Elixir Supplier 693-696
693 ผู้ที่ไม่เคารพชีวิตของผู้อื่นจะต้องได้รับผลของการกระทำ
“เธอทำแท้งเหรอ? แล้วอาจารย์ดูยังไงเหรอ?” พันจวินถามด้วยความประหลาดใจ
ปกติแล้ว การดูว่าผู้หญิงท้องหรือไม่ท้องนั้นไม่ได้ยากมาก แต่การจะบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นเคยทำแท้งมาหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
“ผมบอกได้จากการสังเกตดูเธอครับ กลิ่นที่ผมสัมผัสได้จากตัวเธอมันเกี่ยวข้องกับการทำแท้งครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วเธอป่วยเป็นโรคของผู้หญิงเหรอ?” พันจวินถาม
“ใช่ครับ แล้วก็หนักมาด้วย” หวังเย้าพูด “เธอน่าจะเปลี่ยนคู่นอนเยอะมากเลยล่ะครับ”
“ในเมื่ออาจารย์บอกให้พวกเธอกลับมาวันนี้ แล้วทำไมอาจารย์ไม่ตรวจพวกเธอซะล่ะ?” พันจวินถามด้วยความไม่เข้าใจ เขาคิดว่า ไม่มีคนไข้คนไหนสมควรจะได้รับการปฏิบัติแบบนั้น ถ้าหากเขาเป็นคนไข้ เขาก็คงจะรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
“เหตุผลที่ผมให้พวกเธอกลับมา เพราะต้องการให้โอกาสผู้หญิงอีกคนต่างหากล่ะครับ” หวังเย้าพูด
“เธอก็ป่วยเหมือนกันเหรอ?” พันจวินถาม
“ครับ เธอยังเคยทำแท้งมาก่อนด้วย” หวังเย้าพูด
“จริงเหรอ?” พันจวินตกตะลึง
คนที่เป็นเพื่อนกันได้มักจะมีความคล้ายกันในบางเรื่อง แล้วทั้งสองก็เคยทำแท้งมาเหมือนกันด้วย
“เธอเลือกคบเพื่อนผิดน่ะครับ” หวังเย้าพูด
หลังจากขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว ทั้งสองก็ยังคงไม่หายโมโหหวังเย้า
“แม่ง! ไอ้หมอนั่นทุเรศจริงๆ! ฉันจะร้องเรียนให้คลินิกของมันโดนปิดไปซะเลย” หนึ่งในนั้นพูด
“อย่าโกรธไปเลยนะ” เพื่อนของเธอที่กำลังคิดถึงคำพูดของหวังเย้าอยู่ได้พูดขึ้นมา
เธอคิดในใจ เขาหมายความว่ายังไงกัน?
“เข้าไปในเมืองกันเถอะ” เพื่อนของเธอพูด
“เธอจะเข้าไปทำไมเหรอ?” เธอถาม
“ก็ไปร้องเรียนไอ้คลินิกนี่น่ะสิ!” หญิงสาวน่าตาดีไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
“เธอเอาจริงเหรอ?” อีกคนถาม
“แน่นอนสิ” หญิงสาวหน้าตาดีพูด เธอไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆหรอก
พวกเธอเดินทางไปที่ที่กรมอนามัยเพื่อส่งเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับคลินิกของหวังเย้า
“คุณช่วยจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดจะได้ไหมคะ?” หญิงสาวหน้าตาดีถาม
“เราจะลองดูว่าพอจะทำอะไรได้บ้างนะครับ” เจ้าหน้าที่รับรายงานไป
ตามหลักการทั่วไปแล้ว ทางกรมอนามัยจะทำการตรวจสอบทุกเรื่องที่ได้รับการร้องเรียนมา แต่ครั้งนี้ เจ้าหน้าที่รู้สึกสงสัยในเรื่องที่หญิงสาวสองคนร้องเรียนมาว่า หวังเย้าทำตัวไร้มารยาทและเชื่อถือไม่ได้ เจ้าหน้าที่รู้จักคลินิกของหวังเย้า เพราะเหลียนชานเป็นเมืองเล็กๆ ดังนั้น ข่าวสารจึงเดินทางรวดเร็วและทั่วถึงกัน หวังเย้าและคลินิกของเขาถือว่าค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่ในเหลียนชานนี้
เจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องมาคิดในใจ หมอหวังมีชื่อเสียงที่ดีมากนะ
“ฉันว่า สองคนนั้นต้องไม่ใช่คนที่นี่แน่” เพื่อนร่วมงานพูดขึ้นมา หลังจากที่เขาได้เห็นข้อมูลของหญิงสาวทั้งสองคน
“ไม่ใช่ สองคนนั้นเป็นคนจากที่อื่น” เจ้าหน้าที่พูด
“ดูจากท่าทางของสองคนนั้น พวกเธอน่าจะไปทำเสียมารยาทกับหมอหวังแน่ๆ เขาก็เลยไม่ยอมตรวจให้น่ะ” เพื่อนของเขาพูด
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่ในเมื่อเขาร้องเรียนมาแล้ว เราก็คงต้องทำไปตามขั้นตอนล่ะนะ” เจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องพูด
“เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถอะ” เพื่อนร่วมงานของเขาพูด
“ชาของอาจารย์รสดีจริงๆ!” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พันจวินพูดคำนี้
“ฮาฮา มันก็ถือว่าไม่เลวนะครับ มันเป็นชาที่ผมปลูกเอง รับรองได้เลยว่ามาจากธรรมชาติและปราศจากมลพิษครับ” หวังเย้าพูด
ชาแบบไหนคือชาดี? ใบชาต้องเป็นชาป่าและเติบโตในพื้นที่ที่เหมาะสมอย่างเช่น เนินเขาหนานชาน
“ฉันรู้น่า! รู้สึกเป็นเกียตริจริงๆที่ได้ดื่มชาของอาจารย์” พันจวินพูด
หวังเย้าได้รับสายจากทางกรมอนามัยในตอนมื้อกลางวัน ซึ่งมันทำให้เขาต้องประประหลาดใจมาก
“มีเรื่องอะไรเหรอ?” พันจวินถาม
“ผู้หญิงสองคนนั้นไปร้องเรียนผมที่กรมอนามัยน่ะสิ” หวังเย้าพูด
“อะไรนะ?” พันจวินประหลาดใจ “คิดไม่ถึงเลยนะ ว่าสองคนนั้นจะทำแบบนี้น่ะ!”
เจ้าหน้าที่ของทางกรมอนามัยโทรหาหวังเย้าเพื่อสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น และเตือนให้หวังเย้าปฏิบัติตัวกับคนไข้ดีดี เรื่องทั้งหมดจบลงแค่นั้น ถ้าหากปัญหาร้ายแรงกว่านี้และมีหลักฐานมาด้วยล่ะก็ หวังเย้าอาจจะต้องถูกปรับ
ปัญหาในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่รับมือเรื่องนี้โดยการหาจุดสมดุลระหว่างหวังเย้าและหญิงสาวต่างถิ่นสองคนนั้น ข้อแค่ไม่ได้ผิดกฎข้อบังคับ เจ้าหน้าที่ก็ไม่คิดจะสร้างปัญหาให้กับหวังเย้า
ในตอนบ่าย หวังเย้ามีคนไข้มาตรวจกับเขาสองคน
ในตอนที่คนไข้เดินเข้ามาในคลินิก พันจวินก็คอยสั่งเกตพวกเขาไปด้วย เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษไปที่ ท่าทางการเดิน, ดวงตา, สีหน้า, และกลิ่นตัว เขามองไม่เห็นความผิดปกติจากคนไข้ทั้งสองคนเลย แต่มันก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับเขาในการเรียนรู้แพทย์แผนจีน
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอกครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมเริ่มเรียนแพทย์แผนจีนจากการจับชีพจร แล้วขั้นตอนการวินิจฉัยที่ยากที่สุดในสี่อย่างนี้ก็คือ การมอง”
“ฉันรู้” พันจวินพูด
“ผมว่า วันนี้คงไม่มีใครมาแล้วล่ะ ออกไปเดินเล่นกันเถอะ” หวังเย้าเสนอ
แต่ทันทีที่พวกเขากำลังจะเดินออกไปจากคลินิก ก็มีคนไข้อีกคนเดินเข้ามา หวังเย้ารู้สึกแปลกใจมาก ความจริง ทั้งหวังเย้าและพันจวินต่างก็แปลกใจ เพราะคนไข้ที่มานั้นก็คือ หนึ่งในหญิงสาวสองคนที่เพิ่งจะมาหาหวังเย้าไปในตอนเช้า
“คุณหมอ ขอโทษที่มารบกวนอีกรอบนะคะ” หญิงสาวพูด เธอดูลังเลเล็กน้อย
“เธอนั่นเอง!” หวังเย้ามองไปที่เธอ
เธอรู้มีท่าทีรีบร้อน
“เข้ามาสิ” หวังเย้าพูด “แล้วเพื่อนของเธอล่ะ?”
“เธอกลับไปแล้วค่ะ” หญิงสาวพูด
“แล้วเธอมาที่นี่เพราะอยากจะมาตรวจใช่ไหม?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ เอ่อ เดี๋ยวนะคะ! หมอคิดว่าฉันป่วยเหรอคะ?” หญิงสาวถามด้วยความแปลกใจ
ที่เธอกลับมาในครั้งนี้ก็เพราะคำพูดของหวังเย้าในตอนเช้า เธอรู้สึกสงสัยกับคำพูดของเขา ยิ่งเธอคิดมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งไม่เข้าใจ เธอคิดว่า หวังเย้าไม่อยากจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ในตอนที่อยู่ต่อหน้าเพื่อนของเธอ ดังนั้น เธอจึงหาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวออกมาในระหว่างทางที่พวกเธอจะเดินทางกลับ แล้วเธอก็เรียกแท็กซี่เพื่อกลับมาที่คลินิกนี้ แต่เธอไม่คิดเลยว่า หวังเย้าจะคิดว่าเธอป่วย
“หมอคิดว่า ฉันผิดปกติตรงไหนเหรอคะ?” หญิงสาวถาม
“ถ้าเธอไม่คิดจะมารักษา แล้วเธอกลับมาที่นี่ทำไมล่ะ?” หวังเย้าถาม
“ฉันกำลังคิดถึงเรื่องที่หมอพูดกับฉันเมื่อเช้าค่ะ ฉันอยากรู้ว่า มันหมายถึงอะไร” หญิงสาวพูด
“ประโยคไหนล่ะ?” หวังเย้าถาม
“ที่คุณพูดว่า ให้ฉันอยู่ห่างจากเพื่อนของฉันเอาไว้น่ะค่ะ” หญิงสาวพูด
“เธอก็น่าจะรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร แล้วเธอก็น่าจะรู้ดีด้วย ว่าเพื่อนของเธอเป็นคนแบบไหน การมีเพื่อนที่ดีก็จะทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้น และในทางกลับกัน เธอก็น่าจะเข้าใจนะ” หวังเย้าพูด
หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง เธอรู้ว่าเพื่อนของเธอเป็นคนยังไง เพื่อนของเธอเป็นคนหน้าตาดี เธอมักจะใช้หน้าตาที่มีเพื่อให้ได้คบหากับคนรวย บางคนก็เป็นชายหนุ่มอายุน้อย และบางคนก็แก่กว่า เพื่อนของเธอนอนกับพวกเขาและขอให้เธอพาไปทำแท้งที่โรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง
“แล้วตัวฉันมีปัญหาอะไรเหรอคะ?” หญิงสาวถาม
“เธอไม่รู้เหรอ? ประจำเดือนของเธอมาไม่ปกติใช่ไหม?” หวังเย้าถาม “ตอนมีประจำเดือน เธอก็จะปวดท้องด้วย”
“หมอรู้ได้ยังไงกัน?” ถ้าก่อนหน้านี้เธอรู้สึกสงสัย ตอนนี้มันได้กลายเป็นตกตะลึงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประจำเดือนของไม่ได้มาเป็นประจำ แล้วทุกครั้งที่ประจำเดือนมาเธอก้จะปวดท้องน้อยตลอดด้วย
“เธอเคยทำแท้งมาก่อนใช่ไหม?” หวังเย้าถาม
หญิงสาวอยู่ในอาการตกตะลึง ใบหน้าของเธอซีดเผือดราวกับกระดาษ มันคือความลับที่เธอเก็บซ่อนเอาไว้ลึกที่สุด เธอไม่เคยบอกใครเลย แม้แต่พ่อแม่ของเธอเอง มันเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับเธอ และเธอตั้งใจที่จะฝังมันเอาไว้ในซอกหลืบที่ลึกที่สุดของหัวใจเธอไปตลออดกาล เธอไม่มีทางลืมมันได้ก็จริง แต่เธอจะไม่มีวันพูดถึงมันให้ใครได้รู้ แต่ตอนนี้ ความลับของเธอกลับถูกพูดออกมาจากปากของหมอหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า เป็นการย้ำเตือนเธอถึงเรื่องที่ตัวเธอพยายามที่จะลืมมันให้ได้ แก้มของเธอแดงก่ำและร้อนผ่าว ราวกับเธอยืนกำลังอยู่กลางแดดร้อนในเดือนกรกฎาคม
ในบางครั้ง ความเงียบก็หมายถึงคำตอบ เธอยอมรับมัน
“จริงเหรอเนี่ย?!” เมื่อได้เห็นสีหน้าของหญิงสาวแล้ว พันจวินก็รู้ว่าที่หวังเย้าพูดมานั้นเป็นความจริง
“เพื่อนของเธอยังร้ายกว่านั้นด้วยซ้ำ” หวังเย้าพูด “เธอทำแท้งมาหลายครั้งแล้วใช่ไหม?”
“ค่ะ เท่าที่ฉันรู้มา เธอทำมาแล้วสามครั้ง” หญิงสาวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เพราะยังไม่หายจากอาการตกใจ เธอเคยพาเพื่อนของเธอไปทำแท้งที่โรงพยาบาลและช่วยจัดการเรื่องเอกสารอยู่ทั้งหมดสามครั้ง
“เพื่อนของเธอจะมีลูกไม่ได้อีกแล้ว” หวังเย้าพูด
สำหรับผู้หญิงแล้ว คำพูดของหวังเย้าก็ไม่ต่างอะไรกับผ่าฟ้าตอนกลางวันแสกๆ “อะไรนะ?”
การมีลูกไม่ได้คือการลงโทษที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่ การเป็นแม่คือเรื่องที่ยากที่สุด แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้มีความสุขที่สุดเช่นเดียวกัน
“บนโลกใบนี้ เมื่อทำอะไรลงไปก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา” หวังเย้าพูด “เด็กที่อยู่ในท้องคืออีกชีวิตหนึ่งและเป็นของขวัญจากพระเจ้า เด็กไม่ใช่ก้อนหินที่เธอจะขว้างปายังไงก็ได้ เพื่อนของเธอเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ไม่เคารพอีกชีวิตที่จะเกิดมา และนี่ก็คือผลจากการกระทำของตัวเธอเอง”
“แล้วฉันล่ะ?” หญิงสาวใบหน้าซีดเผือดลงอีกครั้ง
“เธอยังไม่ถือว่าแย่เท่าไหร่ และยังรักษาได้อยู่” หวังเย้าพูด
หญิงสาวถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถ้าเธอเกิดไม่สามารถมีลูกได้อีกเพราะการเอาเด็กที่เธอไม่ต้องการออก หัวใจของเธอก็คงจะแตกสลาย เธอสงสัยว่า เพื่อนของเธอจะรู้สึกยังไง ถ้าได้รู้ว่าตัวเองจะไม่สามารถมีลูกได้อีก และตอนนี้ก็มีเธอคนหนึ่งที่รู้แล้ว
“หมอช่วยตรวจฉันได้ไหมคะ?” หญิงสาวถาม
“ได้สิ” หวังเย้าพูด
เขาตรวจเธอและจ่ายยาที่ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตและพลังฉีราบรื่นขึ้น รวมทั้งปรับธาตุหยินหยางในร่างกายของเธอให้สมดุลด้วย
“เอายานี่ไปกิน” หวังเย้าพูด “ต้องกินตามที่บอกเอาไว้ แล้วอีกสิบวันให้กลับมาอีกที”
“ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” หญิงสาวพูด หลังจากนั้น เธอก็จ่ายเงินและจากไป
694 ความฝัน
“อาจารย์ ผู้หญิงอีกคนมีลูกไม่ได้แล้วใช่ไหม?” พันจวินถามอีกรอบ
“มันไม่ใช่แค่เธอมีลูกไม่ได้อีกเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องที่ว่า เธอจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนด้วยน่ะสิครับ” หวังเย้าพูด
“หา?!” พันจวินตกใจ
“ร่างกายของเธอได้รับความเสียหายอย่างหนัก เธอเป็นเหมือนกับต้นไม้ที่รากถูกทำลายลงไป” หวังเย้าพูด “มันยังดูเหมือนต้นไม้ที่เต็มไปด้วยใบก็จริง แต่มันก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะรากของมันดูดซึมสารอาหารไม่ได้อีกแล้ว”
เขาไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่ แล้วเขาก็ไม่อยากยุ่งกับคนที่ไม่สนใจร่างกายตัวเองแบบผู้หญิงคนนั้นด้วย
“ออกไปข้างนอกกันเถอะครับ” หวังเย้าพูด
พวกเขาออกมาจากคลินิกและเดินเรียบไปตามทางเดินขึ้นเขา มันเป็นเวลาบ่ายสี่โมง อุณหภูมิเริ่มเย็นลงและอากาศก็ดี ซึ่งเหมาะสำหรับการออกกำลังกายอย่างมาก
“ฉันยังสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง” พันจวินพูด “อาจารย์รักษาผู้หญิงคนนั้นไม่ได้จริงๆเหรอ?”
“ไม่ได้ ผมเห็นได้จากในตาของเธอ” หวังเย้าพูด
เขาเรียนรู้ผู้คนจากการมองไปที่นัยน์ตาของพวกเขา
“อาจารย์ นี่มันเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงเลยนะ” พันจวินพูด
“มันก็แค่เรื่องทั่วๆไปเท่านั้น” หวังเย้ายิ้ม
“อาจารย์มีความฝันแบบไหนเหรอ?” พันจวินถาม
“ความฝันเหรอ?” หวังเย้าถาม “ทำไมอยู่ๆถึงถามแบบนี้ล่ะครับ? มันเป็นคำถามที่ซับซ้อนอยู่นะ!”
ในอดีต เขามีความคิดที่จะเริ่มสร้างธุรกิจของตัวเองด้วยที่เพียงไม่ที่เอเคอร์บนเนินเขาหนานชาน และสร้างเงินจากมัน แต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย แล้วเขาก็ได้รับระบบวิเศษมา ซึ่งทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หลังจากชีวิตขึ้นๆลงๆอยู่พักหนึ่ง เขาก็เริ่มชอบการรักษาขึ้นมา เขาอยู่เพื่อช่วยชีวิตคน ส่วนความฝันของเขานั้น เขาหวังว่าจะสามารถส่งต่อความรู้ของเขาได้ และอยากเห็นว่า เขาจะสามารถประสบความสำเร็จไปได้ไกลสักแค่ไหน
“อาจารย์?” พันจวินขัดจังหวะความคิดของเขา
“ผมอยากจะสานต่อสำนักแพทย์ปรุงยา” หวังเย้าพูด
“แล้วก็จะได้ครองโลก” พันจวินพูด
“หืม?” หวังเย้าตกใจ “ทำไมอยู่ๆถึงได้พูดแบบนี้ล่ะครับ?”
“อาจารย์ ฉันคาดหวังในตัวอาจารย์เอาไว้มากเลยล่ะ” พันจวินพูด
ที่ตีนเขาของเนินเขาหนานชาน พวกเขาเดินดูต้นไม้ที่เพิ่งจะปลูกใหม่ได้ไม่นาน ก่อนจะเดินกลับลงไปด้านล่าง เมื่อพวกเขาเดินไปถึงทางเข้าหมู่บ้าน พวกเขาก็เจอเข้ากับจงอันซินที่ออกมาเดินเล่น หลังจากที่ได้รับการรักษาแล้ว เด็กสาวก็อาการดีขึ้นมากและสามารถกลับได้ในอีกไม่กี่วันที่จะถึง
คนนอกที่เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านค่อนข้างระมัดระวังที่จะไม่ขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน พวกเขาเพียงมองดูจากที่ไกลๆเท่านั้น เพราะทุกคนต่างก็รู้กฎของหวังเย้าดี เขาไม่ชอบให้ใครขึ้นไปบนนั้น
เมื่อพวกเขาเดินมาถึงที่ตีนเขาและมองไปที่ป่าไม้ด้านล่างนั้น จงอันซินก็ถามว่า “พี่คะ เรากำลังจะไปจากที่นี่กันแล้วใช่ไหมคะ?”
“อืม พี่ถามหมอหวังดูแล้ว เขาบอกว่า หลังจากที่เธอกินยาหมด เธอก็จะไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ” จงหลิวชวนพูด
“หนูรู้สึกไม่ค่อยอยากจะไปจากที่นี่เลยค่ะ” เด็กสาวชอบความสงบของหมู่บ้านแห่งนี้
“ถ้าเธอชอบ เราอยู่ที่นี่กันต่อก็ได้” จงหลิวชวนพูด
“อยู่ที่นี่เหรอคะ?” จงอันซินตกใจกับคำตอบของพี่ชาย
“ถ้าเธออยากจะเข้าเรียน เราก็ไปอยู่ที่ตัวเมืองเหลียนชาน แล้วซื้อบ้านเอาไว้ที่นั่นสักหลัง” จงหลิวชวนพูด “แบบนี้ เราจะกลับมาที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้”
เขาคิดเรื่องนี้เอาไว้แล้ว บ้านส่วนใหญ่เป็นของตระกูลซุน ในระหว่างที่เขาอยู่ที่นี่ เขาได้พูดคุยกับซุนหยุนเชิงอยู่หลายครั้ง การที่พวกเขารู้จักกันแล้ว มันจึงทำให้เรื่องบ้านเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะจัดการ
บ้านคือความอบอุ่นสำหรับพวกเขา พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองจี้ในฐานะของแขก บ้านเกิดจริงๆของพวกเขาอยู่ที่เขตเว่ยชาน เมื่อนานมาแล้ว พ่อแม่ได้พาพวกเขาออกมาจากที่นั่น แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้น ตอนนี้ พวกเขาจึงเหลือกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง พวกเขาไม่มีญาติอยู่ที่บ้านเกิด และแทบจะไม่ได้กลับไปไหว้บรรพบุรุษที่นั่นเลย เมื่อไม่มีการติดต่อกับญาติ สานสัมพันธ์ก็ค่อยๆจางหายไปตามธรรมชาติ สำหรับพวกเขาทั้งสอง มันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับพวกเขาอีกต่อไป
“เธอคิดว่าไง?” จงหลิวชวนถาม
“โอเคค่ะ!” เด็กสาวพูดอย่างมีความสุข
หลังจากอยู่ไม่เป็นหลักแหล่งมานาน พวกเขาก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยกับวิถีชีวิตแบบนั้น ถ้าพวกเขาสามารถตั้งรกรากอยู่ที่นี่ได้ มันก็เป็นความคิดที่ดีทีเดียว
“พี่คะ แล้วเรื่องงานของพี่ล่ะ?” จงอันซินถาม
“พี่จะลาออก แล้วค่อยหางานใหม่” จงหลิวชวนพูด
เขาไม่สามารถบอกน้องสาวของเขาได้ว่า เขาเคยทำงานอะไรมาก่อน เพราะสำหรับเขามันเป็นงานที่น่าอาย มันเป็นงานที่ต้องเสียเลือดเนื้อและมีความเสี่ยงสูง เขาไม่อยากจะทำงานนี้อีกต่อไปแล้ว นอกจากเงินที่เอามาใช้สำหรับรักษาน้องสาวของเขาแล้ว เขาก็ยังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง และมันมากพอที่จะซื้อห้องสวีทในเมืองรองอย่างเมืองจี้หรือเมืองเต๋าได้สบายๆ
และมันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขาเลย ที่จะซื้อบ้านสักหลังอยู่ในในเขตเล็กๆหรือหมู่บ้านเล็กๆ และทำการตกแต่งอีกเล็กน้อย เงินที่เหลือจะถูกเก็บเอาไว้ในธนาคารเพื่อเอาดอกเบี้ยจากธนาคาร และมันก็มากพอสำหรับให้พวกเขาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
“เราจะบอกหมอหวังไหมคะ?” จงอันซินถาม
“ไว้พี่ค่อยหาเวลาบอกเขาทีหลังแล้วกัน” จงหลิวชวนพูด
“อาจารย์ ฉันจะกลับแล้วนะ” พันจวินพูด
“ขับรถดีดีล่ะ” หวังเย้าพูด
รถค่อยๆหายไปทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ส่วนหวังเย้าก็กลับไปที่บ้าน
…
ภายในโรงพยาบาลที่ปักกิ่ง
“หมอ หมอช่วยคิดวิธีรักษาอย่างอื่นจะได้ไหมครับ?” เฉาเหอและเฉาฮุยอยู่ภายในออฟฟิสของแพทย์มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
หลังจากรักษามาได้หลายวัน อาการของเฉาเหมิงก็ไม่ดีขึ้นเลย เขายังคงไม่สามารถทานอะไรได้ หลังจากที่ทานเข้าไป เขาก็จะอาเจียนออกมาจนหมด อาการของเขาทำให้แพทย์สับสน
“เราพยายามถึงที่สุดแล้ว” แพทย์พูด “แต่พวกคุณก็ต้องเตรียมใจเอาไว้บ้างนะครับ”
“หมอให้หมอจีนมาดูอาการเขาจะได้ไหมครับ?” เฉาเหอถาม
“เราขอให้หมอจากแผนกแพทย์แผนจีนมาดูอาการของเขาแล้ว” แพทย์พูด “แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน”
คนไข้รายนี้มีปัญหาที่ลำไส้และกระเพาะอาหาร เมื่อไหร่ที่เขาทานอาหารเข้าไป ร่างกายก็จะเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นอาหารแบบไหนก็ไม่สามารถย่อยได้ สิ่งนี้ส่งผลให้กระเพาะได้รับความเสียหายและส่งผลให้เกิดเลือดออกในกระเพาะ พวกเขาเลือกที่จะรักษาแบบประคับประคองอาการไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำกันทั่วไป แต่ถ้าอาการยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป ร่างกายก็อาจจะทรุดได้
“ขอบคุณครับ” เฉาเหอพูด
“ครับ พวกคุณก็ต้องพักผ่อนเหมือนกันนะครับ” แพทย์พูด “อย่าหักโหมจนเกินไปล่ะ”
ทั้งสองเดินออกมาจากออฟฟิสของแพทย์ และเดินไปหยุดคุยกันที่มุนหนึ่งของทางเดิน
“คงไม่มีทางอื่นแล้วล่ะ” เฉาเหอพูด
“ไปคุยกับพี่ใหญ่กันเถอะ” เฉาฮุยพูด “เขาอาจจะตายได้เลยนะ!”
เฉาเหอถอนหายใจ ไม่มีใครคิดว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ภายในห้องคนไข้ มีคนไข้หลายคนกำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ พวกเขาอ่อนแอ, ใบหน้าซีดเซียว, และไม่สามารถทานอาหารเหลวได้ พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยสารอาหารจากน้ำเกลือเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถลุกออกจากเตียงนอนได้ และไม่มีแม้แต่แรงที่จะกลับตัว
“เป็นยังไงบ้าง?” น้ำเสียงของเฉาเหมิงดังพอให้ตัวเองได้ยินเท่านั้น มันราวกับควันบุหรี่ ที่เมื่อเป่าออกมาแล้วมันก็ปลิวหายไป
“ไม่ดีเลย มันแย่มากเลยล่ะ” เฉาเหอพูด “หมอบอกว่า ให้เราลองไปคุยกับจิตแพทย์ดู ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลย”
“ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอ?” หลังจากพูดออกไปแล้ว เฉาเหมิงก็แทบจะไร้เรี่ยวแรง ราวกับหมดหนทางแล้ว
“เราลองทั้งแพทย์แผนตะวันตกและแผนจีนแล้ว” เฉาเหอพูด “ที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดของจีนแล้ว แล้วไม่กี่วันก่อน เฉาฮุยก็ไปที่หมู่บ้านนั้นและติดต่อกับหมอหวังดูแล้ว”
“เขาว่ายังไงบ้าง?” เฉาเหมิงถาม
“เรื่องอาการป่วยของพี่ เขาสามารถรักษาให้หายได้ แต่พี่ต้องสารภาพผิดและรับโทษทางกฎหมาย” เฉาเหอพูด
ความเงียบเข้าปกคลุมพวกเขา เขาต้องเลือกระหว่างความตายกับเข้าคุกเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป ชีวิตหรืออิสระ? ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน
“เขารักษาฉันได้แน่เหรอ?” ความคิดของเฉาเหมิงเริ่มผ่อนคลายลง ชีวิตสำคัญที่สุด
“เขาบอกว่าได้” เฉาเหอพูด
“ลองไปคุยกับเขาอีกรอบดู” เฉาเหมิงพูด
เฉาฮุยออกเดินทางไปยังจังหวัดฉีในคืนนั้น เธอพักอยู่ที่เมืองจี้หนึ่งคืน ในตอนเช้า เธอก็เดินทางต่อไปยังห่ายชิวอย่างเร่งรีบ เธอหารถมาคันหนึ่งและมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านกลางเขาทันที เมื่อไปถึง เธอก็พบว่า ประตูคลินิกปิดอยู่
เธอไม่ได้จากไปไหน และรอคอยอยู่ที่ใต้ต้นจินเหอตรงด้านนอกกำแพง
เพื่อที่จะเดินทางมาที่นี่ให้เร็วที่สุด เธอจึงไม่ได้ทานข้าวกลางวัน เธอมีเพียงขนมปังและน้ำหนึ่งขวดเท่านั้น แสงแดดร้อนแรง เมื่ออยู่ภายใต้ร่มไม้จึงรู้สึกเย็นขึ้น
หวังเย้าเดินกลับมาจากที่บ้านและเห็นเฉาฮุยกำลังยืนอยู่ใต้ร่มไม้
“ทำไมเธอถึงมาที่นี่อีกล่ะ?” หวังเย้าถาม
“ฉันมาหาคุณค่ะ” ท่าทีของเฉาฮุยดูนอบน้อมมาก
ครั้งนี้ เธอตั้งใจมาเพื่อสงบศึก เขาสามารถรักษาเฉาเหมิงได้ ทั้งที่เขาสามารถเลือกที่จะปฏิเสธ และทำเป็นหลับหูหลับตาไม่สนใจใยดีชีวิตของคนคนหนึ่งได้
“เรามาคุยกันเถอะค่ะ” เธอพูด
“เข้ามานั่งข้างในก่อนสิ” หวังเย้ามองไปที่ใบหน้าของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
695 น้ำ
“เธอเดินทางตลอดทั้งคืนเลยเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ” เฉาฮุยพูด
“แล้วเขาตัดสินใจแล้วเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ เขาตัดสินใจที่จะสารภาพความทั้งหมดที่เขาได้ทำเอาไว้กับตำรวจค่ะ” เฉาฮุยพูด
“โอเค หลังจากที่เขาไปสารภาพกับตำรวจแล้ว ผมจะรักษาเขาให้” หวังเย้าพูด
“คุณ…” เฉาฮุยพยายามจะพูดอะไรบางอย่างออกไป
“เธอไม่เชื่อผมเหรอ?” หวังเย้ารู้ถึงการเดินทางมาในครั้งนี้ของเธอดี
“ฉันกังวลนิดหน่อยน่ะค่ะ” เฉาฮุยพูด เธอคิดว่า เธอควรจะทำให้ทุกอย่างมันชัดเจน
“ฮาฮา ผมรักษาสัญญาอยู่แล้ว” หวังเย้าพูด
เฉาฮุยเงียบไปพักหนึ่ง มันเป็นแค่คำสัญญาปากเปล่าจากหวังเย้า ซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไรเลย แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
“คุณไปปักกิ่งกับฉันได้ไหมคะ?” เฉาฮุยถาม
“นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้” หวังเย้าพูด “พูดตามตรงนะ เธอคิดว่าผมสนใจคนพวกนั้นเหรอ? พวกเขาหาเรื่องเองทั้งนั้น”
สาเหตุที่เขายอมเสียเวลาคุยกับเฉาฮุย ก็เพราะเธอยังพอมีความดีอยู่บ้าง ถึงเธอจะคอยช่วยเหลือเฉาเหมิง แต่เธอก็มีนิสัยแตกต่างจากเฉาเหมิงอย่างสิ้นเชิง
เฉาฮุยเงียบไปอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เธออยู่ในสถานการณ์ที่ต่างออกไป หวังเย้าเป็นผู้ถืออำนาจ เธอไม่มีสิทธิไปเรียกร้องอะไรจากเขาได้เลย
บางทีมันอาจจะเป็นกรรมก็ได้ เฉาฮุยคิด
“ขอโทษที่มารบกวนนะคะ” หลังจากที่คิดอยู่สักพัก เธอก็พูดออกมา
เธอเดินทางทั้งวันทั้งคืนมาหลายพันไมล์ และได้คุยกับหวังเย้ายังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไร บาย” หวังเย้าพูด
เฉาฮุยเดินออกมาจากคลินิกในตอนเที่ยง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน
จงหลิวชวนและจงอันซินมาที่คลินิกในตอนบ่าย จงอันซินหายดีแล้วและตอนนี้ร่างกายของเธอก็แข็งแรงดี
“ทั้งสองคนกำลังจะไปที่ไหนเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ความจริง เราคิดจะอยู่ที่นี่เลยครับ ผมก็เลยว่าจะซื้อบ้านในหมู่บ้านนี้สักหลัง” จงหลิวชวนพูด
เขาตัดสินใจซื้ออพาร์ทเมนต์ในตัวเมืองเหลียนชานไว้ห้องหนึ่ง และซื้อบ้านเอาไว้ที่หมู่บ้านนี้อีกหนึ่งหลัง จงอันซินสามารถพักที่โรงเรียนได้ ส่วนเขาก็จะคอยดูแลเธอโดยพักอยู่ที่อพาร์ทเมนต์ที่ซื้อเอาไว้ในตัวเมือง
“ฟังดูเข้าท่าดีนะครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
ชาวบ้านที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเลือกที่จะย้ายออกไป ในขณะที่คนนอกกลับเลือกที่จะย้ายเข้ามาอยู่แทน
ในทางกลับกัน เจิ้งเหว่ยจวินก็เตรียมที่จะเดินทางออกจากหมู่บ้านแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องนั่งรถเข็นอีกต่อไป และใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวแทน เขาสามารถเดินได้ด้วยตัวเองแล้ว และมักจะเดินไปรอบๆหมู่บ้านอยู่เป็นประจำ
“ลุงครับ เราคงต้องจากที่นี่ไปเร็วๆนี่แล้วสินะ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“อืม ลุงรู้ว่าเราต้องไป” เจิ้งชื่อฉงพูด
“ผมไม่อยากไปจากที่นี่เลย ผมชอบที่นี่มาก” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
ยิ่งเขาอยู่ที่หมู่บ้านนี้นานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งชอบที่นี่มากขึ้นเท่านั้น หมู่บ้านเป็นที่ที่เงียบสงบและผ่อนคลาย เจิ้งเหว่ยจวินไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการต่อสู้, แผนลอบกัด, และเรื่องสกปรกๆในโลกของธุรกิจ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการต่อสู้ในหมู่เครือญาติ
ในหมู่บ้านมีรถเข้าออกอยู่แค่ไม่กี่คัน และจำนวนคนอยู่อาศัยก็มีเพียงน้อยนิด มันไม่มีเสียงอึกทึกของโรงงาน และเป็นสถานที่ที่ใช้ชีวิตไปอย่างช้าๆ ผู้คนใช้เวลาไปกับสิ่งต่างๆ เขามักจะนั่งดื่มชาและใคร่ครวญเกี่ยวกับกับชีวิตของตัวเองในเวลาที่ไม่ได้ทำอะไร
หลังออกไปจากหมู่บ้านแล้ว เขาก็ต้องบอกลาชีวิตที่แสนสงบสุขและกลับเข้าสู่โลกของความเป็นจริง
“เธอไม่ได้เป็นคนของที่นี่” เจิ้งชื่อฉงพูด
ชีวิตของคนคนหนึ่งอาจจะถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ที่เขาหรือเธอลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้แล้ว มันเป็นโชคชะตาที่จะเกิดมารวยหรือจน, เกิดเป็นยอดคนหรือเป็นแค่คนที่ไม่มีใครจดจำ
เจิ้งเหว่ยจวินเงียบไป “ผมเริ่มรู้สึกอิจฉาหมอหวังซะแล้วสิ”
“เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางโลกแล้ว” เจิ้งชื่อฉงพูด
ถึงหวังเย้าจะมีการสื่อสารกับคนไข้ จากการรักษาคนในคลินิกของเขาเอง แต่เขาก็แทบจะไม่ปรากฏตัวในโลกภายนอกเลย เขาไม่ใช่ฤษี แต่ระหว่างเขากับคนแบบซุนหยุนเชิงและเจิ้งเหว่ยจวินนั้นมีความแตกต่างขนาดใหญ่อยู่
ตอนบ่าย มีคนไข้มาแค่ไม่กี่คนเท่านั้น หวังเย้าจึงปิดคลินิกเร็วกว่าปกติ เมื่อเขากลับไปถึงที่บ้าน เขาก็พบว่า แม่ของเขากำลังทำความสะอาดกระต่ายป่าตัวหนึ่งอยู่
“แม่เข้าไปในเมืองมาเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เปล่าหรอกจ๊ะ เจ๋อเชิงเอามาให้น่ะ แม่บอกให้เขาเอากลับไปแล้ว แต่เขาก็ทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้วก็หนีไปเลย เขาดูผอมลงไปเยอะเลยนะ” จางซิวหยิงพูด
“หวังเจ๋อเชิงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่จ๊ะ ลูกก็รู้นี้ ว่าเมื่อก่อนเขาเคยทำไม่ดีกับลุงยี่หลงเอาไว้มาก แล้วก็เป็นพวกขี้เกียจสันหลังยาวอีกด้วย แต่ตอนนี้ เขากลับเปลี่ยนไปกลายเป็นอีกคนเลยนะ” จางซิวหยิงพูด
ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของเขากันทั้งนั้น
“เขาเปลี่ยนไปแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด
“ลูกอยากให้แม่เอากระต่ายไปทำเป็นอะไรดีจ๊ะ? เอาผัดกับซีอิ๋วดีไหม?” จางซิวหยิงถาม
“แล้วแต่แม่เลยครับ ผมกินได้หมด” หวังเย้าพูด
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว หวังเย้าก็อยู่คุยเป็นเพื่อนพ่อกับแม่ของเขาต่ออีกสักพัก เขาออกจากบ้านมาในตอนสามทุ่มเพื่อกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน ด้านนอกไร้ผู้คน มีเพียงไฟข้างถนนที่ยังคงส่องสว่างอยู่เท่านั้น
บรื้น! มีเสียงมอเตอร์ไซด์ขี่เข้ามาในหมู่บ้านจากทางเหนือ และหยุดอยู่ไม่ไกลจากหวังเย้ามากนัก
“สวัสดี หมอหวัง” เขาก็คือ หวังเจ๋อเชิง
“สวัสดีครับ พี่กลับมาซะดึกเลยนะครับ” หวังเย้าพูด
“อืม ฉันเพิ่งออกกะพิเศษมาน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
มันไม่ได้ดึกสำหรับหวังเจ๋อเชิงเลยด้วยซ้ำ เพราะปกติเขามักจะกลับมาหลังสี่ทุ่มไปแล้ว แต่เพราะสองสามวันที่ผ่านมา เจ้านายของไม่ค่อยมีงานให้ทำเท่าไหร่ ทั้งๆที่ตัวเขาอยากทำงานเพื่อหาเงินให้ได้เยอะๆ
หวังเจ๋อเชิงที่อยู่ใต้แสงไฟดูเหนื่อยล้าอย่างมาก เพราะเขาต้องทำงานติดต่อกันถึง 10 ชั่วโมงในทุกๆวัน งานของเขาเป็นงานที่ใช้แรง ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะเหนื่อยอย่างสาหัส
“ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอครับ ว่าอย่าทำงานหนักเกินไป พี่ต้องพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด
“ฉันรู้ ฉันขอหยุดพรุ่งนี้ไว้แล้วล่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
เขาเหนื่อยมาก แต่ชีวิตของเขาก็เหมือนได้ถูกเติมเต็ม และตัวเขาก็ไม่มีทางเลือกมากด้วย
“พี่น่าจะลองทำงานอย่างอื่นดูนะครับ” หวังเย้าพูด
“งานแบบไหนล่ะ?” หวังเจ๋อเชิงถาม
“ปลูกสมุนไพรยังไงล่ะครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วใครจะมาอยากได้สมุนไพรที่ฉันปลูกล่ะ?” หวังเจ๋อเชิงถาม
“ผมไงครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“แต่ฉันไม่เคยปลูกสมุนไพรมาก่อนเลยนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“พี่เคยทำไร่มาก่อนไม่ใช่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม “มันก็คล้ายๆกันนั่นแหละ”
หวังเจ๋อเชิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาว่า “ฟังดูเข้าท่าดีนะ ไว้ฉันจะลองดูแล้วกัน”
“ดีครับ” หวังเย้าพูด
“ขอบคุณนะ” หวังเจ๋อเชิงพูดขอบคุณอย่างจริงใจ
“กลับบ้านได้แล้วครับ ที่บ้านคงกำลังรอพี่อยู่” หวังเย้าพูด
รถมอเตอร์ไซด์ของหวังเจ๋อเชิงเลี้ยวที่สุดปลายสะพานหิน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ก่อนที่จะหายไปในความมืด
หวังเย้ามีความคิดที่จะสอนคนปลูกสมุนไพรอยู่นานแล้ว หลังจากที่เขาตัดสินใจก่อตั้งบริษัทยาขึ้นมา เขาก็จำเป็นต้องหาแหล่งผลิตสมุนไพรให้เร็วที่สุด บริษัทของเขาจะต้องใช้สมุนไพรไม่ใช้สารเคมี
พื้นที่ในแปลงสมุนไพรของเขานั้นมีจำกัดและไม่สามารถปลูกสมุนไพรจำนวนมากได้ แล้วภายในแปลงสมุนไพรก็ยังมีสมุนไพรรากปลูกอยู่หลายชนิดด้วย เขาจำเป็นต้องหาพื้นที่ปลูกสมุนไพรธรรมดาที่อื่นแทน เขาไม่สามารถสั่งสมุนไพรจากพ่อค้าคนกลางได้ เพราะเขาจะไม่สามารถควบคุมคุณภาพของสมุนไพรได้เลย ดังนั้น เขาจึงต้องการให้ชาวบ้านที่ไม่ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองปลูกสมุนไพรให้กับเขา
เขายังคิดที่จะปลูกสมุนไพรที่เนินเขาตงชาน เพราะเนินเขาซีชานได้กลายเป็นสถานที่แห่งความตายไปแล้ว มันจึงไม่ใช่เรื่องที่ดีที่จะปลูกพืชพรรณที่นั่น
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่หวังเย้าพูดเรื่องนี้กับหวังเจ๋อเชิง
ภายในหมู่บ้านเงียบสงัด
“ปลูกสมุนไพรเหรอ?” ภรรยาของหวังเจ๋อเชิงแปลกใจ “ทำไมอยู่ๆพี่ถึงได้คิดอยากจะปลูกสมุนไพรล่ะ?”
“เมื่อกี้ฉันเจอกับเสี่ยวเย้ามาน่ะสิ แล้วเขาก็เป็นคนบอกเรื่องนี้กับฉันเอง” หวังเจ๋อเชิงพูด
“แต่เราไม่เคยปลูกสมุนไพรมาก่อนเลยนะ” ภรรยาของเขาพูด
“ฉันว่าไม่น่าจะยากหรอก คงจะคล้ายๆกับการทำไร่นั่นแหละ แล้วเธออยู่บ้านก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วนี่นา” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ก็ได้ งั้นเรามาลองกันสักตั้งแล้วกัน” ภรรยาของเขาพูด
“พรุ่งนี้ฉันไม่ทำงานพอดี เดี๋ยวฉันจะลองไปคุยเรื่องนี้กับเสี่ยวเย้าดูก่อน” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ก็ดีนะ” ภรรยาของเขาพูด
696 สารภาพผิด
ชาวบ้านหลายๆคนรู้ว่า ที่หวังเย้าสามารถซื้อรถนำเข้าได้ เป็นเพราะเขาปลูกสมุนไพรขาย แล้วเขายังซื้ออพาร์ทเมนต์ในตัวเมืองเอาไว้ด้วยห้องหนึ่ง มีคนเคยคิดอยากจะทำตามเขาบ้าง แต่ก็ยังไม่มีใครลงมือทำจริงๆจังๆสักคน
เรื่องการปลูกสมุนไพรเป็นอันเรียบร้อยแล้ว
วันต่อมา หวังเจ๋อเชิงไปที่คลินิกของหวังเย้าและถามเกี่ยวกับเรื่องการปลูกสมุนไพร
“ผมแนะนำให้พี่ลองปลูกสมุนไพรหลายๆตัวดู อย่างพวก หลงตาน, ฟ่างเฟิง, แล้วก็ซิลเวิร์ธ” หวังเย้าพูด “พี่ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะขายสมุนไพรพวกนี้เลยนะครับ ผมจะเป็นคนจัดหาเมล็ดกับต้นกล้ามาให้ แต่ผมมีข้อแม้อยู่ด้วย”
“ข้อแม้อะไรเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถาม
“พี่ห้ามใช้ปุ๋ยเด็ดขาดครับ” หวังเย้าพูด
“ไม่มีปัญหา” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ผมมีหนังสืออยู่สองสามเล่ม ลองเอาไปอ่านดูก่อนนะครับ” หวังเย้าหยิบหนังสือจากบนโต๊ะขึ้นมา
เล่มหนึ่งเป็นวิธีการเกี่ยวกับการปลูกสมุนไพร ในครั้งแรกที่หวังเย้าเริ่มปลูกสมุนไพรบนเขา เราก็ศึกษาจากเล่มนี้ ภายในหนังสือได้อธิบายขั้นตอนพื้นฐานที่สุดเอาไว้ ซึ่งมันสำคัญมาก ในตอนแรกที่เขาเริ่มปลูกสมุนไพร เขาได้ใช้ความระมัดระวังอย่างมาก
“ขอบคุณนะ” หวังเจ๋อเชิงรู้สึกขอบคุณจากใจ
“แล้วพ่อของพี่เป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“เขาก็สบายดี” หวังเจ๋อเชิงพูด
พ่อของเขาได้กินยาของหวังเย้าเข้าไป เขาอยู่ในอารมณ์ที่ดีมาก และดูเหมือนอาการของเขาจะอยู่ในการควบคุมแล้ว อาการของเขาไม่ได้แย่ลงเลย ดังนั้น หวังเจ๋อเชิงจึงพอใจมาก
“ดีครับ แต่จะต้องกินยาให้ตรงเวลาเสมอด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด
หวังเจ๋อเชิงเอาหนังสือกลับไปที่บ้านและปรึกษาเรื่องนี้กับภรรยาของเขา พวกเขาเลือกที่ดินผืนหนึ่งตรงตีนเขาตงชาน มันเป็นที่ดินของตระกูลและอยู่ใกล้กับบ้านของพวกเขา มันไม่เหมาะจะปลูกข้าวและเหมาะสำหรับการปลูกสมุนไพร
…
ที่ปักกิ่ง
“พี่ พี่คิดว่ายังไงบ้าง?” เฉาฮุยเพิ่งจะกลับมาถึง เธอเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
“ฉันจะยอมรับผิด!” เฉาเหมิงถอนหายใจ “ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้ฉัน แล้วพาฉันไปที่นั่นที”
“พี่จะออกจากโรงพยาบาลทั้งๆแบบนี้ไม่ได้นะ” หนึ่งในคนที่เพิ่งมาถึงพูด
พวกเขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น แต่พวกเขารู้ว่า ถ้าเขาออกจากโรงพยาบาลไป เขาก็จะตาย ถ้าเขาตายขึ้นมา แล้วใครจะเอาเงินให้พวกเขาใช้ล่ะ?
“หุบปากซะ!” เฉาเหมิงตะคอก “เฮ้อ ถ้าฉันรู้ว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ละก็ ฉันก็คงจะไม่ทำตั้งแต่แรก!”
หลายวันที่ผ่านเขา การที่ได้นอนอยู่แต่บนเตียง ทำให้เขาได้คิดย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เขาได้ทำลงไปในอดีต คำพูดที่ว่า “เศษสวะ” มันยังน้อยไปสำหรับเขาด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาทำลงไปมันเลวร้ายมาก เขาสร้างหายนะให้กับครอบครัวคนอื่น มันไม่ถือว่าเป็นการจงใจฆ่า แต่ก็เป็นการฆ่าพวกเขาทางอ้อม
“นี่คงจะเป็นเวรกรรมสินะ” เฉาเหมิงพูด
“อะไรนะ? คุณจะออกจากโรงพยาบาลตอนนี้เนี่ยนะ!” แพทย์ได้ฟังคำขอของพวกเขา ก็ได้แต่ประหลาดใจ “ถ้าอยู่โรงพยาบาลชีวิตของเขาก็ยังปลอดภัย แต่ถ้าคุณออกไปเมื่อไหร่ ผมคงช่วยอะไรไม่ได้”
ผมรู้” เฉาเหมิงพูด “เราจะยอมรับกับผลที่จะตามมา”
“ก็ดี งั้นคุณก็เซนต์ตรงนี้ได้เลย” แพทย์เห็นว่าพวกเขาได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
หลังจากที่คิดอยู่สักพัก เขาก็ยินยอมให้พวกเขาออกจากโรงพยาบาล หลังจากที่คนไข้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของแพทย์อีกต่อไป
เฉาเหอและเฉาฮุยเซนต์ลงไปในเอกสาร พวกเขาขอยาจากแพทย์เพื่อช่วยพยุงอาการของเฉาเหมิงเอาไว้ชั่วคราว หลังจากที่พวกเขาจ้างรถได้คันหนึ่งแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าสู่เขตเหลียนชานทันที
“นี่ ทำไมหัวหน้าต้องทำแบบนี้ด้วย?” หนึ่งในคนของเฉาเหมิงถามขึ้นมา
เฉาเหมิงเดินทางไปเขตเหลียนชานพร้อมกับเฉาฮุยและเฉาเหอแค่สามคนเท่านั้น เขาทิ้งทั้งสี่คนให้ดูแลอีกสามคนที่ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
“ใครจะไปรู้ล่ะ” ชายอีกคนพูด
“เขาคิดจะหนีรึเปล่า?” ชายคนที่สามพูด
“หนีเหรอ? เขาจะหนีไปที่ไหนได้ล่ะ?” ชายคนแรกถาม
“ก็ดูสภาพของหัวหน้าสิ” ชายคนที่สามพูด “เขาใกล้ตายอยู่รอมร่อ แล้วอีกสองคนก็เป็นคนสนิทของเขาเอง หรือเขาคิดจะหาที่เอาไว้แบ่งเงินกับสองคนนั้น?”
“ก็เป็นไปได้นะ” ชายคนแรกพูด “เราน่าจะลองตามเขาไปนะ”
“แล้วหัวหน้าจะไปที่ไหนล่ะ?” ชายคนที่สองถาม
“เขาต้องกลับไปที่บ้านเกิดของเขาแน่” ชายคนแรกพูด “ฉันเคยได้ยินหัวหน้าพูดอยู่หลายครั้งว่า ใบไม้ร่วงหล่นกลับไปที่รากเหง้าของมัน”
“ใช่ เขาจะต้องกลับไปที่บ้านเกิดของเขาแน่ๆ” ชายคนที่สามพูด
“แล้วพวกเราจะรออะไรอยู่ล่ะ?” ชายคนที่สี่ถาม “รีบตามเขาไปที่นั่นกันเถอะ ถ้าไม่อย่างนั้น มันอาจจะสายเกินไปก็ได้!”
ชายทั้งสี่รีบร้อนออกไปจากโรงพยาบาลและขับรถไปที่บ้านเกิดของเฉาเหมิง ส่วนอีกสามคนที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลและต้องการคนดูแลนั้น ใครเขาจะไปมีเวลามาสนใจกันล่ะ? พวกเขาไม่ใช่ญาติกันสักหน่อย และเป็นแค่ทีมที่ทำงานด้วยกันชั่วคราวเท่านั้น
“อ้าว พวกเขาไปไหนกันหมดแล้วล่ะ?” นางพยาบาลที่เห็นว่าเหลือแค่คนไข้อยู่ภายในห้องก็ขมวดคิ้วมุ่ย
เฉาจื่อเจินถอนหายใจ เขาคิดว่า เขาคงจะตายไปทั้งๆแบบนี้ เขานึกถึงบ้านเกิดของเขา บ้านที่ทรุดโทรม และพ่อแม่ของเขา
ฉันสมควรได้รับกรรมแล้ว!
รถเคลื่อนตัวไปบนถนนราวกับจะบินได้ เฉาเหมิงนอนอยู่บนที่นั่งด้านหลัง เขาไม่เหลือแรงเลยแม้แต่น้อย และแทบจะกลายเป็นร่างไร้ลมหายใจอยู่รอมร่อ
“พี่ทนหน่อยนะ” เฉาเหอพูด
พวกเขาเดินทางออกจากเมืองหลวงในตอนเช้าและมาถึงเขตเหลียนชานในตอนค่ำ จากนั้น พวกเขาก็เข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง เช้าของวันถัดมา พวกเขาก็เดินทางไปที่หมู่บ้านกลางเขาและรอคอยอยู่ด้านนอกคลินิก
ภูเขาโดยรอบเงียบสงัด มีควันจากการทำอาหารลอยออกมาจากปล่องไฟของบ้านแต่ละหลัง
เมื่อถึงเวลาแปดโมงเช้า หวังเย้าที่ลงมาจากเขาก็เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ด้านนอกคลินิก
หลังจากที่เห็นเขามาแล้ว เฉาฮุยก็เดินเข้าไปหาเขา “หมอหวัง”
“เขามาด้วยรึเปล่า?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ เขามาด้วย” เฉาฮุยพูด
“เข้ามาข้างในก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด
ทั้งสองช่วยกันพยุงเฉาเหมิงเข้าไปในคลินิก
“คุณตัดสินใจได้รึยัง?” หวังเย้าถาม
“อืม” เฉาเหมิงพูดอย่างเรี่ยวแรง
“ดี” หวังเย้าพูด
หวังเย้ากดโทรหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“สารภาพผิดเหรอ?” คนที่รับสายตกตะลึง
พวกเขารีบส่งคนไปที่คลินิกทันที และก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นสภาพของเฉาเหมิง “นี่คือ?”
“คุณเคยสอบสวนเขาแล้วรอบหนึ่งนี่” หวังเย้าพูด
“เขากลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม
“เขาทำเรื่องไม่ดีเอาไว้เยอะ เวรกรรมมันก็เลยตามทันเขายังไงล่ะครับ” หวังเย้าพูด
“เอาล่ะ พูดมาได้เลย” เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งพูด
เฉาเหมิงพูดอย่างคนไร้เรี่ยวแรง ว่าเขาได้รับสายแปลกๆสายหนึ่ง สายที่โทรมาหาเขานั้น ได้พูดคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องการเบลคเมลล์หวังเย้าและยังบอกวิธีการต่างๆให้เขาด้วย
ฮึ่ม! เมื่อได้ยินคำพูดของเฉาเหมิง หวังเย้าก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา “นายไม่ซื่อสัตย์เลยสักนิด!”
คนพวกนี้ไม่เคยมีคำว่าสำนึกอยู่ในหัวเลย
เฉาเหมิงหายใจหอบ หวังเย้ายื่นมือออกไปตบที่หน้าท้องของเขาสองสามครั้ง ก่อนที่จะเอายาให้เขาดื่มอีกหนึ่งถ้วย
ครั้งนี้ เฉาเหมิงไม่ได้อาเจียนออกมา เขารู้สึกอบอุ่นในกระเพาะของเขา หลายวันที่ผ่านมา เขาต้องทุกข์ทรมานอย่างมาก หลังจากที่ได้ดื่มยาเข้าไปถ้วยหนึ่งแล้ว เขาก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก
“แล้วชายแก่ที่ตายคนนั้นล่ะ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม
เฉาเหมิงอึ้งไป นั่นสินะ โชคคงจะไม่ช่วยคนอย่างเขาหรอก “เราเอายาให้เขากิน”
“ยาอะไร?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม
“มันเป็นยาสูตรหนึ่ง” เฉาเหมิงพูด “แต่เราไม่รู้ว่ามันใส่อะไรไปบ้างหรอก”
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ฟังอยู่ต่างก็หันมามองหน้ากัน หวังเย้าเคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าคนตาย เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากปากของเฉาเหมิงกลับกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งไปเลย
“นายจะต้องรับผิดชอบเรื่องที่นายพูดมาด้วยนะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด
“ที่ผมพูดมาเป็นความจริงทั้งหมด” เฉาเหมิงพูด
เรื่องมันมาไกลเกินจะถอยกลับแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตายอย่างเจ็บปวดหรืออยู่อย่างต่ำต้อย เขาก็ขอเลือกข้อหลังมากกว่า
เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถตัดสินใจเรื่องทั้งหมดได้ ดังนั้น พวกเขาจึงนำเรื่องนี้ขึ้นรายงานแบบเร่งด่วน ไม่นาน ก็มีคนเข้ามาจัดการกับคดีนี้ ด้วยสภาพของเฉาเหมิงในตอนนี้แล้ว ทำให้พวกเขาทำได้เพียงบันทึกคำสารภาพของเขาเอาไว้ได้เท่านั้น
เรื่องเกือบจบแล้ว
หวังเย้าถอนสิ่งที่เขาทำเอาไว้กับเฉาเหมิง ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้ยกเลิกการสะกัดจุดที่เส้นเลือดและเส้นประสาทของเฉาเหมิง มันอาจจะฟังดูยุ่งยาก แต่กลับใช้เวลาสั้นๆไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ
ฮ้า! เฉาเหมิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ราวกับเขาได้รับการอภัยโทษแล้ว
แน่นอนว่าเขานั้นเกลียดหวังเย้า แต่เขาไม่เคยมีความคิดที่จะแก้แค้น เขากำลังจะเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว เขาจึงไม่อยากจะความเกลียดชังมันเพิ่มขึ้นและส่งต่อไปยังลูกหลานของเขา
เฉาเหมิงเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งและเป็นโรงพยาบาลเหลียนชาน ครั้งนี้ต่างออกไปจากครั้งก่อน เขาถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยควบคุมอย่างเข้มงวด เพราะเขาคือผู้ต้องสงสัยในคดีต้มตุ๋นและฆาตกรรม ข้อหาที่สองถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงด้วย
“ฉันคงจะต้องอยู่ในนั้นไปตลอดชีวิต อย่าคิดแก้แค้นแทนฉันเลยนะ!” เฉาเหมิงบอกกับเฉาเหอและเฉาฮุย “หางานดีดีทำ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างสงบและมั่นคงเถอะนะ”
“พี่ต้องดูแลตัวเองให้ดีดีด้วยนะ” เฉาเหอพูดด้วยใบหน้าซีดเซียว
เฉาเหมิงสารภาพผิดออกไปแล้ว แต่ก็ยังเหลืออยู่อีกเจ็ดคน และคนเหล่านั้นก็กำลังจะได้รับโทษเช่นเดียวกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น