Elixir Supplier 713-717

 713 ค่ำคืนที่เงียบสงัดบนเนินเขาหนานชาน


 


ภายในหมู่บ้าน เมื่อถึงเวลาใกล้ค่ำ มีชายคนหนึ่งมาที่คลินิกของหวังเย้าในขณะที่เขากำลังอ่านหนังสืออยู่


 


“ว่าไง นายดูดีขึ้นนะ” หวังเย้าพูด


 


“ก็คงต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากหมอนั่นแหละครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด ในมือของเขามีกล่องอยู่สองใบ “ผมเพิ่งไปทางภาคกลางของจีนมา ก็เลยเอาชาจากที่นั่นมาฝากครับ”


 


“ขอบคุณ” หวังเย้าพูด


 


กล่องชาดูเรียบง่าย แต่หวังเย้ารู้ว่า ราคาของมันไม่ใช่ถูกๆเลย


 


“แบบของโรงงานออกแบบเสร็จแล้วนะครับ การก่อสร้างจะแบ่งเป็นสองระยะ หมอลองดูหน่อยสิครับ” เจิ้งเหว่ยจวินนำแบบโรงงานให้หวังเย้าได้ดู


 


แบบที่ได้มานั้นเป็นผลงานในระดับสูง ใครก็ตามที่เป็นคนออกแบบ จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้อย่างแน่นอน


 


“แล้วการก่อสร้างจะเริ่มเมื่อไหร่เหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“วันที่ 8 เดือนมิถุนายนตามปฏิทินจันทรคติ คือวันที่เป็นฤกษ์ดีสำหรับการก่อสร้างครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“เยี่ยม” หวังเย้าพูด


 


เขาดูแบบร่างโรงงานอย่างละเอียด


 


หืม?


 


“มีสระน้ำอยู่ตรงนี้ด้วย” หวังเย้าชี้ไปที่รูปสระน้ำขนาดเล็กที่อยู่ภายในแบบ


 


“ใช่ครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“มันไม่เหมาะจะสร้างสระน้ำเอาไว้ตรงนี้” หวังเย้าพูด


 


“แล้วหมอจะเปลี่ยนเป็นแบบไหนดี? หรือเราจะลบสระออกไปเลยดีไหมครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม


 


“รอให้การก่อสร้างเริ่มก่อนก็ได้” หวังเย้าพูด


 


การออกแบบโดยรวมไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เขาที่มีความรู้จากการสร้างค่ายกลอยู่บ้าง จึงทำให้เขามองออกว่า สระน้ำจะกลายเป็นตัวทำลายความกลมกลืนของโครงสร้างโดยรวมไป ความรู้สึกแรกของเขาก็คือ จุดที่สระน้ำตั้งอยู่นั้นค่อนข้างแปลก เขาจำเป็นต้องคิดหาวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงมัน และต้องการจะไปเห็นไซต์งานก่อสร้างก่อน


 


“ได้ครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“ผมได้เลือกผลิตภัณฑ์ตัวแรกของบริษัทเอาไว้แล้วนะครับ มันคือยาบำรุงร่างกายครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาใช้เวลาคิดอยู่นานมาก แล้วในที่สุด เขาก็ตัดสินใจเลือกยาบำรุงร่างกายเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรก หลังจากที่โรงงานสร้างเสร็จแล้ว เขาวางแผนที่จะผลิตออกมาขายในปริมาณมาก เหตุผลนั้นเรียบง่าย เพราะทุกคนสามารถได้รับคุณประโยชน์จากยาบำรุงร่างกาย ซึ่งมันสามารถใช้รักษาได้หลายอาการ ตัวยายังมีฤทธิ์อ่อนโยนและได้ผลดีอีกด้วย


 


“นายมีข้อเสนออะไรเพิ่มไหม?” หวังเย้าถาม


 


“หมอคิดอยากจะทำออกมาเป็นแบบเม็ดหรือผงล่ะครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม


 


“แบบผง” หวังเย้าพูด การทำยาผงนั้นง่ายกว่ายาเม็ด เขาบอกส่วนผสมทั้งหมดและสรรพคุณของตัวยาให้กับเจิ้งเหว่ยจวินได้รู้


 


“โอเคครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


เขาไม่ได้เอ้อระเหยอยู่ที่คลินิกของหวังเย้านานนัก พอคุยกันจบแล้วเขาก็ขอตัวกลับ


 


หลังจากจบมื้อเย็น จงหลิวชวนก็มาหาหวังเย้า และเขาก็ไม่ได้อยู่นานนัก


 


ในคืนนั้น หวังเย้าไม่ได้กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน


 


“คืนนี้ ลูกไม่กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม เธอเคยชินกับการที่ลูกชายของเธอมักจะนอนค้างบนเขาไปแล้ว


 


“ไม่ครับ คืนนี้ผมจะนอนที่บ้าน” หวังเย้าพูด


 


เขาไม่ได้ขึ้นไปนอนบนเนินเขาหนานชานมาสองสามคืนแล้ว เพราะเขาเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของพ่อแม่เขา


 


เขาอยู่คุยและดูทีวีกับพ่อแม่ของเขาไปจนกระทั่งถึงเวลาสามทุ่ม แล้วเขาก็กลับเข้าไปอ่านหนังสืออยู่ภายในห้องของตัวเอง ก่อนที่จะเข้านอน


 


“เสี่ยวเย้ากำลังปิดบังอะไรพวกเราอยู่รึเปล่า?” จางซิวหยิงที่นอนอยู่บนเตียงเอ่ยถามสามี


 


“เขาโตพอที่จะจัดการเรื่องของตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องไปห่วงเขามากหรอก นอนได้แล้ว” หวังเฟิงฮวาพูด


 


“ทำไมถึงใจเย็นอยู่ได้นะ?” จางซิวหยิงพูด


 


แม่น้ำทางทิศเหนือไหลผ่านหมู่บ้านไปพร้อมกับมีเสียงน้ำไหลผ่านให้ได้ยิน อยู่ๆก็มีคนคนหนึ่งโผล่มาที่ริมฝั่งของแม่น้ำ เขายืนอยู่ตรงจุดนี้เงียบๆครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหายไปในความมืดอีกครั้ง


 


โฮ่ง! โฮ่ง! อยู่ๆสุนัขก็เริ่มส่งเสียงเห่า


 


ลมเริ่มพัดแรง ใบไม้บนเขาส่งเสียงซ่าๆ


 


เงาร่างนั้นเดินอยู่เพียงลำพังและกำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเนินเขาตงชาน เนินเขาตงชานในเวลากลางวันค่อนข้างเงียบและเงียบยิ่งกว่าในตอนกลางคืน หากอยู่ในบริเวณนี้ก็จะสามารถได้ยินเสียงลมพัดและเสียงแมลงร้องได้อย่างชัดเจน


 


“ที่นี่เงียบจริงๆ” ชายคนนั้นพูด เขาเดินไปด้วยความเร็วสูง ราวกับว่า เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างในความมืดได้อย่างชัดเจน


 


ครู่ต่อมา เขาก็หยุดเดินและมองไปยังหมู่บ้าน ภายในหมู่บ้านมืดสนิท ทุกบ้านต่างก็ปิดไฟมืด


 


ถึงแล้วสินะ ฮึ่บ!


 


อยู่ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ มันราวกับเขากำลังถูกขึงไว้ด้วยบางสิ่งบางอย่าง หรือพบเจอกับนักล่า


 


สายลมพัดผ่านเข้าไปวูบหนึ่ง เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและหมุนตัวกลับไป เขาหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าที่เอวของเขา ฟึ่บ! ฟึ่บ! มีบางอย่างวาบผ่านอากาศไป


 


“ฮึ่ม!” ชายที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้พยายามที่จะควบคุมการหายใจของตนเอง


 


แป๊ะ! แป๊ะ! ที่แขนของเขากำลังมีเลือดไหลออกมาและหยดลงไปที่พื้นดิน เขาประมาทเกินไป และได้รับบาดเจ็บในระหว่างการปะทะครั้งแรก


 


จะโทษตัวเขาก็ไม่ได้ เพราะคงไม่มีใครคาดเดาได้ว่า จะต้องมาพบเจอกับนักฆ่าอีกคนในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ แล้วอีกฝ่าย ยังรอคอยให้เขาเข้ามาติดกับดักอีกด้วย เขาคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น และโชคดีพอที่สามารถหลุดรอดจากการโจมตีจุดตายมาได้


 


โว้ว เขาหลุดไปได้! เขาต้องเป็นนักฆ่าที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีแน่ๆ จงหลิวชวนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดตกใจ แต่เขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ เขาทำเพียงรอคอยให้อีกฝ่ายทำพลาด


 


แซ่กๆๆ! เขาได้ยินเสียงฝีเท้า เมื่ออยู่ท่ามกลางป่าเขาในตอนกลางคืนที่เงียบเชียบ ก็ยิ่งทำให้ได้ยินเสียงฝีเท้านี้ได้ชัดเจนกว่าตอนกลางวัน


 


มีคนมาอีกคนงั้นเหรอ?


 


พวกเขาทั้งสองต่างก็รู้สึกแปลกใจ


 


“สวัสดียามค่ำครับ” ผู้มาใหม่เอ่ย เสียงของเขาราวกับดังอยู่ในหูของคนทั้งสอง


 


ปัง! ปัง! ปัง! มีแสงวาบขึ้นสามครั้งในความมืด


 


วืด!


 


หนึ่งในสามคนได้ปลิวออกไปและชนกับต้นเกาลัดเข้าอย่างจัง การชนรุนแรงจนเกิดเสียงดังลั่นและทำให้ต้นไม้สั่นไหวอย่างน่ากลัว


 


ร่างที่ปลิวไปชนเข้ากับต้นไม้ไถลลงไปกองกับพื้นและจนเกือบจะหมดสติ เขารู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่าง


 


อาเสิ่นรู้สึกราวกับตัวเขากำลังถูกรถคันหนึ่งที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงชน จนตัวเขากระเด็นไปติดกับต้นไม้ เขาเคยมีประสบการณ์คล้ายกันนี้มาก่อน และไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าประทับใจสำหรับเขาเลย เขาสาบานกับตัวเองว่า เขาจะไม่มีทางพบเจอกับเรื่องแบบเดียวกันนี้อีกเด็ดขาด แต่กลับไม่คาดคิดว่า เขาจะต้องเจ็บตัวแบบเดียวกันอีกครั้งในหมู่บ้านแห่งนี้


 


ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะมีรถพุ่งชนใส่เขา แต่เป็นคนคนหนึ่ง อาเสิ่นนึกภาพไม่ออกเลยว่า ทำไมคนคนหนึ่งถึงมีพละกำลังมากมายขนาดนี้ได้


 


ฝ่ายตรงข้ามเป็นปรมาจารย์กังฟู และเขาเพิ่งได้รู้เดี๋ยวนี้เองว่า ตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ตัวจริง ศัตรูแค่คนเดียวก็ยากจะจัดการแล้ว แต่ตอนนี้ เขามีศัตรูอยู่ถึงสอง


 


บางที ฉันอาจจะต้องมาตายอยู่ที่นี่ก็ได้ อยู่ๆความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา หืม?


 


เงาร่างของคนคนหนึ่งวูบไหวแล้วมาโผล่อยู่ตรงหน้าเขา เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ฝ่ายตรงข้ามจะทำแบบนี้ เพราะมันไม่ใชการเคลื่อนไหวที่ฉลาดเลยสักนิด


“หมอหวัง ระวัง” จงหลิวชวนพูด


 


อาเสิ่นอยู่ห่างจากหวังเย้าไปไม่ถึงเมตร เขาที่ยังคงนอนอยู่บนพื้นได้เคลื่อนไหวในฉับพลัน เขายกมือขึ้นมาพร้อมกับเหนี่ยวไกปืน ปัง! ปัง! เกิดแสงสว่างวาบขึ้นสองครั้ง


 


แต่แล้วอยู่ๆคนที่ควรจะยืนอยู่ตรงหน้าเขากลับหายไป


 


นี่มันเป็นไปไม่ได้ อาเสิ่นคิด มนุษย์ไม่มีทางเคลื่อนไหวได้เร็วกว่ากระสุน


 


ไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้ ส่วนคนที่สามารถหลบกระสุนได้ก็มีเพียงแค่ในนิยายและภาพยนตร์เท่านั้น


 


แต่หวังเย้ากลับหายตัวไปในเวลาเดียวกับที่เขาลั่นกระสุนปืนออกไป ตามทฤษฎีแล้ว การมองเห็นของมนุษย์สามารถล่าช้าได้ในบางเวลา แต่ไม่ใช่ในหนึ่งวินาที


 


ไม่ว่าจะเป็นเพราะหวังเย้าเร็วกว่ากระสุน หรือเพราะเขาเฝ้ามองการกระทำของอาเสิ่นอยู่ก่อนแล้วนั้น สุดท้ายก็คือ หวังเย้าสามารถเอาตัวออกห่างจากกระสุนปืนได้ และแสดงให้เห็นว่า ความสามารถของหวังเย้านั้นน่ากลัวแค่ไหน


 


อยู่ๆหวังเย้าก็มาโผล่อยู่ตรงหน้าของอาเสิ่นอีกครั้ง อาเสิ่นพยายามจะยกแขนขึ้น แต่เขากลับทำไม่ได้ ราวกับว่ามีภูเขาลูกหนึ่งกำลังทับเขาอยู่ อย่าว่าแต่แขนเลย แม้แต่จะหายใจตอนนี้ก็ยังลำบากสำหรับเขา


 


นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?


 


ปืนตกลงไปที่พื้น อาเสิ่นสูญเสียความสามารถในการตอบโต้กลับ เขาได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาใกล้


 


“หมอหวัง ไม่เป็นอะไรนะครับ?” จงหลิวชวนถาม


 


“ผมไม่เป็นไร” หวังเย้าพูด


 


ไม่ใช่แค่อาเสิ่นที่ไร้การเคลื่อนไหวเท่านั้นที่ตกใจ แต่จงหลิวชวนก็ตกตะลึงกับการกระทำของหวังเย้าด้วยเช่นกัน เขาเห็นทุกอย่างกับตาตัวเอง อยู่ๆหวังเย้าก็โผล่มาตรงหน้าอาเสิ่นและโยนเขาออกไป เมื่ออาเสิ่นลั่นไกปืน หวังเย้าก็หายตัวไปและโผล่กลับมาที่จุดเดิมภายในเสี้ยววินาที ราวกับเขาสามารถวาบไปได้ทุกที่ที่ต้องการ


 


จงหลิวชวนและอาเสิ่นคิดไม่ออกเลยว่าหวังเย้าได้ยังไง พวกเขาคิดว่า หวังเย้าคงจะเป็นเหมือนกับยอดมนุษย์ รวมถึงเป็นปรมาจารย์กังฟูด้วย าพวกเขาได้รู้แล้วว่า หวังเย้าไม่ใช่แค่แพทย์ผู้มากฝีมือเท่านั้น แต่เขายังเป็นยอดฝีมือด้านกังฟูอีกด้วย


 


“เราพาตัวเขาไปที่เงียบๆกันดีกว่าไหม?” หวังเย้าเสนอขึ้นมา


 


“ได้ครับ หมอหวัง” จงหลิวชวนพูด


 


ถึงในหมู่บ้านจะไม่ได้กว้างใหญ่และมีบ้านอยู่ไม่กี่หลัง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาบ้านว่างสักหลังหนึ่ง


 


หวังเย้าและจงหลิวชวนพานักฆ่าไปยังบ้านว่างหลังหนึ่ง หวังเย้าจัดการทำให้เขานั่งนิ่งๆไม่สามารถขยับเขยื้อนได้


 


“เป็นเขานี่เอง” หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าฝ่ายตรงข้ามชัดๆแล้ว จงหลิวชวนก็พูดออกมา


 


“คุณรู้จักเขาเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ครับ เขาเป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง งานของเขามักจะสำเร็จเสมอ ไม่คิดเลยว่า พวกนั้นจะจ้างเขามาฆ่าหมอ” จงหลิวชวนพูด


 


“เขาเคยฆ่าคนมาก่อนไหม?” หวังเย้าถาม


 


“ครับ มากกว่าหนึ่งคนด้วย” จงหลิวชวนพูด


 


“คุณมีหลักฐานเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


จงหลิวชวนส่ายหน้า ในบางครั้ง ถึงจะรู้ความจริง แต่ก็ไม่มีหลักฐานมายืนยันได้


714 สูงหลายชั้น


 


บริเวณเส้นทางขึ้นเขานั้น มีบ้านเปล่าที่ไร้แสงหรือผู้คนอยู่หลายหลัง


 


“ที่นี่น่าจะใช้ได้นะ” หวังเย้าพูด


 


หลังจากจัดการมัดมือมัดเท้าของนักฆ่าเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ลงไปจากเขา พวกเขาจะกลับมาสอบสวนนักฆ่าในวันพรุ่งนี้


 


ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลัวว่านักฆ่าจะหลบหนีเลย เพราะหวังเย้าได้ใช้วิธีการพิเศษ ทำให้แขนขาของนักฆ่าไม่สามารถใช้การได้ ตอนนี้เขาทำให้เพียงหายใจเท่านั้น และการหลบหนีก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย


 


เมื่อลงมาจากเขาแล้ว หวังเย้าก็ถามกับจงหลิวชวนที่เดินมาด้วยกันว่า “คุณรู้จักเขาเหรอ?”


 


“ครับ คนอื่นเรียกเขาว่า อาเสิ่น” จงหลิวชวนพูด “ชื่อจริงๆของเขาไม่มีใครรู้ แต่ที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือเขาถือว่าเป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง”


 


“นักฆ่าระดับท๊อปเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ครับ” จงหลิวชวนพูด


 


“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะครับ ว่าทักษะการต่อสู้ของหมอจะสูงขนาดนี้” จงหลิวชวนพูด


 


เขาก็เป็นนักสู้เช่นกัน แต่ภาพที่เขาได้เห็นก็ทำให้เขาต้องตกตะลึงอยู่ดี มันเป็นภาพที่เขาไม่มีทางลืมไปตลอดชีวิตของเขา ในตอนเริ่มแรก เขาคาดเดาว่า หวังเย้าน่าจะมีพลังเหมือนในตำนาน จากการสังเกตฝีเท้าและการกระทำของเขาแล้ว จงหลิวชวนพบว่า มันยังมีความเป็นไปได้อย่างอื่นอีก


 


หมอคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าเขากลับกลายเป็นปรมาจารย์ด้านกังฟู ความสำเร็จของเขาสูงมากพอๆกับตึกหลายชั้นและอาจจะสูงจนเกือบจะถึงสวรรค์เลยด้วยซ้ำ ดังนั้น มันจึงทำให้เขาตกตะลึงมากยิ่งขึ้น การที่จะประสบความสำเร็จในระดับเดียวกับหวังเย้าได้นั้น สิ่งที่จำเป็นจะต้องมีก็คือ ความอุตสาหะ แต่ก็ต้องมีพรสวรรค์เข้าคู่ด้วยเช่นกัน มันก็เหมือนกับการทำข้อสองเข้ามหาวิทยาลัย การเรียนหนักไม่ใช่ตัวตัดสินทุกอย่าง สำหรับบางคน ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามหนักแค่ไหนก็ไม่สามารถสอบเข้าได้ แต่แน่นอนว่า หากไม่พยายามเลยผลก็คือสอบตก


 


“ก็แค่ทั่วไปเท่านั้นแหละครับ” หวังเย้ายิ้ม “แล้วคุณเคยคนอื่นที่เป็นแบบผมบ้างไหมครับ?”


 


“ผมโชคดีเคยได้เห็นอยู่คนหนึ่งครับ” จงหลิวชวนพูด


 


“ที่ไหนเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ที่ซงชาน เป็นพระรูปหนึ่งครับ” จงหลิวชวนพูด


 


“อืม ผมคิดว่าพระพวกนั้นจะทำได้แค่ทุบหินด้วยหน้าอกเท่านั้นซะอีก” หวังเย้าพูด “มันกลายเป็นว่า มันคือกังฟูของจริงสินะ!”


 


“ก็น่าจะเป็นของจริงนะครับ” จงหลิวชวนพูด “พระรูปนั้นสามารถผลักก้อนหินที่สูงพอๆกับคนได้ด้วยการสะบัดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”


 


นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเย้าได้ยินเรื่องของคนอื่นที่เป็นเหมือนกับเขา “พระรูปนั้นยังอยู่ที่นั่นรึเปล่าครับ?”


 


“เขาน่าจะยังอยู่ที่นั่นนะครับ” จงหลิวชวนพูด “ตอนที่ผมได้เห็นเขา เขาก็เพิ่งจะอายุได้ห้าสิบต้นๆและดูกระฉับกระเฉงมากเลยล่ะ”


 


“ถ้ามีเวลาว่าง ผมคงจะไปเจอเขาสักหน่อยแล้ว” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“หมออาจจะไม่ได้เจอเขาก็นะ” จงหลิวชวนพูด “ผมได้เจอเขาเข้าโดยบังเอิญ และได้ยินมาว่า เขาเป็นพระขั้นสูงมาก แล้วโอกาสที่เขาจะออกมาให้คนนอกเห็นก็เป็นเรื่องยากมากด้วย”


 


หวังเย้าพยักหน้า “ขอบคุณสำหรั้บเรื่องวันนี้นะครับ”


 


“ยินดีครับ” จงหลิวชวนพูด


 


เมื่อเดินพ้นจากเขามาแล้ว เขาก็เดินมาที่ประตูบ้านและออกแรงกระโดดเบาๆ เขาถลาตัวออกไปราวกับนกตัวหนึ่งและลอยข้ามสวนราวกับมีปีกบิน ก่อนที่จะร่อนลงและกระโดดลอยตัวขึ้นอีกครั้ง เพื่อกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเองผ่านทางหน้าต่าง เหตุการณ์ทั้งหมดไม่มีเสียงเล็ดลอดมาให้ได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว


 


ค่ำคืนนั้นดูปกติสุขเช่นทุกวัน บนเขาดูเหมือนจะมีลมพัดแรงกว่าปกติ


 


ภายในกระท่อมบนเขา อาเสิ่นได้สติขึ้นมาและเริ่มสังเกตพื้นที่โดยรอบ “อืม ฉันอยู่ที่ไหน?”


 


มันเป็นบ้านที่ก่อขึ้นด้วยหินและมีหน้าต่างที่ทำด้วยไม้ เขาสามารถมองเห็นต้นไม้ที่อยู่ด้านนอกได้ลางๆ ตอนนี้ เขาอาจจะอยู่บนเขา บ้านหลังนี้ก็อาจจะถูกสร้างขึ้นมาสำหรับคนที่ขึ้นมาบนเขา แต่คงจะไม่ได้ถูกใช้งานเป็นเวลานานมากแล้ว เขาดิ้นรนเพื่อที่จะลุกขึ้นยืน แล้วก็ต้องพบว่า ร่างกายของเขาเจ็บปวดไปทั่วทุกส่วน แม้แต่หายใจก็ยังรู้สึกเจ็บ


 


อาการบาดเจ็บของเขาหนักมา เขาไม่สามารถหนีไปไหนได้


 


คิดไม่ถึงว่า ในหมู่บ้านกลางเขาแห่งนี้จะมียอดฝีมืออยู่ถึงสองคน และคนที่มาทีหลังก็เป็นคนที่เขาไม่สามารถสู้ได้เลย เมื่อชายคนที่สองโผล่ เขาก็ไม่สามารถต่อต้านเขาได้เลยแม้แต่น้อย และอีกคนยังคอยซุ่มโจมตีเขาด้วยลูกปืนอีก


 


“ฉันประมาทเกินไป!” อาเสิ่นเคยมีชีวิตที่ราบรื่นและสบาย จนทำให้เขามั่นใจมากเกินไป ครั้งนี้ทำให้เขาสำนึกได้ โดยเฉพาะตอนที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานตลอดทั้งคืน


 


เช้าตรู่ของวันใหม่ หวังเย้ากำลังฝึกฝนอยู่ภายในลานบ้าน ไก่ที่บ้านขันรับเช้าวันใหม่และเดินไปรอบตัวเขา ตั้งแต่ที่ไก่ตัวนี้กินยาที่เขาทิ้งในถังขยะไป มันก็มีท่าทางผิดปกติตั้งแต่นั้นมา ไก่ที่เดินราวกับคนที่กำลังเดินแบบ มันปกติที่ตรงไหนกัน?


 


ตาเข่เล็กน้อยได้มองมองหวังเย้าที่กำลังฝึกฝนอยู่เป็นครั้งคราว เขาฝึกฝนไปเรื่อยๆ ในขณะที่ไก่ก็เดินรอบตัวเขาไม่หยุด


 


หลังจากฝึกฝนและทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว หวังเย้าก็เดินออกมาจากบ้านและพบจงหลิวชวนที่กำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่บนถนน


 


“ตื่นเช้าเหมือนกันเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ครับ ผมวิ่งได้รอบหนึ่งแล้ว” จงหลิวชวนพูด


 


“ไปกันเถอะ” หวังเย้าพูด


 


ทั้งสองเดินไปยังเขาทางทิศตะวันออก


 


“เป็นนายนี่เอง!” อาเสิ่นประหลาดใจที่ได้เห็นจงหลิวชวน


 


เขาไม่มีความคิดนี้อยู่ในหัวเลย ชายคนนี้มาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ ดังนั้น มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะพลาดท่าถูกยิง ทั้งสองต่างก็มองอีกฝ่ายออก


 


“นายรู้จักเขาเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ฉันเคยเห็นเขามาก่อน” อาเสิ่นพูด “เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก”


 


“แล้วใครเป็นคนส่งนายมา? พี่หนานใช่ไหม?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่” อาเสิ่นยอมรับออกมาตรงๆ


 


“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?” หวังเย้าถาม


 


“ฉันไม่รู้” อาเสิ่นพูด


 


“เราจะจัดการกับเขายังไงดีครับ?” จงหลิวชวนถาม


 


“โทรหาตำรวจเถอะ” หวังเย้าพูด


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็วและพาตัวอาเสิ่นไป


 


“หมอไม่กลัวว่าเขาจะกลับมาแก้แค้นหมอเหรอ?” จงหลิวชวนถาม


 


“เขาอยู่ได้อีกไม่นานหรอก” หวังเย้าพูด


 


“หมอทำอะไรกับเขาเหรอครับ?” จงหลิวชวนถาม


 


“เปล่าหรอก แต่เขาป่วยอยู่น่ะ” หวังเย้าพูด


 


เมื่อคืนก่อน หวังเย้าพบว่า ร่างกายของอาเสิ่นอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก เมื่อสังเกตดูดีดีแล้ว เขาก็พบว่า อาเสิ่นป่วยด้วยโรคที่หาได้ยาก


 


“เขาคงจะต้องดื่มน้ำเยอะๆทุกวัน” หวังเย้าพูด


 


“หา?” จงหลิวชวนไม่แน่ใจว่าหวังเย้ากำลังพูดถึงอะไร


 


“ระบบการเผาผลาญในร่างกายของเขาเร็วกว่าคนปกติหลายเท่า” หวังเย้าพูด


 


“แล้วมันมีปัญหาตรงไหนเหรอครับ?” จงหลิวชวนถาม


 


“เขาก็เป็นเหมือนกับเตาไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่” หวังเย้าพูด “ถ้าต้องการที่จะทำให้มันเย็นลง ก็ไม่ควรดื่มน้ำเข้าไป เพราะไม่อย่างนั้น เตาก็จะระเบิดออก”


 


“เขาไปได้โรคนี้มาจากที่ไหนกัน?” จงหลิวชวนถาม “ผมไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย!”


 


สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้อยู่ที่เลือดของเขา ถ้าให้เวลาสักหน่อย หวังเย้าก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่อาเสิ่นคือคนที่ต้องการฆ่าเขา แล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่ใช้ความดีเข้าสยบความชั่วด้วย


 


อาเสิ่นป่วย แล้วเมื่อคืนเขายังได้รับบาดเจ็บหนัก หวังเย้าคาดการณ์ไว้ว่า เขาคงจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ประมาณสิบวันเท่านั้น


 



 


ภายในโรงพยาบาลประจำจังหวัดฉี…


 


“หมอที่นี่มัวแต่ทำอะไรกันอยู่หา!” ร่างกายของพี่หนานเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ จากความเจ็บปวดที่เขาได้รับ


 


แขนขาของเขาไร้เรี่ยวแรง มือของเขาไม่สามารถหยิบจับอะไรได้ แม้แต่แก้วน้ำก็ยังถือไม่ไหว เขาปวดท้องโดยไม่มีสาเหตุ เขาไม่สามารถทานอะไรได้เลย หรือถ้าทานเข้าไป เขาก็จะมีอาการท้องเสียหรือไม่ก็อาเจียนออกมา สิ่งสำคัญคือ เขาไม่สามารถนอนหลับได้ เมื่อหลับตาลง เขาก็จะมีอาการปวดศีรษะ มันราวกับว่า มีคนเอาเข็มจิ้มไปที่หัวของเขา


 


“เรากำลังปรึกษากันอยู่” แพทย์พูด


 


“ปรึกษา? หมายความว่ายังไง?!” พี่หนานรู้สึกไม่พอใจ


 


“เราสงสัยว่า คุณจะมีปัญหาที่เส้นประสาทในสมองน่ะครับ” แพทย์พูด


 


“สมองเหรอ?” พี่หนานถาม


 


“ใช่ การกระทำทุกอย่างของร่างกายถูกควบคุมโดยสมอง รวมไปถึง การหยิบของ, การเดิน, การกิน, และการนอน” แพทย์พูด “สถานการณ์ของคุณในตอนนี้ก็คือ เมื่อมีการเคลื่อนไหว ร่างกายของคุณก็จะเกิดความผิดปกติขึ้น”


 


นี่เป็นโรคที่รักษาได้ยากมาก และเขาก็ไม่เคยพบเห็นอาการแบบนี้มาก่อน ความยากก่อให้เกิดความท้าทาย และเขาก็มองว่า คนไข้คนนี้คือความท้าทายสำหรับเขา


 


“พรุ่งนี้ ผมจะจัดการประชุมขึ้นเพื่อปรึกษาเรื่องอาการของคุณ” แพทย์พูด


 


“ก็ได้” พี่หนานเลิกบ่น ตอนนี้เขาอยู่ที่ตัวจังหวัด ซึ่งไม่ใช่ถิ่นของเขา สวนเรื่องของร่างกายและชีวิตของเขานั้น เขาก็คงต้องพึ่งแพทย์ของโรงพยาบาลนี้


 


“มีข่าวจากอาจิ่วบ้างไหม?” พี่หนานถามหนึ่งในคนของเขา


 


“ไม่เลยครับ พี่หนาน” คนของเขาพูด


 


“ลองโทรไปถามดูซิ” พี่หนานพูด


 


ที่เขตเหลียนชาน อาจิ่วกำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ “แน่ใจนะ?”


 


“ครับ ผมไปถามมาแล้ว” ชายคนหนึ่งพูด “คนที่ถูกจับคือ อาเสิ่น แล้วเขาก็ได้รับบาดเจ็บหนักจนลุกเดินไม่ได้ด้วย”


 


“ชิบ*แล้ว! ทุกอย่างผิดแผนไปหมด!” ตอนนี้ อาจิ่วจำเป็นต้องคิดคำพูดที่จะใช้อธิบายให้พี่หนานฟัง


 


“พี่จิ่ว พี่หนานโทรมาครับ”


 


“เชี่ยแล้ว สุดท้ายฉันก็ต้องเผชิญหน้ากับมันสินะ” อาจิ่วพูด


 


เขากดรับสาย “พี่หนาน อาจิ่วพูดครับ…ครับ…เราลงมือแล้ว…ใช่ครับ…ครับ…อาเสิ่นไม่อยู่ที่นี่ครับ…เข้าใจครับ…เข้าใจครับ!”


 


หลังกดวางสายแล้ว เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกและพบว่า ลูกน้องคนอื่นๆกำลังมองมาที่เขา


 


“พี่หนานโทรมา เขาถามว่างานของเราไปถึงไหนกันแล้ว!”


715 วิญญาณร้าย


 


“อย่ามองฉันแบบนี้สิ” อาจิ่วพูด “ก็ลองคิดดูสิ ถ้างานพลาด ไม่มีใครในหมู่พวกเรารอดแน่”


 


เดิมที เขาคิดว่าอาเสิ่นคือมือดีที่สุดที่จะใช้ในการแก้แค้นหวังเย้า แต่อาเสิ่นกลับต้องไปจบที่สถานีตรวจ แม้แต่จะเดินเข้าไปในสถานีดีดีก็ยังทำไม่ได้ รถพยาบาลต้องมารับเขาที่สถานีตำรวจ เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


“บางที เราน่าจะลองดูอีกสักรอบดีไหม?” ชายหนุ่มคนหนึ่งถามขึ้นมาด้วยท่าทีลังเล


 


“ลองอีกรอบ? แล้วใครจะเป็นคนไปล่ะ?” อาจิ่วถาม


 


ไม่มีใครตอบคำถามนี้ อาเสิ่นคือมือดีที่สุดที่พวกเขามี ถ้าอาเสิ่นทำงานนี้ไม่สำเร็จ ก็คงจะไม่มีใครในหมู่พวกเขาทำสำเร็จได้เช่นกัน พวกเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า ตัวเองจะหนีออกมาจากหมู่บ้านนั้นโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ ศัตรูของพวกเขาเป็นปรมาจารย์กังฟู และยังเป็นปรมาจารย์กังฟูที่เตรียมตัวมาอย่างดีอีกด้วย ทุกคนก้มหน้าหลบสายตาดูคล้ายกับนกอีมูที่กำลังหวาดกลัว


 


อาจิ่วถอนหายใจ ในสถานการณ์วิกฤตแบบนี้ คนของเขาก็กลายเป็นพวกไร้ประโยชน์ รวมถึงตัวเขาเองด้วย


 


“พี่จิ่ว ฉันว่าเราบอกความจริงกับพี่หนานไปเถอะ” หนึ่งในคนของเขาพูด “เราจะอยู่ที่รอรับโทษจากพี่หนานไปก็คงไม่ได้ แล้วเราก็คงจะจัดการกับผู้ชายคนนั้นไม่ได้ด้วย อาเสิ่นก็ยังอยู่ที่สถานีตำรวจ เราควรจะพาตัวเขาออกมาก่อนดีไหม?”


 


“ฉันเห็นด้วย” ชายอีกคนพูด


 


“อืม พวกนายเห็นด้วยไหม?” อาจิ่วถาม


 


“อืม” คนของเขาพูด


 


“ก็ได้ ฉันจะโทรหาพี่หนานเดี๋ยวนี้แหละ” อาจิ่วพูด


 


เขาสูดลมหายเข้าลึกและเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง ก่อนที่จะตัดสินใจกดโทรไปหาพี่หนาน


 


“พี่หนาน ผมมีข่าวร้ายจะบอกพี่ อาเสิ่นถูกตำรวจจับตัวไปแล้ว” อาจิ่วดูกังวล เขารู้สึกราวกับว่ากำลังยืนอยู่ติดกับพี่หนาน


 


“เกิดอะไรขึ้น?” อย่างที่คาดไว้ พี่หนานที่อยู่ปลายสายพูดขึ้นเสียง


 


ค่าจ้างอาเสิ่นในฐานะนักฆ่ามีชื่อนั้นสูงลิ่ว แล้วหลายปีมานี้ อาเสิ่นก็ได้ทำงานให้เขาและคนของเขาไปมากมาย เขาไม่สนใจว่าอาเสิ่นจะได้รับโทษอะไร หรือเขาจะได้รับโทษตายหรือไม่ สิ่งสำคัญก็คือ อาเสิ่นรู้มากเกินไป เขาไม่ต้องการให้อาเสิ่นเอ่ยถึงเขาและคนในแก็งค์ให้ตำรวจรู้ เพราะมันจะกลายเป็นหายนะสำหรับเขาอย่างแน่นอน


 


“ผมเพิ่งได้รับข่าวว่า อาเสิ่นทำงานล้มเหลวครับ” อาจิ่วพูด


 


“แม่งเอ้ย!” พี่หนานสบถ “ไปสืบมาว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็เอาตัวอาเสิ่นออกมาจากสถานีตำรวจให้ได้”


 


“พี่ว่า เราจะพาตัวเขาออกมาได้เหรอ?” อาจิ่วถาม “พี่หนาน มันเป็นคดีพยายามฆ่านะครับ”


 


“รู้แล้วโว้ย!” พี่หนานพูด


 


“พวกแกได้ยินที่พี่หนานพูดรึเปล่า?” อาจิ่วถาม


 


พวกเขาต่างพากันส่ายหน้า


 


“พี่หนานต้องการให้เราพาตัวอาเสิ่นออกมาจากสถานีตำรวจให้ได้” อาจิ่วพูด


 


“ล้อเล่นรึเปล่า?” ชายหนุ่มคนหนึ่งถาม “เขาโดนตำรวจจับในข้อหาพยายามฆ่านะ ตอนที่ถูกจับ ปืนยังคาอยู่ในมือของเขาด้วย เขาต้องได้รับโทษหนักแน่ พี่คิดจะให้เราพาเขาแหกคุกออกมาเหรอ? นั่นมันฆ่าตัวตายชัดๆ!”


 


“ฉันขอคิดดูก่อน” อาจิ่วพูด


 


เขารู้ว่า พี่หนานไม่ได้ต้องการให้พวกเขาแหกคุกเพื่อพาอาเสิ่นหลบหนีออกมา เขาเพียงแค่กำลังไม่พอใจ อีกไม่นานเขาก็คงจะส่งคนมาช่วย แล้วพี่หนานก็ยังมีทีมกฎหมายของตัวเองอยู่อีก เรื่องแบบนี้ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้เป็นคนรับมือ


 


หวังเย้ากำลังเตรียมสมุนไพรสำหรับทำยาบำรุงอยู่


 


โสม, โก๋วฉี, หวงจิง, เชี่ยนฉือ, หลินจือ, กานเฉา…


 


นอกจากสมุนไพรที่เก็บจากในแปลงสมุนไพรของหวังเย้าเองแล้ว ก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ได้มาจากหลี่เม่าชวง ซึ่งมักจะรับหน้าที่จัดหาสมุนไพรที่ดีที่สุดให้กับหวังเย้าอยู่เสมอ


 


หวังเย้าเอาสมุนไพรมาหนึ่งกำมือและแบ่งทั้งหมดออกเป็นกองเล็กๆหลายกอง เขาไม่ได้จะนำพวกมันไปต้มเป็นยาน้ำ แต่เขาจะนำสมุนไพรเหล่านี้ไปบดและผสมรวมกันจนกลายเป็นยาผงสมุนไพร


 


ยาเม็ดที่ได้จากโรงพยาบาลหรือเภสัชกรนั้นล้วนเป็นยาที่ผ่านกระบวนการการผลิตมาแล้วทั้งนั้น แต่สมุนไพรที่ไม่ได้ผ่านการผลิตมาจะละลายน้ำได้ช้ากว่า


 


หวังเย้าพอจะมีความรู้เรื่องเทคโนโลยีการผลิตยาเม็ดสมัยใหม่อยู่บ้าง ส่วนผสมหลักในการผลิตคือสารเคมีและใช้เทคนิคทางชีววิทยาเข้าช่วย บริษัทยาได้ใช้เทคโนโลยีในการผลิตสินค้าทั้งหมด ถึงแม้เทคโนโลยีสมัยใหม่จะมีประโยชน์สำหรับการผลิตในปริมาณมาก แต่มันก็ทำให้สมุนไพรบางตัวสูญเสียสรรพคุณทางยาไป ดังนั้น ยาสมุนไพรที่ผลิตโดยใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยจึงมีประสิทธิภาพด้อยกว่า ยาสมุนไพรที่ผ่านการผลิตด้วยมือ


 


ยกตัวอย่างเช่น ยาบำรุงที่หวังเย้าเป็นคนทำขึ้นมา ซึ่งมันมีประสิทธิภาพมากกว่ายาที่ทำโดยเครื่องมาก


 


หวังเย้าพยายามที่จะใช้วิธีการแบบโบราณในการผลิตยา และเขาก็ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับเจิ้งเหว่ยจวินแล้วด้วย


 


ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เขาได้ยินเสียงคนเคาะประตูอย่างเร่งร้อน


 


“เข้ามาได้เลยครับ!” หวังเย้าพูดออกไป แล้วเสียงของเขาก็เดินทางออกจากห้องที่เขาอยู่ไปถึงหูของแขกผู้มาเยือน


 


ประตูถูกผลักให้เปิดออก คนสองคนเดินเข้ามาด้านใน พวกเขาต่างพยุงกันและกัน เพราะต่างก็ไม่สามารถเดินได้อย่างมั่นคง


 


หืม? จากการดมกลิ่น ก็ทำให้หวังเย้ารู้ได้ตั้งแต่ก่อนที่คนทั้งสองจะเดินเข้ามาแล้วว่า พวกเขาไม่ค่อยปกตินัก กลิ่นที่เขาได้มันไม่นาพิสมัยเลยสักนิด


 


แค่ก! แค่ก! แค่ก!


 


“สวัสดีครับ หมอหวัง ขอโทษที่ต้องมารบกวนคุณอีกครั้ง” หนึ่งในสองคนนั้นพูดขึ้นมา


 


“คุณนั่นเอง” หวังเย้าพูด


 


หวังเย้าแปลกใจที่เห็นเขามาที่นี่ และพวกเขาก็เคยพบกันมาก่อนแล้ว คนคนนี้ก็คือ เมี่ยวซานติง ผู้เป็นอาจารย์ดูฮวงจุ้ย ข้างๆเขาเป็นชายวัยประมาณสามสิบคนหนึ่ง


 


ทั้งสองอยู่ในสภาพย่ำแย่มาก บนใบหน้าของพวกเขากลายเป็นสีเขียวคล้ำ แม้แต่ตาขาวของพวกเขาก็ยังกลายเป็นสีเขียว เส้นผมของพวกแห้งกรอบ และพวกเขามีอาการหายใจหอบ


 


ทั้งสองสวมเสื้อแขนยาวและเสื้อผ้าตัวหนา ทั้งๆที่อยู่ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของปี พวกเขายังใส่ลองจอน(เสื้อผ้าฮีทเทค, ช่วยรักษาความร้อนของร่างกายเอาไว้)เอาไว้ข้างในอีกด้วย มันราวกับว่า พวกเขาเพิ่งจะกลับมาจากขั้วโลกใต้มา


 


หวังเย้ารับรู้ได้ถึงพลังแปลกประหลาดจากตัวคนทั้งสอง มันเป็นพลังหยินที่เข้มข้นจนผิดปกติ การไหลเวียนพลังในร่างกายของเขาราบรื่น ทำให้เขาสามารถปลดปล่อยพลังฉีออกมาเพื่อสื่อสารกับฟ้าดินได้อย่างอิสระ ดังนั้น เขาจึงอ่อนไหวกับพลังฉีที่ต่างออกไปได้ง่าย


 


“เกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ผมกับน้องชาย เราไปดูฮวงจุ้ยหลุมฝังศพให้กับครอบครัวหนึ่ง แล้วเราก็ไปเจอกับสุสานโบราณเข้า เราเลยเข้าไปดูข้างในเพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่กลับกลายเป็นว่าต้องเจอเข้ากับปัญหาใหญ่แทน” เมี่ยวซานติงพูด


 


“สุสานโบราณเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่ เป็นสุสานโบราณที่มีบางอย่างอยู่ข้างในนั้นด้วย” เมี่ยวซานติงพูด


 


“วิญญาณน่ะเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“หมอจะพูดแบบนั้นก็ได้” เมี่ยวซานติงพูด “หลังจากเดินเข้าไปในนั้น ผมก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ผมเกือบจะตายไปตั้งสองครั้ง แล้วผมก็ไปที่เขาอู่ไถเพื่อรักษาอาการ แต่ท่านพระเกจิอาจารย์ไม่อยู่ ผมก็เลยมาหาหมอที่นี่ยังไงล่ะครับ”


 


เขาคิดหาทางอื่นไม่ออกแล้ว เขาและน้องชายไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับพวกเขาเลย บางที มันอาจจะเป็นโชคชะตาที่ทำให้พวกเขาต้องเจอกับมัน ไม่มีใครคิดว่า ภายในสุสานจะมีภูตผีอยู่ในนั้นด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะใกล้ๆกันนั้นมีวัดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก และมีพระสงฆ์หลายสิบรูปที่กินแต่ผักกับท่องบทสวดมนต์ละก็ เขากับน้องชายก็อาจจะตายไปตั้งแต่สามวันหลังจากออกมาจากสุสานแล้ว


 


เขาเคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน และรู้ว่าต้องแก้ไขยังไง ดังนั้น เขาและน้องชายจึงพากันไปที่เขาอู่ไถเพื่อเข้าพบกับพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่นั่น เขาเคยมาพบกับพระเกจิอาจารย์รูปนี้ด้วยเรื่องแบบเดียวกันมาก่อน แต่พระรูปนี้กลับไม่ได้อยู่ที่วัด เมี่ยวซานติงไม่รู้ว่าท่าไปไหนและจะกลับมาเมื่อไหร่ มันจึงทำให้เขารู้สึกหมดหนทาง


 


เขาไม่สามารถรออยู่ที่เขาอู่ไถไปตลอดได้ แล้วอยู่ๆเขาก็นึกถึงหวังเย้า ผู้ที่สามารถรักษาคนที่เขาไม่สามารถช่วยได้ขึ้นมา เขายังคิดเอาไว้ว่า ถ้าหากหวังเย้าไม่สามารถรักษาเขาและน้องชายได้ เขาก็อาจจะต้องบอกกับทางญาติของตัวเองให้เตรียมงานศพของตัวเขาเอาไว้รอ


 


“มันเป็นวิญญาณร้ายเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


เขาเคยเจอคนที่มีอาการคล้ายกันมาก่อน และรับรู้ได้ถึงพลังพิเศษจากตัวของเมี่ยวซานติงและน้องชายของเขา พลังที่อยู่รอบตัวคนทั้งสองต่างไปจากคนไข้อีกคน


 


“ผมคงต้องขอลองดูก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาเริ่มปลดปล่อยพลังฉีออกมา เขาฝึกฝนการหายใจผ่านการท่องบทสวดของลัทธิ ดังนั้น พลังฉีของเขาจึงบริสุทธิ์และอ่อนโยน เขาสามารถควบคุมพลังฉีได้อย่างอิสระ ราวกับเป็นแขนขาของตัวเอง แต่แน่นอนว่า มันไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


 


ภายใต้การควบคุมของหวังเย้า หลังฉีของเขาได้ไหลไปทางเมี่ยวซานติงและน้องชายของเขา พลังฉีสองสายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงได้ปะทะใส่กัน แล้วพลังหยินเข้มข้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเกล็ดหิมะที่ละลายภายใต้ความร้อนแรงของแสงอาทิตย์


 


เมี่ยวซานติงและน้องชายของเขา สามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของพวกเขาได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ที่พวกเขาออกมาจากสุสานแห่งนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะใส่เสื้อผ้าหนาหลายชั้นแค่ไหน พวกเขาก็ยังรู้สึกหนาวสั่นอยู่ดี ความหนาวเย็นได้แทรกซึมเข้าสู่กระดูกและอวัยวะภายในของพวกเขา และมันก็ค่อยๆแย่ลงเรื่อยๆ ความรู้สึกนี้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งหวังเย้าหันฝ่ามือมายังพวกเขา ความหนาวเย็นภายในร่างกายพวกเขาเริ่มจางหายไป แล้วพวกเขาก็รู้สึกอุ่นขึ้นและสบายตัวขึ้น


716 เหตุผลตามความพอใจ


 


ความรู้สึกมันคล้ายกับการได้นั่งอยู่กลางแดดอุ่นๆในหน้าหนาว หรือการได้อาบน้ำในฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่น เมี่ยวซานติงและน้องชายของเขาต่างก็รู้สึกสบายตัวอย่างมาก


 


มันได้ผล! หวังเย้าคิด


 


เขาสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเมี่ยวซานติงและน้องชายของเขาได้ ดังนั้น หวังเย้าจึงเพิ่มความเร็วในการส่งพลังฉีของตัวเองเข้าไป พลังฉีของเขาเป็นเหมือนกับระฆังที่กลายเป็นเกราะป้องกันให้กับพวกเขา มันวิ่งวนไปทั่วร่างกายเพื่อทำการขับไล่พลังหยินที่เข้มข้นนั้นให้ออกไป


 


ถ้าหากมีคนอื่นกำลังมองดูพวกเขาอยู่ละก็ พวกเขาก็จะเห็นภาพของหวังเย้าที่กำลังยืน พร้อมกับยื่นมือออกไปยังคนไข้สองคนที่นั่งอยู่หลับตาอยู่ที่เก้าอี้ ฝ่ามือของหวังเย้าห่างจากตัวพวกเขาไปเกือบหนึ่งนิ้ว และคนทั้งสองก็ดูเหมือนจะพึงพอใจกับการรักษาในเวลานี้มาก


 


“ใกล้แล้วนะครับ” หวังเย้าพูด


 


เขารู้สึกได้ว่า พลังหยินที่เข้มข้นในร่างกายของพวกเขาแทบจะหายไปหมดแล้ว ดังนั้น เขาจึงหยุดมือ


 


“รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ผมรู้สึกดีขึ้นมากเลย” เมี่ยวซานติงพูด “ตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรแล้ว! ขอบคุณ ขอบคุณมากๆครับ!”


 


พลังหยินเข้มข้นภายในร่างกายของเขาได้จางหายไปแล้ว มันเป็นเหมือนกับดาบคมกริบที่แขวนอยู่เหนือศีรษะของเขา และสามารถหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ แต่ตอนนี้ มันได้หายไปแล้ว ถึงเขาจะยังไม่หายสนิทซะทีเดียวและยังรู้สึกหนาวอยู่เล็กน้อย แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เขารู้ว่า หากได้พักผ่อนดีดี เขาก็จะหายดีไปได้เวลาเพียงไม่นาน ตอนนี้ เขาถือว่าปลอดภัยแล้ว


 


เดิมที เขาแค่อยากจะลองเสี่ยงโชคกับหวังเย้าดูแค่นั้น แต่เขาไม่คิดเลยว่า หวังเย้าจะสามารถรักษาเขาได้จริงๆ สายตาที่เขาใช้มองหวังเย้าในเวลานี้จึงต่างไปจากเดิมมาก


 


แม้แต่พระรูปนั้นที่เขาอู่ไถก็ยังไม่สามารถรักษาเขาและน้องชายของเขาได้ภายในเวลา 15 นาที พระรูปนั้นต้องใช้การท่องบทสวดในการรักษาพวกเขา ดังนั้น มันจึงใช้ระยะเวลาในการรักษาที่ยาวนานกว่ามาก หวังเย้าทำแค่เอามือยื่นมาทางพวกเขาเท่านั้น ซึ่งมันดูง่ายดายและน่าเหลือเชื่อมาก


 


“แล้วหมอหวัง คิดค่ารักษาเท่าไหร่เหรอครับ?” เมี่ยวซานติงถามในขณะที่เขาหยิบกระเป๋าเงินออกมา


 


“คุณไม่ต้องจ่ายค่ารักษาหรอกครับ” หวังเย้าพูด


 


“ไม่ได้หรอกครับ ยังไงผมก็ต้องจ่าย” เมี่ยวซานติงพูด


 


“อย่าสนใจเรื่องนั้นเลย แล้ววันนี้ ผมก็อารมณ์ดีมากด้วย” หวังเย้าพูด


 


“หา?” เมี่ยวซานติงมึนงง เป็นเหตุผลที่เอาแต่ใจจริงๆ!


 


สาเหตุที่หวังเย้าไม่คิดเงินค่ารักษาจากพวกเขาก็เพราะ เขาอารมณ์ดีมากๆ ทั้งสองได้แสดงให้เขาได้แนวทางการรักษาแบบใหม่ ถึงเขาจะเคยเจอคนไข้อาการที่คล้ายกันมาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้พยายามศึกษามันมากนัก แล้วเขาก็ไม่มั่นใจว่า ในตอนนี้การรักษาได้ผลจริงหรือไม่ ประตูของเขตแดนใหม่ถูกแง้มออกมาเพียงเล็กน้อย ดังนั้น เขาจึงมองไม่เห็นว่าด้านในมันคืออะไรกันแน่ แต่ตอนี้มันต่างออกไป ประตูของการรักษาแบบใหม่ได้เปิดออกกว้าง แสดงให้เขาเส้นทางที่จะนำไปสู่จุดหมายปลายทาง


 


“น่าสนใจจริงๆ” หวังเย้าพูด


 


ในฐานะของการเป็นแพทย์ปรุงยานั้น จึงมีอยู่ไม่กี่เรื่องที่สามารถทำให้เขารู้สึกสนใจขึ้นมาได้ เขาอาจจะมีความสนใจในเรื่องตำราแพทย์ดีดีสักเล่ม, สมุนไพรคุณภาพสูง, หรืออาการป่วยที่หาได้ยาก แล้วอาการป่วยของเมี่ยวซานติงและน้องชายของเขาก็ได้ทำให้หวังเย้ารู้สึกสนใจขึ้นมา


 


“ผมลืมแนะนำไปเลย” เมี่ยวซานติงพูด “นี่เป็นศิษย์น้องที่เรียนกับอาจารย์คนเดียวกันกับผม เขามีชื่อว่า หลิวซื่อฟาง”


 


“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” หวังเย้าพูด


 


“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นเดียวกันครับ” หลิวซื่อฟางพูด


 


หวังเย้าคิดว่า ชื่อของทั้งสองนั้นค่อนข้างน่าสนใจ เพราะในชื่อของพวกเขาล้วนแล้วแต่มีตัวเลขอยู่คนละหนึ่งตัว


(เมี่ยวซานติง = ซาน 《三sān》= 3 / หลิวซื่อฟาง = ซื่อ 《四sì》= 4)


 


“แค่คำพูดคงไม่มากพอสำหรับบุญคุณในครั้งนี้ของหมอ” เมี่ยวซานติงพูด “เราติดหนี้หมอครั้งหนึ่ง ถ้าในอนาคตหมอต้องการความช่วยเหลือจากเราก็บอกมาได้เลยนะครับ อย่างน้อยๆ พวกเราก็พอมีความรู้เรื่องฮวงจุ้ยอยู่บ้าง”


 


“ได้ครับ ผมจะจำคำพูดของคุณเอาไว้” หวังเย้ายิ้มและพยักหน้า เขาเอาน้ำให้พวกเขาดื่มกันคนละแก้วและชงชาให้ตัวเองอีกหนึ่งถ้วย “ช่วยเล่าเรื่องสุสานโบราณให้ผมฟังหน่อยสิครับ”


 


เมี่ยวซานติงสูดลมหายใจเข้าลึกและเริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในสุสานให้หวังเย้าฟัง มีครอบครัวฐานะดีในหมู่บ้านนั้นจ้างวานให้เมี่ยวซานติง ไปช่วยดูฮวงจุ้ยสำหรับสร้างหลุมฝังศพให้กับผู้เฒ่าในตระกูลของพวกเขา พวกเขาต้องการจัดการเรื่องนี้ในตอนที่ผู้เฒ่าของตระกูลยังมีชีวิตอยู่ บังเอิญว่าหลิวซื่อฟางอยู่ใกล้ที่นั่นพอดี เขาจึงไปเป็นเพื่อนเมี่ยวซานติง ทำเลสำหรับสร้างสุสานได้ถูกกำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงเลือกวันดีสำหรับการขุดหลุม แล้วนั่นก็ทำให้พวกเขาค้นพบสุสาน ซึ่งอยู่ในสมัยราชวงศ์หมิงและไม่มีการระบุว่าใครคือเจ้าของ


 


“มันแปลกมากที่เราไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นว่า ข้างใต้นั้นมีสุสานตั้งอยู่” เมี่ยวซานติง เขาคือผู้ที่มีความรู้และทุกษะในด้านนี้อยู่แล้ว ดังนั้น เขาก็ควรจะมองออกตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มลงมือขุด เพราะฮวงจุ้ยสำหรับสร้างสุสานนั้นย่อมแตกต่างไปจากที่อื่นอยู่แล้ว


 


“เดี๋ยวนะครับ! แล้วคนที่ขุดสุสานไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


เขาคิดว่า คนที่ทำหน้าที่ขุดหลุมน่าจะมีอาการหนักกว่าเมี่ยวซานติงและน้องชายของเขา


 


“พวกเขาปลอดภัยดีครับ เพราะพวกเขาไม่ได้เข้าไปข้างในสุสานกับพวกผม” เมี่ยวซานติงพูด


 


“ผมขอเป็นคนเล่าแล้วกันนะครับ” หลิวซื่อฟางพูด “ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง ความจริงแล้ว ผมยังมีฐานะอื่นอยู่อีก”


 


“นักปล้นสุสานเหรอครับ?” ดวงตาของหวังเย้าเป็นประกาย นักปล้นสุสานถือเป็นคำเรียกที่สุภาพของเหล่าคนที่เข้าไปโจรกรรมสิ่งของที่อยู่ภายในสุสานโบราณ


 


“เอ่อ ผมไม่ใช่นักปล้นสุสานหรอกครับ แต่ผมเป็นนักโบราณคดีต่างหากล่ะครับ” หลิวซื่อฟางพูด


 


“จริงเหรอ?” หวังเย้าถาม แล้วนักโบราณคดีไปเริ่มทำงานเป็นคนดูฮวงจุ้ยหลมศพกันตั้งแต่เมื่อไหร่?


 


“ผมทำเป็นงานพาร์ทไทม์เท่านั้นเองครับ” หลิวซื่อฟางพูด “ทันทีที่เห็นสภาพด้านในผมก็บอกได้เลยว่า สุสานโบราณนั้นถูกสร้างขึ้นมาในสมัยราชวงศ์หมิง มันดูน่าสนใจมากๆเลยล่ะครับ ครึ่งหนึ่งของประตูสุสานพังลงมา แล้วผมก็เข้าไปดูข้างใน พี่ซานติงเป็นห่วงผมเขาก็เลยตามเข้าไปด้วย แล้วเราก็ไปเจอกับรูปปั้นที่กลางสุสานเข้า”


 


เขามีสีหน้าหวาดกลัวราวกับเขากำลังเห็นผี “มันไม่ใช่รูปปั้นทั่วไปที่มักจะถูกตั้งเอาไว้ข้างในสุสาน แล้วจุดที่รูปปั้นตั้งอยู่ก็ยิ่งหาได้ยากเข้าไปใหญ่ ตัวรูปปั้นดูคล้ายกับปีศาจร้ายที่ขึ้นมาจากขุมนรกยังไงยังงั้นเลยล่ะครับ”


 


“นี่มันน่าเหลือเชื่อมาก! ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในยุคสมัยที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลมากแล้ว” หวังเย้าพูดออกมาด้วยท่าทีประหลาดใจ


 


“แล้วอยู่ๆเราก็รู้สึกได้ว่ามีลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง และมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น” หลิวซื่อฟางพูด “เราเลยรีบพากันออกมาจากสุสาน แล้วขอให้คนมาปิดทางเข้าออกเอาไว้ เราได้แจ้งไปที่ทางหน่วยงานท้องถิ่นถึงการมีอยู่ของสุสาน แล้ววันเดียวกันนั้น พี่ซานติงกับผมก็เริ่มมีอาการป่วย เขาก็เลยพาผมไปที่เขาอู่ไถทันที”


 


นี่ถือเป็นครั้งแรกที่หวังเย้าได้ยินเรื่องผีที่เกิดขึ้นจริงๆ ก่อนหน้านี้ เขาเคยแต่อ่านเจอ และไม่รู้ว่า มันจะเกิดขึ้นในชีวิตจริงด้วย


 


“ผมไม่คิดเลยนะว่า หมอจะเป็นคนที่มีความสามารถมากขนาดนี้” เมี่ยวซานติงพูด


 


“ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับโบกมือปฏิเสธ


 


“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเราคงต้องขอตัวก่อนนะครับ” เมี่ยวซานติงพูด


 


หวังเย้าได้ขจัดพลังหยินจากวิญญาณร้ายออกไปจากร่างกายของพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะกลับไปเป็นปกติได้


 


“ได้ครับ แล้วเจอกันใหม่” หวังเย้าพูด


 


ครู่ต่อมา เมี่ยวซานติงก็ย้อนกลับมาที่คลินิก


 


“มีอะไรอีกรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เอ่อ หมอหวัง พอดีผมถามไปว่า ถ้ามีคนอื่นที่มีอาการแบบเดียวกับพวกผม พวกเขาสามารถมารักษากับหมอได้ไหมครับ?” เมี่ยวซานติงถาม


 


“ได้สิครับ แต่ไม่ใช่ว่าผมจะรักษาให้ทุกคนหรอกนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“แล้วใครบ้างที่หมอไม่รักษาให้ครับ?” เมี่ยวซานติงถาม


 


“คนที่น่ารังเกียจ, ชั่วร้าย, อวดดี, ดื้อด้าน, หรือคนที่กำลังจะตาย แล้วก็คนที่ผมไม่ชอบ” หวังเย้าพูด


 


“ผมเข้าใจแล้วครับ” เมี่ยวซวานติงพูด


 


“คอยเช็คหน้าเพจเวยป๋อบ่อยๆด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด “ผมไม่ได้อยู่ที่คลินิกทุกวัน”


 


“ครับ” เมี่ยวซานติงพูด


 


เขาจดจำคำพูดของหวังเย้าเอาไว้ในใจและจากไป


 


“ทุกอย่างโอเคไหม?” หลิวซื่อฟางถาม


 


“อืม ฉันแค่เป็นห่วงพวกคนในหมู่บ้าน กับนักโบราณคดีที่ไปขุดค้นสุสาน ฉันก็เลยกลับไปถามหมอหวังเผื่อไว้ว่า เขาจะรับรักษาคนที่ป่วยแบบเดียวกับเรารึเปล่าน่ะ” เมี่ยวซานติงพูด


 


“แล้วพี่คิดว่า ทำไมถึงได้มีรูปปั้นปีศาจตั้งอยู่ที่ตรงทางเดินของสุสาน?” หลิวซื่อฟางถาม


 


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีมันอาจจะมีไว้หยุดพวกโจรปล้นสุสานก็ได้” เมี่ยวซานติงพูด


 


รูปปั้นปีศาจตั้งอยู่ที่ตรงกลางทางเดิน ส่วนด้านหลังประตูบานที่สองของสุสานมีรูปปั้นของพระอรหันต์ ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับมารร้าย มันเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก


 


บริเวณหนึ่งในทางตอนใต้ของประเทศ ฝนได้ตกลงมาต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลาสามวัน มีกระถ่อมที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นการชั่วคราวตั้งอยู่ข้างๆสุสาน มุมหนึ่งของสุสานถูกเปิดกว้างเอาไว้ และภายในก็มีคนงานที่กำลังยุ่งอยู่กับการขุดสุสาน


 


“สุสานถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งมีอายุมากกว่า 400 ปี” ชายชราวัยประมาณหกสิบพูด


 


ดูจากรูปแบบของสุสานแล้ว คิดว่าใครที่ถูกฝั่งอยู่ข้างในครับ?” ชายวัยประมาณสามสิบถาม


 


“มันก็พูดยากนะ เราคงต้องรอให้เปิดประตูบานที่สองได้ก่อน” ชายชราพูด


 


ตั้งแต่เริ่มขุดสุสานโบราณแห่งนี้ พวกเขาก็พบเจอกับปัญหาหลากหลายรูปแบบ ดังนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังเปิดประตูบานที่สองไม่ได้ ในวันแรกมีคนงานขุดได้รับบาดเจ็บหนึ่งคน ทำให้คนงานคนอื่นๆเริ่มกังวลและดึงดันที่จะให้พาอาจารย์ดูฮวงจุ้ยมาตรวจสอบที่สุสานแห่งนี้


 


นักโบราณคดีเคยเจอเหตุการณ์ที่คล้ายกันมาก่อน ดังนั้น พวกเขาจึงเข้าใจว่า คนงานเหล่านี้กำลังรู้สึกกังวลและหวาดกลัว เพื่อที่จะทำให้พวกเขาสงบลงได้ นักโบราณคดีจึงจ้างอาจารย์ดูฮวงจุ้ยมาตรวจสอบสุสาน เมื่ออาจารย์ดูฮวงจุ้ยเดินตรวจสอบดูรอบๆสุสานเสร็จแล้ว เขาก็บอกให้พวกเขาหยุดขุดสุสานในทันที เขาบอกว่า หากยังขุดต่อไปก็จะมีคนตาย แล้วจากนั้น เขาก็รีบจากไปในทันที


 


สุดท้าย เรื่องนี้ก็ทำให้คนงานปฏิเสธที่จะทำงานต่อ การหาคนงานขุดสุสานก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว แล้วตอนนี้ เรื่องก็กลายเป็นยากยิ่งขึ้นไปอีก ทางหน่วยงานท้องถิ่นจึงจำเป็นต้องเพิ่มเงินค่าจ้างเป็นสองเท่าตัว เพื่อให้คนงานกลับมาทำงานกันต่อ คนงานจึงอยู่ต่อเพราะเงินที่ล่อตาล่อใจพวกเขา แต่หลายวันมานี้ฝนก็ตกลงมาไม่หยุด จึงทำให้งานของพวกเขาล่าช้ากว่าเดิม


717 วิญญาณร้าย เทพผู้พิทักษ์


 


คนงานขุดแค่เพียงมุมหนึ่งของสุสานเท่านั้น นักโบราณคดีจึงยังไม่รู้ความกว้างของภายในสุสาน และต้องรอจนกว่าประตูบานที่สองจะสามารถเปิดออกได้


 


ชายชราวัยหกสิบผู้เป็นหัวหน้าที่ทำการสำรวจในครั้งนี้ คิดที่จะทำการเปิดประตูโดยการใช้ความระมัดระวัง เพื่อไม่ใช้ส่งที่อยู่ด้านในได้รับความเสียหาย ดังนั้น พวกเขาจึงยังไม่เปิดประตูจนกว่าทุกอย่างจะพร้อม จากการสืบสวนทำให้พวกเขารู้ว่า ยังไม่เคยมีใครบุกเข้าไปด้านในสุสานนี้มาก่อน ทุกสิ่งอย่างที่อยู่ภายในจึงยังไม่เคยมีใครแตะต้อง ซึ่งมันสามารถกลายเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ได้เลย


 


“อากาศแย่จังเลยนะครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับมองดูฝนที่ยังคงตกลงมาไม่หยุด


 


“อืม ฝนบางครั้งก็น่ารำคาญ” ชายชราเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ก่อนจะกลับเข้าไปด้านในสุสาน


 


เขารู้สึกสนใจรูปปั้นที่อยู่ภายในสุสานอย่างมาก โดยเฉพาะรูปปั้นปีศาจร้ายที่ตั้งอยู่ตรงกลางทางเดินสุสาน มันดูผิดแปลกไปจากปกติ และเป็นครั้งแรกที่เขาพบว่า มีรูปปั้นปีศาจร้ายตั้งอยู่ภายในสุสานโบราณแบบนี้ เพราะมันถือเป็นสิ่งอัปมงคลสำหรับคนจีนในสมัยโบราณ เขายังมองไม่ออกถึงการมีอยู่ของมันในสุสาน บางที เจ้าของสุสานอาจจะต้องการให้มันปกป้องสุสานของเขาหรือเธอจากโจรขโมยสุสานก็เป็นได้


 


ชายต้องยอมรับว่า รูปปั้นตัวนี้ดูเหมือนจริงและน่ากลัว ลูกศิษย์ของเขาแต่ละคนต่างก็ต้องตกใจในครั้งแรกที่ได้เห็นมัน


 


ที่กำแพงทั้งสองด้านมีรูปภาพของทหารเรียงรายกันอยู่ตลอดแนว มันดูเหมือนทหารเหล่านั้นกำลังอยู่ในสงคราม มีชายคนหนึ่งกำลังขี่ม้าและถือดาบเล่มใหญ่เป็นผู้นำของพวกเขา เขามีรูปร่างสูงใหญ่และแข็งแกร่ง


 


เมื่อมองลงไปที่ด้านล่างของประตูมีการสลักรูปของเทพผู้พิทักษ์ศาสนาพุทธที่ถือวัชระอยู่ มันไม่ยากที่จะเข้าใจได้ว่า พวกเขาถูกสลักเอาไว้ที่ประตูเพื่อปกป้องวิญญาณที่อยู่ภายในสุสาน ชายชรารู้สึกสงสัยถึงเรื่องราวความเป็นมาที่อยู่เบื้องหลังของรูปปั้นปีศาจและรูปแกะสลักเหล่านี้


 


ในตอนที่เขากำลังคิดเรื่องรูปปั้นอยู่นั้น อยู่เขาก็ได้ยินเสียงคนตะโกนดังขึ้น “ช่วยด้วย! มีคนตาย!”


 


เกิดอะไรขึ้น? เขาขมวดคิ้ว


 


ตั้งแต่ที่เริ่มต้นขุดสุสานแห่งนี้ เขาและคนในทีมได้พบเจอกับอุปสรรคมากมาย คนงานทั้งหมดต่างไม่มั่นใจว่าพวกเขาควรจะขุดต่อหรือว่าจะหยุดดี สิ่งที่เขาพอจะทำได้ก็คือ ทำให้คนงานเหล่านี้วางใจที่จะทำงานต่อไปได้ แต่เขาก็ห้ามไม่ให้ใครจากไปได้เช่นกัน


 


“ผมจะไปดูข้างนอกหน่อยนะครับ” หนึ่งในลูกศิษย์ที่ติดตามเขามาหลายปีได้พูดขึ้นมา


 


ไม่นาน เขาก็กลับเข้ามาพร้อมกับข่าวร้าย สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก


 


“อาจารย์ครับ มีคนงานคนหนึ่งเพิ่งตายไปครับ” ลูกศิษย์ของเขาพูด


 


โอ้ แย่แล้ว! ชายชราคิด


 


ตั้งแต่ที่มีคนงานได้รับบาดเจ็บในวันแรกๆ คนงานหลายคนก็คิดอยากจะออกกันอยู่แล้ว แต่หลังจากที่ทางจังหวัดเพิ่มเงินค่าจ้างและชายชราก็ได้พูดโน้มน้าวให้พวกเขาอยู่ต่อ พวกเขาจึงตกลงใจที่จะขุดสุสานต่อไป แต่ตอนนี้กลับมีคนตายขึ้นมา ชายชราคิดว่า คงไม่มีคนงานคนไหนที่อยากจะทำงานที่นี่ต่ออีกแล้ว และทำให้เหล่านักโบราณคดีเริ่มหวาดกลัว


 


“ที่นี่แปลกมากเลย” คนงานหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นมา


 


“อาจารย์ดูฮวงจุ้ยก็บอกแล้วว่า เราไม่ควรขุดสุสานนี้ต่อ แต่พวกเขาก็ยังดึงดันจะขุดต่อให้ได้” คนงานอีกคนพูด


 


“เขาเป็นลูกชายของลุงจาง อาทิตย์หน้าก็จะแต่งงานแล้ว ไม่รู้ว่าคนที่บ้านของเขาจะทำหน้ากันยังไงถ้ารู้เรื่องนี้ขึ้นมา” คนงานหนุ่มพูด


 


หัวหน้าคนงานขุดได้เข้ามาคุยกับชายชรา เพื่อบอกว่า เขาและคนงานของเขาต้องการหยุดทำงานนี้ พวกเขาเพิ่งจะเริ่มขุดไปได้ไม่กี่วัน แต่ก็มีคนงานได้รับบาดเจ็บสองคนและตายอีกหนึ่ง โชคดีที่ประกันได้จ่ายค่าชดเชยให้พวกเขา แต่มันก็ยังแย่สำหรับหัวหน้าคนงานอยู่ดี เขาไม่ได้เงินจากงานนี้ แต่ก็ยังต้องจ่ายเงินค่าจ้างและค่าเดินทางให้กับคนงานทั้งหมดอยู่ดี


 


เมื่อไม่มีคนขุด งานก็ไม่สามารถไปต่อได้


 


“อาจารย์ครับ ผมจะติดต่อกับทีมขุดอีกทีมนะครับ” หนึ่งในลูกศิษย์ของชายชราพูด


 


“อืม” ชายชราพูด


 


ที่ด้านนอกยังคงมีฝนตกลงมาอย่างหนัก ท้องฟ้ามืดครึ้ม เหล่านักโบราณคดีต่างกำลังพักผ่อนอยู่ภายในกระท่อมที่สร้างขึ้นมาชั่วคราว อยู่ๆพวกเขาก็ได้ยินเสียงน้ำฝนหยดลงมาด้านใน


 


“ข้างในนี้มีรูรั่วอยู่” นักโบราณคดีคนหนึ่งพูด


 


“หารูรั่ว อาจารย์ไม่อยากให้สุสานได้รับความเสียหายไปด้วย” ชายชราพูด


 


ปัง! เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นักโบราณคดีคนหนึ่งก็ล้มตัวลงไปกองอยู่ที่พื้น


 


“คุณเหอ เป็นอะไรมากไหม?” นักโบราณคดีคนอื่นๆต่างพากันเข้าไปดูชายที่ล้มลงนอนกองอยู่ที่พื้น ใบหน้าของเขากลายเป็นสีเขียว และมีอาการหายใจติดขัด


 


“รีบพาเขาไปโรงพยาบาลเร็ว” ชายชราพูด


 


ครู่ต่อมา รถพยาบาลก็เดินทางมาถึง นักโบราณคดีหลายคนได้พากันไปส่งคนป่วยที่โรงพยาบาล ที่สุสานจึงเหลือนักโบราณคดีอยู่แค่สามคนเท่านั้น


 


“เอ่อ เรากลับกันดีไหม?” ชายชราพูด


 


เขาติดต่อไปหาทางหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อขอเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาเฝ้าที่สุสาน


 


ในคืนนั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้มาเฝ้าสุสานอยู่ภายในกระท่อม


 


“แม่ง! ทำไมพวกเขาต้องให้เรามาเฝ้าสุสานตอนกลางดึกแบบนี้ด้วย?” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งบ่น


 


“แล้วเราจะไปทำอะไรได้ล่ะ? ถ้าเราไม่ทำ เดี๋ยวพวกเขาก็ต้องส่งคนอื่นมาทำอยู่ดี” เพื่อนความงานของเขาพูด


 


“นายว่าที่นี่จะมีผีสิงอยู่ไหม?” ชายคนแรกถาม


 


“อย่าหลอกตัวเองให้กลัวสิ” เพื่อนของเขาพูด


 


วู้ววว! วู้ววว!


 


“เสียงอะไรน่ะ?” ชายคนแรกถาม


 


“ก็แค่เสียงลมพัด” เพื่อนของเขาพูด “ฉันจะออกไปสูบบุหรี่สักหน่อยนะ”


 


เขาหยิบบุหรี่ออกมาและจุดไฟแช็ค ลมพัดมาวูบหนึ่ง ทำให้ไฟที่กำลังจะจุดบุหรี่ดับลง เขาจึงจุดไฟขึ้นมาใหม่ แต่ลมก็พัดมาจนไฟดับอีกครั้ง มันเกิดขึ้นแบบนี้ซ้ำอยู่หลายครั้ง


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูด


 


ใบหน้าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนเปลี่ยนสี การเฝ้ายามที่สุสานในเวลากลางคืนก็เป็นงานที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว


 


“นี่ ดูตรงนั้นสิ รูปปั้นนั่นกำลังขยับอยู่ใช่ไหม?” เพื่อนของเขาถาม


 


“อะไรขยับนะ?” ชายอีกคนถาม “อย่ามาพูดให้ฉันกลัวสิ!”


 


ทั้งสองหันหน้าไปทางรูปปั้นปีศาจ มันแยกเขี้ยวอย่างโกรธเกรี้ยวและมีใบหน้าที่น่าหวาดกลัว ดวงตาของมันโตพอๆกับระฆังทอง และราวกับมันกำลังมองมาที่พวกเขาสองคน


 


วู้ววว! ลมพัดมาวูบหนึ่ง แสงไฟในกระท่อมดับลง ทุกอย่างโดยรอบมืดสนิท


 


แกร๊ก! พวกเขาสองคนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง


 


“เชี่ยอะไรเนี่ย!” หนึ่งในนั้นสบถออกมา


 


“ผี!” เพื่อนของเขากรีดร้อง


 


ทั้งสองวิ่งออกไปจากกระท่อมท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกลงมาไม่หยุด พวกเขารีบวิ่งลงไปจากเขาด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะวิ่งได้


 


กระท่อมยังคงความเงียบสงบอยู่บนเขา ด้านในมืดสนิท


 


เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนรีบวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยไม่ได้สนใจว่าใต้เท้าของพวกเขาเป็นอะไร


 


“มีหมู่บ้านอยู่ตรงนั้น” หนึ่งในสองคนพูดขึ้นมา


 


มีทั้งฝนที่ตกลงมาไม่หยุดและลมพัดแรง พวกเขาไม่สามารถมองเห็นถนนได้อย่างชัดเจน


 


“ไม่!” อยู่ๆเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนก็หายตัวไป


 


ฝนที่ด้านนอกยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง


 


ในขณะเดียวกัน นักโบราณคดีที่ล้มหมดสติไปก็ได้เข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองที่อยู่ไม่ไกล


 


“หมอ เขาเป็นยังไงบ้างครับ?” เพื่อนร่วมงานของเขาถาม


 


“ไม่ดีเท่าไหร่ครับ” แพทย์พูด


 


นักโบราณคดีคนนี้หมดสติไปโดยไม่มีสาเหตุ อัตราการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ แสดงให้เห็นสัญญาณของการทำงานของหัวใจที่ล้มเหลว แล้วความดันของเขาก็ยังสูงอีกด้วย


 


“เขามีประวัติป่วยเป็นโรคหัวใจกับโรคความดันโลหิตสูงมาก่อนไหมครับ?” แพทย์ถาม


 


“ไม่ครับ เราทุกคนเพิ่งจะเข้ารับการตรวจสุขภาพไปเมื่อเดือนที่แล้ว นอกจากนิ่วในไตแล้ว เขาก็ปกติดีทุกอย่างครับ” หนึ่งในเพื่อนของเขาพูด


 


“ถ้าอย่างนั้นก็แปลกมาก เพราะอาการของเขาแสดงออกมาว่า เขามีอาการของโรคหัวใจ” แพทย์พูด “แล้วเขาทำงานอะไรเหรอครับ?”


 


“พวกเราเป็นนักโบราณคดีครับ” เพื่อนร่วมงานของเขาพูด


 


“นักโบราณคดีเหรอ?” แพทย์พูด


 


“ครับ ตอนนี้ พวกเรากำลังทำงานอยู่ที่สุสานโบราณแห่งหนึ่งอยู่” นักโบราณคดีคนหนึ่งพูด


 


“สุสาน?” แพทย์พูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ เขาเผลอคิดขึ้นมาว่า หรือเขาจะเจอผีเข้า?


 


“ผมขอแนะนำให้เขารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไปก่อนนะครับ” แพทย์พูด


 


เพื่อนร่วมงานของคนไข้ได้จัดการเรื่องเอกสารการเข้ารักษาในโรงพยาบาลให้เขาจนเสร็จเรียบร้อย


 


“นายคิดว่า เกิดอะไรขึ้นกับเขา?” นักโบราณคดีหนุ่มคนหนึ่งถามขึ้นมา “ตอนแรกเขาก็ยังดีดีอยู่เลย ทั้งพูกคุยหัวเราะเหมือนไม่ได้เป็นอะไรสักอย่าง แล้วทำไมอยู่ๆเขาถึงได้หมดสติไปหน้าตาเฉยแบบนี้?”


 


“นายคิดว่า เขาจะถูกผีทำร้ายเข้ารึเปล่า?” นักโบราณคดีที่สวมแว่นตาถาม


 


“เลิกพูดไร้สาระกันได้แล้ว” นักโบราณคดีที่เป็นชายวัยกลางคนพูด


 


“มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะ” นักโบราณคดีหนุ่มพูด “ลองคิดดูสิ ตั้งแต่ที่เริ่มขุดสุสานมา เราก็เจอปัญหาตั้งหลายอย่าง ทั้งคนงานได้รับบาดเจ็บสองคน แล้วเมื่อตอนบ่ายก็ยังตายไปคนหนึ่งด้วย ตอนนี้ คุณเหอยังมาป่วยเข้าโรงพยาบาลอีก แล้วนายจำที่อาจารย์ดูฮวงจุ้ยบอกกับเราว่า สุสานนั้นมีปัญหาได้ไหมล่ะ?”


 


“อย่าพูดทำให้คนอื่นกลัวไปด้วยสิ” ชายวันกลางคนพูด


 


“หืม อาจารย์มา” ชายสวมแว่นพูด


 


“อาจารย์มาทำไมเหรอครับ?” ชายวัยกลางคนถาม


 


“คุณเหอเป็นยังไงบ้าง?” ชายชราถาม


 


“หมอตรวจดูอาการของเขาแล้วครับ ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ชายวัยกลางคนพูด


 


ชายชราเข้าไปคุยกับแพทย์ที่ดูแลอาการของคุณเหออยู่ หลังจากที่ได้รู้ว่า ชายชราเป็นศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียง ทั้งยังมาจากหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศจีนอีกด้วย แพทย์จึงตอบคำถามทั้งหมดของชายชราแบบลงรายละเอียดมากกว่าปกติ


 


“ให้เขารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลดูสักคืนก่อน ถ้าอาการของเขายังไม่ดีขึ้น เราค่อนส่งตัวเขาไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอื่น” หลังเดินออกมาจากห้องทำงานของแพทย์แล้ว ชายชราก็พูดกับนักโบราณคดีที่เหลือ


 


“ครับ” ชายวัยกลางคนพูด “อาจารย์ ให้ผมขับรถให้ไหมครับ?”


 


เขาขับรถพาชายชรากลับไปพักที่โรงแรม


 


ค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปโดยไร้เรื่องราวใดๆอีก ฝนตกเบาลงในเช้าของวันใหม่


 


เมื่อกลุ่มนักโบราณคดีกลับไปที่เขาซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสาน พวกเขาก็พบว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนได้หายตัวไป ทั้งที่ยานพาหนะของพวกเขาก็ยังจอดอยู่ที่เดิม


 


“พวกเขาไปไหนกัน?” ชายชราถาม


 


ในตอนแรก พวกเขาคิดว่า เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนอาจจะออกไปเดินสำรวจรอบๆและอีกไม่นานก็คงจะกลับมา แต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน ก็ยังไม่มีใครกลับมา หลังจากนักโบราณคดีคนหนึ่งเจอไฟแช็คหล่นอยู่ในพุ่มหญ้า พวกเขาก็เริ่มเป็นกังวลกันขึ้นมา ชายชราจึงรียสั่งให้ทุกคนในทีมแยกย้ายกันตามหาคนทั้งสอง


 


ในที่สุด พวกเขาก็เจอคนทั้งสองอยู่ภายในหลุ่มขนาดใหญ่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ภายในหลุ่มเต็มไปด้วยน้ำฝนที่ตกลงมาหลายวัน ร่างของทั้งสองลอยอยู่ด้านในนั้น คนอื่นๆจึงช่วยกันดึงร่างของพวกเขาขึ้นมาจากน้ำ ทั้งสองไม่หายใจแล้ว ตอนนี้ มีคนตายเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)