Elixir Supplier 718-731

 718 ไร้สิ่งมีชีวิต


 


ความตื่นตระหนกเริ่มกระจายวงกว้างออกไป และทำให้การขุดค้นยากขึ้นไปด้วย


 


ชาวบ้านบางคนพยายามจะหยุดการขุดค้นของพวกเขา เพราะพวกเขาคือคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาพึ่งพาอาศัยภูเขาในการดำรงชีพ ถ้าหากเริ่มมีคนที่ขึ้นไปบนเขาแล้วเสียชีวิต ต่อไปยังจะมีใครกล้าขึ้นไปบนนั้นอีก?


 


ชายชราที่นำทีมนักโบราณคดีเริ่มลังเลว่าพวกเขาควรจะไปต่อหรือไม่ ถ้าหากยังคงมีอุบัติเหตุขึ้นอีกเรื่อยๆ พวกมันคงจะเรียกว่าอุบัติเหตุอีกต่อไปไม่ได้แล้ว บางทีภายในสุสานอาจจะมีภูตผีหรือคำสาปที่มองไม่เห็นอยู่ก็เป็นได้


 


ฝนยังคงตกลงมา นักโบราณคดีที่เหลือไม่ได้เข้าไปด้านในสุสานอีก หนึ่งในเพื่อนร่วมงานของพวกเขาถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอื่นในวันนี้ หลังจากดูนอนดูอาการที่โรงพยาบาลได้หนึ่งคืนก็ไม่มีอะไรดีขึ้น และยังแย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ


 


เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นติดต่อกันเป็นทอดๆ


 


“อาจารย์ครับ เรารับมือได้ อาจารย์ไม่จำเป็นต้องมากับพวกเราหรอกครับ” ชายวัยกลางคนพูด


 


“ใช่ครับ อาจารย์ไม่เห็นต้องมาเองเลย อาจารย์น่าจะพักอยู่ที่โรงแรมดีกว่านะครับ” ชายหนุ่มพูด


 


“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็มาเล่าให้อาจารย์ฟังด้วยว่าเป็นยังไงกันบ้าง” ชายชราพูด


 


“ได้ครับ” ชายวัยกลางคนพูด


 


สรุปแล้ว การขุดค้นต้องหยุดลงเป็นการชั่วคราว


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำเขตเข้ามาทำการสืบสวนเรื่องราวการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคน มันถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง พวกเขาจึงต้องหาสาเหตุการเสียชีวิตในครั้งนี้ให้ได้ น่าเสียดายที่บริเวณนี้ไม่ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้ด้วย ถึงนักโบราณคดีจะติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้บนเขาสองตัวเป็นการชั่วคราว แต่บริเวณที่สามารถถ่ายได้ก็จำกัด เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นแค่ภาพของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนวิ่งออกจากกระท่อม และมุ่งหน้าไปยังตีนเขาด้วยความรีบร้อน ราวกับมีบางอย่างที่น่าหวาดกลัวกำลังไล่ตามพวกเขาอยู่ จากนั้นภาพของคนทั้งสองก็ไม่มีให้เห็นอีก


 


เกิดอะไรขึ้น?


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจต่างมึนงง


 


“พวกเขาเจอผีเข้ารึเปล่า?” เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งถาม “ฉันได้ยินมาว่า ตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มขุดที่นี่ มันก็เกิดเรื่องขึ้นหลายอย่างเลยล่ะ”


 


“เราน่าจะลองเข้าไปดูข้างในกระท่อมกันนะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจต่างพากันหันหน้าไปทางกระท่อมที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเขา


 


“จะไปทำไม?” เจ้าหน้าที่อีกคนถาม


 


“เดี๋ยวสิ ฉันว่า เราน่าจะไปถามพวกนักโบราณคดีกันก่อนดีกว่านะ” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งพูดขึ้นมา


 


พวกเขาไปหานักโบราณคดีที่โรงแรมและสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขา


 


“หนึ่งในพวกคุณก็มีคนป่วยด้วยเหมือนกันเหรอ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม


 


“ใช่ครับ ตอนนี้ เขาถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดแล้ว” นักโบราณคดีคนหนึ่งพูด


 


“อาการของเขาเป็นยังไงบ้างครับ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม


 


“ผมก็ไม่แน่ใจ เพราะหมอของโรงพยาบาลประจำเขตก็ยังบอกไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาน่ะครับ” นักโบราณคดีพูด


 


“แล้วเขาเริ่มป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม


 


“บ่ายวานนี้ครับ อยู่ๆเขาก็หมดสติไป” นักโบราณคดีพูด “เราก็ไม่รู้ว่า เขาเริ่มป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตอนเช้าเขาก็ยังพูดคุยหัวเราะด้วยกันเป็นปกติ พวกเราก็ไม่เห็นว่าเขาจะป่วยสักนิด”


 


“ใช่ครับ” นักโบราณคดีอีกคนพูด


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบถามนักโบราณคดีและชาวบ้าน เผื่อว่าจะมีใครเห็นอะไรที่ผิดปกติในคืนก่อน แต่กลับไม่มีใครให้คำตอบที่เป็นประโยชน์กับพวกเขาเลยสักนิด แล้วชาวบ้านยังเตือนเจ้าหน้าที่ตำรวจเรื่องของสุสานอีกด้วย


 


“อย่าเข้าไปใกล้สุสานมากนะ” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด”มันมีคำสาปอยู่ คนพวกนั้นไม่เชื่อ ก็เลยทำให้มีคนตายไปตั้งหลายคน”


 


ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นด้วยกับเรื่องนี้


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเริ่มคิดทฤษฏีหนึ่งขึ้นมา พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ว่า ตอนที่อยู่ในกระท่อม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนได้เจอเข้ากับบางสิ่งที่น่ากลัวมากๆ พวกเขาจึงวิ่งหนีออกไปจากกระท่อมด้วยความตื่นกลัว มันเป็นช่วงกลางดึกและฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่า พวกเขาสองคนไม่สามารถมองเห็นพื้นดินที่พวกเขากำลังวิ่งอยู่ และทำให้ทั้งสองตกลงไปในหลุมและจมน้ำจนเสียชีวิต


 


พวกเขาไม่สามารถคิดหาสาเหตุการเสียชีวิตที่ดีกว่านี้ได้อีกแล้ว พวกเขายังคิดอีกด้วยว่า อะไรที่ทำให้คนทั้งสองหวาดกลัวขนาดนั้นได้? หรือสิ่งที่มองไม่เห็นจะมีอยู่จริงๆ?


 


ฝนยังคงตกลงมาไม่หยุด รถคันหนึ่งขับเข้ามาในหมู่บ้าน มีคนสองคนลงมาจากรถคันนั้น


 


“เรามาถึงกันแล้ว เราต้องกลับมาที่นี่จนได้สินะ” หนึ่งในพวกเขาพูด


 


“แต่พวกเราก็ยังไม่หายดีกันเลยนะพี่” ชายอีกคนพูด


 


“ก็ฉันเป็นห่วงเรื่องที่นี่นี่นา” ชายคนแรกพูด


 


ชายสองคนนี้ก็คือ เมี่ยวซานติงและหลิวซื่อฟาง ที่เพิ่งจะไปหาหวังเย้าเมื่อไม่กี่วันก่อน และหวังเย้าก็ได้ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้ด้วย หลังออกมาจากคลินิกและพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้สองวัน พวกเขาก็เดินทางกลับมาที่หมู่บ้านซึ่งได้มีการค้นพบสุสานโบราณอีกครั้ง


 


“เป็นเพราะพวกเรา เลยทำให้มีการค้นพบสุสานเกิดขึ้น” เมี่ยวซานติงพูด “ถ้าเราไม่ไปดูฮวงจุ้ยและช่วยครอบครัวนั้นหาที่ตั้งสุสานละก็ เรื่องทั้งหมดนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น มันเลยกลายเป็นผลกรรมที่ทำให้เราเจ็บป่วยแบบนี้ยังไงล่ะ แล้วฉันก็ไม่อยากให้คนอื่นต้องมาป่วยเพราะสิ่งที่พวกเราทำลงไปด้วย ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิด”


 


เดิมที เขาคิดจะกลับมาที่สุสานเพียงลำพัง แต่หลิวซื่อฟางกลับดึงดันจะมากับเขาให้ได้ พวกเขายังไม่ได้ไปที่บริเวณสุสาน แต่เลือกที่จะไปสอบถามเรื่องราวกับครอบครัวที่พวกเขาดูฮวงจุ้ยสุสานให้ก่อน


 


“สวัสดีครับ อาจารย์เมี่ยว อาจารย์ไม่เป็นอะไรแล้วเหรอ?” ชายวัยหลางคนที่เคยจ้างวานเมี่ยวซานติงถามด้วยความแปลกใจ


 


ในตอนที่เมี่ยวซานติงและหลิวซื่อฟางค้นพบสุสานโบราณนั้น พวกเขาได้บอกกับชายวัยกลางคนและคนในครอบครัวของเขาว่า ห้ามทุกคนเข้าใกล้สุสาน ก่อนที่พวกเขาทั้งสองคนจะจากไปอย่างเร่งรีบ แต่หนึ่งในนั้นกลับแจ้งเรื่องการค้นพบนี้กับหน่วยงานท้องถิ่น ตั้งแต่นั้นมา มันก็ได้กลายเป็นสาเหตุการตายของหลายๆคน ชายวัยกลางคนจึงคิดไม่ถึงว่า เมี่ยวซานติงและหลิวซื่อฟางจะยังสามารถมีชีวิตกลับมาพบเขาได้อีก


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่สุสานเหรอ?” เมี่ยวซานติงถาม


 


“ไม่ใช่เรื่องดีสักนิดเลยล่ะครับ ตอนนี้มีคนตายไปสามคนแล้ว” ขายวัยกลางคนพูด


 


“อะไรนะ?” เมี่ยวซานติงตกใจ “เกิดอะไรขึ้น? ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่าเข้าไปใกล้ที่ตรงนั้นน่ะ”


 


“เราไม่ได้เข้าไปใกล้แถวนั้นเลย แต่มีกลุ่มนักโบราณคดีเข้าไปขุดค้นสุสาน แล้วเรื่องไม่ดีก็เกิดขึ้นต่อเนื่องไม่หยุดเลย” ชายวัยกลายคนรู้สึกแย่กับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาก


 


เขาเป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง และงานของเขาก็เป็นไปได้ด้วยดี แต่เพราะพ่อของเขาต้องการหาทำเลสร้างหลุมศพของตัวเองให้เร็วที่สุด เขาจึงว่าจ้างเมี่ยวซานติงกัวหลิวซื่อฟางมาให้คำปรึกษาหาทำเลที่สร้างหลุมศพ เขาถือเป็นลูกที่ดีคนหนึ่ง คนเฒ่าคนแก่จำนวนมากในหมู่บ้าน มักเลือกที่จะหาทำเลฝังร่างของตัวเองก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต เขาไม่คิดเลยว่า การกระทำของเขาในครั้งนี้จะทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น ชาวบ้านหลายคนไม่พอใจในตัวเขา หมู่บ้านที่เคยสงบสุขมาตลอด ได้เกิดความต่าตระหนกไปทั่วเพราะการค้นพบสุสานในครั้งนี้


 


ความตั้งใจของเขานั้นเป็นเรื่องดี แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากับเลวร้าย ในเมื่อตอนนี้ เมี่ยวซานติงและหลิวซื่อฟางกลับมาแล้ว เขาจึงคิดว่า คนทั้งสองอาจจะสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ และทำให้เขาเข้าหน้ากับชาวบ้านคนอื่นๆได้อีกครั้ง


 


“ช่วยบอกเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ผมฟังทีครับ” เมี่ยวซานติงพูด


 


“ได้สิๆ เข้ามาข้างในกันก่อนเถอะ” ชายวัยกลางคนพูด


 


เขาเชิญเมี่ยวซานติงกับหลิวซื่อฟางเข้าไปในบ้าน และบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมาให้พวกเขาฟัง


 


เชี่ย!


 


หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เมี่ยวซานติงกับหลิวซื่อฟางก็หันมามองหน้ากัน เรื่องที่พวกเขากังวลได้เกิดขึ้นแล้ว


 


“สุสานแห่งนี้มันมีปัญหาอยู่” เมี่ยวซานติงพูด


 


“อาจารย์เมี่ยว ได้โปรดช่วยจัดการเรื่องนี้ทีเถอะนะ ถ้าไม่อย่างนั้น ก็คงไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าขึ้นไปบนเขาอีก” ชายวัยกลางคนพูด


 


“ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเรา ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง” เมี่ยวซานติงพูด


 


แต่เขากับหลิวซื่อฟางทำได้แค่ดูฮวงจุ้ยเท่านั้น พวกเขาไม่รู้ถึงวิธีการต่อสู้กับวิญญาณร้าย พวกเขาคงต้องขอความช่วยเหลือในเรื่องนี้จากผู้เชี่ยวชาญแทน


 


เขาหลงหู่(龙มังกร, 虎เสือ) อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เราน่าจะลองไปที่นั่นดูนะ” หลังจากที่คิดดูสักพัก เมี่ยวซานติงก็พูดขึ้นมา


 


“โอเค” หลิวซื่อฟางพูด


 


“งั้นเราไปดูสุสานกันก่อนเถอะ” เมี่ยวซานติงพูด


 


“พี่ยังอยากจะไปที่ตรงนั้นอยู่อีกเหรอ?” หลิวซื่อฟางถามด้วยความแปลกใจ


 


“ใช่สิ ยังไงเราก็ต้องไปที่นั่น” เมี่ยวซานติงพูด


 


เขาและหลิวซื่อฟางเดินไปที่สุสานท่ามกลางสายฝนที่ยังคงโปรยลงมาไม่ขาดสาย


 


บรรยากาศรอบๆที่ตรงนี้ดูแปลกๆ!


 


พวกเขาเดินไปหยุดอยู่ตรงตีนเขา และได้กลิ่นอายของความตาย ไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่านี้อีกแล้ว ภูเขาและแม่น้ำล้วนมีจิตวิญญาณ ซึ่งควรจะปลดปล่อยกลิ่นอายที่ไปในทางบวกมากกว่ากลิ่นอายความตายแบบนี้


 


“ไปกันเถอะ” เมี่ยวซานติงพูด


 


พวกเขาเห็นกระท่อมที่ถูกสร้างขึ้นอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสายฝนอยู่ไกลๆ


 


“เอาล่ะ เราอยู่แค่ตรงนี้ก็พอแล้วล่ะ” เมี่ยวซานติงพูด “เราต้องจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”


 


พวกเขาเดินลงจากเขาและมุ่งหน้าไปยังเขาหลงหู่โดยไม่รีรอ


 


ในขณะเดียวกัน ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดฉี พี่หนานยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล


 


“หมายความว่ายังไง?” เขารู้สึกไม่พอใจมาก


 


เขาป่วยมาได้หลายวันแล้ว เขาไม่สามารถจับแก้วน้ำ, นั่ง, ยืน, กิน, หรือนอนได้เลย ตอนนี้น้ำหนักของเขาหายไปเกือบ 10 กิโลกรัมแล้ว เขาอยากจะตายให้มันพ้นๆไป แล้วตอนนี้ เขายังต้องมาได้ฟังข่าวร้ายเพิ่มอีก


 


“ทนายของเราไปคุยกับตำรวจมาแล้ว พวกเขาไม่ยอมปล่อยอาเสิ่นครับ” คนของเขาพูด


 


“ก็คิดหาทางอื่นเซ่” พี่หนานพูด “อย่าให้มันพูดอะไรออกมาเด็ดขาด เข้าใจไหม?”


 


“ครับ” คนของเขาพูด


 


“แล้วไอ้หมอนั่นล่ะ?” พี่หนานถาม


 


“พี่หมายความว่ายังไงเหรอครับ?” คนของเขาถาม


 


“ฉันก็หมายความว่า ฉันอยากให้มันตายๆไปน่ะสิ! ตาย! ให้มันตายอย่างทรมานที่สุด!” พี่หนานตะคอก


 


โชคดีที่เขารักษาตัวอยู่ในห้องพิเศษ จึงมีแค่คนของเขาเท่านั้นที่อยู่ด้านในและได้เห็นอาการบ้าคลั่งราวกับหมาบ้าของเขา


 


“อาหลิน!” พี่หนานตะโกน


 


“ครับ” อาหลินพูด


 


“ฉันยินดีจ่ายเงินห้าล้าน เป็นค่าหัวมันกับครอบครัวของมัน ฉันอยากให้พวกมันทั้งหมดต้องตายอย่างทรมานที่สุด!” พี่หนานพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกในตอนที่พูดอยู่


719 หาเรื่องใส่ตัว


 


“โอ๊ย” พี่หนานขมวดคิ้ว เขาเริ่มรู้สึกเจ็บที่ท้องของเขาอีกครั้งแล้ว มันคล้ายกับมีแมลงตัวเล็กๆจำนวนมาเคลื่อนไหวและกัดกินอยู่ภายในท้องของเขา “ไปเซ่!”


 


“ครับ เข้าใจแล้ว พี่หนานดูแลตัวเองด้วย” อาหลินพูด


 


มีเหงื่อออกอยู่เต็มหน้าผากของหงหนาน(พี่หนาน) ร่างกายของเขาสั่นอย่างรุนแรง “เรียกหมอมาเร็ว!”


 


“ครับๆ!” คนของเขาที่อยู่ภายในห้องรีบวิ่งออกไปเรียกแพทย์มา


 


หลังจากนั้นไม่นาน แพทย์ก็เดินเข้ามาภายในห้อง


 


“ฉันเริ่มเจ็บที่ท้องอีกแล้ว” หงหนานกัดฟันพูด ตอนนี้เขากำลังทรมานมาก มันเร็วร้ายยิ่งกว่าตอนที่ถูกแทงและบิดด้วยมีดเสียอีก “เอายาแก้ปวดมาให้ฉัน!”


 


“ได้ๆ รอเดี๋ยวนะ” แพทย์ออกไปเอายาและกลับมาด้วยความรีบร้อน นางพยาบาลที่ตามมาด้วยทำหน้าที่ฉีดยาให้กับเขา


 


“เฮ้อ พระเจ้า!” หงหนานถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


เขาคิดว่า เขาจะหายปวดไปได้อีกสักพัก


 


“ฮืม!?” อยู่อาการปวดก็กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?


 


หลายวันที่ผ่านมา อาการปวดของเขาจะกำเริบขึ้นแทบจะทุกวัน โดยเฉพาะที่ท้องและศีรษะ ปกติแล้ว หากเขาได้รับยาบรรเทาอาการปวด มันก็จะสามารถช่วยให้เขาหายปวดไปได้ระยะหนึ่ง แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับเปลี่ยนไป อาการปวดกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่เขาเพิ่งจะได้รับยาแก้ปวดไปได้ไม่นาน


 


พวกเขาเอายาให้เขาผิดตัวหรือเปล่า?


 


“เรียกหมอมาเดี๋ยวนี้!” เขารู้สึกเจ็บปวดทรมานจนตัวงอราวกับกุ้งที่ถูกต้มจนสุก เขางอตัว แต่ความเจ็บก็ไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม อาการเจ็บยิ่งกลับแย่ลงกว่าเดิมจนเขาทนแทบไม่ไหว


 


แพทย์ที่เข้ามาดูอาการของเขารู้สึกประหลาดใจ “นี่มันอะไรกัน?”


 


หลังจากที่ได้รับยาบรรเทาอาการปวดแล้ว หงหนานควรที่จะไม่มีอาการเจ็บแบบนี้อีก


 


“เอายาให้เขาอีกหนึ่งโดส” แพทย์สั่ง


 


พยาบาลเข้ามาทำตามคำสั่งของแพทย์ แต่ยาที่ฉีดไปกลับไม่ได้ผลเลย


 


ยาบรรเทาอาการปวดมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ครู่ต่อมา นางพยาบาลก็ได้นำยาบรรเทาอาการปวดอีกตัวหนึ่งฉีดให้กับหงหนาน แต่มันก็ไม่ได้ผลเช่นกัน เขายังคงกรีดร้องออกมาด้วยความทรมานอยู่บนเตียงนอนคนไข้


 


“ช่วยทำอะไรสักอย่างได้ไหม? ทำอะไรสักอย่างสิโว้ย!” หงหนานตะคอก


 


เสียงร้องของเขาไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการให้ลดลงเลยแม้แต่นิดเดียว


 


“เอามอร์ฟีนมาให้เขา” แพทย์สั่ง


 


ในทางการแพทย์นั้น มอร์ฟีนยังถือเป็นยาที่สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ดีที่สุดในโลก มอร์ฟีนสามารถรักษาอาการเจ็บปวดได้เกือบทุกชนิด แต่มันก็มีผลข้างเคียงตามมาด้วย ซึ่งก็คือ ผู้ใช้อาจจะเกิดการเสพติดได้


 


มันได้ผล ความเจ็บปวดจางหายไป หงหนานหายใจอย่างหนักหน่วง เขาต้องอาการอากาศเพื่อหายใจ


 


“ฉัน…ฉันต้องการออกซิเจน” เขาพูด


 


“เอาออกซิเจนมาให้เขา” แพทย์สั่ง


 


ในขณะเดียวกัน ก็มีคนไข้อีกคนกรีดร้องอยู่ในห้องของโรงพยาบาลเดียวกัน


 


“โอ๊ย!”


 


นางพยาบาลรีบวิ่งออกมาจากห้องคนไข้ด้วยท่าทีตื่นตระหนก เลือดไหลอาบอยู่ทั่วร่างกายท่อนบนของ พร้อมกับมีดหนึ่งเล่มที่ปักคาอยู่บนไหล่ขวาของเธอ เลือดยังคงไหลออกมาไม่หยุด


 


“อาติง!” เพื่อนร่วมงานของเธอรีบวิ่งเข้ามาช่วย


 


“รีบพาเธอไปแผนกคนไข้ฉุกเฉิน เร็วเข้า” นางพยาบาลคนหนึ่งพูด


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน?” นางพยาบาลอีกคนถาม


 


“หัวหน้า ใจเย็นๆ! ใจเย็นๆหน่อยเถอะครับ” ชายคนหนึ่งที่อยู่ภายในห้องพูด


 


ชายหลายคนที่อยู่ภายในห้องคนไข้ กำลังช่วยกันกดร่างของชายหัวล้านคนหนึ่งเอาไว้กับเตียงนอนคนไข้


 


“ไม่! ไม่! ไม่!” ชายหัวล้านกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง


 


อยู่ๆเขาก็กัดแขนของหนึ่งในคนที่กดตัวเขาเอาไว้ เขากัดจนสุดแรงและไม่ยอมปล่อย


 


“โอ๊ย! หยุด! มันเจ็บ! ปล่อยผม!” ชายคนนั้นพยายามดึงแขนของเขาให้หลุดจากปากของชายหัวล้าน แต่ชายหัวล้านก็ไม่ยอมปล่อย


 


“ง้างปากเขาเร็ว!” ชายคนหนึ่งตะโกน “ทำให้เขาสงบเร็วเข้า!”


 


เจ้าหน้าที่เข้ามาฉีดยาให้กับชายหัวล้าน แต่ยาก็ยังไม่ออกฤทธิ์ในทันที


 


“ฉีดให้เขาอีกหนึ่งโดส” แพทย์สั่ง


 


นางพยาบาลฉีดยาให้เขาอีกครั้ง และในที่สุด ก็สามารถทำให้เขาสงบลงได้


 


พระเจ้า” หนึ่งในคนของชายหัวล้านพูด


 


“เชี่ย!” ชายหนุ่มที่โดนกัดถลกแขนเสื้อของเขาขึ้นเพื่อดูแผล บนแขนของเขามีรอยฟันอยู่สองรอย และมีเลือดกำลังไหลออกมาไม่หยุด


 


“รีบไปทำแผลซะ! ไม่อย่างนั้นมันอาจจะติดเชื้อได้” แพทย์พูด


 


“อาการของเขาเป็นโรคระบาดเหรอ?” ชายหนุ่มถาม


 


“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” แพทย์พูด


 


ชายหนุ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา เขาจึงรีบไปรักษาแผลในทันที เขาไม่อยากติดเชื้อและกลายเป็นคนบ้าแบบชายหัวล้าน


 


“เตรียมเอกสารให้พร้อม แล้วส่งตัวไปที่แผนกจิตเวช” แพทย์พูด


 


“ได้ค่ะ” นางพยาบาลพูด


 


“พี่หนานครับ หัวหน้าเพิ่งถูกส่งไปแผนกจิตเวชครับ” หนึ่งในคนของหงหนานเข้ามารายงาน


 


“ส่งไปทำไม?” หงหนานถาม


 


“เขาเพิ่งจะแทงนางพยาบาลไปคนหนึ่งครับ” คนของเขาพูด


 


“แล้วตายไหม?” หงหนานถาม


 


“ไม่ตายครับ เขาแทงไปที่ไหล่ของเธอ” คนของเขาพูด


 


“งั้นก็ดี หัวหน้าอารมณ์ขึ้นง่าย” หงหนานพูด “ฉันไม่คิดว่าเขาจะป่วยทางจิตหรอก หมอพวกนี้มันไร้ประโยชน์ ไปคุยกับหมอที่ดูแลเขาซะ แล้วถ้าจำเป็นก็จ่ายเงินให้สักหน่อยก็พอแล้ว”


 


“ครับ” คนของเขาพูด


 


“เชี่ย!” หงหนานสบถออกมา


 


มันเป็นเพราะหวังเย้า ที่ทำให้เขากับพี่ของเขาต้องมาอยู่โรงพยาบาลแบบนี้ เขาจะต้องแก้แค้น เขาอยากให้หวังเย้าต้องตายอย่างทุกข์ทรมานที่สุด


 


ในขณะเดียวกัน หวังเย้านั้นอยู่ที่ด้านบนเนินเขาหนานชาน


 


“ฉันรู้ ซานเซียน ฉันรู้ ฉันแค่กำลังทดลองเท่านั้นเอง” เขาพูด


 


เขาเก็บองุ่นป่ามาจากบนเขา ถึงพวกมันจะไม่ได้ดูน่ากินเหมือนกับองุ่นที่ปลูกอยู่ในไร่ แต่พวกมันก็มีรสชาติที่ดี หวังเย้าแบ่งบางส่วนไปให้พ่อแม่ของเขาได้ชิม และนำที่เหลือมาทำไวน์ เขาเพิ่งจะศึกษาวิธีการทำไวน์องุ่นไปได้ไม่นานและอยากลงมือทำในทันที ซานเซียนนั่งอยู่ข้างๆเขาและส่งเสียงเห่าออกมาเป็นครั้งคราว


 


หวังเย้าหาข้อมูลและวิดีโอเกี่ยวกับการทำไวน์ด้วยตัวเองเป็นจำนวนมาก และดูเหมือนการทำไวน์เองจะไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่นัก


 


“ฉันจะลองทำสักถังหนึ่งก่อนแล้วกันนะ” หวังเย้าพูดพร้อมกับปรบมือครั้งหนึ่ง


 


ในขณะเดียวกัน จงหลิวชวนก็ได้รับข้อความหนึ่ง ในขณะที่เขาอยู่ภายในบ้านเช่าในหมู่บ้าน


 


เขาขมวดคิ้ว เรื่องนี้ดูเหมือนจะยุ่งยากซะแล้ว!


 


เขาไปหาหวังเย้าหลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว


 


“หมอหวัง ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?” จงหลิวชวนถาม


 


หวังเย้าตอบตกลงและเดินตามเขาออกไป จงหลิวชวนบอกเรื่องที่เขารู้มากับหวังเย้า


 


“เขาเสนอเงินห้าล้านหยวนเพื่อฆ่าผมกับคนในบ้านเนี่ยนะ!” หวังเย้าตกตะลึง


 


“ใช่ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมานานแล้ว” จงหลิวชวนพูด


 


“ดูเหมือนว่าเขาจะรวยมากเลยนะเนี่ย” หวังเย้าพูด


 


“เขาน่ะใช่ แต่พวกแกงค์ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนี้หรอกครับ เงินจำนวนนั้นมากพอที่พวกเขาจะเอาไปใช้จ่ายกับอะไรก็ได้” จงหลิวชวนพูด


 


“ผมขอคิดดูก่อนนะครับ” หลังจากที่เงียบไปสักพัก หวังเย้าก็พูดออกมา “ถ้าอยู่ๆสองพี่น้องหงเกิดตายขึ้นมา ผมคิดว่า คงจะไม่มีใครอยากทำงานนี้อีกแล้วสินะ”


 


“แน่นอนสิครับ พวกเขาไปเรียกร้องเอาเงินจากคนตายไม่ได้” จงหลิวชวนพูด


 


การดึงฟืนออกจากเตา คือทางออกที่ดี


 


“ผมคงต้องออกไปข้างนอกสักหน่อย” หวังเย้าพูด


 


“ผมจะดูแลความปลอดภัยทางนี้ให้เอง” จงหลิวชวนพูด


 


“ขอบคุณมากนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ยินดีครับ” จงหลิวชวนพูด


 


ถึงจะมีจงหลิวชวนคอยดูแลอยู่ แต่หวังเย้าก็ยังคงรู้สึกกังวลเกี่ยวกับพ่อแม่ของเขาอยู่ดี เขาจึงโทรไปหาคนรู้จักสองสามเบอร์ หนึ่งในนั้นคือซุนหยุนเชิง ซึ่งได้ส่งบอดี้การ์ดฝีมือสูงมาให้บางส่วนเพื่อปกป้องครอบครัวของหวังเย้า อีกสายคือโจวฉง ซึ่งมาจากตระกูลที่มีรากฐานมาจากกังฟู


 


“มีคนคิดจะทำร้ายหมอเหรอ?” ซุนหยุนเชิงถาม “ผมจะส่งคนไปให้ทันทีเลยนะครับ”


 


“ฉันจะไปหาหมอพรุ่งนี้นะ” โจวฉงพูด


 


เช้าวันต่อมา ซุนหยุนเชิงมาพร้อมกับบอดี้การ์ดมือดีแปดคน ส่วนโจวฉงก็เดินทางมาถึงเหลียนชานในตอนกลางวัน เขามาพร้อมกับชายหนุ่มร่างผอมที่เรียนมาจากอาจารย์คนเดียวกัน ชายหนุ่มยังอาศัยอยู่หมู่บ้านเดียวกันกับโจวฉงด้วย ชื่อของเขาคือ โจวอันซิน


 


“ขอบคุณมากๆเลยนะครับที่อุตส่าห์มาถึงที่นี่กัน ได้โปรดช่วยปกป้องพ่อแม่ของผมด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ไม่มีปัญหาครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“หมอกำลังจะเดินทางไปที่ตะวันออกเฉียงเหนือเหรอ?” โจวฉงถาม


 


“ครับ ผมจะลองไปหาข้อมูลของหงหนานกับพี่น้องของเขาจากที่นั่นสักหน่อย” หวังเย้าพูด


 


“ผมสามารถจัดหาคนให้ไปด้วยกันกับหมอ หรือไม่ก็ทำงานให้หมอได้ เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับทางนั้นมาก” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“ดูเข้าทีดีนะครับ” หวังเย้าพูด


 


แต่หวังเย้าก็คิดไม่ถึงว่า คนที่ซุนหยุนเชิงเอ่ยถึงจะเป็นอาหาวชายใบหน้าไร้อารมณ์ไปได้


 


“สวัสดีครับ หมอหวัง” อาหาวพูดด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อพอๆกับใบหน้าของเขา


 


หวังเย้าและอาหาวเดินทางมาถึงบ้านเกิดของหงหนานในคืนนั้น เติ้งโจวคือเมืองของการเริ่มต้นความมั่งคั่งของสองพี่น้องหง


 


ค่ำคืนในเติ้งโจวคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ตัวเมืองอยู่ติดกับทะเล อากาศจึงเย็นสบาย แม้จะอยู่ในช่วงหน้าร้อนก็ตามที


 


อาหาวจัดการทุกอย่างด้วยความเชี่ยวชาญ


 


“หมอหวัง ผมจองโรงแรมและติดต่อกับคนที่รู้จักหงหนานกับหงเหวินเอาไว้แล้ว” อาหาวพูด


 


“ผมอยากจะไปคุยกับคนคนนั้นก่อนครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้ครับ” อาหาวพูด


 


สามสิบนาทีต่อมา ภายในคาเฟ่แห่งหนึ่ง ชายสวมสร้อยคอสีทองเส้นใหญ่ได้มาพบกับหวังเย้าและอาหาว


 


“อาหาว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ!” ชายคนนั้นมีท่าทียินดีเมื่อได้พบกับอาหาว เห็นได้ชัดว่า พวกเขารู้จักกันมานานแล้ว


 


“นั่งก่อนสิ หมอหวัง ผมขอแนะนำให้รู้จักกับ หลี่เฉิงเหว่ย เขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผมเอง” อาหาวพูด


 


“เรียกฉันว่า เฉิงเหว่ย ก็พอ” หลี่เฉิงเหว่ยพูด


 


“ได้ครับ ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณสักหน่อยน่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้สิ ถามมาได้เลย” หลี่เฉิงเหว่ยพูด


 


“เราต้องการรู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับหงหนานและหงเหวิน” อาหาวพูด


 


“สองคนนั้นเหรอ? พวกเขาไปหาเรื่องนายเหรอ?” หลี่เฉิงเหว่ยถาม


 


“ก็ไม่เชิงหรอก ฉันแค่อยากจะรู้เรื่องของพวกเขาสักหน่อยน่ะ” อาหาวพูด


 


หลี่เฉิงเหว่ยเข้าใจความต้องการของอาหาวได้ในทันที


 


“สองคนนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงที่เติ้งโจวอยู่พอตัวเลยล่ะ พวกเขาทำทุกอย่างตามความพอใจ แล้วก็มีคนมากมายกำลังคอยจับตาดูพวกเขาอยู่ด้วย” หลี่เฉิงเหว่ยพูด


720 ความเจ็บปวดไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่สุด


 


พวกเขาทำเรื่องวิปริตและไร้เหตุผลตามความพอใจของตัวเอง ทั้งกลั่นแกล้งผู้คนที่อยู่รอบตัว แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอาเรื่องพวกเขา


 


“ไม่กี่ปีมานี้ เศรษฐกิจของเติ้งโจวพัฒนาไปเร็วมาก โดยเฉพาะเรื่องของอสังหาริมทรัพย์” หลี่เฉิงเหว่ยพูด “ทางรัฐได้จ่ายค่าชดเชยในการรื้อถอนอพาร์ทเมนต์เก่าเป็นเงินจำนวนมาก แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่อยากย้ายออกและรับเงินค่าชดเชยไป หงหนานกับหงเหวินเคยช่วยหน่วยงานรัฐจัดการทำให้คนพวกนั้นย้ายออกไปได้ พวกเขาได้เงินจากตรงนั้นไปเยอะมาก พวกเขายังได้สร้างธุรกิจขนส่ง, กู้ยืมเงิน, กับตามเก็บดอกเบี้ยขึ้นมา พวกเขารู้จักคนในหน่วยงานท้องถิ่น ฉันยังได้ยินมาว่า หนึ่งในญาติของพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสที่ปักกิ่งด้วย”


 


หลายๆเรื่องที่หลี่เฉิงเหว่ยพูดมา เป็นเรื่องที่หวังเย้าไม่เคยได้ยินมาก่อน


 


“สองคนนี้ หงเหวินเป็นพวกวิกลจริต ส่วนหงหนานเป็นพวกมีอาการทางจิต” หลี่เฉิงเหว่ยพูดเสริมขึ้นมา


 


“จริงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ฉันได้ยินมาจากหลายคนเลยล่ะ ว่าหงเหวินน่ะมันบ้า” หลี่เฉิงเหว่ยพูด “เวลาบ้าขึ้นมา เขาก็จะกลายเป็นพวกทำอะไรรุนแรง แล้วหงหนานก็เป็นคนแปลกๆ ทั้งยังขี้หงุดหงิดด้วย มีครั้งหนึ่ง เขาเคยฟันขาของผู้ชายคนหนึ่ง เพราะดันไปถ่มน้ำลายใส่เขาเข้า”


 


“ประหลาดคนจริงๆ” หวังเย้าพูด


 


“ใช่ ดังนั้น เลยไม่มีใครในเติ้งโจวที่กล้าเอาเรื่องพวกเขายังไงล่ะ” หลี่เฉิงเหว่ยพูด “แล้วยังไง อาหาว พวกมันไปมีเรื่องกับนายเข้าเหรอ?”


 


“ใช่” อาหาวพูด


 


“อืม ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องระวังหน่อยนะ แต่ฉันคิดว่า นายน่าจะไม่เป็นอะไรหรอก” หลี่เฉิงเหว่ยพูด “ยังไง นายก็อยู่ที่เมืองเต๋ากับคุณซุน เขามีอำนาจมากที่สุดในนั้นแล้ว”


 


“อืม ฉันไม่ดึงนายมาเอี่ยวเรื่องนี้อยู่แล้วล่ะ” อาหาวพูด


 


“ไม่เป็นไรๆ ฉันไม่ได้กลัวพวกมันเลยสักนิด” หลี่เฉิงเหว่ยพูด “ถ้าฉันไม่ได้นายช่วยเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ฉันก็คงจะถูกแทงตายไปนานแล้ว”


 


“บริษัทของพวกมันอยู่ที่ไหนเหรอ?” อาหาวถาม


 


“อยู่ที่ถนนฟู่ชาน” หลี่เฉิงเหว่ยพูด


 


“หมอหวัง?” อาหาวหันหน้าไปทางหวังเย้า


 


“ลองไปดูที่นั่นกันเถอะครับ” หวังเย้าพูด


 


“โอเค พาพวกเราไปที่นั่นที” อาหาวพูด


 


“ได้สิ” หลี่เฉิงเหว่ยพูด


 


“รอเดี๋ยว เราเปลี่ยนรถกันดีไหมครับ? รถของคุณดูเหมือนจะดึงดูดสายตาคนมากไปหน่อย” หวังเย้าชี้ไปทางรถบีเอ็ม เอ็กซ์ห้าที่จอดอยู่ด้านนอก


 


“อ่อ ได้สิ” หลี่เฉิงเหว่ยพูด


 


หลี่เฉิงเหว่ยขับรถพาหวังเย้ากับอาหาวไปที่ถนนฟู่ชานในคืนนั้น


 


“ผ่านไปแค่ไม่กี่ปี เติ้งโจวเปลี่ยนไปมากเลยนะ” อาหาวพูด


 


“ใช่ ฉันเดาว่า นายคงจะไม่ได้มาที่นี่นานแล้วสินะ” หลี่เฉิงเหว่ยพูด


 


“ใช่” อาหาวพูด


 


ถึงเติ้งโจวจะอยู่ใกล้กับเมืองเต๋ามาก แต่อาหาวก็ไม่ได้มีโอกาสมาเหยียบที่นี่เลย เขาเพียงแค่ผ่านไปผ่านมาเท่านั้น


 


“คุณเป็นคนเติ้งโจวเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ย่าของผมเป็นคนเติ้งโจวน่ะ” อาหาวพูด “ผมมาอยู่ที่นี่ได้สิบกว่าปีแล้ว ก็ถือว่าเป็นคนเติ้งโจวครึ่งหนึ่ง”


 


เขาเคยเป็นนักเลงอยู่ในแก็งค์ที่เติ้งโจวและได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองเอาไว้ จากนั้น เขาก็ได้พบกับซุนเจิ้งหรง ซึ่งเขาได้ให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างสูง ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจทำงานให้กับซุนเจิ้งหรง จึงทำให้เขาไม่มีโอกาสได้กลับมาที่เติ้งโจวเลยหลังจากนั้น


 


 


สี่สิบนาทีต่อมา รถได้ไปจอดอยู่ที่ด้านนอกอาคารหลังหนึ่ง ที่ประตูมีป้ายติดเอาไว้ว่า บริษัทเหวินหนานเทรดดิ้งจำกัด


 


ตัวอาคารสูงสี่ชั้น ด้านนอกมีลานขนาดใหญ่สำหรับจอดรถ ภายในตัวอาคารยังคงมีไฟส่องสว่างอยู่ หวังเย้าและอาหาวสามารถได้ยินเสียงคนพูดคุยดังมาแว่วๆ


 


“รอที่นี่นะ ผมจะลองเข้าไปดูข้างในหน่อย” หวังเย้าพูด


 


“ให้ผมไปด้วยไหม?” อาหาวถาม


 


หลี่เฉิงเหว่ยจอดรถนิ่ง หวังเย้าลงไปจากตัวรถ และเพียงแต่วูบเดียว เขาก็ไปโผล่อยู่ที่ข้างๆตัวอาคารแล้ว


 


“โอ้พระเจ้า! อาหาว ฉันว่า สายตาของฉันน่าจะมีปัญหานะ!” หลี่เฉิงเหว่ยขยี้ตาตัวเองแรงๆ เมื่อเขาหันกลับออกไปมองด้านนอกอีกครั้ง หวังเย้าก็หายไปแล้ว เขากำลังสงสัยว่า หวังเย้าเป็นพวกมีพลังวิเศษใช่หรือไม่


 


“ไม่หรอก หมอหวังเป็นปรมาจารย์กังฟูน่ะ” อาหาวพูด


 


เขาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับการเคลื่อนไหวของหวังเย้าเลยสักนิด เพราะเขาเคยเห็นความสามารถที่น่าตื่นตะลึงกว่านี้มาก่อนหน้านั้นแล้ว ในช่วงสถานการณ์วิกฤต เมื่อเขากับซุนเจิ้งหรงเกือบจะถูกศัตรูจัดการนั้น หวังเย้าก็ได้มาช่วยพวกเขาเอาไว้ การทุบตีศัตรูดูเป็นเรื่องง่ายสำหรับหวังเย้ามาก เหมือนกับที่ชายชราหวงพูดเอาไว้ว่า หวังเย้าคือเทพเจ้าที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้


 


กำแพงที่ล้อมรอบอาคารสูงเกือบสี่เมตร แต่มันกลับไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเย้า เขากระโดดข้ามไปได้อย่างง่ายดายและเหยียบถึงพื้นได้อย่างเงียบเชียบ


 


โฮ่ง! สุนัขที่ดูราวกับหมาป่า ซึ่งอยู่ด้านในได้ส่งเสียงเห่าใส่หวังเย้า เสียงของมันทำให้คนที่อยู่ด้านในตัวอาคารตื่นตัวขึ้นมา


 


“ชู่!” หวังเย้าเดินตรงเข้าไปหาสุนัขตัวนั้นและจ้องหน้าของมัน


 


“หงิ้งๆ!” สุนัขส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ ก่อนที่มันจะนอนหมอบลงไปที่พื้นพร้อมกับหางจุกตูด ราวกับว่า หวังเย้าคือเสืบร้ายที่หลุดออกมาจากป่า


 


“นี่ เสียงอะไรดังที่ข้างนอกน่ะ?” ชายคนหนึ่งที่อยู่ภายในตัวอาคารเอ่ยขึ้นมา


 


ภายในห้องทำงานมีอยู่ด้วยกันสี่คน พวกเขากำลังเล่นไพ่นกกระจอกกันอยู่ หนึ่งในพวกเขาได้ยื่นหน้าออกไปทางหน้าต่าง


 


“มีคนมาเหรอ?” เขาถาม


 


“ใครมันจะมาเวลานี้กัน? แล้วหมาหยุดเห่ารึยัง?” เพื่อนของเขาถาม


 


“อืม นั่นสินะ” เขาพูด


 


“มันอาจจะเห็นหนูก็ได้” เพื่อนของเขาพูด


 


หวังเย้าเดินเข้าไปด้านในผ่านทางประตูหน้า


 


แกร็ก! มีเสียงประตูเปิดดังขึ้น


 


“นี่ ได้ยินเสียงเหมือนมีใครกำลังเปิดประตูรึเปล่า?” หนึ่งในชายสี่คนเอ่ยขึ้นมา


 


“ไม่นี่” เพื่อนของเขาพูด


 


“ฉันจะลองไปดูสักหน่อย เฮ้ย อย่าแอบดูไพ่ฉันนะ” เขาพูด


 


แสงไฟบริเวณล็อบบี้ยังคงส่องสว่างอยู่ ประตูกระจกหน้าล็อบบี้ปิดอยู่ ด้านนอกมืดสนิท ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นเลย


 


“บางที ฉันอาจจะหูแว่วไปเอง” เขาพึมพำ “ก่อนนอนน่าจะกินเสกตี่(โกศขี้แมว,สมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน)สักหน่อย อายุฉันก็ยังไม่เยอะสักหน่อย”


 


เขากลับเข้าไปในห้องทำงาน “ไม่เห็นมีใครมา เล่นต่อเถอะ” เขาพูด


 


“ฉันได้東” เพื่อนของเขาพูด


 


“ปัง” อีกคนพูด


 


หวังเย้าเดินขึ้นไปบนชั้นแรก เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างบนทางเดินท่ามกลางความมืดมิดได้ เขาเดินไปช้าๆ แล้วไปหยุดอยู่หน้าห้องที่มีป้ายเขียนเอาไว้ว่า “แผนกการเงิน”


 


ประตูถูกล็อคเอาไว้ และเป็นประตูที่มีการป้องกันเอาไว้อย่างดีด้วย


 


“เปิด!”


 


แกร็ก! ประตูถูกบังคับให้เปิดออก พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น


 


“ได้ยินอะไรไหม?” หนึ่งในคนที่กำลังเล่นไพ่นกกระจอกอยู่พูดขึ้นมา


 


ชายทั้งสี่ต่างหยุดเล่นในทันที


 


“มีคนเปิดประตู” หนึ่งในนั้นพูด


 


“ไปกัน” ชายอีกคนพูด


 


พวกเขาเดินออกไปจากห้องที่พวกเขาอยู่ แต่ละคนถือกระบองเหล็กเอาไว้คนละด้าม พวกเขาไม่เห็นสิ่งที่แสดงว่ามีการบุกรุกเข้ามาด้านในเลย


 


ที่ชั้นแรกไม่ปรากฏอะไรให้เห็นเลย พวกเขาจึงเดินขึ้นไปบนชั้นสอง


 


“ทำไมประตูบานนั้นถึงเปิดทิ้งไว้?” หนึ่งในพวกเขาพูดขึ้นมา


 


“นั่นมันประตูห้องแผนกการเงินนี่” เพื่อนของเขาพูด


 


ทั้งสี่เดินเข้าไปในห้องด้วยความระมัดระวัง ประตูนิรภัยที่ติดตั้งเอาไว้แสดงให้เห็นว่าถูกบางอย่างบังคับให้เปิดออก ตัวบานประตูได้รับความเสียหายอย่างเห็นได้ชัด


 


“สวัสดี” คนที่อยู่ภายในห้องพูดขึ้นมา


 


“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ?” หนึ่งในชายสี่คนที่เดินเข้ามาถามออกไป


 


มีเงาสีดำวูบผ่านหน้าพวกเขา ตุบ! ตุบ! ชายทั้งสี่พากันล้มตัวลงไปกองกับพื้น


 


ด้านนอกตัวอาคาร หลี่เฉิงเหว่ยกำลังสูบบุหรี่อยู่ภายในรถ เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างเป็นพักๆ แล้วเขาก็หันกลับไปมองหน้าอาหาว ที่ยังคงนิ่งสนิทอยู่ที่นั่งด้านหลังคนขับ


 


“ผ่านไปหลายปี นายไม่เปลี่ยนไปเลยนะ” หลี่เฉิงเหว่ยพูด “นายสูบหรือว่าดื่มเหล้าบ้างไหม?”


 


“ไม่” อาหาวพูด


 


“นายต้องหาอะไรทำบ้างนะ” หลี่เฉิงเหว่ยพูด


 


“ฉันรู้ เขากลับมาแล้ว” อาหาวพูด


 


หวังเย้ากระโดดข้ามรั้วและวิ่งตรงมาที่รถ แล้วขึ้นมานั่งบนรถ


 


“ไปกันเถอะครับ” หวังเย้าพูด


 


“โอเค” หลี่เฉิงเหว่ยพูด


 


เขาสตาร์ทรถ แล้วไม่นาน รถก็หายเข้าไปในความมืด


 


หลี่เฉิงเหว่ยมาส่งหวังเย้ากับอาหาวที่หน้าโรงแรม


 


“อาหาว ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกฉันได้นะ ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ ฉันก็ยินดี” หลี่เฉิงเหว่ยพูด


 


“อืม ขอบคุณ” อาหาวพูด


 


“รอเดี๋ยว!” หวังเย้าหยุดเขา


 


“หมอ…หมอหวังมีอะไรให้ฉันช่วยเหรอ?” หลังจากที่ได้เห็นความน่าอัศจรรย์ของหวังเย้าแล้ว หลี่เฉิงเหว่ยก็มีท่าทีวิตกกังวลเมื่อต้องคุยกับหวังเย้า


 


“ผมว่า คุณน่าจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้หน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“อะไรนะ?” หลี่เฉิงเหว่ยถามด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เข้าใจคำพูดของหวังเย้าเลย


 


“คุณไม่ควรทำมากเกินไป” หวังเย้าพูด “ไม่อย่างนั้นมันจะส่งผลกระทบถึงสุขภาพของคุณได้ ช่วงนี้ คุณรู้สึกว่าร่างกายช่วงล่างกับเข่าไม่ค่อยมีแรง แล้วก็ปวดบ้างไหมครับ? แล้วในหูได้ยินเสียงอื้ออึงด้วยรึเปล่า?”


 


“ใช่ แต่หมอรู้ได้ยังไงกัน?” หลี่เฉิงเหล่ยถามด้วยความกังวล เขามีอาการตามที่หวังเย้าบอกจริงๆ


 


“คุณมีเซ็กซ์มากเกินไปครับ” หวังเย้าพูด “มันไม่ใช่เรื่องดี คุณควรจะเพลาๆลงบ้างนะครับ”


 


เขากดเขาๆไปที่บริเวณเอวของหลี่เฉิงเหว่ย


 


“โอ๊ย!” หลี่เฉิงเหว่ยสะดุ้งโหยง


 


อยู่ๆเขาก็มีเหงื่อไหลจนเต็มตัว ในตอนที่หวังเย้ากดจุดที่เอวของเขา เขาก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บที่เสียดแทงลงมา มันราวกับว่า หวังเย้าเอาเข็มแทงในเขายังไงยังงั้น


 


“เจ็บเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“อืม มันเจ็บมากเลยล่ะ” หลี่เฉิงเหว่ยพูดด้วยท่าทีอึดอัด


 


“ความเจ็บไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไปหรอกครับ แต่เมื่อไหร่ที่คุณไม่เจ็บ ก็คือคุณเกินเยียวยาแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


หลี่เฉิงเหว่ยกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ “แล้วฉันต้องทำยังไงดี?”


 


“ห้ามมีเซ็กซ์เป็นเวลาสามเดือนครับ” หวังเย้าพูด


 


“สามเดือน?” หลี่เฉิงเหว่ยถามด้วยความตกใจ


 


เขาได้รับเงินค่าชดเชยจากการรื้อถอนอพาร์ทเมนต์ของเขาจากรัฐ ซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก เขาใช้เงินที่ได้มาไปกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ และหมดไปเกือบสิบล้านหยวน


 


เมื่ออยู่ๆเขาก็มีเงินขึ้นมา มันก็ทำให้เขากลายเป็นคนใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เขาซื้อรถหรูและใช้เงินไปกับการออกเดทกับสาวงามมากหน้าหลายตา เหมือนอย่างที่ผู้ชายหลายๆคนทำ เงินของเขาคือสิ่งที่ดึงดูดผู้หญิงมากมายให้เข้ามาหา เขาจึงหลับนอนกับผู้หญิงไปทั่ว เซ็กซ์ก็เหมือนยาเสพติด เขากลายเป็นคนเสพติดเซ็กซ์ ทุกครั้งที่เห็นผู้หญิงหน้าตาดี เขาก็จะเกิดความรู้สึกอยากจะนอนกับพวกเธอ การไม่ได้มีเซ็กซ์เป็นเวลาสามเดือน ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในโลกสำหรับเขา


 


“เฉิงเหว่ย นายควรฟังที่หมอหวังพูดนะ” อาหาวพูด เขาเห็นด้วยกับหวังเย้า


 


“ก็ได้ ฉันจะทำ” หลังจากที่พูดรับปากแล้ว หลี่เฉิงเหว่ยก็ขับรถออกไป


 


“ถ้าเขาทำตามคำแนะนำของผมเป็นเวลาสามเดือน ผมก็จะช่วยเขา ถ้าจำเป็นก็พาเขามาหาผมได้” หวังเย้าพูด


 


“โอเค ผมจะจำเอาไว้” อาหาวพูด


721 คุณ ระวังเอาไว้หน่อยนะ


 


ทั้งสองเดินเข้าไปในโรงแรม หวังเย้าเปิดกระเป๋าออกมาและเทเอกสารกับเงินสดจำนวนหนึ่งออกมา ซึ่งทั้งหมดคือของที่เขาได้มาจากบริษัทของหงหนาน


 


“ของพวกนี้มีประโยชน์ไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


อาหาวหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “มันมีประโยชน์แน่นอน ผมจะโทรเรียกคนมาที่นี่นะครับ”


 


เขากดโทรหาคนที่เมืองเต๋า หลังจากวางสายแล้ว เขาก็หันหน้าไปพูดกับหวังเย้าว่า “พวกเขาจะมาคืนนี้เลยครับ”


 


“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้ครับ” หวังเย้าพูด


 


“พวกเขาเริ่มลงมือกันแล้วล่ะครับ” อาหาวพูด


 


“ขอบคุณนะครับ” หวังเย้าพูด ครั้งนี้ เขาถือว่าติดหนี้บุญคุณตระกูลซุนแล้ว


 


อาหาวเก็บเงินจำนวนนั้นไว้และเตรียมที่จะออกไป


 


“เงินสามารถเอาไปบริจาคให้กับเด็กๆที่ไม่ได้เรียนหนังสือ” หวังเย้าพูด “มันน่าจะเป็นเงินที่ได้มาแบบผิดกฏหมายอยู่แล้วด้วย”


 



 


ค่ำคืนนั้นเงียบสงัด ภายในห้องทำงานห้องหนึ่งในบริษัทเหวินหนาน มีชายสี่คนกำลังนอนนิ่งสนิทอยู่บนพื้นที่เย็นเยียบ


 


“ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย?” ชายคนหนึ่งลืมตาตื่นขึ้นมาและมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด “ฉันเผลอหลับอีกแล้วเหรอเนี่ย ไม่สิ!”


 


ร่างของเขาสั่นสะท้านและเขาพยายามที่จะลุกขึ้น แต่เขาก็ถูกอาการปวดศีรษะเข้าเล่นงาน “ฮึ่ม ใครมันมาทำกับฉันแบบนี้กัน?”


 


เขารีบเข้าไปปลุกคนอื่นๆที่ยังคงนอนอยู่ที่พื้น


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน?” ชายคนหนึ่งถาม


 


“แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ?” อีกคนถาม “มีคนเข้ามา แล้วยังมาทำร้ายพวกเราอีก ลองไปดูรอบๆกันก่อนดีกว่า ว่ามีอะไรหายไปบ้าง”


 


พวกเขารีบเปิดไฟให้สว่างและมองไปรอบๆห้องของแผนกการเงิน เพื่อดูว่ามีอะไรถูกขโมยไปบ้าง ประตูตู้เซฟถูกเปิดทิ้งไว้ ทุกอย่างที่อยู่ภายในนั้นได้หายไปจนหมด


 


“เร็วเขา! เราต้องรีบบอกเรื่องนี้กับพี่สะใภ้” หนึ่งในสี่คนพูดขึ้นมา


 


“อะไรนะ? ตู้เซฟถูกพังอย่างนั้นเหรอ?” อีกฝ่ายที่ได้ทราบข่าวจากทางโทรศัพท์ก็รู้สึกไม่พอใจ


 


เธอรีบร้อนออกไปจากบ้าน เงินและเอกสารทุกอย่างหายไปจนหมด ใบหน้าของเธอมีแต่ความเกรี้ยวเกราดที่แสดงออกมาให้เห็น เงินถือเป็นเรื่องรอง แต่เอกสารที่หายไปสำคัญกว่า ถ้ามันไปอยู่ในมือของคนอื่น พวกเขาก็อาจจะเจอข้อมูลที่มากกว่าเรื่องของภาษี


 


“ใครเป็นคนทำ?” เธอที่แต่งตัวอย่างทันสมัยพูดออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด


 


ในเติ้งโจว ทุกคนล้วนรู้เบื้องหลังของบริษัทนี้ดี ไม่มีใครกล้าเข้ามาขโมยของของพวกเขา แสดงว่าคนที่ทำเรื่องนี้กำลังรนหาที่ตายอยู่


 


“ผมไม่รู้เหมือนกันครับ” หนึ่งในชายสี่คนพูด


 


“ไม่รู้งั้นเหรอ?” เธอถามด้วยความโมโห “แล้วเมื่อคืนพวกแกได้ทำงานกันไหม?”


 


“ทำครับ” ชายคนหนึ่งตอบ


 


“แล้วพวกแกแอบหลับกันรึเปล่า?” เธอถาม


 


“เปล่าเลยครับ” ชายคนนั้นตอบ “แต่เราโดนน๊อคจนสลบไป”


 


“โดนน๊อคเหรอ? แล้วมันมากันกี่คน?” เธอถามด้วยความแปลกใจ คนพวกนี้มีประการณ์ในการต่อสู้และเคยฝึกฝนในด้านการต่อสู้มาก่อน


 


“ผมไม่รู้ครับ” เขาพูด


 


“ไม่รู้ ไม่รู้!” เธอเริ่มพูดอย่างมีน้ำโห “พวกแกทำอะไรกันได้บ้างหา? ไปตรวจดูกล้องสิ”


 


พวกเขารีบเข้าไปในห้องของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิด พวกเขาเห็นภาพของคนคนหนึ่ง แต่ทุกอย่างกลับดูพล่ามัวไม่ชัดเจน


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เธอถาม “ทำให้มันชัดกว่านี้สิ”


 


“นี่เป็นความละเอียดเท่าที่เราจะทำได้แล้วครับ” ชายคนหนึ่งพูด “พี่สะใภ้ก็เห็น ว่ากล้องมันส่องเห็นตรงทางเดินชัดแค่ไหน”


 


ภายในวิดีโอ เผยให้เห็นภาพทุกอย่างชัดเจน ยกเว้นก็แต่ภาพของคนที่ถ่ายติดได้กลับพล่ามัว มันดูคล้ายกับว่า รอบตัวเขาถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยเมฆหมอก


 


“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?” เธอถาม


 


“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ” เขาพูด


 


พวกเขาเห็นภาพของเงาร่างนั้นเดินขึ้นไปบนชั้นสาม และหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องแผนกการเงิน แล้วเขาก็ยื่นมือออกไป จากนั้นประตูก็เปิดออกได้อย่างน่าประหลาด


 


คนที่ได้เห็นภาพนี้ต่างพากันตกตะลึง พวกเขาเห็นภาพของประตู้นิรภัยหนาแน่นถูกผลักให้เปิดออกอย่างง่ายดาย พวกเขาต่างก็สงสัยในวิธีการที่คนคนนี้ใช้ และไม่มีใครคิดว่า มันจะง่ายดายขนาดนี้


 


มันต้องใช้แรงมากขนาดไหน? เขาเป็นมนุษย์รึเปล่า?


 


“คนคนนี้เป็นใครกันแน่?” เธอถามด้วยอาการตกตะลึง


 


นี่ไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว เธอคิดในใจ


 


เธอรู้เรื่องกิจการภายในครอบครัวของเธอดี ธุรกิจที่พวกเขาทำอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก หลายปีที่ผ่านมา พวกเขาทำเรื่องเลวร้ายไปมากมาย ดังนั้น ศัตรูของพวกเขาจึงมากตามไปด้วย เธอจึงคิดไม่ออกเลยว่า ใครที่เป็นคนทำเรื่องนี้


 


หรือจะเป็นเรื่องบังเอิญ?


 


“เอ่อ เราจะแจ้งตำรวจไหมครับ?” ชายคนหนึ่งถาม


 


แล้วในที่สุด พวกเขาก็โทรแจ้งไปที่สถานีตำรวจ


 



 


วันต่อมา เมื่อตะวันเพิ่งจะสาดแสงลงมา คนของตระกูลซุนก็เดินทางมาหาหวังเย้า พวกเขาเป็นทีมว่าความประสบการณ์สูงทั้งหมดสามคน หลังจากที่ได้เห็นเอกสารที่หวังเย้าได้มาแล้ว ทั้งสามก็ทำการปรึกษากันและสรุปเรื่องทั้งหมดให้หวังเย้าฟัง


 


เอกสารเหล่านี้มีความสำคัญเป็นรอง ที่สำคัญคือสมุดบันทึก ด้านในมีรายละเอียดของเรื่องชั่วๆทั้งหมดที่สองพี่น้องได้ทำลงไป มันมีรายละเอียดบอกเอาไว้อย่างชัดเจน หวังเย้าอ่านมันแล้วเมื่อคืนก่อนและก็ได้ข้อสรุปแบบเดียวกับที่กลุ่มทนายได้บอกกับเขา สองพี่น้องหงทำเรื่องชั่วเอาไว้มากมายและสมควรได้รับโทษตายนับสิบครั้ง


 


“คุณต้องการให้เราทำยังไงกับมันครับ?” ทนายคนหนึ่งถาม


 


“ผมต้องการจัดการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน และให้คนพวกนั้นได้รับโทษให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ” หวังเย้าพูด


 


“จะให้เราเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดให้ไหมครับ?” ทนายความถาม


 


หวังเย้าหันหน้าไปทางอาหาว เขาไม่รู้จักทนายทั้งสามคนเลย


 


อาหาวพยักหน้า “หมอ พวกเขาเป็นทีมว่าความของตระกูลซุน และทำงานให้เรามาได้หลายปีแล้วล่ะครับ”


 


“ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องรบกวนพวกคุณแล้ว” หวังเย้าพูด


 


“เกรงใจเกินไปแล้วล่ะครับ” ทนายความเอาเอกสารไป พวกเขาทำงานได้อย่างเชี่ยวชาญและมีประสิทธิภาพ


 


“ไปกันเถอะครับ” หวังเย้าพูด


 


ในตอนที่พวกเขากำลังจะกลับกันนั้น หลี่เฉิงเหว่ยก็เดินทางมาถึง


 


“พี่หาว เรื่องเมื่อคืนถึงหูตำรวจแล้ว” เขาดูไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนัก ในตอนที่เขาพูด เขาก็หันไปมองหน้าหวังเย้าด้วย


 


ถึงยังไง คนที่เข้าไปด้านในก็คือหวังเย้า ใครจะรู้ว่าเขาได้ทิ้งหลักฐานหรือร่องรอยอะไรเอาไว้หรือไม่?


 


“อ้อ เข้าใจแล้ว” อาหาวพูดอย่างใจเย็น


 


“คุณ ระวังเอาไว้หน่อยนะ!” หวังเย้ามองหลี่เฉิงเหว่ย ดูเหมือนว่าหลี่เฉิงเหว่ยจะไม่ได้ทำตามที่เขาแนะนำ


 


“ระวังเหรอ?!” เขาเข้าใจคำพูดของหวังเย้าในทันที


 


เมื่อคืนเขาได้ไปหาสาวสวยคนหนึ่ง เขารู้สึกสบายตัวอย่างมาก แต่เมื่อเดินออกมา เขาก็รู้สึกว่าขาของเขาไม่ค่อยมีแรง และคิดไม่ถึงว่าหวังเย้าจะรู้


 


หวังเย้าคิด ถ้าไม่ฟังคำพูดของฉัน วันหนึ่งมันก็จะสายเกินกว่าจะมาเสียใจทีหลัง


 


ในวันเดียวกันนั้น หวังเย้าก็กลับไปที่หมู่บ้านหวัง ในขณะที่ทีมทนายก็แยกตัวกลับไปที่เมืองเต๋า


 


“ต้องการให้ฉันทำเหรอ?” หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหัวหน้าทีมทนายความแล้ว ซุนเจิ้งหรงก็ตกใจเล็กน้อย


 


“ใช่ครับ พวกเขาบางคนอาจจะสร้างปัญหาให้ได้ ถึงจะส่งเรื่องไปให้ทางเติ้งโจวแล้วก็ตาม” ทนายพูด “ถึงยังไง ญาติคนหนึ่งของพวกเขาก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ที่ปักกิ่ง แล้วเขาก็มีอำนาจอยู่ในมือพอตัว แล้วที่ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหน้าที่บางคนในเติ้งโจวก็มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย”


 


“ทางจังหวัดล่ะ?” ซุนเจิ้งหรงถาม


 


“ถ้าให้ดีก็ต้องสูงกว่านั้นครับ” ทนายความพูด “ผมได้ยินมาว่า ตอนนี้มีทีมเจ้าหน้าที่ลงมาตรวจดูงานอยู่ในจังหวัดฉี ไม่รู้ว่า ประธานซุนจะส่งข้อมูลพวกนี้ให้พวกเขาได้รึเปล่า”


 


“ฉันคงต้องคิดเรื่องนี้ให้ดีก่อน” ซุนเจิ้งหรงพูด มันเป็นการยากที่จะเข้าหาคนพวกนั้น แต่ก็ใช่ว่าเขาจะทำไม่ได้ซะทีเดียว


 



 


ในระหว่างสองวันที่หวังเย้าไม่อยู่นั้น ภายในหมู่บ้านค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษ มีคลื่นของกลุ่มคนที่ต้องการเงินห้าล้านหยวนถึงสองครั้ง


 


พวกเขาเต็มไปด้วยความอันตราย แต่ก็ถือเป็นโชคร้ายของพวกเขาเช่นกัน เมื่อต้องมาเจอกับมืออาชีพ โดยเฉพาะ จงหลิวชวน ที่เป็นทั้งมืออาชีพและอยู่ในระดับแถวหน้า คนที่เข้ามาล้วนพ่ายแพ้ก่อนที่จะทันได้ไปถึงบ้านของหวังเย้า มันน่าสนใจตรงที่ พวกเขาที่มีทักษะน้อยนิดแต่กลับกล้าที่จะมาถึงที่นี่


 


ในตอนบ่าย หวังเย้ากลับมาถึงหมู่บ้าน เขาเข้าไปคุยกับพ่อแม่ของเขาและเดินไปหาจงหลิวชวน เพื่อถามถึงสถานการณ์ความเป็นไปในระหว่างที่เขาไม่อยู่


 


มีคนเข้ามาที่นี่สองกลุ่ม แต่ผมจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว” จงหลิวชวนพูด


 


“ขอบคุณครับ!” หวังเย้าขอบคุณเขาอย่างจริงใจ


 


“เกรงใจกันเกินไปแล้วล่ะครับ หมอ” จงหลิวชวนรีบหยุดหวังเย้าที่กำลังก้มคำนับขอบคุณเขา


 


เรื่องนี้ เขาแทบจะไม่ต้องลงแรงอะไรมากมายเลยด้วยซ้ำ แล้วหมอหวังก็ยังเคยช่วยชีวิตน้องสาวของเขาเอาไว้ด้วย


 


“ได้โปรดรับคำขอบคุณจากผมเถอะนะครับ” หวังเย้าดูภายนอกสงบนิ่ง แต่ภายในใของเขากลับอัดแน่นไปด้วยความโกรธ


722 ระดับมืออาชีพ


 


สิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือคนในครอบครัว ในตอนนี้ ครอบครัวของเขาถูกโจมตีซ้ำๆ หากไม่มีความช่วยเหลือจากจงหลิวชวน พ่อแม่ของเขาก็คงจะได้รับความเดือดร้อนกว่านี้แน่ คนพวกนี้ล้วนแล้วแต่เลวทรามต่ำช้า


 


เขาเดินกลับไปกลับมาและกดโทรไปหาซุนหยุนเชิง


 


“ครับ หมอ ผมเข้าใจ” หลังจากที่วางสาย สีหน้าของซุนหยุนเชิงก็ดูไม่ค่อยดีนัก


 


“มีเรื่องอะไรเหรอ?” ซุนเจิ้งหรงถาม


 


“หมอหวังโทรมาน่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “เขาขอข้อมูลบางอย่างจากผม แล้วเขาก็ต้องการด่วนด้วย”


 


“ด่วนเหรอ?” ซุนเจิ้งหรงถาม


 


“ครับ น้ำเสียงของเขาดูเครียดมากด้วย” ซุนหยุนเชิงไม่เคยได้ยินน้ำเสียงที่เคร่งเครียดแบบนี้จากหวังเย้ามาก่อนเลย


 


“พ่อจะไปที่เมืองจี้” ซุนเจิ้งหรงพูด “ตัวเอกสารต้นฉบับ พ่อจะเอาไปให้ทีมของทางนั้นดู ส่วนเขา พ่อจะเอาตัวก็อปปี้ให้แทน บอกให้คนของเราเอาไปส่งให้เขาให้เร็วที่สุด ทางนั้นน่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ลูกลองไปดูหน่อยก็ดีนะ”


 


“ครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


รถขับเคลื่อนไปบนถนนราวกับจะบิน ซุนเจิ้งหรงที่นั่งอยู่ภายในตัวรถกำลังใช้ความคิดอยู่ เขาไม่ค่อยอยากจะพบกับคนพวกนั้นเท่าไหร่นัก เพราะเขาอาจจะเจอปัญหาด้วยได้


 


ไกลออกไปหลายพันไมล์ ภายในเมืองเมืองหนึ่ง ฝนที่ตกต่อเนื่องมาหลายวันในที่สุดก็หยุดลง แต่ท้องฟ้ายังคงขมุกขมัวไม่จางหายไป


 


คนสองคนเดินทางมาถึงที่เมืองนี้ พวกเขาแต่งตัวด้วยชุดที่ดูแปลกตา ถ้าหากมองดูดีดี ก็จะสามารถบอกได้ว่า ทั้งสองเป็นนักพรตเต๋า ข้างๆพวกเขาก็คือ เมี่ยวซานติงกับหลิวซื่อฟางที่เดินทางมาที่เมืองนี้เมื่อสองวันก่อนและจากไปอย่างเร่งรีบ


 


สองวันที่แล้ว พวกเขามาที่หมู่บ้านเพื่อไปดูเขาลูกนั้นและสุสานโบราณ พวกเขาได้รู้สึกสถานการณ์ที่กำลังเลวร้ายลงเรื่อยๆ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้เลย


 


พวกเขาจึงใช้ความคิดและตัดสินใจไปที่เขาหลงหู่เพื่อขอความช่วยเหลือ นักพรตที่อยู่บนเขาหลงหู่ คือผู้ที่อยู่กับการจุดธูปทำสมาธิ, เดิน, และถือดาบ พวกเขาหลายคนเป็นผู้มีความสามารถ แต่คนภายนอกไม่รู้เรื่องเหล่านี้ แล้วคนทั่วไป ก็ไม่สามารถเชิญพวกเขาออกมาได้ด้วย


 


ความเชี่ยวชาญของเมี่ยวซานติงกับนักพรตนั้นมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอยู่ ความสัมพันธ์ของพวกเขามีมาอย่างยาวนาน


 


“เรามาถึงแล้ว” เมี่ยวซานติงพูด


 


ภูเขาตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าของพวกเขา หลังจากที่ได้คุยกับชาวบ้านแล้ว พวกเขาก็ได้รู้ว่า ไม่มีใครขึ้นไปบนนั้นเลย แม้แต่คนของทีมนักโบราณคดีก็ไม่มีใครขึ้นไป มีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ด้านล่างเพื่อป้องกันขโมยที่จะเข้ามาขโมยวัตถุโบราณที่อยู่ด้านในสุสาน แต่การที่เกิดเหตุการณ์การเสียชีวิตของคนหลายคน ยังจะมีใครกล้าขึ้นไปที่นั่นอีก?


 


“ใช่จริงๆด้วย พลังหยินที่นี่รุนแรงมาก!” เพียงแค่มอง นักพรตทั้งสองก็รู้ได้ทันทีว่าเขาลูกนี้มีความผิดปกติ


 


“ส่วนเรื่องสุสานโบราณในสมัยราชวงศ์หมิง พี่ดูฮวงจุ้ยเขาลูกนี้ยังไงเหรอ?” หนึ่งในนักพรตถาม


 


“ฉันมาเจอกับน้องชายของฉัน” เมี่ยวซานติงพูด “ฮวงจุ้ยของที่นี่ดีมาก แต่สุสานโบราณที่นี่กลับแปลกมาก เราสองคนไม่มีใครคิดว่าที่นี่จะมีสุสานโบราณตั้งอยู่ เราสองคน…”


 


ครั้งนี้ พวกเขาถือว่าทำพลาดอย่างมาก ถ้าพวกเขารู้เรื่องสุสานก่อนหน้านี้ พวกเขาก็คงจะไม่ทำการขุดหลุมฝังศพที่ตรงนี้อย่างเด็ดขาด แต่ตอนนี้ เสียใจไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมา พวกเขาคงทำได้เพียงหาทางแก้ไขความผิดพลาดให้ได้มากที่สุด


 


“ถ้าที่นี่มีฮวงจุ้ยที่ยอดเยี่ยม แล้วทำไมถึงได้มีพลังหยินเข้มข้นขนาดนี้ได้ล่ะ? แล้วในสุสานโบราณ ปิดผนึกอะไรเอาไว้?” หนึ่งในนักพรตถาม


 


“คงต้องลองเข้าไปดู” เมี่ยวซานติงพูด


 


“ทั้งสองรออยู่ที่นี่เถอะ” หนึ่งในนักพรตพูด “เอาแผ่นยันต์ติดร่างกายเอาไว้เพื่อป้องกันตัว ถ้าเราไม่ออกมาภายในหนึ่งชั่วโมง ให้รีบแจ้งกับทางเขาหลงหู่ทันที”


 


ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มั่นใจในตัวเอง พวกเขาเจอเรื่องพวกนี้มามากแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ว่าอะไรที่อยู่ด้านในนั้น หากเป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไป ก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเป็นวิญญาณร้าย คงไม่สามารถเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง


 


“ดี!” เมี่ยวซานติงเอายันต์ติดไว้ที่หน้าอกของเขา “ระวังตัวด้วย!”


 


สองพี่น้องไม่สามารถช่วยอะไรได้ พวกเขาทำได้แค่รออยู่ที่ตีนเขาและเฝ้ามองนักพรตทั้งสองเดินเข้าไปด้านใน


 


นักพรตทั้งสองเดินขึ้นเขาไปอย่างช้าๆ


 


“พลังหยินรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเลย” หนึ่งในพวกเขาพูด “ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างอยู่ข้างในสุสานจริงๆ!”


 


ภูเขามีเพียงความเงียบสงัด และสายลมที่พัดโชยมาเบาๆ แต่แล้วอยู่ๆสายลมก็กลายเป็นความหนาวเย็น


 


มันเป็นช่วงเวลาของฤดูร้อน อย่างที่คนโบราณพูดเอาไว้ว่า ทุกอย่างเริ่มต้นที่ฤดูใบไม้ผลิ เติบโตในฤดูร้อน, เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง, และเก็บรักษาเอาไว้สำหรับฤดูหนาว หน้าร้อนคือช่วงเวลาที่ร้อนแรงที่สุดของปี ช่วงกลางวันของป่าเขามีเพียงนกหรือไม่ก็แมลง แต่เขาลูกนี้กลับเงียบจนผิดสังเกต


 


“พลังหยินกระจายออกมา เลยทำให้พวกนกหมดสติไป” นักพรตคนหนึ่งพูด


 


ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ ความซับซ้อนที่พวกเขาพบก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น หนึ่งในนั้นหยิบเอาแผ่นยันต์ออกมา เขาพูดเบาๆว่า “ไป!”


 


แผ่นยันต์บินออกไปราวกับนกตัวหนึ่งที่บินอยู่ภายในป่า พวกมันกระจายออกไปทั้งหมดสี่ทิศ และติดเข้ากับลำต้นของต้นไม้ราวกับทากาวเอาไว้ แผ่นยันต์ติดอยู่ทั้งสี่ทิศทางของตัวสุสาน ซึ่งดูราวกับเรื่องมหัศจรรย์


 


สายลมที่พัดโชยมาอยู่ๆก็หยุดไป นักพรตทั้งสองหันมามองหน้ากัน และรู้สึกได้ว่า จิตใจของพวกเขาสงบลง พวกเขาเดินเข้าไปที่กระท่อมที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นการชั่วคราว


 


พวกเขามองเห็นมุมหนึ่งของสุสานที่ถูกขุดลงไป นักพรตทั้งสองมองหน้ากันและมองเข้าไปเห็นรูปปั้นปีศาจร้ายตั้งอยู่ภายในสุสาน แล้วใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ


 


“สิ่งนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?” หนึ่งในนักพรตพูด


 


อยู่ๆลมด้านนอกก็เริ่มพัดอีกครั้ง แผ่นยันต์สี่แผ่นที่ติดหนึบอยู่กับต้นไม้ทั้งสี่ทิศ อยู่ๆก็เกิดการลุกไหม้ขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ในตอนนี้ แผ่นยันต์ได้กลายเป็นขี้เถ้าและลอยหายไปกับสายลม


 


กระดิ่งทองแดงที่ห้อยอยู่ตรงเอวของพวกเขาส่งเสียงดังขึ้น มันราวกับว่า มีมือที่มองไม่เห็นกำลังสั่นมันอยู่


 


“มันมาแล้ว” นักพรตเต๋ารีบหยิบดาบของพวกเขาออกมา พวกมันคือดาบที่ทำจากไม้มะฮอกกานีที่มักจะถูกเอ่ยถึงในนิยายหรือภาพยนตร์


 


ไม่มีอะไรปรากฏออกมาให้เห็น แต่ดาบไม้กลับร่ายรำไปมา หนึ่งคนฟันไปที่อากาศ อีกหนึ่งฟันไปทางซ้าย


 


นักพรตทั้งสองดูเหมือนจะได้ยินเสียงบางอย่าง พวกเขาพากันหันหน้าไปตามเสียงนั้น ด้านหลังรูปปั้นปีศาจมีประตูสุสานหนาหนักปิดอยู่ แต่ตอนนี้มันกลับแง้มเปิดออกเล็กน้อย


 


ลมพัดแรงขึ้น แต่มันไม่ใช่ลมที่พัดมาจากเขา มันเป็นลมที่พัดออกมาจากด้านใน


 


สีหน้าของนักพรตทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน


 


ที่ตีนเขา เมี่ยวซานติงกับหลิวซื่อฟางต่างก็รอคอยอยู่ตรงนั้น พวกเขาคอยมองดูเวลาอยู่ตลอด


 


“พี่ พี่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นไหม?” หลิวซื่อฟางถาม


 


“ไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก” เมี่ยวซานติงพูด “พวกเขาสืบทอดวิชาสายตรงมาจากเขาหลงหู่ แล้วพวกเขาก็เป็นระดับมืออาชีพด้วย”


 


ในตอนที่เขาเพิ่งจะพูดจบนั้น เขาก็ได้ยินเสียงร้องดังออกมาจากบนเขา มันเป็นเสียงที่ฟังดูน่าหดหู่อย่างมาก


 


“พระเจ้า!” ทั้งสองตะโกนออกมาพร้อมกัน ก่อนที่พวกเขาจะวิ่งขึ้นไปดูด้านบน


 


“หยุด!” เมี่ยวซานติงรั้งน้องชายของเขาเอาไว้


 


ในตอนนี้ มีแค่นักพรตสองคนเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับมันได้ ถ้าหากพวกเขาขึ้นไป พวกเขาจะทำอะไรได้ล่ะ? พวกเขาคงจะกลายเป็นภาระและรนหาที่ตายมากกว่า


 


“พี่ ไปขอความช่วยเหลือที่เขาหลงหู่กันเถะ” หลิวซื่อฟางพูด


 


“เรามีเวลาไม่มากพอน่ะสิ!” เมี่ยวซานติงดูเวลา มันยังไม่มีเวลาหนึ่งชั่วโมงที่นักพรตบอกกับเขาเอาไว้ และยังเหลืออีกสามสิบนาที


 


“ไม่ต้องกังวล!” หลังจากที่หลิวซื่อฟางเพิ่งจะพูดจบไปได้ไม่นาน เขาก็เห็นชายคนหนึ่งรีบเร่งลงมาจากเขา ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือดและดูมีท่าทีตื่นตระหนก ก่อนที่เขาจะทันได้เดินลงมาถึงด้านล่าง เขาก็ทรุดตัวลงไปนอนกองกับพื้นเสียก่อน


 


เมี่ยวซานติงกับหลิวซื่อฟางรีบวิ่งเขาไปช่วยเขา ใบหน้าของเขาซีดเผือด ลมหายใจอ่อนแรงและร่างกายเย็นเฉียบจากความหวาดกลัวที่ได้พบเจอ


 


“เกิดอะไรขึ้น?” เมี่ยวซานติงถาม


 


“เร็วเข้า! รีบกลับไปที่เขาหลงหู่” หลังจากพูดจบ เขาก็หมดสติไป


 


เมี่ยวซานติงกับหลิวซื่อฟางไม่รอช้า พวกเขาเดินทางไปที่เขาหลงหู่พร้อมกับนักพรตที่หมดสติ ส่วนนักพรตอีกคนที่อยู่บนเขานั้น พวกเขาไม่รู้เลยว่า เขาจะเป็นตายร้ายดียังไง


 



 


ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดฉี…


 


“หมอ พี่ชายของฉันเป็นยังไงบ้าง?” ชายคนหนึ่งถาม


 


“คุณคงต้องเตรียมทำใจเอาไว้บ้างนะ” แพทย์พูด


 


“หมอหมายความว่ายังไง?” เขาถาม


 


“เขาอาจจะอยู่ในอันตรายได้ตลอดเวลา” แพทย์พูด


 


หลังจากที่ได้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญแล้ว พวกเขาก็หมดหนทางที่จะรักษาคนไข้ อาการป่วยของเขาแปลกมาก ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับเขานั้นไม่สามารถหาสาเหตุได้ และแม้แต่มอร์ฟีนก็ยังไม่ได้ผล


723 มันคงจะดีถ้ามีคนตาย


 


คนไข้มีอาการอวัยวะภายในล้มเหลว ไม่สามารถฟื้นคืนความทรงจำ และเซลล์สมองหยุดการทำงาน เขามีปัญหาอยู่ทั่วทั้งร่างกาย แต่แพทย์ก็ไม่สามารถหาสาเหตุของการเกิดโรคได้ พวกเขาทำได้เพียงพยายามรักษาไปตามอาการเท่านั้น


 


“คุณน่าจะลองคิดเรื่องส่งตัวเขาไปรักษาในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้ดูนะ” แพทย์พูด


 


ถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัดฉีจะถือเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดของจังหวัด แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในระดับประเทศ บางที โรงพยาบาลในปักกิ่งอาจจะสามารถช่วยคนไข้รายนี้ได้


 


“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณครับ” ชายผู้เป็นคนของหงหนานพูด


 


ฉันจะทำยังไงดี? เขาคิด


 


เขารู้จักสองพี่น้องหงดี หงหนานและหงเหวินสนิทสนมกันมาก และพวกเขาก็มักจะช่วยเหลือกันอยู่เสมอ แต่ภรรยาของทั้งสองกลับไม่ถูกกัน ถึงแม้ว่าพวกเธอจะพยายามอยู่อย่างสงบแล้วก็ตามที เขาคิดว่า เรื่องนี้ควรให้คนในครอบครัวของพี่น้องหงเป็นคนตัดสินใจว่าควรจะทำยังไงต่อไปดี


 


“เราลองไปถามพี่หนานกันดูดีไหม?” เพื่อนของเขาถาม


 


“แกคิดว่า ตอนนี้พี่หนานจะตัดสินใจอะไรได้งั้นเหรอ?” ชายอีกคนพูด


 


“แต่ยังไงเราก็ต้องถามเขาอยู่ดี” ชายอีกคนพูด “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่ชายของเขาเอง เราคงตัดสินใจเรื่องนี้กันเองไม่ได้หรอก”


 


ในขณะเดียวกัน หงหนานก็ถูกมัดติดอยู่กับเตียง แขนและขาของเขาไม่สามารถขยับไปไหนได้ เจ้าหน้าที่เอาบางอย่างอุดปากของเขาเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เขากัดลิ้นของตัวเอง ท่าทางของเขาดูบ้าคลั่ง เขากำลังดิ้นรนและพยายามจะกรีดร้องออกมา


 


เขาคิด ตาย! ฉันอยากให้มันตาย! ใบหน้าของเขาดูหน้ากลัว ราวกับคนที่ถูกผีเข้า


 


แกร็ก! ประตูถูกเปิดออก มีคนเดินเข้ามาในห้อง


 


“หัวหน้า เป็นยังไงบ้างครับ?” ชายที่เดินเข้ามาถาม


 


“มันตายรึยัง?” หงหนานถาม


 


“หัวหน้าพูดถึงอะไรเหรอครับ?” ชายคนนั้นถาม


 


“ฉันแกถามว่า ไอ้หมอนั่นมันตายรึยัง” หงหนานพูด


 


“ผมกลัวว่าจะไม่นะครับ” เขาพูด “ผมส่งคนไปจัดการกับเขาสองกลุ่ม แต่พวกเขาก็พลาด”


 


“อะไรนะ? ไร้ประโยชน์! ฉันอยากให้มันตาย! อยากให้ครอบครัวของมันตายไปให้หมด!” หงหนานสาปแช่ง


 


อยากให้เขาตายอย่างนั้นเหรอ หัวหน้ารู้รึเปล่า ว่าเป็นตัวหัวหน้าเองที่เข้าใกล้ความตายมากกว่าคนคนนั้นซะอีก?


 


ชายหนุ่มคิดว่า หัวหน้าของเขานั้นเกินเยียวยาแล้ว เขามัวแต่คิดที่จะฆ่าหวังเย้า แทนที่จะสนใจว่าจะรักษาตัวเองให้หายได้ยังไง หัวหน้าของเขาเป็นบ้าไปแล้ว


 


สองพี่น้องหงบ้ากันไปแล้ว ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่า สิ่งนี้นั้นส่งต่อทางพันธุกรรมหรือไม่


 


“อาจิ่ว หัวหน้าว่ายังไงบ้าง?” หลังจากที่เขาเดินออกมาแล้ว คนในแก็งค์ต่างก็เข้ามาถามเขา


 


“หัวหน้าเอาแต่คิดว่า ทำไมหวังเย้าถึงยังไม่ตาย” อาจิ่วพูด


 


“จริงเหรอ? เขายังจะคิดเรื่องหวังเย้าอยู่อีกเหรอ?” พวกเขาต่างตกใจ


 


“หัวหน้าหนานอาการไม่ต่างจากหัวหน้าเหวินเลยนะ” หนึ่งในพวกเขาพึมพำออกมา


 


“เลิกคิดเองเออเองได้แล้ว” อาจิ่วพูด


 


ทุกคนในแก็งค์ที่ทำงานให้กับสองพี่น้องหง ต่างก็คิดว่า หัวหน้าของพวกเขาเป็นบ้าไปแล้ว


 


“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อดีล่ะ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งถาม


 


เมื่อไม่มีคำสั่งจากหัวหน้า พวกเขาก็เหมือนมองไม่เห็นทาง ถึงพวกเขาจะเป็นกลุ่มแก็งค์กลุ่มหนึ่ง แต่พวกเขาจะขาดหัวหน้าไม่ก็คงไม่ได้


 


สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจมากยิ่งขึ้นก็คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เดินทางมาที่โรงพยาบาล


 


“หงเหวินกับหงหนานอยู่ที่ไหน?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม


 


“พวกเขาอยู่ในโรงพยาบาล” หนึ่งในคนของแก็งค์พูด


 


คนในแก็งค์ต่างก็ได้รับข่าวร้ายไปตามๆกัน จากการสืบสวนพบว่า หัวหน้าทั้งสองคนของพวกเขาทำผิดกฎหมาย ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แปดคนที่คอยดูแลสองพี่น้องหงก็หายไปทันที ไม่มีใครสนใจเรื่องของสองพี่น้องหงอีกแล้ว


 


พวกเขาคิดว่า หัวหน้าของพวกเขาจะต้องไปทำเรื่องร้ายแรงจนไปดึงดูดความสนใจของตำรวจเข้า พวกเขาทั้งข่มขู่, เบลคเมลล์, และทำร้ายร่างกายคนอื่น ภายใต้คำสั่งของพี่น้องหง พวกเขาต่างก็คิดว่า หากหนีไปตอนนี้ พวกเขาก็อาจจะรอดได้ ถ้าไม่อย่างนั้น ตำรวจก็อาจจะมาจับพวกเขาไปด้วย


 


เหมือนอย่างที่โบราณว่าไว้ เมื่อไม้ใหญ่ล้มลง ลิงที่อาศัยอยู่บนนั้นก็หนีหาย ในสถานการณ์นี้ ต้นไม้ยังไม่ทันจะล้ม ลิงก็หนีหายไปก่อนแล้ว ความซื่อสัตย์ไม่อาจเทียบได้กับหนึ่งชีวิตและอิสระ


 


ไม่นาน ข่าวเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสืบสวนเรื่องของพี่น้องหงก็ได้แพร่กระจายออกไป หลายๆแก็งค์ต่างก็คิดกันว่า สองพี่น้องหงคงจะต้องเข้าไปอยู่ในคุกตลอดทั้งชีวิตที่เหลือของพวกเขา รวมไปถึงเงินจำนวนห้าล้านสำหรับจ้างวานฆ่าหวังเย้าก็จะหายไปด้วย


 


“นี่ เราคงต้องหาความจริงเรื่องที่ว่า พี่น้องหงถูกจับจริงหรือเปล่า” หนึ่งในนักเลงพูดขึ้นมา “ถ้าพวกเขาถูกจับจริง แล้วใครจะมาจ่ายเงินให้พวกเรากันล่ะ?”


 


“เราสืบเรื่องนี้ที่เติ้งโจวกันเถอะ” ชายอีกคนพูด “ถ้าดูจากสิ่งที่พวกเขาเคยทำมา โทษตายก็ดูเหมือนจะเบาไปซะด้วยซ้ำ ถ้าตำรวจมีหลักฐานที่พวกเขาทำลงไป พวกเขาก็คงจะต้องติดคุกตลอดชีวิตแล้วล่ะ แล้วเราจะทำงานให้พวกเขาไปเพื่ออะไร?”


 


บางแก็งค์ได้เดินทางไปที่เติ้งโจว ในขณะที่บางส่วนเดินทางไปที่ตัวจังหวัดฉี


 


พวกเขาได้รับการยืนยันอย่างรวดเร็วว่า สองพี่น้องกำลังถูกสืบสวนอยู่ ไม่ใช่แค่สองพี่น้องหงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐบางคนในเติ้งโจวด้วย ซึ่งพวกเขาอาจจะเป็นคนที่คอยให้ความช่วยเหลือสองพี่น้องหงให้การก่ออาชญากรรมต่างๆ


 


“ข่าวเป็นเรื่องจริง” หนึ่งในแก็งค์พูด


 


“เฮ้อ ดีนะที่พวกเราไม่ได้ทำต่อ” หนึ่งในพวกเขาพูด


 


วิกฤตได้รับการแก้ไข้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ กลายเป็นว่าหวังเย้าติดหนี้เพื่อนของเขาไปแล้วหลายคน


 


อย่างที่ตู้เชียนเชิง หนึ่งในหัวหน้าแก็งค์มาเฟียที่ใหญ่ที่สุดในเซี่ยงไฮ้ เคยพูดเอาไว้ว่า หนึ่งหนี้บุญคุณยากที่จะทดแทนให้หมด แน่นอนว่า มีเพียงคนที่มีมิตรภาพที่ดีต่อกันเท่านั้น ที่จะคิดว่า บุญคุณนั้นยากจะทดแทน แต่สำหรับคนที่ไม่ให้ความสำคัญในเรื่องมิตรภาพ บุญคุณก็เป็นเรื่องไร้ความหมายสำหรับพวกเขา


 


หวังเย้ากำลังคิดอยู่ว่า เขาจะตอบแทนบุญคุณของคนเหล่านั้นที่ให้ความช่วยเหลือเขายังไงดี เขาไม่สามารถทำเพียงแค่เลี้ยงอาหารมื้อเดียวแล้วจบกันไป เดี๋ยวนะ! อยู่ๆเขาก็มีความคิดดีดีขึ้นมาได้


 


เขาเข้าไปในตัวเมืองและกลับมาพร้อมกับกล่องไม้ขนาดเล็ก ซึ่งทำมาจากไม้และมีขนาดพอๆกับกล่องไม้ขีดไฟ บนตัวกล่องไม้มีตัวอักษรคำว่า ยา(药) สลักติดเอาไว้ อีกด้านหนึ่งของกล่องมีการสลักรูปภาพของภูเขา ที่มุมหนึ่งของกล่องไม้แต่ละกล่องยังมีรอยเว้าลงไป ซึ่งหวังเย้าเดาว่า น่าจะเป็นรอยนิ้วมือ


 


เขาทำยาขึ้นมาเป็นพิเศษ ซึ่งมีส่วนผสมหลักเป็นหญ้าพิษ หญ้าพิษสามารถจัดการกับพิษร้ายและแมลงพิษได้ หลังจากตัวยาเดือดได้ที่แล้ว หวังเย้านำกล่องไม้ใส่ลงไปแช่กับตัวยาที่อยู่ภายในหม้อ


 


ติ้ง! ครืด!


 


มือถือของหวังเย้าส่งเสียงดังขึ้น เขาได้รับข้อความจากซุนหยุนเชิง ด้านในมีลิ้งค์ให้กดเข้าไปอ่าน เขากดลิ้งค์ที่อยู่ในข้อความ และได้นำไปสู่ข้อความข่าวการจับกลุ่มแก็งค์ขนาดใหญ่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเติ้งโจว แก็งค์นี้ได้ก่ออาชญากรรมเอาไว้มากมาย ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่รัฐบางคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้และยังรับเงินใต้โต๊ะจากหัวหน้าแก็งค์ด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงทำการสืบสาวราวเรื่องต่อไปอีก และได้นำไปสู่การจับกุมสองพี่น้องหงเหวินกับหงหนาน


 


หวังเย้าส่งข้อความกลับไปหาซุนหยุนเชิง : [ขอบคุณมากครับ ถ้ามีเวลาแวะมาที่หมู่บ้านทีนะครับ]


 


ไม่นาน หวังเย้าก็ได้ข้อความตอบกลับจากซุนหยุนเชิง : [ได้ครับ]


 


ในขณะเดียวกันนั้น จงหลิวชวนก็ได้พบกับแขกที่คาดไม่ถึง


 


“ว่าไง สบายดีไหม?” เขาคนนั้นถาม “ไม่คิดเลยนะ ว่านายจะปลีกตัวมาอยู่ในที่แบบนี้น่ะ”


 


เมื่อเห็นใบหน้าของแขกที่มาหา จงหลิวชวนก็มีท่าทีตื่นตัวขึ้นมาทันที เขาเป็นชายหนุ่มที่อายุพอๆกับจงหลิวชวน และมีท่าทีแปลกๆเล็กน้อย จงหลิวชวนเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับชายคนนี้มาหลายอย่าง


 


“ฉันคิดว่า ฉันไม่จำเป็นต้องรายงานว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ให้นายรู้หรอกนะ” เขาพูดเสียงเย็น


 


“แน่นอน เราไม่ได้มีกฎแบบนั้นอยู่แล้ว” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่าวิตกไปเลย พอได้รู้ว่านายอยู่ที่ไหน ฉันก็เลยอยากมาเยี่ยมก็เท่านั้นเอง แล้วเกิดอะไรขึ้นเหรอ? นายคิดจะมาอยู่ที่นี่เลยเหรอ? ฟังดูเหมือนไม่ใช่นายเลยนะ”


 


จงหลิวชวนไม่ได้ตอบอะไรออกไป


 


“แล้วน้องสาวของนายอยู่ที่ไหนล่ะ?” ชายหนุ่มถาม


 


ทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงจงอันซิน จงหลิวชวนก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องตาชายหนุ่มทันที “พวกเขากลัวนาย แต่ฉันไม่ ลองดูสิ”


 


“ลองเหรอ?” ชายหนุ่มถาม “ก็ได้ ที่นี่เลยเหรอ?”


 


จงหลิวชวนไม่ได้มีท่าทีอะไร เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและพยายามระงับความโกรธเอาไว้


 


“ทีมของเราต้องการนาย” ชายหนุ่มพูด


 


“ฉันเลิกทำแล้ว” จงหลิวชวนพูด


 


“นายจะออกไปเฉยๆไม่ได้หรอกนะ” ชายหนุ่มพูด “บางครั้ง นายก็ทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้หรอก”


 


“ที่นี่ไม่ใช่เขตของนาย” จงหลิวชวนพูด


 


“อืม งั้นก็ลองคิดดูดีดีแล้วกันนะ จำเอาไว้ด้วยล่ะ ว่าให้กลับมาถึงที่บริษัทพุธนี้ตอนบ่ายสามโมง” ชายหนุ่มพูด ก่อนที่เขาจะเดินออกไป


 


จงหลิวชวนที่นั่งอยู่ภายในบ้าน มีท่าทางเคร่งเครียด


 


“ดอกไม้กำลังเบ่งบาน ได้โปรดอย่าหยุด…” ชายหนุ่มฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีและเดินไปถามถนนช้าๆ


 


“หืม หมู่บ้านนี่ดีทีเดียว แต่คงจะดีกว่านี้ถ้ามีคนตาย” ชายหนุ่มพึมพำออกมา


 


“นายพูดว่าอะไรนะ?” หวังเย้าที่บังเอิญได้ยินคำพูดของชายหนุ่มเอ่ยถามออกไป


 


“หา?” ชายหนุ่มหยุดเดิน เขาหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเขา “สวัสดี? นายกำลังพูดกับฉันเหรอ?”


 


“ใช่ เมื่อกี้นี้ นายพูดว่าอะไรเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ทำไม?” ชายหนุ่มถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม


 


“นายพูดว่า หมู่บ้านนี้ดี แต่ทำไมต้องอยากให้มีคนตายด้วย?”


 


ถึงชายหนุ่มจะพูดเสียงเบามาก มากจนไม่มีใครสนใจว่าเขาพูดอะไร แต่หวังเย้าไม่ใช่


 


“โอ้! นายกล้ามาแอบฟังฉันแบบนี้ได้ยังไง” ชายหนุ่มพูด


 


หวังเย้าจับจ้องชายหนุ่มแปลกหน้า ที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเลย


724 มืออาชีพ แปลกประหลาด


 


สิ่งที่เขาพูดออกมาทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่า ความตายไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดกันเล่นๆได้


 


“มันเป็นที่ที่ดี แต่ทุกที่ก็มีคนตายนี่นา” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะกลายเป็นเสียงหัวเราะที่ชั่วร้าย “จริงไหม?”


 


คนคนนี้คงจะเคยฆ่าคนมาก่อน หวังเย้าคิด ร่างกายของชายหนุ่มมีพลังฉีที่มีกลิ่นคาวเลือดลอยฟุ้ง หวังเย้าเคยสัมผัสถึงพลังฉีแบบนี้ได้จากคนอื่นมาก่อนน่านั้นด้วย


 


“ลาก่อน” ชายหนุ่มพูด


 


“รอเดี๋ยว ช่วยบอกบางอย่างกับฉันก่อนที่จะไปได้ไหม?” หวังเย้าเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม


 


ชายหนุ่มมองหวังเย้าอย่างละเอียด ราวกับเขาเป็นสิ่งของที่น่าสนใจ “น่าสนใจ นายมีแซ่ว่าอะไร?”


 


“หวัง…”


 


ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น จงหลิวชวนก็เดินออกมาจากตัวบ้าน เขากำลังคิดเรื่องของชายหนุ่มและนึกขึ้นได้ว่า ชายหนุ่มเป็นคนที่ชอบทำตามอำเภอใจตัวเอง พูดตามตรงแล้ว เขาเป็นนักฆ่าที่สามารถฆ่าคนโดยไร้ความลังเล และเขาก็อาจจะทำร้ายชาวบ้านได้


 


เขารีบวิ่งออกมา เพื่อไล่ตามชายหนุ่ม แต่เมื่อออกมาด้านนอกแล้ว เขาก็เห็นว่า ชายหนุ่มถูกหยุดโดยใครบางคน เขาจึงรีบก้าวเข้าไปขวางระหว่างสองคนนั้น และเอามือจับไปที่เอวของตัวเอง


“หมอ?” เมื่อเห็นว่าใครที่ยืนอยู่กับชายหนุ่ม เขาก็รู้สึกเบาใจ ด้วยความสามารถของหวังเย้าแล้ว เขาสามารถจัดการชายหนุ่มได้อย่างง่ายดาย


 


“อ้าว นายออกมาทำไมน่ะ? หรือนายคิดได้แล้ว?” ชายหนุ่มหันไปมองจงหลิวชวนและยิ้มออกมา


 


“คุณรู้จักเขาเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ผมรู้จักเขา” จงหลิวชวนพูด


 


“นายเรียกเขาว่าหมอเหรอ?” ชายหนุ่มเหลือบมองหวังเย้า เขาส่ายหน้าและพูดออกมาว่า “ฉันไม่เห็น ฉันไม่เห็นอะไรสักนิด”


 


“เขาเป็นใครเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“นักฆ่า” หลังจากที่เงียบไปพักหนึ่ง จงหลิวชวนก็เปิดปาดพูด


 


“นายบอกความลับกับเขาได้ยังไงกัน?” ชายหนุ่มมีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็สามารถบอกได้ว่า เขากำลังเสแสร้งแกล้งทำอยู่ ทั้งที่เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ “โอ้ น่าเสียดายที่นายต้องมาตายทั้งที่อายุยังน้อยแบบนี้”


 


“อย่างนั้นเหรอ?” หวังเย้าพูด


 


“อืม ก็นายรู้ฐานะที่แท้จริงของฉันแล้วนี่” ชายหนุ่มพูด “คนที่รู้ฐานะที่แท้จริงของฉัน ถ้าไม่ตายก็ต้องเป็นคนของฉันเท่านั้น โชคร้ายที่ชายไม่ใช่คนของฉัน”


 


จงหลิวชวนที่ถือกริชอยู่ได้ตะโกนออกมา “หมอหวัง ระวัง!”


 


เคร้ง!


 


กริชของเขาร่วงลงไปที่พื้น


 


“แก…” จงหลิวชวนรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ไม่นาน เขาก็ทรุดตัวไปกองกับพื้น


 


“เป็นยังไงล่ะ? รู้สึกเจ็บ, ไม่มีแรง, มึนหัว, ไม่สบายใช่ไหม?” ชายหนุ่มถาม “นายเป็นถึงนักฆ่าระดับท๊อป ทำไมถึงได้พลาดท่าง่ายๆแบบนี้ได้ล่ะ?”


 


ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้กับหวังเย้า “ได้เวลาของนายแล้ว”


 


หวังเย้าพยักหน้า ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นและกดลงไปเบาๆ ร่างของชายหนุ่มก็ร่วงลงไปกองกับพื้นทันที


 


“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?” ชายหนุ่มที่ก่อนหน้านี้มีแต่เสียงหัวเราะ ตอนนี้ ใบหน้าของเขากลับกลายเป็นตกตะลึง


 


เขารู้สึกราวกับมีภูเขากำลังกดร่างของเขาเอาไว้ จนเขาไม่สามารถขยับไปไหนได้ แม้แต่แรงจะต่อต้านก็ยังไม่มี


 


“นายชื่ออะไร?” หวังเย้าถาม


 


“หา?” ชายหนุ่มกำลังอยู่ในสถาการณ์ลำบาก


 


“ช่างมันเถอะ” หวังเย้ากำมือ


 


ร่างของชายหนุ่มปลิวออกไปกระแทกเข้ากับกำแพงบ้านหลังหนึ่ง ด้วยความแรงที่หนักหน่วงทำให้กำแพงบ้านเกิดรอยร้าวขึ้น


 


ร่างของชายหนุ่มร่วงลงไปที่พื้นอีกครั้ง เขารู้สึกสั่นสะเทือนลึกไปถึงกระดูก เขาคิด นี่มันพลังเหนือธรรมชาติอย่างนั้นเหรอ? เขาแลบลิ้นเลียเลือดที่ริมฝีปาก และอยากจะหัวเราะออกมา แต่รอยยิ้มของเขากลับน่าเกลียดเสียยิ่งกว่าคนกำลังร้องไห้


 


“หมอหวัง ระวังตัวด้วย” จงหลิวชวนพูด “เขาเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและร้ายกาจมาก”


 


วูซ! วูซ! วูซ!


 


หวังเย้าสะบัดมือ เศษหินลอยขึ้นมาและพุ่งแหวกอากาศไปยังร่างของชายหนุ่ม ครู่ต่อมา ทั้งตา, หู, และปากของชายหนุ่มก็มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด


 


ก่อนที่เขาจะตาย เขาคิด ที่นี่เป็นที่ที่ดีจริงๆ!


 


“หมอ ในเมื่อเขามาที่นี่เพราะผม ขอให้ผมเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดเองนะครับ” จงหลิวชวนพูด


 


ชายหนุ่มเสียชีวิตตอนกลางวันแสกๆในหมู่บ้านที่เงียบสงบ ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะปกปิด เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาถึง พร้อมกับนำร่างของชายหนุ่มไป รวมถึง จงหลิวชวนด้วย หวังเย้าก็ตามไปที่สถานีตำรวจด้วยเช่นกัน


 


เมื่อมีการตายเกิดขึ้น ทุกอย่างก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ สำนักงานความมั่นคงได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสืบสวนด้วย พวกเขาพบมีด, เข็มเงิน, ปืน, และอุปกรณ์อื่นๆบนร่างกายของชายหนุ่ม


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบเรื่องนี้ต่างก็อยู่ในอาการมึนงง พวกเขาไม่สามารถบอกได้ว่า ชายหนุ่มเป็นใคร เพราะแม้แต่บัตรประจำตัวก็ยังเป็นของปลอม


 


แพทย์ผู้ทำการชันสูตรศพก็ต้องประหลาดใจเช่นกัน ร่างกายของชายหนุ่มเต็มไปด้วยบาดแผล มีทั้งรอยแผลจากมีดและกระสุน ส่วนใหญ่เป็นแผลเก่า เมื่อตรวจดูภายใน อวัยวะภายในและกระดูกของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก ราวกับคนที่เพิ่งจะถูกรถชนมา


 


ชายหนุ่มยังมีรอยสักที่ดูพิเศษอยู่หนึ่งอัน มันเป็นรูปของงูที่พันเลื้อยอยู่บนกริชเล่มหนึ่ง


 


หลังจากถูกสอบสวนเสร็จแล้ว หวังเย้ากับจงหลิวชวนก็ถูกปล่อยตัวออกมา แต่พวกเขาถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกจากเขตเหลียนชานและต้องให้ความร่วมมือในด้านการสืบสวนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ


 


“เขาเป็นใครกันเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“เขาเป็นนักฆ่า และเป็นคนขององค์กรองค์กรหนึ่งครับ” จงหลิวชวนพูด


 


“เหมือนพวกองค์กรนักฆ่าน่ะเหรอ?” หวังเย้าถาม “ผมหิวแล้ว เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าวคุณเอง ไว้ค่อยเล่าให้ผมฟังตอนเรากินข้าวดีกว่านะ”


 


พวกเขาไปที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขา พวกเขาสั่งอาหารมาสองสามจาน พร้อมกับชาอีกหนึ่งกา ทั้งสองไม่มีใครชื่นชอบการดื่มเหล้า


 


จงหลิวชวนบอกเล่าประสบการณ์บางส่วนของเขาให้หวังเย้าฟัง แรกเริ่มเขาเข้าร่วมกับองค์กรอิสระองค์กรหนึ่ง ในตอนแรก มันเป็นเหมือนกับตลาดสำหรับผู้ที่ต้องการมาหางาน และได้เงินก้อนกลับไป ในตอนนั้น เขารับเพียงงานข่มขู่ลูกหนี้เท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ได้เรียนรู้และเข้าใจว่า องค์กรนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เขาเคยคิดไว้ หากเงินถึง ทางองค์กรยินทำงานสังหารให้ด้วย


 


กฎขององค์กรนั้นเข้มงวดมาก ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้และถอนตัวได้ พวกเขาจะอยู่ภายในความคุ้มครองของทางองค์กร มีกฎเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่พวกเขาต้องทำตาม ความต้องการของบริษัทคือสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม


 


จงหลิวชวนทำงานให้กับบริษัทได้เป็นที่น่าพอใจ เขาสามารถทำภารกิจสำเร็จได้ในระดับสูง ก่อนที่ในเวลาไม่นาน เขาก็ถอนตัวออกมา


 


“ตอนนั้น ผมต้องการเงิน แต่งานหนึ่งที่รับมาก็ได้เปลี่ยนความคิดของผมไป” จงหลิวชวนพูด “งานที่ผมรับมา มีเป้าหมายเป็นครอบครัวหนึ่ง สายงานที่เราทำอยู่นั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เราต้องทำงานให้สำเร็จ”


 


เขาหยุดเล่า แล้วยกชาขึ้นมาจิบ เขามองหวังเย้าและเล่าเรื่องต่อ


 


“สามีภรรยาคู่นี้มีอายุอยู่ช่วงสามสิบต้นๆ แล้วพวกเขาก็มีลูกสาวน่าตาน่ารักคนหนึ่ง พวกเขาเป็นครอบครัวที่มีความสุข ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่พอได้เห็นหน้าเด็กคนนั้น มันก็ทำให้ผมใจอ่อน แล้วก็ล้มเลิกภารกิจของผมไป แต่คนในครอบครัวนั้นก็ยังตายจากอุบัติเหตุรถยนต์อยู่ดี หลังจากนั้น ผมก็ได้รู้ว่า สามีภรรยาคู่นั้นบังเอิญไปเห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็นเข้า คนพวกนั้นก็เลยต้องการจัดการกับพวกเขา”


 


หวังเย้าไม่ได้พูดขัดจงหลิวชวนเลย เขาเพียงแค่ฟังอยู่เงียบๆเท่านั้น มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้ว่า เรื่องที่มีให้เห็นแค่ในหนังหรือในนิยาย จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงของคนเราได้


 


“หลังจากนั้น ผมก็ถอนตัวออกมาและจ่ายเงินก้อนหนึ่งให้พวกเขาไป” จงหลิวชวนพูด


 


“แล้วทำไมพวกเขายังมาหาคุณอยู่อีกล่ะ?” หวังเย้าถาม


 


“ก็เพราะกฎที่ว่า ความต้องการของบริษัทคือสำคัญที่สุด ยังไงล่ะครับ” จงหลิวชวนพูด สีหน้าของเขาปรากฏร่องรอยของความกังวล “บางทีพวกเขาอาจจะเจออะไรบางอย่างเข้า”


 


เขารู้สึกเสียใจอยู่หลายครั้ง ที่ตัวเขาเลือกเข้าร่วมกับองค์กรนี้ เขาไม่อยากจะรู้ความลับอะไรเลย แล้วมันก็ยากที่จะถอนตัวออกมาด้วย


 


“บอกเรื่องผู้ชายคนนั้นให้ผมฟังด้วยสิครับ” หวังเย้าพูด


 


“ในวงการนี้ ระดับก็จะเหมือนกับระบบของบริษัทที่มีทั้ง เด็กใหม่, พนักงานระดับกลาง, และผู้จัดการ เขาถือเป็นมือหนึ่งในหมู่คนพวกนั้น” จงหลิวชวนพูด


725 มนุษย์มีความเห็นแก่ตัว


 


“แล้วมีที่นั่นมีการแลกเปลี่ยนฝีมือกันไหม?” หวังเย้าถาม


 


“มีสิ โลกนี่มันกว้างใหญ่ มันเลยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรเลย” จงหลิวชวนพูด “เขาเป็นคนมีพรสวรรค์และยังตั้งใจทำงานอย่างหนักด้วย เขามันบ้า เขาชอบฆ่าคน แล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วยว่า ระดับความสำเร็จในภารกิจของเขาจะสูงมาก เขาถือเป็นไพ่สำคัญของบริษัท แต่เขาคงไม่คิดว่า เขาจะต้องมาเจอกับคนแบบคุณ”


 


เขายังคงเป็นกังวลว่า หวังเย้าอาจจะตกอยู่ในอันตราย ถึงจงหลิวชวนจะรู้ว่า ความสามารถของหวังเย้าจะสูงมากก็ตามที แต่องค์กรที่เขาเคยอยู่ก็ไม่ได้ธรรมดาเลย


 


“เขาเป็นพวกชอบทำร้ายตัวเองใช่ไหม?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่ เขามีชื่อเสียงในเรื่องนั้นมากเลยล่ะ” จงหลิวชวนพูด “พูดกันว่า การทำร้ายตัวเองถือเป็นวิธีการในการพัฒนาความสามารถของคนบางพวก”


 


“เขาคงป่วยหนักและไม่สามารถรักษาได้แล้ว” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


การทำร้ายตัวเองถือเป็นโรคชนิดหนึ่ง ในบางครั้ง อาการป่วยทางจิตก็อาจจะเลวร้ายกว่าป่วยทางกาย


 


หลังจากที่ได้ฟังเรื่องเล่าจากจงหลิวชวนแล้ว หวังเย้าก็เงียบไปพักหนึ่ง


 


“หมอหวัง ผมก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอก” จงหลิวชวนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


 


“ผมไม่ใช่คนชอบตัดสินคนอื่น” หวังเย้าพูด “แล้วคุณก็ยังช่วยผมกับครอบครัวเอาไว้หลายครั้งด้วย”


 


หวังเย้าไม่สนใจว่าในอดีตจะถูกหรือผิด หรือจงหลิวชวนจะเคยเป็นคนดีหรือคนเลวมาก่อน เขาสนใจแค่ปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น ในเมื่อจงหลิวชวนได้ช่วยเขาเอาไว้หลายครั้ง ในสายตาของหวังเย้าตอนนี้ เขาก็ไม่ถือว่าเป็นคนเลวอะไร


 


“ขอบคุณครับ” จงหลิวชวนพูด เขาตกใจที่ตัวเองพูดออกไปแบบนั้น


 


“ผมรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับองค์กรที่คุณเล่ามา” หวังเย้าพูด “ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้กันเลยเหรอครับ?”


 


เขาไม่รู้ว่า ประเทศอื่นเป็นยังไง แต่เขาค่อนข้างชัดเจนในสถานการณ์ในประเทศของตัวเอง ทางการได้มีการควบคุมเรื่องอาวุธอย่างเข้มงวด ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องขององค์กรนักฆ่าแบบนี้เลย


 


“สถานการณ์ในประเทศต่างการประเทศอื่น” จงหลิวชวนพูด “เมื่อก่อนพวกเขาเคยเข้มงวด องค์กรก็เคยเกือบหายไปเหมือนกัน แต่พวกเขาก็หาคนมารับโทษแทนได้ แต่พวกเขาก็เจ็บหนักไม่น้อย ช่วงนั้น พวกเขาก็เลยซ่อนตัวไปสักพัก”


 


“ใครเป็นผู้นำขององค์กรเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ผมก็ไม่รู้” จงหลิวชวนพูด “ผมรู้แค่ว่า มีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร บางที คนที่คุณเพิ่งฆ่าไปอาจจะรู้ก็ได้”


 


“เขาเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่ อาเสิ่น คนที่มาคราวก่อนก็เป็นสมาชิกเหมือนกัน” จงหลิวชวนพูด


 


“จริงเหรอเนี่ย?” หวังเย้าพบว่า มันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อมาก


 


“ครับ เขาอยู่ระดับเดียวกันกับผม แต่รู้มากกว่าผม” จงหลิวชวนพูด


 


เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ทำให้หวังเย้าบังเอิญได้รู้ถึงเรื่องราวของโลกอีกด้านหนึ่งในมื้อเย็นวันนั้น เรื่องที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่า มันมีอยู่แค่ในนิยายกับหนัง กลับมีอยู่ในโลกของความเป็นจริง


 


“ผมกำลังซ่อนตัวจากพวกเขา แต่ก็คิดไม่ถึงว่า พวกเขาจะหาผมเจอได้เร็วขนาดนี้” จงหลิวชวนพูด “พรุ่งนี้ ผมจะจากไปพร้อมกับอันซิน”


 


เดิมเขาเคยคิดว่า เรื่องราวทั้งหมดจะผ่านเลยไปตามกาลเวลา เขาหวังว่าคนพวกนั้นจะลืมเรื่องของเขาไป เขายังอยากจะใช้ชีวิตอยู่กับน้องสาวของเขา และมีชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นแค่ความปรารถนาที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริง


 


“ทำไมล่ะ?” หวังเย้าถาม


 


“ผมรู้เรื่องที่ผมไม่ควรรู้มากเกินไป” จงหลิวชวนพูด “ผมคิดว่าคนอื่นไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขาจะรู้แล้ว ถึงเขาจะพลาด แต่ก็จะมีคนอื่นมาอีก การอยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้กับคุณเท่านั้น”


 


“ปัญหาเหรอ? คุณคิดว่า ปัญหาที่ผมมีอยู่ตอนนี้มันจะลดลงไปเหรอ? อยู่ที่นี่ต่อเถอะ” หวังเย้าพูดจากใจจริง


 


มันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงสำหรับจงหลิวชวน ที่หวังเย้าต้องการให้เขาอยู่ต่อ


 


“ไม่ต้องห่วงว่าจะทำให้ผมมีปัญหา” หวังเย้าพูด “นี่เป็นสิ่งที่ผมต้องการเอง”


 


จงหลิวชวนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ผมขอคิดดูก่อนนะ”


 


หลังจากจบมื้ออาหาร พวกเขาก็กลับไปที่หมู่บ้าน มันเป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว ภายในหมู่บ้านจึงค่อนข้างเงียบ


 


เมื่อหวังเย้ากลับไปถึงที่บ้าน พ่อแม่ของเขายังคงดูทีวีอยู่ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้จดจ่ออยู่กับเรื่องที่ฉายอยู่เลยสักนิด หลังจากที่ได้ยินว่าหวังเย้ากลับมาแล้ว จางซิวหยิงก็เดินออกมาจากห้องด้านใน


 


“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมจ๊ะ?” เธอถาม


 


พ่อแม่ของเขาได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนเช้าว่ามีคนตาย เรื่องนี้ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว และแทบทุกคนในหมู่บ้านที่รู้เรื่องนี้ พวกเขายังรู้อีกด้วยว่า หวังเย้าอยู่ในตอนที่เกิดเรื่องขึ้น พ่อแม่ของเขาจึงเริ่มเป็นกังวลเกี่ยวกับลูกชายของพวกเขา


 


“ไม่มีอะไรหรอกครับ” หวังเย้าพูด “ไปนอนเถอะครับ ผมจะขึ้นไปบนเขาแล้ว”


 


“งั้นก็ระวังๆหน่อยนะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด


 


เมื่อเขาขึ้นไปถึงบนเขาแล้ว หวังเย้าก็จุดไฟ เขานำหม้ออเนกประสงค์มาต้มยา ตัวยาส่งกลิ่นลอยออกมาจากปากหม้อ ไฟภายในกระท่อมส่องสว่างไปจนกระทั่งถึงกลางดึกของคืนนั้น


 


วันต่อมา ตะวันส่องสว่างจ้า หวังเย้ามุ่งหน้าลงไปจากเขาและเปิดคลินิกของเขา คนไข้คนแรกของเขาก็คือเวินหว่าน


 


คลินิกได้เปิดทำการแล้ว


 


“ทุกอย่างดีมากครับ” หวังเย้าพูด


 


“จริงเหรอคะ?” ถึงเธอจะรู้สึกได้เองว่า ร่างกายของเธอไม่ได้มีปัญหาอะไรแล้ว แต่เมื่อมาได้ยินคำพูดของหวังเย้า เวินหว่านกับลูกชายก็ตื่นเต้นจนแทบจะร้องไห้ออกมา


 


“จริงครับ” หวังเย้าพูด


 


“เยี่ยม เยี่ยมไปเลย ขอบคุณมากนะคะ” เวินหว่านไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกยินดีและขอบคุณที่อัดแน่นอยู่ภายในใจออกมาได้อย่างไร


 


เธอคิดว่า เธออยู่ในระยะสุดท้ายของโรคแล้ว แต่หวังเย้ากลับรักษาเธอจนหาย ขี้ผึ้งหนึ่งในสามถูกใช้ไปเพื่อให้เธอยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ และมันไม่สามารถหาได้จากที่อื่น ถูกนำมาใช้เพื่อรักษาเธอ


 


สองแม่ลูกจากไปพร้อมกับความยินดีและซาบซึ้งใจ ชีวิตคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน อิสรภาพก็เช่นเดียวกัน ระหว่างมีชีวิตต่อไปอย่างอับอาย หรือตายไปอย่างมีเกียตริ คนส่วนใหญ่มักเลือกตัวเลือกแรก


 



 


ภายในเรือนจำของเขตเหลียนชาน


 


อาเสิ่นมองออกไปนอกหน้าต่าง ร่างกายของเขาผ่ายผอม ใบหน้าของเขาแดงก่ำจนผิดสังเกต


 


“เฮ้อ ไม่คิดเลยว่าที่นี่จะกลายเป็นบ้านของฉัน” เขาถอนหายใจ


 


เขาตัวสั่นเทาและกัดฟันแน่น ดูเหมือนว่า เขากำลังพยายามอดทนกับความเจ็บปวดที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเขาอยู่


 


“ปล่อยวาง! ปล่อยวาง!”


 


เมื่อแสงตะวันส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา เขาก็หลับตาลงอย่างสงบ


 


“หืม? นักโทษตายแล้วเหรอ?” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งพูดขึ้นมา


 


“ใช่” เพื่อนร่วมงานของเขาพูด


 


“เขาตายได้ยังไง?” เจ้าหน้าที่ถาม


 


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันไม่ใช่การฆ่าตัวตายแน่นอน” เพื่อนร่วมงานของเขาพูด


 


“เฮ้อ ยุ่งจริงๆเลย” เจ้าหน้าที่พูด


 


ถึงชายคนนั้นจะป่วยและตายในคุก เจ้าหน้าที่ก็ยังต้องเขียนรายการเรื่องนี้ให้เบื้องบนทราบ ถ้าหากพวกเขาต้องเจอกับนักโทษที่มีเบื้องหลังพิเศษ เรื่องก็จะยิ่งยุ่งยากมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า


 


“รีบไปจัดการตามขั้นตอนเร็วๆเถอะ” เจ้าหน้าที่พูด


 


ไม่นาน ข่าวการเสียชีวิตของอาเสิ่นก็กระจายออกไป และรู้ไปถึงหูของหวังเย้า


 


“เขาตายแล้วเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่ เขาตายในคุกนั่นแหละ” หวังหมิงเปาคือคนที่บอกข่าวนี้กับหวังเย้า “ฉันจำได้ว่า นายเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า เขาจะอยู่ได้อีกไม่นาน”


 


“ใช่ เขาป่วย แล้วก็ยังเป็นอาการป่วยที่เจอน้อยมากด้วย” หวังเย้าค้นพบเรื่องนี้ในตอนที่ชายคนนั้นมาที่หมู่บ้านเพื่อฆ่าเขา


 


“สรุปแล้ว เขาเป็นนักฆ่าที่ป่วยหนักอย่างนั้นเหรอ?” หวังหมิงเปาถาม


 


“ดื่มชาเถอะ” หวังเย้าเทชาให้กับเขา


 


“ขอบคุณ อืม ชาดี” หวังหมิงเปาพูด “นายมีอีกไหม? แบ่งให้ฉันหน่อยได้ไหม?”


 


“ได้สิ เอากลับไปได้เลย” หวังเย้าพูด


 


ทั้งสองพูดคุยกันไปเรื่อยๆ เสียงใบไม้ส่ายไปมาตามลมดังเข้ามาถึงด้านใน


 


“อืม สีหน้านายดูไม่ค่อยดีเลยนะ” หวังเย้าพูด “นายต้องสนใจดูแลตัวเองด้วย เงินน่ะหาเมื่อไหร่ก็ได้”


 


“ฉันรู้ ถึงฉันจะป่วย ก็ยังมีนายรักษาให้ไม่ใช่หรือไง?” หวังหมิงเปาพูดด้วยรอยยิ้ม


 


เพื่อนของเขาสามารถรักษาโรคที่อยู่ในระยะสุดท้ายได้ เขาถึงขนาดถูกมองว่าเป็นพระเจ้าด้วยซ้ำ


 


“การมีสุขภาพที่ดีถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด” หวังเย้าพูด


 


ทุกการป่วยแลการรักษาจะกระทบร่างกายของเจ้าของ หากเป็นน้อยก็กระทบกับร่างกายไม่มาก แต่หากป่วยหนัก โรคร้ายก็อาจจะส่งผลเสียกับร่างกายได้


 


หวังเย้าได้ยินเสียงเคาะประตู ไม่นานก็มีคนเดินเข้ามา เขาก็คือ จงหลิวชวน


 


“หมอหวัง” เขาพูด


 


“เข้ามานั่งดื่มชาด้วยกันก่อนสิ” หวังเย้าพูด


 


“ผมคิดเรื่องนี้ดีแล้ว ผมจะไป” จงหลิวชวนพูด


 


คำตอบของเขาทำให้หวังเย้าต้องประหลาดใจ “ทำไมล่ะ?”


 


“ผมรู้ว่า พวกเขาเป็นเหมือนกับแมลงร้ายที่ชอนไชลึกไปถึงกระดูก” จงหลิวชวนพูด “มันยากที่จะสลัดพวกเขาออกไปได้”


 


“แล้วคุณคิดว่า แค่การที่คุณจากไปแล้วพวกเขาจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วงั้นเหรอ?” หวังเย้าถาม “คุณเคยอยู่ที่นี่มาก่อน ดังนั้น พวกเขาจะต้องส่งคนมาสืบที่นี่แน่”


 


“เอ่อ?” ในตอนที่ตัดสินใจจะจากเขา จงหลิวชวนไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้มาก่อน


 


“ความจริงที่ผมอยากจะให้คุณอยู่ต่อ ก็เป็นความเห็นแก่ตัวส่วนหนึ่งของผมเองด้วย ผมหวังว่าคุณจะช่วยดูแลชาวบ้านที่นี่ รวมไปถึงพ่อแม่ของผมในตอนที่ผมไม่อยู่” หวังเย้าพูดออกมาจากใจจริง


726 กังฟู เวทมนต์


 


จงหลิวชวนไม่ได้รีบตอบอะไรออกไป เขากำลังตัดสินใจอยู่ว่า เขาควรจะอยู่ต่อหรือไปดี หลังจากนั้นสักพัก เขาก็พูดออกมาว่า “งั้นผมจะอยู่”


 


ในเมื่อคนในองค์กรรู้แล้วว่าเขาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ ไม่ว่าเขาจะจากไปหรืออยู่ต่อมันก็ไม่ต่างกัน และถึงเขาจะย้ายหนีไปอยู่ที่อื่น ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็คงจะตามไปเจอเขาอยู่ดี


 


เขาไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนอย่างพวกคนยิปซี ที่เร่ร่อนไปเรื่อยๆและอยู่ที่ไหนได้ไม่นาน ถึงเขาจะทำได้ แต่น้องสาวของเขาไม่สามารถทำได้ การเดินทางเร่ร่อนเหมือนคนจรมันโหดร้ายเกินไปสำหรับเธอ อย่างน้อยๆ การอยู่ที่หมู่บ้านก็ยังมีหวังเย้าคอยช่วยเหลือพวกเขา หวังเย้าสามารถช่วยเขาสู้กับศตรูเก่าของเขาได้ หวังเย้าเป็นหมอมือหนึ่ง และยังเป็นปรมาจารย์กังฟูอีกด้วย


 


“ดี ผมดีใจนะที่คุณอยู่ต่อ” หวังเย้าพูด


 


ในตอนที่เขากำลังคุยอยู่กับจงหลิวชวนนั้น หวังหมิงเปาก็ได้ออกไปสูบบุหรี่ที่ด้านนอก แคว๊ก! แคว๊ก! มีนกนางแอ่นสองตัวบินอยู่เหนือศีรษะของเขา เขาไม่ทันได้สังเกตเลยว่า มีนกนางแอ่นมาทำรังอยู่ที่หลังคาของคลินิก


 


“หมอหวัง คุณมีพลังเหนือธรรมชาติหรือว่าแค่มีทักษะในด้านกังฟูเท่านั้นครับ?” จงหลิวชวนถาม เขาสงสัยเรื่องนี้มาได้สักพักแล้ว


 


“มันต่างกันด้วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ต่างสิครับ กังฟูคือทักษะที่ได้มาจากการเรียนรู้และฝึกฝน” จงหลิวชวนพูด “แต่พลังเหนือธรรมชาติที่สิ่งที่ได้มาแต่กำเนิด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้มันมาจากการเรียนรู้หรือฝึกฝนด้วยตัวเอง”


 


“ในเมื่อคุณพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วตัวคุณล่ะ เชื่อในเรื่องพลังเหนือธรรมชาติรึเปล่า?” หวังเย้าถาม


 


“เชื่อสิ หมอหวัง ผมเคยเห็นมันมาก่อน” จงหลิวชวนพูด


 


“จริงเหรอ?” ตอนนี้กลายเป็นหวังเย้าที่เป็นฝ่ายประหลาดใจ “มันเป็นพลังแบบไหนเหรอ? เหมือนอย่างที่มีให้เห็นในหนังรึเปล่า?”


 


“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ” จงหลิวชวนพูด “ผมเคยเจอคนคนหนึ่ง ที่มีความสามารถในการทนทานไฟได้อย่างน่าเหลือเชื่อเลยล่ะครับ เขาอยู่รอดปลอดภัยจากเปลวไฟโดยที่ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน แต่อาวุธก็ยังสามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บได้อยู่ เขายังป่วยและต้องกินเหมือนคนทั่วไป”


 


“เขาเป็นนักดับเพลิงได้เลยนะเนี่ย” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


ถึงภายนอกเขาจะดูสงบ แต่ความจริงแล้วเขาค่อนข้างตกใจกับเรื่องนี้ เรื่องบางอย่างนั้นมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แต่เพียงแค่ไม่เคยมีใครได้เห็นด้วยตาตัวเองเท่านั้น


 


“ผมไม่ได้มีพลังเหนือธรรมชาติหรอก” หวังเย้าพูด “ผมมีแค่ทักษะกังฟูเท่านั้น”


 


“จะมีคนที่สามารถไปถึงระดับของหมอได้จากการฝึกฝนไหมครับ?” จงหลิวชวนถาม


 


เขาเคยพบเห็นปรมาจารย์กังฟูที่สามารถฆ่าคนได้ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงแค่ครั้งเดียว หรือคนที่สามารถต่อสู้กับคนนับสิบหรือร้อยได้ด้วยตัวคนเดียว เขาเคยคิดว่า หากฝึกฝนอย่างหนักก็จะสามารถไปอยู่ในระดับเดียวกันกับคนเหล่านั้นได้ แต่ทักษะของหวังเย้านั้นกลับอยู่เหนือกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ ในสายตาของเขา มันไม่ต่างอะไรจากเวทมนต์เลยสักนิด


 


ยังไม่ต้องพูดถึงทักษะอื่นของหวังเย้า เขาสามารถทำให้ศัตรูสูญเสียความสามารถในการต่อสู้และฆ่าคนได้โดยที่ไม่ต้องแตะเนื้อต้องตัวเลยด้วยซ้ำ นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจนเกินไป


 


“ผมว่าน่าจะได้นะ” หลังจากที่คิดอยู่สักพัก หวังเย้าก็ตอบออกไป


 


เขาได้ความสามารถเหล่านี้มาจากการฝึกฝนตามคัมภีร์จื้อหรานจิง เขาฝึกฝนการหายใจก่อนที่จะฝึกการต่อสู้ หากพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ระดับของกำลังภายในของแต่ละคนนั้น คือสิ่งที่ใช้ตัดสินระดับทักษะกังฟูที่คนคนนั้นจะไปถึง


 


“หมอสอนผมได้ไหม?” จงหลิงชวนถาม


 


“คุณอยากให้ผมสอนกังฟูให้อย่างนั้นเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ครับ ได้รึเปล่า?” จงหลิวชวนถาม


 


“ได้สิ ผมจะลองสอนดูก็ได้” หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเย้าก็พูดออกมา


 


“จริงเหรอครับ?” จงหลิวชวนถามด้วยความแปลกใจ


 


“จริงสิ” หวังเย้าพูด


 


เขาไม่สามารถนำทั้งหมดในคัมภีร์จื้อหรานจิงมาสอนจงหลิวชวนได้ เพราะมันคือกฎที่ระบบตั้งเอาไว้ แต่มันก็มีช่องโหว่ของกฎอยู่ หวังเย้าสามารถเอาบางส่วนจากในคัมภีร์มาสอนเขาได้ เหมือนอย่างที่เคยสอนให้กับซูเสี่ยวซวี


 


“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หมอคืออาจารย์ของผม” จงหลิวชวนพูด


 


“อย่าเรียกผมว่าอาจารย์เลย” หวังเย้าพูด “ผมสอนให้คุณได้ แต่ผมไม่ชอบใหคนเรียกผมว่าอาจารย์”


 


“แต่…หมอเป็นอาจารย์ของผมนี่” จงหลิวชวนพูด


 


“ช่างมันเถอะ แค่ทำตามที่ผมบอกก็พอ” หวังเย้าพูด


 


จงหลิวชวนคุยกับหวังเย้าต่ออีกไม่กี่นาที เขาก็เดินออกไป


 


“นี่ นายได้นักเรียนเพิ่มมาอีกคนเหรอ?” หวังหมิงเปาถาม เขาไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังเรื่องที่พวกเขาคุยกัน แต่เขาแค่ยังเอิญได้ยินก็เท่านั้น


 


หวังเย้าไม่ได้พูดอะไร เขาทำเพียงแค่ส่ายหน้าและยิ้มกลับไปเท่านั้น


 


“แล้วนายเก่งกังฟูมากเลยเหรอ?” หวังหมิงเปาถามด้วยความสงสัย


 


“มันก็พูดยากนะ” หวังเย้าพูด เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายถึงระดับความสามารถในด้านกังฟูของเขากับหวังหมิงเปาได้ยังไง ในเมื่อมันไม่มีระดับบอกเอาไว้


 


“เราออกไปเดินข้างนอกกันดีไหม?” หวังหมิงเปาเสนอ


 


“เอาสิ” หวังเย้าพูด


 


ทั้งสองเดินออกไปที่บริเวณสวน ลมพัดรอบตัวพวกเขาไปวูบหนึ่ง มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียวของหวังเย้า ทั้งต้นไผ่, ใบหญ้า, และใบไม้ล้วนส่งเสียงดังซู่ซ่าจากแรงลม


 


“หยุด!” หวังเย้ายกมือขึ้น แล้วลมก็หยุดพัด


 


“เชี่ย…นี่มันไม่ใช่กังฟูแล้ว นี่มันเวทมนต์ชัดๆ” หวังหมิงเปาพูดด้วยท่าทีตกตะลึง เขารู้ว่า หวังเย้านั้นเก่งกาจในเรื่องของกังฟู แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าหวังเย้าจะมาถึงระดับนี้ได้ “นายสอนฉันได้ไหม?”


 


“นายพูดจริงเหรอ?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม


 


“จริงสิ ฉันเป็นคนที่มีพรสวรรค์ใช่ได้เลยนะ” หวังหมิงเปาพูด


 


“นายมีพรสวรรค์ในเรื่องการทำธุรกิจ แค่เรื่องนี้นายก็ยุ่งมากพอแล้ว” หวังเย้าพูด “แถมนายยังดื่มเหล้าสูบบุหรี่อีก มันจะทำนายไม่สามารถจดจ่ออยู่กับการฝึกได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ นายไม่มีพื้นฐานในเรื่องนี้มาก่อนเลย ถ้านายจะต้องฝึกตั้งแต่แรกเริ่ม เวลาคงไม่มากพอให้นายสำเร็จมาถึงระดับเดียวหรือใกล้เคียงกับฉันได้ ดังนั้น ฉันแนะนำว่าให้ลืมมันไปดีกว่านะ”


 


หวังเย้าคิดว่า หวังหมิงเปาไม่เหมาะที่จะฝึกกังฟู เขาต่างจากซูเสี่ยวซวี ที่มีความสงบนิ่งและเคยเกือบเสียชีวิตจากโรคร้ายมาก่อน เธอได้มองเห็นอะไรมากมายบนโลกใบนี้ และเธอก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์มากคนหนึ่ง


 


หวังหมิงเปาต่างจากจงหลิวชวนที่เริ่มฝึกกังฟูมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน จงหลิวชวนมีพื้นฐานการเรียนกังฟูที่ดี และเขาสามารถอยู่กับชีวิตที่เงียบสงบและฝึกฝนอย่างหนักได้ จงหลิวชวนตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านนี้ ดังนั้น เขาจึงมีเวลามากพอสำหรับฝึกฝนกังฟู หวังเย้าไม่คิดจะสอนคนที่มีโอกาสจะล้มเลิกฝึกกลางคันอย่างแน่นอน


 


“อืมมม แล้วมีวิธีไหนที่จะทำให้สามารถเรียนกังฟูได้เร็วขึ้นบ้างไหม?” หวังหมิงเปาถาม


 


“นายอยากเรียนกังฟูได้เร็วขึ้นเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่ อย่างการที่ให้คนยัดความรู้เกี่ยวกับกังฟูทั้งหมดใส่ไว้ในหัวของนาย หรือมีเทพเข้าฝันมาสอนกังฟูให้นายยังไงล่ะ” หวังหมิงเปาพูด


 


“นี่พูดเล่นอยู่ใช่ไหม?” หวังเย้าถาม “นายคงจะดูหนังมากไปสินะ”


 


“แล้วทำไมนายถึงเก่งขนาดนี้ได้ล่ะ?” หวังหมิงเปาถาม


 


“ฉันเหรอ? ก็เพราะพระเจ้ารักฉันยังไงล่ะ” หวังเย้าตอบ “ฉันฝึกฝนอยู่บนเนินเขาหนานชานทั้งวันทั้งคืน แล้วก็บังเอิญได้รับโอกาสที่น่าอัศจรรย์ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองจีนกับวัดเทียนฐาน จนทำให้ความสามารถของฉันเพิ่มขึ้นมายังไงล่ะ”


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ให้คนอื่นได้ฟัง เขาไม่คิดว่า หวังหมิงเปาจะใจเย็นพอที่จะอ่านคัมภีร์ที่เขาจำเป็นต้องอ่านเพื่อฝึกฝนได้


 


“โว้ว ฟังดูน่ามหัศจรรย์จัง” หวังหมิงเปาพูด


 


“ใช่” หวังเย้าพูด


 


“ฉันอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะกับการฝึกกังฟูจริงๆนั่นล่ะ” หวังหมิงเปาพูด พร้อมกับหยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมาจุด


 


“ฉันว่า นายน่าจะเลิกสูบบุหรี่ได้แล้วนะ” หวังเย้าพูด


 


“ฉันจะพยายามนะ” หวังหมิงเปารับฟังคำแนะนำของหวังเย้า และเก็บกล่องใส่บุหรี่ไป


 


“เมียนายเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม


 


“เธอพักอยู่ที่บ้าน ตอนนี้ เธอท้องแล้วล่ะ” หวังหมิงเปาพูด


 


“หา! ยินดีด้วย! ไม่คิดเลยนะว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้” หวังเย้าพูด


 


“ขอบคุณ” หวังหมิงเปาพูด


 



 


ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ที่ถงตู ซึ่งอยู่ไกลจากหมู่บ้านของหวังเย้าไปหลายพันไมล์ นักพรตเต๋าหลายคนยืนอยู่รอบเตียงไม้หลังหนึ่ง ที่อยู่ภายในบ้านบนเขาหลงหู่ ชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้นั้น เขาสวมชุดของนักพรต มีเครื่องรางบางอย่างถูกวางเอาไว้บนหน้าอกของเขา ใบหน้าของเขาดำคล้ำดูน่ากลัว และตอนนี้ เขายังคงนอนไม่ได้สติอยู่


 


“วิญญาณร้ายที่ทำร้ายเขาแข็งแกร่งมาก” นักพรตชราพูด


 


“อาจารย์ เขาจะเป็นอะไรไหม?” นักพรตอีกคนถาม


 


“อาจารย์คงทำได้แค่ยื้อชีวิตของเขาเอาไว้” นักพรตชราพูด “อาจารย์ก็ยังไม่มั่นใจว่าเขาจะกลับมามีสติได้หรือไม่”


 


“แล้วสองคนนั้นล่ะ” นักพรตถาม


 


“พวกเขายังอยู่ที่ห้องรับแขกด้านนอก” นักพรตชราพูด


 


เมี่ยวซานติงกับหลิวซื่อฟางกำลังรอคอยอยู่ที่ห้องรับแขก


 


“ฉันคิดว่า คนของที่นี่จะเชี่ยวชาญเรื่องการจัดการกับวิญญาณร้ายซะอีก” หลิวซื่อฟางพูด “ทำไมเรื่องถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?”


 


“ไม่มีใครรับประกันได้ว่า ทุกอย่างที่ทำลงไปจะสำเร็จเสมอหรอกนะ” เมี่ยวซานติงยังคงรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น “ขนาดนักพรตที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ก็ยังพลาดท่า เราก็พลาดที่มองไม่เห็นอันตรายที่อยู่ในสุสานนั้น แล้วยังเป็นเหตุที่ทำให้มีคนตายหลายคน ฉันคือคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด”


 


“เลิกโทษตัวเองได้แล้ว มันไม่ใช่ความผิดของพี่เลยสักนิด” หลิวซื่อฟางพูด


 


“ถ้าฉันไม่เลือกให้ขุดหลุมฝังศพตรงนั้น คนพวกนั้นก็คงไม่ตาย และก็คงจะไม่เกิดเรื่องยุ่งยากตามมามากมายขนาดนี้หรอก” เมี่ยวซานติงพูด “ทุกอย่างเลวร้ายลงเรื่อยๆ ขนาดนักพรตเต๋าก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย คนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนอีกคนก็ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง ฉันว่า เขาน่าจะได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน”


 


“เรื่องนี้ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” หลิวซื่อฟางพูด


 


“เธอไม่ใช่ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดหรอก” มีคนเดินเข้ามาด้านใน


 


นักพรตเต๋าหลายคนเดินเข้ามาภายในห้องรับแขก มีนักพรตชราเดินอยู่ด้านหน้าสุด เขามีดวงตาที่คมกริบ ราวกับดาบคมกริบที่ซ่อนอยู่ในฝัก


 


“ท่านปรมาจารย์” เมี่ยวซานติงพูด


 


“เลิกเรียกฉันว่าปรมาจารย์เถอะ” นักพรตชราโบกมือ “ตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงมา มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกเรียกว่าปรมาจารย์ แล้วพวกเขาทั้งหมดสิ้นไปแล้ว ฉันรู้จักกับอาจารย์ของเธอ เธอเรียกฉันว่าอาจารย์อาก็แล้วกัน”


727 ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิต


 


“ครับ อาจารย์อา” เมี่ยวซานติงมาด้วยความรีบร้อน ครั้งก่อนที่เขามาที่เขาหลงหู่ เขาก็ไม่ได้เจอกับนักพรตชรา “อาจารย์อา ยังมีศิษย์พี่อีกคนอยู่ที่เขาลูกนั้นครับ”


 


“อาจารย์รู้” นักพรตเต๋าพูด “อาจารย์กลัวว่า ตอนนี้ เขาอาจจะตกอยู่ในอันตราย ให้ศิษย์น้องของอาจารย์ไปที่สุสานแห่งนั้นกับเธอก็แล้วกัน”


 


เขาไม่คาดคิดว่าด้านในสุสานจะมีสิ่งเลวร้ายเกินกว่าที่ทุกคนจะสามารถจินตนาการได้ และทุกคนต่างก็สงสัยว่าอะไรที่อยู่ด้านในนั้น


 


“ขอบคุณครับ” เมี่ยวซานติงพูด “แล้วศิษย์พี่เป็นยังไงบ้างครับ?”


 


“เขาได้รับการรักษาแล้ว” นักพรตเต๋าพูด “เราก็ได้แต่หวังว่าเขาจะรอดชีวิต”


 


“อาจารย์อา เราก็เคยเข้าไปในนั้น แล้วได้รับบาดเจ็บมาเหมือนกันครับ” อยู่ๆเมี่ยวซานติงก็นึกถึงหวังเย้าขึ้นมาได้ ถ้าเขาสามารถรักษาเขากับน้องชายได้ เขาก็น่าจะสามารถรักษานักพรตที่ได้รับบาดเจ็บได้เหมือนกัน “ถึงจะไม่ได้ร้ายแรง แต่สาเหตุก็น่าจะมาจากแหล่งเดียวกัน และมีคนคนหนึ่งที่สามารถรักษามันได้ครับ!”


 


“จริงเหรอ? เธอก็รู้ว่านี่ไม่ใช่อาการป่วยธรรมดา” นักพรตชราตอบ


 


โรคนี้อยู่เหนือโรคธรรมดาที่คนทั่วไปเป็นกัน


 


“มันคือเรื่องจริงนะครับ” เมี่ยวซานติงพูด “ผมจะรีบออกเดินทางไปจังหวัดฉี แล้วก็ไปขอให้เขามาช่วยรักษาศิษย์พี่นะครับ”


 


“เธอโทรไปหาเขาไม่ได้เหรอ?” นักพรตชราถาม


 


“ไม่ได้หรอกครับ ผมต้องไปขอร้องเขาด้วยตัวเอง” เมี่ยวซานติงพูด “ผมจะให้น้องชายของผมพาทุกคนไปที่สุสานแทนนะครับ”


 


“หา?” หลิวซื่อฟางตกใจ


 


“อืม งั้นอาจารย์จะซื้อตั๋วให้” นักพรตเต๋าพูด


 


ไม่นาน ทุกอย่างก็พร้อม การซื้อขายทางออนไลน์ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก ตอนนี้ แม้แต่นักพรตเต๋าก็ยังพัฒนาไปตามกาลเวลาเช่นเดียวกับคนทั่วไป


 


พวกเขาแบ่งกันเป็นสองกลุ่ม หนึ่งแยกตัวเดินทางไปเชิญหวังเย้าที่จังหวัดฉี เพื่อให้เขาเดินทางมารักษาอาการคนป่วยที่เขาหลงหู่ ส่วนอีกกลุ่มได้เดินทางไปที่หมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานโบราณ


 



 


ภายในหมู่บ้าน คนสองคนกำลังมองซ้ายขวาด้วยท่าทีระมัดระวัง


 


“นี่ ฉันได้ยินมาว่า สุสานนี้มีวิญญาณร้ายอยู่นะ” ชายคนหนึ่งพูด “แล้วก็ยังมีคนตายในนี้ด้วย”


 


“วิญญาณร้าย? ทำไมนายจะต้องกลัวอะไรแบบนั้นด้วย? ฉันได้นี่มาจากเขาหลงหู่ล่ะ” ชายอีกคนที่มีแก้มตอบคล้ายกับลิง ได้ถือแผ่นยันต์ที่เอาไว้ป้องกันวิญญาณร้ายเอาไว้ “มันมีไว้สำหรับไล่วิญญาณร้ายล่ะ”


 


“โอ้ แล้วขโมยของในสุสานจะผิดกฎหมายรึเปล่า?” ชายอีกคนถาม


 


“ไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงเรื่องนั้นหรอก” ชายหน้าตอบพูด “นายอยากจะซื้อบ้านในเมือง, แต่งเมีย, และมีเงินไว้จ่ายค่ารักษาพยาบาลพ่อแม่หรือเปล่าล่ะ?”


 


“โอเค พอได้แล้ว” ชายอีกคนพูด “ไปกันเถอะ!”


 


ชายสองคนมุ่งหน้าไปยังกระท่อมบนเขาด้วยความระมัดระวัง


 


“นี่ ทำไมมันถึงได้เงียบแบบนี้ล่ะ?” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมา พวกเขาไม่ได้ยินเสียงนกหรือแมลงร้องเลย “นี่ นายรู้สึกว่ามันเย็นๆรึเปล่า?”


 


“เงียบสักทีได้ไหม?” ชายหน้าตอบพูด


 


อยู่ๆเขาก็ตบไปที่หน้าอกของตัวเอง กระเป๋าเสื้อของเขากำลังลุกไหม้ แผ่นยันต์ที่ได้มาจากเขาหลงหู่ได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว


 


ผ้าหลากสีที่ปกคลุมด้านนอกกระท่อมเอาไว้อยู่ๆก็ส่ายไปมา


 


สีหน้าของชายทั้งสองเปลี่ยนจากซีดเซียวเป็นตกตะลึง และจิตใจของพวกเขากลายเป็นว่างเปล่า หลังจากที่ได้สติกลับคืนมา พวกเขาก็รีบวิ่งมุ่งหน้าตรงไปที่เขา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิต ไม่ว่าจะเป็นของที่อยู่ด้านในสุสาน, เงินทอง, บ้านหรือว่าเมีย


 


ชายทั้งสองวิ่งขึ้นไปจนถึงยอดเขาและวิ่งลงไปยังหมู่บ้านที่อยู่อีกด้านของเขาลูกนี้ พวกเขาทรุดตัวลงนั่งที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน พร้อมกับหายใจหอบ


 


“เขารอดแล้ว!”


 


พวกเขาไม่กล้าหันกลับไปมองที่เขาลูกนั้น ส่วนสุสานโบราณที่ตั้งอยู่บนนั้น พวกเขาไม่อยากจะไปคิดถึงมันอีก


 


“ฉันจะไปคุยเรื่องนี้กับผู้ใหญ่บ้าน” ชายหน้าตบพูด “จะให้ชาวบ้านเข้าไปใกล้เขาลูกนั้นไม่ได้เด็ดขาด”


 


ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาในหมู่บ้านและหยุดลง มีคนสี่คนลงมาจากรถ สามคนในนั้นอยู่ในชุดของนักพรตเต๋า


 


“อาจารย์อา ที่นี่แหละครับ” หลิวซื่อฟางพูด


 


“ไปดูกันเถอะ” ผู้นำของกลุ่มนักพรตเต๋าพูด


 


“หา ตอนนี้เลยเหรอครับ?” หลิวซื่อฟางตกใจ


 


“ใช่ ตอนนี้เลย” ผู้นำนักพรตเต๋าพูด “ถามทำไมเหรอ?”


 


“มันดึกแล้ว แล้วบนนั้นก็มีวิญญาณร้ายอยู่ด้วยน่ะสิครับ” หลิวซื่อฟางพูด


 


“ที่พวกเรามาที่นี่ ก็เพื่อจัดการกับปีศาจและวิญญาณร้าย” นักพรตพูด


 


“แต่ไม่ใช่ว่า เวลากลางคืนจะทำให้พวกมันร้ายกาจขึ้นเหรอครับ?” หลิวซื่อฟางถาม


 


“เพราะแบบนั้น เราเลยต้องมาดูยังไงล่ะ” นักพรตพูด ก่อนที่เขาจะเดินมุ่งหน้าไปยังเขาลูกนั้น


 


“อาจารย์อา รอผมด้วย” หลิวซื่อฟางพูด


 


มันเป็นค่ำคืนที่เงียบสงัด บนเขาลูกนี้ดูเหมือนจะเงียบกว่าที่อื่น เมื่อพวกเขาเดินมาถึงตรงบริเวณตีนเขา กระดิ่งที่ห้อยอยู่ตรงเอวของนักพรตก็ส่งเสียงดังลั่น


 


“มันยากที่จะจัดการจริงๆ” นักพรตพูด


 


ด้านล่างของเขาลูกนี้มีต้นไม้และก้อนหินอยู่เป็นจำนวนมาก นักพรตเต๋าหยุดอยู่ที่หินก้อนหนึ่งและนำกระดาษแผ่นหนึ่งมาแปะเอาไว้ กระดิ่งที่เอวของเขาดูเหมือนจะสงบลง เขาเดินไปรอบๆเขาและหยุดที่หินอีกก้อน ก่อนที่จะนำกระดาษอีกแผ่นติดเอาไว้ เสียงกระดิ่งดูเหมือนจะเบาลงกว่าเดิม พวกเขาเดินรอบเขาเป็นครึ่งวงกลมเพื่อติดกระดาษตามก้อนหินทั้งหมดสี่แผ่น ก่อนที่จะเดินขึ้นไปด้านบน


 


หลิวซื่อฟางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขามองเห็นกระท่อมได้ลางๆ เขาคิดในใจ อย่าออกมานะ! อย่าออกมา! อย่าออกมาเลย! ได้โปรดเถอะ!


 


โชคดีที่นักพรตเต๋าไม่ได้เดินเข้าไปใกล้มากกว่านี้ เขาได้เดินวนรอบกระท่อมและนำกระดาษทั้งหมดแปดแผ่นติดตามต้นไม้และก้อนหินที่อยู่รอบๆบริเวณนั้นแทน เมื่อรวมเข้ากับกระดาษสี่แผ่นที่ติดไปก่อนหน้านี้ ทั้งหมดก็ได้กลายเป็นค่ายกลที่นักพรตได้สร้างขึ้นมา


 


“ไปกันเถอะ” นักพรตเต๋าพูด


 


“โอ้ ดีครับดี!” เมื่อได้ยินคำพูดของนักพรตเต๋า หลิวซื่อฟางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


พวกเขาทั้งหมดเดินลงเขาไปและหาบ้านของชาวบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านเพื่อนอนค้างคืน


 


ในขณะเดียวกันนั้น เมี่ยวซานติงก็บินไปถึงเมืองเต๋าในคืนนั้นและนั่งแท็กซี่จากเมืองเต๋าเพื่อเดินทางไปยังเขตเหลียนชาน แท็กซี่เดินทางด้วยความรวดเร็วตามความต้องการของผู้โดยสาร


 


“เดินทางมาถึงดึกขนาดนี้ คุณรีบมากเลยเหรอ?” คนขับแท็กซี่ถาม


 


การเดินทางต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง เพราะมันเป็นเวลาดึกมากแล้ว การพูดคุยกับผู้โดยสารก็ช่วยให้คนขับตื่นตัวได้มากขึ้น


 


“ครับ ผมมีเรื่องด่วนมาก” เมี่ยวซานติงพูด เขาเป็นกังวล เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของคน


 


“คุณมาจากที่ไหนเหรอ?” คนขับถาม


 


“หงโจวครับ” เมี่ยวซานติงตอบ


 


“ผมเคยไปที่นั่นมาก่อน” คนขับพูด “ที่นั่นมีเขาซานชิงกับเขาหลงหู่อยู่ใช่ไหม? มันเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิของลัทธิเต๋า ถูกต้องรึเปล่า? แล้วนักพรตเต๋าที่อยู่ที่นั่นรู้วิธีการใช้เวทมนต์คาถาจริงๆเหรอ?”


 


“ครับ” เมี่ยวซานติงพูด เขาไม่ได้อยากจะคุยกับคนขับแท็กซี่มากนัก


 


เมื่อไปถึงที่เขตเหลียนชาน มันก็เป็นเวลาตีสามแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาโรงแรมเพื่อเข้าพักในเวลานี้ แต่สุดท้ายเขาก็เจอที่หนึ่ง หลังจากนอนได้ไม่ถึงสามชั่วโมง เขาก็ตื่นขึ้นมาก่อนหกโมงเช้าและนั่งแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านกลางเขา เมื่อตะวันโผล่ขึ้นฟ้า เขาก็รออยู่ที่ด้านหน้าคลินิกแล้ว


 


จงหลิวชวนที่ออกมาวิ่งในตอนเช้าเห็นเขาเข้า และสังเกตดูเขาอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะวิ่งขึ้นไปบนเขาเพื่อออกกำลังกาย


 


เมี่ยวซานติงจุดบุหรี่สูบ เขามองดูนาฬิกาอยู่เกือบตลอด เฮ้อ มันเกือบได้เวลาที่ต้องตื่นแล้วไม่ใช่เหรอ? เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนที่ในที่สุด เขาจะหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อกดโทรหาหวังเย้า


 


หวังเย้าไม่ได้โมโหอะไรถึงแม้ว่าเขาจะโทรมาแต่เช้า เขารู้ความตั้งใจของเมี่ยวซานติง หลังจากที่ได้รู้ว่า เมี่ยวซานติงกำลังรอเขาอยู่ หวังเย้าก็ลงไปจากเขาในทันที


 


เมื่อได้เห็นหวังเย้าเดินมา เมี่ยวซานติงก็สูบบุหรี่ไปได้ห้ามวนแล้ว “ขอโทษที่ต้องมารบกวนหมอนะครับ”


 


“คุณเดินทางมาตอนกลางดึกเลยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ครับ มันเป็นเรื่องของชีวิตคนน่ะครับ” เมี่ยวซานติงพูด


 


“เข้ามาข้างในก่อนสิครับ” หวังเย้าเปิดประตูคลินิก และเทน้ำใส่แก้วให้กับเมี่ยวซานติง


 


เขาพอจะเดาได้ว่า เมี่ยวซานติงยังไม่ได้กินอาหารเช้ามา ดังนั้น การดื่มชาจึงไม่ใช่เรื่องที่สมควร


 


“ผมมาที่นี่เพื่อเชิญหมอไปรักษาคนครับ” เมี่ยวซานติงดื่มน้ำเข้าไป


 


“รักษาคนเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


เมี่ยวซานติงเล่าเรื่องทั้งหมดให้หวังเย้าฟัง


 


“มีคนตายไปสามคนแล้วอย่างนั้นเหรอ?” หวังเย้าไม่คิดว่า เรื่องมันจะเลวร้ายได้ถึงขนาดนี้


 


“ผมกลัวว่าน้องชายของผมจะได้รับอันตราย แล้วยังมีนักพรตจากเขาหลงหู่อีกคนที่ยังอยู่ในอันตรายด้วย” เมี่ยวซานติงพูด “หมอช่วยพวกเขาได้ไหมครับ? ผมยินดีทำทุกอย่างที่หมอต้องการ”


 


หวังเย้ามองชายที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทีสงบนิ่ง เมี่ยวซานติงกำลังเป็นกังวลอย่างมาก ความจริง ตัวหวังเย้าเองก็รู้สึกสนใจเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ไม่ใช่แค่โรคประหลาด แต่ยังรวมไปถึง “วิญญาณ” ที่เขาอยากจะไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง


728 กำราบวิญญาณร้าย


 


ถึงจะสงสัยมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังมีเรื่องให้ต้องห่วงอยู่ หลักๆก็คือเรื่ององค์ที่จงหลิวชวนได้เล่าให้เขาฟัง ถ้าหากเขาไป แล้วฝั่งนั้นส่งคนที่มีฝีมือระดับเดียวกับคนก่อนมา จงหลิวชวนคงต้านเอาไว้ไม่อยู่ และมันก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่


 


“รอเดี๋ยวนะครับ” หวังเย้าพูด


 


หวังเย้ากดโทรหาจงหลิวชวนและขอให้เขามาที่คลินิก เมื่อเขามาถึง หวังเย้าก็บอกเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเองและความกังวลที่เขามี


 


“หมอหวังเรื่องนี้ได้เลยครับ องค์กรนี้มีระบบขั้นตอนของพวกเขาอยู่” จงหลิวชวนพูด “เมื่อนักฆ่ามือดีของพวกเขาทำงานพลาด มันก็หมายถึงระดับของงานที่ยากขึ้นตามไปด้วย พวกเขาจำเป็นต้องทำการประเมินใหม่ ซึ่งมันต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน ดังนั้น พวกเขาคงยังไม่ส่งคนมาเร็วๆนี้หรอกครับ”


 


“ถ้าอย่างนั้น มันต้องใช้เวลานานแค่ไหนเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“เดือนหนึ่งครับ” จงหลิวชวนพูด


 


“อืม ผมคงไม่อยู่ที่นี่สักอาทิตย์หนึ่ง ดังนั้น ผมฝากที่นี่ให้คุณดูแลด้วยนะ” หวังเย้าพูด


 


“ผมจะดูแลที่นี่ให้เองครับ” จงหลิวชวนพูด


 


หวังเย้าส่งหนังสือเล่มหนึ่งให้กับเขา “เอานี่ไปอ่านซะนะ”


 


“นี่มันตำราแพทย์ไม่ใช่เหรอครับ?” จงหลิวชวนไม่เข้าใจ เขาอยากจะเรียนกังฟูไม่ใช่เรียนแพทย์


 


“หลักสำคัญก็คือเส้นเลือดและจุดฝังเข็มบนร่างกายของมนุษย์” หวังเย้าพูด “คุณจำเป็นต้องทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้และจดจำมันเอาไว้ ถ้าอยากจะเรียนกังฟู คุณก็ต้องเข้าใจหลักกายภาพก่อน”


 


“เข้าใจแล้วครับ” จงหลิวชวนพูด


 


หวังเย้าหันไปหาเมี่ยวซานติงที่กำลังรอคอยอยู่อย่างร้อนใจ และพูดกับเขาว่า “ผมจะกลับไปบอกพ่อกับแม่ของผมที่บ้านก่อน แล้วจากนั้นเราก็ไปกัน”


 


“โอ้ ขอบคุณครับ” เมี่ยวซานติงพูด


 


หลังจากปิดคลินิกแล้ว หวังเย้าก็กลับไปที่บ้านและอธิบายเรื่องทั้งหมดให้พ่อแม่ของเขาฟังอย่างคร่าวๆ


 


“ลูกจะไปไกลเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ครับ ผมได้รับคำเชิญจากเพื่อนคนหนึ่ง แล้วผมก็อยากจะไปดูที่นั่นสักหน่อยด้วย” หวังเย้าพูด “ตอนที่ผมไม่อยู่ แม่กับพ่อพยายามอย่าออกไปข้างนอกบ่อยๆนะครับ ถ้ามีปัญหาอะไร รอให้ผมกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


 


“อ่อ ได้จ๊ะ” จางซิวหยิงพูด


 


หลังจากที่เขาได้คุยกับคนที่บ้านเรียบร้อยแล้ว หวังเย้ากับเมี่ยวซานติงก็มุ่งหน้าไปที่เมืองเต๋า เพื่อขึ้นเครื่องไปยังหงโจว


 



 


ภายในหมู่บ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานโบราณในหงโจว


 


เช้าวันรุ่งขึ้น นักพรตเต๋าจากเขาหลงหู่ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อฝึกกังฟูอยู่ที่บริเวณลานบ้าน การเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นไปอย่างเชื่องช้า และท่าทางดูแปลกตา


 


นี่มันมวยแบบไหนกัน? หลิวซื่อฟางสงสัย


 


“ท่านนักพรต อาหารเช้าพร้อมแล้ว” ชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นให้การต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดี และคนในหงโจวต่างก็ให้เคารพนับถือเหล่านักพรตเต๋าที่มาจากเขาหลงหู่กันทั้งนั้น


 


หลังจากทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว นักพรตทั้งสามก็ตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆที่พวกเขานำติดตัวมาด้วยอย่างละเอียด หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่ปัญหาอะไร พวกเขาก็พร้อมที่จะขึ้นไปบนเขา พร้อมกับมีหลิวซื่อฟางตามขึ้นไปด้วย


 


“เธอไม่ต้องไปกับพวกเราหรอก” ผู้นำนักพรตพูด


 


เรื่องนี้ทำให้หลิวซื่อฟางดีใจมาก เขาไม่ได้อยากจะไปที่นั่นเลยสักนิด เพราะมันได้ทิ้งความกลัวเอาไว้ในใจของเขา แต่เมื่อคิดถึงคำสั่งจากพี่ชายแล้ว เขาก็เกิดลังเลขึ้นมา


 


“อาจารย์อา ผมไม่ขึ้นไปบนนั้นกับอาจารย์อา” เขาพูด “แต่ผมจะรออยู่ตรงตีนเขานะครับ ถ้าต้องการอะไรก็ให้เรียกหาผมได้เลย”


 


“อืม ได้” นักพรตยิ้มให้เขา


 


สายตาของเขามีมองหลิวซื่อฟางได้เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มคนนี้กลัวสุสานโบราณแห่งนั้นมาก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถึงยังไง สิ่งที่มองไม่เห็นก็คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่หวาดกลัวกัน แต่หลิวซื่อฟางก็ยังกล้าเผชิญหน้ากับมันและทำเท่าที่เขาจะทำได้ มันเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก


 


“เอาเครื่องรางสองอันนี้ไปติดที่หน้าอกของเธอซะ” ผู้นำนักพรตหยิบเครื่องรางออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้กับเขา “ขอแค่เธอไม่เข้าไปใกล้ ก็จะไม่มีปัญหาอะไร”


 


“ขอบคุณครับ อาจารย์อา” หลิวซื่อฟางพูด


 


กลุ่มของพวกเขาออกเดินทางและไปถึงที่ตีนเขาในเวลาอันสั้น นักพรตเข้าไปตรวจสอบดูค่ายกลที่วางเอาไว้เมื่อคืน แผ่นยันต์ยังคงติดอยู่ที่เดิม เมื่อพวกเขาเดินขึ้นไปบนเขา พวกเขาก็เข้าไปตรวจสอบดูแผ่นยันต์ที่ติดรอบกระท่อมเอาไว้ ทั้งหมดยังคงอยู่ที่เดิม แต่แผ่นยันต์กลับกลายเป็นสีเหลืองไปแล้ว เวลาผ่านไปเพียงคืนเดียว แต่แผ่นยันต์ที่ติดเอาไว้กลับกลายเป็นแผ่นกระดาษที่ราวกับผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน


 


“ระวังตัวด้วย” ผู้นำนักพรตพูด


 


“ครับ อาจารย์” นักพรตอีกสองคนตอบรับ


 


นักพรตทั้งสามเดินเข้าไปในกระท่อมด้วยความระมัดระวัง หนึ่งในนั้นหยิบแผ่นยันต์ออกมาติดกับตัวกระท่อม เพียงไม่นาน แผ่นยันต์ก็ลุกไหม้กลายเป็นขี้เถ้า


 


ผู้นักพรตวาดสัญลักษณ์บางอย่างขึ้นในอากาศ ก่อนที่จะเดินนำเข้าไปในกระท่อม ด้านในกระท่อมยังคงเหมือนเดิม แต่นักพรตเต๋าที่มาที่นี่ก่อนหน้านี้ กลับหายตัวไป


 


ภายในสุสาน รูปปั้นปีศาจร้ายยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


 


“เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน?” นักพรตชราขมวดคิ้ว


 


“อาจารย์ มีเลือดอยู่ตรงนั้น” นักพรตเต๋าคนหนึ่งชี้เข้าไปด้านใน


 


มีรอเลือดลากยาวไปจนถึงประตูและถูกลบหายไป


 


“วิญญาญร้ายอยู่บนเส้นทางและอยู่ภายใต้การคุ้มครองของราชาลิง” นักพรตชราไม่ได้รีบร้อนเข้าไปด้านใน แต่เขามองดูบานประตูทั้งสองฝั่งของสุสานอยู่เงียบๆ


 


ครืด!


 


บานประตูหินที่หนาหนักดูเหมือนกำลังหยับอยู่ มันเปิดแง้มออกเล็กน้อย


 


กระดิ่งที่เอวของนักพรตส่งเสียงดังลั่น ที่ด้านนอกของกระท่อม กระดาษทั้งแปดแผ่นที่ติดเอาไว้เกิดการลุกไหม้และกลายเป็นขี้เถ้า


 


มือหนึ่งยื่นออกมาจากด้านในสุสาน


 


“นี่มัน?” นักพรตหนุ่มสองคนมีท่าทีตกใจ “เป็นไปได้ยังไงกัน?”


 


ที่บริเวณตีนเขา หลิวซื่อฟางกำลังสูบบุหรี่และเดินกลับไปกลับมา เขาเงยหน้าขึ้นมองดูด้านบนเขาลูกนั้นเป็นครั้งคราว


 


หลิวซื่อฟาง แกมันหน้าโง่ แกจะกลัวไปทำไม? นักพรตที่มาครั้งก่อนเป็นเพียงลูกศิษย์ แต่ครั้งนี้คืออาจารย์ที่มาด้วยตัวเอง มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร


 


เขายกมือขึ้นมาจับเครื่องรางที่ติดอยู่ที่หน้าอกของเขา


 


“พระพุทธเจ้า ช่วยลูกด้วย, พระโพธิสัตย์ ช่วยลูกด้วย, พระเจ้า ช่วยลูกด้วย…”


 


ภายในกระท่อม ด้านหลังบานประตูมีส่วนแขนยื่นออกมา ตัวแขนถูกพันไว้ด้วยชุดคลุมของนักพรตเต๋า มันเป็นแบบเดียวกันกับที่นักพรตเต๋าสามคนที่อยู่ด้านนอกสวมอยู่ แต่ชุดคลุมนั้นมีหยดเลือดติดอยู่ด้วย


 


“ศิษย์…ศิษย์พี่?”


 


“เฮ้อ เรื่องที่กังวลมากที่สุดได้เกิดขึ้นแล้วสินะ” นักพรตชราพูด


 


เขาสะบัดมือ แล้วกระดาษแผ่นหนึ่งก็ปลิวออกไปราวกับมีดบินเล่มหนึ่ง มันพุ่งตรงไปยังแขนที่ยื่นออกมา ตัวกระดาษเกิดการฉีกขาดและลุกไหม้ขึ้น แขนนั้นหยุดการเคลื่อนไหว มันค้างอยู่ในท่าที่ราวกับกำลังจะผลักประตูให้เปิดออก


 


ด้านซ้ายบนของสุสาน ได้เกิดรอยแตกร้าวขึ้นที่รูปปั้นราชาลิงโดยไม่ทราบสาเหตุ


 


“เราจะปล่อยเขาออกมาไม่ได้เด็ดขาด” อยู่ๆสีหน้าของนักพรตชราก็เปลี่ยนไป


 


“หา?”


 


แผ่นยันต์พุ่งออกไปทีละแผ่นๆ และติดเข้าไปที่ทั้งสี่มุมของประตูสุสาน แล้วลุกไหม้ขึ้นทันที


 


วิญญาณร้ายถูกขังอยู่ด้านใน พวกมันถูกปิดกั้นจากโลกด้านนอก โดยมีราชาลิงเป็นผู้ปกป้องและควบคุมพวกมันเอาไว้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถออกมาได้


 


ประตูสุสานถูกผลักให้เปิดออกจากด้านใน โดยทฤษฎีแล้ว  สิ่งที่อยู่ด้านในไม่ควรจะตื่นขึ้นมา


 


นักพรตชรารู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น


 


ประตูสุสานเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง คล้ายกับว่ามีเสียงหายใจดังออกมาจากด้านใน รูปปั้นที่ตั้งอยู่ด้านขวาได้เกิดรอยร้าวขึ้นเช่นเดียวกัน


 


“เราผนึกมันไม่ได้เหรอ?” นักพรตคนหนึ่งถาม


 


ประตูสุสานถูกผลักให้เปิดออกประมาณสามนิ้ว มีใบหน้าหนึ่งที่มาพร้อมกับดวงตาสีแดงก่ำคู่หนึ่งโผล่ออกมา


 


“อ้าก!”


 


“แย่แล้ว!” เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง หลิวซื่อฟางที่อยู่ตรงตีนเขาก็ทิ้งบุหรี่ลงพื้นและออกตัววิ่งหนีไป หลังจากที่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หันหลังกลับไปมองภูเขาที่อยู่ด้านหลัง แต่กลับไม่เห็นใครลงมาจากด้านบนเลย


 


เขาคิดในใจ คราวที่แล้วเสร็จไปคนหนึ่ง หรือครั้งนี้ ทั้งสามจะพลาดเหมือนกัน?


 


ร่างกายของเขาสั่นสะท้านด้วยความกลัว เขากำลังกลัว แต่เขาก็กัดฟันและตัดสินใจที่จะรอต่อ


 


ด้านในกระท่อม นักพรตคนหนึ่งนอนตัวสั่นสะท้านอยู่ที่พื้น ราวกับคนที่ถูกไฟช๊อต


 


“ตื่น!” นักพรตชราแก้กระดิ่งที่มัดติดอยู่ที่เอวออกมา และนำมันกดลงไปที่ศีรษะของผู้เป็นลูกศิษย์


 


นักพรตที่นอนอยู่ที่พื้นหยุดสั่น ดวงตาของเขากลับมากระจ่างใสอีกครั้ง


 


“คาถารวมศูนย์กลาง!” นักพรตชราตะโกน “ดูเหมือนว่าจะต้องให้ศิษย์พี่มาที่นี่ซะแล้ว”


 


เขาดึงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋า มันคือกระจกทองแดงที่เต็มไปด้วยลวดลายซับซ้อนและสัญลักษณ์มากมาย


 


เขาหมุนกระจกทองแดงในมือ แล้วอยู่ๆก็มีแสงส่องออกมาจากตัวกระจก ตัวแสงพุ่งผ่านเข้าไปยังช่องว่างที่เปิดออกของประตูและโจมตีเข้าใส่สิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังบานประตู แล้วร่างๆนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว


 


นักพรตเต๋ารีบเดินลงไปในสุสานและปิดผนึกประตูบานนั้นด้วยความเร็วสูงสุด เขานำเครื่องรางจำนวนหนึ่งออกมาติดไว้กับบานประตู แต่เครื่องรางก็ลุกไหม้ไปทีละอันๆ เมื่อเขาติดเครื่องรางอันที่ 12 ลงไป การลุกไหม้ก็หยุดลง


 


ลูกศิษย์ของเขาที่เพิ่งได้สติก็ลุกขึ้นมาช่วยเขา ศิษย์อาจารย์ทั้งสามได้ทำการติดเครื่องรางไว้ที่สุสานทั้งหมด 81 ชิ้น


729 ไม่เป็นรองใคร


 


“ขึ้นไปกันเถอะ!” นักพรตชราพูด


 


นักพรตชราและลูกศิษย์ของเขาเดินออกมาจากสุสานและกลับออกไปด้านนอก นักพรตเต๋าถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาต้องใช้พลังจำนวนมากไปกับการจัดการเรื่องทั้งหมด


 


หลังจากพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เดินเข้าไปในด้านในกระท่อมอีกครั้ง


 


“ออกจากที่นี่กันเถอะ” นักพรตชราพูด


 


เขาและลูกศิษย์ทั้งสองเดินออกมาจากตัวกระท่อม เขาเดินไปรอบๆ ก่อนที่จะกลับเข้าไปอีกครั้ง เขาดึงดาบไม้ออกมาจากด้านหลังและถือเอาไว้ในมือ เขาโบกสะบัดมือ แคร๊ก! แล้วหลังคากระท่อมก็เปิดออก ดาบไม้เล่มนี้คมอย่างไม่น่าเชื่อ นักพรตเต๋าสร้างรูขนาดใหญ่เอาไว้ที่หลังคากระท่อม เพื่อให้แสงอาทิตย์ส่องลอดเข้าไปถึงด้านในได้ แล้วแสงอาทิตย์ก็ส่องตรงไปที่บานประตูสุสานพอดี


 


“ดี” นักพรตเต๋าพูด


 


เขาเดินออกมาจากกระท่อมและใช้แผ่นยันต์สร้างค่ายกลขึ้นมา ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับลูกศิษย์ของเขา


 


“พวกเขากลับมาแล้ว” หลิวซื่อฟางพูดขึ้นมา ในตอนที่เขาเห็นนักพรตทั้งสามเดินลงมาจากเขา


 


นักพรตและลูกศิษย์ของเขาดูปกติดี แต่หนึ่งในนั้นดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ใบหน้าของเขาซีดเซียว หลิวซื่อฟางเดาว่า นักพรตคนนี้น่าจะถูกทำร้ายโดยวิญญาณร้ายที่อยู่ด้านในสุสาน โชคดีที่เขารอดชีวิตและยังสามารถเดินได้


 


“ทุกคนไม่เป็นไรนะครับ?” หลิวซื่อฟางถาม


 


“อาจารย์ไม่เป็นไร แต่ลูกศิษย์ของอาจารย์คนหนึ่งโดนวิญญาณร้ายด้านในทำร้ายเข้า” นักพรตเต๋าพูด “แต่ผ่านไปสักสองสามวัน เขาก็จะดีขึ้นเอง”


 


“มานั่งพักตรงนี้ก่อนเถอะครับ ผมจะดูให้เอง” หลิวซื่อฟางพูดพร้อมกับเดินเขาไปช่วยนักพรตคนที่ได้รับบาดเจ็บ “อาจารย์ได้จัดการกับวิญญาณที่อยู่ข้างในแล้วเหรอครับ?”


 


“ยังหรอก” นักพรตชราพูด “มันแข็งแกร่งกว่าที่อาจารย์คิดเอาไว้ ตอนนี้ อาจารย์แค่ขังมันไว้ข้างในเท่านั้น ในเก้าวันนี้ มันจะไม่สามารถออกมาด้านนอกได้”


 


“ครับ” หลิวซื่อฟางพูด “แล้วถ้าผ่านเก้าวันไปล่ะครับ?”


 


“อาจารย์จะโทรหาศิษย์พี่ให้ส่งคนมาที่นี่เพิ่ม” นักพรตชราพูด “เขาอาจจะมาที่นี่ด้วยตัวเองก็ได้”


 


หลังจากที่พวกเขากลับไปถึงที่หมู่บ้านแล้ว นักพรตชราก็โทรหาศิษย์พี่ของเขา ไม่นาน มันก็เป็นเวลาอาหารกลางวัน


 


“นี่คือเขาหลงหู่เหรอครับ?” หวังเย้าที่ยืนอยู่ตรงตีนเขากำลังมองดูทิวเขาที่เขียวขจีและถูกล้อมรอบไปด้วยก้อนเมฆและหมอกขาว


 


เขาหลงหู่นั้นมีขนาดใหญ่กว่าเนินเขาหนานชานมาก เพราะยังไงมันก็คือภูเขาลูกหนึ่ง


 


“ใช่ เราไปกันเลยไหม?” เมี่ยวซานติงพูด


 


เขาอยากจะไปให้ถึงวัดลัทธิเต๋าที่อยู่บนเขาให้เร็วที่สุด เขาเป็นห่วงเรื่องอาการของนักพรตคนนั้น เพราะตอนที่เมี่ยวซานติงออกเดินทางไปหาหวังเย้า อาการของเขาก็แย่มากอยู่แล้ว


 


“ได้ครับ” หวังเย้าพูด


 


พวกเขาเดินขึ้นไปยังตัววัด


 


“หืม ตรงนั้นมีวัดของลัทธิเต๋าอยู่ด้วย” หวังเย้าชี้ไปทางวัดลัทธิเต๋าที่ปรากฏสู่สายตาของเขา


 


“บนเขาลูกนี้มีวัดอยู่เยอะเลยล่ะครับ” เมี่ยวซานติงพูด


 


อากาศบนเขาสดชื่นมาก หวังเย้าสามารถรับรู้ได้ถึงความเข้มข้นของพลังบนเขาลูกนี้ ถึงยังไง เขาลูกนี้ก็ถือเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับวัดของลัทธิเต๋ามาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว


 


บนเขามีวัดอยู่มากกว่าหนึ่ง ระหว่างทางที่เดินขึ้นมา หวังเย้าเดินผ่านวัดมาแล้วถึงสามที่ มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาที่นี่ เขาจึงใช้เวลาไปกับการชื่นชมทิวทัศน์โดยรอบไปด้วย เขาหลงหู่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในเรื่องของธรรมชาติและวัฒนธรรม


 


พวกเขาเดินไปหยุดอยู่ที่ด้านหนาวัดแห่งหนึ่ง เมี่ยวซานติงพูดขึ้นมาว่า “เรามาถึงกันแล้ว”


 


วัดแห่งนี้หลบซ่อนตัวอยู่ลึกเข้าไปในภูเขา หวังเย้าเดาว่า คงจะไม่มีคนมาเที่ยวชมที่นี่มากนัก


 


“เฮ้อ?” หวังเย้าถอนหายใจออกมา


 


“อะไรเหรอครับ?” เมี่ยวซานติงถาม


 


“ทำเลที่นี่ออกจะแปลกๆ แต่คุณกลับรู้ทางดีมากนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ตัววัดมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี” เมี่ยวซานติงพูด “ตอนที่วัดถูกสร้างขึ้น หัวหน้าของนักพรตเต๋าได้เลือกสถานที่แห่งนี้เพราะมีเหตุผล แล้วตัวเขาหลงหู่เองก็ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ฝึกฝนทางเต๋าอยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหาสถานที่ที่มีฮวงจุ้ยที่ดีในการสร้างวัด”


 


เขาเดินเข้าไปในวัดพร้อมกับหวังเย้า และได้ทักทายนักพรตเต๋าที่อยู่ด้านในในตอนที่พวกเขาเดินเข้าไปพบกับนักพรตชรา


 


“สวัสดีครับ อาจารย์อา” เมี่ยวซานติงพูด


 


“สวัสดี ซานติง” นักพรตชราพูด


 


“นี่คือ…” ทันทีที่นักพรตชราได้เห็นหวังเย้า เขาก็ต้องประหลาดใจ เขาจ้องมองหวังเย้า ราวกับกำลังมองดูสิ่งของล่ำค่าหายากอยู่ เขาพึมพำออกมา “นี่มันเป็นไปไม่ได้!”


 


หวังเย้าไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆเท่านั้น


 


“เธอฝึกฝนทางเต๋าเหรอ?” นักพรตเต๋าถาม


 


“ประมาณนั้นครับ” หวังเย้าพูด


 


“เธออยู่ในระดับไหนแล้วเหรอ?” นักพรตเต๋าถาม


 


“เอ่อ นั่นเป็นคำถามที่ดี แต่ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน” หวังเย้าพูด


 


เขาอยากจะหาคำตอบที่ดีให้กับคำถามนี้ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง เขาพอจะรู้ว่า ระดับของเขาอยู่ประมาณไหน แต่เขาก็ไม่รู้ว่า ดลกภายนอกมีการวัดระดับกันด้วยอะไร


 


“เธอฝึกฝนตามหลักของลัทธิเต๋าใช่ไหม?” นักพรตชราถาม


 


“คิดว่านะครับ” หวังเย้าพูด คัมภีร์จื้อหรานจิงถือเป็นคัมภีร์เต๋าเช่นกัน


 


ในตอนที่นักพรตชรากำลังสังเกตดูหวังเย้าอยู่นั้น หวังเย้าก็สังเกตดูนักพรตชราเช่นเดียวกัน เขารู้สึกคุ้นเคยกับนักพรตชราที่ฝึกฝนทางเต๋าเช่นเดียวกันกับเขา และนี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับคนที่ฝึกฝนทางเต๋าอย่างแท้จริง การฝึกฝนทางเต๋ามีอยู่หลายวิธี แต่ก็อยู่ในพื้นฐานเดียวกัน คือความสงบและธรรมชาติ


 


“หมอหวังคือคนที่รักษาผมกับซื่อฟางครับ” เมี่ยวซานติงพูด


 


“จริงเหรอ? เธอเป็นหมอด้วยเหรอ?” นักพรตชราถาม


 


“ผมเป็นแพทย์ปรุงยาครับ” หวังเย้าพูด


 


“แพทย์ปรุงยาที่ได้รับการสืบทอดมาจากราชายาน่ะเหรอ?” นักพรตชราถามด้วยความแปลกใจ


 


“ไม่ใช่ครับ” หวังเย้าพูด


 


“ยังไงก็เถอะ เธอช่วยไปดูอาการของนักพรตคนหนึ่งให้หน่อยจะได้ไหม?” นักพรตชราถาม


 


หวังเย้าเดินเข้าไปยังห้องที่นักพรตที่ป่วยพักผ่อนอยู่ เขาหายใจรวยริน


 


“โอ้ แย่มากเลยนะเนี่ย” หวังเย้าพูด อาการของนกพรตเต๋าเลวร้ายกว่าที่เมี่ยวซานติงกับหลิวซื่อปางเป็นมาก


 


“เธอคิดว่ายังไง?” นักพรตชราถาม


 


“ไม่ดีเลยครับ เขากำลังจะตาย” หวังเย้าสามารถบอกอากรของคนป่วยได้หลังจากใช้การมอง “ที่นี่ไม่จำเป็นต้องใช้คนเยอะหรอกครับ”


 


“ได้ พวกเธอออกไปก่อน” นักพรตชราพูดกับนักพรตเต๋าที่อยู่ด้านใน


 


หลังจากทุกคนออกไปแล้ว ภายในห้องก็เหลือเพียงแค่คนป่วย, หวังเย้า, เมี่ยวซานติง, และนักพรตชรา


 


หวังเย้าเริ่มลงมือรักษาคนป่วยทันที อันดับแรก เขาพยายามกำจัดพลังฉีประหลาดออกจากร่างกายของคนป่วย เขาเหยียดแขนและยื่นมือออกไป พลังงานก้อนใหญ่ถูกส่งออกมาจากฝ่ามือของเขา และปกคลุมร่างของคนป่วยราวกับระฆังใบหนึ่ง พลังฉีเคลื่อนไหวไปตามการควบคุมของหวังเย้า เพื่อจัดการกับพลังหยินเข้มข้นให้ออกไปจากร่างของคนป่วย


 


นักพรตเต๋าอยู่ในอาการตกตะลึง เขามองเห็นภาพอาจารย์ที่เสียชีวิตไปแล้วของเขาทับซ้อนอยู่บนตัวหวังเย้า


 


“นี่มันคือเต๋าของพลังฉี!” นักพรตชราอุทานออกมา เขาสามารถรับรู้ได้ถึงพลังบริสุทธิ์จำนวนมากกำลังเคลื่อนไปรอบๆ ในฐานะของผู้ฝึกฝนทางเต๋าคนหนึ่ง เขาจึงรู้ว่ามันคืออะไร “มันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างพลังฉีทางเต๋าขึ้นมาในร่างกาย บางทีอาจจะมีแค่หนึ่งร้อยคนเท่านั้นที่ทำได้ วิธีการที่เธอปลดปล่อยพลังฉีออกมานั้นหาได้ยากมาก มันหมายถึง เธอได้เปิดสะพานเชื่อมระหว่างฟ้าดิน และสามารถสื่อสารกับโลกได้ด้วยพลังฉีในตัวเธอ”


 


พลังหยินที่เข้มข้นค่อยๆจางหายไปจากร่างของคนป่วย แต่เขาก็ยังไม่ถือว่าหายดี เขาป่วยมาระยะหนึ่งแล้ว และอาการของเขาก็ค่อนข้างหนัก การรักษาที่ล่าช้าทำให้หลายส่วนในร่างกายของเขาได้รับความเสียหาย


 


หวังเย้าเอาเม็ดยาจิ่วเฉาให้เขากินเข้าไปและเขียนรายละเอียดตัวยาลงไปในกระดาษ


 


“ขอบคุณ” นักพรตชราพูด


 


เขาสั่งให้คนไปหาสมุนไพรตามสูตรยาที่ได้มา และสมุนไพรบางตัวก็มีอยู่ในวัดแล้ว


 


“เธอรักษาเขาได้ไหม?” นักพรตชราถาม


 


“ตอนนี้เขาพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง เพื่อให้รางกายของเขาฟื้นตัวครับ” หวังเย้าพูด


 


“ฉันขอคุยกับเธอหน่อยได้ไหม?” นักพรตชราถาม


 


“ได้สิครับ” หวังเย้าพูด เขาเดินตามนักพรตชราไปที่สวนด้านหลัง


 


“เธอสามารถใช้กำลังภายในสื่อสารกับฟ้าดินได้ใช่ไหม?” นักพรตชราถามออกมาตามตรง


 


“เอ่อ ผมไม่ค่อยเข้าใจที่คุณพูดเท่าไหร่น่ะครับ” หวังเย้าพูด “คุณหมายถึงการเรียกลมเรียกฝนเหรอครับ?”


 


“ฮาฮา ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” นักพรตชราพูด “มนุษย์คือส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ แต่ก็อยู่เป็นอิสระ มนุษย์ฝึกฝนทางเต๋าเพื่อให้เข้าใจธรรมชาติของโลกใบนี้มากขึ้น, สื่อสานกับโลกได้ดีขึ้น, และสร้างการเชื่อมต่อระหว่างฟ้าดินขึ้นมา”


 


“คุณหมายถึงแบบนี้เหรอครับ?” หวังเย้าปลดปล่อยพลังฉีออกมาบางส่วน


 


“ใช่!” นักพรตเต๋าดูตื่นเต้น “ฉันช่างโชคดีจริงๆที่ได้เห็นคนทำแบบนี้ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่!”


 


ตอนนี้ กลายเป็นหวังเย้าที่เป็นฝ่ายตั้งคำถาม เขามักฝึกฝนด้วยตัวเองและไม่เคยได้พบกับคนที่ฝึกฝนเหมือนกันมาก่อน ในบางครั้ง เขาก็รู้สึกโดดเดี่ยว ดังนั้น เขาจึงดีใจที่ได้พบกับคนที่ฝึกฝนทางเต๋าเช่นเดียวกับเขา


 


เขาถามคำถามนักพรตเต๋าในคำถามที่เขาอยากจะถามใครสักคนมานานแล้ว นักพรตชราตอบคำถามของเขาอย่างใจเย็น จนกระทั่งถึงตอนนี้ หวังเย้าไม่รู้ตัวเลยว่า หลังจากที่ฝึกฝนทางเต๋าด้วยตัวเองมานาน เขาก็ได้ขึ้นไปยืนอยู่เหนือผู้ฝึกฝนหลายๆคนแล้ว


 


“เธอเป็นคนที่โชคดีมากจริงๆ” นักพรตชราพูด


 


“ขอบคุณครับ ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกับ” หวังเย้าพูด เขาคิดว่า ตัวเขาคงจะได้รับความรักจากพระเจ้าอย่างมาก


 


“ต้องขอโทษด้วยนะ ตอนนี้ฉันคงต้องไปแล้ว” นักพรตชราพูด “เธอจะเดินดูรอบๆที่นี่ก็ได้นะ เขาหลงหู่งดงามมาก มันคุ้มค่าที่ได้มาที่นี่”


 


“คุณจะไปที่สุสานโบราณเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่ ศิษย์น้องของฉันไปที่นั่นกับลูกศิษย์อีกสองคน” นักพรตชราพูด “แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเจอปัญหาเข้า ฉันคงต้องไปช่วยพวกเขาที่นั่น”


 


“ผมขอไปที่นั่นด้วยคนได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม


730 บางสิ่งจากอดีตเมื่อสี่ร้อยปีก่อน


 


“ฉันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” นักพรตเต๋าจางยิ้ม


 


รถที่ใช้สำหรับการเดินทางถูกเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว จางซื่อเหิงพาลูกศิษย์ไปด้วยสามคน พร้อมกับหวังเย้าและเมี่ยวซานติงที่ติดตามพวกเขาไปด้วย


 


ที่หมู่บ้านที่ตั้งของสุสานโบราณ ซึ่งอยู่ห่างจากเขาหลงหู่ไปหลายร้อยไมล์ ผู้นำนักพรตเต๋า, ลูกศิษย์สองคน, และหลิวซื่อฟางพักอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ชาวบ้านที่พอรู้เรื่องก็ได้เดินทางมาพบพวกเขา


 


“ท่านนักพรต สิ่งที่อยู่บนเขาหายไปรึยังครับ?” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม


 


“ตอนนี้มันถูกควบคุมเอาไว้แล้ว” นักพรตเต๋าตอบ “เราจะจัดการกับมันเอง”


 


นักพรตเต๋าจากเขาหลงหู่ได้เดินทางมาที่นี่แล้วถึงสองกลุ่ม หนึ่งคนจากกลุ่มแรกไม่ได้ลงมาจากเขาเลยนับตั้งแต่วันที่เขาขึ้นไปบนนั้น และมันทำให้ชาวบ้านต่างก็เป็นกังวลกับเรื่องนี้ จนบางคนไม่กล้าขึ้นไปทำไร่ที่ด้านบนเลย บางคนถึงขั้นคิดที่จะย้ายไปอยู่ที่อื่นก็มี


 


“อาจารย์อา ไอ้ที่อยู่ในสุสานนั่นมันคืออะไรเหรอครับ?” หลิวซื่อฟางถาม


 


“เธอจะเรียกมันว่า วิญญาณร้าย ก็ได้” นักพรตชราพูด


 


“วิญญาณร้าย? ของแบบนั้นมันมีอยู่จริงเหรอครับ?” หลิวซื่อฟางถาม


 


“เธอก็เจอมากับตัวแล้วนี่ ยังไม่เชื่ออีกเหรอ?” นักพรตชราตอบแล้วยกชาขึ้นมาจิบ


 


การขึ้นเขาครั้งนี้ดูเหมือนจะปลอดภัย แต่ความจริงแล้ว มันกลับอันตรายมาก สิ่งที่อยู่ด้านในนั้นกลับอยู่เหนือกว่าที่เขาได้จินตนาการเอาไว้ โชคดีที่ก่อนจะมา เขาได้เตรียมตัวเอาไว้อย่างดี ถ้าไม่อย่างนั้น พวกเขาก็อาจจะพลาดท่าได้


 


ในตอนนี้ พวกเขาทำได้แค่รอเท่านั้น พวกเขากำลังรอคอยพี่น้องคนอื่นๆที่กำลังเดินทางมาที่นี่


 


หวังเย้าอยู่ระหว่างทางไปที่สุสานโบราณ พร้อมกับเหล่านักพรตเต๋าจากเขาหลงหู่


 


“ท่านครับ นั่นคืออะไรเหรอครับ?” หวังเย้าชี้ไปที่ดาบที่ทำขึ้นมาจากเหรียญโบราณ


 


“นี่คือดาบที่เอาไว้กำราบปีศาจน่ะสิ” นักพรตชราพูด


 


“มันดูเก่าแก่มากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“มันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง มีอายุได้สี่ร้อยกว่าปีแล้วล่ะ” นักพรตชราพูด


 


“แล้วมันทนไหมครับ?” หวังเย้ามองดูเหรียญทองแดงที่เชื่อมต่อกับด้วยบางสิ่ง เขารู้สึกว่ามันไม่น่าจะทนนัก


 


“มันแข็งแรงดี” นักพรตชราพูด “ดาบเหรียญทองแดงเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยวิธีการพิเศษ มันไม่แข็งทื่อแต่ยืดหยุ่น และมันได้รับการตรวจสอบและซ่อมแซมอยู่เสมอ”


 


“ทำไมมันถึงใช้กำราบปีศาจได้ล่ะครับ” หวังเย้าถาม


 


“เพราะเหรียญทองแดงพวกนี้ได้รับการปลุกเสกโดยนักพรตเต๋าหลายรุ่น และพวกมันก็อยู่ในวัดเป็นระยะเวลานาน จึงทำให้มันเต็มไปด้วยพลังที่สามารถกำราบปีศาจได้” นักพรตชราอธิบาย


 


“เหมือนอย่างในหนักใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“อ้อ ก็นิดหน่อย” นักพรตชราหัวเราะ


 


หลังจากขับมาได้สองสามชั่วโมง พวกเขาก็เดินทางมาถึงที่ตั้งของสุสานโบราณ


 


“ศิษย์น้อง” นักพรตจางพูด “ทุกคนเป็นยังไงกันบ้าง?”


 


“เราไม่เป็นอะไร” นักพรตอีกคนพูด “เสี่ยวเหอได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก สิ่งที่อยู่บนเขาถูกควบคุมเอาไว้ไม่ให้มันออกมาสร้างอันตรายกับคนอื่น”


 


“นี่คือหมอหวัง” นักพรตจางพูด “เขามาช่วยพวกเรา”


 


นักพรตเต๋าทั้งเจ็ดเริ่มปรึกษาถึงวิธีการที่จะจัดการกับปีศาจที่อยู่ในสุสาน หวังเย้ายืนฟังพวกเขาคุยกันเงียบๆ


 


วิญญาณร้ายเหรอ? มันมีอยู่จริงเหรอ? เขาอยากจะเห็นเหมือนกันว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่าวิญญาณร้ายจะมีหน้าตาเป็นยังไง


 


“เราสามารถใช้กระจกทองแดงควบคุมมันเอาไว้ แล้วใช้ดาบกำราบปีศาจจัดการกับมัน” นักพรตจางพูด


 


“ถูกต้อง ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” นักพรตอีกคนพูด


 


มันดูเหมือนทำง่าย แต่ความเป็นจริงกลับเต็มไปด้วยอันตราย พวกเขาจำเป็นต้องเข้าไปในส่วนลึกของสุสาน


 


“วันนี้มันสายมากแล้ว” นักพรตจางพูด “เดี๋ยวฉันกับศิษย์น้องจะไปดูที่สุสาน แล้วพวกเราก็จัดการกับมันวันพรุ่งนี้”


 


หลังจากที่พวกเขาปรึกษากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง


 


หวังเย้าเดินตามนักพรตชราทั้งสองขึ้นไปบนเขา


 


“ปีศาจตัวนี้อยู่เหนือจินตนาการของมนุษย์ทั่วไป และมันก็ร้ายกาจมากด้วย” จางซื่อเหิงเอ่ยเตือน “หลังจากที่เข้าไปแล้ว พยายามอย่าไปทำอะไรที่กระตุ้นมันล่ะ”


 


หวังเย้าพยักหน้ารับคำอย่างจริงจัง เขาเงยหน้าขึ้นมองเขาลูกนั้น มันดูงดงาม แต่บรรยากาศโดยรอบกลับดูผิดแปลกไป ยิ่งเขาเข้าใกล้มากเท่าไหร่ ความรู้สึกก็ยิ่งรุนแรงขึ้นตามไปด้วย


 


ตัวกระท่อมเงียบสงัด หวังเย้าพบว่ามีการติดแผ่นยันต์เอาไว้ตามต้นไม้และก้อนหินที่อยู่รอบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอะไรแบบนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนเขากำลังอยู่ในนิยายยังไงยังงั้น


 


“นี่คือสิ่งที่วิธีการที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณแล้วล่ะ” นักพรตจางพูด


 


“คนธรรมดาวาดแผ่นยันต์แบบนี้ขึ้นมาได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“สัญลักษณ์พวกนี้มีความพิเศษในตัวมันเอง แล้วยังมีปัจจัยอื่นๆรวมอยู่ด้วย” นักพรตจางพูด “คนธรรมดาสามารถวาดมันขึ้นมาได้ แต่จะไม่มีพลังวิญญาณอยู่ในนั้น ที่หลงหู่มีอยู่สิบคนที่รู้คาถานี้ และมีแค่ห้าคนเท่านั้นที่เชี่ยวชาญ”


 


“เราเข้าไปดูข้างในกันเถอะครับ” หวังเย้าพูด


 


ทั้งสามเดินเข้าไปในกระท่อม สิ่งของที่ถูกวางทิ้งไว้ด้านในโดยเหล่านักโบราณคดียังคงอยู่ที่เดิมทุกอย่าง อุปกรณ์บางอย่างถูกวางทิ้งเอาไว้ที่มุมหนึ่ง ราวกับไม่รู้จะเอามันไปวางไว้ตรงไหน


 


หวังเย้าสะดุดตาที่มุมหนึ่งของสุสานที่ถูกขุดลงไป รูปปั้นปีศาจร้ายดูราวกับมีชีสิต ตัวสุสานให้ความรู้สึกที่น่าหวาดกลัว ตัวบานประตูเต็มไปด้วยเครื่องรางสีเหลือง ราวกับเป็นของที่มีมาแต่โบราณ


 


“สิ่งที่อยู่ข้างในไม่ธรรมดาเลย” นักพรตจางพูด


 


“ใช่ นี่แค่สองวันเท่านั้น เครื่องรางกลับกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว” นักพรตอีกคนพูด มีเครื่องรางที่เขาเป็นคนสร้างขึ้นมาทั้งหมด 81 ชิ้นติดเอาไว้ที่บานประตู


 


“มันต้องผ่านประตูสุสานออกมาเท่านั้นเหรอครับ? มันออกทางอื่นไม่ได้เหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“เขาทำไม่ได้น่ะสิ” นักพรตจางพูด “รูปแบบการก่อสร้างสุสานแห่งนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อกักขังสิ่งที่อยู่ด้านในเอาไว้ มันถูกล้อมไว้ด้วยก้อนหินที่หนาหนัก ดังนั้น พวกเขาโจรเลยเข้ามาไม่ได้”


 


“นี่เป็นสุสานที่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง มันก็เป็นเวลาสี่ร้อยกว่าปีแล้ว” หวังเย้าพูด “ทำไมมันถึงอยู่มาได้นานขนาดนี้ล่ะครับ?”


 


นักพรตที่นำกลุ่มที่สองมาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาว่า “ความแค้น”


 


“ความแค้น? ความคับแค้นใจแบบไหนกันที่ทำให้ไม่เกิดแม้แต่รอยแตกร้าวมาตั้งสีร้อยกว่าปี?” หวังเย้าตกใจ


 


“บางทีมันอาจไม่อยากถูกลบหายไป หรืออาจจะเป็นเพราะมันหนักหนาเกินกว่าที่จะเลือนหายไปกับกาลเวลา” นักพรตพูด “เราจะรู้เรื่องนี้กัน หลังจากที่เปิดสุสานกันวันหรุงนี้”


 


นักพรตเต๋าทั้งสองยังคงไม่วางใจ พวกเขาตรวจสอบรอบๆสุสานอีกครั้ง และติดเครื่องรางบางอย่างเอาไว้ ก่อนที่พวกเขาจะกลับออกไป


 


ในคืนนั้น พวกเขาทั้งหมดพักอยู่ที่หมู่บ้าน หน่วยงานรักษาความสงบของเขตได้เดินทางมาด้วยตนเอง ผู้นำของพวกเขาให้ความเคารพนักพรตเต๋าจางซื่อเหิงอย่างมาก


 


“ท่านปรมาจารย์เต๋า” เขาพูด


 


“เอ่อ เรียกแค่นักพรตก็ได้” นักพรตจางพูด


 


“ไม่กล้าครับ ไม่กล้า” หัวหน้าทีมรีบพูด “ท่านปรมาจารย์ต้องการให้ทางเราช่วยเหลืออะไรไหมครับ?”


 


“เขาลูกนี้จะให้ใครเข้าไปไม่ได้เด็ดขาด” นักพรตจางพูด “เราจะลงมือกันวันพรุ่งนี้”


 


“ผมจะรายงานให้ทางเบื้องบนทราบทันทีเลยครับ” หัวหน้าทีมพูด “พรุ่งนี้เช้า ผมจะทำการปิดล้อมเขาลูกนี้ให้เรียบร้อย”


 


“ขอบคุณ” นักพรตจางพูด


 


“เกรงใจไปแล้วครับ” หัวหน้าทีมพูด


 


เขารีบเดินทางกลับไปที่ตัวเมือง และทิ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาไว้สองนาย พร้อมกับรถตำรวจอีกหนึ่งคัน เขายังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีก


 


“ท่านครับ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำงานร่วมกับพวกเขาใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เราเคยทำงานร่วมกันมาก่อนหน้านั้นครั้งหนึ่งแล้ว” นักพรตจางพูด


 


“เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณแบบเดียวกันเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“อืม ใช่แล้วล่ะ” นักพรตจางพูด


 


“แล้วตอนนั้นเป็นยังไงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“อืม มันเป็นปีศาจที่โดดเดี่ยวน่ะ” หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง นักพรตจางก็พูดออกมา “มันไม่ได้ยุ่งยากเหมือนกับครั้งนี้หรอก”


 


ในคืนนั้นไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เช้าวันต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายเดินทางมาที่หมู่บ้านและทำการปิดการเข้าออกภูเขา


 


“แบบนี้มันจะดีเหรอครับ?” หวังเย้าพูด


 


“ดีสิ ถ้าเราไม่สามารถจัดการกับมันได้ และเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็จะต้องอพยพออกไป” นักพรตจางพูด


 


“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ถ้าสิ่งนี้ไม่ได้รับการจัดการที่ถูกต้อง พวกมันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้เลยล่ะ” นักพรตจางพูด “มันไม่ใช่สิ่งที่จะใช้วิธีการทั่วไปจัดการได้ อย่างพวกปืนหรือดาบก็ทำอะไรมันไม่ได้ด้วย”


 


“ศิษย์พี่ ฉันพร้อมแล้ว” นักพรตอีกคนพูด


 


“โอเค ขึ้นไปบนเขากันได้แล้ว” นักพรตจางพูด


 


หวังเย้าเดินขึ้นไปบนเขาพร้อมกับนักพรตเตาคนอื่นๆ ส่วนเมี่ยวซานติงกับหลิวซื่อฟางอยู่รอพวกเขาที่ตรงตีนเขา ครั้งนี้ พวกเขามีตำรวจอยู่เป็นเพื่อนด้วย


 


“พี่ เขาเป็นหมอนะ จะตามพวกนักพรตขึ้นไปทำไมกัน?” หลิวซื่อฟางถาม


 


“เขาไม่ได้เป็นแค่หมอหรอก หวังว่าครั้งนี้ พวกเขาจะสามารถจัดการปัญหาทุกอย่างได้” เมี่ยวซานติงพูด


 


เขาเคยเห็นความสามารถในการรักษาของหวังเย้ามาแล้ว แต่เขาไม่รู้ความสามารถอย่างอื่นของหวังเย้า แต่เมื่อดูจากท่าทีที่นักพรตจางมีต่อหวังเย้าแล้ว เมี่ยวซานติงคิดว่า ความสามารถของหวังเย้าต้องไม่อ่อนด้อยอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นแล้ว นักพรตจางคงไม่ขอคุยกับหวังเย้าเป็นการส่วนตัว


731 ผีดิบ น่าสะพรึงกลัว


 


“หวังว่าครั้งจะจัดการได้สำเร็จนะ” เมี่ยวซานติงพูด


 


“ฉันก็หวังไว้แบบนั้นเหมือนกัน ฉันอยู่ที่นี่นานพอแล้ว แล้วฉันก็กลัวมากด้วย” หลิวซื่อฟางจุดบุหรี่


 


“นายเลิกสูบไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” เมี่ยวซานติงถาม


 


“พี่ก็รู้” หลิวซื่อฟางพูด “เวลาที่ฉันกังวล ฉันก็จะสูบตลอดนั่นแหละ”


 


“นายไม่จำเป็นต้องมาอยู่กับฉันก็ได้นะ” เมี่ยวซานติงพูด


 


“อย่าพูดแบบนั้นสิ เราเป็นพี่น้องกันนะ” หลิวซื่อฟางพูด “ก็อย่างที่พี่พูด ฉันหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น แล้วจัดการปัญหาทุกอย่างได้สำเร็จสักที พี่ว่าใครอยู่ในสุสานนี้ พี่เคยพูดไว้ไม่ใช่เหรอว่า น่าจะเป็นคนเมื่อสี่ร้อยกว่าปีก่อน ที่เต็มไปด้วยความแค้นและแข็งแกร่งมากเลยน่ะ?”


 


“นายจะมาถามทำไม?” เมี่ยวซานติงถาม “นายก็เป็นนักโบราณคดีนี่”


 


“ฉันมาเป็นนักโบราณคดียังไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ ฉันเลยยังไม่มีความรู้เรื่องนี้มากพอน่ะสิ” หลิวซื่อฟางพูด “ฉันยังไม่ได้เชี่ยวชาญด้านนี้จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้เข้าไปเห็นข้างใน ฉันก็เลยบอกไม่ได้ว่า เจ้าของสุสานนี้เป็นใคร”


 


“ฉันว่า พวกเขาน่าจะเข้าไปข้างในกระท่อมนั่นแล้วนะ” เมี่ยวซานติงพูด


 


ที่ด้านนอกกระท่อม กลุ่มของนักพรตกำลังมองงดูรอบๆ


 


“ระตัวกันให้มาก แล้วก็ทำตามแผนที่เราวางไว้ก่อนน่านี้” นักพรตชราพูด


 


“ครับ อาจารย์” นักพรตผู้เป็นลูกศิษย์พูด


 


“อืม” นักพรตจางพูด


 


“วางใจได้เลยครับ ก็อย่างที่ผมพูดไว้ก่อนหน้านั้น ผมจะไม่สร้างปัญหาให้พวกคุณเด็ดขาด” หวังเย้าพูด “ผมจะดูอยู่เฉยๆเท่านั้น”


 


พวกเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งแยกขึ้นไปบนยอดเขา ส่วนอีกกลุ่มแยกเข้าไปด้านในสุสาน หวังเย้าเดินตามพวกเขาอยู่ด้านหลัง


 


“มีอะไรรึเปล่า?” หวังเย้าถาม


 


“พวกเขาจะเข้าไปข้างในสุสาน แต่ทุกอย่างน่าจะไม่มีปัญหาอะไร?” นักพรตหนุ่มพูด


 


หวังเย้าไม่ได้พูดอะไรต่อ


 


“เป็นคนธรรมดาไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วยังอยากจะเข้าไปข้างในอีก” นักพรตเต๋าพูด “คิดจะมาสร้างปัญหาหรือยังไงกัน?”


 


ด้านในสุสาน ประตูสุสานยังคงเต็มไปด้วยเครื่องรางและแผ่นยันต์ แต่แผ่นยันต์ส่วนใหญ่ได้กลายเป็นสีเหลืองและดูราวกับกำลังจะลุกไหม้


 


ประตูสุสานนั้นยากที่จะเปิดออกจากด้านนอก แต่เห็นได้ชัดว่า นักพรตชราทั้งสองจะเคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาแล้ว นักพรตชราร่างบางเดินไปเปิดประตู พร้อมกับพูดออกมาว่า “เปิด!”


 


นักพรตเต๋าจากเขาหลงหู่ไม่ได้เหมือนกับที่มีการเผยแพร่ให้เห็นในทีวี พวกเขาคือของจริง พวกเขาไม่ได้แค่สั่นกระดิ่งและร่ายคาถา พวกเขาลงมือทำด้วยความตั้งใจและเข้าใจ ซึ่งล้วนมาจากการฝึกฝนเป็นระยะเวลานาน พวกเขาได้รับสืบทอดความรู้ที่ส่งต่อกันมาหลายร้อยปี ซึ่งคนธรรมดาไม่อาจจะจินตนาการได้ และคนแบบพวกเขาก็มีอยู่ไม่มาก


 


เมื่อประตูถูกเปิดออก นักพรตชราทั้งสองก็เข้าไปด้านใน ภายในสุสานมืดมาก หวังเย้ามองผ่านประตูที่ถูกเปิดออกเข้าไปด้านใน ทางเดินด้านในนั้นเป็นทางคดเคี้ยวลงไปด้านล่าง ซึ่งต่างจากทางเดินด้านนอกที่ราบเรียบเป็นทางตรง


 


“ลงไปดูข้างล่างกันเถอะ” หวังเย้าพูด


 


นักพรตเต๋าที่อยู่ข้างๆพยายามจะห้ามเขาเอาไว้ แต่หวังเย้าก็ไปโผล่อยู่ที่ประตูแล้ว นักพรตเต๋าที่เหลือต่างตกใจ พวกเขารู้ว่ามันยุ่งยาก แต่พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าหวังเย้าจะทำแบบนี้


 


“ศิษย์พี่?” นักพรตเต๋าคนหนึ่งพูดขึ้นมา


 


“ไม่ต้องไปสนใจเขา” นักพรตอีกคนพูด “ทำตามที่ตกลงกันไว้ก็พอ”


 


หวังเย้าเดินเข้าไปด้านในสุสาน


 


“อ้าว เธอเข้ามาข้างในทำไม?” นักพรตจางถาม


 


“ผมอยากเข้ามาดูข้างในน่ะครับ” หวังเย้าตอบ “สบายใจได้ ผมไม่เป็นอะไรหรอก”


 


เขาปลดปล่อยพลังฉีออกมาครอบร่างกายของเขา เหมือนกับสร้างกำแพงขึ้นมาป้องกันตัวเขาเอาไว้ มันไม่ต่างจากที่มีบรรณยายอยู่ในนิยายเลย


 


“นี่มัน?!” นักพรตจางตกตะลึง “พลังฉีต้นกำเนิด!”


 


ไม่แปลกใจเลยที่หวังเย้ากล้าเสนอตัวตามพวกเขาขึ้นมาบนเขาด้วย และยังเข้ามาด้านในสุสานอีก ด้วยเกราะป้องกันที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังฉี เขาไม่มีทางเป็นอันตรายอย่างแน่นอน


 


นักพรตเต๋ามุ่งหน้าลึกเข้าไปด้านใน พวกเขาเลิกเป็นห่วงหวังเย้าไปแล้ว ด้วยพวกเขารู้แล้วว่า หวังเย้าสามารถดูแลตัวเองได้ สิ่งที่อยู่ภายในสุสานอันตรายมากก็จริง แต่มันก็ไม่สามารถเข้าใกล้หวังเย้าได้ เขามีพลังฉีคอยปกป้องร่างกายของเขา ซึ่งคล้ายกับทักษะกายาทองคำของทางพุทธ


 


ตัวสุสานเย็นเฉียบราวกับถูกสร้างขึ้นมาจากก้อนน้ำแข็ง หลังจากเดินลงไปได้ประมาณ 10 เมตร พวกเขาก็พบเข้ากับประตูบานหนึ่งที่ถูกเปิดเอาไว้แล้ว ด้านในมีรูปปั้นของราชาลิงที่อยู่ในสภาพแตกหัก รอยร้าวกระจายทั่วรูปปั้นราวกับภาพของใยแมงมุม


 


“เขาเป็นประตูหินสองบานนี้ได้ยังไงกัน?” หวังเย้าถามด้วยความสงสัย


 


ตัวบานประตูมีความหนาประมาณสี่นิ้ว น้ำหนักของรูปปั้นก็ต้องหนักเกือบห้าร้อยกิโลกรัม แม้แต่ผู้ชายที่แข็งแร่งที่สุดก็อาจจะไม่สามารถเปิดมันออกได้ ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงผีที่ไม่มีร่างกายจริงเลย


 


“ระวังด้วย” นักพรตจางพูด


 


เขาถือดาบกำราบปีศาจเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถือกระจกทองแดงเอาไว้ พวกเขาต่างกำลังถือโคมไฟที่ไม่รู้ที่มาของตัวเชื้อเพลิงที่กำลังลุกไหม้อยู่


 


มีเสียงพูดดังขึ้น “ไป”


 


ทั้งกลุ่มเดินเข้าไปสู่ตัวสุสาน ที่มีรูปร่างเป็นครึ่งวงกลมและล้อมรอบไว้ด้วยรูปปั้นจำนวนมาก รูปปั้นทั้งหมดคือพระอรหันต์ 18 รูป ซึ่งมีขนาดเท่ากับคนจริง รูปปั้นบางอันเกิดการแตกหัก บางอันก็ศีรษะก็ตกลงไปที่พื้น ตรงกลางมีโลงศพหินตั้งอยู่ พร้อมกับฝาโลงที่ถูกเปิดออก


 


“เขาฟื้นขึ้นมาจากความตายเหรอ?” หวังเย้าถาม เขาเงยหน้าขึ้นมองด้านบนสุสาน ซึ่งถูกสร้างเป็นโดมและมีรูปสลักติดอยู่ “มีรูปปั้นพระอรหันต์ล้อมเยอะขนาดนี้ คนคนนี้เป็นใครกันแน่?”


 


อยู่ๆก็มีร่างๆหนึ่งปรากฏตัวออกมาและพุ่งตัวเข้าหานักพรตจางที่กำลังถือดาบกำราบปีศาจอยู่ ตัวดาบได้ส่องประการแสงสีทองออกมา แล้วร่างๆนั้นก็กระเด็นออกไกล


 


นักพรตชราหยิบกระจกทองแดงออกมา แสงจากตัวกระจกถูกส่องออกไป จนเกิดเป็นเสียงให้ได้ยิน


 


หวังเย้าที่อยู่ด้านหลังพวกเขาถอนหายใจออกมา มันน่าตื่นเต้นไม่ต่างจากที่ดูในหนังเลย


 


บรรยากาศภายในสุสานเย็นยะเยือกและหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ กระดิ่งที่ข้างเอวของนักพรตชราทั้งสองส่งเสียงดังไม่หยุด


 


“อยู่ตรงนั้น!” หวังเย้าชี้มือไปที่จุดหนึ่ง


 


กระจกทองแดงของนักพรตพริกไปตามทางที่หวังเย้าชี้ แสงถูกส่องออกไปยังเงาร่างสีดำมืด


 


ร่างนั้นคือนักพรตเต๋าคนหนึ่ง เขาสวมชุดคลุมของนักพรตเต๋า แต่ใบหน้าของเขากลับดำคล้ำและดูน่าหวาดกลัว ดวงตาของเขาเป็นสีแดงก่ำ และเขาก็กำลังหัวเราะอยู่


 


กระจกทองแดงสั่นสะท้านและแสงก็ดับมืดลง


 


“ตรงนั้น!” หวังเย้าชี้ไปที่อีกจุดหนึ่ง


 


แสงถูกส่องไปยังร่างของนักพรตเต๋าคนนั้นอีกครั้ง นักพรตจางวิ่งเข้าหาพร้อมกับดาบที่อยู่ในมือ เขาพุ่งเข้าหาร่างของนักพรตเต๋าคนนั้นและใช้ดาบฟันไปที่ร่างของเขา


 


นักพรตเต๋าส่งเสียงกรีดร้องแปลกหูและหลบหนีไป


 


“ทำได้แค่นี้เหรอ?” อยู่ๆหวังเย้าก็ชกใส่อากาศ เงาร่างนั้นกระเด็นออกไปและกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรง


 


กระจกทองแดงถูกปาออกจากมือของนักพรตชรา มันกระแทกโดนร่างของนักพรตเต๋าปีศาจ จนทำให้ร่างของเขาร่วงลงกับพื้น


 


นักพรตจางรีบวิ่งเข้าไป เขาแทงดาบกำราบปีศาจเข้าใส่ร่างนั้นโดยไม่ลังเล แม้จะรู้ว่าร่างนั้นอาจจะเป็นลูกศิษย์ของทางวัดเอง


 


“มันจบแล้วใช่ไหม?” เขาถาม


 


แต่อยู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากภายในโลงศพ


 


ทั้งสามหันกลับไปมอง พวกเขาเห็นชายสวมชุดเกราะนั่งอยู่บนโลงศพนั้น


 


“ไม่นะ! เขาฟื้นขึ้นมาจากความตาย!” หวังเย้าถอนหายใจ ถึงเขาจะไม่ได้กลัวก็ตามที


 


จนถึงเดี๋ยวนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเข้าใจแล้วว่า เนื้อเรื่องที่บรรยายในนิยายหรือในหนังก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องโกหกซะทีเดียว


 


รูปปั้นพระอรหันต์เกิดการแตกหักไปทีละอัน กระดิ่งที่บริเวณเอวของนักพรตทั้งสองส่งเสียงดังลั่น ราวกับกำลังจะเตือนให้พวกเขารีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด


 


สีหน้าของนักพรตจางเปลี่ยนไป “ร่างกายของเขาไม่ได้เน่าเปื่อย!”


 


กระจกทองแดงบินออกไปและกระแทกเข้ากับร่างของมัน เขาร่วงลงไปจนเกิดเสียงดังลั่น แต่แล้ว เขาก็ค่อยๆลุกขึ้นมาอีกครั้ง


 


นี่มันตัวอะไรกัน? หวังเย้าเดินเข้าไปและมองดูใบหน้าของมัน ร่างๆนั้นดูเหมือนกับศพที่แห้งเหี่ยว ผิวหนังของมันยับย่นและน่ากลัวอย่างที่สุด


 


“ทำไมมันถึงยังขยับได้ล่ะ?” หวังเย้าถาม มันไม่เพียงแต่จะขยับเท่านั้น แต่มันยังลุกขึ้นได้เองด้วย “ผีดิบเหรอ?”


 


“ระวัง!” นักพรตจางตะโกน


 


อยู่ๆมันก็พุ่งเข้าโจมตีหวังเย้าด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ซึ่งในเวลานี้เขาคือคนที่อยู่ใกล้กับมันมากที่สุด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)