Elixir Supplier 687-690

 687 ต้องการเงินหรือต้องการชีวิต?


 


“เราจะไปที่ไหนหันคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“เป็นเขาลูกหนึ่งชื่อว่า เขาฟู่หลาย” หวังเย้าพูด “ผมก็ยังไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนเหมือนกัน”


 


หากพูดตามจริง ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะจะเดินทางไปเขาฟู่หลาย พวกเขาควรจะรอให้ถึงปลายฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นตอนที่ใบแปะก๋วยจะกลายเป็นสีเหลืองทั้งหมด ในเวลานั้น ผู้ที่มาเยี่ยมชมก็จะได้เห็นภาพความงดงามจนแทบลืมหายใจ และคนส่วนใหญ่เลือกมาที่เขาฟู่หนานก็เพื่อจะได้มาดูต้นแปะก๋วยต้นนี้


 


“แล้วที่เนื้อแกะที่นั่นก็ดังมากด้วยนะ” หวังเย้าพูด


 


“โอ้โห ถ้าอย่างนั้นเราจะกินเนื้อแกะกันตอนเที่ยงนี้ใช่ไหมคะ? แล้วคุณไปที่นั่นบ่อยไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ไม่ ผมเคยขับผ่านที่นี่แค่สองครั้งเท่านั้น” หวังเย้าพูด


 


ถึงที่นี่จะอยู่ใกล้กับหมู่บ้านของเขา แต่หวังเย้าก็เคยขับผ่านไปแค่สองครั้งเท่านั้น มันเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าเหลียนชานเกือบสองเท่า เศรษฐกิจของที่นี่ก็ดีกว่าด้วย และมีประชากรอาศัยอยู่มากกว่าด้วยเช่นกัน


 


เขาฟู่หลายไม่ได้สูงมาก และยังเล็กกว่าเนินเขาหนานชานด้วย ในเวลานี้ของปี ซึ่งไม่ใช่ทั้งวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดตามเทศกาล จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก


 


บนเขามีวัดที่ดูเก่าแก่ตั้งอยู่ด้วย หลังจากหวังเย้าและซูเสี่ยวซวีเข้าไปในวัด พวกเขาก็ได้เห็นต้นแปะก๋วยต้นใหญ่ตั้งอยู่ด้านใน มันมีขนาดใหญ่มากและตั้งอยู่ภายในบริเวณของวัด กิ่งก้านและใบของมันปกคลุมครึ่งหนึ่งของบริเวณวัด ลำต้นของมันก็มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งต้องใช้คนหลายคนจับมือกันเพื่อที่จะสามารถโอบรอบลำต้นของมันได้ เมื่อยืนอยู่ใต้ต้นแปะก๋วย ก็จะให้ความรู้สึกเย็นสบาย


 


“ฉันว่า ต้นแปะก๋วยต้นนี้จะต้องมีอายุอย่างน้อยๆก็พันปีเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีเงยหน้าขึ้นมองต้นแปะก๋วย ใบของมันช่วยป้องกันแสงแดดที่ส่องลงมา


 


“ก็อาจจะใช่” หวังเย้าพูด


 


เธอเดินไปรอบต้นแปะก๋วยอยู่หลายรอบและถ่ายรูปกับมันไปหลายภาพ


 


“นี่คืออะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีชี้ไปที่เส้นด้ายสีแดงที่ห้อยอยู่ตามต้นไม้


 


“คนที่มาที่นี่เขามาขอพรอธิษฐานกันน่ะ แล้วก็เอาเส้นด้ายสีแดงห้อยไว้กับต้นไม้ ผมได้ยินมาด้วยนะว่า คนที่มาขอพรที่นี่มักจะสมปรารถนากัน” หวังเย้าพูด


 


“งั้นเราก็ขอพรด้วยสิคะ” ซูเสี่ยวซวีเสนอขึ้นมา


 


“เอาสิ” หวังเย้าพูด


 


พวกเขาไปขอพรที่ใต้ต้นแปะก๋วย ซูเสี่ยวซวีหลับตาลงและประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน เธอขอพรด้วยความตั้งใจจริง


 


หลังจากขอพรเสร็จแล้ว พวกเขาก็พากันเดินไปรอบๆตัววัด ที่เหลียนชานก็มีวัดเก่าแก่อยู่ด้วยเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ตัววัดได้รับความเสียหายในระหว่างที่มีการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมและสังคม การที่วัดยังสามารถอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็ถือเป็นเรื่องที่โชคดีมากแล้ว แต่ภายในก็แทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว


 


ซูเสี่ยวซวีดูเหมือนจะมีความเชื่อในวัดอย่างมาก เธอยังเข้าไปขอพรกับพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ภายในด้วย หวังเย้าเพียงแค่ยืนมองเธอเฉยๆเท่านั้น


 


ที่มุมหนึ่งของวัด มีพระชรารูปหนึ่งตั้งโต๊ะอยู่ เขาหลับตาและพิงไปกับเก้าอี้ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะกำลังหลับอยู่


 


“หมอหวัง ตรงนั้นมีดูดวงด้วย” ซูเสี่ยวซวีพูด “เราไปดูกับเขากันดีไหมคะ?”


 


“ไปสิ” หวังเย้าพูด


 


บทสนทนาของพวกเขาได้ปลุกพระรูปนั้นให้ตื่นขึ้นมา “มีอะไรให้อาตมาช่วยเหรอ?”


 


“เราอยากรู้ว่าในอนาคตของพวกเราจะเป็นยังไงค่ะ ท่านพระอาจารย์” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“อาตมาไม่ใช่พระอาจารย์หรอก อาตมาเป็นแค่พระรูปหนึ่งเท่านั้น” พระพูดด้วยรอยยิ้ม “แล้วโยมอยากจะรู้เรื่องอะไรล่ะ? หน้าที่การงาน, การแต่งงาน, หรือเรื่องครอบครัวล่ะ?”


 


“ทั้งหมดเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


เธอและหวังเย้าบอกรายละเอียดของแต่ละคน ทั้งวันเดือนปีเกิดและปีนักษัตรของตัวเอง พระรูปนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่ง


 


“โยมมาจากครอบครัวมีฐานะ อาจจะเป็นครอบครัวที่มีอำนาจมากด้วย ถ้าดูจากโหงวเฮ้งบนใบหน้าของโยมแล้ว โยมเป็นผู้ที่มีโชค เมื่อดูจากวันเดือนปีเกิดของโยมแล้ว โยมได้เคยประสบเคราะห์กรรมในช่วงอายุยี่สิบต้นๆ และเกือบเอาชีวิตของโยมไป มันไม่ง่ายเลยที่จะรอดมาได้” พระพูดเสียงเบา


 


“ใช่ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพยักหน้าซ้ำๆ


 


“มันเป็นเคราะห์กรรมที่ถูกลิขิตมาเพื่อให้โยมได้ผ่านมันไป หลังจากนั้น อนาคตของโยมก็จะมีแต่ความสดใสและราบรื่นไปตลอด” พระพูด


 


“แล้วเรื่องการแต่งงานล่ะคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“โยมจะมีชีวิตการแต่งงานที่มีความสุข” พระพูด


 


แล้วพระก็หันหน้าไปทางหวังเย้า


 


“ดูจากวันเดือนปีเกิดของโยมแล้ว ชีวิตของโยมไม่ได้มีโชคมากนัก แต่ถ้าดูจากโหงวเฮ้งแล้ว…” พระจับจ้องไปที่ใบหน้าของหวังเย้าและส่ายหน้า


 


“มีอะไรเหรอคะท่าน?” ซูเสี่ยวซวีถามขึ้นมาด้วยความกังวล ในขณะที่หวังเย้ากลับยังสงบอยู่ได้


 


“อาตมาบอกไม่ได้” พระพูด “โยมฝึกทางเต๋าเหรอ?”


 


“อ่อ ใช่ครับ” หวังเย้าพูดด้วยความแปลกใจ เขาไม่คิดว่า พระรูปนี้จะรู้เรื่องนี้ด้วย และเริ่มสนใจพระรูปนี้มากขึ้น “ผมขอถามหน่อยได้ไหมครับ ว่าทำไมท่านถึงรู้ว่าผมฝึกทางเต๋า?”


 


“อาตมาแค่ใช้ความรู้สึกคาดเดาเอาเองเท่านั้น” พระพูด


 


“ท่านเดาถูกแล้วล่ะครับ ผมกำลังฝึกทางเต๋าอยู่” หวังเย้าพูด


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลก ที่อาตมาจะไม่สามารถดูโหงวเฮ้งของโยมออกได้” พระพูด


 


“ดูไม่ได้เหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ด้วยการที่โยมฝึกฝนมาทางนี้ มันก็จะทำให้ชีวิตของโยมเปลี่ยนไปด้วย” พระพูด “ชีวิตของโยมจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โหงวเฮ้งของโยมจะเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งคราว อีกสามปีข้างหน้า ใบหน้าของโยมก็อาจจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้ โยมลองคอยสังเกตดูใบหน้าของตัวเองบ่อยๆก็ได้ แล้วโยมก็จะเห็นเองว่ามันเปลี่ยนจริงๆไหม”


 


“ท่านเคยเจอคนที่ฝึกทางธรรมหรือทางเต๋าบ้างไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เคยสิ อาตมาเคยพบอยู่คนหนึ่ง” พระพูด


 


“ผมขอถามได้ไหมครับ ว่าเขาอยู่ที่ไหน?” หวังเย้าต้องการเจอกับคนที่ฝึกทางธรรมหรือทางเต๋ามาตลอด เพราะตัวเขาต้องการรู้ว่า พวกเขาฝึกอะไรและอย่างไร


 


“เขาเป็นพระรูปหนึ่งอยู่ที่เขาอู่ไถ เขามีความเข้าใจในเรื่องพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง และเป็นเกจิอาจารย์ของแท้” พระพูด


 


“เขาอู่ไถที่ชานซีใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่” พระพูด


 


เขาอู่ไถถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงทางด้านศาสนาพุทธ


 


“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากนะครับ” หวังเย้าพูด


 


พวกเขาถวายปัจจัยให้กับทางวัด ก่อนที่จะพากันออกมา


 


“คุณอยากไปเจอพระรูปนั้นที่เขาอู่ไถใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ใช่ ผมอยากจะลองไปเจอเขาดู” หวังเย้าพูด


 


“งั้นเราไปด้วยกันนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ได้สิ” หวังเย้าพูด


 


หลังลงมาจากเขาฟู่หลายแล้ว พวกเขาก็ไปทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในแถบนี้ ซึ่งเป็นร้านที่มีชื่อในเรื่องของเนื้อแกะ มันเป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ ตอนที่พวกเขาไปถึงก็เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี ดังนั้น ภายในร้านจึงเต็มไปด้วยลูกค้าอยู่หลายโต๊ะ แต่รสชาติของซุปเนื้อแกะกลับไม่ได้เลิศรสอะไร เพราะเมื่อมีลูกค้าสั่งเป็นจำนวนมาก เชฟของทางร้านจึงไม่สามารถการันตีว่ารสชาติของอาหารทุกจานจะเหมือนกันหมดได้


 


หลังทานอาหารเสร็จ พวกเขาก็ขับรถกลับไปที่เหลียนชาน


 


ทนายความของซูเสี่ยวซวีที่เดินทางมาจากปักกิ่งได้ปรึกษากับจางเผิงเกี่ยวกับคดีของหวังเย้า พวกเขาค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้ ทั้งหมดที่ต้องทำก็คือรอเวลาขึ้นศาลเท่านั้น


 


ศาลได้เปิดการพิจารณาคำขออุทธรณ์ของหวังเย้า คำตัดสินในครั้งนี้แตกต่างจากคำตัดสินแรกอย่างสิ้นเชิง หวังเย้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น และนี่ถือว่าเป็นคำตัดสินสุดท้าย


 


เฉาเหอไม่ได้คิดจะยื่นขออุทธรณ์กับคำตัดสินนี้ เรื่องทั้งหมดจึงเหมือนกับการละเล่นของเด็กเล็กๆเท่านั้น


 


“หาเจอรึยังคะ ว่าเฉาเหอคนนี้เป็นใคร?” ซูเสี่ยวซวีหันไปถามชูเหลียนในตอนที่พวกเธอกำลังนั่งฟังคำตัดสินอยู่


 


“เจอแล้วค่ะ” ชูเหลียนพูด


 


หลังจากผู้พิพากษาประกาศคำตัดสินสุดท้ายออกมาแล้ว ทุกคนที่อยู่ในศาลต่างก็แยกย้ายกันออกไป หวังเย้ารับเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับเฉาเหอมาอ่านในรถ


 


เฉาเหอมาจากหมู่บ้านที่ยากจนมากแห่งหนึ่ง เขาสำเร็จการศึกษาจากหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศจีน และเรียนจบสองปริญญาตรีทางด้านจิตวิทยาและกฎหมาย เขาเป็นนักศึกษาเรียนดีและยังได้รับทุนการศึกษาจากทางมหาวิทยาลัยทุกปีด้วย


 


“หืมมม เขาเป็นคนฉลาดมากเลยนะเนี่ย” หวังเย้าพูด “แล้วทำไมถึงได้มาทำงานให้คนอย่างเฉาเหมิงได้ล่ะ?”


 


“พวกเขามีแซ่เดียวกัน แล้วบ้านเกิดที่บ้านเกิดพวกเขาก็อาศัยอยู่บ้านใกล้ๆกันด้วยค่ะ บางทีพวกเขาอาจจะเป็นญาติกันก็ได้” ซูเสี่ยวซวีพูด


 



 


ขณะเดียวกัน เฉาเหมิงก็ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลห่ายชิว


 


“หมอคะ พี่ชายของผมกับเพื่อนของเขาป่วยเป็นอะไรกันแน่?” เฉาฮุยถามแพทย์


 


“บอกตามตรงนะครับ เราไม่สามารถหาสาเหตุของอาการที่พวกเขาเป็นอยู่ได้เลย” แพทย์พูด เขาไม่เคยเจออาการป่วยแบบนี้มาก่อนเลย “ร่างกายของเขาต่อต้านอาหารทุกอย่างที่กินเข้าไป ทันทีที่เขาเริ่มกิน กระเพาะของเขาก็จะถูกกระตุ้นและทำให้อาเจียนออกมา เราพยายามหยุดอาการของเขาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผลเลย”


 


“แต่จะให้พวกเขาอยู่แบบนี้ไปตลอดก็คงจะไม่ได้” เฉาฮุยพูด


 


“ถ้าคุณไม่อยากจะรอ คุณก็สามารถทำเรื่องขอส่งตัวพวกเขาไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นดูก็ได้นะครับ บางที หมอจากโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่านี้อาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง” แพทย์พูด


 


ในเมื่อเขาไม่สามารถทำให้คนอาการดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาพอจะทำได้ก็คือปล่อยให้คนไข้มองหาสถานที่รักษาที่อื่นแทน


 


“ผมเข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ” เฉาฮุยพูด


 


“ยินดีครับ” แพทย์พูด


 


ในตอนที่เฉาฮุยเดินออกมาจากห้องทำงานของแพทย์ เฉาเหอก็กลับมาที่โรงพยาบาลพอดี


 


“เรื่องที่ศาลเป็นยังไงบ้าง?” เฉาฮุยถาม


 


“เขาชนะ เขามีกลุ่มทนายจากปักกิ่งมาว่าความให้” เฮาเหอพูด “ฉันว่า ผู้พิพากษาดูเหมือนจะถูกกดดันจากหัวหน้าของเขาด้วย พวกเขาติดสินทุกอย่างไปตามคำร้องของอีกฝ่าย หัวหน้า ผมว่าเราควรจะยอมแพ้ได้แล้วนะ ถ้าหัวหน้ายังคิดจะสู้กับหวังเย้าต่อ แม้แต่ชิวิตก็อาจจะไม่เหลือเลยนะครับ”


 


ที่เฉาเหอต้องการจะยอมแพ้ก็เพราะเฉาเหมิงที่นอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล หลังจากที่เฉาเหมิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เขาฟังแล้ว เฉาเหอก็ค่อนข้างมั่นใจว่า อาการที่เฉาเหมิงและคนที่เหลือเป็นอยู่ในเวลานี้ เกิดจากฝีมือของหวังเย้า หลังจากที่เขาได้ทำความรู้จักหวังเย้ามากขึ้น เฉาเหอก็ได้รู้ว่า หวังเย้าเป็นแพทย์ที่มีฝีมือทั้งในเรื่องการรักษาอาการปวดศีรษะ, ปวดขา, โรคหัวใจ, และอาการเส้นเลือดอุดตัน หวังเย้าสามารถรักษาได้แทบทุกโรค


 


แพทย์ที่สามารถรักษาคนให้หาย ก็สามารถทำให้คนป่วยได้นเช่นกัน เฉาเหอสันนิษฐานว่า เฉาเหมิงจะถูกหวังเย้าวางยาเข้า แต่เขาก็หาหลักฐานอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง


688 เสียใจ


 


“อืม ฉันคงต้องพึ่งนายกับเสี่ยวฮุยแล้วล่ะนะ” เฉาเหมิงพูด


 


“ปล่อยให้พวกเราจัดการเรื่องนี้เองครับ” เฉาเหอพูด


 


ที่ด้านนอกห้องพักคนไข้ คนทั้งสี่ในแก็งค์กำลังรวมตัวกันอยู่


 


“นี่ สองคนนั้นมันเป็นใครกันเหรอ?” หนึ่งในนั้นถามขึ้นมา


 


“จะไปรู้เหรอ แล้วฉันไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อนด้วย” อีกคนพูด “พวกนั้นอาจจะแค่มาช่วยเราเป็นการชั่วคราวเท่านั้นก็ได้”


 


“แล้วถ้าพวกมันเป็นคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาล่ะ ทำไมหัวหน้าถึงได้ดูเชื่อใจขนาดนั้นด้วย?” คนที่สามถาม


 


“หรือว่าหัวหน้าจะผิดหวังในตัวพวกเรา?” คนที่สองถาม


 


ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น เฉาเหอและเฉาฮุยก็เดินออกมา


 


“เราคงต้องส่งตัวหัวหน้าไปรักษาที่ปักกิ่ง” เฉาเหอพูด


 


“ปักกิ่งเหรอ?” หนึ่งในสี่คนถาม “ก็ได้”


 


คนทั้งสี่ไม่เคยไปปักกิ่งมาก่อนเลย พวกเขาจึงอยากจะไปที่นั่นเพื่อดูว่ามันเป็นยังไง แล้วการที่พวกเขาคอยดูแลหัวหน้าอยู่ที่โรงพยาบาล พวกเขาก็ได้เงินสำหรับกินดื่มในทุกๆวัน ถึงมันจะไม่ได้มากมายอะไร แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าพวกเขาไม่ได้อะไรเลย


 


“ฉันไปทำเรื่องส่งตัวก่อนนะ” เฉาเหอพูด “ดูแลหัวหน้าด้วยล่ะ”


 


“ดูเหมือนว่าพี่เขาจะยังไม่อยากยอมแพ้นะ” เฉาฮุยพูดขึ้นมา หลังจากที่พวกเขาเดินออกมาไกลแล้ว “นายต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่องให้ได้นะ”


 


“ฉันลองพยายามคุยกับเขาดูแล้ว แต่พี่ก็เอาแต่สนใจเรื่องเงินอย่างเดียวเลย” เฉาฮุยพูด


 


“แต่ยังไงเขาก็ต้องมีชีวิตยืนยาวพอที่จะได้ใช้เงินด้วย” เฉาเหอพูด “ฉันรู้สึกว่า ถ้าพี่ไปรักษาตัวที่ปักกิ่งแล้ว มันอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่คิดน่ะสิ”


 


“ลองดูไปก่อนเถอะ” เฉาฮุยพูด


 


ภายในห้องคนไข้ เฉาจื่อเจินจ้องมองเพดานอยู่ ดวงตาของเขาไร้ประกาย เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความโง่ของตัวเองและความเสียใจ เขาไม่น่ามาที่นี่เลย เขาไม่ควรเข้าร่วมกับแก็งค์นี้ แล้วทำร้ายพ่อของตัวเองแบบนี้เลย


 


อาการของเขาเลวร้ายยิ่งกว่าคนอื่นๆ รวมไปถึงเฉาเหมิงด้วย พวกเขาอาเจียนทุกครั้งที่ทานอะไรเข้าไป ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ทานอะไรเลย และต้องอยู่โดยพึ่งพาสารอาหารจากสายน้ำเกลือ แต่เฉาจื่อเจินนั้นต่างออกไป


 


นอกจากอาการเหล่านั้นแล้ว จมูกและหูของเขายังมีเลือดไหลออกมาเป็นครั้งคราว ในทุกๆสามวัน เขาจะมีอาการเวียนศีรษะและมีปัญหาด้านการได้ยินกับดมกลิ่น ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงจะสูญเสียทั้งการได้ยินและการดมกลิ่น โชคร้ายที่แม้แต่แพทย์ก็ยังวินิจฉัยไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร ดังนั้น แพทย์จึงไม่สามารถรักษาอาการป่วยของเขาได้


 


เฮาจื่อเจินรู้ถึงสาเหตุของเรื่องนี้ มันเป็นเพราะฝีมือของหวังเย้า เขาและคนอื่นๆต้องป่วยหนักแบบนี้ล้วนเป็นฝีมือของชายหนุ่มคนนั้น


 


ตอนนี้ เขารู้สึกอยากจะไปที่หมู่บ้านกลางเขาและคุกเข่าลงตรงหน้าคลินิก เขายินดีทำทุกอย่าง ขอแค่สามารถทำให้เขาหายจากอาการเหล่านี้ก็พอ ตราบใดที่เขายังสามารถรักษาชีวิตของตัวเองได้ จะให้เขาเข้าไปอยู่ในคุกเขาก็ยอม แต่ตอนนี้ แม้แต่จะลุกขึ้นนั่งก็ยังทำไม่ได้ จะไปที่ไหนก็คงจะไม่ได้


 


เฉาจื่อเจินถอนหายใจ เขาพูดออกมาด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ฉันเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปจริงๆ”


 



 


ที่สนามบินห่ายชิว


 


“เดินทางปลอดภัยนะ” หวังเย้าพูด


 


“ถ้ามีเรื่องอะไร คุณต้องบอกฉันนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


การเดินทางมาในครั้งนี้ของเธอได้จบลงแล้ว เธอหยุดเรียนมาหลายวันแล้ว แต่ยังไงเธอก็ต้องกลับไปเรียนเพื่อให้จบตามเวลา


 


ก่อนจะไป หวังเย้าก็ได้กอดเธอเอาไว้ “ดูแลตัวเองดีดีนะ”


 


หลังจากยืนมองเธอจนลับสายตาไปแล้ว หวังเย้าก็หมุนตัวเดินออกไป เขายืนอยู่ด้านนอกสนามบินและมองดูเครื่องบินที่กำลังทะยานขึ้นฟ้าและหายลับไป


 


เมื่อสิบกว่าวันก่อน ซูเสี่ยวซวีก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอยู่แบบนี้เช่นเดียวกัน และในตอนนี้ ก็เป็นตาของเขาบ้างแล้ว


 


ในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีรถสองคันเดินทางออกจากห่ายชิวและมุ่งหน้าสู่ปักกิ่ง


 


หวังเย้าขับรถกลับไปที่หมู่บ้านและตรงไปที่คลินิก ประตูถูกเปิดเอาไว้ ด้านในไม่ใช่คนไข้แต่เป็นเพื่อนของเขา


 


เจิ้งชื่อฉง, เจิ้งเหว่ยจวิน, หวูชู, เวินหว่าน, จงหลิวชวน, และน้องสาวของเขา ได้มาหาหวังเย้าเพื่อถามว่าจะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นยังไงและต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขาหรือไม่


 


“ขอบคุณ ขอบคุณทุกคนมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาคิดดูดีดีแล้ว และได้ตัดสินใจเชิญทุกคนไปทานอาหารด้วยกันที่ร้านอาหารใกล้บ้าน เขาได้โทรไปที่ร้านอาหารและจองโต๊ะเอาไว้


 


ตอนเย็น คนที่เขาเชิญก็มาถึง โชคดีที่เขาจองโต๊ะใหญ่เอาไว้ที่ร้าน


 


“ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงและช่วยเหลือผมนะครับ เหล้าแก้วนี้ขอดื่มให้ทุกคนนะครับ” หวังเย้าชูแก้วขึ้นและดื่มเหล้าเข้าไป


 


“ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้นหรอก”


 


“มันเป็นเรื่องที่เราต้องทำอยู่แล้วครับ”


 


นอกจากคนที่ป่วยอยู่แล้ว คนที่เหลือก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มจนหมด


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าคนป่วยที่มารักษากับหวังเย้าและอาศัยอยู่ในหมู่บ้านได้มารวมตัวกันแบบนี้ ถึงพวกเขาจะเคยเจอหน้ากันและทักทายกันบ้าง แต่นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้มานั่งรวมกันแบบนี้ มันเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะได้คุยกันมากขึ้นและกลายเป็นเพื่อนกัน


 


ในระหว่างมื้ออาหาร แขกทุกคนและเจ้ามือต่างก็มีความสุข พวกเขาทานอาหารยาวไปจนถึงสามทุ่ม


 


หวังเย้ากลับบ้านไปทักทายพ่อแม่ของเขา ก่อนที่จะกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเพียงลำพัง ที่ตีนเขาหนานชาน ต้นไม้ที่เขาปลูกกำลังเติบโตได้เป็นอย่างดี ลมพัดต้นไม้ส่ายไปมา


 


เขาเดินเข้าไปตรงหน้าต้นไม้และตบไปที่ลำต้นของมัน “โตเร็วๆนะ”


 


หลังจากที่เดินขึ้นไปถึงบนเขาแล้ว ก็มีแสงไฟส่องลอดออกมาจากกระท่อมและมีเสียงท่องคัมภีร์เต๋าดังออกมาให้ได้ยิน


 


วันต่อมา คลินิกเปิดทำการ มีคนไข้สองคนมาในตอนเช้า และในตอนบ่ายมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ในความคิดของหวังเย้านั้น คนไข้แต่ละคนไม่ได้อาการหนักอะไรเลย


 


เขาติดต่อไปหาหลี่ชื่อหยูและสั่งซื้อต้นไม้มาอีกหลายคันรถ เมื่อมีเวลาว่าง หวังเย้าจึงดูแผนการที่วางเอาไว้และจัดการปรับปรุงบางส่วน


 


ในโลกอินเตอร์เนต ข่าวที่เกี่ยวกับคลินิกยังไม่ซาลง และดูเหมือนจะมีมากขึ้นเรื่อยๆด้วย


 


เช้าวันต่อมา รถบรรทุกได้ขนต้นไม้เข้ามาในหมู่บ้าน หลังจากตรวจคนไข้เสร็จแล้ว หวังเย้าก็ปิดประตูคลินิก ต้นไม้ถูกขนลงที่ตีนเขาเหมือนอย่างเคย


 


“คุณปลูกต้นไม้เก่งมากเลยนะครับ!” หลี่ชื่อหยูพูด ต้นไม้ที่หวังเย้าปลูกดูเติบโตเป็นอย่างดีทุกต้น


 


“ก็พอได้ครับ” หวังเย้าพูด


 


“ถ้าคุณไม่อยากเป็นหมอแล้ว อย่าลืมบอกผมแล้วกันนะครับ!” หลี่ชื่อหยูพูดหยอก “วันนี้ ผมขนต้นไม้มาให้สามคันรถนะครับ”


 


“ดีครับ” หวังเย้าพูด


 


“อยากให้ผมช่วยอะไรไหมครับ?” หลี่ชื่อหยูถาม “ผมไม่คิดเงินหรอกะครับ”


 


“ขอบคุณนะครับ แต่ผมทำเองไหว” หวังเย้าพูด


 


เมื่อต้นไม้ถูกขนลงจนหมดแล้ว เขาก็เริ่มงานไปตามจุดที่วางเอาไว้, ขุดหลุม, เอาต้นไม้ลงปลูก, และรดน้ำ เขาคุ้นเคยกับขั้นตอนเหล่านี้ดี ซานเซียนก็ลงมาจากเขาเพื่อมาช่วยเขาด้วย


 


เขาใช้มือหนึ่งถือต้นไม้เอาไว้และใช้อีกมือตักดินใส่หลุม ซานเซียนมีหน้าที่ในการดูว่าต้นไม้ตรงหรือไม้ และบางครั้งก็ช่วยเขาจับต้นไม้เอาไว้


 


ต้นไม้ถูกนำมาส่งเพิ่มในตอนกลางวัน ก่อนที่ต้นไม้ที่มาในช่วงเช้าจะทันได้ปลูกเสร็จ พ่อแม่ของหวังเย้าก็ตามมาช่วยด้วยเช่นเดียวกัน


 


เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน จงหลิวชวนและน้องสาวของเขาก็เดินขึ้นเขาเพื่อออกกำลัง เมื่อผ่านมาทางหวังเย้า พวกเขาก็ได้เสนอความช่วยเหลือ


 


“ทำไมหมอถึงได้ปลูกต้นไม้เยอะแยะแบบนี้ล่ะคะ?” จงอันซินถาม


 


“เพื่อให้สภาพแวดล้อมสวยงาม แล้วก็อากาศจะได้บริสุทธิ์ขึ้นยังไงล่ะ” หวังเย้าตอบ


 


“อืม อากาศบนเขาลูกนี้ก็สดชื่นจริงๆนั่นแหละ” จงหลิวชวนพูด


 


เพราะอากาศบนเขาให้ความสดชื่น เขาและน้องสาวจึงมักจะขึ้นมาเดินบนนี้ในตอนที่อากาศเย็นลงเล็กน้อย


 


“ทุ่งนาแถวนี้ถูกทิ้งเอาไว้ ผมก็เลยเอมาปลูกต้นไม้แทน” หวังเย้าพูด “ดูสิครับ มีทั้งเชอร์รี่, แอพริคอต, และแอปเปิ้ล ผลไม้พวกนี้จะออกผลในปีหน้า อย่าลืมมาเก็บไปกินกันล่ะ!”


 


“ได้เลยค่ะ” จงอันซินหัวเราะออกมาและตั้งใจทำงานมากขึ้น


 


บนใบหน้าของจงหลิวชวนมีรอยยิ้มบางๆปรากฏให้เห็น


 


“ขอบคุณนะครับ วันนี้ผมขอเลี้ยงข้าวเย็นพวกคุณนะ” หวังเย้าพูด


 


“ขอบคุณครับ หมอหวัง วันนี้ผมซื้อปลาตัวใหญ่มาตัวหนึ่ง” จงหลิวชวนพูด “ผมทำความสะอาดเอาไว้แล้ว และคิดว่าจะเอามาตุ๋น หมออยากมากินกับเราไหมครับ?”


 


“เอ่อ คงไม่ดีกว่าครับ ขอบคุณนะครับ” หวังเย้าพูด


 


ส่วนต้นไม้ทั้งหมดที่ขนมาในวันนี้ พวกเขาได้ใช้เวลาทั้งวันในการปลูก หลังจากที่ปลูกเสร็จแล้ว ป่าทรงครึ่งวงกลมก็ได้ปรากฏอยู่ตรงตีนเขา แม้ว่าพวกมันจะดูน้อยไปหน่อยก็ตาม ตอนนี้ก็เหลือถนนเพียงสายเดียวจะสามารถใช้เดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานได้


 


“ซานเซียน นายคิดว่ายังไง?” หวังเย้าถาม


 


โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!


 


เมื่อยืนอยู่บนยอดเขาหนานชาน ก็จะสามารถเห็นได้ว่า ที่ด้านล่างของเนินเขาจะมีป่ารูปพระจันทร์ครึ่งเสี่ยวปรากฏให้เห็น


 


“โครงสร้างพื้นฐานก็ได้แล้ว” หวังเย้าพูด “ขั้นต่อไปก็คือการเติมต้นไม้เข้าไปเพิ่ม เพื่อขยายขอบเขตของป่าตรงตีนเขาให้กว้างมากขึ้น”


 



 


ที่ปักกิ่ง


 


“หมอบอกได้ไหมครับ ว่าพี่ชายของผมป่วยเป็นอะไร?” หลังจากที่ย้ายโรงพยาบาลเรียบร้อยและทำการตรวจแล้ว เฉาเหอก็ไปที่ห้องทำงานของแพทย์เพื่อสอบถามเกี่ยวกับอาการของเฉาเหมิง


 


“พวกเขามีอาการแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ?” แพทย์ถาม


 


“ก็เป็นมาเกือบจะสิบวันแล้วครับ” เฉาเหอพูด


 


“งั้นก็แสดงว่าพวกเขาไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว และอาศัยแค่สารอาหารจากน้ำเกลือเท่านั้นสินะครับ” แพทย์พูด “อาการของเขามองไปในแง่ดีไม่ได้เลย แล้วกระเพาะของเขาก็เริ่มแสดงบาดแผลให้เห็นแล้วบางส่วน”


 


“แผลเหรอครับ?”


689 ในตอนนั้น เขาคือพระพุทธเจ้า


 


การที่อาการรุนแรงขึ้นถือเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับคนไข้ทุกราย เฉาเหอมีสีหน้าแย่ลง “หมอช่วยอธิบายเพิ่มได้ไหมครับ?”


 


“คุณต้องการทราบเรื่องอะไรครับ?” แพทย์ถาม “ผมขอพูดตรงๆเลยแล้วกันนะครับ ที่ผมต้องการจะบอกก็คือ มันเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเนื้อร้ายครับ”


 


“อะไรนะครับ? มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน?” เฉาเหอถาม


 


“งั้นคุณลองบอกผมมาสิครับ อะไรบ้างที่จะเป็นสาเหตุของการเกิดเนื้อร้ายได้?” แพทย์ถาม


 


“การเปลี่ยนแปลงของยีนส์ครับ” เฉาเหอพูด


 


“อืม เรื่องการเปลี่ยนแปลงของยีนส์ดูเหมือนจะไกลไป เรามาพูดอะไรที่เข้าใจง่ายกว่านี้ดีกว่านะครับ มะเร็งเริ่มเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภายในร่างกายของมนุษย์ และเมื่อร่างกายของมนุษย์ได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยภายนอก” แพทย์พูด “คุณเฉาเหมิงก็อยู่ในปัจจัยนั้นเช่นกัน เขาไม่สามารถกินอะไรได้เลย เมื่อเขาเริ่มกิน ร่างกายของเขาก็จะเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง อวัยวะภายในร่างกายของมนุษย์ล้วนมีหน้าที่ของมันเอง กระเพาะและลำไส้มีหน้าที่ในการย่อยสลายอาหาร พวกมันจำเป็นต้องคงสภาพการทำงานของตัวเองโดยการรับอาหารเข้ามา ไม่อย่างนั้นแล้ว พวกมันก็จะเริ่มเกิดปัญหาเหมือนกับบ้านเปล่าหลังหนึ่ง ถ้าคุณทิ้งบ้านหรือทุ่งนาเป็นเวลานานเกินไป พวกวัชพืชก็จะเริ่มเติบโตขึ้นในบริเวณนั้น ถ้ากระเพาะและลำไส้หยุดการทำงานเป็นเวลานานเกินไป มันก็จะมีปัญหาเช่นเดียวกัน”


 


“หมอพอจะแนะนำอะไรได้บ้างไหมครับ?” เฉาเหอถาม


 


“ตอนนี้ยังไม่มีครับ ผมได้จัดการประชุมขึ้นเพื่อปรึกษาเรื่องอาการของคุณเฉาเหมิงร่วมกับผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ บางที หมอคนอื่นอาจจะพอมีทางรักษาเขาได้” แพทย์พูด


 


“ขอบคุณมากนะครับ” เฉาเหอพูด


 


“ยินดีครับ” แพทย์พูด


 


หลังเดินออกมาจากห้องทำงานของแพทย์แล้ว เฉาเหอก็รู้สึกกดดันขึ้นมา


 


“หมอว่ายังไงบ้างเหรอ?” เฉาฮุยที่เพิ่งกลับจากไปทำธุระถาม


 


“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” เฉาเหอส่ายหน้า


 


มันไม่ดีสักนิดเลยต่างหาก


 


เฉาเหอเอาแต่เงียบอยู่นาน ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาว่า “บางทีเธออาจจะพูดถูก พี่ใหญ่ของพวกเราควรไปยอมรับความผิดของตัวเอง คนที่ทำกับเขาก็คงจะสามารถแก้ยกเลิกสิ่งที่เขาทำลงไปกับพี่ใหญ่ได้”


 


“เธอไปหมู่บ้านที่หวังเย้าอยู่หน่อยได้ไหม?” เฉาเหอถาม “อย่าเพิ่งบอกพี่ใหญ่ล่ะ”


 


“ได้” เฉาฮุยพูด


 


วันต่อมา เฉาฮุยเดินทางไปที่หมู่บ้านของหวังเย้าด้วยตัวเอง ไม่นาน เธอก็หาคลินิกของหวังเย้าพบ ด้านในไม่มีคนไข้อยู่เลย เธอเคาะประตูและเดินเข้าไปด้านใน


 


“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” เฉาฮุยพูด


 


“สวัสดีครับ” หวังเย้าพูดด้วยความแปลกใจ


 


เฉาฮุยดูเป็นคนมีการศึกษาและหน้าตาค่อนข้างดี แต่หน้าตาของเธอดูเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด “ฉันชื่อว่า เฉาฮุย ค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่เฉาเหมิง”


 


“ผมรู้ว่าคุณคือใคร นั่งก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด


 


เฉาฮุยมาจากหมู่บ้านห่างไกลในส่วนกลางของประเทศจีน เธอจบการศึกษาในขณะการบันชีจากหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของประเทศจีน เธอและเฉาเหอมาจากหมู่บ้านเดียวกัน หวังเย้าคิดไม่ออกเลยว่า คนอย่างเฉาเหอและเฉาฮุยจะมาทำงานให้คนอย่างเฉาเหมิงได้ยังไง เขาประหลาดใจมากที่คนหนุ่มมากความสามารถถึงสองคนมาทำงานให้กับเศษสวะอย่างเฉาเหมิงได้


 


เขารู้สึกสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมเฉาเหอและเฉาฮุยถึงได้จงรักภักดีต่อเฉาเหมิง คนสองคนที่ควรจะมีอนาคตที่สดใส กลับเลือกมาทำงานให้กับแก็งค์อาชญากรรมแบบนี้ไปได้


 


“ผมขอถามหน่อยได้ไหมครับ ว่าทำไมคนแบบคุณถึงมาทำงานให้กับเฉาเหมิงได้?” หวังเย้าถาม “ที่ถามก็เพราะสงสัยเท่านั้น”


 


“เฉาเหอกับฉันเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน แล้วหมู่บ้านที่พวกเราอาศัยอยู่ก็ยากจนมากๆ” เฉาฮุยมองไปที่นอกหน้าต่างในขณะที่เธอกำลังพูดอยู่ เธอกำลังคิดย้อนกลับไปในอดีตของตัวเอง “คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านจะทำไร่เพื่อยังชีพ เราก็ไม่ถึงกับไม่มีข้าวให้กินเลย แต่พวกเราก็ไม่เคยกินอิ่มเหมือนกัน โรงเรียนที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปแปดกิโล ฉันต้องเดินไปเรียนทุกๆวัน ตอนที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ฉันก็ต้องนอนอยู่ที่โรงเรียน อาหารของที่โรงเรียนแทบจะกินไม่ได้เลย ฉันได้แต่บอกกับตัวเองว่า ฉันจะต้องเรียนให้หนัก เพื่อที่จะสามารถสอบเข้ามหาลัยดีดีได้ แล้วจากนั้น ชีวิตของฉันก็จะเปลี่ยนไป ฉันไม่ต้องการอยู่ในหมู่บ้านนั้นอีกต่อไปแล้ว”


 


เฉาฮุยหยุดไปช่วงหนึ่งและเล่าต่อว่า “ครอบครัวของฉันอยากให้ฉันลาออกจากโรงเรียน เพราะฉันยังมีน้องชายอยู่อีกสองคน พ่อแม่ของฉันเลยอยากให้ฉันทำงานหาเงิน เพื่อส่งน้องชายทั้งสองไปเรียนที่โรงเรียน คุณก็คงจะรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาในแถบชนบท เด็กผู้หญิงก็เหมือนกับขยะ พ่อของฉันยังบอกอีกว่า ถึงฉันจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาก็ไม่สามารถหาเงินมาส่งฉันได้อยู่ดี ฉันเลยบอกไปว่า ฉันจะขอทุนเรียนเอง แต่คนที่บ้านก็ยังไม่พอใจเรื่องนี้ ฉันเลยไม่กลับไปที่บ้านสองเดือนและยืมเงินจากครูที่โรงเรียนเพื่อซื้อของกิน”


 


“ดื่มน้ำสักหน่อยสิครับ” หวังเย้าเอาน้ำให้เฉาฮุยแก้วหนึ่ง


 


“ขอบคุณค่ะ” เฉาฮุยพูด “แล้วฉันก็เรียนต่อไปจนถึงปีสุดท้ายของชั้นมัธยมปลาย แต่ในปีนั้นแม่ของฉันก็เกิดป่วยขึ้นมา เธอต้องใช้เงิน 40,000 หยวนในการรักษา เงินจำนวนนั้นในตอนนี้อาจจะไม่ได้สูงอะไร แต่มันเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับครอบครัวของฉันในตอนนั้นเลย พ่อของฉันใช้เงินเก็บทั้งหมดและยังต้องไปขอยืมเงินจากคนอื่นเพื่อเอาไปรักษาแม่ของฉัน แล้ววันหนึ่ง เขาก็บอกให้ฉันลาออกจากโรงเรียนซะ”


 


“ฉันเสียใจจนร้องไห้” เฉาเหอพูด “คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้น ที่รู้ว่าชีวิตในโรงเรียนของฉันเป็นยังไง นักเรียนที่มาจากในเมืองได้กินไก่ทอด, เค้ก, และไอศกรีมตลอด แต่ฉันกลับไม่เคยได้มีโอกาสลิ่มลองมันเลยสักครั้ง ฉันได้กินแต่หมั่นโถวกับผัก เสื้อผ้าของฉันก็เก่ากว่าคนอื่น ทุกคนมองมาที่ฉันด้วยสายตาดูถูก แต่ฉันก็อยู่มาได้จนเกือบจะเรียนจบ แล้วสุดท้าย ฉันก็ต้องล้มเลิกความฝันของตัวเอง”


 


“ในตอนนั้นเอง ที่พี่เฉาเหมิงเข้ามาในชีวิตของฉัน” เฉาฮุยพูด “เขาเข้ามาถามว่าฉันร้องไห้ทำไม ฉันก็เลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของฉันให้เขาฟัง หลังจากที่ฟังจบ เขาก็สูบบุหรี่และเงียบอยู่นาน จากนั้น เขาก็ตามฉันกลับไปที่บ้านและเอาเงินให้กับครอบครัวของฉันเพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาลแม่ เขาบอกกับเราว่า ขอแค่ให้ฉันเรียนต่อ เราก็ไม่จำเป็นต้องคืนเงินเขาสักหยวน เขายินดีที่จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเรียนของฉันทั้งหมด ในตอนนั้น เขาเป็นเหมือนพระพุทธเจ้าในสายตาของฉันเลยล่ะ”


 


หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินเรื่องราวของเธอ เขาไม่คิดว่า เศษสวะอย่างเฉาเหมิงจะเสนอความช่วยเหลือให้กับครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่พอดี


 


“ฉันสามารถสอบเข้ามหาลัยได้สำเร็จ เขาช่วยจ่ายเงินค่าเรียนให้กับฉันในสองปีแรก ถ้าไม่มีเขา ฉันก็คงจะเรียนชั้นมัธยมไม่จบ ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลย” เฉาฮุยพูด “ชีวิตของฉันก็คงจะต่างกับตอนนี้มาก ฉันคงจะต้องแต่งงานกับคนที่ฉันไม่ได้ชอบและมีลูกกับเขา ฉัน แล้วก็ต้องใช้ชีวิตอย่างคนยากคนจนต่อไป และได้แต่หวังว่า ชีวิตลูกๆของฉันในอนาคตจะต่างดีกว่าตัวเอง”


 


อยู่ๆหวังเย้าก็รู้สึกเศร้าใจกับชีวิตของเฉาฮุย “แล้วเฉาเหอก็มีปัญหาแบบเดียวกับคุณใช่ไหม?”


 


“ค่ะ อาจจะดีกว่าฉันนิดหน่อย แต่ก็ไม่ต่างกันมาก” เฉาฮุยพูด


 


เฉาเหมิงช่วยเหลือเด็กสองคนในวันที่มืดมนที่สุดในชีวิตของพวกเขา ในเวลานั้น เฉาเหมิงก็เปรียบเสมือนดังพระเจ้าในสายตาของคนทั้งสอง ไม่ว่าเขาจะเลวร้ายแค่ไหน แต่เขาก็ได้ได้การช่วยเหลือและเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไป มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนทั้งสองจะจดจำบุญคุณนี้เอาไว้และตอบแทนมันกลับไปให้เขา เมื่อเฉาเหมิงทำเรื่องผิดกฎหมาย พวกเขาก็จะเข้าไปให้ความช่วยเหลือ พวกเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพระพวกเขาเพียงแค่อยากจะช่วยคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขาเท่านั้น


 


หลังจากอธิบายเรื่องที่ทำไมเธอและเฉาเหอถึงมาทำงานกับเฉาเหมิงให้หวังเย้าฟังแล้ว เฉาฮุยก็เริ่มพูดถึงจุดประสงค์ที่เธอมาในวันนี้


 


“หมอหวัง คุณสามารถรักษาพี่ใหญ่ของเราได้ไหมคะ?” เฉาฮุยถาม


 


“ได้สิ” หวังเย้าพูด


 


“แล้วเราต้องทำยังไง คุณถึงจะยอมช่วยเขาคะ?” เฉาฮุยถาม


 


“ผมต้องการให้เขาสารภาพกับตำรวจในสิ่งที่เขาทำ และบอกว่าใครเป็นคนที่สั่งให้เขาทำเรื่องพวกนี้” หวังเย้าพูด


 


อย่างที่คาดไว้จริงๆ เฉาฮุยคิด “ฉันไม่คิดว่าเขาจะรู้ว่าคนคนนั้นเป็นใครนะคะ”


 


“ถ้าอย่างนั้น ก็ให้เขาไปสารภาพผิดกับตำรวจ แล้วก็ยอมรับโทษไปซะ” หวังเย้าพูด


 


“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะไปบอกเขาเอง” เฉาฮุยพูด


 


“โอเคครับ แล้วผมก็คิดว่า พวกคุณน่าจะเลิกทำงานให้เขาได้แล้วนะครับ” หวังเย้าพูด


 


เฉาฮุยยิ้ม เธอและเฉาเหอกำลังคืนหนี้บุญคุณที่ได้รับจากเฉาเหมิงอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่มันจบหมดเสียที


 


บางทีอาจจะเป็นตอนที่เฉาเหมิงถูกส่งเข้าคุกไปแล้ว เธอและเฉาเหอก็อาจจะสามารถออกจากแก็งค์ได้ในที่สุดก็เป็นได้ ถึงหลายปีมานี้ พวกเขาจะไม่ได้เข้าร่วมกระทำผิดกับคนเหล่านั้น แต่พวกเขาก็คอยช่วยเหลือเฉาเหมิงอยู่เสมอ


 


บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ ที่พวกเขาจะหยุดทำงานให้กับเฉาเหมิงสักที เฉาฮุยคิด


 


หลังเธอออกมาจากคลินิกของหวังเย้าแล้ว เธอก็โทรไปหาเฉาเหอ


 


“เธอกลับมาได้แล้วล่ะ” เฉาเหอพูด


 


ในเมื่อพวกเขายืนยันได้แล้วว่า อาการป่วยของเฉาเหมิงเป็นฝีมือของหวังเย้า สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือ การทำให้เฉาเหมิงยอมสารภาพผิด แต่พวกเขาก็ไม่มั่นใจว่า เฉาเหมิงจะยอมฟังพวกเขาหรือไม่


 


หลังจากที่เฉาฮุยกลับไปแล้ว หวังเย้าเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เธอพูดเอาไว้ ความยากจนมักจะทำให้คนหลงทำผิดอยู่เสมอ เขาเดาว่า คงจะมีอีกหลายคนที่เป็นเหมือนกับเฉาเหอและเฉาฮุย


 


น่าเสียดาย! หวังเย้าถอนหายใจออกมา


 


มันเป็นค่ำคืนที่เงียบสงัด หวังเย้ากำลังนั่งมองดูท้องฟ้าอยู่ด้านนอกกระท่อม ซานเซียนก็นอนอยู่ข้างๆเขา


 


“นายรู้อะไรไหมซานเซียน วันนี้ฉันได้เจอกับเด็กสาวที่น่าสงสารคนหนึ่งล่ะ” หวังเย้าพูด


 


เขาเชื่อว่า สิ่งที่เฉาฮุยเล่ามาเป็นเรื่องจริง เพราะเขาได้เคยอ่านประวัติของคนทั้งสองมาก่อนหน้านี้แล้ว เขารู้ความเป็นมาของเธอ แต่ไม่ได้รู้ว่าเธอเคยผ่านอะไรมาบ้าง


 


โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนเฮ่าเสียงต่ำ


 


“พรุ่งนี้ จะมีพายุฝนสินะ” หวังเย้าพูด


 


เขาเดินขึ้นไปบนยอดเขาในเช้าของอีกวัน ท้องฟ้าดูมืดครึ้ม เขาจึงไม่ได้ฝึกการหายใจหรือฝึกฝนร่างกาย เขาทำเพียงแค่ยืนมองท้องฟ้า, สิ่งรอบตัว, และมุมที่อยู่ไกลออกไปของหมู่บ้าน


 


เขาไม่รู้ว่า เนินเขาหนานชานเริ่มเติบโตสูงขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันก็ยังคงเติบโตอยู่เรื่อยๆ หวังเย้าไม่รู้ว่าเนินเขาหนานชานจะสูงขึ้นได้แค่ไหน เขาไม่คิดจะเข้าไปควบคุมมัน แล้วเขาก็ควบคุมมันไม่ได้อยู่แล้วด้วย เพราะเนินเขาหนานมีจิตวิญญาณของมันเอง


 


ท้องฟ้ามืดครึ้มไปตลอดทั้งวัน


690 พูดคุยในวงเหล้า


 


ในคลินิกของหวังเย้า มีคนไข้มาตรวจคนหนึ่ง ชายชรามีอาการปวดศีรษะและนอนหลับไม่สนิท หลังจากที่ได้นวดแล้ว ชายชราก็รู้สึกดีขึ้นมาในทันที


 


“แค่นี้เหรอ? ฉันไม่ต้องกินยาเหรอหมอ?” ชายชราถาม


 


“อาการของคุณตาไม่ได้หนักมาก ดังนั้น คุณตาก็ไม่จำเป็นต้องกินยาหรอกครับ” หวังเย้าตอบ


 


“ดีดี ขอบคุณนะ หมอเก่งมากจริงๆ” ชายชราพูด


 


“ชมเกินไปแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


เขามองออกว่า ชายชรามีท่าทีกังวลในตอนที่เขามาถึง หวังเย้าพอจะเดาได้ว่า มันเป็นเพราะเรื่องที่มีคนตายภายในคลินิกของเขา และนั่นก็ยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ช่วงหลังมีคนไข้ลดลงด้วย ในเวยป๋อก็มีคนเข้ามาพิมพ์แสดงความคิดเห็นว่า เขากำลังปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้นและบอกให้เขาอธิบายเพื่อไขข้อสงสัยของทุกคน แต่หวังเย้าก็ไม่ได้ออกมาพูดอะไรทั้งนั้น


 


“อาจารย์” พันจวินมาที่คลินิกในตอนเช้า


 


เมื่อไม่มีคนไข้ หวังเย้าก็สามารถสอนเขาได้มากขึ้นและเอาแต่ละเคสการรักษาของเขามาให้พันจวินได้อ่าน “ถ้าพี่เอาพวกนี้ไปอ่าน พี่ก็อาจจะเข้าใจอะไรเพิ่มขึ้นก็ได้นะครับ”


 


พวกมันคือประสบการณ์การรักษาของหวังเย้า และบางที มันอาจจะถูกนำไปตีพิมพ์ในอนาคตก็เป็นได้ มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขามาก


 


“ขอบคุณมากนะ อาจารย์” พันจวินก็รู้ถึงความสำคัญของสมุดบันทึกเล่มนี้เช่นเดียวกัน


 


“บันทึกพวกนี้สามารถอ่านได้แค่ที่นี่เท่านั้นนะครับ ผมคงให้ยืมไม่ได้” หวังเย้าพูด


 


“โอเค” มันเป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก พันจวินจึงให้ความสำคัญกับมันมาก


 


หวังเย้านั่งอ่านคัมภีร์เต๋าอยู่ข้างๆเขา “ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามผมได้นะครับ”


 


“อืม” พันจวินค่อยๆอ่านไปอย่างช้าๆ เขาพยายามจดจำทุกรายละเอียด ความรู้อย่างมีระบบระเบียบถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปใช้ในการวินิจฉัยโรค แค่รู้วิธีการนวดถือว่ายังไม่พอ แต่ยังต้องมีความรู้ในเรื่องของระบบประสาทและสาเหตุของโรคด้วย การรักษาจะต้องเป็นไปตามอาการของโรค รวมไปถึงการฝังเข็ม, การนวด, และการให้ยาด้วย


 


“โอเค พักสักหน่อยเถอะครับ” หวังเย้าพูดเสียงเบา มันเป็นเวลาเที่ยงแล้ว


 


พันจวินวางบันทึกในมือลง สิ่งที่ถูกบันทึกอยู่ในนั้นราวกับเป็นโลกอีกใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยสีสัน และทำให้เขาเสพติดการอ่านมัน


 


เขาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวแพทย์ พ่อของเขาเป็นหมอยาจีนผู้มากประสบการณ์ ทั้งเขาและพี่สาวต่างก็เรียนแพทย์ ถึงเขาจะเรียนจบมาทางแพทย์แผนตะวันตก แต่เขาก็พอมีพื้นฐานของแพทย์แผนจีนอยู่บ้าง เขาสามารถทำความเข้าใจมันได้ แต่ก็ไม่ถึงกับเชี่ยวชาญ เขาทำได้เพียงเข้าใจ แต่ไม่สามารถไปลึกกว่านี้ได้


 


ประโยชน์อีกอย่างที่เขาได้รับก็คือ เขาได้รู้ถึงความสามารถและขีดจำกัดของตัวเอง เมื่อหวังเย้าบอกให้หยุด เขาก็หยุดทันที การไม่โลภจนเกินไปก็ถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญเช่นเดียวกัน


 


“ไปกินข้าวกันดีกว่าครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาไม่ได้จ่ายเงินค่าจ้างให้กับพันจวิน แต่ทุกครั้งที่พันจวินมา หวังเย้าก็มักจะเลี้ยงข้าวเขาอยู่เสมอ อาหารกลางวันมาพร้อมกับเครื่องเคียงสองสามอย่างและเหล้าหนึ่งโถเล็ก


 


“อาจารย์ มาดื่มตอนนี้มันจะดีเหรอ?” พันจวินถาม


 


“ได้อยู่แล้ว” หวังเย้าพูด


 


“อะไรนะ?” พันจวินถาม


 


“ไม่มีอะไรหรอกครับ” หวังเย้าพูด “พี่ไม่ต้องทำหน้าที่ผ่าตัด แล้วช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีคนไข้มาที่คลินิกด้วย แค่นั้นเองครับ”


 


“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ดี” พันจวินพูด


 


เขาเป็นคนชอบดื่ม แต่หน้าที่การงานของเขากลายเป็นอุปสรรค เขาไม่สามารถดื่มในขณะที่ต้องรักษาคนไข้ได้ และเขาก็อาจจะต้องทำการผ่าตัดได้ทุกเมื่อ หากเขาทำผิดกฎ เขาก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก


 


ฝั่งตรงข้ามกับร้านอาหารเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง ทางทิศใต้เป็นภูเขาลูกหนึ่ง เขาลูกนั้นเต็มไปด้วยต้นเกาลัด และลมที่พัดมาจากบนเขาก็ให้ความรู้สึกสดชื่น


 


หลังจากดื่มไปได้สองสามแก้วแล้ว พันจวินก็เริ่มพูดมากขึ้น “อาจารย์ สำนักของเราจะมีเราสองคนเท่านั้นเหรอ?”


 


“อืม ตอนนี้ก็น่าจะเป็นแบบนั้นนะ” หวังเย้าพูด


 


“ฉันว่า อาจารย์น่าจะหาลูกศิษย์อีกสักสองคนนะ” พันจวินพูด


 


“ทำไมล่ะ?” หวังเย้าถาม


 


“ความสามารถของอาจารย์ควรจะถูกส่งต่อให้คนอื่น” พันจวินพูด “ฉันถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้ว ส่วนเรื่องเทคนิคการนวด ขอแค่ฉันทำได้สักครึ่งหนึ่งของอาจารย์ฉันก็พอใจแล้ว ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องการจับชีพจร, การฝังเข็ม, แล้วก็การจ่ายยาอีก เราต้องการคนมารับช่วงต่อเรื่องพวกนี้นะ”


 


หวังเย้าไม่ได้บอกกับพันจวินว่า มันคือภารกิจที่เขาจะต้องส่งต่อชื่อเสียงของแพทย์ปรุงยา


 


“ผมเคยคิดเรื่องนี้เอาไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่เจอคนที่ใช่น่ะสิ” หวังเย้าพูด


 


ความสามารถนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะสามารถเรียนรู้ได้ อย่างน้อยๆ คนคนนี้จะต้องเป็นคนที่ใช่และไม่มีความคิดที่เลวร้าย มันจะดียิ่งกว่านี้หากมีพื้นฐานในเรื่องนั้นๆมาก่อน และต้องเป็นคนที่หวังเย้าคุ้นเคยด้วย มีคนไม่มากที่จะมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่หวังเย้าต้องการ การจะได้เป็นลูกศิษย์ของเขาก็ต้องมีโชคด้วย


 


หลังจากทานอาหารกันเสร็จแล้ว พวกเขาก็เดินกลับไปที่คลินิกอย่างช้าๆ พร้อมกับพูดคุยกันไปตลอดทาง


 


“หมู่บ้านนี้ดีจังเลยนะ” พันจวินพูด


 


หลังจากมาที่นี่หลายครั้งแล้ว เขาก็เริ่มรู้สึกชอบที่นี่ขึ้นมา มันเป็นสถานที่เงียบสงบที่หาจากที่อื่นไม่ได้ แม้แต่ในตัวเมืองเหลียนชานที่อยู่ไม่ไกลกันมาก


 


“ถ้าชอบ พี่ก็ซื้อบ้านที่นี่สักหลังสิ อีกหน่อยราคาอาจจะขยับขึ้นก็ได้นะ!” หวังเย้าพูดเล่น


 


“ซื้อบ้านเหรอ? ดี ฉันจะซื้อไว้สักหลังแล้วกัน” พันจวินพูด “อาจารย์ ที่นี่จะกลายเป็นฐานของสำนักเราด้วยรึเปล่า?”


 


“ครับ” หวังเย้าพูด


 


“ดีล่ะ ฉันจะซื้อเอาไว้ตอนนี้เลย แล้วมันก็จะต้องมีมูลค่าเพิ่มในอนาคตแน่!” พันจวินพูดอย่างมั่นใจ


 


หวังเย้ามองถนนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา ภายในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น มีถนนในหมู่บ้านที่มีความกว้างไม่ถึง 3 เมตรด้วยซ้ำ และมันยังเป็นเพียงถนนสายเดียวที่มีอยู่ในหมู่บ้านอีกด้วย ถนนอยู่ติดกับบ้านหลายหลัง, รวมทั้งกำแพงบ้านสีขาวละหลังคาสีแดง มันคือบ้านที่มีให้เห็นอยู่ทั่วในทางตอนเหนือของประเทศ สองฟากถนนขนาบข้างด้วยเนินเขาซีชานและเนินเขาดงชาน ที่มีต้นไม้, วัชพืช, เนินเขาลูกเล็กๆและก้อนหิน


 


คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาไม่มีใครคิดที่จะอยู่ในหมู่บ้าน พวกเขาเลือกที่จะไปซื้อบ้านอยู่ในตัวเมืองเหลียนชานกันมากกว่า หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัย พวกเขาส่วนใหญ่ก็จะเลือกไปอยู่ในเมือง หากไม่มีเหตุจำเป็น ก็คงจะไม่มีใครคิดกลับมาที่หมู่บ้านอีก คนหนุ่มสาวไม่มีใครอยากทำอาชีพเกษตรกรกัน


 


เมื่อเวลาผ่านไป หมู่บ้านก็จะเหลือเพียงคนเฒ่าคนแก่ บางที ในอีก 30-40 ปีให้หลัง หมู่บ้านแห่งนี้ก็อาจจะเลือนหายไป เรื่องนี้เป็นสถานการณ์ปกติที่มักจะเกิดขึ้นในแถบชนบท: การย้ายเข้าสู่สังคมเมืองและทอดทิ้งชนบท


 


แต่มันจะไม่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านที่หวังเย้าอยู่ และตัวเขาก็มั่นใจในเรื่องนี้มาก


 


อยู่ๆก็มีรถคันหนึ่งบีบแตรใส่พวกเขาที่ด้านหลัง หวังเย้าหันหลับไปมองและเห็นว่าเป็นรถเบนซ์ที่มีป้ายทะเบียนของต่างเมือง คนขับเร่งเครื่อง เครื่องยนต์ส่งเสียงกระหึ่มในตอนที่ขับผ่านพวกเขาไป


 


“นี่มันในหมู่บ้านนะ ไม่ควรขับเร็วขนาดนี้เลย” พันจวินขมวดคิ้ว


 


“บางทีอาจจะเป็นเรื่องฉุกเฉินก็ได้” หวังเย้าพูด


 


พวกเขาเดินต่อไปอย่างช้าๆและเดินผ่านมาพบกับไก่ตัวหนึ่งที่นอนตายอยู่บนถนน ตามตัวของมันยังคงมีเลือดไหลออกมาอยู่ ดูเหมือนว่ามันเพิ่งจะตายไปได้ไม่นานนี้เอง


 


“หรือมันจะถูกรถคันนั้นชนเข้า?” พันจวินพูด


 


“น่าสงสารนะ” หวังเย้าพูด “ถ้าเลี้ยงต่อไปอีกสักหน่อย คงจะเอาไปทำอาหารได้อร่อยเลยล่ะ”


 


“หืม อาจารย์ชอบกินไก่เหรอ?” พันจวินถาม


 


“ก็ไม่เชิง ไปกันเถอะ” หวังเย้าพูด


 


เมื่อเดินไปถึงที่คลินิก พวกเขาก็เจอเข้ากับรถคันที่เพิ่งจะขับผ่านพวกเขาไป


 


“พวกเขามาตรวจที่คลินิกเหรอ?” พันจวินพูด


 


หวังเย้าหาวออกมา “ผมง่วงแล้ว บ่ายนี้ผมไม่รับคนไข้”


 


ทั้งสองเดินไปที่คลินิกอย่างไม่รีบร้อน พันจวินเดินไปเปิดประตู


 


“โอ้ เร็วเข้า สองคนนั้นไงที่เป็นหมอน่ะ!” มีหญิงสาววัยยี่สิบต้นๆสองคนลงมาจากตัวรถ ทั้งสองแต่งตัวทันสมัยและน่ามอง พวกเธอเดินตามหวังเย้าและพันจวินเข้าไปในคลินิก


 


เมื่อทั้งสองกำลังจะเดินเข้าไปในคลินิก ก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านใน “บ่ายนี้ไม่รับคนไข้ พวกคุณกลับไปเถอะ”


 


“หา?!” ทั้งสองตกตะลึง แต่ก็ไม่ได้กลับไปในทันที พวกเธอเดินเข้าไปด้านในและเห็นชายทั้งสองกำลังดื่มชากันอยู่


 


“ไม่ได้ยินที่ผมบอกเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“แต่การที่เราจะมาที่นี่ได้มันไม่ง่ายเลยนะ” หญิงสาวคนหนึ่งพูด “หมอช่วย…”


 


“ไม่ครับ บ่ายนี้ผมไม่รับคนไข้ ถ้าจะมาก็มาอีกทีพรุ่งนี้แล้วกัน” หวังเย้าพูดด้วยท่าทีนิ่งสงบ


 


“เรายินดีจ่ายเพิ่ม” หญิงสาวอีกคนพูด


 


หวังเย้านวดขมับและคิดในใจ พวกคนรวยสมัยนี้อวดดีกันจริงๆ!


 


“ผมไม่รับ” หวังเย้าพูด “ออกไป!”


 


เขาพูดเสียงดังจนก้องกังวานอยู่ให้หูของพวกเธอทั้งสอง


 


“ไปกันเถอะ ไว้เราจะกลับมาอีกทีพรุ่งนี้นะคะ!” หญิงสาวลากเพื่อนอีกคนของเธอออกไป


 


“เป็นแค่หมอ ยังจะมาอวดดีแบบนี้อีก!” หญิงสาวที่ถูกเพื่อนลากออกไปรู้สึกไม่พอใจ เธอพูดออกมาเสียงดังเพื่อให้หวังเย้าได้ยิน


 


“อย่าพูดเสียงดังสิ” เพื่อนของเธอพูด “ฉันอยากจะมาตรวจกับเขาเอง แล้วหมอคนนี้ก็เก่งมากเลยนะ”


 


“เก่งงั้นเหรอ? ฉันได้ยินมาว่า เมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งจะฆ่าคนไปนี่” หญิงสาวอีกคนพูด


 


“ถ้าเธอไม่อยากจะตรวจกับเขา เราก็กลับกันเถอะ” เพื่อนของเธอพูด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)