้สำหรับการขับเคลื่อน
“ลูกของฉันป่วยอยู่แท้ๆ แต่ฉันกลับทำให้เขาดีขึ้นไม่ได้เลยสักนิด!” เมื่อเห็นสภาพของลูกชายเธอ เธอก็แทบจะเสียสติ
“แม่แน่ใจเหรอครับ?” ลูกชายคนโตถาม
เขามีความหนักแน่นมากกว่า ซึ่งล้วนมาจากการที่เขาได้ทำงานอยู่ในกระทรวงหลายปี อำนาจชื่อเสียงที่สั่งสมมาของครอบครัวก็เป็นส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งก็คือความพยายามของเขาเอง ถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็คงจะกลายเป็นพวกไม่เอาไหนไปนานแล้ว
ตอนที่ 747
“เรื่องนี่มันแน่อยู่แล้ว ที่น้องชายของลูกชายต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ นอกจากฝีมือของคนพวกนั้นแล้วจะเป็นใครไปได้อีก?” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ผมขอคิดดูก่อนนะครับ” ลูกชายของเธอพูด
ตระกูลซุนเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำธุรกิจในระดับนั้น แต่พวกเขายังมีเรื่องของความสัมพันธ์และเส้นสายที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนอยู่ด้วย ซึ่งไม่สามารถพูดอธิบายจบในประโยคเดียวได้ ก่อนหน้านี้ เขาเคยคิดว่า พวกเขาก้าวร้าวเกินไป ถึงระหว่างสองตระกูลจะมีความขัดแย้งกันอยู่ แต่ตระกูลโฮ่วก็ถือได้ว่ามีความทะเยอทะยานและเหนือชั้นกว่า
หลังเดินออกมาจากห้อง เขาก็ต้องถอนหายออกมา เรื่องนี้เขาคงต้องเอาไปปรึกษากับพ่อของเขาก่อน มันคือความขัดแย้งระหว่างสองตระกูล ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีสำหรับทั้งสองฝ่าย ใครจะรับประกันได้ว่า อีกฝ่ายจะไม่ได้ซ่อนอาวุธลับอะไรเอาไว้?
ถ้าเสือสองตัวต่อสู้กัน ต้องมีหนึ่งในนั้นที่เจ็บหนัก และอาจจะเจ็บหนักกันทั้งคู่ก็เป็นได้ คนที่จะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ก็คือมือที่สาม บางที เบื้องหลังความขัดแย้งของสองตระกูลอาจจะมีมือมืดที่คาดไม่ถึงคอยกวนเรื่องให้ขุ่นอยู่ก็เป็นได้
…
ภายในหมู่บ้านกลางเขา ครอบครัวของหวังเย้ากำลังทานอาหารเย็นและดูข่าวพยากรณ์อากาศด้วยกันอยู่
การพยากรณ์อากาศแสดงให้เห็นว่า กำลังจะมีพายุใต้ฝุ่นพาดผ่านจังหวัดฉี ในพื้นที่บริเวณนี้จะมีทั้งลมฝน ฟ้าผ่าและสภาพอากาศที่เลวร้าย
“ต้นไม้ที่ลูกปลูกจะไม่เป็นอะไรเหรอ?” จางซิวหยิงถาม
“น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะครับ” หวังเย้าพูด
ถึงมีจะมีลมแรงพัดผ่าน แต่ก็มาแค่ทางทิศใต้ทิศเดียวเท่านั้น มันจึงไม่ส่งผลกับจุดสำคัญของต้นไม้เหล่านั้น เมื่อลมพายุพัดผ่านตัวจังหวัดมาแล้ว กำลังลมก็จะอ่อนลงไปด้วย แถมที่ยอดเขาก็ยังมีค่ายกลที่ค่อยปกป้องเนินเขาอยู่
เช้าตรู่ของอีกวัน เมี่ยวซานติงเดินทางมาถึงหมู่บ้านพร้อมกับแบบแผนและไปพบกับหวังเย้า
หลังจากที่หวังเย้าได้ฟังคำอธิบายของเขาแล้ว หวังเย้าก็ใช้ความคิดพิจารณาอย่างระมัดระวัง เมี่ยวซานติงต้องการจะปรับเปลี่ยนหยินหยางและเปลี่ยนแปลงฮวงจุ้ยของพื้นที่บริเวณนั้นไปโดยสิ้นเชิง โดยที่เขาจะใช้ดิน, หิน, ต้นไม้, และสระน้ำสำหรับการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้
“คุณเอาน้ำไว้ตรงนี้ มันจะไม่ทำให้พิษแพร่กระจายออกไปเหรอครับ?” หวังเย้าชี้ไปที่จุดหนึ่งในแผ่นที่
“ผมคิดเรื่องนั้นไว้แล้ว” เมี่ยวซานติงพูด “เรื่องนี้เป็นไปได้ ครั้งก่อน คุณได้บอกเอาไว้ว่า จุดที่กระจายพิษถูกปิดกั้นเอาไว้แล้ว ดังนั้น น้ำที่ไหลก็จะไหลผ่านไปทางน้ำแร่บนเนินเขาหนานชาน ก่อนที่จะไหลผ่านภูเขาและลงไปถึงแม่น้ำในหมู่บ้าน ถึงจุดนี้ พิษก็คงจะเจือจางลงไปเยอะแล้ว”
“ผมไม่รับประกันนะครับ ว่าจุดที่มีพิษจะปิดกั้นเอาไว้ได้ทั้งหมด” หวังเย้าพูด “ส่วนเรื่องที่จะให้น้ำไหลผ่านไปที่จุดอื่นนั้น เราคงต้องใช้ความระมัดระวังมาก”
แมลงส่วนใหญ่ถูกกำจัดไปแล้ว แต่มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่า มีแมลงหนึ่งหรือสองตัวที่สามารถหนีรอดไปได้ หวังเย้าไม่สามารถรับประกันได้ว่า ทุกอย่างจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น เรื่องนี้จึงค่อนข้างเสี่ยง ถ้าหากมีความเสี่ยงอยู่ มันก็ไม่สามารถนำมาใช้งานจริงได้
“ไม่ใช่ว่า แมลงพวกนั้นกลัวน้ำหรอกเหรอครับ?” เมี่ยวซานติงถาม
“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด
ในระหว่างการทดลองของเขานั้น เมื่อถูกนำไปแช่ไว้ในน้ำ พวกเขาก็จะเคลื่อนตัวหนีอย่างรวดเร็ว
“ถ้าวิธีนี้ไม่ได้ผล เราก็ใช้อีกวิธีหนึ่งก็ได้” เมี่ยวซานติงรีบพูดถึงวิธีการที่สองที่เขาคิดขึ้นมา
ความแตกต่างระหว่างแผนแรกกับแผนที่สองก็คือ มันไม่มีเรื่องของน้ำเข้ามาเกี่ยว แต่จะมีการเพิ่มต้นไม้ ซึ่งจะใช้เพื่อปิดทางลม
“ครั้งก่อน ตอนที่ผมขึ้นไปบนเนินเขาซีชาน ผมรู้สึกว่า ลมตรงจุดนี้พัดแรงมาก” เมี่ยวซานติงชี้ไปตรงจุดหนี่งบนแผนที่
“ใช่ครับ ตรงนี้เป็นช่องที่ลมผ่าน” หวังเย้าพูด
เขาเติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านนี้ ดังนั้น เขาจึงรู้ในเรื่องที่คนนอกไม่รู้ในหลายๆเรื่อง มีสถานที่หนึ่งบนเนินเขาทางทิศตะวันตกที่จะมีลมแรงตลอดทั้งปี จนกลายเป็นช่องลมตามธรรมชาติในเวลาต่อมา
สายลมนั้นเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น และโลกใบนี้ก็กว้างใหญ่ ความคิดของหวังเย้าลอยไปไกล
หลังจากที่คิดอยู่สักพัก เขาก็พูดขึ้นมาว่า “คุณลองวิธีนี้ดูก็ได้ครับ”
“โอเค งั้นเรามาลองกัน” เมี่ยวซานติงแอบถอนหายใจออกมา
“คุณบอกมาได้เลยว่าต้องใช้ต้นไม้กี่ต้น แล้วผมจะติดต่อคนขายเอง” หวังเย้าพูด
“ผมยังไม่ได้คำนวณเลย” เมี่ยวซานติงพูด “แต่มันจะดีที่สุด ถ้าปลูกไปด้วย แล้วคำนวณไปด้วย”
จากนั้น หวังเย้าก็โทรไปหาหลี่ชื่อหยูเพื่อสั่งซื้อต้นไม้
“เอาเพิ่มอีกเหรอครับ?” หลี่ชื่อหยูประหลาดใจ
หวังเย้าถือเป็นลูกค้าชั้นดีที่เขาชื่นชอบอย่างมาก ภูเขาทางทิศใต้ก็มีต้นไม้ปลูกจนเต็มแล้ว เขาคิดไม่ออกจริงๆว่า หวังเย้าจะรีบสั่งต้นไม้เพิ่มไปทำอะไร ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจ แต่เขาก็ลงมือเตรียมสินค้าในทันที
…
ไกลออกไปหลายพันไมล์ มีแขกคนหนึ่งเดินทางมาที่บ้านของตระกูลซู
“ฉันขอฝากเธอด้วยนะ” ผู้หญิงคนนั้นพูด
“ฉันคงพูดได้แค่ว่า การขอให้เขาช่วยจะได้ผลดีมาก แต่เขาก็มีกฎเกณฑ์แปลกประหลาดอยู่สักหน่อยนะคะ” ซงรุ่ยปิงพูด
แขกที่มาหาในครั้งนี้ ทำให้เธอแปลกใจมาก ถึงแม้ทั้งสองจะอาศัยอยู่ในปักกิ่งเหมือนกัน แต่การติดต่องานหรือไม่ได้อยู่สาขาเดียวกัน ทำให้คนทั้งสองพบเจอกับน้อยครั้ง แต่แล้วอยู่ๆ คุณผู้หญิงของตระกูลโฮ่วก็เดินทางมาที่บ้านของตระกูลซง พร้อมกับจุดประสงค์ที่คาดไม่ถึง
เธอมาเพราะลูกชายของเธอที่ป่วยด้วยโรคประหลาด เธอเสาะหาการแพทย์ไปทั่วทุกสารทิศ เธอได้รู้ว่ามา หวังเย้านั้นมีฝีมือการรักษาที่เก่งกาจ ดังนั้น เธอจึงมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากซงรุ่ยปิง
หลังจากดื่มชาไปได้หนึ่งถ้วยและพูดคุยกันสองสามประโยค แม่ของโฮ่วชื่อต๋าก็ขอตัวกลับ
หาหมอมารักษาอย่างนั้นเหรอ? ซงรุ่ยปิงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง
ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นมาหาเธอถึงที่บ้าน เธอก็คงต้องช่วย ส่วนหวังเย้าผู้ที่อาจจะกลายเป็นลูกเขยในอนาคตของเธอนั้น แค่คิดเธอก็รู้สึกอับจนหนทางขึ้นมาไม่ได้
กฎที่เขาตั้งขึ้นมานั้นแปลกประหลาด จากการที่ได้คุยกับแม่ของโฮ่วชื่อต๋าก่อนหน้านี้ ซงรุ่ยปิงก็มั่นใจว่า พวกเขาได้ไปพบกับหวังเย้ามาก่อนแล้ว เธอไม่รู้ว่า ทำไมพวกเขาถึงได้ถูกปฏิเสธมา แต่ถ้าเกิดความพอใจหยั่งรากลึกลงไปแล้ว มันคงจะเป็นเรื่องยากที่เธอจะเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นได้
ที่มากไปกว่านั้นก็คือ เธอได้รู้เรื่องของโฮ่วชื่อต๋ามาพอสมควร เขาเป็นคนเสเพลที่ใช้ประโยชน์จากอำนาจของทางบ้านไปทำเรื่องเลวร้ายมากมาย
“นี่มันยุ่งยากจริงๆ” ซงรุ่ยปิงพูดพร้อมกับถอนหายใจ
“มีเรื่องอะไรเหรอคะ คุณแม่?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ลูกกลับมาแล้ว” เมื่อเห็นว่าซูเสี่ยวซวีกลับมาแล้ว ซงรุ่ยปิงก็ปัดปัญหาต่างๆทิ้งไปในทันที ในความคิดของเธอนั้น ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าลูกสาวของเธอแล้ว “ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะจ๊ะ?”
“คอสที่ลงเรียนจบแล้วค่ะ สองวันนี้หนูก็เลยว่าง” ซูเสี่ยวซวีตอบ
“นั่งลง แล้วดื่มน้ำก่อนสิจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด “ข้างนอกร้อนไหมจ๊ะ?”
“ไม่ร้อนค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม
สภาพอากาศในเมืองหลวงค่อนข้างร้อน เมื่อไม่กี่วันก่อนมีฝนตกลงมา จากนั้นอากาศก็เริ่มร้อนขึ้น และทำให้ความชื่นในอากาศเพิ่มสูงตามไปด้วย การเดินอยู่ด้านนอกก็ไม่ต่างจากการนั่งอยู่ในซาวน่า สภาพอากาศแบบนี้มักจะทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งต่างจากเวลาที่อากาศร้อนและแห้ง ความชื่นที่สูงทำให้คนรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยไอน้ำ
การฝึกกังฟูทำให้ซูเสี่ยวซวีต่างออกไป เธอเปลี่ยนจากเด็กสาวร่างกายอ่อนแอใกล้ตาย ไปสู่การเป็นเด็กสาวที่ร่างกายแข็งแรงในระดับเดียวกับคนปกติทั่วไป ถึงแม้เธอจะยังไปไม่ถึงระดับเดียวกับหวังเย้า แต่สภาพอากาศที่ร้อนแบบนี้ก็ไม่ได้ส่งผลต่อตัวเธอเลย
“ถ้าอย่างนั้น สองสามวันนี้ลูกคิดจะทำอะไรจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“หนูอยากจะไปหาหมอหวังค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด เธอไม่ได้เจอหน้าหวังเย้ามาพักหนึ่งแล้ว และเธอก็คิดถึงเขามาก
“ลูกจะไปทำอะไรที่นั่นกัน?” ซงรุ่ยปิงถาม
การที่ผู้ชายไล่ตามหญิงสาวถือเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งต่างจากยัยเด็กโง่ตรงหน้าเธอที่ไล่ตามผู้ชายแทน
“หนูก็ยังไม่แน่ใจหรอกค่ะ แต่หนูจะรีบขึ้นเครื่องและไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุดเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด
“จ๊ะ พาชูเหลียนไปกับลูกด้วยล่ะ” ซงรุ่ยปิงคงเป็นกังวล ถ้าลูกของเธอต้องเดินทางไปที่นั่นคนเดียว
“ค่ะ คุณแม่” ซูเสี่ยวซวีพูด
“แล้วลูกจะไปตอนไหนจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“พรุ่งนี้บ่ายค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “หนูเช็คดูแล้ว ว่าบ่ายนี้มีไฟลท์ไปเมืองเต๋าอยู่”
“จ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด “เดี๋ยวแม่จะไปเตรียมข้าวเที่ยงให้ลูกกินนะจ๊ะ ลูกผอมลงไปนิดหน่อยแล้วนะเนี่ย”
“หนูไม่ได้ผอมลงสักหน่อย” ซูเสี่ยวซวีพูด “แล้วหนูก็อ้วนมากไม่ได้ด้วย เด็กผู้หญิงอ้วนไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะคะ”
“จริงด้วย แม่มีเรื่องจะพูดกับลูกเรื่องหนึ่ง” ซงรุ่ยปิงบอกซูเสี่ยวซวีถึงเรื่องที่มีแขกมาเยี่ยมบ้านในวันนี้
“หนูจะลองถามหมอหวังดูนะคะ แต่ชื่อเสียงของโฮ่วชื่อต๋าไม่ได้ดีเลยสักนิดเดียว” ซูเสี่ยวซวีพูด เธอไม่ใช่เด็กเรียนที่เอาแต่สนใจอ่านหนังสือเรียนอยู่ที่มหาลัยอย่างเดียว แต่เธอยังตามเรื่องข่าวซุบซิบอยู่บ้าง
“ลูกไม่จำเป็นต้องจริงจังกับเรื่องนี้มากหรอกนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด “ถ้าเขาไม่อยากรักษาพวกเขา ก็ตามนั้น แม่ว่า พวกเขาน่าจะไปที่นั่นมาแล้ว แต่โดนเขาปฏิเสธมา”
หลังจากที่คุยกับแม่ของเธออีกเล็กน้อย ซูเสี่ยวซวีก็เดินกลับขึ้นไปบนห้องและโทรหาหวังเย้า
“เสี่ยวซวี เธอไม่ไปมหาลัยเหรอ?” หวังเย้าถามน้ำเสียงอ่อนโยน หลังจากได้รับสายจากเธอ เขาก็หยุดงานในมือทันที
“ไม่ค่ะ คลาสวันนี้หมดแล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูด “คุณยุ่งอยู่รึเปล่าคะ?”
“อืม ตอนนีผมอยู่ที่คลินิก” หวังเย้าพูด
“สองสามวันนี้ คุณไม่ได้เข้าไปในเมืองหรอกเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมเพิ่งไปที่หงโจวมา แต่ตอนนี้ก็อยู่ที่บ้านได้พักหนึ่งแล้ว” หวังเย้าพูด
“หงโจว? คุณไปทำอะไรที่นั่นเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ไปจัดการกับปีศาจน่ะ” หวังเย้าพูด
“จริงเหรอคะ?” เมื่อได้ยินคำตอบของเขา ดวงตาของซูเสี่ยวซวีก็เป็นประกายขึ้นมา
“จริงสิ มันเป็นเรื่องจริงแน่นอน” หวังเย้าพูด
“ถ้ามีเวลา คุณช่วยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฉันฟังจะได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
เธอไม่ได้บอกหวังเย้าว่า พรุ่งนี้เธอจะเดินทางไปหาเขา เธออยากจะทำให้เขาแปลกใจเล่น
หลังจากที่คุยกันได้สักพัก ทั้งสองก็วางสาย หวังเย้ากลับไปรักษาคนไข้ของเขาต่อ
เย็นของอีกวันหนึ่ง ในตอนที่หวังเย้าอยู่ที่บ้านของเขานั้น เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใครครับ?” หลังจากที่เสียงเคาะประตูหยุดลง ก็มีคนเดินเข้ามา
หวังเย้าเดินออกไปเปิดประตู จากนั้นก็มีกลิ่นหอมที่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูก เมื่อเปิดประตูออก เขาก็เห็นหญิงสาวที่งดงามราวภาพวาดเดินตรงเข้ามา
“เสี่ยวซวี ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?” หวังเย้ามีความสุขมาก
“ฉันไม่มีคลาสเรียนสองวันค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “แล้วฉันก็อยากจะฟังเรื่องที่คุณจัดการกับปีศาจที่หงโจวด้วย”
748 การพบเจอนั้นง่ายกว่าการบอกลา
“เข้ามาก่อนสิ” หวังเย้าพูด “เธอมาคนเดียวเหรอ?”
“เปล่าค่ะ ฉันมากับน้าเหลียน แต่เธอแยกตัวไปทำความสะอาดบ้านก่อนแล้วค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบ
พ่อแม่ของหวังเย้าต่างตื่นเต้นดีใจเมื่อได้เห็นซูเสี่ยวซวี จางซิวหยิงยุ่งอยู่กับการชงชาและล้างผลไม้ เธอถามคำถามซูเสี่ยวซวีไม่หยุด พวกเขาต่างใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข
เมื่อถึงเวลาประมาณสามทุ่มกว่า หวังเย้าก็พูดขึ้นมาว่า “พ่อ แม่ เสี่ยวซวีนั่งเครื่องมาไกลคงจะเหนื่อยมากแล้ว เราให้เธอกลับไปพักก่อนดีไหมครับ? ไว้ค่อยคุยกันใหม่พรุ่งนี้”
“ได้จ๊ะ หนูพักผ่อนให้เยอะๆนะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูดด้วยความเป็นห่วง “ที่บ้านของหนูร้อนรึเปล่าจ๊ะ?”
“ไม่ร้อนเลยค่ะ ครั้งที่แล้ว หนูเอาแอร์มาติดไว้แล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ดีจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
“เสี่ยวเย้า ลูกเดินไปส่งเสี่ยวซวีกลับบ้านด้วยล่ะ” หวังเฟิงฮวาพูด
“ครับ” หวังเย้ารับปากอย่างยินดี
ค่ำคืนภายในหมู่บ้านเงียบสงัด แม้จะเป็นช่วงหัวค่ำ แต่ก็ไม่มีคนเดินอยู่ตามท้องถนนเลย ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็เข้านอนกันแล้ว
หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีเดินเคียงคู่กันไป พวกเขาเพลิดเพลินไปกับสายลมที่พัดมาจากภูเขา
“เธอจะอยู่ที่นี่อีกสองสมวันเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อนแล้วเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ยังหรอกค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบ “อีกหลายวันกว่าจะถึงช่วงปิดเทอมฤดูร้อน”
เธอต้องเรียนเสริมสำหรับช่วงเวลาที่เธอได้ลาป่วยไป มหาลัยปักกิ่งที่เธอเรียนอยู่นั้นมีการสอนที่เข้มข้น ดังนั้น เธอจึงต้องเข้าเรียนหลายวิชาเพื่อตามคนอื่นๆให้ทัน
“ถ้าถึงช่วงปิดเทอมเมื่อไหร่ บอกผมด้วยนะ” หวังเย้าพูด
หมู่บ้านมีขนาดไม่ใหญ่นัก และบ้านที่ซูเสี่ยวซวีพักอยู่ที่ตั้งอยู่ห่างจากบ้านของหวังเย้าไปเพียงค่ำไม่กี่ซอยเท่านั้น
“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” ชูเหลียนเดินออกมาด้านนอกหลังจากที่ได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน
“สวัสดีครับ น้าเหลียน” หวังเย้าพูด
“เข้ามานั่งข้างในก่อนสิคะ” ชูเหลียนพูด
เพราะมีฝนตกเมื่อไม่กี่วันก่อน อากาศภายในบ้านจึงค่อนข้างชื้น และมีกลิ่นไม่ค่อยดีนัก
“ที่นี่ดูเหมือนจะชื้นอยู่สักหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด
“ค่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็เปิดแอร์เอาไว้แล้ว เดี๋ยวก็ดีขึ้นเองค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม
สภาพที่อยู่อาศัยของที่นี่เทียบกับบ้านของซูเสี่ยวซวีที่ปักกิ่งไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ไม่สนใจ เพราะหมู่บ้านแห่งนี้มีบางอย่างที่ปักกิ่งไม่มี และที่สำคัญก็คือ หวังเย้าอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้ด้วย
“พรุ่งนี้ เรามาแต่งบ้านของเธอกันดีไหม?” หวังเย้าถาม
มันเป็นเรื่องที่อยู่ๆหวังเย้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า เขาสามารถทำให้สภาพแวดล้อมในบริเวณบ้านของซูเสี่ยวซวีคล้ายกับที่คลินิกของเขาได้ เขาสามารถติดตั้งค่ายกลง่ายๆเพื่อให้อากาศสดชื่นขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
ชูเหลียนนั่งเงียบๆอยู่ข้างพวกเขา เธอไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับการสนทนาในครั้งนี้เลย
หลังจากที่คุยกับซูเสี่ยวซวีได้ไม่นาน หวังเย้าก็กลับออกมาจากบ้านของเธอ เขาไม่ได้กลับไปที่บ้าน แต่เดินตรงขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเลย
อยู่ๆอากาศก็เปลี่ยนแปลงไปในตอนกลางดึก พายุฝนก่อตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อผ่านช่วงกลางดึกไป สายฝนก็เริ่มเทลงมาอย่างหนัก ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้นโดยฉับพลัน
บนเนินเขาหนานชานมีลมพัดแรงกว่าปกติ ใบไม้เสียดสีตามแรงลม
“ซานเซียน ฉันจะออกไปดูข้างนอกหน่อยนะ” หวังเย้าพูด
เขาลุกขึ้นและเดินออกไปด้านนอกกระท่อม เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของเจ้านาย ซานเซียนก็เดินออกมาจากบ้านสุนัขของมัน และเดินตามหวังเย้าไป
“นายอยู่ที่ยี่แหละ” หวังเย้าพูด
ทั้งลมทั้งฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุด สายลมพัดพาไปทั่วบริเวณ แต่ลมฝนกลับหยุดห่างจากหวังเย้าไปครึ่งเมตรไม่ขาดไม่เกิน เขาเดินอยู่ท่ามกลางพายุฝน แต่กลับไม่เปียกเลยสักนิด
เขาเพียงแค่กังวลเรื่องต้นไม้ที่เพิ่งปลูกได้ไม่นาน โดยเฉพาะต้นไม้ที่ไม่ได้ปลูกอยู่บนเนินเขาและไม่ได้อยู่ในขอบเขตของค่ายกล เขาเดินขึ้นไปบนเนินเขาตงชานที่มีลมพัดแรงกว่าเนินเขาหนานชาน โชคดีที่ต้นไม้แข็งแรงพอที่จะต้านแรงลมได้ หวังเย้าพยายามทำให้พวกมันยึดอยู่กับพื้นดินให้ได้มากที่สุด ต้นไม้เหล่านี้ไม่ได้มีใบขนาดใหญ่ ดังนั้น ใบไม่จึงหลุดลอยปลิวไปกับสายลมมากนัก
ต่อจากนั้น หวังเย้าก็เดินลงไปที่ตีนเขาของเนินเขาหนานชาน มันเป็นจุดที่ถูกเนินเขาโดยรอบปกป้องเอาไว้ ดังนั้น ด้านล่างนี้จึงมีลมพัดอ่อนกว่าจุดอื่น ต้นไม้ตรงจุดนี้ถูกปลูกเอาไว้นานแล้ว พวกมันจึงแข็งแรงกว่า สุดท้าย หวังเย้าได้เดินขึ้นไปดูต้นไม้บนเนินเขาซีชาน แต่ก็ไม่พบปัญหาใหญ่อะไร หลังจากที่วางใจลงแล้ว เขาก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน
ถึงต้นไม้ที่เขาปลูกจะไม่มีปัญหาอะไร แต่พืชผลที่ชาวบ้านปลูกกลับไม่ใช่ พืชไร่จำนวนมากถูกลมพัดปลิวไปไกล
เขาถอนหายใจ เขาไม่มีพลังพอที่จะควบคุมสภาพอากาศได้ การเกษตรล้วนต้องพึ่งพาสภาพอากาศที่เป็นใจ
ฝนตกต่อเนื่องไปตลอดทั้งคืน และเริ่มอ่อนแรงลงเมื่อถึงเวลาเช้า
หวังเย้าลงมาจากเนินเขาแต่เช้าตรู่ เขาต้องการใช้เวลากับซูเสี่ยวซวี ในช่วงที่เธออยู่ที่นี่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สองสามวันต่อจากนี้ เขาจะไม่เปิดทำการคลินิก ดังนั้น เขาจึงแจ้งคนไข้ไว้บนหน้าเวยป๋อของเขา
“โอ้โห แม่ทำอาหารไว้เยอะเลยนะเนี้ย” เมื่อกลับไปถึงที่บ้าน เขาก็พบว่าแม่ของเขาทำกับข้าวเอาไว้เต็มไปหมด
“เสี่ยวซวีไม่มากินข้าวเช้ากับเราเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม เธอตื่นแต่เช้าเพื่อทำอาหารเช้าให้กับว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคตของเธอ
“ไม่ครับ ฝนยังไม่หยุดตกเลย” หวังเย้าพูด
“งั้นก็ไม่เป็นไร กินข้าวกันเถอะ” จางซิวหยิงพูด
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ หวังเย้าก็มุ่งหน้าไปที่บ้านพักของซูเสี่ยวซวีในทันที
“หมอหวัง เราจะแต่งบ้านทั้งๆที่ฝนยังตกอยู่แบบนี้น่ะเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ถ้าอย่างนั้น เรามาวางแผนกันก่อนก็แล้วกัน” หวังเย้าพูด “เธออยากปลูกต้นไม้อะไรบ้าง?”
“ฉันชอบต้นไผ่, กล้วยไม้, ลิลลี่…” ซูเสี่ยวซวีเอ่ยชื่อต้นไม้ที่เธอชอบออกมา
“อืม” หวังเย้าเขียนชื่อต้นไม้ทั้งหมดลงไปบนกระดาษ และเริ่มร่างแบบไปด้วย
เขาได้ความรู้เรื่องการตกแต่งลานบ้านจากการตกแต่งคลินิกของเขาในครั้งก่อน เขาเขียนแบบที่เหมือนกับในคลินิกและทำการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เขาคิดจะปลูกต้นไม้ที่ซูเสี่ยวซวีชอบลงไปแทน
“ใกล้เสร็จแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด
เขาเขียนแบบลงไปอย่างง่ายๆ และเขียนคำบรรยายกำกับลงไปด้วย พร้อมกับอธิบายให้ซูเสี่ยวซวีฟัง
“มันคือค่ายกลเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยความสงสัย
“ก็ประมาณนั้น” หวังเย้าพูด
หลังจากที่ซื้อบ้านหลังนี้มา บริเวณลานบ้านก็มีการปูคอนกรีตเอาไว้แล้ว ดังนั้น คอนกรีตทั้งหมดจะต้องถูกรื้อออกไป เพื่อที่หวังเย้าจะสามารถปลูกต้นไม้และดอกไม้ลงไปได้ มันคงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเสร็จเรียบร้อย
“เธอคิดว่ายังไง? เธอชอบแบบนี้ไหม?” หวังเย้าถาม
“ชอบสิคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด เธอจะไม่ชอบแบบที่หวังเย้าเขียนเอาไว้ให้ได้ยังไง?
“เยี่ยม เธอเอากุญแจประตูบ้านให้ผมไว้ ถ้าว่างเมื่อไหร่ผมจะจัดการทำลานบ้านใหม่ให้” หวังเย้าพูด
“ได้ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีเอากุญแจบ้านให้หวังเย้าชุดหนึ่ง โดยที่เธอเตรียมไว้ให้เขาก่อนหน้านี้แล้ว “ทีนี้ คุณเล่าเรื่องปราบปีศาจให้ฉันฟังได้รึยังคะ?”
“ได้สิ” หวังเย้าพูด
ชูเหลียนชงชามาให้พวกเขาหนึ่งกา
หวังเย้าเล่าเรื่องการเดินทางไปหงโจวให้ซูเสี่ยวซวีอย่างละเอียด เธอและชูเหลียนต่างถูกดึงดูดด้วยเนื้อเรื่องที่พวกเธอได้ฟัง พวกเธอคิดไม่ถึงว่า จะมีภูตผีปีศาจอยู่บนโลกนี้จริงๆ เรื่องแปลกๆเหล่านี้มักจะมีให้ได้เห็นหรืออ่านจากในหนังกับนิยายมากกว่า เมื่อได้มาฟังเรื่องเล่าจากปากของหวังเย้า มันก็ราวกับไม่ใช่เรื่องจริง
“จริงสิ ผมมีรูปด้วยนะ” หวังเย้าพูด เขาหยิบมือถือขึ้นมาและเปิดรูปให้ซูเสี่ยวซวีกับชูเหลียนดูภาพของปีศาจ “นี่ก็คือปีศาจที่ผมว่า มันอยู่ข้างในสุสานเพื่อป้องกันไม่ให้คนเข้าไปด้านใน ยังมีการสลักวัชระเอาไว้ที่บานประตูเพื่อขังปีศาจเอาไว้ภายในด้วย”
มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้ว่า หวังเย้าได้ประสบพบเจออะไรมาบ้าง โดยที่ตัวเองไม่เคยได้เจอกับตัวเองมาก่อน
“งั้นก็แสดงว่า ผีมีจริงน่ะสิ!” ซูเสี่ยวซวียังไงประหลาดใจไม่หาย
“ใช่ อย่างน้อยๆผมก็ได้เห็นมาตนหนึ่ง” หวังเย้าพูด
ก่อนหน้าที่จะได้ไปเห็นปีศาจร้ายตัวนี้ หวังเย้าก็ไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้มาก่อนเช่นเดียวกัน มีสิ่งต่างๆมากมายที่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ และไม่ใช่อยู่เพียงแค่ในเรื่องเล่าเท่านั้น
“ไม่มีทาง” อยู่ๆชูเหลียนก็พูดขึ้นมา “พวกมันอันตรายมาก คุณไม่มีทางใช่สามัญสำนึกทั่วไปจัดการได้แน่”
คนเราสามารถใช้วิชากังฟูหรืออาวุธในการต่อสู้กับเหล่าร้ายได้ แต่การจะทำให้ภูติผียอมสยบหรือสลายหายไปได้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคิดถึง
“หนูก็แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง อย่าคิดมากเลยนะคะ น้าเหลียน” ซูเสี่ยวซวีพูด “หนูไม่คิดว่า ในชีวิตจริงจะมีภูตผีปีศาจมากมายขนาดนั้น แล้วตลอดทั้งชีวิตของหนูก็อาจจะไม่ได้เจอเลยสักครั้งก็ได้นี่คะ”
“น้าก็ได้แต่หวังว่า คุณหนูจะไม่ต้องเจอกับอะไรพวกนี้เลยตลอดทั้งชีวิต” ชูเหลียนพูด
ทั้งสามพูดคุยกันไปและดื่มชาไปด้วย ก่อนที่จะทันรู้ตัวก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว
“ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว” หวังเย้าพูด “ไปกินข้าวที่บ้านผมกันไหม? น้าเหลียนไปด้วยกันไหมครับ?”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ขอบคุณ” ชูเหลียนปฏิเสธคำเชิญทานอาหารที่บ้านหวังเย้าไปสองครั้งแล้ว และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง
“ไม่เป็นไรครับ น้าเหลียน” หวังเย้าพูด
“ตามสบายเลยนะคะ ฉันจะหาอะไรทานง่ายๆที่บ้านคนเดียว” ชูเหลียนพูด
จางชิวหยิงทำอาหารเที่ยงเอาไว้มากยิ่งกว่ามื้อเช้า อาหารมีทั้งหมด 16 จานสำหรับคนทั้งสี่
“โอ้โห! คุณป้าทำอาหารเอาไว้เยอะเลยนะคะเนี่ย!” ซูเสี่ยวซวีอุทาน
“ไม่ได้เยอะอะไรเลย มานั่งนี่สิจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
“อย่างดื่มอะไรหน่อยไหม?” หวังเย้าถาม
“อะไรก็ได้ค่ะ ฉันดื่มได้หมด” ซูเสี่ยวซวีพูด
“งั้นดื่มน้ำผลไม้ดีไหม?” หวังเย้าถาม
“ดีค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
จางซิวหยิงเติมอาหารใส่ในจานซูเสี่ยวซวีไม่หยุด
“ขอบคุณนะคะ คุณป้าจาง” ซูเสี่ยวซวีพูด
ด้านนอกยังคงมีฝนตกลงมาไม่ขาดสาย หลังจากจบมื้อเที่ยง ซูเสี่ยวซวีก็เดินออกจากบ้านของหวังเย้าไปพร้อมกับเขาและกางร่มไปด้วยกัน
“หมอหวังคะ เสื้อของคุณเปียกหมดแล้ว ขยับร่มไปทางคุณอีกหน่อยสิ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ผมไม่เป็นไร ฝนแค่นี้เอง” หวังเย้าตอบ “จริงสิ ผมคิดอะไรออกแล้ว”
เขาพับร่มเก็บและปลดปล่อยพลังฉีออกมาครอบตัวเขาและซูเสี่ยวซวีเอาไว้ ฝนยังคงตกลงมาพร้อมกับลมที่พัดแรง แต่ทั้งลมและฝนกลับถูกปิดกั้นเอาไว้ด้วยพลังฉีของหวังเย้า
“นี่มันวิเศษไปเลย!” ซูเสี่ยวซวีประหลาดอย่างที่สุด
“ผมก็แค่ปล่อยพลังฉีออกมาเท่านั้น ถ้าเธอฝึกไปเรื่อยๆก็จะทำแบบผมได้เอง” หวังเย้าพูด
พวกเขาเดินไปที่คลินิกของหวังเย้า และอยู่คุยกันด้านในนั้นตลอดทั้งบ่าย พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน, อนาคตของพวกเขา, อาชีพ, การใช้ชีวิต, ข่าวสาร, และเรื่องซุบซิบนินทา พวกเขาคุยทุกเรื่องที่คิดได้
“ฉันเกือบลืมถามไปเลย คุณแม่อยากให้ฉันถามคุณเรื่องรักษาคนไข้คนหนึ่งน่ะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ใครเหรอ?” หวังเย้าถาม
“เป็นพวกที่ถูกเลี้ยงตามใจจนเสียคนน่ะค่ะ เขามีชื่อว่า โฮ่วชื่อต๋า” ซูเสี่ยวซวีพูด
“เขาน่ะเหรอ?!” หวังเย้าประหลาดใจ เขาไม่คิดว่า บ้านของโฮ่วชื่อต๋าจะเข้าไปคุยกับแม่ของซูเสี่ยวซวีในเรื่องนี้ “ เขามันก็แค่สวะ แล้วที่เขาป่วยอยู่ก็เป็นฝีมือผมเอง”
“อะไรนะคะ?” ซูเสี่ยวซวีตกตะลึง
หวังเย้าเล่าเรื่องที่เขาเจอจากภายในบ้านพักของโฮ่วชื่อต๋าในเมืองเต๋าให้ซูเสี่ยวซวีฟัง
749 บินข้ามเขาไปพร้อมกับเธอ
“คุณเป็นคนทำให้เขาป่วยจริงๆน่ะเหรอคะ?” ดวงตาที่งดงามของซูเสี่ยวซวีกระพริบปริบๆ
“จริงสิ เป็นฝีมือของผมเอง” หวังเย้าพูด
“ฮาฮา สมควรแล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูดพร้อมกับปรบมืออย่างยินดี
“เธอคิดแบบนั้นจริงๆเหรอ?” หวังเย้าถามด้วยความแปลกใจ
“คุณทำถูกแล้วล่ะค่ะ” เธอตอบ
ความเห็นในบางเรื่องของซูเสี่ยวซวีนั้นออกจะเรียบง่ายอยู่บ้าง ขอแค่หวังเย้าคิดว่าเรื่องนั้นถูก เธอก็จะเห็นด้วยกับเขาในทุกๆเรื่อง บางครั้ง ความรักก็ทำให้บางคนโง่ลงได้
“การที่ผมไม่รักษาเขา จะไม่เป็นอะไรแน่นะ?” หวังเย้าถาม
ถ้าซูเสี่ยวซวีต้องการให้เขารักษาโฮ่วชื่อต๋า เขาก็จะทำแค่บรรเทาความเจ็บปวดให้เพียงเท่านั้น
“ค่ะ ไม่ต้องไปรักษาเขาหรอกค่ะ” เธอพูด
“เรามาพูดเรื่องอื่นกันดีกว่านะ” หวังเย้าพูด
เขาได้พูดถึงเรื่องสถานที่แห่งความตายทั้งสองแห่งบนเนินเขาซีชาน และเรื่องที่เมี่ยวซานติงวางแผนที่จะตั้งค่ายกลขึ้นที่นั่น
“โอ้โห สุดยอดไปเลย!” ซูเสี่ยวซวีอุทาน
“ใช่ ฉันจะไปพาเธอไปดูที่นั่นเอง” หวังเย้าพูด เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ฝนยังคงตกลงมาไม่หยุด “รอก่อนแล้วกัน อีกเดี๋ยวฝนก็หยุดตกแล้ว”
หลังจากผ่านไปได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า ฝนก็หยุดตก
“โอเค เราไปดูที่นั่นกันเถอะ” หวังเย้าพูด
ในตอนที่พวกเขากำลังจะเดินออกไปจากคลินิกนั้น ก็มีสามีภรรยาคู่หนึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมกับเด็กอายุ 5 ขวบอีกคน
“หมอหวัง ช่วยตรวจดูลูกชายของเราหน่อยได้ไหม?” ผู้เป็นแม่ถามด้วยความกังวล
ใบหน้าของเด็กน้อยซีดเผือด เขามีอาการหายใจถี่เร็ว หวังเย้าจึงตัดสินใจอยู่ที่คลินิกต่อเพื่อตรวจดูอาการของเด็ก
เมื่อเขาตรวจดูอาการของเด็กแล้ว เขาก็คิดในใจขึ้นมา แปลก!
เขาเอามือเปิดปากของเด็กดู มีกลิ่นเหม็นโชยออกมา ด้านในปากยังคงมีเศษอาหารหลงเหลืออยู่ เด็กอาจจะเพิ่งอาเจียนไป ที่สำคัญกว่านั้น หวังเย้ายังพบพยาธิขนาดเล็กอยู่ภายในปากของเด็กด้วย
เขาจับชีพจรของเด็กดู เขาค่อนข้างมั่นใจว่า ภายในร่างกายของเด็กมีแมลงพิษอยู่ และพวกมันก็ได้ล่วงล้ำเข้าสู่อวัยวะภายในแล้ว
“เขาท้องเสียไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ เขาท้องเสีย แล้วก็อ้วกด้วย” ผู้เป็นแม่ที่มีเหงื่อไหลซกพูด
“เขาป่วยมานานแค่ไหนแล้วครับ?” หวังเย้าถาม
“ได้สามวันแล้ว” แม่ของเด็กพูด
“คุณได้พาเขาไปโรงพยาบาลรึยังครับ?” หวังเย้าถาม
“พาไปแล้ว หมอบอกว่า เขามีพยาธิอยู่ในตัว” แม่เด็กพูด “หมอเลยจ่ายยาฆ่าพยาธิมาให้ แต่พอลูกชายของฉันกินยาเข้าไป เขาก็อ้วกออกมา แล้วยังท้องเสียหนักมากด้วย ร่างกายของเขาจะไม่ไหวอยู่แล้ว”
“เข้าใจแล้วครับ” หวังเย้าพูด
หมอตรวจพบพยาธิในร่างกายของเด็กเจอก็จริง แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามันมีอยู่มากเท่าไหร่ จำนวนยาที่ให้มาจึงไม่เหมาะสมกับการรักษา และไปกระตุ้นพยาธิเหล่านั้นให้สร้างความเสียหายต่อร่างกายมากขึ้นกว่าเดิม ร่างกายของเด็กนั้นเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่อยู่แล้ว ตอนนี้ อวัยวะภายในร่างกายของเขาจึงทำงานไม่เป็นระบบ
“ฟังนะครับ ผมจะจ่ายยาให้คุณสองตัว” หวังเย้าพูด “คุณต้องให้เขากินยาตามที่ให้ไป แล้วเขาก็จะดีขึ้นภายในสามวัน จากนั้นก็พาเขามาหาผมอีกรอบ”
“ได้” แม่เด็กพูด
หนึ่งในนั้นเป็นยากำจัดพยาธิ ซึ่งมีส่วนผสมของพลัม, ส้ม, รูบาร์บ, ป้านเซี่ย, หวงชิน, ซานเชียน ส่วนยาอีกตัวหนึ่งก็คือซุปเป่ยหยวน ที่มีส่วนผสมของ ตังกุย, หลินจือ, และหวงจิง ยาทั้งสองรวมแล้วมีราคาหลายร้อยหยวน
“ให้ทำยาตามใบสั่งนี้นะครับ” หวังเย้าพูด “เอายาให้เขาดื่มทันทีที่ทำเสร็จ เขาจะยังอ้วกและท้องเสียอีกหลายรอบ เรื่องนี้ไม่ต้องตกใจไปนะครับ เขาจะไม่เป็นอะไร อย่าให้เขาทานอะไรหนักๆ รวมถึงพวกเนื้อสัตย์ อาหารรสเผ็ดและของเย็นทุกอย่างก็ห้ามนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ หมอ” สองสามีภรรยาจากไปพร้อมกับลูกของพวกเขา
“หมอหวังคะ เด็กคนนั้นเป็นอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เขามีพยาธิอยู่ในร่างกายมากเกินไปน่ะ” หวังเย้าตอบ
“พยาธิเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ใช่ ผมคิดว่า น่าจะเกิดจากสุขอนามัยที่ไม่ดี” หวังเย้าพูด
อาการป่วยหลายอย่างสามารถเกิดขึ้นได้จากอาหารที่ทานเข้าไป หวังเย้าค่อนข้างมั่นใจว่า เด็กจะต้องไปกินอะไรที่ไม่ควรเข้า หรืออาจจะไม่ได้ล้างมือให้สะอาดก่อนทานอาหาร
“แล้วพยาธิพวกนั้นจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของเขาไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เรื่องนี้มันก็พูดยากนะ” หวังเย้าพูด “พยาธิได้เข้าไปถึงอวัยวะภายในของเขาแล้ว การจะจัดการกับพยาธิที่เข้าไปในสมองของเขาก็ถือเป็นเรื่องที่ลำบากเอาการเลยล่ะ”
เรื่องของพยาธินั้นไม่ในเรื่องที่จะทำเป็นเล่นไปได้ เพราะพวกมันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมามากมาย
“เราขึ้นไปบนเนินเขาซีชานกันเถอะ” หวังเย้าพูด
ทั้งสองเดินออกไปจากคลินิก เส้นทางขึ้นเขานั้นเต็มไปด้วยดินโคลนจากฝนที่ตกลงมาเป็นเวลานาน จึงทำให้รองเท้าของซูเสี่ยวซวีเต็มไปด้วยดินโคลนเหล่านั้น
หวังเย้ารีบปล่อยพลังฉีออกมาครอบตัวเขากับซูเสี่ยวซวีเอาไว้ พลังฉีได้จัดการปิดกั้นน้ำและดินโคลนออกจากตัวพวกเขา
“ถึงแล้ว นี่เป็นหนึ่งในสถานที่แห่งความตาย” หวังเย้าพูด
พื้นที่โดยรอบดูปกติ แต่หากสังเกตพูดดีดีก็จะพบว่า ที่แห่งนี้ไม่มีพืชพรรณขึ้นแม้แต่ต้นเดียว และมีเพียงดินทรายให้เห็นเท่านั้น
“ที่นี่ไม่มีอะไรเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“เธอพูดถูก หญ้าสักต้นก็ไม่ขึ้นที่นี่” หวังเย้าพูด
“แสดงว่า พิษของแมลงพวกนั้นจะต้องร้ายแรงมากแน่ๆ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“เธออยากเห็นพวกมันรึเปล่า?” อยู่ๆหวังเย้าก็ถามขึ้นมา
“ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพยักหน้า
“ฉันจะเอาให้เธอดู” หวังเย้าหยิบขวดแก้วขึ้นมา
ด้านในมีแมลงสีดดำอยู่หลายตัว ท่าทางของพวกมันดูดุร้ายมาก
“นี่มันคืออะไรกัน?” ซูเสี่ยวซวีรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ถึงยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง และผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ชอบสิ่งมีชีสิตที่น่าขยะแขยง แต่เธอก็ยังเขยิบเข้าไปใกล้เพื่อมองดูแมลงเหล่านั้น “น่ากลัวจัง”
เหล่าแมลงขยับตัวราวกับพวกมันเข้าใจคำพูดของซูเสี่ยวซวี เธอจึงตกใจและถอยร่นออกไป
“ทำตัวดีดี!” หวังเย้าเขย่าขวดเบาๆ แมลงทั้งหมดหยุดการกระทำของพวกมันและนอนหงายท้องอยู่ภายในขวดแก้ว
“พวกมันเข้าใจคำพูดของคุณด้วยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ไม่หรอก แต่ผมกำลังฝึกพวกมันอยู่” หวังเย้าพูด
เขาไม่ได้ฆ่าแมลงพวกนี้ เพราะเขายังอยากจะศึกษาพวกมันอยู่ และพวกมันก็อึดมาก ขอแค่มีอาหารให้ พวกมันก็จะไม่ตาย
อีกที่หนึ่งก็เหมือนกับที่นี่ เราจะไปดูที่ตรงนั้นกันไหม?” หวังเย้าชี้ไปบนยอดเขา
ด้านบนมีช่องเขาที่เป็นทางผ่านของลมอยู่ด้วย ซึ่งเหมาะกับการสร้างค่ายกลตามแผนของเมี่ยวซานติง
“ไปค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
พวกเขาเดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยต้นหญ้า เพื่อมุ่งหน้าขึ้นไปบนยอดเขา อยู่ๆก็มีสายลมพัดมาวูบหนึ่ง จนทำให้ซูเสี่ยวซวีเกือบเสียการทรงตัว
“ที่นี่ลมแรงมากเลยนะคะ” เธอพูด
“ตรงนี้เป็นช่องที่ลมผ่าน ที่นี่เลยมีลมพัดแรงตลอดเวลา” หวังเย้าพูด
“พวกคุณคิดจะนำพาลมจากที่นี่ไปที่สถานที่แห่งความตายเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีมองไปยังสถานที่แห่งความตายที่เธอและหวังเย้าเดินจากมา
วูซซซซ! ลมหอบใหญ่พัดเข้ามา ซูเสี่ยวซวีเสียการทรงตัวอีกครั้ง ในตอนที่เธอเกือบล้มลงไปนั้น แขนที่แข็งแกร่งของหวังเย้าก็รับร่างของเธอเอาไว้จากด้านหลัง
“ใช่ เราคิดจะนำลมไปทางนั้น” หวังเย้าพูด
“เขาโอบไหล่ซูเสี่ยวซวีเอาไว้ ร่างกายของเธอนุ่มนิ่มและมีกลิ่นหอม และมันทำให้เขารู้สึกดีมาก ทั้งสองยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปอีกครู่หนึ่ง
“ให้ผมอุ้มเธอไปดีไหม?” หวังเย้าปล่อยซูเสี่ยวซวีออก
ใบหน้าของเธอแดงก่ำ มันยิ่งทำให้เธอดูหน้ามองขึ้นไปอีก “ค่ะ”
“มาสิ!” หวังเย้าย่อตัวลง ซูเสี่ยวซวีเกาะหลังและยื่นมือโอบรอบลำคอของหวังเย้าเอาไว้
“ไปกันเลย!” หวังเย้ากระโดดตรงไปยังยอดเขา
เส้นทางบนเขาเต็มไปด้วยความขรุขระ แต่ก็ไม่มีอะไรมาหยุดหวังเย้าได้ เขาทั้งวิ่งและกระโดดเพื่อมุ่งหน้าขึ้นไปบนยอดเขาได้อย่างอิสระ ภาพที่เห็น ราวกับว่าเขากำลังบินอยู่
เพียงหนึ่งก้าวกระโดด หวังเย้าก็พุ่งไปได้ไกลเกือบ 20เมตร เขาร่อนลงพื้นและกระโดดขึ้นไปอีกครั้ง
“วิเศษไปเลย!” ซูเสี่ยวซวีตะโกนออกมาพร้อมกับกางแขนทั้งสองข้างออกกว้าง เธอมีความสุขที่สุด
หวังเย้าแบกเธอไว้ด้านหลังตั้งแต่เนินเขาซีชานไปจนถึงเนินเขาหนานชาน เขาดูราวกับจะบินไปที่เนินเขาตงชานก่อนจะไปถึงเนินเขาหนานชาน ในที่สุดเขาก็กระโดดมาถึงบนยอดเขา
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงเห่าอยู่ภายในแปลงสมุนไพร
ต้าเซี่ยบินตรงมายังจุดที่หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีกำลังลอยตัวอยู่
สายลมพัดผ่านตัวพวกเขาไป ครู่ต่อมา พวกเขาก็ร่อนลงที่ตีนเขา
“สนุกไหม?” หวังเย้าปล่อยตัวซูเสี่ยวซวีลงอย่างอ่อนโยน ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อเพราะความตื่นเต้น
“ค่ะ มันวิเศษไปเลย!” ซูเสี่ยวซวีไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของเธอในเวลานี้ได้เลย มันยิ่งกว่าคำว่ามหัศจรรย์ มันมีความหวานล่ำและตื่นเต้นปะปนกันไป
“กลับไปที่คลินิกกันเถอะ” หวังเย้าพูด
ขณะเดียวกันนั้น ภายในตัวเมืองเหลียนชาน คู่สามีภรรยาที่เพิ่งพาลูกของพวกเขาไปรักษากับหวังเย้า ก็ได้เอายาให้ลูกชายของพวกเขากินเข้าไป
“ลูกรู้สึกยังไงบ้างจ๊ะ?” แม่เด็กถาม
“ผมเจ็บที่พุงฮะ” เด็กพูดพร้อมกับเอามีกุมท้องของเขาเอาไว้ ท้องของเขาส่งเสียงร้องออกมา ไม่นานเขาก็ผ่ายลมออกมาพร้อมกับกลิ่นเหม็น “ผมอยากเข้าห้องน้ำฮะ”
เขารีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ ครู่ต่อมา เขาก็ส่งเสียงร้องเรียกพ่อแม่
“ลูกเป็นอะไรไหม?” พ่อแม่ของเด็กรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่อดูลูกชายของพวกเขา เด็กชายชี้ไปที่โถส้วมด้วยสีหน้าตกตะลึง ภายในโถส้วมเต็มไปด้วยพยาธิที่เขาเพิ่งถ่ายออกไป พวกมันยังคงขยับตัวไปมา ดูน่าขยะแขยง
“ลูกจะไม่เป็นอะไร ทุกอย่างโอเค พยาธิพวกนี้มันอยู่ข้างในตัวลูก ตอนนี้พวกมันออกมาแล้ว จากนี้ลูกก็จะไม่ปวดท้องอีกแล้วนะจ๊ะ” แม่เด็กกดชักโครกเพื่อชำละล้างพยาธิ
“ฮะ” เด็กชายยังคงตกใจไม่หาย เขาทำเพียงพยักหน้า “ผมอยากถ่ายอีกแล้ว”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ ลูกถ่ายเอาพยาธิออกมาให้หมด ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ พ่อกับแม่จะรออยู่ข้างนอกนี้ไม่ไปไหน” แม่เด็กพูดอย่างอ่อนโยน เธอลูบศีรษะของเด็กชายด้วยความรัก
เธอและสามีรอคอยอยู่ด้านนอกห้องน้ำ เพื่อรอให้ลูกชายของพวกเขาถ่ายอยู่ด้านใน หลังจากนั้น เด็กชายก็รู้สึกหิว พวกเขาจึงให้เขากินยาอีกตัวเข้าไป ซึ่งมันก็คือ ซุปเป่ยหยวน เพื่อช่วยให้ร่างกายของเด็กชายแข็งแรงขึ้น หลังจากที่กินยาเข้าไป เขาก็รู้สึกดีขึ้นมาก
“ลูกอยากพักสักหน่อยไหมจ๊ะ?” แม่เด็กถาม
เด็กชายเป็นเด็กที่เชื่อฟัง เขากลับไปที่ห้องและล้มตัวลงนอน ครู่ต่อมา เขาก็หลับไป
“หมอคนนี้เก่งมากเลยนะคะ” แม่เด็กพูด
“แน่นอนอยู่แล้ว คนฒ่าคนแก่ที่หมู่บ้านก็ไปรักษากับเขากันหมด อาการปวดหัวของพวกเขาหายเป็นปลิดทิ้ง ดูเหมือนว่าเขาจะรักษาได้ทุกโรคเลยล่ะ” สามีของเธอพูด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น