Elixir Supplier 698-702
698 ยอมรับความพ่ายแพ้
ความจริงแล้ว คนหนุ่มทั้งสองอย่างเฉาเหอและเฉาฮุยเป็นคนที่มีความสามารถอยู่พอตัว พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากมาตั้งแต่ตอนอายุยังน้อย พวกเขาเข้าใจว่าชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และเป็นการบ่มเพาะความพยายามอุตสาหะของพวกเขาไปในตัว แต่น่าเสียดายที่พวกเขาติดตามคนผิด
การเลือกหัวหน้าผิด ก็เหมือนกับกับการแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่และทำงานในสายงานที่ไม่ตรงกับความสามารถ มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมาก
ภายในห้องคนไข้ เฉาเหมิงถอนหายใจออกมา เขารู้แล้วว่า คนในแก็งค์ของเขาได้ถูกจับเรียบร้อยแล้ว และคนพวกนั้นก็ยังสารภาพในเรื่องที่เขาพยายามจะปกปิดเอาไว้ด้วย การมีเพื่อนร่วมทีมที่โง่เง่า มันเลวร้ายยิ่งกว่าการมีศัตรูที่เก่งกาจเสียด้วยซ้ำ
ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกเหลืออยู่แล้ว เขาแพ้แล้ว และเป็นสิ่งที่เขาต้องยอมรับ
อาชญากรสารภาพความผิด แล้วเรื่องทั้งหมดก็เป็นอันจบ เรื่องที่น่าเสียดายก็คือ การที่ไม่สามารถคนที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของเฉาเหมิงได้
อีกสามคนที่เหลือก็ได้รับโทษตามความผิดของแต่ละคน แต่โทษไม่ถึงชีวิต พวกเขาต่างได้รับโทษที่พวกเขาสมควรได้รับ หลังจากมีการตัดสินความผิดคนทั้งหมดแล้ว หวังเย้าก็ยังคงต้องทอดถอนใจในเรื่องของเฉาเหอและเฉาฮุยไม่หาย
เรื่องนี้ได้จบลงแล้ว และที่หมู่บ้านก็ได้มีการเริ่มต้นสิ่งใหม่ขึ้นมาก
หลังจัดเตรียมของที่ต้องใช้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว หวังเจ๋อเชิงก็เริ่มลงมือปลูกสมุนไพร เขาเลือกปลูกสมุนไพรธรรมดาอย่างซิลเวิร์ธและหลงตาน เขายังปลูกฟางเฟิงกับกานเฉาเอาไว้ที่ไหล่เขาอีกด้วย
ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ทำ แต่ยังมีคนอื่นในหมู่บ้านที่เริ่มปลูกสมุนไพรด้วยเช่นเดียวกัน
หวังเฟิงหมิงเป็นคนซื่อ ซึ่งต่างจากหวังเจ๋อเชิง ที่มักจะไปหาหวังเย้าอยู่บ่อยครั้ง ก่อนหน้านี้หวังเฟิงหมิงเคยมีความคิดที่จะปลูกสมุนไพรเช่นเดียวกัน แต่เป็นเพราะเขาไม่ต้องการแข่งขันกับหวังเย้า เขาจึงไม่เคยได้ลงมือทำสักครั้ง
เมื่อเขาขึ้นไปบนเขา เขาก็เห็นหวังเจ๋อเชิงที่กำลังแผ่วถางที่ดินอยู่ หลังจากที่ได้คุบจนรู้เรื่องราวแล้ว เขาก็ได้รู้ว่า หวังเจ๋อเชิงกำลังจะปลูกสมุนไพร และหวังเย้าก็คือคนที่แนะนำให้เขาเริ่มปลูก หวังเฟิงหมิงจึงไปหาหวังเย้าเพื่อสอบถามเรื่องนี้
“นี่ไม่ใช่เรื่องแย่เลยนะครับ ลุงก็แค่ต้องจัดการเรื่องการปลูกสมุนไพรเท่านั้น” หวังเย้าพูด “ถ้าไมรู้ตรงไหน ลุงก็ถามผมได้เลย แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องที่จะขายสมุนไพรเลยด้วย”
หวังเฟิงหมิงได้รับความชื่นชมจากคนในหมู่บ้านว่าเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ ดังนั้น หวังเย้าจึงสนับสนุนให้เขาทำอย่างเต็มที่
“ดีเลย” หวังเฟิงหมิงยิ้ม
เขากลับไปที่บ้านและเริ่มเตรียมการทั้งหมด เขาไม่สามารถปลูกสมุนไพรที่เนินเขาซีชานได้ ซึ่งหวังเย้าก็ได้แนะนำเรื่องนี้กับเขาเอาไว้ก่อนแล้ว และถึงหวังเย้าจะไม่บอก เขาก็ไม่คิดที่จะขึ้นไปบนเนินเขาซีชานอยู่แล้ว เพราะในตอนนี้ มันได้กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามของหมู่บ้านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย และไม่มีชาวบ้านขึ้นไปบนนั้นเลยสักคน
มันเป็นช่วงปลายเดินมิถุนายน อากาศจึงร้อนขึ้นไปด้วย ในหลายวันที่ผ่านมา อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 30 องศา อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 36 องศา ดีที่หมู่บ้านล้อมรอบไปด้วยต้นไม้นานาชนิด อากาศจึงยังถือว่าดี และเย็นกว่าในเมือง
แต่ถึงสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านจะดียังไง แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะซื้อบ้านในเมืองและย้ายออกไปอยู่ที่นั่น ซึ่งก็หมายความได้ว่า คนในหมู่บ้านหายไปเกินกว่าครึ่งของที่มีอยู่แต่เดิม
“ทำไมพวกเขาถึงคิดว่า ไปอยู่ในเมืองแล้วมันจะดีกว่าที่นี่ได้กันนะ?” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด
ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านนั่งพิงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่และพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย
“ก็พวกตึกสูงในเมืองมันติดตั้งเครื่องทำความอุ่นไว้ แล้วยังมีที่ให้ซื้อของได้ง่ายน่ะสิ” ชาวบ้านอีกคนพูด “ตอนนี้ มีคนหนุ่มไม่มากหรอก ที่คิดอยากจะมาอยู่ในหมู่บ้านน่ะ”
“ใช่ๆ ถ้าไม่มีอพาร์ทเมนต์หรือว่ารถละก็ พวกเขาก็คงจะหาคนแต่งงานด้วยไม่ได้หรอก” ชาวบ้านคนที่สามพูด
“โอ้ ไม่สิ ยังมีคนหนุ่มในหมู่บ้านเราอยู่อีนคนหนึ่งนี่นา” ชาวบ้านคนที่สองพูด “ก็เสี่ยวเย้าของบ้านเฟิงฮวายังอยู่ไม่ใช่เหรอ? ในสายตาของฉันน่ะนะ เขาก็เป็นหนุ่มอนาคตไกลของหมู่บ้านเราเลยล่ะ”
“แต่เขาก็รักษาจนทำให้คนตายเลยนะ” ชาวบ้านคนที่สามพูด
ในหมู่บ้าน มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบหวังเย้าปะปนกันไป
“ฉันได้ยินมาว่า มันเป็นแผนที่จะเบลคเมลล์เอาเงินจากเขาต่างหากล่ะ” ชาวบ้านอีกคนพูด “ศาลเขาได้พิจารณาลงโทษคนพวกนั้นไปแล้ว พวกมันไม่ใช่คนในพื้นที่ แล้วยังไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกมันทำกับคนอื่นแบบนี้ด้วย”
“ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีคนขับรถเข้ามาในหมู่บ้าน
“มีคนมาหาหมอล่ะ” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด
“ใช่ป้ายทะเบียนต่างเมืองรึเปล่าน่ะ?” ชาวบ้านอีกคนถาม
รถขับไปจอดอยู่ที่ด้านหน้าคลินิก เจิ้งเหว่ยจวินลงมาจากรถคันนั้นและเดินเข้าไปในคลินิก
สำหรับเรื่องการก่อตั้งบริษัทยานั้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ขั้นตอนการดำเนินงานทางบริษัทและเรื่องโรงงานมีการเดินหน้าอย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นผลมาจากอำนาจในมือของตระกูลเจิ้งด้วยที่ช่วยให้เรื่องทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะใจประเทศจีน พวกเขาถือเป็นหนึ่งในบริษัทระดับท๊อปของประเทศ
“หมอ ขั้นต่อไปก็จะเป็นการเริ่มก่อสร้างโรงงานแล้วนะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
ในเรื่องของทำเลการก่อสร้างโรงงานนั้น ทางเขตเหลียนชานได้เสนอทำเลให้พวกเขาได้พิจารณาอยู่หลายจุดด้วยกัน แล้วสุดท้าย พวกเขาก็ได้เลือกมาสองที่ หนึ่งอยู่ใกล้กับเขต และอีกหนึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน ทั้งสองล้วนอยู่ในตัวเมือง แต่สุดท้ายจะเลือกที่ไหนก็ยังไม่ได้รับการตัดสินใจ
“หมอหวังว่างไปดูที่ทั้งสองด้วยกันไหมครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“ว่างสิครับ” หวังเย้าพูด
“หมอว่างตอนไหนครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“ผมพอจะว่างช่วงบ่ายน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ครับ งั้นเราไปดูที่กันตอนบ่ายนะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
หลังจากนัดหมายเวลากันเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าก็แจ้งเอาไว้ในหน้าเวยป๋อของตัวเอง ว่าคลินิกจะปิดในตอนบ่าย
ตอนเที่ยง หวังเย้าได้เลี้ยงข้าวเจิ้งเหว่ยจวิน ในครั้งนี้ เจิ้งเหว่ยจวินพาแค่คนขับและบอดี้การ์ดอีกสองคนมาด้วยเท่านั้น ส่วนเจิ้งชื่อฉงไม่ได้มากับเขา ในระหว่างมื้ออาหาร หวังเย้าต้องการจะเชิญพวกเขามาทานอาหารด้วยกัน แต่ทั้งหมดกลับปฏิเสธเขา
“หมอหวัง ผมว่าอยากจะเชิญอาจารย์ดูฮวงจุ้ยมาดูที่ให้เราด้วยน่ะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ดูฮวงจุ้ยเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ครับ หมออาจจะไม่รู้ แต่เราค่อนข้างเชื่อเรื่องนี้อยู่มากเลยทีเดียวล่ะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “ทำเลสำหรับก่อสร้างโรงงานใหม่จะต้องให้อาจารย์ฮวงจุ้ยมาดูก่อน นี่ถือเป็นธรรมเนียมที่ทำกันมานาน แล้วมันก็ค่อนข้างมีประโยนช์ด้วยล่ะครับ”
อย่างน้อย ตัวหวังเย้าเองก็พอจะรู้ว่า คนมากมายและบริษัทใหญ่จำนวนมากมักจะมีปัญหาเพราะเรื่องของฮวงจุ้ยอยู่บ่อยๆ และมันเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยคนนอกเข้ามาจัดการให้
หวังเย้ายิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ “เขาจะมาวันนี้เหรอครับ?”
“เขามีเรื่องต้องไปจัดการก่อนครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “ตอนนี้เขากำลังเดินทางมาอยู่ น่าจะมาถึงสักประมาณบ่ายสามโมง แล้วค่อยให้เขามาดูที่กับเราได้ครับ”
“อ่อ” หวังเย้าพูด
เขาก็อยากจะเจอกับ “อาจารย์” ดูฮวงจุ้ยอยู่เหมือนกัน เขาเคยเจออาจารย์ดูฮวงจุ้ยมาหลายคน ในความคิดของเขานั้น เมี่ยวซานถือเป็นของแท้แค่คนเดียวในทั้งหมด
หลังจากทานอาหารและพักผ่อนกันแล้ว เขาและเจิ้งเหว่ยจวินก็นั่งไปในรถคันเดียวกัน และเดินทางไปที่สถานที่หนึ่งในสองที่เลือกเอาไว้ มันอยู่ใกล้กับถนนที่ขยายออกมาใหม่ของตัวจังหวัด ดังนั้น การเดินทางจึงสะดวกสบายและถนนมีความกว้าง มันจึงถือเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การสร้างโรงงาน
“เราลงไปดูรอบกันดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ก็ดีครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
รถขับเข้าไปจดที่ข้างถนน ทั้งสองลงมาจากรถด้วยกัน
ในบริเวณนี้มีข้าวถูกปลูกเอาไว้ หากมีการตกลงที่จะสร้างโรงงานขึ้นที่นี่ ทางเขตก็จะเข้ามาดูแลในเรื่องของที่ดินผืนนี้ ทางทิศตะวันออกและทิศใต้มีถนนให้รถขับผ่าน ทางทิศตะวันตกเป็นเนินเขาเล็กๆที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ส่วนทางทิศเหนือมีป่าผืนหนึ่งตั้งอยู่
หวังเย้ามองไปรอบๆ “อืม ที่นี่ไม่เลวเลย”
“เราไปดูอีกที่กันไหมครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“ครับ” หวังเย้าพูด
พวกเขาขับรถไปอีกที่หนึ่ง ที่ดินอีกผืนตั้งอยู่ติดกับสวนสาธารณะเฉิงเป่ย มันเป็นพื้นที่ราบ มีกระต๊อบตั้งอยู่สองสามหลัง หากได้รับการดูแลก็สามารถใช้การได้ ทางทิศเหนือ, ตะวันตกและออกมีถนนตั้งอยู่ ซึ่งสะดวกต่อการเดินทาง
“หมอคิดว่า ที่นี่เป็นยังไงบ้างครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
เขาค่อนข้างพอใจกับที่ตรงนี้ เพราะมันง่ายสำหรับการขนส่ง และยังอยู่ใกล้กับเขต ซึ่งก็หมายถึงแรงงานที่หายได้ง่ายไปด้วย ปัญหาคือที่นี่เป็นเขตอุตสาหกรรม ไม่ใช่ที่ดินทำไร่ ดังนั้น อาจจะเกิดปัญหาการโต้แย้งอยู่บ้าง
“ลองเข้าไปดูกันเถอะครับ” หวังเย้าพูด
มันเป็นที่ดินรกร้างที่ไม่มีอะไรมาปิดการเข้าออก หวังเย้ามองไปรอบๆและเดินออกมา
“ผมไม่ค่อยชอบที่นี่สักเท่าไหร่เลย” หวังเย้าพูด
“ทำไมล่ะครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“มันมีโรงงานผลิตแบตเตอร์รี่อยู่ด้วย” หวังเย้าชี้ไปที่โรงงานหนึ่งที่อยู่ทางทิศเหนือ “โรงงานนั้นผลิตมลพิษออกมาเป็นจำนวนมาก แล้วน้ำก็ถูกปนเปื้อนจากมลพิษด้วย”
โรงงานแห่งนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่ในเขตเหลียนชาน ในตอนที่เริ่มมีการก่อตั้งโรงงานนี้ขึ้นมา ก็ได้มีการออกข่าวอยู่หลายวัน ในสองปีแรก มันได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม แต่แล้วปัญหาหลายๆอย่างก็ค่อยๆตามมา การผลิตแบตเตอร์รี่ได้สร้างมลพิษในระดับสูง และด้วยเหตุนี้ โรงงานถึงถูกปฏิเสธไม่ให้ก่อสร้างขึ้นในหลายพื้นที่ แต่ในเขตเหลียนชาน โรงงานกลับยังอยู่ภายใต้การพัฒนา ในเวลานั้น ทางเจ้าหน้าที่ของเขตได้อนุญาตเพื่อความก้าวหน้าทางการเมือง แต่ในเวลานี้ เมื่อมีกฎหมายเรื่องการคุ้มครองสภาพแวดล้อมออกมา ปัญหาทั้งหมดก็ถูกนำออกมาเปิดเผยให้กับผู้คนได้รับทราบ
มันไม่ใช่เรื่องดีเลย กับการที่ต้องเสียสละทรัพยากรธรรมชาติให้กับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
“ตรงนั้นก็เป็นโรงงานผลิตยางรถยนต์” หวังเย้าชี้ไปที่โรงงานขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
“มลพิษสูงเหรอครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“มลพิษเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น” หวังเย้าพูด “บริษัทนั้น ตอนที่สร้างขึ้นมาใหม่ๆ ได้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่ว ทางบริษัทได้เคลมว่า พวกเขาลงทุนไปกว่าหนึ่งพันล้านหยวน และเท่าที่ผมรู้ตอนนี้ บริษัทมีหนี้อยู่จำนวนมากและไม่สามารถทำต่อได้แล้ว”
699 เลือกทำเล
บริษัทมีชื่อเสียงในเขตเหลียนชาน บริษัทเริ่มต้นในขอบข่ายที่กว้างมาก คนจำนวนมากได้เข้าไปทำงานที่นั่น แต่สุดท้าย ทุกอย่างกลับกลายเป็นความสับสนวุ่นวาย คนงานไม่ได้รับค่าจ้าง ดังนั้น พวกเขาจึงไปร้องเรียนกับทางหน่วยงานรัฐ และในเวลานี้ บริษัทก็แทบจะไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้
“อย่างนั้นเหรอครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินขมวดคิ้ว
หนึ่งในบอดี้การ์ดของเขาเดินเข้ามาพูดด้วย
“โอเค บอกให้เขามาได้เลย” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “หมอหวัง อาจารย์ดูฮวงจุ้ยมาแล้วครับ”
“โอ้ ผมชักอยากเจอเขาซะแล้วสิ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
สิบนาทีต่อมา รถหรูคันหนึ่งได้มาถึงและประตูรถก็ถูกเปิดออก ชายวัยประมาณ 40 เดินลงมาจากรถ เขาสวมชุดจีนโบราณแบบมีคอและดูเด็กกว่าอายุจริง
“ผมขอแนะนำให้รู้จัก นี่คือ หมอหวัง ส่วนนี่คือ อาจารย์เสวี่ย ครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จักครับ” อาจารย์เสวี่ยพูด
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” หวังเย้าพูด
พวกเขามองหน้ากัน ก่อนที่จะจับมือกันพอเป็นพิธี
“อาจารย์เสวี่ย นี่เป็นที่ที่เราเลือกไว้ว่าจะตั้งเป็นโรงงานครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “อาจารย์ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมครับ?”
“ได้สิ” อาจารย์เสวี่ยพูด
เขาหยิบเข็มทิศออกมาจากกระเป๋า แล้วก็เดินไปตามขอบของพื้นที่เป็นครั้งคราว เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านใน
“อืม ที่นี่เป็นที่ที่ดี มันจะนำโชคลาภมาให้” อาจารย์เสวี่ยพูด
“เป็นสถานที่ที่จะนำโชคลาภมาให้อย่างนั้นเหรอครับ?” หวังเย้าถามด้วยความแปลกใจ เขาไม่คิดว่า ที่นี่จะเหมาะแก่การสร้างโรงงานเลย และรู้สึกสนใจอยากจะรู้ว่า อาจารย์เสวี่ยคนนี้ใช้อะไรมาตัดสินในเรื่องนี้
“พื้นที่ราบเรียบ และลมที่นี่ก็ดี” อาจารย์เสวี่ยพูด “ที่ตรงนี้ยังอยู่ในตำแหน่งสูง จากการอ่านเข็มทิศของอาจารย์นั้น ที่นี่เป็นที่ที่ยอดเยี่ยมเลยล่ะ!”
เขายังคงบรรยายเรื่องฮวงจุ้ยออกมาเรื่อยๆ ราวกับผู้เชี่ยวชาญจริงๆ เขายังสามารถนำมันไปเชื่อมต่อกับตัวอักษรวันเกิดของเจิ้งเหว่ยจวิน ซึ่งมันทำให้หวังเย้ารู้สึกคล้อยตามไปด้วยได้ ไม่เพียงแต่อาจารย์เสวี่ยคนนี้จะมีความรู้เรื่องฮวงจุ้ยเท่านั้น แต่เขายังเป็นคนที่มีวาทศิลป์ดีเยี่ยมอีกด้วย
คนส่วนใหญ่คงเลือกที่จะเชื่อคำพูดของเขา มันก็เหมือนกับที่คนไม่รู้ความถูกหลอกโดยผู้รู้
“หมอหวังคิดว่ายังไงครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถามเสียงเบา
ไม่ว่าอาจารย์เสวี่ยจะพูดยังไง เขาก็ยังอยากจะฟังความจากหวังเย้าในการตัดสินใจเรื่อลนี้ด้วย
“เราไปอีกที่กันดีไหมครับ?” หวังเย้าเสนอ
“ได้ครับ อาจารย์เสวี่ย เราไปดูอีกที่กันดีไหมครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ได้สิ” อาจารย์เสวี่ยพูด
ใช้เวลาเพียงไม่นาน รถสองคันก็พาคนทั้งสามมาถึงอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยข้าว
“ที่นี่เหรอ?” อาจารย์เสวี่ยทำแบบเดียวกับที่ก่อนหน้านี้ “ฮวงจุ้ยของที่นี่ไม่ดีนะ”
“ทำไมล่ะครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“การไหลเวียนของลมที่นี่ไม่ราบรื่น คุณเห็นเนินเขาตรงนั้นไหม?” อาจารย์เสวี่ยชี้ไปที่เนินเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ “เนินเขาตรงนั้นบดบังโชคลาภ ทิศตะวันออกของที่ตรงนี้สูง ส่วนทิศตะวันตกกลับต่ำกว่า แล้วยังมีคลองอยู่ตรงกลางอีกด้วย”
อาจารย์เสวี่ยชี้ไปที่ลำคลองที่หากไม่สังเกตดีดีก็จะไม่เห็นเลย “จากความรู้ของอาจารย์ ที่นี่ไม่ดีและไม่เหมาะจะเป็นที่ที่เอาไว้ทำธุรกิจ รวมไปถึงอารอยู่อาศัยด้วย”
“ผมว่า ต้นข้าวที่นี่ก็โตได้ดีนะครับ” หวังเย้าชี้ไปที่ต้นข้าวในนา
“มันคนละเรื่องกับที่อาจารย์พูดน่ะสิ” อาจารย์เสวี่ยพูดออกมาโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก
“ผมเข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับ อาจารย์เสวี่ย” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ไม่มีปัญหา” อาจารย์เสวี่ยพยักหน้า เขามีท่าทางอ่อนน้อมและสงบราวกับผู้เชี่ยวชาญจริงๆ
“หมอหวังคิดว่ายังไงครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม เขาให้ความเคารพในการติดสันใจเลือกทำเลของหวังเย้า และเลือกที่จะฟังความเห็นจากเขาเป็นหลัก
“คุณอยากรู้จริงๆเหรอ?” หวังเย้าถาม
“แน่นอนสิครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ผมคิดว่า ที่นี่ทำเลดีกว่าอีกที่หนึ่ง” หวังเย้าชี้ไปที่นาข้าว
“ครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด ในเมื่อหวังเย้าเลือกแบบนี้ เขาก็ตัดสินใจที่จะสร้างโรงงานขึ้นที่นี่ สำหรับเขา มันก็แค่โรงงานโรงงานหนึ่งเท่านั้น
“ผมตัดสินใจแล้ว เราจะสร้างโรงงานกันที่นี่นะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“คุณไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมผมถึงเลือกที่นี่น่ะ?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม
ในเมื่อเจิ้งเหว่ยจวินตัดสินใจ การที่ขอให้อาจารย์เสวี่ยมาดูฮวงจุ้ยให้ก็ถือเป็นการเสียเวลาพวกเขาอย่างมาก โชคดีที่ตอนนี้ อาจารย์เสวี่ยไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย หวังเย้าคิดภาพไม่ออกเลยว่า อาจารย์เสวี่ยจะโมโหมากแค่ไหน
“อยากรู้สิครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ผมคิดว่า การไหลเวียนของลมที่นี่ค่อนข้างราบรื่น ดิน, ต้นไม้, และน้ำมาจากธรรมชาติจริงๆ” หวังเย้าชี้ไปที่เนินเขาและลำธารเล็กๆ “ในความคิดของผม เราจำเป็นต้องมีเนินเขาลูกนั้น เพราะมันจะช่วยเรื่องการดูดซับพลังฉี”
สิ่งที่หวังเย้าพูดออกมานั้นง่ายต่อการทำความเข้าใจ
“หมอรู้เรื่องฮวงจุ้ยด้วยเหรอครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“นิดหน่อยน่ะ” หวังเย้าพูด
เจิ้งเหว่ยจวินคิดว่า หวังเย้าเพียงแค่ถ่อมตัวเท่านั้น เขาเชื่อว่า หวังเย้าสามารถกลายเป็นอาจารย์ดูฮวงจุ้ยที่เก่งกาจได้เลย รวมไปถึงการเป็นหมอที่เก่งกาจด้วย ถ้าหวังเย้าบอกว่าตัวเองมีความรู้เรื่องฮวงจุ้ยเพียงน้อยนิด เจิ้งเหว่ยจวินกลัวว่า คงจะเหลืออาจารย์ดูฮวงจุ้ยที่รู้จริงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นแล้ว จริงๆแล้ว หวังเย้าถือว่ามีความรู้ในเรื่องของฮวงจุ้ยเป็นอย่างดี
“ที่ที่อยู่ติดกับตัวเมืองไม่ค่อยดีเท่าไหร่ การไหลเวียนพลังฉีของที่นั่นก็ถูกปิดกั้นเอาไว้” การได้ยืนอยู่จุดๆหนึ่งเพียงวินาทีเดียว หวังเย้าก็สามารถรับรู้ถึงพลังฉีได้แล้ว เพราะตัวเขานั้นสามารถสื่อสารกับพลังฟ้าดินได้ ซึ่งคนปกติทั่วไปไม่มีทางรับรู้ถึงมันได้เลย
“แล้วค่าดูฮวงจุ้ยคงจะไม่ใช่ถูกๆด้วยสินะครับ” หวังเย้าพูด
“ใช่ครับ ผมจ่ายเขาไป…” เจิ้งเหว่ยจวินชูขึ้นมาห้านิ้ว
“เดินไปเดินมาสองที่ก็ได้ห้าหมื่นเลยเหรอ?” หวังเย้าตกใจ
“มันไม่ถือว่าแพงหรอกนะครับ หมอคิดว่ามันแพง เพราะหมอไม่ได้ทำงานอยู่สายนี้เท่านั้น ราคานี้เป็นราคาที่เขาลดให้แล้วนะครับ ปกติเขาคิดแพงกว่านี้อีก” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“โอ้โห ได้เงินกันง่ายจริงๆ” หวังเย้าพูด
เจิ้งเหว่ยจวินเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น เขาคิดว่า ยาของหวังเย้ายังมีราคาเป็นพันหรือสูงกว่านี้ด้วยซ้ำ และมันก็ถือเป็นการได้เงินมาง่ายๆเช่นเดียวกัน แต่ตัวเขารู้ดีว่า สิ่งที่หวังเย้าทำนั้นสร้างประโยชน์มากกว่า เงินทองไม่สามารถเทียบกับสุขภาพได้อยู่แล้ว
“แล้วคืนนี้ หมอหวังว่างไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“ว่างสิ” หวังเย้าพูด
ตอนเย็น ในขณะที่พวกเขากำลังทานอาหารกันอยู่นั้น เจิ้งเหว่ยจวินก็ได้ถามคำถามเรื่องฮวงจุ้ยกับอาจารย์เสวี่ยอยู่หลายคำถาม
“อาจารย์ดูดวงได้ไหมครับ?” หวังเย้าถามด้วยความสงสัย
“ได้สิ” อาจารย์เสวี่ยพูด
จริงเหรอเนี่ย? หวังเย้าคิดในใจ
“อาจารย์ช่วยดูให้ผมได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“คุณ…” อาจารย์เสวี่ยใช้ความคิดและมองไปที่ใบหน้าของหวังเย้า ในตอนแรกที่พบหน้ากัน เขาให้ความสนใจหวังเย้าเป็นพิเศษ เพราะเจิ้งเหว่ยจวินดูเหมือนจะให้ความเคารพต่อชายหนุ่มคนนี้อยู่มาก เขารู้ฐานะของเจิ้งเหว่ยจวินดี และเจิ้งเหว่ยจวินไม่ใช่คนที่จะผูกมิตรกับคนอื่นไปทั่ว แต่เขากลับเคารพหวังเย้า ดังนั้น หมอคนนี้จะต้องเป็นคนพิเศษอย่างแน่นอน
หลังจากวิเคราะห์ใบหน้าของหวังเย้าอย่างละเอียดดีแล้ว อาจารย์เสวี่ยก็พบว่ามีความพิเศษบางอย่างอยู่ เขาพบว่า หวังเย้าไม่ใช่แค่ชายหนุ่มหน้าตาดีทั่วๆไปเท่านั้น
ถึงยังไงเขาก็ถือเป็นอาจารย์ จึงพอมีความรู้ในเรื่องของการดูโหงวเฮ้งอยู่ด้วย แม้ว่าเขาขะเน้นไปที่เรื่องของการดูฮวงจุ้ยมากกว่าก็ตามที แต่เขาก็ยังเข้าในเรื่องของปรัชญาและตัวเลขด้วย เรื่องพวกนี้มีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่ เมื่อรู้หนึ่งก็จะรู้สองสามสี่ต่อๆไป
เขาเคยดูโหงวเฮ้งให้กับหลาบคน ใบหน้าของทุกคนมีความแตกต่างกันไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยน ก็คือ ไม่มีใครที่มีใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ จากศาสตร์ตัวเลขนั้น ไม่มีชีวิตของใครที่จะสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง บางคนมีอายุยืน แต่กลับไม่เคยรวย บางคนมีอำนาจเงินทอง แต่ลูกหลานกลับไม่ได้เรื่อง ไม่มีใครมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบไปหมด
แต่อาจารย์เสวี่ยกลับไม่เห็นกระฝ้าบนใบหน้าที่ใสราวกับหยกของหวังเย้าเลยสักนิดเดียว เขามีใบหน้าที่ดี คิ้ว, ผม, และกระดูกล้วนสมบูรณ์แบบ มันทำให้อาจารย์เสวี่ยแปลกใจมาก
“หมอหวังมีใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า หมอหวังเป็นคนมีโชคที่ยอดเยี่ยม” ในที่สุดอาจารย์เสวี่ยก็พูดออกมา
“โอ้ ขอบคุณครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“หมอหวังเป็นผู้ฝึกตนด้วยเหรอ?” อาจารย์เสวี่ยถาม
“คืออะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ก็คนที่ฝึกปฏิบัติไปในทางเต๋าหรือไม่ก็ทางพุทธยังไงล่ะ พวกเขาถือว่าเป็นผู้ฝึกตนเหมือนกัน” อาจารย์เสวี่ยพูด
“ถ้าแบบนั้นก็ถือว่าใช่ครับ ผมเป็นผู้ฝึกตน” หวังเย้าพูด เขาฝึกฝนการหายใจอย่างสม่ำเสมอ
“ไม่แปลกใจเลยจริงๆ” อาจารย์เสวี่ยพูด
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“มันเป็นเรื่องยากที่จะดูโชคชะตาของผู้ฝึกตนจากใบหน้าของพวกเขาน่ะสิ” อาจารย์เสวี่ยพูด เขาได้อธิบายเรื่องศาสตร์ตัวเลข ซึ่งน้อยครั้งที่เขาจะพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง “อาจารย์ไม่คิดเลย ว่าจะมาเจอผู้ฝึกตนที่อายุน้อยแบบหมอ”
“ผมก็แค่ท่องบทสวดในคัมภีร์เต๋าเท่านั้นเองครับ” หวังเย้าพูด
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ เจิ้งเหว่ยจวินก็สั่งให้คนพาอาจารย์เสวี่ยไปที่บ้าน ส่วนหวังเย้ายังคงอยู่
“หมอหวัง อาจารย์เสวี่ยถือเป็นคนมีความรู้คนหนึ่งเลยนะครับ เมื่อหลายปีก่อน เขาก็เคยดูเอาไว้ว่า ผมจะป่วยหนัก แล้วก็ชี้แนะให้ผมมาที่หมู่บ้านของหมอเพื่อรับการรักษา” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“จริงเหรอ?” หวังเย้ารู้สึกทึ่ง
“จริงครับ ตอนนี้ ผมยังคิดอยู่เลยว่า เรื่องทั้งหมดมันน่าเหลือเชื่อมาก ถ้าไม่อย่างนั้น ผมก็คงจะไม่จ้างเขามาจนถึงทุกวันนี้หรอกครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
ในเมื่อพวกเขาเลือกทำเลที่ตั้งได้แล้ว เรื่องที่เหลือก็ง่ายขึ้นมาก
700 สำรวจและทำแผนที่เนินเขาหนานชาน
เรื่องที่เหลือทั้งหมด เจิ้งเหว่ยจวินและซุนหยุนเชิงจะเป็นคนจัดการเอง หรือคงจะเป็นกลุ่มคนที่ติดตามพวกเขาที่ทำแทน
ในตอนเย็น หวังเย้าและเจิ้งเหว่ยจวินได้แลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเรื่องบริษัทยาและการจัดการในเรื่องของธุรกิจ
หวังเย้าไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านนี้ แต่เขาเชี่ยวชาญในเรื่องยาแทน ความคิดของเขาจึงค่อนข้างเรียบง่าย บริษัทจะผลิตเฉาพะยาสมุนไพรจีนเท่านั้น และจะไม่เข้าไปยุ่งกับยาของทางแพทย์แผนตะวันตก ส่วนเจิ้งเหว่ยจวินก็ไม่ได้มีความคิดเห็นที่ต่างไปจากเขา
ส่วนเรื่องสูตรยานั้น ทั้งหมดจะถูกจัดเตรียมโดยหวังเย้า
“หมอสามารถเสนอสูตรยามาได้สักกี่สูตรครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“ประมาณหกหรือเจ็ดสูตร” หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเย้าก็พูดออกมา สูตรยาเหล่านี้ไม่ได้รวมสมุนไพรรากเอาไว้
“เยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินประหลาดใจ
“เยอะไปเหรอ?” หวังเย้าถาม
“เราไม่จำเป็นต้องใช้สูตรยาเยอะขนาดนั้นหรอกครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “หมออาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจในอุตสาหกรรมการผลิตยาสักเท่าไหร่ ความจริงแล้ว บริษัทยาส่วนใหญ่จะไม่ผลิตยาออกมาหลายสูตร เพราะยาหลายสูตรก็หมายถึงอุปกรณ์ผลิตที่ต่างกัน อย่างที่สองก็คือ การผลิตยาแต่ละตัวจะต้องได้รับอนุญาตทางด้านการผลิตด้วย โดยปกติ บริษัทยาเลยเน้นไปที่การผลิตยาแค่ไม่กี่ตัว แล้วก็คาดหวังกำไรจากตรงนั้นแทนน่ะครับ”
เขายังอธิบายอีกว่า ในประเทศยังไม่มีกฎหมายป้องกันการจดสิทธิบัตรภายในประเทศ เพราะถ้าเป็นต่างประเทศ พวกเขาก็จะไม่สามารถผลิตยาเหล่านี้ได้เลย
“ความหมายของผมก็คือ เราควรทำการโปรโมทยาตัวหลักของทางบริษัทเป็นตัวแรก” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “หลังจากตัวยาได้ผลดี และกลายเป็นที่จดจำของตลาดแล้ว เราก็ค่อยปล่อยยาตัวอื่นออกไป”
“อืม ตกลงตามนั้นครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วยาตัวไหนที่หมอหวังคิดจะเลือกเป็นตัวแรกดีครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“ผมขอคิดดูก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
ตอนที่หวังเย้ากลับไปถึงหมู่บ้าน มันก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว เขาเข้าไปทักทายพ่อแม่ของเขาเพื่อไม่ให้พวกท่านต้องเป็นห่วง ก่อนที่จะกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน
เช้าวันต่อมา มีคนเดินทางมาที่หมู่บ้าน พวกเขามีเครื่องมือ, เครื่องวัด, และสีสำหรับทำเครื่องหมาย มันคือวันทำงานธรรมดาๆวันหนึ่งของพวกเขา
“กำลังทำอะไรกันอยู่เหรอ?” มีคนในหมู่บ้านเข้าไปถามด้วยความสงสัย
“ก็ไม่มีอะไรหรอก เราแค่กำลังทำแผนที่เท่านั้นเองครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งตอบกลับไป
“ทำแผนที่เหรอ?” ในคืนนั้น หวังเย้าก็ต้องแปลกใจ เมื่อได้ยินว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นจากปากของพ่อเขา “บางที อาจจะเป็นการเก็บข้อมูลก็ได้”
ในวันที่สาม พวกเขาก็มาอีกครั้ง ในครั้งนี้ พวกเขาได้พากันขึ้นไปบนเนินเขาตงชาน และก็เป็นอีกครั้งที่พวกเขาทำงานตลอดทั้งวัน
ชาวบ้านต่างก็พากันสงสัยในพฤติกรรมของพวกเขา
“หมู่บ้านนี่ดีนะ แต่น่าเสียดาย” คนงานพูด
“นี่ เรามีหน้าที่แค่ทำงานเท่านั้น มันไม่ใช่บ้านของเราสักหน่อย” คนงานอีกคนพูด
หวังเย้ากำลังคิดเกี่ยวกับสูตรยาอยู่ภายในคลินิกของเขาเอง เขาพิจารณาหาสูตรยาที่เหมาะจะใช้ผลิตออกสู่ตลาดเป็นตัวแรก และเขาก็ได้ทำการจดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้วด้วย
“บนเขาลูกนั้นมีต้นไม้เยอะเลย!” คนงานที่มาทำหน้าที่สำรวจชี้ไปที่เนินเขาหนานชานจากจุดที่พวกเขายืนอยู่บนเนินเขาตงชาน
บนเนินเขาตงชานและซีชานก็มีต้นไม้อยู่เช่นกัน แต่เกือบครึ่งหนึ่งได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่สำหรับทำการเกษตรไปแล้ว ซึ่งต่างจากเนินเขาหนานชาน ที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม
“ไปดูกันเถอะ” คนงานคนหนึ่งพูดขึ้นมา
ถึงยังไง ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ต้องไปสำรวจที่นั่นอยู่แล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงพากันตรงไปที่เนินเขาหนานชานด้วยกัน แต่เมื่อไปถึงทางเชื่อมต่อระหว่างเนินเขา พวกเขาก็ถูกต้นไม้หลายแถวปิดทางเอาไว้ ต้นไม้เหล่านี้เป็นเหมือนกับกำแพงหลายชั้น และขึ้นติดกันอย่างหนาแน่น
“นี่ ดูเหมือนต้นไม้พวกนี้จะดูเป็นแบบแผนมากเลยนะ” คนงานคนหนึ่งพูด
พวกเขาใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อที่จะผ่านกำแพงต้นไม้เข้าไป
“ต้นไม้พวกนี้คือต้นอะไรเหรอ?” คนงานคนหนึ่งถามขึ้มา
“นี่ ตรงนั้นมันต้นองุ่นนี่!” คนงานคนหนึ่งชี้ไปที่ต้นองุ่นป่า
“มีผลไม้อย่างอื่นอีกไหม?” คนงานอีกคนถาม
“นายกล้าเอามากินเหรอ?” เพื่อนอีกคนของเขาถาม
“กินได้สิ ฉันจะลองกินดู” ชายหนุ่มเลือดร้อนเดินเข้าไปเด็ดผลไม้และชิมดู “โว้ว มันหวานมากเลย!”
“ปกติตอนนี้ มันเป็นเวลาเก็บองุ่นแล้วเหรอ?” คนงานอีกคนถาม
โดยปกติ เวลานี้จะไม่ใช่เวลาสำหรับการเก็บเกี่ยวองุ่น มันควรจะเป็นอีกเดือนหลังจากนี้ แต่บนเนินเขาหนานชานกลับมีองุ่นลูกโตพร้อมเก็บในเดือนนี้แล้ว การเติบโตของพืชพรรณเหล่านี้แตกต่างไปจากปกติมาก
“ไหน เอามาลองชิมดูซิ” เหล่าคนงานเริ่มลงมือทำงานอีกครั้ง
“นี่ ตรงนั้นดูเหมือนจะมีบ้านอยู่ด้วยหลังหนึ่งนะ!” คนงานชี้ไปที่กระท่อม
โฮ่ง!
อยู่ๆก็มีเสียงคำรามดังขึ้น
“มีหมาอยู่ด้วย” คนงานคนหนึ่งพูด
“หมาพันธุ์อะไรกัน ทำไมถึงได้เห่าเสียงดังขนาดนี้ได้?” คนงานอีกคนถาม
เมื่อพวกเขาได้เห็นตัวสุนัข มันก็ทำให้พวกเขาต่างก็ลืมไม่ลง
“โอ้ นั่นใช่หมาพันธุ์ทิเบตันรึเปล่าน่ะ?” คนงานคนหนึ่งถาม
“ฉันว่ามันเป็นสิงโตมากกว่านะ” คนงานอีกคนพูด
“หมาอะไร ทำไมถึงได้ตัวใหญ่ขนาดนี้ได้?” คนงานแต่ละคนต่างก็ตกตะลึงกับขนาดของสุนัข
เมื่อเห็นสุนัขที่ยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าของแต่ละคนก็เปลี่ยนไป
“ถ้าเกิดเราโดนมันกัดขึ้นมาล่ะ?” หนึ่งในคนงานถาม
“อย่าขยับ ค่อยๆถอยหลังช้าๆนะ” คนงานอีกคนพูด
คนงานทั้งหมดค่อยๆถอยหลัง สุนัขก็ติดตามพวกเขาไปอย่างช้าๆ มันเดินตามไปจนกระทั่งพวกเขาโผล่ไปอีกด้านของกำแพงต้นไม้
ท่าทีของสุนัขทำให้เหล่าคนงานต่างก็ต้องเหงื่อตก
“มีหมาตัวใหญ่ขนาดนี้อยู่บนเขาได้ยังไงกัน?” หนึ่งในพวกเขาพูดขึ้นมา
“นี่ เรายังจะทำงานกันต่ออยู่ไหม?” คนงานอีกคนถาม
“ทำสิ เราต้องทำงานต่อให้เสร็จ” หัวหน้าของพวกเขาพูด” ข้อมูลยังเก็บได้ไม่ครบเลย
“ฉันไม่อยากไปเลย หมาตัวนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว” คนงานคนหนึ่งพูด
“ฉันจะไปถามหาเจ้าของหมาตัวนั้นกับผู้ดูแลหมู่บ้านดู แล้วก็ค่อยให้เขามัดมันเอาไว้” หัวหน้าคนงานพูด
พวกเขาลงไปจากเขาและไปที่บ้านของหวังเจียนหลี่ “ทำแผนที่เหรอ? คืออะไรกัน?”
“นี่เป็นใบอนุญาตของพวกเราครับ หลักๆแล้วงานของเราก็คือการเก็บข้อมูลพื้นที่” หัวหน้าคนงานพูด
“เนินเขาหนานชานอยู่ในสัญญาเช่า คนนอกไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้” หวังเจียนหลี่พูด
“เราแค่จะเข้าไปเก็บข้อมูลเท่านั้นเองครับ” หัวหน้าคนงานพูด “ใช้เวลาไม่นานหรอก”
“ผมจะลองถามเขาดูให้นะ” หวังเจียนหลี่กดโทรออกหาหวังเย้า
“ไม่ได้ครับ” หวังเย้าตอบ
หวังเจียนหลี่ส่งต่อคำพูดของหวังเย้าให้กับคนงาน
“ทำไมล่ะครับ?” หัวหน้าคนงานถาม
“มันก็แค่ เขาไม่อยากให้พวกคุณขึ้นไปบนนั้น” หวังเจียนหลี่พูด “ตอนนี้ก็มีจานดาวเทียมแล้ว ทำไมพวกคุณยังจะต้องมาออกหาข้อมูลทำแผนที่เองด้วยล่ะ?”
เขารู้สึกไม่ค่อยจะชอบคนเหล่านี้สักเท่าไร พวกเขาเดินไปทั่วหมู่บ้านมาหลายวันแล้ว แต่พวกเขากลับไม่เคยมาพูดอะไรกับหวังเจียนหลี่เลยสักครั้ง พวกเขามาหาหวังเจียนหลี่เฉพาะในตอนที่พวกเขาเจอปัญหาก็เท่านั้น
“แบบนั้นมันไม่เหมาะน่ะครับ” หัวหน้าหมู่บ้านพูด
“โดรนก็มีนี่นา” หวังเจียนหลี่พูด “ก็ลองใช้ดูสิ!”
“ครับๆ อย่าโมโหเลยนะครับ เราจะลองกลับไปที่นั่นดูก่อน” หัวหน้าคนงานพูด
เหล่าคนงานเดินออกมาจากหมู่บ้าน
“เป็นแค่คนดูแลหมู่บ้านเล็กๆแค่นี้แท้ๆ ยังจะมาทำตัวอวดดีอีก” หนึ่งในคนงานพูด
“เรื่องนี้เราเองที่ผิด” หัวหน้าคนงานพูด “เรามาที่หมู่บ้านนี้ได้หลายวันแล้ว แต่กลับไม่มีใครในหมู่พวกเราที่ไปแจ้งเขาเลย”
“หัวหน้าไม่ได้บอกพวกเขาไว้แล้วเหรอ?” คนงานถาม
“หัวหน้าน่าจะไม่ได้บอกนะ” หัวหน้าคนงานพูด
“แล้วตอนนี้ พวกเราจะทำยังไงกันดี? ไปคุยกับหัวหน้าดูก่อนไหม?” คนงานคนหนึ่งถาม
“พวกเขาคงไม่อยากทำให้มันยุ่งยากหรอกด” หัวหน้าคนงานพูด “นายมีโดรนรึเปล่า? เราเอามาลองใช้ดูดีกว่า”
ในตอนเย็น หวังเจียนหลี่ไปที่บ้านของหวังเย้า และบอกเรื่องที่เขาได้พบกับพวกคนงานในวันนี้
“บนเนินเขาหนานชานน่ะเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“อืม พวกเขาโดนหมาของเธอไล่ออกมาน่ะ” หวังเจียนหลี่รับบุหรี่มาจากหวังเย้า
หวังเย้าเงียบไปพักหนึ่ง “ลุงครับ พวกเขาคิดจะทำอะไรเหรอครับ?”
“ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเขาแค่อยากจะทำแผนที่ แล้วก็เก็บข้อมูลเท่านั้น” หวังเจียนหลี่พูด
เก็บข้อมูลอย่างนั้นเหรอ? หวังเย้าเริ่มรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้
หวังเจียนหลี่อยู่คุยกับหวังเฟิงฮวาที่บ้านของหวังเย้าอยู่ยี่สิบกว่านาที ในความคิดของหวังเย้านั้น หวังเจียนหลี่ถือเป็นคนที่พูดเก่งคนหนึ่ง
สองสามวันต่อมา คนงานก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับโดรน
“นี่ มีไอ้นี่อยู่ทำงานได้ง่ายขึ้นเยอะเลยนะ” คนงานคนหนึ่งพูด
“ระวังด้วยล่ะ การใช้งานมันยากนะ” หัวหน้าคนงานพูด
“รู้แล้วน่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย” คนงานตอบ
โดรนบินขึ้น คนงานที่อยู่ด้านล่างก็เริ่มการบันทึกข้อมูล
“นี่ ทำไมที่นี่ถึงได้ดูแปลกๆ?” เมื่อโดรนบินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน ภาพทุกอย่างก็กลายเป็นพล่าเลือน ภาพที่ส่งกลับมาไม่มีความชัดเจนเลย
บังคับให้บินต่ำลงดูซิ” หัวหน้าพูด
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! มีเสียงเห่าดังมาจากเขา
“หมาตัวใหญ่ตัวนั้นนี่” คนงานคนหนึ่งพูด
“ไม่ต้องไปกลัว” หัวหน้าพูด “หมามันบินไม่ได้อยู่แล้ว!”
“ใช่!”
กี๊ซ!
“อะไรน่ะ?!”
การสื่อสารกับโดรนถูกรบกวน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นที่นั่นกันน่ะ?”
“มันโดนทำลายแล้ว มันพังแล้ว!”
“อะไรพัง?”
“ก็โดรนน่ะสิ!”
พวกเขามองหน้ากันโดยที่พูดอะไรไม่ออกสักคำ
“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน?”
“เร็วเข้า รีบไปเอาโดรนกลับมา!”
“ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย? มันมีหมาอยู่ที่นั่นด้วยนะ!”
เหล่าคนงานไม่มีทางเลือก จึงต้องกลับไปขอความช่วยเหลือที่บ้านของหวังเจียนหลี่
“นี่เอาโดรนมาใช่จริงๆเหรอเนี่ย!” หวังเจียนหลี่พูดไม่ออก หลังจากที่ได้ยินพวกเขาพูด
“ครับ เลขาหวัง โดรนเป็นของหลวง แล้วตอนนี้มันก็ตกลงบนเขา คุณช่วยไปเอากลับมาให้เราได้ไหม?”
701 ซ่อมถนน ตัดผ่านเขา
หวังเจียนหลี่ถอนหายใจ เขาจำใจต้องไปหาหวังเย้าที่คลินิก
“ร่วงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่” หวังเจียนหลี่พูด
“เข้าใจแล้วครับ” หวังเย้าพูด
เขาบังเอิญตรวจคนไข้เสร็จและไม่มีอะไรทำอยู่พอดี พวกเขาก็พากันเดินไปที่เนินเขาหนานชาน
“รอตรงนี้นะครับ” หวังเย้าพูด
“ทำไมเราถึงเข้าไปด้วยไม่ได้ล่ะ?” คนงานถาม
“คุณจะยอมให้คนแปลกหน้าเข้าไปในบ้านของคุณรึเปล่าล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
“แต่นี่มันก็แค่เขาลูกเดียวเอง” หนึ่งในคนงานพูด
“แต่นี่เป็นเขาของผม” หวังเย้าพูดเสียงเย็น
คนงานไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะพูดยังไงดี พวกเขามองดูหวังเย้าที่เดินขึ้นเขาผ่านไปตามเส้นทางเล็กๆระหว่างต้นไม้
“เขาของเขางั้นเหรอ? โม้ชัดๆ!” หนึ่งในคนงานพูดอย่างไม่พอใจ
“ใช่! ทำตัวอวดดีจริงๆ!” คนงานอีกคนเห็นด้วย
ระหว่างทางขึ้นเขา หวังเย้าได้เจอเข้ากับซานเซียนที่คาบอะไรบางอย่างเอาไว้ในปาก
“นายทำมันร่วงลงมาเหรอ?” หวังเย้าถามด้วยความสงสัย
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนเห่าขึ้นฟ้า
“นายหมายถึงต้าเซี่ยเหรอ?” หวังเย้าถาม
โฮ่ง!
บังเอิญจริงๆ! หวังเย้าหัวเราะ เขามีผู้ช่วยที่สุดยอดอยู่ทั้งบนดินและบนฟ้า
“ทำได้ดีมาก! ขอบคุณมากนะ!” หวังเย้าลูบศีรษะของซานเซียนและยิ้มออกมา “ส่วนเจ้านี่…” หวังเย้ามองไปที่โดรนในมือของเขา
คนงานที่รออยู่ตรงตีนเขาของเนินเขาหนานชานเริ่มทนรอไม่ไหว
“ทำไมเขายังไม่กลับมาอีกเนี่ย?” คนงานคนหนึ่งพูด
“ผมว่าเขาคงยังหาโดรนไม่เจอ รอก่อนเถอะ” หวังเจียนหลี่พูด
“นายคิดว่า บนเขานั้นมีอะไรอยู่ เขาถึงได้ไม่อยากให้ใครขึ้นไปน่ะ?” คนงานคนหนึ่งถาม
“มันจะต้องเป็นพวกโสมป่าหรือไม่ก็สมุนไพรราคาแพงแน่ๆ” คนงานอีกคนพูด
พวกเขารออยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่หวังเย้าจะกลับมาพร้อมกับโดรน
“นี่เป็นโดรนที่พวกเขาหาอยู่รึเปล่า?” หวังเย้าส่งโดรนให้กับคนงานคนหนึ่งไป
“มัน…มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน?” คนงานถามด้วยความอึ้งงัน
เขาประหลาดใจที่สภาพของโดรนเสียหายอย่างมาก และคงจะไม่สามารถซ่อมให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมอีกแล้ว
“ผมเจอมันอยู่ที่ก้อนหินใกล้กับตีนเขาน่ะ บางทีมันอาจจะกระแทกเข้ากับก้อนหินตอนที่มันร่วงลงมาจากฟ้าก็ได้ พวกคุณก็เห็นว่ามันเสียหายขนาดไหน” หวังเย้าพูด
“โอเค ขอบคุณมาก” คนงานพูด
พวกเขาต่างก็ต้องผิดหวังกลับไป
“เราจะรายงานเรื่องนี้กับหัวหน้ายังไงกันดีล่ะ?” หนึ่งในคนงานพูด
“โดรนก็ไม่ใช่ราคาถูกๆเลยด้วย” คนงานอีกคนพูด
“ใช่ มันราคาเป็นหมื่นหยวนเลยนะ” หนึ่งในคนงานพูด
คิดว่า หัวหน้าจะหักเงินจากเงินเดือนของพวกเรารึเปล่า?” คนงานอีกคนพูด
พวกเขาทั้งหมดต่างก็เสียใจ พวกเขาตั้งใจที่จะไม่เข้าใกล้เนินเขาหนานชานอีกแล้ว
ตอนที่หวังเย้าเจอโดรน มันไม่ได้เสียหายมากมายอะไร เขาใช่เวลาศึกษามันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะใช้มือของเขาทำลายมัน ชิ้นส่วนสำคัญของโดรนแตกละเอียดและไม่สามารถนำกลับมาซ่อมได้อีก เขาไม่ต้องการให้โดรนถ่ายรูปแปลงสมุนไพรของเขาไป ถ้าไม่อย่างนั้น ความลับของเขาก็จะถูกเปิดเผยออกไป
คนงานนำโดรนไปซ่อมที่ร้าน และอยากจะลองดูว่า พวกเขาจะมีโชคเหลืออยู่หรือไม่
“คุณแน่ใจนะว่ามันตกลงไปที่พื้น ไม่ใช่ว่าโดนรถชนน่ะ?” พนักงานในร้านถาม
“แน่ใจสิ” คนงานพูด
“ผมว่าแบบนี้คงจะซ่อมไม่ได้แล้วล่ะ ต้องเอาทิ้งอย่างเดียว” พนักงานร้านพูด
“อะไรนะ!” คนงานร่ำร้อง “ไม่นะ!
พวกเขาต้องโดนว่าแน่ๆ
“ทำไมพวกเขาต้องสั่งให้เราไปสำรวจไอ้ที่บ้าๆนั่นด้วย?” หนึ่งในคนงานบ่น
ในเป็นวันที่ร้อนอบอ้าว อุณหภูมิในตอนกลางวันอยู่ที่ 37 องศา และในหมู่บ้านก็ร้อนยิ่งกว่านั้น
ซุนหยุนเชิงมาหาหวังเย้าที่หมู่บ้านด้วยความเร่งรีบ
“สวัสดีหยุนเชิง มีอะไรให้ผมช่วยเหรอ?” หวังเย้าถาม
“หมอหวัง ดูนี่ทีสิครับ” เขานำแผนการสร้างถนนทางหลวงให้หวังเย้าดู
“ทางหลวงเว่ยห่าย?” หวังเย้ารู้เรื่องที่จะมีการสร้างทางหลวงขึ้น ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
“ใช่ครับ มันเป็นถนนที่จะเชื่อมระหว่างห่ายชิวกับเมืองเว่ย แล้วก็ได้รับการอนุญาตจากรัฐแล้วด้วย การก่อสร้างได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่ลองดูนี่สิครับ” เขาชี้ไปที่จุดหนึ่งในแผนที่
“นั่นมัน?” หวังเย้าตกใจ
ทางหลวงจะตัดผ่านทิศตะวันออกของหมู่บ้าน และดูเหมือนจะผ่าเข้าสู่กลางเนินเขาหนานชานพอดี
เห็นได้ชัดว่า มันจะต้องมีการทำลายสิ่งกีดขวางในการก่อสร้างทางหลวงออกทั้งหมด บ้านจะถูกรื้อทิ้ง และเขาก็จะถูกขุดทิ้ง
“ผมจะให้ทางหลวงตัดผ่านหมู่บ้านไม่ได้เด็ดขาด” หวังเย้าพูด “มันแปลกมากเลยนะ ตอนที่วางแผนสร้างถนน พวกเขาก็น่าจะสำรวจดูพื้นที่นั่นๆก่อนนี่”
“พวกเขาจะมาตรวจแน่ครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “พวกเขาส่งคนมาสำรวจเพื่อเตรียมเอาไว้สำหรับในอนาคต แล้วอีกไม่นานพวกเขาก็จะจัดการเรื่องงบประมาณต่อ”
หวังเย้าเข้าใจในทันทีว่าทำไมคนงานเหล่านั้นถึงได้มาสำรวจพื้นที่ในหมู่บ้าน พวกเขามาเพราะเรื่องของการสร้างทางหลวง เขาน่าจะถามคนเหล่านั้นตั้งแต่แรก ว่าพวกเขามาทำอะไรที่หมู่บ้าน
“ผมเดาว่า นี่คงจะไม่ใช่แผนเดิมสินะ” หวังเย้าพูด
ถ้าหากทางหลวงจะตัดผ่านหมู่บ้านของพวกเขาจริงๆ มันก็ควรจะอยู่ในแผนเดิม และทางรัฐก็จะต้องเข้ามาจัดการเรื่องค่าชดเชยให้กับชาวบ้านในการที่ต้องรื้อถอนบ้านและที่ดินทั้งหมด เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องควรจะเข้ามาที่หมู่บ้านตั้งนานแล้ว และทุกคนในหมู่บ้านก็จะต้องพูดกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ หวังเย้ามั่นใจว่า มันจะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นานนี่เอง
“ผมลองถามเจ้าหน้าที่ดูแล้ว แผนเดิมไม่ใช่แบบนี้เลย พวกเขาเพิ่งจะเปลี่ยนแผนไปเมื่อไม่นานมานี้ ส่วนนี่เป็นแผนที่ของแผนเดิมครับ” ซุนหยุนเชิงกางแผนที่อีกแผ่นหนึ่ง “เห็นไหมครับ แผนที่ใหม่มันอ้อม…”
“มันเหมือนกับจงใจที่จะตัดผ่านมาทางหมู่บ้านใช่ไหม?” หวังเย้าถาม
“ใช่ครับ ผมเห็นด้วย” ซุนหยุนเชิงพูด
“แล้วมันเป็นแผนของใครเหรอ?” หวังเย้าถาม
“โดยทางเทคนิคแล้ว แผนการสร้างทางหลวงทั้งหมดจะต้องได้รับการอนุมัติจากทางจังหวัดก่อนครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “แผนการจะถูกส่งขึ้นไปยังเจ้าหน้าที่ระดับสูง ผมคิดว่า คนที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องนี้น่าจะเป็นฝ่ายโครงสร้างของจังหวัดครัล”
“เราเปลี่ยนแผนได้ไหม?” หวังเย้าถาม
“ผมได้ยินมาว่า มันเป็นเรื่องยากมากครับ คนของผมได้ลองติดต่อกับคนที่ดูแลเรื่องนี้ดูแล้ว” ซุนหยุนเชิงพูด
ถึงแม้ธุรกิจของซุนเจิ้งหรงจะมีขนาดใหญ่ และมีเส้นสายมากมายอยู่ภายในจังหวัด แต่ตระกูลของเขาก็ไม่มีอำนาจมากพอที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของการสร้างทางหลวง ซึ่งใช้งบประมาณในการก่อสร้างหลายพันล้านหยวน
แล้วการเปลี่ยนแปลงแผนการก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะหากมีการปรับเปลี่ยนแผนอีก ก็จะทำให้การก่อสร้างล่าช้าออกไปด้วย และรัฐก็ต้องการให้การก่อสร้างเสร็จสิ้นภายในเดือนพฤษภาคมปีหน้า
“แล้วพวกเปลี่ยนเพราะอะไรเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ผมได้ยินมาว่า มีการค้นพบน้ำใต้ดินในส่วนของแผนที่เดิมที่จะก่อสร้างถนน ซึ่งมันจะทำให้การก่อสร้างยุ่งยากขึ้น ดังนั้น พวกเขาก็เลยเปลี่ยนแผนน่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“นายคิดว่า มันสมเหตุสมผลรึเปล่า?” หวังเย้าถาม เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องการก่อสร้างนัก ในขณะที่ซุนหยุนเชิงเข้าใจในเรื่องนี้มากกว่าเขามาก เพราะตระกูลของเขามีการลงทุนในด้านการพัฒนาที่ดินอยู่
“ไม่เลยครับ! ถ้าดูจากเทคโนโลยีในปัจจุบันแล้ว จะสร้างสะพานข้ามทะเลก็ยังได้ แค่น้ำใต้ดินไม่ถือว่าเป็นปัญหาเลยสักนิด” ซุนหยุนเชิงพูด “เรื่องการรักษาน้ำใต้ดินก็เป็นความคิดที่โง่เง่ามาก พวกเขาก็แค่สร้างสะพานข้ามจุดนั้นไปก็ได้แล้ว และมันก็ไม่ส่งผลเสียกับธรรมชาติด้วย”
“ขอบคุณที่จัดการเรื่องนี้ให้ผมนะ” หวังเย้าพูด
“ผมจะพยายามให้ถึงที่สุดครับ หมอหวัง” ซุนหยุนเชิงพูด
“ผมจะรับจ่ายค่าใช้จ่ายที่จำเป็นทั้งหมด นายแค่คอยบอกข่าวเรื่องการสร้างทางหลวงให้ผมได้รู้ให้เร็วที่สุดก็พอแล้ว” หวังเย้าพูด
“ได้ครับ” ซุนหยุนเชิงพูดออกมา หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ผมจะพยายามใช้เส้นสายทั้งหมดแก้ไขเรื่องนี้ดู ถ้าหมอรู้ว่า มีใครที่พอจะหยุดเรื่องนี้ได้ ก็อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือนะครับ ผมคิดว่า อีกไม่นานก็คงจะมีคนเข้ามาจัดการเรื่องค่าชดเชยให้กับชาวบ้านแล้ว”
“ผมรู้” หวังเย้าพูด
ซุนหยุนเชิงไปบังเอิญได้ยินเรื่องนี้มาจากงานเลี้ยงงานหนึ่ง จากนั้น เขาก็รีบขอแผนที่จากคนที่รู้จักและนำมันมาให้หวังเย้าได้ดูในทันที
ฮึ่ม! หลังจากที่ซุนหยุนเชิงกลับไปแล้ว หวังเย้าก็เอาแต่คิดถึงเรื่องการสร้างทางหลวงไม่หยุด เขาต้องการรู้ว่า ทำไมถึงได้เปลี่ยนแผนการสร้างถนน แต่สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือการที่เขาจะต้องหยุดมันให้ได้
ฉันควรจะไปคุยกับใครดี?
หลังจากที่คิดดูสักพัก เขาก็ตัดสินใจไปหาหยางห่ายชวนที่ห่ายชิว หยางห่ายชวนเป็นหัวนำของห่ายชิว เขากดโทรหาหยางห่ายชวน แต่สายก็ถูกตัดไปในทันที
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมง หยางห่ายชวนก็โทรกลับมาหาหวังเย้า “ขอโทษทีนะหมอหวัง พอดีผมกำลังประชุมอยู่น่ะ มีเรื่องอะไรให้ผมช่วยเหรอ?”
หวังเย้าทำการนัดหมายกับหยางห่ายชวน ในวันต่อมา หวังเย้าก็ขับรถออกจากหมู่บ้านแต่เช้าเพื่อมุ่งหน้าไปห่ายชิว
หยางหายชวนไม่ได้นัดเจอกับหวังเย้าที่ที่ทำงาน และก็ต้องประหลาดใจกับสาเหตุการมาในครั้งนี้ของหวังเย้า
“ผมไม่รู้เลย ว่าทำไมพวกเขาถึงได้เปลี่ยนแผนแบบนี้” เขาพูด แน่นอนว่า มีการรายงานเรื่องการเปลี่ยนแปลงแผนการกับเขาแล้ว แต่พวกเขาแจ้งเพียงว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อยเท่านั้น และเขาก็ไม่ได้ถามลงรายละเอียดด้วย “ทางหลวงจะตัดผ่านเข้าไปในหมู่บ้านของหมอเหรอ?”
“ครับ” หวังเย้าพูด
“รอเดี๋ยวนะ” หยางห่ายชวนกดโทรออกต่อหน้าหวังเย้า
“มันเป็นคำขอของฝ่ายก่อสร้างของจังหวัดน่ะ ไม่ใช่จากทั้งเมืองเว่ยหรือห่ายชิว” หยางห่ายชวนพูด หลังจากที่วางสายเสร็จแล้ว
“มันเป็นไปได้ไหมครับ ที่ทางหลวงจะไม่ต้องตัดผ่านหมู่บ้านของผมน่ะ?” หวังเย้าถาม
“อืม เรื่องนี้มันจะยุ่งยากหน่อยนะ” หยางห่ายชวนพูด
เขาอยากจะช่วยหวังเย้า แต่ตำแหน่งในปัจจุบันของเขากลับไม่เอื้ออำนวยและค่อนข้างยุ่งยาก ในฐานะผู้นำของห่ายชิว เขาจำเป็นต้องหาข้ออ้างดีดีสำหรับเรื่องการเปลี่ยนแปลงแผนการอีกครั้ง
702 คิดถึงอีกแล้ว
ถึงเขาจะเป็นผู้นำของเมือง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะสามารถตัดสินใจเรื่องทุกอย่างได้ เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอกจากว่าเขาจะมีเหตุผลดีดีมาเป็นข้ออ้าง
หวังเย้าเข้าใจในคำพูดของเขา
“หมอหวังไม่พอใจกับค่าชดเชยที่จะจ่ายให้เหรอ?”
“อ้อ เปล่าหรอกครับ ผมแค่คิดว่า การเปลี่ยนแผนมันเกิดขึ้นกระทันกัน เหมือนกับจงใจจะตัดเข้าหมู่บ้านกับเนินเขาหนานชานน่ะครับ ผมเช่าเนินเขานี้เอาไว้และลงทุนลงแรงกับมันไปมาก ผมเลยไม่อยากให้เรื่องนี้มาทำลายความพยายามทั้งหมดของผมลงน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“งั้นผมจะลองคิดหาวิธีจัดการกับเรื่องนี้ดูให้นะ” หยางห่ายชวนพูด เขาเคยคิดว่า หวังเย้าไม่พอใจกับค่าชดเชยที่รัฐจะให้ แต่กลับคาดไม่ถึงว่า หวังเย้าจะมาด้วยสาเหตุนี้แทน
“ขอบคุณนะครับ คุณหยาง” หวังเย้าไม่คิดว่า หยางห่ายชวนจะพยายามช่วยจัดการเรื่องนี้ให้กับเขา เพราะหากดูจากตำแหน่งงานของเขาแล้ว ก็ดูเหมือนว่า เขาจะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ไม่มากนัก
“จะอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนไหม?”
“ไม่ละครับ ผมคงต้องขอตัวกลับก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางดีดีล่ะ!”
หลังแยกจากหยางห่ายชวนมาแล้ว หวังเย้าก็ขับรถกลับไปที่เขตเหลียนชานและพบว่า ถนนกำลังมีการก่อสร้างอยู่ มันยังถือว่าอยู่ห่างจากหมู่บ้านอยู่มาก หวังเย้ายังพอมีเวลาอยู่
หลังกลับมาถึงที่บ้านแล้ว เขาก็นั่งฟังพ่อแม่ของเขาคุยกันเรื่องที่กำลังจะมีการตัดผ่านถนนมาที่หมู่บ้าน
“เธอไปได้ยินมาจากที่ไหนเหรอ?”
“ก็วันนี้เลขาหมู่บ้านมาที่บ้านของเราน่ะสิ ถนนจะตัดผ่านทางตะวันออกของหมู่บ้าน แล้วก็ตัดผ่านเนินเขาหนานชานด้วย เห็นว่า จะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บรูปเอาไว้สำหรับจ่ายค่าดเชยด้วย” จางซิวหยิงพูด
“เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
“แม่ พ่อ ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง”
“โอ้ ดีจ๊ะ” ในฐานะของแม่คนหนึ่ง เธอรู้ดีว่า ลูกชายของเธอทุ่มเทให้กับเนินเขาหนานชานไปมากแค่ไหน และทำไมแผนการสร้างถนนถึงกลายเป็นปัญหาแบบนี้
หมู่บ้านของพวกเขาล้อมรอบไปด้วยเนินเขา การก่อสร้างถนนจำเป็นต้องตัดผ่านเนินเขาหนานชาน และอาจจะรวมเนินเขาเป่ยชานที่เต็มไปด้วยหินเข้าไปด้วย ถ้าพวกเขาจะสร้างถนนผ่านทางนั้นจริงๆ มันก็คงจะต้องใช้งบประมาณสูงมาก
ในตอนบ่าย หวังหมิงเปากลับมาจากในตัวเมืองและไปหาหวังเย้าที่คลินิก ในเวลานั้น หวังเย้าก็กำลังฝังเข็มคนไข้อยู่
“รอเดี๋ยวนะ ชงชากินเองได้ตามสบาย”
“อืม นายทำงานไปเถอะ” หวังหมิงเปาพูด เขาเทชาใส่ถ้วยชาและรออยู่ไม่ไกล
หลังจากผ่านไปได้สามสิบนาที ก็ไม่มีคนไข้เข้ามาอีก
“มีเรื่องอะไรเหรอ?” หวังเย้าที่ล้างมือเสร็จก็ถามขึ้นมา
“ก็ทางหลวงที่กำลังสร้างจะตัดผ่านเข้ามาในหมู่บ้านกับเนินเขาหนานชานน่ะสิ”
“อืม ฉันรู้แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด
“นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ” หวังหมิงเปาพูดอย่างโมโห เขามาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้โดยเฉพาะ
“ใช่”
“นี่ แล้วแบบนี้นายจะทำยังไงล่ะ?”
“ฉันกำลังคิดหาวิธีอยู่”
“ฉันลองขอให้เพื่อนของฉันลองยื่นเรื่องขอเปลี่ยนแผนนี้ดูแล้ว แต่ทางเมืองเหมือนจะตัดสินใจเรื่องนี้เองไม่ได้” หวังหมิงเปาพอจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหวังเย้าและอยางห่ายชวนอยู่บ้าง
“ไม่ใช่พวกเขาตัดสินใจไม่ได้ แต่เป็นเพราหาเหตุผลดีดีไม่ได้ต่างหากล่ะ” ถ้ามีเหตุผลที่เหมาะสม หยางห่ายชวนก็คงจะทำการเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างแล้ว เพราะเรื่องการก่อสร้างทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของผู้ดูแลพื้นที่ แต่ปัญหาสำคัญก็คือ ไม่มีเหตุผลที่ดีในการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้เลย
การรายเรื่องการเปลี่ยนแปลงจะต้องมีการลงรายละเอียดอย่างระมัดระวัง เพื่อที่ฝ่ายบริหารจะได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน มันเป็นเรื่องที่จำเป็นในการทำงานใหญ่แบบนี้
หวังหมิงเปาดื่มชาหมดไปสองถ้วย เขาไม่สามารถช่วยเรื่องนี้ได้มากนัก แล้วระดับของงานนี้ก็ใหญ่มากด้วย
“นายลองถามเสี่ยวซวีดูรึยัง?”
มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ที่ความสัมพันธ์ระหว่างหวังเย้ากับซูเสี่ยวซวี และหวังหมิงเปาก็คือหนึ่งในนั้น เพราะเขาและหวังเย้าถือว่าเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากที่สุด
“ยังเลย เธอยังเป็นนักศึกษาอยู่นะ”
“ยังไงก็ยังต้องบอกเธอ แค่ต้องพูดไม่กี่ประโยคเท่านั้นเอง สำหรับเรามันอาจจะยาก แต่สำหรับพวกเขากลับเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว” หวังหมิงเปาพูด
“อืม”
พวกเขาทั้งสองอยู่คุยกันภายในคลินิก แล้วก็มีคนไข้เข้ามา
“ตอนนี้นายคงจะยุ่ง ไว้เราคุยกันอีกทีตอนเย็นนะ”
ในเย็นวันนั้น พวกเขาได้จองห้องส่วนตัวกับร้านอาหารใกล้บ้าน
“ฉันลองถามมาแล้ว เรื่องนี้มีการเปลี่ยนแปลงแบบชั่วคราว” หวังหมิงเปาพูด “มีบางอย่างเกิดขึ้นนอกเหนือจากแผนการที่วางไว้ มันก็เลยต้องเปลี่ยน มีคนไม่พอใจอยู่หลายคนเหมือนกัน”
“เรื่องนี้คงจะเกี่ยวกับฉันด้วยเหมือนกัน” หวังเย้าพูด
“เรื่องนี้มันจะไปเกี่ยวกับนายได้ยังไงกัน? หรือนายไปทำให้ใครไม่พอใจเข้า เขาถึงได้เล่นหนักขนาดนี้น่ะ?” หวังหมิงเปาถาม
“เขาทำได้แน่ แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะทำถึงขนาดนี้” หวังเย้าพูด “แล้วฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำถึงขนาดนี้ด้วย ดูเหมือนว่าพ่อของเขาจะไม่ได้สนใจพฤติกรรมลูกชายของเขาเลย”
“พ่อของเขาเป็นใครเหรอ?”
“กั๋วจ้าวจวิน)
“หืม ชื่อคุ้นๆนะ นั่นมันชื่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจังหวัดนี่!” หวังหมิงเปาตะโกนออกมา
ไม่แปลกที่เขาจะคุ้นชื่อของกั๋วจ้าวจวิน เพราะเขาเป็นถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจังหวัด และเป็นรองแค่คนเดียวเท่านั้น และพูดได้ว่า เขามีโอกาสสูงที่จะได้เป็นผู้ว่าจังหวัดคนต่อไป ผู้ว่าคนปัจจุบันได้จะเกษียณแล้ว และเขาก็คือคนที่จะมารับตำแหน่งต่อ
“แล้วนายไปมีปัญหากับลูกชายของเขาได้ยังไงกัน?”
“ฉันจะเล่ายังไงดีล่ะ?” หวังเย้าพูด “เขาชอบเสี่ยวซวีมาก แล้วก็มาขอให้ฉันยกเธอให้เขา แต่ฉันไม่ยอม”
“เชี่ย!” หวังหมิงเปาพูดออกมาด้วยความโมโห
“เขาคิดว่า ตัวเองเป็นใครกัน?”
“เราไม่จำเป็นต้องไปสนใจเขาหรอก แต่ปัญหาอยู่ที่พ่อของเขาต่างหากล่ะ” หวังเย้าพูด
“บางทีพ่อของเขาอาจจะไม่รู้เรื่องเลยก็ได้ แต่เป็นเขาที่อาศัยชื่อพ่อของตัวเองทำเรื่องนี้ เพราะคนระดับพวกเขา เวลาจะทำอะไรก็ต้องระวังไว้ก่อน เพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง”
“นายหมายความว่ายังไงเหรอ?” หวังเย้าถาม “นายจะให้ฉันไปบอกพ่อของเขาว่า ลูกชายของเขาทำเรื่องน่าอับอายให้เขาอย่างนั้นน่ะเหรอ? นายคิดว่าฉันที่เป็นคนธรรมดาจะขอเข้าพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ง่ายๆอย่างนั้นเหรอ? แล้วถ้าเกิดนายไปรังแกคนอื่นหรือทำเรื่องผิดกฎหมายมา นายคิดว่าพ่อของนายจะทำยังหลังจากที่รู้เรื่องล่ะ? เขาจะด่าว่านาย แต่ไม่มีทางที่จะส่งตำรวจไปจับนาย เขาจะยังคงยืนอยู่ข้างนายเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่นายก่อยังไงล่ะ”
ไม่ว่าเขาจะระวังตัวเองแค่ไหน แต่นี่ก็คือลูกชายเพียงคนเดียวของเขา ถ้าหากเขาจะไม่ทำตามกฎเกณฑ์บางอย่างเพื่อลูกชายของเขา มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แล้วหวังเย้าก็ไม่มีหลังฐานที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นความผิดของกั๋วเจิ้งเหอด้วย
“เฮ้อ ก็ได้ๆๆ!”
“มาชนแก้วกันดีกว่า!”
“ชนแก้ว!”
พวกเขาออกมาจากร้านอาหารตอนเวลาประมาณสามทุ่ม
หวังเย้าเข้าไปคุยกับพ่อแม่ของเขา ก่อนที่จะกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน
ในตอนเย็น หวังเย้าคิดอยากจะโทรไปหาซูเสี่ยวซวี แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่า ทันทีที่เขาเดินขึ้นไปถึงเนินเขาหนานชาน ซูเสี่ยวซวีจะเป็นฝ่ายโทรมาหาเขาก่อน
“กินอะไรรึยังคะ? แล้วกินอะไรบ้าง? หมออยู่ที่ไหนคะ? แล้วเรื่องงานเป็นยังไงบ้าง? เหนื่อยรึเปล่า?”
น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนโยน มันราวกับว่า มีหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดามาอยู่ตรงหน้าเขา เมื่อได้ฟังเสียงของเธอ ปัญหาทั้งหมดที่มีก็ถูกโยนทิ้งไปจนหมด
ซูเสี่ยวซวีมีความสุขมาก
ไม่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอจะดีกว่า หวังเย้าคิด
เขาคิดหาทางอื่นไว้แล้ว
เขาสามารถใช้เส้นสายผ่านทางตระกูลหวูที่ปักกิ่งได้
คนทั้งสองพูดคุยกันอยู่สักพัก จากนั้นก็วางสาย
วันต่อมา มีคนเดินทางมารักษาที่คลินิกมากขึ้น
พอตรวจคนไข้ไปได้สองสามคน หวังเย้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนท้องเสียมากมายขนาดนี้ และคนไข้ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็ก อาการท้องเสียเหล่านี้เกิดจากเชื้อโรคร้าย
การรักษาของหวังเย้านั้นเป็นไปอย่างเรียบง่าย เขาขับเชื้อร้ายเหล่านั้นออกไป ซึ่งมันก็สามารถเห็นผลได้ภายในเวลาหนึ่งวัน
หวังเย้ายุ่งอยู่กับงานไปตลอดทั้งวัน จนกระทั่งเวลาห้าโมงเย็น คนไข้คนสุดท้ายก็กลับไป ในตอนที่เขากำลังทำความสะอาดภายในคลินิกอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังมาจากด้านนอก
มีคนกำลังมา
เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆลอยมาตามลม
“เธอมาได้ยังไงกัน?” หวังเย้าตกใจ
ในเวลานี้ อีกฝ่ายยังเดินมาไม่ถึง ระหว่างพวกเขามีกำแพงและประตูขวางกั้นเอาไว้อยู่
“หมอรู้ได้ยังไงคะ ว่าเป็นฉันที่มาน่ะ?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยความแปลกใจ หลังจากที่เธอเดินเข้ามาถึงด้านในแล้ว
“ผมได้กลิ่นของเธอน่ะสิ” หวังเย้ายิ้ม “วันนี้เธอไม่มีเรียนเหรอ?”
“วันนี้ไม่มีเรียนค่ะ ฉันคิดถึงหมอ ฉันก็เลยมาหายังไงล่ะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
หวังเย้ากางแขนอ้ารับเธอเข้ามาในอ้อมกอด
เฮ้อ คุณหนูคนนี้ชอบทำอะไรตามอำเภอใจจริงๆ ชูเหลียนที่รออยู่ด้านนอกส่ายหน้าอย่างระอา
มันไม่ใช่เพราะเธอไม่มีเรียน แต่เป็นเพราะอยู่ๆเธอก็คิดถึงเขาขึ้นมา เธอก็เลยลาหยุดสองวันและมาหาเขาที่นี่ต่างหาก ในมหาวิทยาลัยมีคนในตระกูลทำงานเป็นอาจารย์อยู่ถึงสามคน และหนึ่งในนั้นก็เป็นถึงอธิการบดีของมหาวิทยาลัยด้วย ดังนั้น จึงไม่มีใครสามารถพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ และทำได้เพียงไม่สนใจไปซะ
หวังเย้าพาซูเสี่ยวซวีไปที่บ้านของเขา พ่อแม่ของเขามีความสุขมาก โดยเฉพาะแม่ของเขาที่รีบร้อนเตรียมอาหารไว้จนเต็มโต๊ะ ในระหว่างมื้ออาหาร เธอก็ตักอาหารให้ซูเสี่ยวซวีอยู่บ่อยครั้ง
หลังจากทานอาหารเสร็จ หวังเย้าก็จับมือเธอพาออกไปเดินเล่นรอบๆหมู่บ้าน
“คนที่มารักษาตัวที่หมู่บ้านล่ะคะ? พวกเขายังอยู่ที่นี่กันไหมคะ?”
“สองคนหายดีแล้ว ตอนนี้เหลืออยู่แค่คนเดียวเท่านั้น”
“ฉันรู้สึกว่า ตอนกลางคืนจะมีคนน้อยกว่าครั้งก่อนที่ฉันมาที่นี่นะคะ” ซูเสี่ยวซวีที่ยืนอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน มองเห็นว่ามีบ้านหลายหลังที่ไม่ได้เปิดไฟ
“พวกเขาย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองแล้วล่ะ”
พวกเขาเฮโลตามกันไปหมด!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น