Elixir Supplier 732-738
732 เจดีย์กักขังวิญญาณ
“กลับไปซะ!” หวังเย้ายื่นมือออกไป จนได้ยินเสียงบางอย่างพุ่งผ่านอากาศดังขึ้น ปัง! ร่างของผีดิบปลิวไปกระแทกเข้ากับกำแพง เกราะบนร่างของมันชนเข้ากับกำแพงจนเกิดเสียงดังลั่น
ปรมาจารย์กังฟูงั้นเหรอ!? นักพรตชราทั้งสองหันมามองหน้ากัน
“มันคืออะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถามขึ้นมา ในขณะที่เขากำลังมองดูผีดิบตัวนั้น
“มันคือศพเดินได้ ผีดิบ” หนึ่งในนักพรตชราตอบ
“โอ้ ถือว่าวันนี้ผมได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” หวังเย้าพูด
เขาไม่ได้กลัวผีดิบเลย หลังจากที่เขาซัดมันไปครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็พบว่า การจัดการกับมันไม่ใช่เรื่องยากเลย ดังนั้น มันจึงไม่ถือว่าเป็นอันตรายสำหรับเขา
“แล้วเราจะฆ่ามันได้ยังไงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช้ดาบเล่มนี้แทงไปที่หัวใจของมัน” นักพรตจางพูด “แต่ผีดิบตัวนี้มีรูปร่างมนุษย์และแข็งแกร่งมาก ฉันไม่มั่นใจว่า ดาบจะสามารถจัดการกับมันได้”
ภูตผีที่มองไม่เห็นยังอันตรายน้อยกว่านี้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผีดิบรูปร่างมนุษย์นั้นยากที่จะจัดการ แม้จะมีดาบกำราบปีศาจอยู่ในมือก็ตามที
“อยากให้ผมช่วยจัดการไม่ให้มันขยับได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“อืม ถ้าทำแบบนั้นได้ก็จะดีมากเลยล่ะ “ นักพรตจางพูด
“งั้นผมจะหักแขนขาของมันแล้วกัน” หวังเย้าพูด
“ทางทฤษฎีน่ะทำได้” นักพรตจางพูด “แต่หลังจากที่ได้รับพลังหยินมายาวนานหลายร้อยปี ทำให้กล้ามเนื้อกับกระดูกของมันแกร่งกว่าเหล็กซะอีก”
“งั้นผมจะลองดูนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ ระวังตัวด้วย” นักพรตจางพูด
ด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียว หวังเย้าก็ไปโผล่อยู่ตรงหน้าผีดิบที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ กลิ่นตัวของมันรุนแรงจนแทบทนไม่ไหว หากมีคนมาเห็นมันตอนกลางคืน ก็คงจะกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
หวังเย้าเริ่มปลดปล่อยพลังฉีออกมาราวกับสายน้ำหลาก เขาใช้กำปั้นชกไปที่อากาศและพลังนั้นก็ถูกซัดเข้าใส่ส่วนหน้าอกของผีดิบ
แคร๊ก! หน้าอกของซอมบี้แตกออก แล้วมันก็ปลิวไปกระแทกกับกำแพงที่อยู่ด้านหลังอีกครั้ง แม้กำแพงจะถูกสร้างขึ้นมาจากก้อนหินที่หนาหนัก แต่มันกลับเกิดรอยแตกร้าวขึ้น
“การเคลื่อนไหวนี้มัน!” นักพรตชราทั้งสองอุทานออกมา
ผีดิบยังคงไม่ยอมแพ้ มันแทงมือออกไป โดยพุ่งเป้าไปที่บริเวณหน้าอกของหวังเย้า
“แตก!” หวังเย้าหยุดมันไว้
แคร๊ก! แขนของผีดิบแตกออก มันดูไม่ต่างจากขนมคุกกี้และไม่ได้แข็งกว่าเหล็กแต่อย่างใด
“หา?” นักพรตชราทั้งสองต่างอยู่ในอาการตกตะลึง พวกเขายกมือขึ้นมาขยี้ตาของตัวเอง พวกเขากำลังสงสัยว่า ผีดิบตัวนี้ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่พวกเขาคิด หรือเพราะหวังเย้าแข็งแกร่งเกินไปกันแน่
หวังเย้าเป็นฝ่ายเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ผีดิบโจมตีเขาโดยใช้สัญชาตญาณ และไม่มีกุลยุทธ์รวมอยู่เลย
ครู่ต่อมา หวังเย้าก็จัดการหักแขนขาของมัน จนมันล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้น
สิ่งที่พวกเขาทำต่อไปนั้นง่ายยิ่งกว่า นักพรตจางแทงดาบลงไปที่หัวใจของผีดิบตัวนั้น มันดิ้นรนเล็กน้อย ก่อนที่ในที่สุดมันจะตายลง ร่างกายของมันละลายราวกับเนยที่อยู่บนกระทะร้อน พร้อมกับส่งกลิ่นเหม็นเน่าน่าขยะแขยง
หวังเย้าได้เห็นความมหัศจรรย์ของดาบกำราบปีศาจ นักพรตชราไม่ได้ใช้แรงมากเลยในการแทงดาบลงไปในร่างของผีดิบ ถึงแม้ว่าตัวดาบจะดูไม่มีความคมอยู่เลยก็ตาม แต่ดาบกลับแทงลงไปบนร่างของผีดิบได้อย่างง่ายดายราวกับกำลังตัดเนยอยู่
หืม!? หวังเย้าที่มองดูทุกขั้นตอนจนกระทั่งถึงตอนจบ เขาตรวจพบพลังฉีที่กำลังไหลออกจากร่างของผีดิบ และเข้าไปยังโลงศพหินที่ตั้งอยู่
“เรียบร้อย” นักพรตจางพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์กังฟู”
“ชมเกินไปแล้วล่ะครับ แต่ดูเหมือนว่าโลงศพจะมีปัญหาอยู่นะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ งั้นเข้าไปดูกันเถอะ” นักพรตจางพูด
พวกเขาที่เดินเข้าไปที่โลงศพก็ยังคงความระมัดระวังเอาไว้อยู่ พวกเขาเดินเข้าไปอย่างช้าๆ โลงศพถูกเปิดทิ้งไว้ ด้านในมีของบางอย่างที่ทำขึ้นมาจากเหล็กวางอยู่ มันมีรูปร่างคล้ายกับพีระมิด และมีการแกะสลักด้วยภาพที่ดูแปลกตา
“นี่คืออะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“มันคือเจดีย์กักขังวิญญาณ” นักพรตจางพูด
“มันมีไว้เพื่ออะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เพื่อกักขังดวงวิญญาณและป้องกันไม่ให้มันออกมาสร้างปัญหายังไงล่ะ” นักพรตจางพูด
หวังเย้ามองดูของสิ่งนั้นใกล้ๆและพยายามจะเอื้อมมือออกไปจับมัน
“อย่า!” นักพรตจางรีบหยุดเขาเอาไว้
“ทำไมล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
“มันมีทั้งคาถาและคำสาปอยู่น่ะสิ” นักพรตจางพูด “ฉันกลัวว่า ถ้าเธอเผลอจับมันเข้า จะทำให้เกิดเรื่องร้ายกับเธอได้”
คำสาปเหรอ? หรือจะเป็นพลังฉีแปลกๆที่มันปล่อยออกมา? หวังเย้าสงสัย
เขารับรู้ได้ถึงพลังฉีที่ปล่อยออกมาจากเจดีย์อันนี้ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกอึดอัด มันเป็นพลังหยินที่ให้ความรู้สึกเลวร้ายยิ่งกว่าพลังหยินที่อยู่ภายในสุสานซะอีก หวังเย้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตัดสินใจหยิบเจดีย์ขึ้นมา
“ผมคิดว่า พลังฉีที่เป็นของผีดิบตัวนั้นได้เข้าไปอยู่ในเจดีย์นี้แล้ว” หวังเย้าพูด
ครืน! ตัวเจดีย์เกิดการสั่นสะเทือน พลังฉีจำนวนมากเริ่มไหลออกมาจากตัวเจดีย์
“ไม่!” นักพรตจางตะโกน “ปล่อยมันเร็วเข้า!”
“ไม่ต้องห่วงครับ” หวังเย้าพยายามปลอบพวกเขาให้ใจเย็น
เขาปลดปล่อยพลังฉีในรูปทรงระฆังออกมาครอบตัวเจดีย์เอาไว้ แล้วอยู่ๆพลังหยินที่ก่อนหน้านี้ทำให้กระดิ่งของนักพรตทั้งสองสั่นเตือนก็หายไป แล้วกระดิ่งก็หยุดสั่นไปด้วย
“เกิดอะไรขึ้นกัน?” นักพรตอีกคนถาม
“พลังฉีบริสุทธิ์ได้ปิดกั้นมันเอาไว้” นักพรตจางพูด
“มันเป็นของโบราณเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ มันมีอายุอย่างน้อยสี่ร้อยปี” นักพรตจางพูด “น่าเสียดายที่มันถูกใช้โดยวิญญาณร้าย”
สิ่งของที่สมควรจะนำไปใช้สู้กับวิญญาณร้าย กลับถูกวิญญาณร้ายนำไปใช้เสียเอง มันคือสิ่งที่ช่วยให้ผีดิบอยู่มาได้ถึงสี่ร้อยกว่าปี และยังทำให้มันร้ายกาจกว่าเดิมด้วย
หวังเย้าฝึกฝนการหายใจเพื่อสะสมพลังฉีในร่างกายของเขา ซึ่งเป็นพลังที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่ง มันสามารถเปลี่ยนเป็นพลังหยินหรือหยางได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที
ในเวลานี้ เขากำลังปลดปล่อยพลังหยางออกมาเพื่อจัดการกับพลังหยินของวิญญาณร้าย พลังหยินที่อยู่ภายในเจดียเป็นเหมือนกับก้อนน้ำแข็งที่ถูกเก็บเอาไว้ในถังเหล็ก พลังฉีของหวังเย้าก็เป็นเหมือนกับไฟที่เผาไหม้ถังเหล็กใบนั้น ทำให้วิญญาณร้ายไม่สามารถซ่อนตัวได้อีกต่อไป
เมื่อมันไม่สามารถทนพลังฉีของหวังเย้าได้อีกต่อไป มันจึงต้องอออกมา แต่นั่นก็ไม่ถือว่าเป็นความคิดที่ดี แกนพลังของมันได้รับความเสียหายจากฝีมือของหวังเย้า ทำให้มันต้องกลับเข้าไปในเจดีย์อีกครั้ง
หวังเย้าถือเจดีย์เอาไว้และส่งพลังฉีเข้าไปด้านในนั้น เขาปลดปล่อยพลังฉีเพื่อไปยับยั้งพลังหยินที่อยู่ด้านใน พลังฉีของเขาไหลเข้าสู่ตัวเจดีย์ผ่านทางรอยแยกขนาดเล็ก
ในที่สุด พลังหยินก็ไม่อาจต้านทานพลังฉีของหวังเย้าได้อีกต่อไป แล้วมันก็ค่อยๆจางหายไป
“เรียบร้อย!” หวังเย้าหยุดส่งพลังฉีออกมา หลังจากที่พบว่า ด้านในเจดีย์ไม่มีพลังหยินหลงเหลืออยู่แล้ว
“มันหายไปแล้วเหรอ?” นักพรตจางถาม
“น่าจะใช่นะครับ” หวังเย้าพูด
ยังคงหลงเหลือพลังหยินบางส่วนอยู่ภายในเจดีย์ แต่มันก็ไม่ได้น่ากลัวเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว แกนของพลังหยินถูกทำลายไปแล้ว เมื่อไม่ได้รับการบำรุง พลังหยินก็จะค่อยๆหายไป
“เยี่ยมไปเลย” นักพรตจางพูด “เธอเป็นปรมาจารย์กังฟูที่สุดยอดมาก ขอบคุณในสิ่งที่เธอได้ทำลงไป เราแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ”
“ยินดีครับ” หวังเย้าพูด “ผมก็แค่โชคดีเท่านั้น”
การเผชิญหน้ากับผีดิบในครั้งนี้ ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ล้ำค่าสำหรับเขา หากเขาอยู่ที่บนเนินเขาหนานชาน ผ่านไปสิบปีก็อาจจะไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้เลยด้วยซ้ำ
หวังเย้าและนักพรตทั้งสองเข้าไปสำรวจร่างของนักพรตเต๋าที่เสียชีวิตไปแล้วหลายวัน และถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง
“เขาเป็นลูกศิษย์ของฉันเอง” นักพรตจางพูด “เขามีชื่อว่าเหอเหิง เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์และตั้งใจฝึกฝน น่าเสียดายจริงๆ!”
“ใช่ แต่อย่าเสียใจไปเลยนะ” นักพรตอีกคนพูด “เขาไม่มีทางกลับมาแล้ว เรายังต้องเดินหน้าต่อไป”
“ใช่ นายพูดถูก” นักพรตจางพูด
คนแบบพวกเขามีชีวิตที่สงบสุขอยู่บนเขา แต่งานที่พวกเขาทำนั้นอันตรายมาก มันเป็นเรื่องระหว่างความเป็นกับความตาย ถ้าหากไม่ระวัง พวกเขาก็อาจจะจบลงเหมือนอย่างนักพรตคนนี้ก็เป็นได้
“เราออกจากที่นี่กันดีไหม?” นักพรตจางถาม
“ทั้งสองออกไปก่อนเถอะครับ” หวังเย้าพูด “ผมยังอยากอยู่ดูที่นี่อีกสักพัก”
“งั้นเราจะอยู่เป็นเพื่อนเธอแล้วกัน” นักพรตจางพูด
น่าประหลาดที่อากาศด้านในสุสานกลับไม่ได้อบอ้าวอย่างที่ควรจะเป็น มันไม่ได้ดีขึ้นจากการออกแบบหรือประตูที่ถูกเปิดออก แต่คนธรรมดาก็ไม่ควรอยู่ด้านในนี้นานเกินไป
หวังเย้าไม่ถือว่าเป็นคนธรรมดา และนักพรตเต๋าทั้งสองก็เช่นเดียวกัน แต่หวังเย้ามองออกว่า นักพรตทั้งสองเริ่มแสดงอาการป่วยให้ได้เห็น พวกเขาเริ่มมีอาการหายใจถี่กระชั้นขึ้น
เขารีบเดินดูรอบๆสุสาน และได้เห็นรูปภาพและคำที่ถูกสลักเอาไว้ที่กำแพง ทั้งหมดคือรูปภาพที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา มันไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการรู้แจ้งหรือทำให้คนพ้นทุกข์เลย
“เราไปกันเลยไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“อืม” นักพรตจางพูด
733 ทุกคนมีแผนการของตัวเอง
หวังเย้าเดินตามนักพรตทั้งสองออกไปด้านนอก ในมือของเขามีเจดีย์กักขังวิญญาณ ซึ่งค่อนข้างหนัก
นักพรตที่เหลือซึ่งรอพวกเขาอยู่ด้านนอกก็เริ่มมีท่าทีวิตกกังวล
“นี่ อาจารย์กับอาจารย์อาอยู่ข้างในนั้นนานแล้วนะ หวังว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไรนะ” หนึ่งในนักพรตพูดขึ้นมา
“พวกเขาไม่เป็นอะไรหรอก อาจารย์กับอาจารย์อาเป็นนักพรตที่เก่งกาจ รอพวกเขาอยู่ที่นี่ก็พอ” นักพรตอีกคนพูด
จากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังออกมาจากด้านในสุสาน แล้วพวกเขาก็เริ่มเป็นกังวงขึ้นมาอีกครั้ง
“อาจารย์! อาจารย์อา!” หนึ่งในเหล่านักพรตเต๋าส่งเสียงเรียกออกไป
ทันทีที่เห็นนักพรตชราทั้งสองเดินออกมา พวกเขาก็เลิกกังวล
“ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราจัดการวิญญาณร้ายไปได้แล้วล่ะ” นักพรตจางพูด
“วิเศษไปเลย” ลูกศิษย์ของเขาพูด
“อาจารย์ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกนะ เป็นสุภาพบุรุษท่านนี้ต่างหากที่เป็นคนฆ่าวิญญาณร้ายนั่น” นักพรตจางพูดพร้อมกับชี้ไปที่หวังเย้าด้วยรอยยิ้ม
“ไม่หรอกครับท่าน ผมแค่ช่วยเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง” หวังเย้าพูด
“เธอทำมากกว่าแค่ช่วยซะอีก” นักพรตจางพูด “เราต่างหากที่เป็นได้แค่ลูกมือ ยังไงก็เถอะ เราออกไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่านะ”
ทุกคนต่างพากันเดินออกไปจากกระท่อม
“มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นที่นี่” หวังเย้าชะงักไป
เขาสะบัดมือครั้งหนึ่ง วูซ! ลมพัดผ่านมาทางพวกเขาวูบหนึ่ง
“เขาเรียกลมได้อย่างนั้นเหรอเนี่ย!” เหล่านักพรตเต๋าต่างอยู่ในอาการตกตะลึง
“เธอสามารถใช้เวทได้ด้วย!” นักพรตจางตกตะลึง
“นี่ไม่ใช้เวทหรอกครับ” หวังเย้าพูด “ลมน่ะมีอยู่แล้ว ส่วนผมก็แค่กระตุ้นมันเท่านั้น”
เขาสื่อสารกับสิ่งที่อยู่รอบกายเขาด้วยพลังฉี และใช้พลังฉีเร่งการไหลเวียนของอากาศที่อยู่โดยรอบ
“ถ้ามันไม่ใช่เวท แล้วเวทคือแบบไหนกันล่ะ?” นักพรตเต๋าคนหนึ่งพูดพึมพำกับตัวเอง
เมื่อเห็นกลุ่มของนักพรตจางเดินกลับมาที่ตีนเขา เหล่าคนที่รออยู่ด้านล่างก็รีบเดินเข้าไปหาพวกเขา
“จัดการเรียบร้อยแล้วเหรอครับ?” หนึ่งในพวกเขาถาม
“อืม เรียบร้อยแล้ว” นักพรตจางพูด
“เยี่ยมไปเลย” เขาพูด
นักพรตจางไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในสุสานให้พวกเขาฟัง เขาเพียงแต่บอกว่า วิญญาณร้ายที่อยู่ด้านในถูกจัดการเรียบร้อยแล้วเท่านั้น และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่หวังเย้าทำลงไปเมื่ออยู่ภายในนั้น ซึ่งเป็นไปตามคำขอของตัวหวังเย้าเอง
“อืม ทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว คงได้เวลาที่ผมต้องกลับซักที” หวังเย้าพูด
เขาจัดการกับผีดิบตัวนั้นไปแล้ว และนักพรตที่ป่วยอาการก็คงที่ดีแล้วด้วย หวังเย้ายังได้ให้สูตรยาเอาไว้ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ นักพรตคนนั้นเพียงต้องทำตามคำแนะนำของเขาและกินยาอย่างต่อเนื่องก็จะหายดีได้
“ถ้าเขามีอาการผิดปกติ ก็ให้พาเขามาหาผมที่หมู่บ้านนะครับ” หวังเย้าทิ้งที่อยู่คลินิกของเขาไว้กับนักพรตจาง
“ขอบคุณ” นักพรตจางพูดอย่างจริงใจ “ถ้ามีเรื่องอะไรให้ช่วย ก็บอกฉันได้นะ”
“ครับ” หวังเย้าพูด
ก่อนที่เขาจะไป นักพรตเต๋าได้นำกระดิ่งขนาดเล็กมอบให้กับเขา ซึ่งมันเป็นแบบเดียวกับที่แขวนอยู่ตรงเอวของนักพรตแต่ละคน
“กระดิ่งอันนี้ถือเป็นตัวแทนของพวกเรา” นักพรตจางพูด “ได้โปรดรับมันไว้ด้วย ถ้าเธอมาด้วยตัวเองไม่ได้ เธอก็ให้คนอื่นมาหาพวกเราพร้อมกับกระดิ่งอันนี้แทน”
“ได้ครับ ขอบคุณมาก” หวังเย้าพูด “แล้วเจดีย์อันนี้ทำมาจากทองคำแท้เหรอครับ?”
“ใช่” นักพรตจางพูด “เธออยากได้ไหม?”
“ไม่อยากได้หรอกครับ มันควรจะเป็นของเขตนี้มากกว่า” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้มและโบกมือปฏิเสธ
“ถ้าเธอต้องการ เธอก็เก็บมันเอาไว้ได้นะ” นักพรตจางพูด “เจดีย์อันนี้ถือว่าอยู่ในความดูแลของทางเรา”
“จริงเหรอครับ? ทำไมล่ะ?” หวังเย้าถาม
“มันไม่มั่นคงน่ะสิ” นักพรตจางพูด “มันอันตรายเกินไปที่จะส่งมอบมันให้กับทางเขต แล้วทางหน่วยงานรัฐก็เห็นด้วยกับคำแนะนำของฉัน”
“เป็นแบบนี้นี่เอง” หวังเย้าเพิ่งได้รู้ว่า นักพรตจางเป็นมากกว่านักพรตที่เก่งกาจ แต่เขายังได้รับความเคารพอย่างสูงจากทางการอีกด้วย
“ผมคงต้องไปแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด
“อืม ลาก่อน” นักพรตจางพูด
เมี่ยวซานติงกับหลิวซื่อฟางขับรถไปส่งหวังเย้าที่สนามบิน
“ขอบคุณที่มานะครับ” เมี่ยวซานติงพูด
เขายังคงคิดว่า ตัวเองต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของคนเหล่านั้น ต้องขอบคุณหวังเย้าที่จัดการกับวิญญาณร้ายและรักษานักพรตคนนั้นเอาไว้ได้ เขาบอกได้เลยว่า นักพรตจางก็รู้สึกชื่นชมในสิ่งที่หวังเย้าทำลงไปเช่นเดียวกัน
“ยินดีครับ ถ้ามีเวลาก็แวะมาเยี่ยมผมที่หมู่บ้านบ้างนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้เลยครับ” เมี่ยวซานติงพูด
หวังเย้าขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางไปยังเมืองเต๋า
นักพรตจางกลับไปที่เขาหลงหู่พร้อมกับศิษย์น้อง, ลูกศิษย์, และเจดีย์กักขังวิญญาณ
“มันจะดีเหรอที่เราเอามาด้วยน่ะ?” ศิษย์น้องของเขาถาม
“อืม ไม่ต้องกังวลไปหรอก” นักพรตจางพูด “ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าอาจารย์ของชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากที่คนหนุ่มแบบเขาสามารถประสบความสำเร็จมาจนถึงขั้นนี้ได้ตั้งแต่ยังหนุ่มแน่นแบบนี้”
“ฮาฮา ฉันว่าคงเป็นเพราะพรสวรรค์ของเขามากกว่านะ” ศิษย์น้องของเขาพูด “แล้วเราจะเอาเจดีย์อันนี้ไปทำอะไรเหรอ?”
“มันมีประโยชน์มากเลยล่ะ มันจะช่วยในการฝึกฝนของพวกเรา” นักพรตจางพูด
การที่มันถูกครอบครองโดยวิญญาณร้าย ทำให้ตัวเจดีย์ไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขา แต่ตอนนี้ ตัวเจดีย์ได้ถูกพลังฉีที่เข้มข้นและบริสุทธิ์ของหวังเย้าชะล้างพลังของวิญญาณร้ายออกไปจนหมดแล้ว บางทีหวังเย้าอาจจะไม่รู้ตัวเลยว่า พลังฉีบริสุทธิ์บางส่วนของเขาได้ตกค้างอยู่ภายในเจดีย์ทองอันนี้ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่นักพรตจางยืนยันที่จะนำมันกลับไปที่เขาหลงหู่กับเขาด้วย
พลังฉีของหวังเย้าเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถือเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับผู้ฝึกฝนทางเต๋าทุกคน
“ด้วยความช่วยเหลือจากเจดีย์อันนี้ จะช่วยให้เราก้าวกระโดดไปได้ไกลเลยล่ะ” นักพรตจางพูด
ความสามารถของหวังเย้าก็ก้าวกระโดดเช่นเดียวกัน ผู้ฝึกฝนทางเต๋านั้นไม่ได้สนใจเรื่องเงินทอง แต่ที่พวกเขาสนใจก็คือ สิ่งที่จะสามารถช่วยให้พวกเขาสามารถพัฒนาในด้านการฝึกตนไปได้ไกลมากกว่า
“ฉันเข้าใจแล้ว ดีที่ศิษย์พี่คิดเรื่องนี้ได้” ศิษย์น้องของเขาพูด
เครื่องบินร่อนลงจอดที่สนามบินเมืองเต๋าตอนหนึ่งทุ่มกว่า หลังออกมาจากสนามบินแล้ว หวังเย้าก็เข้าไปเช็คอินพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง
“ฉันน่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย” เขาพูดพึมพำกับตัวเอง
มันยังไม่ดึกมากนัก หวังเย้าจึงเดินออกมาจากโรงแรม ช่วงหน้าร้อนในเมืองเต๋านั้นร้อนมาก แม้ว่าเมืองแห่งนี้จะอยู่ติดทะเลก็ตามที โชคดีที่ยังพอมีลมพัดจากทะเลทำให้คลายความร้อนไปได้บ้าง
ในเวลาแบบนี้ จะร้านอาหารข้างทางและร้านปิ้งย่างเปิดอยู่ใกล้ๆกับถนนหลายสาย หวังเย้าเดินอออกมาจากโรงแรมตอนเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว ที่ด้านนอกจึงมีคนนั่งกินตามร้านอาหารเป็นจำนวนมาก เมืองเต๋าเป็นเมืองติดทะเล ดังนั้น ร้านอาหารข้างทางส่วนใหญ่จึงขายอาหารทะเลเป็นหลัก
เขายังไม่ได้ทานอาหารเย็น ดังนั้น เขาจึงเลือกร้านที่ดูสะอาดร้านหนึ่งและเข้าไปสั่งอาหารกิน
“ดื่ม!” กลุ่มชายฉกรรจ์ที่เปลือยท่อนบนกำลังนั่งดื่มอยู่ข้างโต๊ะของหวังเย้า
“ตอนนี้ งานของแกเป็นยังไงบ้าง?” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถาม
“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันตกงานแล้ว ตอนนี้ได้แต่อยู่บ้านเลี้ยงลูกแทน” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูด
“ทำไมล่ะ? ฉันว่างานที่แกทำอยู่มันก็ดีนี่นา” ชายวัยกลางคนพูด
“ฉันตกงานน่ะสิ” ชายหนุ่มพูด
“อะไรนะ? ที่บริษัทนั่นน่ะเหรอ?” ชายวัยกลางคนถามด้วยความแปลกใจ
“อย่าไปพูดถึงมันเลย” ชายหนุ่มพูด “ตัวบริษัทน่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่พวกเขาดันเปลี่ยนผู้จัดการใหม่น่ะสิ แล้วได้หัวหน้าคนใหม่ก็ตั้งกฎของบริษัทขึ้นมาใหม่ด้วย”
“ฉันคิดว่า ซุนเจิ้งหรงบริหารงานเก่งซะอีก” ชายวัยกลางคนพูด
“ใช่ แต่ฉันได้ยินมาว่า หัวหน้าคนใหม่เป็นลูกชายของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ เขาเป็นพวกโลภมาก ฉันว่า เขาต้องได้ข้อมูลบางอย่างของซุนเจิ้งหรงมาแน่” ชายหนุ่มพูด
“จริงเหรอ? ซุนเจิ้งหรงมีชื่อเสียงในเมืองเต๋าดีจะตาย ทำไมถึงพลาดได้ล่ะ?” ชายวัยกลางคนถาม
“พวกนักธุรกิจก็สนใจแต่เรื่องเงินทองเท่านั้นแหละ” ชายหนุ่มพูด “ซุนเจิ้งหรงทำธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เขาอาจจะไปทำให้ใครบางคนไม่พอใจเรื่องขั้นตอนการรื้อถอนอพาร์ทเมนต์เก่าเข้าก็ได้ ใครจะรู้”
ในตอนที่พวกเขาคุยกันอยู่นั้น หวังเย้าได้ให้ความสนใจกับทุกคำพูดที่พวกเขาพูดออกมา เขาสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับซุนเจิ้งหรงกันแน่
734 มีดขูดกระดูก
ซุนเจิ้งหรงกับตระกูลของเขาคอยให้ความช่วยเหลือหวังเย้าอยู่เสมอ และดูเหมือนว่า ตอนนี้จะเกิดปัญหาขึ้นกับพวกเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หวังเย้าคิดว่า เขาควรจะตอบแทนบุญคุณของพวกเขาบ้าง
หวังเย้าต้องการข้อมูลที่มากกว่านี้ แต่คนเหล่านี้ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของซุนเจิ้งหรงอีก และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน
ฉันน่าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวัน เขาคิด
หลังจากทานอาหารเสร็จ หวังเย้าก็กลับไปที่โรงแรม เขาโทรไปหาจงหลิวชวนเพื่อสอบถามความเป็นไปภายในหมู่บ้าน
“หมอหวัง เมื่อไม่กี่วันก่อน มีคนมาถามหาหมอด้วย” จงหลิวชวนพูด “พวกเขามาสองครั้งแล้ว และดูเหมือนว่าจะเป็นพวกคนมีระดับด้วย”
“พวกเขาไปที่บ้านของผมรึเปล่า?” หวังเย้าถาม
“ไม่ครับ ดูเหมือนว่า พวกเขาจะรู้กฎของคุณดี” จงหลิวชวนพูด
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ” หวังเย้าพูด “ผมกลับมาจากหางโจวแล้ว และตอนนี้ผมอยู่ที่เมืองเต๋า พอดีผมมีเรื่องที่ต้องจัดการที่นี่ คงอีกสักสองสามวันถึงจะกลับไปที่หมู่บ้าน”
“เข้าใจแล้วครับ” จงหลิวชวนพูด
เช้าวันต่อมา อากาศเริ่มร้อนตั้งแต่ยังไม่เที่ยง ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา อุณหภูมิในจังหวัดฉีสูงขึ้นมาก มีการรายงานพยากรณ์อากาศว่า คลื่นความร้อนจะอยู่ที่บริเวณนี้ไปอีกประมาณสิบกว่าวัน แล้วยิ่งเมืองที่อยู่ติดกับทะเลอย่างเมืองเต๋า ก็ยิ่งร้อนขึ้นไปอีก
หวังเย้ามุ่งหน้าไปที่ผับแห่งหนึ่ง ช่วงเวลาระหว่างวันภายในผับนั้นเงียบสงบและคึกคักในช่วงเวลากลางคืน หลังจากเลิกงานแล้ว หลายคนมักเลือกที่จะออกไปดื่มและร้องเพลงกัน
มีร้านมากมายที่เหมาะสำหรับการผ่อนคลายอารมณ์ และมันจะยิ่งดีไปกว่านั้น หากว่าพวกเขาได้เจอกับสาวสวยในค่ำคืนนั้น แต่ในเวลานี้ ยังไม่มีนักท่องเที่ยวอยู่ด้านในผับ บาร์เทนเดอร์นั่งหาววอดอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง
“ง่วงจริงๆเลยยยย!” บาร์เทนเดอร์พูดอยู่คนเดียว “อรุณสวัสดิ์ มีอะไรให้ช่วยครับ?” ทันทีที่เห็นหวังเย้าเดินเข้ามา เขาก็รีบตั้งสติและพูดต้อนรับลูกค้า
“ผมอยากจะคุยกับผู้จัดการหน่อยน่ะ” หวังเย้าพูด
“มีเรื่องอะไรเหรอ? ตอนนี้เขากำลังหลับอยู่” บาร์เทนเดอร์ตอบ
“เรื่องธุรกิจ” หวังเย้าพูด
“ธุรกิจอะไร?” บาร์เทนเดอร์ถาม
“ธุรกิจทั่วไป” หวังเย้าพูด
“โอเค รอเดี๋ยวนะ” อยู่ๆดวงตาของบาร์เทนเดอร์ก็เป็นประกายขึ้นมา ราวกับเขาเพิ่งจะตื่นขึ้นมาจากความฝัน แล้วเขาก็รีบกดโทรศัพท์เพื่อโทรออก “โอเค ผมเข้าใจแล้ว”
เขาหันหน้าไปหาหวังเย้าและพูดว่า “ตามผมมา”
เขาเดินนำหวังเย้าไปที่ห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง
“โปรดรอสักครู่” บาร์เทนเดอร์ “ผู้จัดการจะมาที่นี่ในอีกหนึ่งนาที ต้องการดื่มอะไรไหมครับ? เรามีเครื่องดื่มบริการฟรีสำหรับคุณลูกค้าด้วยนะครับ”
“ไม่ล่ะ ขอบคุณ” หวังเย้าพูด
ครู่ต่อมา ชายวัยประมาณสามสิบปลายๆก็เดินเข้ามาภายในห้องด้วยท่าทีเร่งรีบ
“ขอโทษที พอดีผมติดธุระอย่างอื่นอยู่” ชายคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรครับ” หวังเย้าพูด
หวังเย้าได้กลิ่นน้ำหอมจากตัวของชายคนนี้อย่างชัดเจน และสังเกตุเห็นท่าทางการเดินกับถุงใต้ตาของเขาได้ตั้งแต่ที่เดินเข้ามาแล้ว หวังเย้าเดาว่า ผู้จัดการคนนี้คงจะยุ่งมากและไม่ได้นอนอย่างเต็มที่ในคืนที่ผ่านมา
“คุณมาที่นี่เป็นครั้งแรกเหรอครับ?” ผู้จัดการถาม
“ครับ เพื่อนของผมเป็นคนแนะนำให้ผมมาที่นี่” หวังเย้าพูด
“มิน่าล่ะ ผมถึงไม่เคยเห็นคุณมาก่อน มีเรื่องอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” ผู้จัดการหยิบบุหรี่ออกมาและส่งมันให้กับหวังเย้า
“ไม่ดีกว่า ขอบคุณครับ
ผู้จัดการจุดบุหรี่สูบมวนหนึ่งและสูดเข้าไปจนเต็มปอด
“ผมอยากจะคุยเรื่องตระกูลซุนกับคุณหน่อยน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“ตระกูลซุนไหนครับ?” ผู้จัดการถาม อยู่ๆใบหน้าของเขาก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมา
“ตระกูลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองเต๋าครับ” หวังเย้าพูด
“เอ่อ พวกเขาไปสร้างปัญหาให้กับคุณ หรือว่าคุณคิดอยากจะตอบแทนพวกเขาล่ะครับ?” หลังจากที่เงียบไปสักพัก ผู้จัดการก็เอ่ยถามขึ้นมา
“มันต่างกันด้วยเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ต่างสิครับ ถ้าคุณคิดอยากจะทำอันตรายพวกเขา ผมก็คงไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้ และแสร้งทำเป็นว่า วันนี้คุณไม่ได้มาที่นี่ แต่ถ้าคุณคิดอยากจะตอบแทนบุญคุณพวกเขา เราก็สามารถคุยกันได้” ผู้จัดการพูด
“ผมอยากจะช่วยเขาครับ” หวังเย้าพูด
“ดี งั้นเราก็มาคุยกันต่อ” ผู้จัดการพูด “คุณอยากจะรู้เรื่องอะไรเหรอ?”
“ตอนนี้ พวกเขากำลังมีปัญหากับเรื่องบางอย่างอยู่ใช่ไหม?” หวังเย้าถาม
“ผมสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้ แต่เรามาตกลงเรื่องราคากันก่อนดีไหม?” ผู้จัดการชูสองนิ้วขึ้นมา
“คุณต้องการสองร้อยเหรอ?” หวังเย้าถาม
“โอ้ เอ่อ…แค่กๆ!” ผู้จัดการแกล้งไอออกมา “เงินแค่นั้นยังไม่พอจ่ายค่าเครื่องดื่มแก้วหนึ่งด้วยซ้ำ ผมหมายถึงสองพันต่างหาก
“โอเค ผมไม่มีปัญหา” หวังเย้าพูด
“ดี ผมต้องการเงินก่อน และนั่นก็เป็นกฎของเรา” ผู้จัดการพูด
“ไม่มีปัญหา” หวังเย้าพูด
หวังเย้าโอนเงินเข้าบัญชีของผู้จัดการในทันที
“ได้รับเรียบร้อยแล้วครับ” หลังจากที่ได้รับเงินแล้ว ผู้จัดการก็มีท่าทีสุภาพขึ้นมาก “ผมขอคิดดูก่อนนะว่าจะพูดยังไงดี คุณคงรู้อยู่แล้วว่าตระกูลของซุนเจิ้งหรงเป็นตระกูลใหญ่ และกิจการของพวกเขาก็ใหญ่โตมาก”
“รู้ครับ” หวังเย้าพูด
“มีคนมากมายคอยจับตาดูธุรกิจของพวกเขา และบางส่วนก็พยายามที่จะขโมยกิจการของพวกเขาไป” ผู้จัดการพูด “แต่ซุนเจิ้งหรงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทางเจ้าหน้าที่รัฐ เดี๋ยวนี้ ใครจะทำธุรกิจต่างก็ต้องพึ่งพาคนที่ทำงานภาครัฐด้วยน่ะนะ”
“ผมเข้าใจ” หวังเย้าพูด
“เท่าที่ผมรู้มา เจ้าหน้าที่รัฐที่ซุนเจิ้งหรงติดต่อด้วยเกษียณไปแล้ว” ผู้จัดการพูด “ตอนนี้มีคนอื่นมารับตำแหน่งแทนเขา แล้วบังเอิญว่า คนที่เข้ามาใหม่มีความเห็นไม่ตรงกันกับเจ้าหน้าที่คนก่อน ดังนั้น ซุนเจิ้งหรงก็เลยซวยไปด้วย คุณก็รู้ ว่านักธุรกิจไม่มีทางเอาชนะรัฐบาลได้ เขาก็เลยจำเป็นต้องยอมรับเรื่องนี้ไปโดยปริยาย”
“ใครที่เป็นเจ้าหน้าที่คนใหม่คนนั้นเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ผมรู้แค่เขามีแซ่ว่า โฮ่ว” ผู้จัดการพูด
“ไม่เห็นเคยได้ยินแซ่นี้มาก่อนเลย” หวังเย้าพูด
“คุณคุ้นเคยกับคนข้างในด้วยเหรอครับ?” ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายผู้จัดการที่ต้องประหลาดใจ
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมแค่พอรู้จักกับตระกูลใหญ่บางตระกูลในปักกิ่งก็เท่านั้น” หวังเย้าตอบ
“งั้นช่วยบอกผมทีสิว่าตระกูลไหนบ้าง” ผู้จัดการพูด
“คุณเคยได้ยินชื่อตระกูลซูไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ตระกูลซูถือเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอำนาจสุดในปักกิ่ง” ผู้จัดการพูด “ผู้อาวุโสของตระกูลพวกเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ หนึ่งในนั้นมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี และอีกคนมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการในสองหน่วยงานที่ถือว่ามีอำนาจมากที่สุดด้วย และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ซูฉางเหอได้แต่งงานกับบุตรสาวของตระกูลซง ถือเป็นคู่ที่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก! พวกเขาถือได้ว่า เป็นตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในปักกิ่งเลยล่ะ”
“จริงเหรอครับ?” หวังเย้ารู้สึกแปลกใจ
เขากำลังคบอยู่กับซูเสี่ยวซวี และรู้อยู่แล้วว่าตระกูลของเธอนั้นมีอำนาจมาก แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามากแค่ไหน เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับตระกูลซูอีก
“จริงสิ คุณรู้จักคนในตระกูลซูเหรอ?” ผู้จัดการถาม
“ครับ รู้จักอยู่สองสามคน” หวังเย้าพูด
“จริงเหรอครับ?” ผู้จัดการถาม
“เลิกพูดเรื่องตระกูลซูดีกว่านะ ผมอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลโฮ่วมากกว่า” หวังเย้าพูด
“เอ่อ แล้วยังมีตระกูลไหนในปักกิ่งที่คุณรู้จักอีกไหม?” ผู้จัดการถาม
“ตระกูลกั๋ว” หวังเย้าพูด
“อ่อ คนที่มีอำนาจเป็นอันดับสองของจังหวัดก็คือคนที่มาจากตระกูลกั๋ว” ผู้จัดการพูด “เขาถือว่าเป็นคนดูแลทุกอย่างและมีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แน่นอนว่า ตระกูลกั๋วถือเป็นตระกูลที่มีอำนาจอยู่พอตัว แล้วคุณรู้จักใครอีกไหม?”
“ตระกูลหวู” หวังเย้าพูด
“ผมรู้จักพวกเขา” ผู้จัดการพูด “ผมเคยได้ยินเรื่องของผู้อำนวยการหวูกับรองหวู ใช่ พวกเขาถือเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอำนาจ”
“ถ้าเทียบกับสามตระกูลที่ผมพูดไป ตระกูลโฮ่วถือว่าอยู่ในระดับไหนเหรอ?” หวังเย้าถาม
“อำนาจน้อยกว่าตระกูลหวูไปนิดหน่อย” ผู้จัดการพูด
“แล้วทำไมซุนเจิ้งหรงจะต้องมากังวลกับเรื่องนี้ด้วยล่ะ?” หวังเย้าถาม
“หา?” ผู้จัดการแปลกใจ “คุณไม่รู้เหรอว่าสถานการณ์ของตระกูลตอนนี้น่ะ มันซับซ้อนขนาดไหน? มันไม่ได้ดูเรียบง่ายอย่างที่ตาเห็นหรอกนะ ในประเทศจีน มีตระกูลที่มีอำนาจล้นมืออยู่แค่ไม่กี่ตระกูลเท่านั้น แล้วตำแหน่งที่ตระกูลโฮ่วถืออยู่ก็ถือว่าอยู่ในจุดไต้ตำตอเลยล่ะ”
“ที่นี่มีคนของตระกูลโฮ่วอยู่เยอะไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“เอ่อ คุณช่วยหยุดถามแล้วให้ผมพูดให้จบก่อนได้ไหม” ผู้จัดการพูด
เขาบอกหวังเย้าเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลโฮ่ว และความเป็นศัตรูที่เกิดขึ้นระหว่างตระกูลโฮ่วกับตระกูลซุน ลูกชายคนที่สามของตระกูลโฮ่วอยู่ที่เมืองเต๋าและได้เข้าควบคุมอำนาจในบริษัทของซุนเจิ้งหรงโดยไม่จ่ายเงินให้ซุนเจิ้งหรงแม้แต่หยวนเดียว และบริษัทนั้นก็มีมูลค่าหลายล้านหยวน
“เขาไม่จ่ายอะไรเลย แต่มันจะง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอ?” หวังเย้าประหลาดใจ
“ใช่ ง่ายยังงั้นเลยล่ะ” ผู้จัดการพูด
“ผมไม่คิดว่า ซุนเจิ้งหรงจะเป็นคนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆแบบนั้นหรอกนะ” หวังเย้าพูด
“เขาไม่ได้อยากจะยอมแพ้เรื่องบริษัทของเขาหรอก แต่ทางหนึ่งมันก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเขา เพราะเมื่อตระกูลโฮ่วได้บริษัทของเขาไปแล้ว พวกเขาก็ไม่มายุ่งอะไรกับเขาอีก” ผู้จัดการพูด “แล้วผมก็คิดว่า เขาคงกำลังลองเชิงอยู่ด้วย”
“เพื่ออะไรล่ะ?” หวังเย้าถาม
“เขาอยากจะรู้ว่า ตระกูลโฮ่วต้องการอะไรกันแน่ แล้วพวกเขาต้องการมากแค่ไหน” ผู้จัดการพูด “ผมเชื่อว่า ซุนเจิ้งหรงคงเตรียมใจสำหรับเรื่องเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นเอาไว้แล้วล่ะ”
ผู้จัดการหาวออกมา “ขอโทษที เมื่อคืนผมไม่ค่อยได้นอนน่ะ”
“คุณเคยได้ยินประโยคที่ว่า การหลับนอนกับสาวงามจะนำผู้กล้าไปยังหลุมฝังศพไหม?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม “ในบางครั้ง สาวงามก็เปรียบได้กับใบมีดที่ใช้ขูดกระดูก”
“หา?” สายตาที่ผู้จัดการใช้มองหวังเย้าเปลี่ยนไป
“คุณอาจจะมีอาการอ่อนแรงที่บริเวณเอวกับเข่า บางครั้งก็จะได้ยินเสียงอื้ออึงอยู่ในหู, แล้วก็เจ็บอ่อนๆที่ท้องน้อยด้วย น้องชายของคุณก็ไม่เข้าที่เข้าทางด้วย” หวังเย้าพูด
“คุณรู้ได้ยังไงกัน?” ผู้จัดการถาม เขาเผลอนั่งตัวตรงและมีสีหน้าตื่นตะลึง ที่หวังเย้าพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง
“ลูกชายคนที่สามของตระโฮ่วควบคุมบริษัทไหนอยู่?” หวังเย้าถาม
“บริษัทการค้าระหว่างประเทศ ชื่อว่า บริษัทห่ายเทียนเทรดดิ้งจำกัด” ผู้จัดการพูด “คุณเป็นหมอเหรอ? คุณพอจะบอกเรื่องอาการของผมมากกว่านี้ได้ไหม?”
“ผมไม่ใช่หมอหรอก ผมเป็นแพทย์ปรุงยาน่ะ” หวังเย้าพูด
“แพทย์ปรุงยางั้นเหรอ?” ผู้จัดการถามด้วยความประหลาดใจ แล้วเขาก็ทำท่าจุดบุหรี่อีกมวนหนึ่ง
“โทษที” หลังจากที่เห็นสายตาของหวังเย้า เขาก็รีบโยนบุหรีมวนนั้นทิ้งทันที
“คุณก็น่าจะรู้นี่ ว่าอาการของคุณเกิดจากการที่คุณมีเซ็กซ์มากเกินไป” หวังเย้าพูด
“ผมรู้ แต่พอเห็นผู้หญิงสวยๆทีไร ผมก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกที” ผู้จัดการพูด “ผมแค่อยากจะคุยกับพวกเธอ แต่บางครั้ง การคุยก็นำไปสู่อย่างอื่นได้ด้วย”
“ถ้าคุณไม่ควบคุมตัวเองให้ดีละก็ ในอีกสองปีให้หลัง คุณจะไม่สามารถมีเซ็กซ์ได้อีก” หวังเย้าพูด
“คุณหมายความว่ายังไง?” ผู้จัดการตกใจ
“ก็หมายความอย่างที่ผมพูดนั่นแหละ” หวังเย้าพูด “ถ้าคุณยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตัวเอง คุณก็จะไม่สามารถมีเซ็กซ์ได้อีก แล้วนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเดียวที่คุณมีอยู่ด้วย คุณยังมีปัญหาที่กระเพาะ ผมเดาว่า คุณคงจะดื่มอย่างน้อยๆก็วันละขวดสินะ”
735 โอ๊ย
“ใช่ ผมดื่มหนักมาก” ผู้จัดการหนุ่มพูด และเริ่มให้ความสนใจหวังเย้ามากขึ้น
เขาแปลกใจที่หวังเย้ารู้เกี่ยวกับอาการของเขามากมายขนาดนี้ เขาสงสัยว่า ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ไปรู้จักกับเพื่อนคนใดคนหนึ่งของเขา หรือเขารู้ได้จากแค่การมองเท่านั้น หวังเย้าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปไล่ถามคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องของเขา ซึ่งนั่นก็หมายความได้ว่า หวังเย้าอาจจะวิเคราะห์ทุกอย่างออกมาได้จากแค่การมองเท่านั้น
แอลกอฮอลคือยาพิษ และหญิงงามก็คือมีดที่ขูดเลือดเนื้อ ทั้งสองสามารถกลายเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ คนที่เสพติดเซ็กซ์หรือว่าแอลกอฮอล พวกเขาจะค่อยๆดำดิ่งลึกลงไปจนถอนตัวไม่ขึ้น
“การเสพติดเซ็กซ์และดื่มหนักจะเป็นอันตรายอย่างมากต่อสุขภาพของคุณ ผมคิดว่า คุณน่าจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว” หวังเย้าพูด
“ใช่ ผมรู้ แต่ผมก็ควบคุมตัวเองไม่ได้” ผู้จัดการพูด
หวังเย้ายิ้ม
“แล้วคุณช่วยผมได้ไหม?” ผู้จัดการถาม “ผมยินดีจ่ายเงินให้คุณ แล้วคุณก็ไม่ต้องจ่ายเงินที่เหลือด้วย”
“ถ้าคุณมีจิตใจที่เข้มพอ ผมก็พอจะช่วยคุณได้” หวังเย้าพูด
“พูดตามตรงนะ ผมคิดว่าผมทำไม่ได้หรอก” ผู้จัดการพูด
“คุณอยากจะรักษาไหม?” หวังเย้าถาม
“อยาก” ผู้จัดการพูด
“คุณอยากจะรักษามากแค่ไหนล่ะ?” หวังเย้าถาม
“อยากมากเลยล่ะ” ผู้จัดการพูด
“โอเค งั้นลุกขึ้นยืน” หวังเย้าพูด
“ทำไมเหรอ?” ผู้จัดการถามด้วยความแปลกใจ เขาไม่เข้าใจความหมายของหวังเย้า แต่ก็ยังลุกขึ้นยืนตามที่หวังเย้าบอก
หวังเย้ากดเขาไปที่ร่างกายของเขาอยู่หลายครั้ง
“คุณทำอะไรน่ะ?” ผู้จัดการถามด้วยความงุนงง
“แค่นี้แหละ” หวังเย้าพูด
“แค่นี้?” ผู้จัดการถาม
“ใช่ เดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง” หวังเย้าพูด
เชี่ยเอ้ย! ฉันมันโง่เอง ช่างมันเถอะ ยังไงฉันก็ได้เงินมาพันหนึ่งแล้ว ผู้จัดการจัดหวังเย้าให้อยู่ในรายชื่อของคนที่เขาไม่ต้อนรับและเป็นพวกต้มตุ๋นไปแล้ว
“ส่วนนี่เป็นเบอร์ติดต่อที่คลินิกของผม ถ้ามีคำถามอะไรก็โทรมาได้” หวังเย้าทิ้งเบอร์ติดต่อของเขากับผู้จัดการ ก่อนที่เขาจะไป
“คุณไม่ใช่คนที่นี่เหรอ?” ผู้จัดการถาม
“ไม่ใช่” หวังเย้าพูด
“แล้วคุณอยากรู้เรื่องอะไรอีกไหม?” ผู้จัดการถาม
“ไม่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด
“คุณอยากรู้เรื่องอะไรอีกไหมล่ะ?” ผู้จัดการพูด “ผมค่อนข้างถูกใจคุณนะ ผมยินดีให้ส่วนลดคุณเลย แล้วผมก็ถือเป็นคนที่รู้ข้อมูลมากที่สุดในเมืองเต๋าด้วย”
เขาเสียเงินไปพันหยวน ดังนั้น เขาจึงอยากได้มันคืน เขาไม่คิดว่า หวังเย้าที่ดูใส่ซื่อจะกลายเป็นพวกต้มตุ๋นไปได้ เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกทำร้ายทางอ้อม ทั้งๆที่ตัวเขาถือเป็นคนมองคนเก่ง และมันก็ทำให้เขาไม่พอใจเอามากๆด้วย
เขาต้องเอาคืนหวังเย้า โดยการใช้สติปัญญาของเขาเข้าสู้
“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ ผมคงต้องไปแล้ว” หวังเย้าพูด
การจ่ายเงินหนึ่งพันหยวนสำหรับข้อมูลเหล่านี้มันดูมากเกินไป แต่สำหรับหวังเย้าที่ไม่ใช่คนท้องที่ การได้ข้อมูลเหล่านี้มาถือว่าคุ้มค่ามาก
“หา?” ผู้จัดการหนุ่มแปลกใจ “คุณจะไปแล้วเหรอ? อยู่ดื่มด้วยกันสักหน่อยสิ ผมเลี้ยงเอง”
“ไม่ล่ะ ขอบคุณ แต่ผมไม่ดื่ม” หวังเย้าพูด
เขาเดินออกไปจากผับ ปล่อยให้ผู้จัดการยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
“เชี่ย!” ผู้จัดการสบถออกมา
“ยินดีด้วยบอส ธุรกิจเป็นด้วยดีไหมครับ?” พนักงานร้านถามเขาด้วยรอยยิ้ม
“ไปไกลๆเลยไป!” ผู้จัดการตะคอก “ได้มาแค่พันเดียว มันจะไปพอค่าข้าวที่ไหนกัน แม่ง! ฉันถามชื่อเขาได้ยังไงกัน ฉันกลายเป็นคนขี้ลืมเข้าไปทุกวัน!”
“บอส วันนี้เราจะเปิดร้านกี่โมงดีครับ?” พนักงานถาม
“สี่ทุ่ม” ผู้จัดการพูด
เขาเดินขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นบนด้วยอารมณ์หงุดหงิด ห้องนอนของเขามีสไตล์การตกแต่งที่ล้าสมัย บนเตียงนุ่มมีสาวงามนอนเปลือยท่อนบนอยู่ เธอมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ดูง่วงงุน
“ที่รัก คุณไปเจอใครมาเหรอคะ? คุณทำฉันตื่นเลย” น้ำเสียงของเธอหวานราวกับช็อกโกแลตร้อนๆ
“แค่ลูกค้าน่ะ แต่ดันกลายเป็นพวกต้มตุ๋นไปซะได้” ผู้จัดการพูด
“พวกต้มตุ๋น?” เธอพูด
“ช่างมันเถอะนะที่รัก อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย” ผู้จัดการถอดเสื้อผ้าของเขาออก
หญิงสาวที่อยู่บนเตียงนั้นน่ารักน่าใคร่ เขาต้องใช้ความพยายามและเวลาไปมากเพื่อให้ได้เธอมา และเขาก็มีความสุขกับทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเธอ
“คุณพูดถูก” เธอพูดเสียงหวาน
ผู้จัดการกระโดดเข้าใส่เธอ “โอ๊ย!” อยู่ๆเขาก็รู้สึกเจ็บที่ท้องน้อย มันเจ็บราวกับมีใครเอามีดมาแทงเขา แล้วเขาก็เริ่มมีเหงื่อออก
“เป็นอะรไปคะ?” หญิงสาวตกใจ
“เจ็บ…ผมเจ็บที่ท้อง” ผู้จัดการพูด
“ให้ฉันโทรเรียกรถพยาบาลไหมคะ?” หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้อง ผมจะลองทนดูก่อน” ผู้จัดการพูด
เขานอนอยู่บนเตียงและพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ ความเจ็บปวดเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและก็จากไปอยากรวดเร็วเช่นกัน
“รู้สึกดีขึ้นบ้างรึยังคะ?” เธอถาม
“อืม” ผู้จัดการพูด
“ฉันจะไปหาอะไรมาให้กินนะคะ” เธอพูดพร้อมกับลุกออกไปจากเตียง
เธอมีเรือนร่างที่งดงามและเปลือยเปล่า มันจึงทำให้ผู้จัดการถูกปลุกอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง
“โอ๊ย!” เขาร้องออกมาอีกครั้ง อยู่ๆความเจ็บปวดก็กลับมา “เชี่ย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?”
เขาเกิดอาการเจ็บที่จุดเดียวกันถึงสองครั้ง
“มันจะต้องเป็นเพราะผู้ชายคนนั้นแน่ๆ!” ผู้จัดการพูดพึมพำกับตัวเอง
เขานึกถึงหวังเย้าขึ้นมาทันที เพราะจุดที่เขาเจ็บถึงสองครั้งนี้ก็คือจุดที่หวังเย้ากดลงไป เดี๋ยวนะ! หรือนั่นจะเป็นวิธีการรักษาของเขา?
เห็นได้ชัดว่า เมื่อเขาถูกปลุกเร้าทางอารมณ์ เขาก็จะเจ็บที่ท้องน้อยขึ้นมาทันที ดังนั้น เขาก็จะมีเซ็กซ์อีกไม่ได้ แต่จะให้เขาเป็นแบบนี้ไปตลอดก็คงไม่ได้ เขาไม่อยากกลายเป็นขันที
“ที่รักกำลังคิดอะไรอยู่เหรอคะ?” คุณรู้สึกดีขึ้นบ้างรึยัง?” หญิงสาวส่งเสียงถามมาจากห้องครัวที่อยู่ชั้นบน
“ไม่มีอะไร ผมรู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ” ผู้จัดการหนุ่มพูด โอ้ ไม่นะ! แฟนสาวสุดสวย, ชีวิตของฉัน, ความสุขของฉัน!
เขานวดขมับตัวเอง
“เดี๋ยวก่อนสิ! เขาทิ้งเบอร์เอาไว้นี่นา” ผู้จัดการหนุ่มรีบลุกออกจากเตียง “ที่รัก ผมลงไปข้างล่างแปบนึงนะ”
“ค่ะ” หญิงสาวพูด
ผู้จัดการรีบลงไปชั้นล่างเพื่อหาเบอร์โทรของหวังเย้า เขาเจอมันและพยายามจดจำเบอร์เอาไว้ ก่อนที่จะโยนมันทิ้ง เบอร์โทรนี้สำคัญกับเขามาก มันคือสิ่งที่จะตัดสินชีวิตในอนาคตของเขา
“ที่รัก ฉันทำอาหารไว้ให้แล้วนะคะ” หญิงสาวพูด
เธอเป็นคนน่าตาดีมาก ถ้าหากมีหนึ่งร้อยคะแนนสำหรับการตัดสินผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบละก็ เธอคงจะได้ 75 คะแนนขึ้นไปอย่างแน่นอน ถ้าเรื่องงานบ้านของเธอดีกว่านี้ เธอคงจะได้ 85 คะแนน และถ้าทำอาหารอร่อยด้วยละก็ เธอต้องได้ 95 คะแนนอย่างแน่นอน
เธอทำอาหารไว้สองอย่าง กับบะหมี่ใส่เนื้อหมู
“อร่อย” ผู้จัดการพูด
“ดื่มไวน์หน่อยไหมคะ?” เธอถามด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ ไม่ล่ะ ขอบคุณ” ผู้จัดการหนุ่มพูด
ก่อนที่เขาจะเจอกับหวังเย้า เขามักจะดื่มไวน์แก้วหนึ่งในทุกมื้ออาหาร ไวน์กับสาวงามคือส่วนสำคัญในชีวิตของเขา แต่หลังจากที่ต้องพบเจอกับความเจ็บปวดที่ท้องน้องถึงสองครั้ง เขาก็พอจะเดาได้ว่า หากดื่มไวน์เข้าไป เขาจะต้องมีอาการไม่ต่างกันอย่างแน่นอน ความเจ็บปวดสองครั้งนั้นมันมากพอสำหรับเขาแล้ว เขาไม่อยากจะพบเจอกับมันอีก
“เธอทำอาหารเก่งมากเลยนะ” ผู้จัดการหนุ่มพูด
“คุณชอบอาหารที่ฉันทำเหรอ?” เธอมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนและพูดว่า “ถ้าคุณชอบ งั้นฉันจะทำให้คุณกินทุกวันเลย”
“จริงเหรอ?” ผู้จัดการหนุ่มถามด้วยประหลาดใจ เขารู้ว่าเธอกำลังหมายความว่าอะไร “โอเค”
เขาคิดว่า มันคงจะดีถ้าเขาได้แต่งงานกับผู้หญิงแบบเธอ แต่เขาก็ต้องยอมปล่อยมือสาวงามคนอื่นๆไป มันจะเป็นการเลือกที่ฉลาดหรือเปล่านะ?
“วันนี้ เธอจะออกไปข้างนอกรึเปล่า?” เขาถาม เขามีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดการ
“ไปสิคะ” เธอพูด
ในขณะเดียวกัน หวังเย้าก็กำลังคิดหาทางช่วยซุนเจิ้งหรงอยู่ เขาตัดสินใจไปพบกับเจ้าหน้าที่รัฐจากตระกูลโฮ่วคนนั้นก่อน ผู้จัดการผับคนนั้นบอกกับเขาว่า ทายาทของตระกูลโฮ่วคนนี้นั้นมีความสนใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ หญิงสาวหน้าตาดี
เป็นอะไรที่น่ารังเกียจจริงๆ หวังเย้าคิด
736 สิงโตคำราม
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชายหนุ่มจะชื่นชอบสาวงาม แม้แต่ขงจื้อยังเคยพูดเอาไว้ว่า ความต้องการในอาหารและเซ็กซ์คือธรรมชาติของมนุษย์ แต่คุณโฮ่วคนนี้ไม่ได้มีรสนิยมเหมือนคนทั่วไป
ผู้จัดการผับบอกกับหวังเย้าว่า ลูกชายคนที่สามของตระกูลโฮ่วทำเรื่องเลวร้ายเอาไว้มากมาย และถึงขนาดมีคนตายเพราะเขามาแล้ว แบบนี้มันออกจะเกินไปสักหน่อย
เขาอยู่ที่นี่สินะ หวังเย้ายืนอยู่ตรงหน้าหมู่อาคารที่เป็นที่พักสุดหรูแห่งหนึ่ง ที่นี่อาจจะถือได้ว่า เป็นที่พักที่ดีที่สุดในเมืองเต๋าแล้ว เขาเดินเข้าไปภายในด้วยท่าทีสบายๆและตรงไปยังที่พักอาศัยที่ดีที่สุดในย่านนี้
รถคันนั้นน่าจะมีราคาหลายล้านหยวน หวังเย้าที่มองดูรถคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ด้านนอกตัวบ้านคิดในใจ คนรวยนี่ช่างสรรหาความสุขกันจริงๆ
ภายในตัวบ้าน ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงกับผู้หญิงอีกสองคน เขาดูเหมือนจะยุ่งมากด้วย
หืมมม ดูเหมือนเขาจะยุ่งอยู่ซะด้วย หวังเย้าเดินไปรอบๆตัวบ้านและรู้ได้ทันทีว่า ชายหนุ่มที่อยู่ภายในบ้านกำลังทำอะไรอยู่ มีเซ็กซ์กับผู้หญิงสองคนตอนกลางวันแสกๆเลยเหรอ? หื่นจริงๆ!
หวังเย้าไปยืนอยู่ที่จัดหนึ่งและมองเข้าไปด้านใน เขาสูดลมหายใจเข้าลึก และใช้ทักษะสิงโตคำรามที่ดังสนั่นราวกับเสียงฟ้าผ่า
โฮกกกก!
เปรี๊ยะ! กระจกหน้าต่างชั้นแรกแตกกระจายในทันที
“อะไรกันวะ?” ชายหนุ่มที่อยู่ภายในตัวบ้านสบถออกมา
เขากำลังมีความสุขอยู่กับสาวสวยสองคน แต่อยู่ๆร่างกายของเขาก็ไร้เรี่ยวแรง ราวกับมีลมเย็นพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขา แล้วเขาก็ตัวอ่อนทรุดลงไปนอนกองอยู่บนเตียง
ไม่นะ!
เขาเป็นพวกติดเซ็กซ์ แต่เขาสามารถทำกิจกรรมบนเตียงได้อย่างต่อเนื่องเพราะอายุที่ยังน้อย แล้วเขาก็ยังรู้จักการดูแลตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วย แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเขาในเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด
“ใครมันมาตะโกนแถวนี้กันวะ?” เขาเริ่มโมโห
เขากระโดดลงจากเตียง แล้ววิ่งไปที่หน้าต่างทั้งๆที่ไม่มีเสื้อผ้าติดกายแม้แต่ชิ้นเดียว แต่เขากลับมองไม่เห็นใครเลย ทั้งหมดที่เขาเห็นมีแค่ต้นไม้ใบหญ้าและสุนัขตัวหนึ่ง
ไม่มีใครงั้นเหรอ? เป็นไปได้ยังไงกัน?
บนเตียงคิงไซส์มีสาวงามอายุยี่สิบต้นๆกำลังนอนรอเขาอยู่บนเตียงด้วยร่างกายเปลือยเปล่า
ลองตะโกนอีกรอบสิวะ เขาคิด แล้วเขาก็กลับไปที่เตียง แต่เขากลับไม่ตื่นตัวอย่างที่ต้องการ
“แม่งเอ้ย!” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
“พวกเธอสองคนออกไปให้พ้น!” เขาตะคอกใส่หญิงสาวสองคนที่อยู่บนเจียง พวกเธอไม่ได้เอ่ยถามอะไรเขา และรีบใส่เสื้อผ้าของตัวเอง ก่อนจะออกไปจากบ้าน
หวังเย้าที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ด้านนอกตัวบ้าน เห็นหญิงสาวสองคนเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น พวกเธออาจจะยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมด้วยซ้ำ ทุเรศจริงๆ!
เขายังไม่จากไปไหน และยังรอคอยอยู่ที่จุดเดิม ไม่นาน ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินออกมาจากตัวบ้าน เขาสูงประมาณ 170 เซนติเมตร เขาเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรงและหน้าตาดี
นั่นจะต้องเป็นเขาแน่ ถ้าไม่มีคนอย่างเขาอยู่ โลกก็คงจะกลายเป็นที่ที่ดีกว่านี้ หวังเย้าคิด
“แม่ง อย่าให้ฉันจับได้นะ” บุตรชายคนที่สามของตระกูลโฮ่วพูด
เขาสบถไปตลอดทางที่เดินออกจากตัวบ้าน เขากำลังจะเดินไปตรวจดูกล้องวงจรปิดเพื่อหาดูว่าใครที่มาตะโกนหน้าบ้านของเขา เขารู้สึกไม่พอใจในการรักษาความปลอดภัยของที่นี่ พวกเขาควรจะทำงานให้ดีกว่านี้
“สวัสดี นี่ฉันเอง” เขาได้ยินเสียงใครบางคนกำลังพูดกับเขาใกล้ๆ เสียงนั้นส่งผ่านรูหูเข้าไปยังส่วนสมองของเขา
“โอ๊ย!” เขากรีดร้องออกมา
ความเจ็บปวดนั้นรุนแรงจนแทบทนไม่ไหว เขาใช้มือทั้งสองข้างกุมศีรษะของตัวเองเอาไว้ ก่อนที่เขาจะทันได้กรีดร้องออกมาอีกครั้ง เขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างติดอยู่ที่ลำคอของเขา เขาไม่สามารถส่งเสียงได้เลย แล้วเขาก็หมดสติไปทันที
หวังเย้าแบกเขาเข้าไปในตัวบ้าน ราวกับกำลังหิ้วไก่ตัวหนึ่ง แล้วเขาก็เดินดูด้านในของตัวบ้าน
เขาพบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งและฮาร์ดดิสก์แบบพกพาอยู่ภายในห้องนอน สิ่งที่เขียนอยู่ในสมุดบันทึกล้วนเป็นเรื่องที่น่าขยะแขยง บุตรชายคนที่สามของตระกูลโฮ่วได้เขียนรายละเอียดของผู้หญิงที่เขาออกเดทด้วย รวมไปถึงวิธีการที่พวกเขามีเซ็กซ์กันก็ถูกเขียนในสมุดบันทึกเล่มนั้น
หวังเย้าเปิดอ่านสมุดบันทึกคร่าวๆ และพบว่า ผู้หญิงหลายคนถูกบังคับหรือวางยาเพื่อให้มีอะไรกับคุณชายโฮ่วคนนี้ รายละเอียดต่างๆถูกเขียนเอาไว้ในสมุดเล่มนี้ทั้งหมด
สมุดเล่มนี้น่าจะใช้ประโยชน์ได้ หวังเย้าคิด
เขาเดินไปที่ห้องนั่งเล่น ที่เขาได้วางร่ายไร้สติคุณชายโฮ่วเอาไว้ หวังเย้ากดจุดตามส่วนต่างๆบนร่างกายของชายหนุ่ม
“ได้เวลาที่นายต้องชดใช้กรรมบ้างแล้ว” หวังเย้าพูด ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากตัวบ้าน
ในขณะเดียวกัน ซุนหยุนเชิงที่เพิ่งเสร็จจากงานก็กำลังเดินออกมาจากตัวตึก คนขับรถของเขายืนพิงตัวรถในขณะที่กำลังรอคอยเขา ทันทีที่ซุนหยุนเชิงเข้าไปนั่งในรถ ก็มีห่อของพุ่งเข้ามาจากด้านนอกโดยไม่รู้ที่มา และตกอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ
“ระวัง!” บอดี้การ์ดกระโดดเข้าไปขว้างตรงหน้าเขา
คนที่อยู่ใกล้ๆต่างตกใจและพากันหันไปมองซุนหยุนเชิง
“อะไรน่ะ?” เขาถาม
บอดี้การ์ดเปิดห่อของออกดู และพบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งกับฮาร์ดดิสก์แบบพกพาอยู่ภายในนั้น
“นี่มันอะไรกัน?” ซุนหยุนเชิงขมวดคิ้ว แล้วหยิบของสองอย่างนั้นขึ้นมาดู “ไปกันเถอะ”
เขาตรวจสอบข้อมูลที่อยู่ในสมุดและฮาร์ดดิสก์ จากนั้น เขาก็ใช้ความคิดอยู่นาน เขาพอจะรู้อยู่บ้างว่าคุณชายโฮ่วเป็นคนแบบไหน ความจริง เขาได้เคยส่งคนแอบติดตามคุณชายโฮ่วมาก่อน ทำให้เขารู้ว่าคุณชายโฮ่วสนใจเรื่องอะไรบ้าง แต่เขาไม่ได้หลักฐานอะไรสักอย่าง
ใครเป็นคนเอามาให้ฉันกัน? แล้วเพราะอะไร? ซุนหยุนเชิงคิด
หลักฐานสองชิ้นนี้มีประโยชน์อย่างมาก แต่เขาก็ต้องเสี่ยงกับการล้มไปด้วยกันกับตระกูลโฮ่ว เขาไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ ดังนั้น เขาจึงนำของเหล่านี้ไปให้พ่อของเขาดู
“ลูกไปได้มันมาจากที่ได้?” หลังจากได้ฟังซุนหยุนเชิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ซุนเจิ้งหรงก็เอ่ยถามออกมา
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ?” ซุนหยุนเชิงพูด
“ตอนนี้พ่อจะเก็บเอาไว้ก่อน พวกมันมีประโยชน์ก็จริง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้มากนัก มันยังไม่ใช่เวลาที่จะเป็นศัตรูกับพวกเขา” ซุนเจิ้งหรงพูด
“เข้าใจแล้วครับ” ซุนหยุนเชิงพูด เขาไม่ได้เชื่อมโยงเรื่องนี้ไปถึงหวังเย้าเลยแม้แต่นิดเดียว
หวังเย้านั่งรถบัสกลับไปที่ห่ายชิว เขาคิดว่า ตัวเขาไม่สามารถช่วยตระกูลซุนไปได้มากกว่านี้แล้ว แล้วเขาก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้กับพวกเขาด้วย
ภายในบ้านหลังหนึ่ง คุณชายโฮ่วค่อยๆได้สติขึ้นมา เขายังคงมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงและมองเห็นภาพซ้อน
“ฉันอยู่ที่ไหน?” เขาใช่เวลาสิบนาทีเพื่อให้มีสติเต็มร้อย และรู้ว่าเขากำลังอยู่ภายบ้านของตัวเอง
มันเป็นใครกัน? เขาคิดถึงชายที่เขาเพิ่งเจอและน้ำเสียงของชายคนนั้น คุณชายโฮ่วหมดสติไปและตื่นขึ้นมาอีกครั้งภายในห้องนั่งเล่นของตัวเอง เขาไม่มีโอกาสได้มองชัดๆด้วยซ้ำว่าใบหน้าของหวังเย้าเป็นยังไง
มันเป็นใคร? หรือจะเป็นคนจากตระกูลซุน? สาเหตุอันดับแรกที่เขามาที่เมืองเต๋าก็เพื่อสร้างความลำบากให้กับซุนเจิ้งหรง แล้วเขาก็ยึดเอาบริษัทขนาดใหญ่ของซุนเจิ้งหรงมาโดยที่ไม่จ่ายเงินแม้แต่หยวนเดียว
ไม่ พวกเขาไม่มีความกล้าที่จะล้มจมไปกับตระกูลของฉันหรอก
เขาที่เป็นเสือผู้หญิง และยังเป็นคนที่ฉลาดมากด้วย
“โอ๊ย!” อยู่ๆเขาก็รู้สึกปวดแปล็บที่ศีรษะและหน้าท้อง ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังก่อกวนอยู่ภายในของเขา
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?
เขาเหงื่อท่วมตัวจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น จากนั้นไม่นาน เขาก็ไม่สามารถอดทนกับความเจ็บปวดได้อีกต่อไป เขากดหมายเลขรถพยาบาลด้วยมือที่สั่นเทา
หลังจากเข้ารับการตรวจกับทางโรงพยาบาลอย่างละเอียดแล้ว แพทย์ก็ได้บอกกับเขาว่า เขามีอาการเส้นเลือดกระตุกและกระเพาะกับลำไส้อักเสบ
“มีแค่นี้เหรอ?” คุณชายโฮ่วถาม
“มีแค่นี้ครับ” แพทย์พูด
ทำไมอยู่ๆฉันถึงเป็นเส้นเลือดกระตุกได้? ทั้งๆที่ฉันไม่เคยเป็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ เขารับผลตรวจมาจากแพทย์และกลับไปที่บ้าน ทันทีที่เขาก้าวขาเข้าไปในบ้าน เขาก็รู้สึกมึนหัวและล้มลงไปกองกับพื้น
…
“อ้าว ลูกกลับมาแล้ว” ทันทีที่เห็นหน้าลูกชาย จางซิวหยิงก็เอ่ยทักทายเขา
หวังเย้ามาถึงที่บ้านตอนบ่ายสี่โมง พ่อและแม่ของเขาต่างก็อยู่ที่บ้านกันทั้งคู่
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีรึเปล่าจ๊ะ?” แม่ของเขาถาม
“ครับ แล้วที่บ้านไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่มีจ๊ะ ปกติดีทุกอย่าง” แม่ของเขาพูด “เย็นนี้ลูกอยากจะกินอะไรดีจ๊ะ?”
“แมไม่ต้องออกไปซื้อของข้างนอกหรอกครับ ผมเอาของมาฝากแม่ด้วย” หวังเย้าชูของที่อยู่ในมือให้แม่ของเขาดูและยิ้มออกมา
ระหว่างทางกลับมาที่บ้าน เขาบังเอิญเจอเข้ากับคนขายปลา ตัวปลาดูสดใหม่มาก ดังนั้น เขาจึงซื้อปลาตัวใหญ่กลับมาที่บ้านด้วยตัวหนึ่ง
“วิเศษไปเลย ถ้าอย่างนั้นแม้จะเอาไปทำซุปให้ลูกกินนะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
“ขอบคุณครับแม่ ผมขอไปที่คลินิกหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะกลับมา” หวังเย้าพูด
ในตอนที่กำลังเดินไปบนถนนสายหลักที่เชื่อมระหว่างทิศเหนือกับทิศใต้ของหมู่บ้านเพื่อมุ่งหน้าไปยังคลินิกนั้น หวังเย้าก็เห็นรถคันหนึ่งจอดรอเขาอยู่ที่ด้านหน้าคลินิก หมายเลขบนป้ายทะเบียนรถแสดงให้เห็นว่า รถคันนี้มาจากจังหวัดอื่น
เขาปลดล็อกประตูและเดินเข้าไปด้านใน
“ในที่สุด เขาก็กลับมาแล้ว!” ชายคนหนึ่งลงมาจากรถที่จอดอยู่ด้านนอกคลินิก และเดินเข้าไปเคาะประตู ก่อนที่จะเข้าไปด้านใน
“สวัสดีครับ หมอหวัง” ชายคนนั้นพูด
“สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“โอ้ ไม่ใช่ผมหรอกครับที่ต้องการมาพบคุณ ผมแค่อยากรู้ว่า พรุ่งนี้เช้าคุณจะอยู่ที่คลินิกรึเปล่าเท่านั้นเองครับ” ชายคนนั้นพูด
“ครับ พรุ่งนี้ผมอยู่ที่คลินิก” หวังเย้าตอบ
“เยี่ยม ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้เช้าผมจะกลับมาที่นี่พร้อมกับคนไข้นะครับ” ชายคนนั้นพูด
“ได้ครับ” หวังเย้าพูด
ชายคนนั้นกับคนไข้มารออยู่ที่หมู่บ้านนี้ได้สองวันแล้ว ถ้าหากหวังเย้ายังไม่กลับมา พวกเขาก็กำลังคิดว่าจะจากไปแล้ว
“เขายังดูเด็กอยู่เลย” หลังจากที่เดินออกมาจากคลินิกแล้ว เขาก็พึมพำออกมา “รักษาเก่งจริงรึเปล่าก็ไม่รู้”
737 ใบสั่งแพทย์ปรุงยา
หลังจากนั่งอยู่ในคลินิกได้สักพัก หวังเย้าก็เดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน
ซานเซียนวิ่งลงมาด้านล่างเพื่อต้อนรับการกลับมาของเขา มันทั้งกระโดดไปมาและส่ายหางอย่างยินดี เขาดีใจที่เจ้านายของมันกลับมาแล้ว
“ซานเซียน นายน้ำหนักขึ้นอีกแล้วใช่ไหม?” หวังเย้าพูดหยอก
โฮ่ง! โฮ่ง!
“บนเขาไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหม?” หวังเย้าถาม
โฮ่ง!
“ดี” หวังเย้าพูด
เมื่อเขาเดินไปถึงตีนเขาในจุดที่เขาได้ปลูกต้นไม้เอาไว้ เขาก็สังเกตเห็นว่า ต้นไม้กำลังเจริญเติบโตได้เป็นที่น่าพอใจ พลังด้านบนของเขาลูกนี้เริ่มกระจายตัวลงมาสู่ด้านล่างบ้างแล้ว
“ทำได้ดีมาก!” หวังเย้าสังเกตเห็นดินที่อยู่รอบต้นไม้ยังคงเปียกชุ่มอยู่
ในตอนที่เขาไม่อยู่ มีคนเอาน้ำมารดต้นไม้เหล่านี้ เขาไม่ได้ขอให้ใครมาทำให้ ดังนั้น เขาจึงเดาว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของซานเซียน
“ขอบคุณนะ ซานเซียน” หวังเย้าพูด
โฮ่ง!
พลังบนเนินเขาหนานชานเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
“ฉันยังต้องการต้นไม้มาปลูกเพิ่มที่นี่อีก” หวังเย้าพูด
การเดินทางไปยังเขาหลงหู่ในครั้งนี้ เขาได้อะไรกลับมามากมาย หากเทียบกันแล้ว เนินเขาหนานชานจะเล็กกว่าเขาหลงหู่มาก แต่การมีต้นไม้และพืชพรรณเพิ่มขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
“เดี๋ยวนะ! ของนั่นน่าจะได้ที่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด
เขาเดินเข้าหยิบโถใบหนึ่งจากในกระท่อม ด้านในมีกล่องไม้ที่แช่อยู่ในน้ำสมุนไพร เขาหยิบกล่องไม้ออกมาเพื่อตากให้แห้ง เขาตรวจดูกล่องไม้และลองดมดู
“ดี ได้ที่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด
เขาจัดการทำความสะอาดกล่องไม้และเก็บเอาไว้ จากนั้นก็เดินออกไปจากกระท่อมและเดินดูรอบๆเนินเขาหนานชาน ซานเซียนคอยเดินตามเขาอยู่เงียบๆ
“ซานเซียน เราต้องปลูกต้นไม้ต่อไป เพื่อทำให้สภาพแวดล้อมของโลกใบนี้ดีขึ้นนะ” หวังเย้าพูด
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนมีท่าทีตื่นเต้นทุกครั้งที่หวังเย้าเอ่ยถึงเรื่องการปลูกต้นไม้
“นายชอบต้นไม้เหรอ?” หวังเย้าถาม
ซี่ๆๆ! ซี่ๆๆ! เขาได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น นาทีต่อมา ก็มีงูสีดำตัวหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
“ว่าไง เสี่ยวเฮย” หวังเย้าพูด เขายังคงก้าวเดินต่อไป และตามมาด้วยผู้พิทักษ์เนินเขาอีกสองตัว
“ฉันจะปลูกต้นไม้เพิ่มที่ตรงนี้กับตรงนั้น” หวังเย้าชี้ไปตามจุดต่างๆที่เขาเดินผ่าน เขาใช้เท้าทำเป็นรูขนาดเล็กเป็นเครื่องหมายเอาไว้
จากนั้น เขาก็เดินไปที่เนินเขาซีชานและตงชาน โดยเฉพาะที่จุดพื้นที่แห่งความตายทั้งสองจุดบนเนินเขาซีชาน ดอกแดนดิไลและหญ้าหางกระรอกที่อยู่ในสองจุดนั้นก็เติบโตขึ้นได้เป็นอย่างดี
“น่าสนใจ” หวังเย้าพูด
เขานำน้ำแร่โบราณที่ผสมด้วยตัวยาที่ทำขึ้นมาจากหญ้าพิษรดลงไปที่ต้นดอกแดนดิไลกับหญ้าหางกระรอก ซึ่งมันสามารถช่วยฆ่าแมลงพิษเหล่านั้นได้ จากการทดลองของเขา แมลงกลายพันธุ์เหล่านั้นต่างก็หวาดกลัวหญ้าพิษ ตัวยาที่ทำขึ้นมาจากหญ้าพิษสามารถฆ่าพวกมันได้อย่างง่ายดาย แม้แต่กลิ่นยาก็สามารถมีผลต่อการเคลื่อนไหวของพวกมันได้แล้ว สมุนไพรรากชนิดนี้มีฤทธิ์รุนแรงมาก
ฉันต้องจัดการพวกมันให้หมด! หวังเย้าคิด แล้วที่นี่จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เขาสามารถทำให้สองสถานที่นี้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่แค่เขายังไม่พร้อมที่จะทำมันเท่านั้นเอง
ในตอนที่เขาเดินลงจากเขาท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง ระหว่างทางกลับไปที่บ้านนั้น เขาก็มองเห็นจงหลิวชวนกำลังเดินอยู่ไม่ไกลจากเขามาก
“สวัสดี หมอหวัง คุณกลับมาแล้ว!” ทันทีที่เขาเห็นหวังเย้า เขาก็รีบเดินเข้าไปหาทันที
“ใช่ ผมเพิ่งกลับมาถึงเมื่อบ่ายนี้เอง” หวังเย้าพูด
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมครับ?” จงหลิวชวนถาม
“อืม” หวังเย้าพูด “คุณกินข้าวรึยัง?”
“กินแล้วครับ” จงหลิวชวนพูด
“ผมมีอะไรจะให้คุณด้วย” หวังเย้าหยิบกล่องไม้ขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าของเขา
บนตัวกล่องไม้มีการแกะสลักคำว่า ยา药 อยู่ ส่วนอีกด้านเป็นรูปสลักภูเขา ตัวไม้มีกลิ่นสมุนไพรกระจายออกมา
“มันคืออะไรเหรอครับ?” จงหลิวชวนถาม
“แค่ของเล็กๆน้อยๆน่ะ รับไปสิ” หวังเย้าพูด “จากนี้ไป ผมจะไม่คิดเงินคนที่นำกล่องไม้นี้มารักษากับผม แล้วผมก็จะพยายามรักษาคนคนนั้นอย่างสุดฝีมือ”
“จริงเหรอครับ?” จงหลิวชวนถามด้วยความประหลาดใจ
เขารู้ว่าหวังเย้ามีความสามารถมากแค่ไหน ดังนั้น กล่องไม้อันนี้จึงมีคุณค่าต่อเขาอย่างมาก และคุณค่าของของสิ่งนี้ก็อาจจะเทียบเท่าได้กับชีวิตของคนคนหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
“จริงสิ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณมากเลยนะครับ” จงหลิวชวนพูด “แล้วมันมีชื่อเรียกไหมครับ?”
“มีสิ มันชื่อว่า ใบสั่งแพทย์ปรุงยา” หวังเย้าตอบ
“ใบสั่งแพทย์ปรุงยา?” จงหลิวชวนพูดทวน
“ในเมื่อคุณตัดสินใจจะอยู่ที่นี่แล้ว ผมคิดว่า คุณคงไม่จำเป็นต้องใช้มันหรอก” หวังเย้าพูด “แล้วคุณอ่านหนังสือที่ผมให้ไปจบรึยัง?”
“ยังเลยครับ ผมกำลังอ่านอยู่ มันเป็นหนังสือที่ดีมากเลยล่ะ” จงหลิวชวนพูด
ในตอนเริ่มแรก มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำความเข้าใจเนื้อหาภายในหนังสือ แล้วตัวเขาก็ไม่ได้มีความรู้ในเรื่องของแพทย์แผนจีนเลยด้วย เขาจึงมีท่าทีต่อต้านอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็บังคับตัวเองให้อ่านต่อไป
หลังจากผ่านไปได้สามวัน จงหลิวชวนก็เริ่มพบความน่าสนใจในหนังสือเล่มนี้ ยิ่งเขาอ่านมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเข้าใจมันมากยิ่งขึ้น หนังสือได้อธิบายเกี่ยวกับจุดฝังเข็มและเส้นเลือดภายยในร่างกายของมนุษย์ รวมไปถึงเรื่องการทำงานของร่างกายมนุษย์ด้วย
ในตอนนี้ เขาเข้าใจทฤษฎีที่สามารถช่วยเสริมความสามารถทางกังฟูของเขามากขึ้น เขารู้วิธีการฆ่าคนหรือวิธีที่จะทำให้คนหมดสติในทีเดียวได้ ในตอนที่อ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ เขาก็จะคิดเกี่ยวกับการฝึกกังฟูไปด้วย ถึงแม้ว่าจุดประสงค์ที่หวังเย้าให้เขาอ่านจะไม่ใช่แบบนี้ก็ตาม
“เยี่ยม งั้นก็อ่านต่อไปนะ มันจะช่วยคุณได้มากเลยล่ะ” หวังเย้าพูด
“หมอพูดถูก” จงหลิวชวนพูด
หลังจากที่คุยกับจงหลิวชวนได้สักพัก หวังเย้าก็กลับไปที่บ้าน
จางซิวหยิงทำซุปปลา และมันถูกนำไปตั้งไว้บนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว ตัวซุปเป็นสีขาวข้นและส่งกลิ่นหอมน่าทาน
“อืมมม อร่อย” หวังเย้าพูด
“กินให้เยอะๆนะจ๊ะ” จางซิวหยิงมองดูลูกชายของเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก “พรุ่งนี้ ลูกจะไปที่คลินิกไหมจ๊ะ?”
“ไปครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วเร็วๆนี้ ลูกจะไปที่ไหนอีกรึเปล่า?” จางซิวหยิงถาม
“ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ผมก็คงไม่ไป” หวังเย้าพูด “แม่ถามทำไมเหรอครับ?”
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก กินปลาสิจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
ในความเป็นพ่อเป็นแม่ เธอก็อยากให้ลูกชายของเธอประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เธอยังอยากให้ลูกชายของเธออยู่ด้วย โดยเฉพาะเวลาที่เธอแก่ตัวลง ที่คนโบราณพูดเอาไว้ว่า ในตอนที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ลูกๆไม่ควรไปไหนไกล มันก็สมเหตุสมผลดี
หวังเย้าไม่ได้กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานในทันทีที่เขาทานอาหารเสร็จ เขาอยู่คุยกับพ่อแม่ของเขาและนวดให้กับพวกท่านทั้งสอง แล้วออกไปจากบ้านตอนสามทุ่มครึ่ง
บนถนนไม่มีคนเดินอยู่เลย และภายในหมู่บ้านก็เงียบมาก
มันเป็นค่ำคืนที่อากาศเย็นสบาย และยังเย็นกว่าที่เมืองเต๋าด้วยซ้ำ อากาศบนเนินเขาหนานชานก็ดีกว่านี้อีกด้วย
บ้านเป็นที่ที่ดีที่สุดแล้ว! หวังเย้าคิด
เมื่อเดินเข้าไปในกระท่อม เขาก็กดเปิดสวิทย์ไฟ
…
ซุนเจิ้งหรงกำลังคุยอยู่กับซุนหยุนเชิงที่เมืองเต๋า
“อะไรนะ? โฮ่วชื่อต๋าป่วยอย่างนั้นเหรอ?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“ใช่ครับ ผมเพิ่งได้ข่าวมา ตอนนี้เขากำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ดูเหมือนว่าอาการจะหนักเอาการอยู่เหมือนกัน” ซุนหยุนเชิงพูด
“เกิดอะไรขึ้นกับเขางั้นเหรอ?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“ดูเหมือนว่าเขาจะมีอาการเส้นเลือดอุดตัน และกระเพาะอาหารกับลำไส้อักเสบครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“ก็ไม่ถือว่าหนักมาก” ซุนเจิ้งหรงพูด
โฮ่วชื่อต๋าเป็นลูกชายคนที่สามของตระกูลโฮ่ว อาการป่วยของเขาค่อนข้างแปลก แล้วพวกเขายังได้รับหลักฐานความผิดที่โฮ่วชื่อต๋าได้ทำลงไป และกำลังคิดว่า พวกเขาควรจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี และตอนนี้ โฮ่วชื่อต๋าก็ดันมาป่วยอีก
“ก่อนที่เขาจะป่วย เขาไปทำอะไรมาบ้าง?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“เขากำลังมีอะไรกับนักศึกษาผู้หญิงสองคนในบ้านของเขาครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“ลูกลองไปตามหาผู้หญิงสองคนนั้นดูหน่อยสิ” ซุนเจิ้งหรงพูด
“ได้ครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“ตามหาและถามพวกเธอว่าเกิดอะไรขึ้น” ซุนเจิ้งหรงพูด “แล้วก็อย่าให้ใครรู้ว่าเรากำลังตามเรื่องนี้อยู่”
“พ่อกังวลเรื่องอะไรอยู่เหรอครับ? หรือพ่อกลัวว่าพวกเขาจะโทษว่าเป็นผีมือของพวกเรา?” ซุนหยุนเชิงถาม
“ใช่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโฮ่วชื่อต๋าที่เมืองเต๋า พวกเราจะถือว่าเป็นผู้ต้องสงสัยในอันดับต้นๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำหรือไม่ก็ตาม” ซุนเจิ้งหรงพูดในขณะที่หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด
“ผมได้ยินมาว่า พวกเขามีศัตรูอยู่ทั่วไปหมด” ซุนหยุนเชิงพูด
“พ่อรู้” ซุนเจิ้งหรงพูด “เอาเถอะ ลูกรีบไปตามหาผู้หญิงสองคนนั้นให้เจอให้เร็วที่สุด เราต้องเตรียมตัวไว้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด”
ในขณะเดียวกัน โฮ่วชื่อต๋ากำลังนอนอยู่ภายในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเมืองเต๋า เขามีอาการปวดท้อง, ศีรษะ, และก้น
“โว้ย! มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันวะเนี่ย!?” เขาสบถออกมา
เขาเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว แต่แพทย์กลับบอกว่า เขาปกติดีทุกอย่าง เขาจึงคิดว่า แพทย์กำลังโกหกเขา เขาจะสบายดีได้ยังไง ในเมื่อเขามีอาการเจ็บตามร่างกายอย่างเห็นได้ชัด? เขาจึงตัดสินใจโทรไปบอกกับคนที่ตระกูล ว่าเขาต้องการกลับไปที่ปักกิ่ง
หรือจะเป็นฝีมือของซุนเจิ้งหรง? โฮ่วชื่อต๋าคิด
มันเป็นค่ำคืนที่ยาวนานสำหรับเขา แล้ววันต่อมา เขาก็ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลในปักกิ่ง
…
พระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าเหมือนเช่นทุกวัน หวังเย้าที่เดินลงจากเขาก็ได้เห็นคนสองคนกำลังรอเขาอยู่ที่ด้านนอกคลินิก หนึ่งในนั้นเป็นชายที่มาคุยกับเขาเมื่อวาน เขามีอายุประมาณสี่สิบกว่าและแต่งตัวดูดี อีกคนเป็นชายชราวัยประมาณหกสิบ พวกเขาสองคนดูเหมือนจะเป็นพ่อลูกกัน
738 หินแมลง
ชายวัยกลางคนเปิดประตูและเดินเข้าไปด้านในเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับอาการของพ่อเขา เขาพูดเสียงเบาว่า “ช่วงนี้ พ่อของผมมีอาการปวดหัว ช่วยตรวจดูเขาให้ทีนะครับ”
หวังเย้าตรวจดูชายชราอย่างละเอียด สีหน้าของเขาดูเฉื่อยชา ดวงตาของเขาไร้ประกายและมีการหายใจที่ผิดปกติ
“ก่อนหน้านี้คุณได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“โอ้ ใช่ เพราะฉันป่วยเป็นเส้นเลือดอุดตันน่ะ” ชายชราพูด
“นานแค่ไหนเหรอครับ? เดือนหนึ่งได้ไหม?” หวังเย้าถาม
“เดือนกว่า” ชายชราพูด
หวังเย้าจับดูชีพจรของเขาและพูดว่า “ช่วงนี้ คุณดูเหมือนจะไม่ได้ค่อยพักผ่อนสินะครับ เวลากลางคืน คุณนอนหลับสนิทไหมครับ?”
“ไม่เลย เพราะฉันปวดหัวมาก เลยทำให้ฉันนอนไม่หลับน่ะ” ชายชราพูด
ชายวัยกลางคนเคยพาพ่อของเขาไปรักษาที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ แต่ผลที่ได้กลับไม่เป็นที่น่าพอใจนัก มีเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ในตัวจังหวัดได้บอกกับเขาว่า ที่นี่มีหมอคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญในการรักษาอาการปวดศีรษะโดยเฉพาะ
แล้วชายชราก็ยกมือขึ้นนวดขมับของเขา อาการปวดศีรษะของเขา กำลังเริบขึ้นมาอีกแล้ว
หวังเย้าหยิบดึงเข็มเงินออกมาเล่มหนึ่ง แล้วฝังเข็มให้กับชายชรา แล้วอาการปวดศีรษะของเขาก็หายไปในทันที
“โอ้ ไม่ปวดแล้ว!” ชายชราตกตะลึง
ลูกชายของเขาก็ประหลาดใจเช่นกัน ในตอนแรก เพราะอายุที่ยังน้องของหวังเย้า ทำให้พวกเขารู้สึกไม่มั่นใจในความสามารถของเขา แต่การที่เขาสามารถหยุดอาการปวดศีรษะได้ในทันที ก็ทำให้ความสงสัยเหล่านั้นหายไปจนหมด พวกเขารู้แล้วว่า หวังเย้าคือผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง อย่างน้อยๆ ในหมู่แพทย์ที่พวกเขาไปรักษาด้วย ก็ไม่มีใครที่สามารถหยุดอาการปวดศีรษะของชายชราได้ในทันทีแบบหวังเย้า
อาการป่วยของชายชราเกิดจากหลายสาเหตุ ร่างกายของเขาไม่ค่อยแข็งแรง เขามีอาการนอนไม่หลับ ซึ่งมักเกิดจากอาการปวดศีรษะ ที่มากไปกว่านั้นคือ เขาเพิ่งจะออกมาจากโรงพยาบาล อาการเส้นเลือดอุดตันในสมองของเขายังไม่ถือว่าหายขาด มันยังมีอันตรายซุกซ่อนอยู่ในนั้น การไหลเวียนโลหิตที่บริเวณศีรษะของเขาไม่ราบรื่น และส่งผลให้เกิดอาการต่างๆตามมา ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะและทำให้อาการเส้นเลือดอุดตันแย่ลงด้วย
หวังเย้าอธิบายทั้งหมดให้ชายชราและลูกชายของเขาฟัง
“หมอพอจะช่วยได้ไหม?” ชายวัยกลางคนถาม
“มันรักษาได้ครับ แต่ราคาของยาก็แพงมากด้วย” หวังเย้าพูด
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาครับ” ชายวัยกลางคนพูด
ก่อนจะมาที่นี่ เพื่อนของเขาได้บอกเอาไว้แล้วว่า มันอาจจะต้องใช้เงินจำนวนมาก และยังบอกด้วยว่า หมอคนนี้มีกฎมากมายคนไข้ที่ต้องปฏิบัติตาม
“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้น ผมจะฝังเข็มกับนวดให้ก่อน” หวังเย้าพูด
เขาตรวจดูอย่างละเอียดและจากนั้นก็ดึงเข็มที่ฝังไว้ก่อนหน้านั้นออก ชายชราไม่ได้รู้สึกปวดศีรษะอีก แล้วหวังเย้าก็เริ่มนวดไปที่บริเวณศีรษะของชายชรา
ชายชรารู้สึกสบายอย่างมาก เขารู้สึกถึงความอบอุ่นภายในศีรษะ และยังรู้สึกง่วงเล็กน้อยด้วย
หวังเย้าทำการฝังเข็มลงไปทีละเล่ม หลังจากนั้นสักพัก บนศีรษะของชายชราก็มีเข็มฝังอยู่มากกว่าสิบเล่ม ชายวัยกลางคนยืนกลั้นลมหายใจอยู่ด้านนอก
เมื่อได้พบกับหวังเย้า ก็ได้ทำให้ภาพลักษณ์เกี่ยวกับแพทย์แผนจีนในหัวของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในความคิดของเขานั้น แพทย์แผนจีนควรจะมีอายุอย่างน้อยห้าสิบกว่าปีขึ้นไป และต้องมีประสบการณ์การรักษามาอย่างยาวนาน แต่หลังจากที่ได้พบกับหวังเย้า เขาก็เข้าใจแล้วว่า นักเรียนที่ยอดเยี่ยมก็สามารถกลายเป็นอาจารย์ได้ แม้จะเรียนรู้แค่ช่วงสั้นๆเท่านั้นก็ตาม
หลังจากฝังเข็มเสร็จเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าก็นวดให้กับชายชรา เขาเขียนใบสั่งยาขึ้นมาแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้เช้าให้กลับมาเอายาที่นี่นะครับ”
“ขอบคุณมาก” ชายชราพูด
หลังจากที่จ่ายเงินค่ารักษาแล้ว สองพ่อลูกก็เดินออกไปจากคลินิก
“พ่อรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” ชายวัยกลางคนถาม
“พ่อรู้สึกสบายมากเลยล่ะ” ชายชราพูด “แล้วก็รู้สึกอุ่นๆข้างในหัวด้วย”
รถขับออกไปจากหมู่บ้าน หวังเย้านั่งอยู่ในคลินิกและมองดูท้องฟ้าที่นอกหน้าต่าง ในหัวของเขามีเสียงหนึ่งดังขึ้นและได้รู้ว่า เขากำลังอัพเกรดแล้ว
[ระดับ : 8]
[ระดับความสามารถ : แพทย์ปรุงยา ใช่ มันยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น จงขยันต่อไป คุณกำลังก้าวหน้า]
[รางวัล : เมล็ดพันธุ์สมุนไพรหนึ่งถุง]
[จื๋อเป้ยหลงหยา : สามารถจัดการกับพิษของงูและแมลง, ขจัดสิ่งเลวร้ายออกจากส่วนหน้าอกกับท้อง และช่วยปลอบปะโลมจิตใจ]
มันเป็นสมุนไพรวิญญาณระดับกลาง
(เปลี่ยนจากสมุนไพรรากเป็น สมุนไพรวิญญาณ)
หวังเย้ายิ้ม เมื่อได้รับคะแนนทักษะมาอีกหนึ่ง เขาจึงเพิ่มมันเข้าไปในส่วนของเทคนิคการผลิตยา แล้วข้อมูลความรู้จำนวนมากก็หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเขา มันเหมือนกับการถูกเติมเต็มด้วยปัญญา ในครั้งนี้ ความรู้ที่ได้ต่างไปจากครั้งก่อนๆ มันเกี่ยวกับหินแมลง 虫石
ในหนังสือที่ชื่อ “ประมวลผลทางการแพทย์” มีการพูดถึง “หินทองคำ” กับ “แมลง” อยู่ด้วย มันเป็นเรื่องที่หวังเย้ารู้อยู่แล้ว ดังนั้น เขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไรนัก ความรู้จำนวนมากที่ได้มาสร้างความพอใจให้กับเขาอย่างมาก
บนถนนจากหมู่บ้านบนเขามุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองเหลียนชาน รถหรูคันหนึ่งกำลังขับเคลื่อนไปอย่างนิ่มนวล
“เสี่ยวเฟิง พ่อจะนอนสักหน่อยนะ” ชายชราพูด เขารู้สึกง่วงขึ้นมา “ถ้าไปถึงแล้วก็ปลุกพ่อด้วยล่ะ”
“ได้ครับ พ่อ” ชายวัยกลางคนพูด
หลังจากนั้นสักพัก ชายชราก็เริ่มส่งเสียงกรนออกมา เขาดูเหมือนจะเหนื่อยล้าและหลับสนิท
ลูกชายของเขาคิดในใจ หมอคนนั้นเก่งมากจริงๆ! อีกไม่นาน พ่อก็น่าจะหายดีได้! ใครจะไปคิดว่า ที่หมู่บ้านกลางเขาแบบนั้นมีมีคนแบบนั้นซ่อนอยู่?
ที่ปักกิ่ง ซึ่งไกลออกไปหลายพันไมล์
“ผู้อำนวยการเฉิง อาการของลูกชายฉันเป็นยังไงบ้าง?” แม่ของโฮ่วชื่อต๋าถาม
“เอ่อ จากการวิเคราะห์เริ่มแรกของเรา อากากป่วยของเขาเกิดจากการไหลเวียนโลหิตที่ท้องกับหัวของเขามีการติดขัดน่ะครับ” ผู้อำนวยการเฉิงตอบ
“แล้วมันรักษาได้ไหม?” เธอถาม
“เราจำเป็นต้องทำการปรึกษากันก่อน เพราะมันเป็นเคสที่หาได้ยากมากน่ะครับ” ผู้อำนวยการเฉิงพูด
“โอเค ฝากคุณด้วยแล้วกัน” แม่ของโฮ่วชื่อต๋าพูด
“ยินดีครับ” ผู้อำนวยการเฉิงพูด “ผมขอแนะนำให้เชิญหมอหลี่มาดูอาการของเขาด้วยนะครับ บางทีทางแพทย์แผนจีนอาจจะมีวิธีการการรักษาที่ดีกว่านี้ก็ได้”
ภายในห้องคนไข้ ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังกรีดร้องออกมา “อ้ากกกก มันเจ็บ!”
โฮ่วชื่อต๋าเจ็บที่ศีรษะและท้องของเขาอย่างรุนแรง มันราวกับมีแมลงไต่และกัดเขาจากภายใน มันเจ็บจนเขาทนไม่ไหวแล้ว
หลังจากที่แม่ของเขาออกมาจากห้องทำงานของแพทย์ เธอก็เดินกลับไปที่ห้องคนไข้ และเธอก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นสภาพของผู้เป็นลูกชาย เธอจึงกลับไปที่ห้องทำงานของแพทย์ เพื่อขอให้เขาบรรเทาอาการเจ็บของลูกชาย
“เราได้ให้ยาบรรเทาอาการกับเขาไปหลายตัวแล้วครับ” แพทย์พูด “เราไม่สามารถให้ได้อีก ถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะกลายเป็นเสพติดยาตัวนั้นไป”
“แต่ฉันทนเห็นเขาทรมานแบบนี้ไม่ได้” แม่ของโฮ่วชื่อต๋าพูด
หลังจากที่ลูกชายของเธอสงบลงแล้ว เธอก็เตรียมตัวที่จะกลับ เธอได้พูดถึงเรื่องที่จะเชิญหมอหลี่มาดูอาการกับลูกชายของเธอ ระหว่างที่เธอเดินออกไปนั้น เธอก็เจอเข้ากับลูกชายอีกคนของเธอ
“คุณแม่ อาการของน้องสามดีขึ้นรึยังครับ?” ลูกชายของเธอถาม
“ยังเหมือนเดิมเลยจ๊ะ” เธอตอบ “เขาเจ็บมาก แม่กำลังจะไปเชิญหมอหลี่ให้มาดูอาการของเขา”
“ให้ผมไปกับแม่ไหมครับ?” ลูกชายของเธอถาม
“ก็ดีจ๊ะ” เธอพูด
“ทำไมอยู่ๆเขาถึงป่วยแบบนี้ได้ล่ะครับ?” ลูกชายคนที่สองถาม
“มันเป็นเพราะตระกูลซุนน่ะสิ” แม่ของเขาพูด
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ลูกชายของเธอพูด “แบบนี้มันจะไม่ดูโจ่งแจ้งเกินไปหน่อยเหรอครับ?”
“แต่ชื่อต๋าเป็นคนพูดเองนะ” แม่ของเขาพูด
“ถ้าอย่างนั้น เราคงต้องสืบเรื่องนี้ดูให้ละเอียดอีกครั้ง” ลูกชายของเธอพูด
“ถึงจะไม่ใช่ฝีมือของพวกเขา ยังไงมันก็ต้องเกี่ยวข้องกับพวกเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน” แม่ของเขาพูด
…
ผู้หญิงสองคนมาที่ตระกูลซุนและบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนที่พวกเธออยู่กับโฮ่วชื่อต๋า
“อยู่ๆกระจกก็แตกอย่างนั้นเหรอ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“ใช่ค่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งตอบ
หลังจากได้ข้อมูลมากพอแล้ว หญิงสาวทั้งสองคนก็ได้รับเงินเป็นค่าปิดปากและพวกเธอก็ออกไป
“ถ้าเป็นแบบนี้ คนที่เอาหลักฐานพวกนี้มาให้เรา ก็อาจจะเป็นคนเดียวกันกับที่ทำร้ายคุณชายโฮ่วก็ได้นะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“ก็อาจจะใช่ ที่เราต้องทำตอนนี้ก็คือหาตัวคนคนนั้นให้เจอให้ได้” คนของเขาพูด “เราได้มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้ว แต่เรามองไม่เห็นหน้าของคนคนนั้นเลย และทุกอย่างก็ดูพล่ามัวไปหมด มันราวกับว่า มีหมอกปกคลุมร่างกายของเขาอยู่ชั้นหนึ่ง”
“แปลกมาก” ซุนหยุนเชิงพูด “คนคนนี้อยู่ที่ไหน? แล้วเขาตั้งใจที่จะช่วยหรือว่าทำร้ายเรากันแน่?”
…
บนเนินเขาหนานชาน หวังเย้าเลือกจุดที่เหมาะสมในการปลูกเมล็ดพันธุ์ของสมุนไพรวิญญาณจื้อเป่ยหลงหยาที่เพิ่งได้มาลงไป อากาศบนเขานั้นเย็นสบายอย่างมาก
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ หวังเย้าก็กลับไปที่คลินิกของเขา เขามีคนไข้แค่หนึ่งคนเท่านั้น เขาเป็นชายชราที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันและมาพร้อมกับเด็กคนหนึ่ง เด็กที่เขาพามามีอาการปวดท้อง เขาทั้งอาเจียนและท้องเสีย
หลังจากหวังเย้านวดให้แล้ว เด็กก็รู้สึกดีขึ้น หวังเย้ายังจ่ายยาให้เด็กนำกลับไปกินด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น