Elixir Supplier 703-708

 703 ขอโทษที่ทำให้ต้องผิดหวัง


 


“มีอีกเรื่องหนึ่ง ผมเลือกทำเลที่จะเอาไว้สร้างโรงงานได้แล้วนะ” หวังเย้าพูด


 


“จริงเหรอคะ? แล้วเรื่องเอกสารเรียบร้อยแล้วเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“กำลังดำเนินการอยู่ แต่อีกไม่นานก็คงจะเสร็จแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด


 


พวกเขาเริ่มรอบหมู่บ้าน ก่อนที่จะพากันกลับไปที่บ้านที่ซูเสี่ยวซวีใช้พักอยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งชูเหลียนได้จัดการทำความสะอาดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว


 


“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” ชูเหลียนพูด


 


“สวัสดีครับ น้าเหลียน” หวังเย้าพูด


 


เขาอยู่คุยกับซูเสี่ยวซวีเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน


 


“คุณหนูอยากจะพักเลยไหมคะ?” หลังจากที่หวังเย้าไปแล้ว ชูเหลียนก็เอ่ยถามออกมา


 


“ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


ในระหว่างสองวันที่ผ่านมา ซูเสี่ยวซวีไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับหวังเย้านานเท่าที่เธอต้องการ เธอและชูเหลียนใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนท้องถนน และหวังเย้าก็ไม่ได้นอนค้างคืนที่บ้านพักของเธอ


 


ภายในหมู่บ้านเงียบสงัด คนที่เคยชินกับเสียงอึกทึกในยามค่ำคืนไม่สามารถนอนหลับลงได้ง่านดายเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ


 


ความคิดของซูเสี่ยวซวีล่องลอยไปไกลในขณะที่เธอกำลังนอนอยู่บนเตียง เธอผล่อยหลับไปในตอนห้าทุ่ม แล้วตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ในวันถัดมา เธอสวมเสื้อผ้าและมุ่งหน้าไปที่เนินเขาหนานชาน


 


หวังเย้ากำลังรอเธออยู่ที่ตีนเขาของเนินเขาหนานชาน พวกเขาพากันเดินขึ้นไปด้านบน


 


“ที่นี่อากาศดีจังเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดในขณะที่เธอยืนอยู่ในแปลงสมุนไพร


 


“เธอจะมาที่นี่บ่อยๆก็ได้นะ” หวังเย้าพูด


 


“เวลาดูแลสมุนไพรพวกนี้ มีเรื่องที่ต้องระวังอะไรบ้างไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีชี้ไปที่ต้นสมุนไรและถามขึ้นมา


 


“ก็ไม่มีอะไรที่ต้องระวังเป็นพิเศษหรอก ผมแค่พยายามจะไม่ไปทำอะไรกับพวกมันมากก็แค่นั้น” หวังเย้าพูด


 


“ทำไมล่ะคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ผมอยากให้พวกมันได้เติบโตตามธรรมชาติ แล้วสมุนไพรบางตัวก็มีพิษอยู่ด้วย” หวังเย้าพูด


 


“หมอสอนกังฟูฉันอีกได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ได้สิ” หวังเย้าพูด “งั้นเราขึ้นไปบนยอดเขากันเถอะ”


 


ปกติหวังเย้ามักจะขึ้นไปฝึกฝนที่ด้านบนยอดเขา ซึ่งเป็นพื้นที่ราบประมาณ 65 ตารางเมตร เขาได้นำต้นไม้มาปลูกเอาไว้รอบๆด้วย แม้จะช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน เมื่ออยู่ภายใต้ร่มไม้ก็จะเย็นลงได้


 


“มานี่สิ” หวังเย้าพูด


 


หวังเย้าสอนกังฟูขั้นพื้นฐานให้กับซูเสี่ยวซวี รวมไปถึงท่าทางการเคลื่อไหวและการใช้แรงด้วย  เขาไม่ได้เอาเรื่องการฝึกการหายใจมารวมด้วย เพราะแค่การเรียนกังฟูก็ต้องใช้เวลาพอสมควรแล้ว การเรียนควรจะเป็นไปที่ละขั้นจึงจะดี


 


“เธอเคยเรียนกังฟูกับใครมาก่อนรึเปล่า?” หวังเย้าถาม


 


“ค่ะ ฉันเคยเรียนกับน้าเหลียนมาก่อน” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


เธอเป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาด เพียงครู่เดียวเธอก็สามารถทำความเข้าใจสิ่งที่หวังเย้าสอนไปได้ทั้งหมด หวังเย้าสอนการต่อสู้ให้กับเธอ แล้วเธอก็จับท่าทางที่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็ว มันทำให้หวังเย้าต้องตะลึงกับพรสวรรค์ของซูเสี่ยวซวีมาก


 


“ประกาศถึงลูกบ้านทุกคน โปรดฟังทางนี้!”


 


เวลาประมาณเก้าโมงเช้า ได้มีการประกาศเสียงตามสายที่เงียบหายไปนานดังขึ้นในหมู่บ้าน


 


“จะมีทางหลวงตัดผ่านหมู่บ้านของเรา ทางหน่วยงานของรัฐได้ทำการอนุมัติเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ในอีกสองสามวันข้างหน้า ขอให้ลูกบ้านทุกคนมาตรวจสอบดูว่า มีบ้านของใครบ้างที่จะต้องถูกตัดผ่าน ทางหน่วยงานรัฐจะทำหน้าที่จ่ายค่าชดเชยให้ลูกบ้านแต่ละคน”


 


“ทางหลวงจะตัดผ่านหมู่บ้านของหมอเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยความสงสัย


 


“ใช่ ตอนนี้กำลังมีการสร้างทางด่วน แต่จากแผนเดิม มันไม่มีการตัดผ่านมาทางหมู่บ้านเลย แต่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆถึงได้เปลี่ยนแผนกะทันหันแบบนี้ ตอนนี้ทางหลวงจะตัดผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน รวมถึงที่ตรงนี้ด้วย” หวังเย้าชี้เนินเขาหนานชานที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา


 


เขาไม่คิดที่จะบอกเรื่องนี้กับซูเสี่ยวซวีเลย แต่ในเมื่อเธออยู่ที่นี่และบังเอิญได้ยินประกาศเข้า เขาก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง


 


“มันจะตัดผ่านเนินเขาหนานชานด้วยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยความประหลาดใจ เธอรู้จักหวังเย้าดี ดังนั้น เธอจึงรู้ว่า เนินเขาหนานชานสำคัญสำหรับเขามากแค่ไหน “แล้วคุณจะทำยังไงกับเรื่องนี้คะ?”


 


“ผมไม่มีทางยอมให้ถนนตัดผ่านมาทางนี้แน่” หวังเย้าพูด


 


“ดีค่ะ” ซูเสี่ยวซวพูด


 


เธอไม่ได้พูดอะไรมากมาย และมักจะยืนอยู่ข้างหวังเย้าเสมอ เธอนึกถึงคนที่อยู่ๆก็เปลี่ยนแผนการสร้างถนนและคนที่มีความสามารถพอที่จะทำเรื่องนี้ได้ แล้วเธอก็รู้ด้วยว่า ใครคือคนที่มีตำแหน่งหน้าที่อยู่ในจังหวัดฉี สิ่งที่เธอกังวลได้กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาแล้ว


 


เธอและหวังเย้าไม่ได้พูดถึงเรื่องการสร้างถนนหลวงอีก ซูเสี่ยวซวีได้ใช้เวลาทั้งวันอยู่กับหวังเย้าและครอบครัวของเขา


 


หวังเย้าไม่ได้ไปที่ศูนย์ประชุมหมู่บ้านเพื่อยื่นเรื่องของค่าชดเชย แต่กลับเป็นหวังเจียนหลี่ที่มาหาเขาที่บ้านในตอนกลางคืนเพื่อพูดเรื่องนี้แทน


 


ตามกฎเกณฑ์ของทางรัฐ ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างทางหลวงจะได้รับค่าชดเชยคนละ 45,000 หยวนต่อที่ดินหนึ่งเอเคอร์ ในเมื่อทางหลวงจะตัดผ่านพื้นที่ส่วนใหญ่ของเนินเขาหนานชาน หวังเย้าก็จะได้รับค่าชดเชยเป็นเงินจำนวนมากตามไปด้วย แต่หวังเย้ากลับไม่พอใจ เมื่อได้รับการบอกกล่าวว่าเขาจะได้รับค่าชดเชยจำนวนเท่าไหร่


(1เอเคอร์ = 2.471 ไร่)


 


“เสี่ยวเย้า ลุงรู้ว่าเนินเขาหนานชานมันสำคัญกับเธอมาก แต่ฟังลุงนะ เธอไม่สามารถมีอำนาจอยู่เหนือรัฐได้” หวังเจียนหลี่พูด


 


ถึงเขาจะรู้ว่า หวังเย้าพอมีเพื่อนที่มีอำนาจอยู่หลายคน แต่นี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสามารถขอความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้นได้ นอกจากนี้ คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องที่ทางรัฐจะเข้ามารื้อถอนสิ่งก่อสร้างหรือเข้ามาครอบครองบ้านเรือนที่สร้างมาอย่างยาวนานของพวกเขาเลย เพราะทางรัฐก็จ่ายเงินอย่างสมน้ำสมเนื้อกลับคืนให้พวกเขาเช่นเดียวกัน การทำไร่ทำนาด้วยที่นาไม่กี่เอเคอร์สามารถสร้างกำไรให้พวกเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


“ผมรู้ครับ ขอบคุณนะครับลุงเจียนหลี่” หวังเย้าพูด


 


“ไม่เป็นไร” หวังเจียนหลี่พูด


 


หลังจากหวังเจียนหลี่จากไปแล้ว หวังเย้าก็ขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน มันมีอากาศที่ดีและเย็นฉ่ำ เขานั่งอยู่ในบริเวณแปลงสมุนไพรและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


“ซานเซียน มีคนอยากจะเอาเนินเขาหนานชานไปจากพวกเราล่ะ” หวังเย้าพูด


 


โฮ่ง! อยู่ๆซานเซียนก็ผลุนผลันลุกขึ้นยืน


 


“ฉันรู้ว่านายไม่ยอม ฉันก็เหมือนกัน” หวังเย้าพูด “เราต้องหาทางหยุดเรื่องนี้ให้ได้”


 


วันต่อมา หวังเย้าขับรถพาซูเสี่ยวซวีไปส่งที่สนามบิน และบินไปพร้อมกับเธอด้วย


 


“หมอจะไปปักกิ่งเพราะเรื่องทางหลวงใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ใช่ ผมจะลองดูว่าจะหยุดเรื่องนี้ได้ไหม” หวังเย้าพูด


 


“หมอจะไปคุยกับใครให้ช่วยเรื่องนี้เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ผมว่าจะลองไปคุยกับตระกูลหวังดูก่อน แล้วผมก็ไม่อยากจะรบกวนเธอด้วย” หวังเย้าพูดออกมาตามตรง


 


“ไม่เห็นจะรบกวนตรงไหนเลย ฉันยินดีจัดการให้เสมอค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตบไปที่หน้าอกของเธอ


 


หวังเย้าไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ในบางครั้ง เขาก็รู้สึกว่า ตัวเองนั้นไร้ประโยชน์ เขาควรจะเป็นคนที่ช่วยซูเสี่ยวซวีแก้ไขปัญหา ไม่ใช่กลับกันแบบนี้


 


“ขอบคุณนะ แต่ผมอยากจะลองคุยกับคุณหวูดูก่อนน่ะ” หวังเย้าพูด


 


เขาต้องการจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเข้าเอง และเขาก็จำเป็นต้องสร้างเส้นสายของตัวเองขึ้นมาด้วย


 


“ได้ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด ถึงแม้ว่าเรื่องนี้มันจะยากสำหรับเธอก็ตามที


 


หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาถึงปักกิ่งแล้ว หวังเย้าก็ไปเยี่ยมบ้านของซูเสี่ยวซวี โดยที่ซูเสี่ยวซวีไม่ได้พูดเรื่องการสร้างทางหลวงให้แม่ของเธอฟังเลย


 


ไม่นานหลังจากนั้น หวังเย้าก็เดินไปทางเพื่อไปพับกับหวูถงชิ่ง


 


“ขอโทษด้วยค่ะ หมอหวัง คุณหวูเข้าไปที่จังหวัดที่ท่านดูแลอยู่ ท่านคงจะกลับมาถึงพรุ่งนี้น่ะค่ะ” กู้หยวนหยวนพูด


 


“ไม่เป็นไร แล้วผมจะรอ” หวังเย้าพูด


 


ภายในบ้านของซูเสี่ยวซวี ซงรุ่ยปิงเอายถามลูกสาวของเธอ “เสี่ยวซวี ดูเหมือนว่า คราวนี้หวังเย้าจะไม่ได้ตั้งใจมาเยี่ยมแม่โดยตรงสินะจ๊ะ”


 


“เปล่าหรอกค่ะ พอดีเขามีธุระต้องมาจัดการที่ปักกิ่ง แต่เขาอยากจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองน่ะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“เขาจะจัดการเองได้เหรอ? แล้วมันจะมีปัญหามากไหมจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม


 


“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ลูกพอจะบอกแม่ได้ไหมจ๊ะ ว่าเขามีปัญหาเรื่องอะไร?” ซงรุ่ยปิงถาม


 


“ขอโทษนะคะคุณแม่ แต่หนูรับปากเขาเอาไว้แล้วว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับคุณพ่อคุณแม่” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“จริงเหรอจ๊ะ? นี่ขนาดลูกยังไม่ได้แต่งงานกับเขาเลยนะจ๊ะเนี่ย” ซงรุ่ยปิงพูด


 


“คุณแม่!” ใบหน้าของซูเสี่ยวซวีแดงก่ำ


 


“ก็ได้จ๊ะ แม่ไม่บังคับลูกก็ได้ แต่ถ้าอยากให้ช่วยอะไรก็บอกนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด


 


“หนูรู้ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีคิดเอาไว้แล้วว่า ถ้าหากหวังเย้าไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้ เธอก็จะช่วยเขา และเธอก็มีแผนอยู่ในใจแล้วเรียบร้อย


 


ในตอนเย็น หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีออกไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนด้วยกัน หลังจากนั้น พวกเขาก็พากันออกไปเดินเล่น


 


มันเป็นค่ำคืนที่วุ่นวายในปักกิ่ง และยังมากกว่าในเวลากลางวันเสียด้วยซ้ำ ปักกิ่งเป็นเมืองที่ไม่มีการหลับใหล รถราคันผ่านให้เห็นอยู่ทุกที่ ร้านค้าและร้านอาหารยังคงเปิดต้อนรับลูกค้าอยู่ตลอด แต่หวังเย้ากลับชอบหมู่บ้านของเขามากกว่า เขาไม่สามารถมองหาความสงบจากที่นี่ได้เลย และเขาคิดว่า ตัวเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสถานที่นี้


 


เขายืนอยู่ที่หน้าต่าง มองลงไปยังรถที่ขับอยู่ตามท้องถนนและแสงไฟจากที่ไกลๆ เมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี มันเก่าแก่และทันสมัยในเวลาเดียวกัน แต่ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่นี้เลย ปักกิ่งคือเมืองที่แบกรับภาระมากมายเอาไว้


 


บ่ายของวันถัดมา หวูถงชิ่งก็กลับมา หวังเย้าเข้าพบเขาในบ้านที่ไร้เสียงรบกวนหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในทรัพสินของตระกูลหวู


 


“ดูเหมือนว่าหมอจะมีเรื่องด้วยคุยกับผมสินะ” หวูถงชิ่งพูด “เรื่องอะไรเหรอ?”


 


“ผมอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณครับ” หวังเย้าพูด


 


“บอกมาได้เลยว่าผมพอจะช่วยอะไรได้บ้าง” หวูถงชิ่งพูด


 


เขาแปลกใจมากที่หวังเย้ามาขอเข้าพบเขา และประหลาดยิ่งกว่าเมื่อได้รู้ว่า หวังเย้าต้องการจะมาขอความช่วยเหลือจากเขา แต่เขาก็รู้สึกยินดีด้วยเช่นกัน มันหมายความได้ว่า หวังเย้ากำลังเข้าใกล้เขามากขึ้นอีกนิด และเขาจะไม่ใช่แค่ลูกค้าอีกแล้ว


 


หวังเย้าบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องของการสร้างทางหลวง


 


“เรื่องนี้น่ะเหรอ?” หวูถงชิ่งแปลกใจ


 


“ใช่ครับ คุณพอจะช่วยผมได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


การหยุดไม่ให้มีการก่อสร้างทางหลวงตัดผ่านไปทางเนินเขาหนานชานของหวังเย้า ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหวูถงชิ่งเลย มันง่ายเกินกว่าที่หวังเย้าคาดไว้ซะด้วยซ้ำ หวูถงชิ่งไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแผนทั้งหมด เขาแค่เปลี่ยนเพียงจุดเดียวเท่านั้น แต่เขาก็รู้ดีว่า ใครคือคนที่ดูแลพื้นที่นั้นอยู่ และนึกขึ้นได้ทันทีว่าเรื่องมันเป็นมายังไง


 


“ไว้พรุ่งนี้ ผมจะบอกกับหมอแล้วกันนะ” หวูถงชิ่งพูด


 


“ได้ครับ ขอบคุณมาก” หวังเย้าพูด


 


“ด้วยความยินดี” หวูถงชิ่งพูด


 


ในคืนนั้น หวูถงชิ่งคิดหาเหตุผลที่จะใช้ในการปรับเปลี่ยนแผนการสร้างถนน โดยการใช้เส้นสายที่เขามีอยู่


 


“อืม ไม่แปลกใจเลยจริงๆ!” เขาพึมพำออกมา


 


ฉันควรจะเข้าไปยุ่งดีไหมนะ? หวูถงชิ่งคิด เขารู้ว่า หากเขาไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย ตระกูลของซูเสี่ยวซวีก็สามารถจัดการเรื่องนี้ให้หวังเย้าได้อย่างง่ายดาย


 


ฉันควรจะช่วยเขา!


 


ในที่สุด หวูถงชิ่งก็ตัดสินใจที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยหวังเย้า ซึ่งก็เหมือนกับการสร้างความดีความชอบกับหวังเย้าไปในตัวด้วย


704 นุ่มนิ่มและเย็นฉ่ำ


 


ส่วนเรื่องที่จะเข้าไปแทรกยังไงนั้น คงต้องพิจารณาดูอย่างระมัดระวังที่สุด


 


หวังเย้าอยู่อีกแค่วันเดียวเท่านั้น เขาไปที่บ้านตระกูลหวูและให้การรักษาชายชราหวูที่ร่างกายทรุดโทรมราวกับท่อนไม้ที่ตายแล้วอย่างระมัดระวัง การที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ถือว่าเขาโชคดีมากแล้ว


 


ที่สนามบิน…


 


“อยู่ต่ออีกสักสองสามวันไม่ได้เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ถ้ามีเวลา ผมจะมาหานะ” หวังเย้ายิ้ม


 


“ก็ได้ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีจุ๊บไปที่แก้มของเขาเบาๆ


 


มันทั้งนุ่มนิ่มและเย็นฉ่ำ


 


อยู่ๆหวังเย้าก็เกิดความรู้สึกพิเศษบางอย่างขึ้น มันราวกับถูกไฟฟ้าช๊อตเข้าอย่างจัง


 


อ้า!?


 


ชูเหลียนที่ยืนอยู่ไม่ได้เห็นภาพนี่เข้า


 


คุณหนูคนนี้…


 


หวังเย้ากอดซูเสี่ยวซวีเอาไว้อยู่นาน


 


ครืน! เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


ใต้ก้อนเมฆ หญิงสาวหน้าตางดงามกำลังยืนมองเครื่องบินอยู่


 


“เราไปกันเลยไหมคะ?” ชูเหลียนถาม


 


“อีกสักพักนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


ท้องฟ้าของปักกิ่งดูเหมือนอยู่สูงมาก


 


“น้าเหลียนคะ?”


 


“คะ?”


 


“บางคนก็น่าโมโหจังเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


 


ชูเหลียนดูเหมือนจะอึ้งไปครู่หนึ่ง เธอไม่เข้าใจว่าอยู่ๆทำไมซูเสี่ยวซีถึงได้พูดออกมาแบบนี้ ถึงน้ำเสียงที่เธอใช้จะเบาราวกับปุยนุ่น แต่เธอแน่ใจว่า ซูเสี่ยวซวีกำลังโกรธมาก แต่ด้วยมารยาทที่ได้รับการสั่งสอนมา ทำให้เธอไม่ได้แสดงมันออกมาทางสีหน้า


 


ถึงเธอจะโกรธ แต่สีหน้าของเธอกลับยังดูสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


“เรื่องคุณชายกั๋วน่ะเหรอคะ?”


 


“นอกจากเขาแล้ว ยังจะมีใครที่น่ารังเกลียดแบบนี้อีกล่ะคะ?”


 


ในช่วงที่เธอไปอยู่ที่หมู่บ้านหวัง และได้รับรู้ถึงเรื่องการก่อสร้างถนน ซูเสี่ยวซวีก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของใคร


 


หลังกลับมาถึงที่บ้าน เธอก็สั่งให้คนไปสืบหาสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อดูจากการที่อยู่ๆก็เปลี่ยนแผน และเลือกที่จะตัดผ่านเข้าหมู่บ้านและเนินเขาหนานชานแล้ว นี่ถือเป็นการพุ่งเป้าอย่างเห็นได้ชัด ใครที่คิดสักนิดก็พอจะคาดเดาเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย


 


หลังชูเหลียนกลับมาถึงที่บ้าน เธอก็บอกเรื่องทั้งหมดกับซงรุ่ยปิง


 


“สร้างถนนตัดผ่านเขาเหรอ?”


 


“ค่ะ”


 


“เป็นความคิดของกั๋วเจิ้งเหอเหรอ?”


 


“ถ้าดูจากข้อมูลที่สืบมาได้ มันมีความเป็นไปได้สูงมากเลยค่ะ” คนเหล่านี้รู้ข้อมูลมากมาย พวกเขาสามารถสืบค้นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จากมือถือ แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลแค่ไหนก็ตาม


 


“อืม เขาดูเหมือนจะเป็นเด็กดี แต่ตอนนี้ ฉันชักจะผิดหวังในตัวเขาซะแล้วสิ” ซงรุ่ยปิงพูด “หวังเย้าไปขอความช่วยเหลือจากใครบางคนใช่ไหม?”


 


“ใช่ค่ะ เป็นตระกูลหวู”


 


“ถ้าเป็นเรื่องนี้ ตระกูลหวูสามารถจัดการได้อยู่แล้ว แต่มันอาจจะซับซ้อนสำหรับพวกเขาสักหน่อย” ซงรุ่ยปิงพูด


 


ถ้าให้ตระกูลของเธอจัดการ เรื่องก็จะง่ายกว่านี้มาก


 


“ใช่ค่ะ”


 


ลูกสาวของเธอหลงหวังเย้าหัวปักหัวปำ จนไม่สามารถถอนตัวออกมาได้ เธอไม่ได้เผื่อใจเรื่องการเลิกราเอาไว้เลย และยกย่องหวังเย้าอยู่เสมอ


 


“คอยตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดด้วยล่ะ”


 


“ค่ะ”


 


หลังชูเหลียนออกไปแล้ว ซงรุ่ยปิงก็นั่งอยู่ภายในห้องทำงานเงียบๆคนเดียว ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่


 


หวังเย้ามาถึงห่ายชิวในช่วงบ่าย เขาหารถเพื่อเดินทางกลับไปที่บ้าน เมื่อไปถึงที่บ้าน เขาก็พูดคุยกับพ่อแม่ของเขาเล็กน้อย ก่อนที่จะขับรถออกไปจากหมู่บ้าน เขาไปยังไซต์งานที่กำลังทำการก่อสร้างทางหลวง


 


มันเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว แต่พวกเขากลับยังไม่เลิกงาน


 


“สวัสดีครับ ยังทำงานกันอยู่เหรอ?” หวังเย้าลงมาจากรถ เขาหยิบบุหรี่ออกมาและส่งมันให้กับคนงานคนหนึ่ง


 


“ใช่ เราต้องทำงานล่วงเวลากันทุกวันเลยล่ะ” คนงานตอบ


 


“ผมได้ยินมาว่า เขาเปลี่ยนเส้นทางที่จะสร้างถนนด้วยนี่” หวังเย้าพูด


 


“ใช่ มันควรจะเป็นถนนตรงอย่างเดียว แต่ตอนนี้กลับเพิ่มทางโค้งเข้าไป บางทีคนพวกนั้นอาจจะอยากได้เงินใช้เพิ่มล่ะมั่ง!” คนงานสูบบุหรี่และพูด “แล้วก็เป็นเพราะไอ้เรื่องเปลี่ยนเส้นทางนี่แหละ เลยทำให้ระยะเวลาการก่อสร้างสั้นลงไปด้วย แผนเดิมก็ดีอยู่แล้ว แต่อยู่ๆพวกเรากลับต้องมาทำงานเพิ่มซะได้!”


 


“แล้วอีกนานไหมครับ กว่าจะสร้างไปจนถึงเมืองซงป่ายน่ะ?”


 


“ถ้าสร้างแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็คงจะอีกสักเดือนหนึ่งก็ถึงแล้วล่ะ” คนงานพูด


 


หลังจากที่ได้คุยกันเล็กน้อย หวังเย้าก็ขอตัวออกมา


 


เขาไม่รู้ว่า มันจะนานพอสำหรับตระกูลหวูที่จะจัดการเรื่องนี้หรือไม่


 


เขาต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างเอาไว้ก่อน


 


ในตัวเมืองของเขตเล็กๆที่ตั้งอยู่ไกลออกไปหลายพันไมล์…


 


กั๋วเจิ้งเหอกำลังอยู่ในอารมณ์ที่ดี เขาเพิ่งจะแนะนำให้โครงการสร้างโรงงานเข้ามาลงทุนภายใต้โปรโมชั่นของทางเขตได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งเงินก้อนแรกที่จะลงทุนคือหนึ่งร้อยล้านหยวน หลังจากการก่อสร้างทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็สามารถเพิ่มภาษีได้ในภายหลัง นี่ถือเป็นโครงการใหญ่และความสำเร็จในการทำงานของเขา แล้วที่นี่ยังมีทรัพยากรอยู่อย่างจำกัด หากไม่ใช่เพราะเส้นสายที่เขามี โรงงานก็คงจะไม่มาสร้างขึ้นที่นี่


 


หลังกลับมาถึงที่ทำงาน เขาก็ได้รับสายหนึ่ง แล้วใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนกลายเป็นน่าเกลียดในทันที


 


“คนจากตระกูลหวูอย่างนั้นเหรอ! มือของพวกเขาสาวมาไกลจริงนะ!”


 


เขาเดินไปยืนอยู่ที่หน้าต่างและมองออกไปยังพื้นที่ของเขตที่อยู่ด้านนอก


 


“อ้าก!”


 


ทุกอย่างได้ลงมือไปแล้ว ตอนนี้ กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจนได้


 


เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์


 


จะยอมแพ้ไปก็พอไม่ได้หรือยังไง! งั้นก็มาลองดูกันอีกสักครั้งแล้วกัน! เขายืนมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่นาน ไม่นานเขาก็กดโทรออก


 


เดือนกรกฎาคม เป็นเดือนที่ร้อนมากเดือนหนึ่ง


 


มันเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของปี อุณหภูมิตอนเช้าสูงถึง 30 องศา ซึ่งทำให้ผู้คนต่างก็รู้สึกอึดอัด


 


เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องจ่ายค่าชดเชยให้กับชาวบ้านได้เดินทางมาถึงที่หมู่บ้าน ขั้นตอนนั้นเรียบง่าย หลังจากยืนยันขนาดของพื้นที่แล้ว พวกเขาก็จะทำการประเมินจำนวนเงินที่ต้องจ่ายคืนให้กับเจ้าของที่ แต่พวกเขาไม่ใช่คนที่ตัดสินใจว่าใครจะเป็นคนจ่าย


 


หวังเจียนหลี่รับหน้าที่ต้อนรับคนเหล่านี้ เขาพาพวกเขาเดินลัดเลาะไปตามถนนของหมู่บ้าน แต่ไม่ได้พาขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน


 


“เขาลูกไหนเหรอ?” มีคนถามขึ้นมา


 


“เขาลูกนี้ให้เช่าอยู่”


 


“ถึงจะให้คนเช่าไปแล้ว แต่มันก็ยังเป็นสมบัติของชาติอยู่ดี ไปดูกัน”


 


“แต่มันอันตรายนะ”


 


“อันตรายงั้นเหรอ? ไปได้แล้ว” คนที่นำทีมเจ้าหน้าที่มามีสีหน้าดูถูก


 


พวกเขาเดินจากเนินเขาตงชานไปยังเนินเขาหนานชาน พวกเขาเห็นต้นไม้ปลูกเป็นแนวอยู่หลายแถว ดูคล้ายกับกำแพงที่ปิดกั้นทางเข้าออก


 


“มีทางอื่นให้เดินรึเปล่า?”


 


“มีครับ ให้ลงไปทางนี้ แล้วก็อ้อมไป”


 


“ช่างมันเถอะ เดินไปจากตรงนี้เลยแล้วกัน” คนคนนั้นดูเหมือนจะมีท่าทีไม่พอใจ


 


ต้นไม้เติบโตอย่างรวดเร็ว ตามแนวต้นไม้ยังมีไม้พุ่มขึ้นอยู่ตามช่องว่างด้วย มันจึงเหลือพื้นที่ว่างเพียงเล็กน้อย ถ้าหากพวกเขาต้องการผ่านไปทางนี้ มันก็คงจะเป็นเรื่องยากอยู่บ้าง


 


“โอ๊ย!”


 


มีคนร้องออกมา เขาโดนกิ่งไม้ของต้นพุทราเข้า ต้นไม้เหล่านี้ไม่ได้เป็นที่เตะตามากนัก แต่กลับตัวของพวกเขากลับเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน


 


หัวหน้าที่นำทีมรู้สึกอับอายกับสภาพของแต่ละคน


 


“คนที่เช่าที่เอาที่ตรงนี้ไปทำอะไรเหรอ?”


 


“เขาปลูกสมุนไพรครับ”


 


“สมุนไพร? พวกนี้น่ะเหรอสมุนไพรน่ะ?”


 


“พวกนี้เป็นต้นไม้ที่เขาเอาไว้ใช้กันขโมยน่ะครับ” หวังเจียนหลี่พูด เขาไม่ได้มองหน้าคนเหล่านั้นในตอนที่พูด


 


พวกเขาต่างก็มีท่าทีอวดดี ซึ่งมันทำให้เขาทำตัวลำบาก นอกจากนี้ คนเหล่านี้ยังไม่ใช่คนของเขตหรือเมืองเลยด้วย พวกเขาจึงไม่ถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับที่ดินของหมู่บ้าน เขาก็คงจะไม่มากับคนพวกนี้แล้ว


 


เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเจียนหลี่ สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนก็กลายเป็นบูดเบี้ยว


 


เป็นแค่คนดูแลหมู่บ้าน กล้าดียังไงถึงมาทำตัวอวดดีกับพวกเขาแบบนี้?


 


ถึงพวกเขาจะไม่ได้พูดออกมา แต่อารมณ์ของพวกเขาก็ได้บอกความรู้สึกของแต่ละคนออกมาได้อย่างชัดเจน


 


โฮ่ง! อยู่ๆก็มีเสียงเห่าของสุนัขดังขึ้น


 


“เชี่ย! หมาตัวใหญ่นั่นโผล่ามาจากไหนกันน่ะ?”


 


พวกเขาหยุดชะงักไป


 


“นั่นมันสิงโตรึเปล่า?”


 


“หยุดอยู่ตรงนี้” หวังเจียนหลี่พูดด้วยท่าทีสงบ ชาวบ้านทุกคนต่างรู้ว่า หวังเย้าเลี้ยงสุนัขเอาไว้เพื่อกันไม่ให้คนขึ้นไปบนเขา สุนัขตัวนี้จะทำหน้าที่ไล่คนที่เข้ามาสำรวจเนินเขาหนานชานไป


 


“โอเค!”


 


ด้วยขนาดที่น่าตื่นตะลึงของสุนัข ทำให้พวกเขาคิดกันว่า สุนัขตัวใหญ่ขนาดนี้จะกินได้มากขนาดไหน ในเมื่อพวกเขาเป็นแค่มนุษย์ร่างจ้อย พวกเขาก็ไม่ควรจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับการถูกมันกิน


 


พวกเขาเดินกลับไปทางเดิมและลงจากเขา


 


“สัญญาให้เช่าเขาลูกนี้กี่ปีเหรอ?”


 


“30 ปี”


 


“นานขนาดนั้นเลยเหรอ?” มีคนถามขึ้นมา “นั่นมันผิดกฎหมายแล้ว!”


 


“เราดำเนินการทุกอย่างตามกฎ” หวังเจียนหลี่พูด


 


คนเหล่านี้มีท่าทีไม่พอใจกับเรื่องนี้


 


หลังลงมาจากเขาเขาแล้ว พวกเขาก็ไปพบกับหวังเย้า


 


“คุณลุง”


 


“นี่คือ หมอหวัง เจ้าของเนินเขาหนานชาน” หวังเจียนหลี่ผ่ายมือไปที่หวังเย้า


 


“นี่คือหัวหน้าของเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการจ่ายค่าชดเชย”


 


“ครับ” หวังเย้าตอบรับด้วยท่าทีเรียบเฉย และไม่แม้แต่จะมองพวกเขาด้วยซ้ำ


 


คนพวกนี้แสดงท่าทีอวดดีและดูถูกคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด


705 ใช้ของหลวงในกิจส่วนตัว


 


เจ้าหน้าที่คิด คนในหมู่บ้านนี้อวดดีกันจริงๆ!


 


เมื่อคนคนหนึ่งสำคัญตนว่าอยู่เหนือกว่าผู้อื่น และพยายามเหยียบย้ำคนอื่นให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าตนเอง แต่ในขณะเดียวกัน ตัวเขาเองก็อาจจะเป็นแบบเดียวกับคนที่เขายัดเยียดความต่ำต้อยให้


 


“ฮึ่ม!” เจ้าหน้าที่จากไปด้วยท่าทีไม่พอใจ


 


การโมโหส่งผลเสียต่อตับ การดื่มแอลกอฮอลมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อกระเพาะ การสูบบุหรี่จะทำให้ปอดได้รับความเสียหาย


 


หวังเย้าสามารถบอกได้เลยว่า จากการมองและดมกลิ่นของเจ้าหน้าที่เหล่านี้แล้ว ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่มีสุขภาพดีเลย


 


พวกเขาดื่มทั้งวันทั้งคืน โดยที่ไม่รู้เลยว่า ในเวลาไม่ช้าเรื่องร้ายจะเกิดกับตัวของพวกเขา


 


“บาย” หวังเย้าพูด


 


เจ้าหน้าที่ขับรถออกไปจากหมู่บ้าน หวังเจียนหลี่ก็กลับไปนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ที่ทำการหมู่บ้าน


 


“ชาวบ้านพวกนั้นอวดดีจริงๆ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งบ่น


 


“เราน่าจะลดเงินค่าชดเชยพวกนั้นลงนะ โดยเฉพาะไอ้หนุ่มหน้าอ่อนนั่น” เจ้าหน้าที่อีกคนเสนอ


 


ในเป็นวันที่ร้อนมากวันหนึ่ง อากาศแบบนี้จึงมีคนไข้มารักษาที่คลินิกของหวังเย้าไม่มาก เขามีคนไข้สองคนในตอนเช้าและไม่มีใครมาในตอนบ่ายเลย ดังนั้น เขาจึงใช้เวลาไปกับการทำความสะอาดคลินิก


 


ภายในคลินิกอากาศค่อนข้างดีและเย็นกว่าด้านนอก อุณหภูมิด้านในอยู่ที่ประมาณ 24 องศา หวังเย้าที่นั่งอยู่ภายในสวนรู้สึกได้ถึงความเย็นสบาย


 


เขามีแขกมาพบในตอนใกล้ค่ำ เขาก็คือ หวังเฟิงหมิง


 


“สวัสดีครับ ลุงเฟิงหมิง มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าเชิญเขาเข้าไปด้านในคลินิกและชงชาให้กับเขา


 


“ลุงมีเรื่องให้ช่วยหน่อยน่ะ” หวังเฟิงหมิงพูด


 


“มีเรื่องอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“คือ ลุงเอาเมล็ดพันธุ์ที่เธอให้มาลงปลูกแล้ว” หวังเฟิงหมิงพูด “แต่อากาศมันร้อนขนาดนี้ ลุงควรจะทำยังไงดีล่ะ?”


 


“เรื่องนี้เองเหรอครับ?” หวังเย้าหัวเราะ “ลุงไม่จำเป็นต้องทำอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ ลุงได้ปลูกเมล็ดของมันเอาไว้ที่ใต้ร่มไม้ ผมไปดูมาแล้ว มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอกครับ”


 


เมล็ดพันธุ์ค่อนข้างอ่อนไหวกับแสงแดดที่รุนแรง


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หวังเฟิงหมิงพูด เขาไม่ได้คาดหวังกับรายได้ที่จะได้จากการปลูกสมุนไพร แต่เขาแค่ไม่อยากจะให้เมล็ดที่เขาได้ปลูกไปแล้วต้องเสียเปล่า


 


“มีเรื่องอื่นอยากจะถามอีกไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ไม่มีแล้วล่ะ” หวังเฟิงหมิงพูด


 


เขาไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว หลังจากที่ดื่มชาหมด เขาก็ออกมาจากคลินิก


 


ในตอนที่หวังเย้าออกมาจากคลินิก ด้านนอกยังคงพอมีแสงสว่างอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลาหกโมงครึ่งแล้วก็ตาม


 


จำนวนคนที่ย้ายออกจากหมู่บ้านมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พอหลังผ่านเวลาอาหารเย็นไป อากาศด้านนอกก็เริ่มเย็นลง ชาวบ้านจึงออกมาจากบ้านเพื่อพูดคุยกับเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กัน


 


หวังเย้ามองไปที่พวกเขาเหล่านั้น และพบว่า คนที่อายุน้อยที่สุดในนั้นคือ 40 กว่า และส่วนใหญ่มีอายุอยู่ที่ประมาณ 50-60 ปี


 


หมู่บ้านว่างเปล่าและประชากรผู้สูงอายุคือสองปัญหาในสังคมปัจจุบัน และในแถบชนบทก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก


 


หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ หวังเย้าก็เดินอยู่ในหมู่บ้าน เขาได้พบเจอเข้ากับผู้สูงอายุและเด็กๆที่อายุราวๆ 5-6 ขวบ แต่กลับไม่มีคนหนุ่มรุ่นเดียวกับเขาให้เห็นเลย


 


“คนหนุ่มสาวในหมู่บ้านย้ายไปกันหมดแล้วสินะ” คนแก่คนหนึ่งในหมู่บ้านพูด


 


“ใช่ นั่นลูกชายของหวังเฟิงฮวานี่” ชาวบ้านอีกคนพูด


 


“เขาเป็นคนหนุ่มคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ในหมู่บ้านของเราสินะ” คนแก่พูด


 


หวังเย้าบังเอิญได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเข้า


 


ฉันเป็นคนหนุ่มคนเดียวที่เหลืออยู่อย่างนั้นเหรอ?


 


เขาเดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน สมุนไพรในแปลงบางอย่างก็พร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวแล้ว เขาเก็บต้นที่โตพอแล้ว เพื่อจะนำไปเข้ากระบวนการการถนอมในวันถัดไป


 


ในขณะเดียวกัน ภายในเมืองหลวงของจังหวัด ชายวัยกลางคนท่าทางเคร่งเครียดกำลังคุยอยู่กับผู้ช่วยของเขา “ไปสืบมารึยัง?”


 


“ครับ” ผู้ช่วยของเขาพูด


 


“ดี คุณไปได้แล้ว” ชายวัยกลางคนพูด


 


ผู้ช่วยของเขาเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่จะปิดประตูตามหลัง


 


เคร้ง! ชายวัยกลางคนกระแทกแก้วลงไปบนโต๊ะและถอนหายใจออกมา


 


พระอาทิตย์ลอยสูงแต่เช้า ในเป็นวันที่อากาศร้อนอีกวันหนึ่ง


 


“ผมล่ะเกลียนหน้าร้อนจริงๆ” ฟ่าวโยวเหรินพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้า


 


“ฤดูใบไม้ผลิ, ฤดูร้อน, ฤดูใบไม้ร่วง, และฤดูหนาวล้วนแล้วแต่ต่างกันไป” เวินหว่านที่นั่งอยู่ใต้ร่มเงาพูดขึ้นมา


 


ในช่วงเวลานี้ของปี ที่บ้านเกิดของพวกเขาจะมีอากาศที่ร้อนมาก และร้อนยิ่งกว่าในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ด้วย


 


“ที่นี่เป็นที่ที่ดีทีเดียวนะ” เวินหว่านพูด


 


ที่ที่ดีคือแบบไหน? ก็คือที่ที่คนไม่อยากจะจากไป


 


“แม่ชอบที่นี่ แต่ผมไม่ชอบ” ฟ่านโยวเหรินพูด


 


มีคนหนุ่มสาวไม่มากที่จะชื่นชอบสถานที่แบบหมู่บ้านแห่งนี้ เพราะมันน่าเบื่อหน่ายเกินไป


 


“วันนี้ หมอหวังอยู่คลินิกรึเปล่าจ๊ะ?” เวินหว่านถาม


 


“ไม่อยู่ครับ เขาโพสในเวยป๋อว่า วันนี้จะปิดคลินิก” ฟ่านโยวเหรินพูด


 


“พรุ่งนี้ แม่อยากจะไปหาหมอหวังสักหน่อย แม่ว่าร่างกายของแม่ดีขึ้นมากแล้ว คงได้เวลาที่แม่จะได้ออกไปข้างนอกบ้างแล้ว” เวินหว่านพูด


 


“แล้วแม่คิดจะไปที่ไหนเหรอครับ?” ฟ่านโยวเหรินถาม


 


“ที่ไหนก็ได้ แม่รู้ ว่าลูกเบื่อที่จะอยู่ที่นี่แล้ว” เวินหว่านพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ผมไม่ได้คิดมากอะไรหรอกครับ แม่อย่าสนใจคำพูดของผมมากนักเลย” ฟ่านโยวเหรินตอบ


 


“เราไปทะเลกันดีไหมจ๊ะ?” เวินหว่านถาม “แม่อยากเห็นทะเล”


 


“ได้สิครับ” ฟ่านโยวเหรินพูด


 


ในขณะเดียวกัน หวังเย้านั้นกำลังเก็บเกี่ยวสมุนไพรที่โตเต็มที่แล้ว เขาเก็บส่วนรากและลำต้นของต้นสมุนไพรหลงตาน; เก็บใบของต้นสมุนไพรป้านเซี่ย; แล้วเก็บใบ, ลำต้น, และรากจากสมุนไพรต้นอื่นๆ


 


เขาเก็บสมุนไพร,เอาดินที่ติดอยู่กับต้นสมุนไพรออก, ล้างสมุนไพรแต่ละต้น, แล้วจึงเอาไปตากแดดให้แห้ง


 


สมุนไพรส่วนใหญ่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการบางอย่างก่อนที่จะสามารถนำไปทำเป็นยารักษาโรคได้ สมุนไพรส่วนใหญ่สามารถเอาไปตากแห้งและใช้ได้เลย บางส่วนต้องนำไปพัดให้แห้งก่อน และมีอีกส่วนน้อยที่สามารถนำมาใช้ได้เลยโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการใดๆ


 


หวังเย้าตัดสินใจเก็บสมุนไพรทั้งหมดเอาไว้กับตัวเอง ในแต่ละวัน มีคนไข้มากมายมารักษากับเขาที่คลินิก ดังนั้น เขาจึงต้องการสมุนไพรเป็นจำนวนมาก เขายังได้เก็บบางส่วนเอาไว้สำหรับบริษัทยาของเขาเองด้วย สินค้าชุดแรกจะต้องได้รับการการันตีคุณภาพจากเขาก่อนที่จะถูกนำออกไปวางขาย


 


เขาทำงานอยู่ภายในแปลงสมุนไพรไปตลอดทั้งเช้า


 


อากาศบนเนินเขาหนานชานเย็นสบาย และเป็นแบบนี้ตลอดทั้งปี


 


มันต่างจากเมืองจี้ ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการเป็นหนึ่งในเมืองที่ร้อนที่สุดของประเทศ ตอนนี้อุณหภูมิได้สูงถึง 30 องศาแล้ว และตอนเที่ยงก็เป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวันอีกด้วย


 


ในฐานะของผู้นำของเมือง ที่มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐ์กิจและการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรอย่างรวดเร็วนั้น กั๋วเจิ้งเหอจึงมีงานให้ทำจนล้นมือ แต่เขากลับยกเลิกการประชุมทั้งหมดและเอาเวลาเหล่านั้นไปพบกับบุคคลพิเศษในตอนบ่าย


 


“คุณพ่อ ทำไมถึงได้เร่งให้ผมมาเจอด้วยล่ะครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม


 


เขาเดินทางจากทางใต้ของซินเจียงมาที่เมืองจี้ก็เพราะพ่อของเขาเรียกตัวเขามา


 


บนใบหน้าของพ่อเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น “นั่งก่อนสิ งานของลูกที่ซินเจียงเป็นยังไงบ้าง?”


 


“ก็ไม่เลวเลยครับ ผมเพิ่งจะเซ็นสัญญากับบริษัทหนึ่งที่จะเข้ามาลงทุนในซินเจียงไป คุณพ่อก็รู้ว่า เมืองที่ผมดูแลอยู่ห่างไกลแค่ไหน การเดินทางก็ไม่ค่อยสะดวก และการพัฒนาแต่ละด้านก็ช้ากว่าที่อื่นไปมาก ที่นั่นยากจนมากเลยล่ะครับ” กั๋วเจิ้งเหอชงชาให้กับตัวเองและพ่อของเขา


 


“เป็นโครงการเกี่ยวกับอะไรเหรอ?” กั๋วจ้าวจวินถาม


 


“เป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนแบตเตอร์รี่ครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“ทำแบตเตอร์รี่เหรอ?” กั๋วจ้าวจวินถาม


 


“มันจะเป็นการสร้างมลพิษนะ” กั๋วจ้าวจวินพูด


 


“ผมรู้ครับ ผมได้ขอให้ทางบริษัทเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้จัดการเรื่องบำบัดน้ำเสียเอาไว้แล้ว” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“ดี หลายปีมานี้ เราทำลายธรรมชาติเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจไปมากแล้ว” กั๋วจ้าวจวินพูด “ตอนนี้ เราเลยต้องมาแก้ไขสิ่งที่ทำลงไปก่อนหน้านี้ เราต้องฟื้นคืนธรรมชาติให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ทางรัฐบาลกลางสั่งการมาโดยตรงว่า เราจะต้องมั่นใจว่า สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของประเทศจะต้องไม่มีการเสื่อมโทรมลงไปกว่านี้ แล้วก็ต้องใส่ใจความปลอดภัยในสถานที่ทำงานเป็นกรณีพิเศษด้วย พวกเขาจะไม่มีการประนีประนอมใดๆในเรื่องของความเสียหายทางธรรมชาติ ดังนั้น ลูกจะต้องมั่นใจว่า ทุกอย่างที่ทำนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”


 


“ผมเข้าใจครับ คุณพ่อ” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“เอาล่ะ ตอนนี้ พ่อมีอีกเรื่องอีกอยากจะพูดกับลูกด้วย” กั๋วจ้าวจวินพูด


 


กั๋วเจิ้งเหอนั่งตัวตรง เขารู้ว่าที่พ่อเรียกเขามาถึงที่นี่ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องงานเท่านั้น เขาได้คาดเดาไปต่างๆนาๆว่าพ่อของเขากำลังจะพูดเรื่องอะไรกับเขา


 


“ที่ซินเจียง ลูกได้คบหากับใครบ้างไหม?” กั๋วจ้าวจวินถาม


 


“ไม่มีแน่นอนครับ” กั๋วเจิ้งเหอตอบออกมาด้วยความแปลกใจ


 


มีหญิงสาวในเขตยากจนแห่งนั้นหลายคนที่แสดงความออกชัดเจนว่าสนใจในตัวเขา แต่เขาเชื่อว่า พวกเธอแค่สนใจฐานะของเขาก็เท่านั้น แล้วเขาก็ไม่ได้สนใจผู้หญิงพวกนั้นเลยด้วย และไม่คิดจะไปเสียเวลาคบหาเล่นๆกับพวกเธอด้วย


 


“ลูกยังคิดเรื่องเสี่ยวซวีอยู่เหรอ?” กั๋วจ้าวจวินถาม


 


“เอ่อ ครับ” กั๋วเจิ้งเหอยอมรับ


 


“แม่ของลูกได้ไปคุยกับน้าซงแล้ว แล้วพ่อก็คุยกับพ่อของเสี่ยวซวีแล้วด้วย” กั๋วจ้าวจวินพูด “พวกเขาทั้งสองต่างก็ต้องการที่จะเคารพการตัดสินใจของเสี่ยวซวี พ่อได้ยินว่า เสี่ยวซวีกำลังคบกับใครคนหนึ่งอยู่ แล้วพ่อเดาว่า ลูกก็น่าจะรู้อยู่แล้ว”


 


“ผมรู้ครับ แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้แต่งงานกันนี่ครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ลูกจะไปบังคับให้เธอมาแต่งงานกับลูกไม่ได้ ถ้าลูกอยากให้เธอชอบลูก ลูกก็ต้องไม่ทำเรื่องน่าอับอาย พ่ออยากให้ลูกเป็นคนที่ซื่อตรง” กั๋วจ้าวจวินพูด


 


กั๋วเจิ้งเหอก้มหน้าและเงียบไป เขารู้ว่าพ่อของเขาเป็นคนยังไง “ผมขอโทษครับ คุณพ่อ”


 


“พ่อเป็นผู้นำของจังหวัด และก็มีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตของคนที่นี่” กั๋วจ้าวจวินพูด “การเปลี่ยนแผนการสร้างทางหลวง ถึงมันจะแค่นิดเดียว มันก็ต้องจ่ายเงินค่าชดเชยให้กับชาวบ้านหลายล้าน แล้วใครล่ะที่เป็นคนจ่ายเงินพวกนี้? เงินทั้งหมดเป็นของหลวง ตอนนี้ลูกกำลังใช้เงินของหลวงไปกับเรื่องส่วนตัว!”


 


เขาผิดหวังในตัวลูกชาย ที่แอบทำเรื่องน่าอับอายลับหลังเขาแบบนี้


706 ท้องเสีย


 


นี่เป็นเรื่องของศีลธรรม!


 


เมื่อเห็นสีหน้าขึงขังและสายตาที่จับจ้องมาที่เขา กั๋วเจิ้งเหอที่มักจะเฉลียวฉลาดและพูดจาเก่ง กลับไม่สามารถตอบอะไรได้เลย เขาทำได้เพียงแต่ต้องยอมรับความผิดของตัวเองเท่านั้น


 


มีสิ่งหนึ่งที่เขากลัวที่สุดในโลก


 


และสิ่งที่เขากลัวที่สุดนั้นก็คือ พ่อของเขาเอง


 


เขาไม่ได้บอกพ่อของเขาเกี่ยวกับเรื่องการบริหารงานหรือเรื่องส่วนตัว มันไม่ใช่เพราะเขาไม่อยาก แต่เป็นเพราะเขาไม่กล้า


 


“ครั้งนี้ ลูกใช้อำนาจรัฐไปกับเรื่องส่วนตัวของตัวเอง แล้วครั้งหน้าคงไม่ใช้กับเรื่องการฆาตกรรมหรอกนะ?” กั๋วเจิ้งเหอถอนหายใจ


 


“ไม่หรอกครับ ผมไม่มีทางทำพลาดแบบนี้อีกแล้ว” กั๋วเจิ้งเหอรีบพูด เขารู้ว่า พ่อของเขาโมโหมากในตอนนี้


 


“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ลูกไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของจังหวัดอีก ถ้าพ่อได้ยินเรื่องพวกนี้อีก ลูกจะต้องกลับปักกิ่งทันที!”


 


“ครับ” กั๋วเจิ้งเหอรีบพูด


 


“ส่วนเรื่องของหวังเย้า ลูกต้องหยุด ทิ้งความคิดชั่วร้ายไปให้หมดและจำเอาไว้ว่า เขาคือคนที่ช่วยชีวิตของลูกเอาไว้ ในเมื่อเธอไม่ชอบลูก ก็เลิกชอบเธอไปซะ โลกนี้ตั้งกว้าง ผู้หญิงดีดีมีอีกตั้งมากมาย!”


 


“ผมเข้าใจแล้วครับ คุณพ่อ” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“เอาล่ะ บอกพ่อมาว่าต่อไปลูกจะทำอะไร”


 


กั๋วเจิ้งเหอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะบอกความคิดในเรื่องของงานที่เขาทำอยู่ในตอนนี้ นี่ถือเป็นการสรุปประสบการณ์ในการทำงานทั้งหมดตั้งแต่ที่เขาเริ่มเข้ามาทำงานในสายนี้ และเขาก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครมาก่อนเลย


 


กั๋วจ้าวจวินรับฟังอยู่เงียบๆ เขาขัดลูกชายของเขาในบางช่วง ถามออกไปสองสามคำถามและปล่อยให้กั๋วเจิ้งเหอพูดต่อ


 


เขาพอใจที่เห็นว่า ลูกชายของเขาสามารถหาแนวทางของตัวเองได้ เขารู้ถึงจุดประสงค์ในเรื่องที่เขากำลังจะทำ รวมไปถึงขั้นตอนและความหมายในเรื่องที่กำลังทำอยู่ นี่ถือเป็นขั้นพื้นฐานของงาน กั๋วเจิ้งเหอไม่ได้มีปัญหาทางด้านนี้เลย และกั๋วจ้าวจวินก็ไม่ได้บอกความคิดเห็นของเขาออกไปแบบตรงๆ แต่เขาจะค่อยๆอธิบายให้ลูกชายของเขาได้รู้ถึงภาพรวมและให้เขาเอาไปคิดต่อเอง


 


ทั้งหมดที่กั๋วเจิ้งเหอพูดมาคือสิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จได้, สิ่งไหนที่จะเริ่มทำเป็นอันดับแรก, สิ่งไหนที่ไม่สามารถทำได้, และมีความเข้าใจความสำคัญของการเป็นผู้นำอยู่อย่างเต็มเปี่ยม


 


นี่คือสิ่งที่คนเป็นผู้นำควรมี


 


“เจิ้งเหอ ถึงตระกูลของเราจะมีธุรกิจอยู่มากมายและรับราชการมาหลายรุ่น แต่ก็อย่าได้คิดว่า เราจะสามารถทำทุกอย่างที่เราต้องการได้ พ่ออยู่ในตำแหน่งนี้ พ่อรู้ดีว่า มีคนมากมายแค่ไหนที่กำลังคอยจับจ้องการกระทำของพวกเราอยู่ และรอคอยให้เราพลาดท่าเพื่อจะได้เข้ามาแทนที่พวกเรา”


 


การเป็นสมาชิกในตระกูลใหญ่คือสิ่งที่น่าอิจฉา แต่ภายใต้ความน่าอิจฉานั้นกลับเต็มไปด้วยความกดดัน ที่คนภายนอกมองไม่เห็น


 


ไม่มีใครที่อยากจะขึ้นไปยืนอยู่บนที่สูง แต่วันต่อมากลับต่อไปยืนอยู่ขอบเหวเพื่อรอความตาย


 


กั๋วจ้าวจวินต้องการให้ลูกชายของเขาเข้าในเรื่องนี้ อย่างน้อย เขาก็ไม่สามารถทำผิดพลาดให้ใครจับได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเรื่องการเปลี่ยนแปลงการก่อสร้างถนนได้ยินไปถึงหูของฝ่ายตรงข้าม มันก็จะกลายเป็นหายนะที่พวกเขาจะนำมาใช้โจมตีพวกเขาได้


 


ในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะมีตำแหน่งสูงส่งแค่ไหน แต่ถ้าหากทำพลาดขึ้นมา ทุกอย่างก็สามารถพังลงได้ กฎเหล็กที่มีมาแต่โบราณกาลก็คือ การเป็นที่นับหน้าถือตาของเจ้าหน้าที่รัฐ


 


เขารู้ถึงลักษณะนิสัยลูกชายของเขาดี เขาต้องการจะทำให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่ และต้องการจะทำให้ได้ดีกว่าคนอื่น เขาอาจจะยังไม่ถึงกับเป็นคนที่มักใหญ่ใฝ่สูงจนเกินไป แต่เขาก็กระตือรือร้นที่จะเอาชนะ ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยที่เกิดขึ้นได้กับคนหนุ่มเลือดร้อนอยากพิสูจน์ตนเอง แต่ในวงการข้าราชการนั้น มันคือสิ่งอันตราย


 


“คืนนี้อย่าเพิ่งกลับนะ อยู่ดื่มเป็นเพื่อนพ่อก่อน”


 


“ครับ”


 


กั๋วจ้าวจวินเป็นพ่อที่เข้มงวด ด้วยหวังว่า ลูกชายของเขาจะสามารถไปได้ไกลกว่าที่เขาเป็นอยู่


 


ตระกูลอยู่ในจุดเริ่มต้นที่เหนือกว่าคนอื่นๆ แต่ก็ทำให้ในชีวิตของเด็กๆในตระกูลราบรื่นจนเกินไป ในช่วงชีวิตของคน ไม่มีใครที่จะมีชีวิตที่ราบรื่นไปได้ตลอด


 


ในหมู่บ้านกลางเขา หวังเย้าได้เก็บเกี่ยวสมุนไพรจากแปลงของเขามาได้จำนวนหนึ่ง เขาปรับพื้นที่ภายในแปลงและลงเมล็ดพันธุ์ชุดใหม่


 


ส่วนสมุนไพรที่ถูกตัดไปแล้วนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรมาก เพราะแค่มีพลังวิญญาณจากค่ายกลก็เพียงพอแล้ว


 


หลังจากที่เขาจัดการกับแปลงสมุนไพรเสร็จแล้ว เขาก็เก็บสมุนไพรแต่ละชนิดและเตรียมที่จะนำไปทำยาในอีกสองวันข้างหน้า


 


เมื่อถึงเวลาใกล้ค่ำ เขาก็ลงมาจากเขา เขาได้บังเอิญเจอเข้ากับหวังเจ๋อเชิง ที่เดินออกมาจากบ้านพร้อมกับเครื่องมือและเตรียมที่จะขึ้นไปบนเขา


 


“ทำไมวันนี้ถึงกลับบ้านเร็วได้ล่ะครับ?”


 


“งานของทางนั้นไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่น่ะ แล้วฉันก็ไม่ได้ทำงานกะกลางคืนที่นั่นด้วย” หวังเจ๋อเชิงพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“แล้วพี่กำลังจะไปที่ไหนเหรอครับ?”


 


“ฉันว่าจะไปที่ดูสมุนไพรที่เพิ่งปลูกเอาไว้ในแปลงนาสักหน่อยน่ะ”


 


“งั้นไปด้วยกันเถอะครับ”


 


“โอ้ ได้สิ”


 


ทั้งสองพากันเดินไปที่แปลงปลูกสมุนไพรของหวังเจ๋อเชิงที่อยู่บนเนินเขาตงชาน มันเป็นแปลงที่ทำเป็นขั้นบันได, แบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมหลายช่อง, และไล่เรียงไปตามไหล่เขา แปลงแต่ละอันมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก และไม่ได้ปลูกแค่สมุนไพรเท่านั้น แต่โดยรอบยังมีต้นไม้อื่นๆเช่น ต้นพีช, อัลมอน, และเชอร์รี่อยู่ด้วย


 


บนที่นาของหวังเจ๋อเชิง เมล็ดที่นำลงปลูกในแปลงกำลังเติบโตอย่างน่าพอใจ


 


“ดูสิ ดีไหมล่ะ?” เพื่อที่จะปลูกสมุนไพรเหล่านี้ เขาได้ให้การดูแลใส่ใจเป็นอย่างดี


 


“ครับ ดีมาก” หวังเย้ายิ้ม


 


สมุนไพรเหล่านี้เดิมทีเป็นเพียงแค่พืชที่เติบโตขึ้นในป่า จากนั้นก็มีคนไปค้นพบสรรพคุณทางยาของสมุนไพรเหล่า มันก็เหมือนกับการเริ่มปลูกพืชทั่วๆไป ในเมื่อพวกเขาปลูกพวกมันบนเขา พวกมันจึงไม่ได้มีขั้นตอนยุ่งยากอะไรมาก แล้วเนินเขาตงชานก็ยังมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การปลูกสมุนไพรด้วย


 


“พวกนี้เป็นต้นอ่อนใช่ไหม?” หวังเจ๋อเชิงชี้ไปที่ต้นอ่อนที่ขึ้นอยู่บนแปลง


 


“ใช่ครับ แต่เราไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรกับมันมากหรอกนะครับ”


 


หวังเจ๋อเชิงอยู่ต่อเพื่อกำจัดวัชพืชที่ขึ้นในแปลง ส่วนหวังเย้าก็ลงไปจากเขาเพียงลำพัง


 


ท้องฟ้ามืดลงแล้ว สายลมพัดโชยมาช่วยขับไล่ความร้อนให้เบาบางลง


 


วันต่อมา คลินิกเปิดทำการตามปกติ


 


เวินหว่านและลูกชายของเธอมาที่คลินิกตั้งแต่เช้า


 


“เราอยากจะออกไปเที่ยวข้างนอกน่ะครับ แต่ผมก็เป็นห่วงเรื่องสุขภาพของแม่ด้วย”


 


“ไม่ต้องกังวลครับ คุณพาแม่ของคุณออกไปข้างนอกได้เลย”


 


“โอเคครับ ขอบคุณมาก” ฟ่านโยวเหรินมีความสุขกับเรื่องนี้


 


“เราจะไปที่ไหนกันดีครับ?” เขาหันไปถามแม่ของเขา


 


“ไปทะเลดีกว่านะจ๊ะ”


 


“อย่าเพิ่งไปทะเลยครับ” หวังเย้าพูด


 


“ทำไมล่ะ? มีอะไรรึเปล่า?”


 


“ฝนอาจจะตกได้น่ะครับ” หวังเย้ายิ้ม


 


“อ่อ โอเคครับ” ฟ่านโยวเหรินตบศีรษะของตัวเอง เขาลืมเช็คเรื่องอากาศไปได้ยังไงกัน?


 


หลังจากที่สองแม่ลูกออกไปจากคลินิกแล้ว ก็มีคนไข้เข้ามาตรวจที่คลินิก พวกเขาต่างก็มาด้วยอาการไม่สบายท้อง


 


คนไข้รายแรกเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขามีใบหน้าซีดเซียวและท้องเสียอย่างหนัก เขาคือชาวบ้านที่อยู่หมู่บ้านนี้


 


“พี่”


 


“ท้องเสียเหรอ?”


 


“ครับ”


 


“เป็นวันกี่วันแล้วล่ะ?”


 


“สามวันแล้วครับ”


 


“อ้าปากแล้วพูดว่า ‘อ้า’ซิ” หวังเย้าพูด “ช่วงนี้ นายได้กินพวกปิ้งย่างรึเปล่า?”


 


“อืม ผมกินไปสี่หรือห้าครั้งนี้แหละ”


 


“แล้วนายดื่มเบียร์ด้วยไหม?”


 


“กินปิ้งย่างจะขาดเบียร์ได้ยังไงล่ะ?” เขายิ้ม เขาเริ่มมีอาการท้องเสียเมื่อวันก่อน และเขาต้องมาที่หมู่บ้านเพราะเป็นวันเกิดปู่ของเขา ที่บ้านจึงบอกให้เขามาตรวจกับหวังเย้าดู


 


“มันเป็นเพราะกระเพาะของนายถูกรบกวนและความชื่นในร่างกายสูง นายควรหยุดกินของพวกนั้นไปก่อน ฉันจะจ่ายยาให้นายไปกินนะ”


 


วูเหมย, ตานเซิน, ป่ายจู, เหอจื๋อ


 


ทั้งหมดนี้คือสมุนไพรทั่วไปที่ใช้ในการรักษาอาการท้องเสีย


 


“ช่วงนี้ให้กินอาหารอ่อนๆ ห้ามกินของมัน, เผ็ด, หวาน, แล้วก็อย่ากินแตงโมเยอะเกินไปด้วย”


 


“อ้อ” ชายหนุ่มลุกขึ้นและจากไป


 


มันคงจะดีกว่า ถ้าเขาจะไปหาซื้อยาเม็ดมากินแทน


 


คนไข้รายที่สองเป็นเด็กน้อยอายุราว 5-6 ขวบ แม่ของเด็กได้พามาที่คลินิก เพราะเขามีอาการท้องเสียเช่นเดียวกับชายหนุ่มคนก่อนหน้า


 


“เขากินน้ำอัดลมเยอะแค่ไหนครับ?”


 


“ก็ประมาณ 3 ขวดต่อวัน” ผู้เป็นแม่ตอบ


 


“มาตรงนี้ที นอนลง เดี๋ยวหมอจะนวดให้”


 


หลังจากเด็กน้อยนอนลงแล้ว หวังเย้าก็กดไปที่หน้าท้องของเด็กชายเบาๆ เขาได้ยินเสียงท้องของเด็กชายร้องดังครืนครัน


 


“กระเพาะของเด็กอ่อนแอกว่าผู้ใหญ่ พวกน้ำอัดลมเย็นๆพวกนี้ควรให้กินแต่พอดี เธอไม่ควรกินเยอะ ถ้าให้ดีที่สุดก็อย่ากินเลย” หวังเย้าพูดไปด้วยในตินที่เขานวดให้เด็กชาย


 


โคล่าและน้ำอัดลมไม่ได้ทำให้ร่างกายเย็นลง กลับกัน มันอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ท้องเสียได้ ผู้คนชื่นชอบดื่มของพวกนี้ก็เพราะรสชาตอที่อร่อย และเมื่อดื่มเข้าไปแล้ว ก็จะทำให้รู้สึกเย็นสบาย


 


“เธอรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”


 


“สบายขึ้นเยอะเลยฮะ” เด็กชายพูด ในตอนที่หวังเย้านวดให้ เด็กชายก็ผายลมออกมาไม่หยุด แต่หวังเย้าก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้


 


หวังเย้าเอายาให้เด็กชายกินเพื่อหยุดอาการท้องเสีย


 


คนไข้รายที่สามก็มาด้วยอาการท้องเสีย


 


รวมไปถึงมีอาการไอด้วย


 


“เป็นหวัดเหรอครับ?”


 


“ใช่”


 


“เป็นมากี่วันแล้วครับ?”


 


“สามวันแล้วล่ะ แล้วเริ่มท้องเสียตั้งแต่เมื่อวาน”


 


“คุณได้กินยาอะไรไปบ้างแล้วครับ?”


 


ชายคนนั้นบอกตัวยาที่เขาได้กิน


 


“อาการท้องเสียมีสาเหตุมาจากหวัดครับ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เป็นเพราะยาแก้หวัดที่คุณกินเข้าไป” หวังเย้าพูด


707 ควรหลีกเลี่ยงอากาศร้อน


 


“แล้วผมต้องทำยังไง?”


 


“ผมว่า คุณควรจะหยุดกินยาแก้หวัดนะครับ” หวังเย้าพูด “ผมจะจ่ายยาตัวอื่นให้คุณเอาไปกินแทนแล้วกันนะครับ”


 


เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจ่ายยาที่สามารถหยุดอาการท้องเสียและแก้หวัด


 


“ผมจำเป็นต้องหยุดอาการท้องเสียของคุณ ก่อนที่จะไปรักษาหวัด ถ้าไม่อย่างนั้นอาการทั้งสองอย่างของคุณก็จะไม่มีอันไหนที่ดีขึ้นเลย” หวังเย้าพูด


 


“ได้ครับ ขอบคุณมาก” คนไข้พูด


 


ครึ่งหนึ่งของคนไข้ที่มาในวันนี้ ต่างก็มาด้วยอาการท้องเสีย เมื่ออากาศร้อน พฤติกรรมการกินของแต่ละคนก็เปลี่ยนไป ทำให้ส่งผลเสียต่อระบบการย่อยอาหารของพวกเขาด้วย ในช่วงหน้าร้อน ผู้คนส่วนใหญ่มักเลือกที่จะหาของเย็นและอาหารที่ไม่ต้องผ่านความร้อนมากิน อาหารที่ไม่ได้ผ่านความร้อนมักจะไม่ค่อยสะอาด และหลังจากที่กินเข้าไป ก็มักจะมีอาการท้องเสียตามมา


 


หวังเย้าคิด บางทีเขาน่าจะลองทำยาแก้อาการอาหารเป็นพิษออกมา เขาเคยคิดเอาไว้ก่อนหน้านั้นหลายวันแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้ลงมือทำ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้มีคนไข้ที่มาด้วยอาการท้องเสียมากขนาดนี้


 


“หมอได้เปิดแอร์ในห้องนี้ด้วยรึเปล่า?” คนไข้คนหนึ่งถาม


 


“ไม่ได้เปิดครับ” หวังเย้าพูด


 


“เป็นไปได้ยังไงกัน?” คนไข้ถาม “ที่นี่ออกจะเย็นสบายขนาดนี้แท้ๆ”


 


“อากาศในห้องนี้มีการถ่ายเทดีน่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


คลินิกถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ยกระดับ ด้านหน้าของคลินิกเป็นพื้นที่ว่าง และมีบ้านของชาวบ้านอยู่ด้านหลัง ซึ่งไม่มีบ้านหลังไหนเลยที่มีการยกพื้นให้สูงขึ้น ดังนั้น ทุกบ้านจึงอยู่ต่ำกว่าคลินิกของหวังเย้า และทำให้การถ่ายเทของอากาศภายในคลินิกดีตามไปด้วย


 


หวังเย้าปลูกพืชพรรณมากมายเอาไว้ทั้งด้านหน้าคลินิกและในสวน พืชเหล่านี้คือส่วนสำคัญที่ช่วยลดความร้อนให้กลายเป็นอากาศที่เย็นสดชื่นได้ ค่ายกลเล็กๆที่หวังเย้าตั้งเอาไว้ภายในสวนก็มีส่วนในการลดอุณหภูมิภายในให้เย็นลงด้วยเช่นกัน ถึงจะไม่ได้มีแอร์ คลินิกของเขาก็ยังเย็นสบายได้ อุณหภูมิด้านในจะอยู่ที่ประมาณ 25 เสมอ ซึ่งเหมาะสำหรับความต้องการของมนุษย์


 


“ผมว่า ขนาดแอร์ในบ้านของผมยังเย็นสบายไม่เท่าที่นี่เลย” คนไขพูด


 


หวังเย้าตรวจคนไข้คนสุดท้ายเสร็จเมื่อตอนห้าโมงเย็น หลังจากที่คนไข้กลับไปแล้ว เขาก็เริ่มคิดเกี่ยวกับการรักษาอาการอาหารเป็นพิษ สูตรยาจำเป็นต้องมีสรรพคุณในการปรับพลังฉี, กระตุ้นการทำงานของระบบการย่อยอาหาร, ลดไข้, และหยุดอาการท้องเสีย


 


วูเหมย, ป่ายจู, ตานเซิน, เหอจื๋อ, กานเฉา…


 


หวังเย้าเขียนส่วนผสมลงไปและเริ่มเตรียมสมุนไพรอยู่ภายในคลินิกของเขา


 


หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ เขาก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน เขาบดสมุนไพรซ้ำๆจนละเอียดกลายเป็นผง งานของเขาเสร็จในตอนห้าทุ่ม


 


เขาตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ หลังจากหาอะไรทานง่ายๆแล้ว เขาก็เริ่มต้นการทำยาเม็ด เขาใส่น้ำแร่โบราณลงไปในผงสมุนไพรและใส่ผงสมุนไพรลงไปในถาด ก่อนที่จะเขย่ามัน เขาทำแบบนี้ซ้ำๆจนผงสมุนไพรรวมตัวกลายเป็นเม็ดยาขนาดเล็กพอๆกับเมล็ดข้าว จากนั้น ขนาดของเม็ดยาก็ค่อยใหญ่ๆขึ้นจนมีขนาดพอๆกับเม็ดถั่ว


 


วิธีการที่หวังเย้าทำยาเม็ดนั้นเรียบง่ายและเป็นแบบโบราณ แพทย์ปรุงยาสมัยโบราณจะใช้วิธีการเดียวกันนี้ในการทำเม็ดยาสมุนไพรขึ้นมา แต่เขาไม่ได้เอาน้ำผึ้งมาเคลือบตัวยาเอาไว้ ดังนั้น รูปลักษณ์ของมันจึงไม่ได้ดูสวยงาม แต่ประสิทธิภาพของตัวยาได้ผลดีอย่างมาก


 


ในตอนเช้า เขาทำยาขึ้นมาได้เกือบหนึ่งร้อยเม็ด จากนั้น ก็แบ่งยาทั้งหมดใส่ลงไปในขวดใบเล็กหลายๆใบ


 


ในตอนกลางวัน หวังเย้ามีคนไข้สองคนมาตรวจที่คลินิก ทั้งสองต่างก็มาด้วยอาการปวดศีรษะ


 


“พวกคุณทำงานอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม คนไข้ทั้งสองเป็นหญิงวัยประมาณ 40 ใบหน้าของพวกเขาเป็นสีแดงจากการกรำแดดเป็นเวลานาน


 


“เราทำงานก่อสร้าง หน้าที่ของเราคือการบิดแท่งเหล็ก” หนึ่งในสองคนพูดขึ้นมา


 


“พวกคุณทำงานกลางแดดแบบนี้ทุกวันเลยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


ใช่ เงินมันดีน่ะ” เธอพูด


 


ในช่วงเวลานี้ของปี การทำงานกลางแจ้งจะสามารถทำเงินได้ประมาณวันละ 200 หยวน เพราะไม่มีใครอยากทำงานกลางแดดกันมากนัก ผู้รับเหมาไม่สามารถหาคนมาทำงานได้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องเพิ่มเงินค่าจ้างให้กับคนงานแทน


 


“ที่คุณป่วยเป็นเพราะทำงานหนักเกินไปครับ” หวังเย้าพูด


 


ผู้หญิงทั้งสองคนต้องทำงานภายใต้แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงติดต่อกันนานกว่าสิบวัน การทำงานแบบนี้แค่สองวันอาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่สิบวันถือว่ามากเกินไป สองอาทิตย์ที่ผ่านมา หวังเย้าได้เช็คสภาพอากาศทุกวัน ดังนั้น เขาจึงรู้ดีว่า อากาศในช่วงหลายวันที่ผ่านมานั้นร้อนแค่ไหน


 


ในตอนเที่ยง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวันมีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศา โดยปกติแล้ว เมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 40 องศา จะไม่มีคนงานคนไหนทำงานกลางแจ้งกัน แต่คนที่ทำงานก่อสร้างมักจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล ไม่มีใครสนใจจะตรวจสอบเรื่องอากาศกันเลยด้วยซ้ำ ตราบใดที่ไม่มีใครป่วยหรือบาดเจ็บ พวกเขาก็จะพยายามทำงานให้เสร็จก่อนกำหนดให้ได้


 


“พวกคุณทั้งสองจำเป็นต้องพักผ่อน พยายามอย่าทำงานกลางแจ้งในวันที่ร้อนมากๆนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“เราไม่จำเป็นต้องกินยาเหรอ?” หนึ่งในสองคนถาม


 


“ไม่จำเป็นทั้งยาและฝังเข็มครับ” หวังเย้าพูด


 


ผู้หญิงทั้งสองคนแค่ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ แน่นอนว่า การกินผลไม้โดยเฉพาะ แตงโม ก็จะช่วยให้เย็นลงได้เช่นกัน


 


ผู้หญิงทั้งสองเดินออกมาจากคลินิกของหวังเย้าด้วยท่าทีไม่แน่ใจ หลังพวกเธอออกมาจากคลินิกแล้ว ก็มีสายจากหัวหน้างานโทรเข้ามาเพื่อให้พวกเธอกลับไปทำงาน


 


พวกเธอคิดถึงคำพูดของหวังเย้าและตัดสินใจปฏิเสธงานไป หวังเย้าพูดกับพวกเธอว่า ถึงพวกเธอจะทำเงินได้ 200 หยวนต่อวัน แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยสุขภาพของพวกเธอ และพวกเธออาจจะต้องจ่ายเงินค่ารักษาจากการทำงานหนักเป็นสิบหรือร้อยเท่าจากเงินที่พวกเธอหามาได้


 


ผู้คนมากมายใช้สุขภาพของตัวเองแลกกับเงินทอง ในตอนสุดท้าย พวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ต้องมาเสียใจทีหลังกันทั้งนั้น เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก


 


หญิงทั้งสองตัดสินใจพักผ่อนอยู่ที่บ้าน บางทีพวกเธออาจจะเหนื่อยล้าจริงๆก็เป็นได้


 


“โชคดี ที่เราค่าตัวเป็นเงินสด” หนึ่งในนั้นพูด


 


โดยปกติแล้ว ผู้รับเหมาจะไม่จ่ายเงินคนงานทันทีที่พวกเขาทำงานเสร็จในแต่ละวัน ผู้รับเหมามักจะทำสัญญากับคนงานเพื่อบังคับให้พวกเขาทำงานต่อไปจนเสร็จงาน


 


หวังเย้ามีคนไข้สามคนในตอนกลางวัน


 


อยู่ๆอากาศในตอนกลางวันก็มีความชื้นเพิ่มขึ้น และภายในหมู่บ้านก็แทบจะไม่มีลมพัดเลย


 


“พยากรณ์อากาศบอกว่าเย็นนี้ฝนจะตก ตอนลูกอยู่บนเขาก็ระวังตัวด้วยนะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูดด้วยความเป็นห่วง


 


“ผมรู้ครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง” หวังเย้าพูด


 


เขารู้ดีว่า ฝนหรือพายุฝนไม่ได้ส่งผลอะไรมากมายกับเนินเขาหนานชาน เพราะมีต้นไม้มากมายคอยป้องกันลมพายุเอาไว้ แล้วเนินเขาหนานชานก็ไม่ได้สูงมากด้วย


 


ฝนเริ่มตกลงมาในตอนสองทุ่ม ไม่นานฝนก็เริ่มเบาบางลง แต่ตกหนักขึ้นอีกครั้งในตอนกลางดึก หวังเย้าได้ยินเสียงฟ้าร้อง เขานอนฟังเสียงฝนอยู่บนเตียงนอน


 


ฝนตกไปจนกระทั่งเช้า น้ำฝนที่คั่งค้างบนเขาเริ่มไหลลงสู่ด้านล่าง เพียงไม่นานอ่างเก็บน้ำก็เต็มไปด้วยน้ำฝน น้ำไหลไปตามร่องเขาลงสู่ตีนเขา เพราะมีต้นไม้อยู่บนเขาเป็นจำนวนมาก หลังจากไหลผ่านต้นไม้เหล่านั้น น้ำก็มีความใสราวกับถูกกรองมา


 


ไม่มีใครมาที่คลินิกในวันที่ฝนตกหนักแบบนี้ ดังนั้น หวังเย้าจึงไม่ได้รีบร้อนลงจากเขา เขาอยู่พิจารณาสูตรยาต่างๆอยู่ในกระท่อม มีทั้ง ผงซานหยาง, ซุปเป่ยหยวน, และเม็ดยาจิ่วเฉา


 


สูตรยาเหล่านี้ไม่มีสูตรไหนที่มีส่วนผสมของสมุนไพรราก หลังจากโรงงานผลิตยาสร้างเสร็จ เขาก็สามารถผลิตยาจากสูตรยาเหล่านี้ออกมาในปริมาณมากได้


 


โฮ่ง! โฮ่ง! อยู่ๆซานเซียนก็ส่งเสียงเห่าขึ้นมา


 


“มีอะไรเหรอ ซานเซียน?” หวังเย้าเดินออกไปด้านนอก และเอ่ยถามออกมา


 


สายฝนถูกกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นระหว่างตัวเขาเอาไว้ประมาณหนึ่งนิ้ว


708 คนแปลกหน้ากลางสายฝน


 


ซานเซียนเห่าออกมาสองสามครั้ง ก่อนที่มันจะเดินออกไปด้านนอก หวังเย้ามองตามหลังของมันไป เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงซวบซาบดังออกมาจากพงหญ้า แล้วอยู่ๆก็มีปลาตัวหนึ่งกระโดดออกมา


 


หา?


 


หวังเย้าอึ้งไป


 


นี่มันเรื่องอะไรกัน?


 


เขารู้ว่า ที่อ่างเก็บน้ำด้านล่างมีปลาอยู่ แต่มันก็ห่างจากจุดนี้ไปถึง 90 กว่าเมตร แล้วปลาตัวนี้กระโดดออกมาจนถึงที่นี่ได้ยังไงกัน?


 


ปลาตันนี้มีขนาดไม่เล็กเลย มันอาจจะมีน้ำหนักถึง 1.3 กิโลกรัม


 


“ซานเซียน นายไปจับปลามาเหรอ?”


 


โฮ่ง! โฮ่ง!


 


“ไม่ใช่นาย? แล้วใครกันล่ะ?”


 


มีเสียงดังออกมาจากพงหญ้าอีกครั้ง งูตัวหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา มันมีสีดำสนิทราวกับหมึกและมีลำตัวหนาพอๆกับแขนของผู้ใหญ่คนหนึ่ง


 


“เสี่ยวเฮย นายเป็นคนไปจับปลาตัวนี้มาเหรอ?”


 


เสี่ยวเฮยผงกศีรษะ


 


“อืม งั้นเที่ยงนี้เราจะกินปลากัน” หวังเย้ายิ้ม


 


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหวังเย้า เสี่ยวเฮยก็เลื่อยกลับและหายเข้าไปในพงหญ้า


 


ซานเซียนเดินตามมันไป แต่แล้วก็หันกลับไปหาหวังเย้า


 


โฮ่ง!


 


“ก็ได้” หวังเย้ายิ้ม


 


งูหนึ่ง, สุนัขหนึ่ง, และคนอีกหนึ่งได้พากันเดินลงเขาและตรงไปยังอ่างเก็บน้ำ


 


ถึงแม้เมื่อคืนจะมีฝนตกหนัก แต่น้ำในอ่างก็ยังใสอยู่


 


สายฝนยังคงโปรยลงมาอย่างต่อเนื่อง เม็ดฝนตกกระทบกับผืนน้ำจนกลายเป็นวงกลมที่แผ่กว้างออกไป


 


หลังเดินมาถึงขอบอ่าง เสี่ยวเฮยที่ตัวยาวกว่า 3 เมตรก็เลื่อยลงไปในน้ำและว่ายด้วยความเร็วสูง


 


โฮ่ง!


 


ซานเซียนเดินกลับไปกลับมาอยู่ที่ริมขอบอ่าง


 


“ซานเซียน นายก็ลองด้วยสิ” หวังเย้ายิ้ม


 


ซานเซียนเคยลงน้ำมาก่อนแล้ว หวังเย้ารู้ดีว่า เมื่อไหร่ที่อากาศร้อน ซานเซียนก็มักจะลงมากระโดดน้ำเล่นที่อ่างเก็บน้ำเพื่อทำให้ตัวของมันเย็นลง


 


ซานเซียนส่ายหน้าและนั่งจับจ้องน้ำในอ่างอยู่เงียบๆ


 


ทุกอย่างเงียบสงบ แล้วอยู่ๆก็มีปลาตะเพียนตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากอ่างและหล่นกลับลงไปในน้ำ


 


โฮ่ง!


 


ซานเซียนส่งเสียงเห่าออกมา


 


หลังจากนั้นสักพัก ปลาตะเพียนก็กระโดดมาที่ฝั่งและร่วงลงตรงหน้าซานเซียน ปลากำลังดิ้นไปมา ราวกับว่า มันกำลังพยายามที่จะกลับลงไปในน้ำ แต่มันก็ถูกซานเซียนเหยียบเอาไว้ มันจึงทำได้เพียงสะบัดหางไปมาอย่างหมดหนทาง


 


ศีรษะหนึ่งได้โผล่ออกมาจากน้ำ ซึ่งก็คือ เสี่ยวเฮย นั่นเอง


 


“เสี่ยวเฮยรู้วิธีจับปลาด้วยวิธีนี้นี่เอง!” หวังเย้าแปลกใจกับเรื่องนี้มาก


 


เสี่ยวเฮยผลุบหายลงไปในอ่างเก็บน้ำอีกครั้ง จากนั้น มันก็จับได้ปลาดุกสองตัวและปลาตะเพียนอีกหนึ่งตัว ปลาทั้งหมดล้วนมีขนาดโตเต็มที่


 


“ดีมาก”


 


“โอเค เรากลับกันเถอะ”


 


หวังเย้าตะโกนไปทางอ่างเก็บน้ำ หลังจากนั้นสักพัก เสี่ยวเฮยก็ว่ายกลับขึ้นฝั่ง


 


“ไปกันเถอะ เที่ยงนี้เราจะกินปลากัน นายอยากจะกินแบบไหนล่ะ? นึ่ง, อบ, หรือว่าเอาไปทำซุปดี?”


 


โฮ่ง! โฮ่ง!


 


“นายหมายถึงว่า จะให้เอาไปอบกับทำซุปอย่างนั้นเหรอ?”


 


“ก็ได้ เอาตามที่นายว่าแล้วกัน”


 


หวังเย้าอาศัยอยู่บนเขามาได้หลายปีแล้ว ดังนั้น เขาจึงมักจะทำอาหารกินเองอยู่บ่อยๆ ทักษะการทำอาหารของเขาจึงพอใช้ได้


 


สัตว์ที่เลี้ยงไว้ดูเหมือนจะชื่นชอบอาหารฝีมือของหวังเย้าเช่นกัน


 


ไป!


 


ม่านสายฝนได้เชื่อมระหว่างฟ้าและดินเข้าไว้ด้วยกัน


 


หนึ่งคน, หนึ่งสุนัข, และงูหนึ่งตัวก็เข้าขากันเป็นอย่างดี


 


แต่ดูเหมือนว่าจะขาดอะไรบางอย่างไป


 


“ซานเซียน ต้าเซี่ยอยู่ที่ไหนเหรอ?”


 


โฮ่ง!


 


“มันออกไปล่าตอนฝนตกเนี่ยนะ?”


 


ในตอนเที่ยง ฝนตกลงมาไม่หยุด และปลาก็ถูกกินจนหมด


 


“เฮ้อ ฉันไม่ชอบฝน แล้วก็หมู่บ้านกลางป่ากลางเขาแบบนี้เลย แล้วหมอของคลินิกนี้มันไปอยู่ที่ไหนล่ะ?”


 


มีรถสองสามคันพร้อมกับคนอีกสิบกว่าคนจอดอยู่ด้านนอกคลินิกท่ามกลางฝนตก และถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขา


 


มีชายสวมแว่นตากันแดดและคีบบุหรี่ได้นั่งอยู่ภายในรถที่เปิดเครื่องทำปรับอากาศเอาไว้ เขาตะโกนใส่คนที่นั่งอยู่ข้างๆเขา


 


“ฉันมีเวยป๋อของเขาอยู่ เดี๋ยวนะ วันนี้เขาโพสเอาไว้ว่าจะไม่ตรวจคนไข้น่ะ”


 


“แกหมายความว่ายังไง?”


 


“หัวหน้า มันก็หมายความว่า วันนี้เขาไม่รับคนไข้น่ะสิ!”


 


“เฮ้ย เดี๋ยวนี้การเปิดคลินิกมันดูจะสบายเกินไปแล้ว ไม่มีความเป็นมืออาชีพเอาซะเลย แล้วทำไมเขาไม่รับคนไข้วันนี้ล่ะ?”


 


“ผมไม่รู้ครับ เขาไม่ได้บอกเอาไว้”


 


“ไปหาคำตอบมา” ชายวัยกลางคนพูด


 


“ครับ”


 


“เวลาของฉันมีค่า แต่ละนาทีฉันหาเงินได้เป็นแสนๆ ไปสืบมาให้ได้ว่าต้องทำยังไงถึงจะเอาเขามาตรวจฉันได้”


 


“ครับ หัวหน้า!”


 


ชายในชุดสูทสองคนลงมาจากตัวรถ


 


“แม่งเอ้ย อารมณ์ของหัวหน้าแย่ลงไปทุกวัน”


 


“เบาเสียงลงหน่อยสิ ถ้าเกิดหัวหน้าได้ยินขึ้นมา แกอยากจะกลายเป็นซาลาเปาเนื้อหรือว่าถูกมัดกับก้อนหินดีล่ะ?”


 


“พวกแกมัวคุยอะไรกันอยู่?” ชายที่เป็นหัวหน้าพูด “เร็วเข้าเซ่”


 


“เราจะพาหมอคนนั้นมาตรวจหัวหน้าเราได้ยังไง?”


 


“บ้านของเขาก็อยู่ที่นี่นี่นา เราไปที่บ้านของเขากันเถอะ”


 


ที่บ้านของหวังเย้า จางซิวหยิงมองไปที่ชายหนุ่มในชุดสูทสองคน ท่าทางของพวกเขาดูสุภาพ พวกเขาใส่สูทตอนอากาศร้อนๆแบบนี้ ไม่ร้อนกันเหรอยังไง?


 


“เสี่ยวเย้าออกไปข้างนอกจ๊ะ เขาไม่ได้อยู่บ้านหรอก” จางซิวหยิงยิ้ม


 


“คุณช่วยหาทางทำให้เขากลับมาจะได้ไหมครับ? พอดีพี่ชายของผมป่วยหนักมาก”


 


“คนนี้น่ะเหรอ?”


 


“เรายินดีจ่ายเพิ่มครับ”


 


“ก็ได้ ฉันจะบอกเขาให้” จางซิวหยิงพูด เธอเป็นคนใจอ่อนกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว


 


“ใช่จริงๆด้วย หัวหน้าพูดถูก ไม่ว่าเรื่องอะไรขอแค่มีเงินก็จัดการได้ทั้งหมด”


 


“ขอโทษทีนะจ๊ะ ลูกชายของฉันบอกมาว่า ตอนนี้เขายังกลับมาไม่ได้” หลังจากโทรไปหาหวังเย้าเสร็จแล้ว จางซิวหยิงก็เดินกลับไปบอกกับพวกเขา “ไว้มาใหม่วันพรุ่งนี้ดีไหมจ๊ะ?”


 


อะไรนะ?


 


นี่มันเรื่องอะไรกัน?


 


ชายหนุ่มทั้งสองมึนงง


 


“เรามาปรึกษากันก่อนเร็วเข้า!”


 


“เราจะทำยังไงกันดีล่ะ?”


 


“เรากลับไปบอกเรื่องนี้กับหัวหน้าดีไหม?”


 


“แกจะบ้าเหรอ ครั้งที่แล้ว แค่เพราะเอากระถางดอกไม้ไปวางผิดที่ หัวหน้าก็ตัดมือของเจ้านั่นไปข้างหนึ่ง แกลืมไปแล้วเหรอไง? แล้วถ้าเรากลับไปทั้งๆแบบนี้ แกคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น? ลองคิดดูสิ”


 


“คุณป้าครับ กว่าพวกเราจะมาถึงที่นี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คุณน้าพอจะช่วยพูดกับเขาหน่อยได้ไหมครับ?”


 


“กลับมาพรุ่งนี้เถอะนะจ๊ะ” จางซิวหยิงยิ้ม


 


ทั้งสองมองหน้ากันและใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง


 


คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว!


 


หนึ่งในชายสองคนได้หยิบมีดขึ้นมา


 


“พวกแกคิดจะทำอะไรน่ะ?” หวังเฟิงฮวารีบร้อนออกมาจากตัวบ้านพร้อมกับถือไม้ติดมือมาด้วย


 


“ก็เห็นแล้วนี่ เราก็ไม่ได้อยากจะใช้วิธีการนี้หรอกนะ แต่ถ้าวันนี้ลูกชายของป้าไม่มาล่ะก็ เราสองคนซวยแน่!”


 


ทั้งจางซิวหยิงและหวังเฟิงฮวาต่างก็ไม่ต้องการให้ลูกชายของพวกเขาลงมาจากเขาในตอนนี้ เพราะกลัวว่า หวังเย้าอาจจะถูกข่มขู่ได้


 


สถานการณกลายเป็นตึงเครียดขึ้น


 


“ความอดทนของพวกเรามีจำกัด แล้วเวลาของพวกเราก็มีค่า”


 


“เกิดอะไรขึ้น?” มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของชายหนุ่มทั้งสอง


 


“หัวหน้า!” ชายคนหนึ่งที่สูงประมาณ 165 เซนติเมตรและมีรูปร่างค่อนข้างกลมเดินมาที่บ้านของหวังเย้า


 


“พวกแกกำลังอะไรกัน? แล้วทำไมถึงได้เอามีดออกมาแบบนี้? พวกแกเป็นบ้าไปแล้วเหรอ?” ชายคนนั้นเดินเข้าไปตบหน้าของชายสองคนจนหน้าสะบัดและทรุดลงไปกับพื้น ใบหน้าของพวกเขาถูกแรงตบรุนแรงจนฟันหลุดออกไปหลายซี่


 


“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้พวกคุณตกใจกลัวกันแบบนี้ มันเป็นความผิดของผมเอง แล้วก็ต้องขอโทษกับการเสียมารยาทของพวกเขาด้วยนะครับ” ชายวัยกลางคนพูด


 


ในตอนที่พูดอยู่นั้น เขาก็เอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเขาด้วย ดูเหมือนว่า เขาจะเป็นคนเหงื่อออกง่าย แต่กลับใส่สูทแบบเต็มยศ


 


“แล้วหมอหวังอยู่รึเปล่าครับ?” ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงที่แสนสุภาพ


 


“ลูกชายของฉันออกไปข้างนอกค่ะ เขาไม่ได้อยู่ที่บ้าน” จางซิวหยิงพูด


 


“ให้ผมเรียกคุณนายว่ายังไงดีครับ?”


 


“เรียกฉันว่า จาง ก็ได้”


 


“คุณนายจางครับ คุณก็เห็นว่าเราไม่ใช่คนในท้องที่นี้ ผมได้ยินมาจากเพื่อนคนหนึ่งว่า ลูกชายของคุณมีความสามารถในการรักษาที่สูงมาก ผมก็เลยดั้นด้นมาหาเขาถึงที่นี่น่ะครับ” ชายวัยกลางคนใช้ผ้าเช็ดเหงื่อบนหัวที่ล้านเลี่ยนของเขา


 


“แต่ว่า?”


 


เพื่อนบ้านของหวังเย้าบังเอิญเดินผ่านมาเห็นเข้าพอดี เพราะพวกเขาทั้งสามต่างก็ใส่ชุดสูทในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ มันจึงกลายเป็นภาพที่สะดุดตาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนี้ แล้วเขาก็รีบโทรไปหาหวังเย้าทันที


 


บนเขา หวังเย้ากำลังถือถ้วยเอาไว้และกินปลาอยู่กับสัตว์เลี้ยงของเขา


 


“อะไรนะ? ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากนะครับคุณลุง”


 


“พวกนายกินกันไปก่อนเลยนะ” หวังเย้าวางถ้วยในมือลงและเดินออกไป


 


เพียงก้าวเดียวก็ไปได้ไกลหลายเมตร


 


เขาที่อยู่บนเขา เพียงครู่ต่อมา เขาก็มาโผล่อยู่ที่ตีนเขาแล้ว


 


ลมพัดแรงและฝนยังคงตกลงมา


 


หากมองจากที่ไกลๆ จะสามารถมองเห็นร่างๆหนึ่งกำลังกระโดดอยู่ท่ามกลางสายฝนและเคลื่อนที่ไปไกลหลายสิบเมตรภายในชั่วพริบตา


 


ไม่นาน หวังเย้าก็มาถึงหมู่บ้าน เขามองเห็นว่ามีรถจอดอยู่ที่ด้านนอกคลินิก


 


แล้วเขาก็รีบเดินต่อไปยังบ้านของตัวเอง


 


“นั่นคนใช่รึเปล่า?”


 


“ฉันเห็นเขาอยู่ตรงนั่นเมื่อกี้นี้เอง!”


 


“เขาอยู่ตรงไหนเหรอ?”


 


คนที่อยู่ภายในรถต่างก็มึนงงและขยี้ตาตัวเอง


 


เกิดอะไรขึ้น? หรือเขาจะเห็นผีอยู่กลางฝน?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)