Elixir Supplier 681-684

 681 ไปมาทั่วทุกสารทิศ พบเจอมาแล้วทุกรูปแบบ


 


ในอดีต พวกเขาทำเรื่องผิดกฎหมายและเรื่องไม่ดีมาแล้วมากมาย ในตอนแรก พวกเขาก็รู้สึกกลัวว่าจะโดนจับหรือเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปอยู่บ้าง แต่หลังจากที่ได้เงินมา พวกเขาก็โยนความรู้สึกเหล่านั้นทิ้งลงไปในทะเลจนหมด


 


การหาเงินได้โดยที่ไม่ต้องทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าไปจนถึง 5 โมงเย็นคือความฝันของพวกเขา เมื่อพวกเขาได้ลิ้มลองความหอมหวานไปแล้วครั้งหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มกลัวน้อยลงเรื่อยๆ หลังจากที่พวกเขาก่ออาชญากรรมไปได้สามครั้ง พวกเขาก็หยุดมันไม่ได้แล้ว มันคล้ายกับว่า พวกเขาได้เสพติดมันไปแล้ว


 


คาร์ล มากซ์(นักปรัชญา) ได้กล่าวเอาไว้ว่า ผู้คนจะยินดีเสี่ยง หากพวกเขาสามารถทำกำไรได้ 50% จากที่เงินที่จ่ายไป พวกเขาจะกลายเป็นคนไร้หัวใจ หากพวกเขาสามารถทำกำไรได้ถึง 100%


 


คนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรเลย แต่พวกเขากลับสามารถหาเงินได้สองถึงสามเท่าในธุรกิจของพวกเขา พวกเขาจึงสร้างกลุ่มก้อนของตัวเองขึ้นมาและมีกฎเกณฑ์ในกลุ่ม


 


พวกเขาเดินทางไปตามที่ต่างๆทั่วประเทศ พวกเขาต้มตุ๋นและหลอกลวงคน พวกเขาลักขโมยสิ่งของและมนุษย์ พวกเขาแกล้งทำเป็นว่าถูกรถชนและบังคับเรียกร้องเอาเงินจากคนขับ พวกเขาต้องพึ่งตัวเองในการเอาตัวรอด บางครั้ง พวกเขาก็ถูกศัตรูไล่ล่าและทุบตี และพวกเขาก็ยังเคยถูกจับและเข้าไปอยู่ในคุกมาแล้วหลายครั้ง


 


หลังจากผ่านพบประสบการณ์เหล่านี้มาแล้ว พวกเขาก็กลายเป็นอาชญากรผู้ช่ำชอง ขอแค่เงินดี พวกเขาก็ยินดีที่จะฆ่าคน เหมือนกับที่ทำกับชายชราพ่อของเฉาจื่อเจิน


 


พวกเขาไม่เกรงกลัวบาปกรรม บางที พวกเขาอาจจะเคยคิดถึงเรื่องแบบนั้น แต่ยิ่งพวกเขาทำชั่วมากเท่าไหร่ ความกลัวในบาปกรรมก็ยิ่งลดลงไปเท่านั้น


 


แต่ครั้งนี้ พวกเขาได้มาเจอกับหวังเย้า หรือมันจะเป็นกรรมที่ตามทันพวกเขาแล้ว?


 


เหลวไหล! เฉาเหมิงไม่เชื่อเรื่องบาปกรรมเด็ดขาด ถ้าบาปกรรมมีจริง เขาก็คงจะตายไปไม่รู้กี่พันครั้งและถูกโยนลงไปในนรกไม่รู้กี่ร้อยรอบแล้ว


 


แต่ตัวเขาก็รู้ดีว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาในเวลานี้เป็นฝีมือของหวังเย้าอย่างแน่นอน เขามั่นใจว่า หวังเย้าจะต้องทำอะไรบางอย่างกับเขาและพักพวก เขาจะต้องเอาคืนหวังเย้าเรื่องนี้แน่


 


เขาโทรเรียกพักพวกคนอื่นๆให้มาหาเขา พวกเขาเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ และเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี ดังนั้น พวกเขาจึงไม่คิดว่าจะต้องมาเจอปัญหาหนักแบบนี้เข้า มันทำให้เฉาเหมิงเริ่มคิดขึ้นมาว่า เขาพลาดตรงไหนและควรทำยังไงต่อไปดี


 


ฉันคงต้องปรึกษากับทนายดู


 


เฉาเหมิงตัดสินใจดำเนินเรื่องคดีความต่อ เขาได้อ่านและศึกษาตำราเกี่ยวกับเรื่องของนิติบัญญัติและกฎหมายมาแล้วหลายเล่ม


 


สังคมในปัจจุบันนั้นล้วนขึ้นอยู่กับกฎหมาย รัฐบาลได้ร่างกฎนิติบัญญัติและกฎหมายเอาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ คนมากมายรู้ว่า พวกเขาสามารถใช้กฎหมายเพื่อให้ได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ มันจึงเป็นเรื่องน่าขัน ที่แม้แต่กลุ่มอาชญากรก็ยังต้องขอความช่วยเหลือในเรื่องของกฎหมาย


 


ในหมู่บ้าน หวังเย้าไม่ได้เปิดคลินิก เขาได้แจ้งเอาไว้ในหน้าเพจเวยป๋อของตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวออกไป แต่มีหลายคนที่รู้เรื่องการตายของพ่อของเฉาจื่อเจิน พวกเขาจึงได้พิมพ์ข้อความไว้ในเวยป๋อของหวังเย้า


 


คนไข้คนหนึ่งโพส : [หมอหวังไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ถ้าต้องการความช่วยเหลือบอกผมได้นะ]


 


คนไข้อีกคนโพส : [ทางนี้ด้วย]


 


หลายคนต่างแสดงความห่วงใยต่อหวังเย้า และในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ขอแค่หวังเย้าเอ่ยปากขอความช่วยเหลือออกมา พวกเขาก็ยินดีช่วยทันที พวกเขาต่างก็เป็นคนดี แต่ก็ยังมีส่วนน้อยที่เข้ามาพิมพ์ว่ากล่าวหวังเย้า


 


หวังเย้าได้พิมพ์ข้อความตอบกลับไปว่า : [ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือที่ทุกคนยื่นให้นะครับ แต่ตอนนี้ผมยังสบายดีและสามารถจัดการเรื่องทั้งหมดเองได้] เขาต้องการแสดงความขอบคุณต่อคนที่ต้องการยื่นมือเข้ามาช่วย ส่วนคนที่พิมพ์ข้อความเสียดสีและว่ากล่าวเขานั้น เขาไม่คิดจะตอบกลับคนพวกนั้น ถ้ามีหมาบ้ามาเห่าใส่เขา เขาก็ไม่คิดจะเห่ากลับ


 


ในวันเดียวกันนั้น หวังเย้าก็ได้รับสายจากเพื่อนๆที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาหลายสาย


 


หวังหมิงเปามาหาหวังเย้าถึงที่บ้านในตอนที่เขากำลังทานอาหารเย็นอยู่ เขากลับมาจากการเดินทางไปทำงานที่อื่นทันทีที่ได้รู้ข่าว “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


 


“มีคนต้องการเบลคเมลล์ฉันน่ะ” หวังเย้าพูด


 


“บอกฉันมาซิ ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง” หวังหมิงเปาพูด


 


หวังเย้าชงชาให้หวังหมิงเปาและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง


 


“พวกมันเป็นคนจังหวัดฉีเหรอ?” หวังหมิงเปาถาม


 


“ไม่ใช่” หวังเย้าพูด


 


“พวกมันกล้าดียังไง ถึงได้มาเบลคเมลล์ถึงที่นี่” หวังหมิงเปาพูด


 


“แต่ลุงคนนั้นก็ตายไปแล้ว” หวังเย้าพูด เรื่องเดียวที่เขารู้สึกผิดก็คือ ทั้งๆที่เขาสามารถช่วยชีวิตของชายชราคนนั้นได้แท้ๆ


 


“เขาต้องรับผิดชอบกับการที่เขาเลี้ยงดูลูกชั่วๆแบบนี้ยังไงล่ะ” หวังหมิงเปาพูดขึ้นมาหลังจากที่จุดบุหรี่เสร็จ “แล้วตอนนี้พวกมันอยู่ที่ไหนเหรอ? ทำไมตำรวจถึงเอาพวกมันเข้าคุกนานกว่านี้ไม่ได้?”


 


“เอาเข้าคุกให้นานกว่านี้เหรอ? ฮาฮา นายเป็นเจ้าของสถานีตำรวจหรือยังไง?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ พวกเขาอยู่ที่โรงพยาบาล”


 


“โรงพยาบาล? นายทำอะไรพวกเขาใช่ไหม?” หวังหมิงเปาถาม


 


“ฉันบอกให้พวกเขาสารภาพผิด แต่พวกเขาก็ไม่ยอมนี่นา” หวังเย้าพูด


 


หวังหมิงเปาหัวเราะ


 


“พวกเขาต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกเขาทำลงไป” หวังเย้าพูด


 


ครั้งนี้ เขาลงมือหนักมาก ดังนั้น คนพวกนั้นคงจะไม่ดีขึ้นในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน


 


ในโรงพยาบาล สมาชิกแก็งค์ที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ก็เริ่มอาเจียนออกมาอีกครั้ง


 


“พระเจ้า! เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่?” แพทย์ต่างตกใจกับเรื่องนี้


 


ตั้งแต่ที่พวกเขาถูกส่งตัวมาโรงพยาบาล พวกเขาก็ไม่หยุดอาเจียนเลย ในตอนแรก อาการของพวกเขายังไม่ถือว่าหนักมาก พยาบาลจึงฉีดยาให้พวกเขา แต่หลังจากที่ผ่านไปได้สักพัก อยู่ๆอาการของพวกเขาก็แย่ลงอย่างกะทันหัน พวกเขาอาเจียนเอาอาหารที่กินเข้าไปออกมาจนหมด และยังอาเจียนเอากรดในกระเพาะอาหารกับเลือดออกมาด้วย


 


“เราจะปล่อยพวกเขาเอาไว้แบบนี้ไม่ได้นะคะ” พยาบาลคนหนึ่งพูด


 


“พวกเขากินอะไรมาถึงได้ทำให้อาการเลวร้ายได้ขนาดนี้?” พยาบาลอีกคนถาม


 


“หัวหน้า เราย้ายไปโรงพยาบาลอื่นดีไหม?” ลูกน้องคนหนึ่งถาม


 


พวกเขาที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้แทบจะไม่เหลือแรงให้พูด ใบหน้าของแต่ละคนซีดขาว พวกเขารู้สึกว่า ในกระเพาะของพวกเขาไม่เหลืออะไรอยู่เลยแม้แต่น้อย


 


“โอเค โอเค” เฉาเหมิงพูดอย่างอ่อนแรง


 


สมาชิกแก็งค์คนอื่นมาถึงที่โรงพยาบาล พวกเขาต่างก็ตกใจเมื่อได้เห็นสภาพของเฉาเหมิงและพักพวกอีกสามคน หลังจากนั้น เฉาเหมิงก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับคนที่มาใหม่ฟัง คนที่มาใหม่เริ่มคิดแผนที่จะเอาคืนหวังเย้าให้กับเพื่อนๆของพวกเขา แต่แล้วเฉาเหมิงและอีกสามคนก็เริ่มอาเจียนออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง คนที่มาใหม่จึงต้องรับหน้าที่ดูแลพวกเขา และในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ได้ล้มเลิกความคิดที่จะไปแก้แค้นหวังเย้า เพราะไม่มีใครอยากจะมีสภาพเหมือนกับทั้งสี่คนในตอนนี้


 


แพทย์ตกลงที่จะให้พวกเขาย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่น คำขอได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็ว เพราะแพทย์ของโรงพยาบาลเหลียนชานก็ไม่สามารถทำให้เฉาเหมิงและอีกสามคนดีขึ้นกว่านี้ได้แล้ว แพทย์ไม่ต้องการให้พวกเขาต้องมาตายที่โรงพยาบาลแห่งนี้


 


“พวกเขาจะย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นเหรอ?” พันจวินถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ทันทีที่เขาได้ทราบข่าว


 


“ใช่” แพทย์ประจำแผนกพูด


 


“ก็ดี ฉันก็ไม่อยากจะเห็นหน้าคนพวกนั้นเหมือนกัน” พันจวินพูด


 


“หมอพัน พวกเขาป่วยเป็นอะไรเหรอ?” แพทย์ประจำแผนกถาม “ผมไม่เคยเห็นคนที่ป่วยอาหารเป็นพิษที่อาการหนักขนาดนี้มาก่อนเลย”


 


“ไม่รู้สิ อาจจะเป็นกรรมของพวกเขาก็ได้” พันจวินพูด


 


“อะไรนะครับ?” แพทย์ประจำแผนกถามด้วยความประหลาดใจ


 


“คนพวกนี้เป็นพวกอาชญากรกับเศษสวะสังคมยังไงล่ะ” พันจวินพูด “พวกเขาไปเบลคเมลล์และไปโกงเงินคนอื่นมา ก่อนจะถูกส่งมาที่โรงพยาบาล พวกเขาก็เพิ่งจะออกจากสถานีตำรวจมาด้วย”


 


“จริงเหรอครับ?” แพทย์ประจำแผนกถาม


 


“จริงสิ แล้วพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่นี่ด้วย ผมว่า พวกเขาน่าจะมาจากแกงค์ที่อยู่จังหวัดอื่น” พันจวินพูด


 


สำหรับเขา คนที่มาจากแก็งค์ และกลุ่มอาชญากรและพวกหัวรุนแรงนั้นเป็นคนละกลุ่มกัน แก็งค์และกลุ่มนั้นเป็นคนละอย่าง


 


ไม่มีใครนอกจากหวังเย้า ที่ยังคงคิดถึงชายชราที่ต้องเสียชีวิตเพราะพิษร้าย หลังจากที่เรื่องทุกอย่างเงียบไปแล้ว


 


บนเนินเขาหนานชาน เป็นช่วงเวลากลางคืนที่เงียบสงบ หวังเย้ายืนอยู่บนยอดเขาและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขากำลังสงสัยว่า ทำไมคนเหล่านี้จะต้องเลือกคลินิกของเขาและมันเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงหรือ


 


ในหมู่บ้าน หลายบ้านเริ่มดับไปลงแล้ว บรรยากาศภายในหมู่บ้านจึงเงียบสงัด


 


โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! อยู่ๆก็มีเสียงสุนัขเห่าดังขึ้น


 


มีคนเข้ามาในหมู่บ้านด้วยเส้นทางที่คนส่วนใหญ่ไม่ใช้กัน


 


“อยู่ตรงไหนนะ?” ชายที่ใบหน้าถูกปิดบังเอาไว้พึมพำออกมา


 


เขาเดินเรียบไปตามเนินเขาทางทิศตะวันออกและมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ของหมู่บ้าน แล้วเขาก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าคลินิกของหวังเย้า


 


“หืมม ฉันว่าน่าจะเป็นที่นี่นะ” คนคนนั้นพูด


 


ทันทีที่เขากระโดดข้ามกำแพงไป ก็มีใครบางคนตบมาที่ไหล่ของเขา เขาจึงหมุนตัวและเห็นคนคนหนึ่งกำลังยิ้มให้เขาอยู่


 


“ว่าไง” ชายคนนั้นยิ้ม


 


“หา?” ชายที่ผิดบังหน้าตาอยู่ในอาการตกใจ


 


“นายคิดจะบุกเข้าไปข้างในเหรอ?” ชายหน้ายิ้มถาม


 


“เอ่อ…” ชายที่ปิดบังใบหน้าไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอะไร


 


“ฉันกำลังรออยู่เลย” ชายหน้ายิ้มพูด


 


เขาก็คือจงหลิวชวน เขาคิดว่า เรื่องการเบลคเมลล์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ต้องไม่จบแค่นี้แน่ ดังนั้น เขาจึงมาที่คลินิกของหวังเย้าในเวลากลางคืน และเจอเข้ากับชายปิดบังใบหน้าคนนี้


 


ชายที่ปิดบังใบหน้าต้องการจะหนีไป แต่เขาก็ถูกจงหลิวชวนจับโยน จนร่างกายของเขากระแทกเข้ากับกำแพง “โอ๊ย! เชี่ย! พวกเขาไม่เห็นบอกเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้ด้วยน่ะ”


 


“แกคิดจะมาทำอะไรที่นี่?” จงหลิวชวนถาม


 


“ฉัน…ฉันแค่อยากจะมาขโมยของในคลินิกเท่านั้นเอง” ชายที่ปิดบังใบหน้าร้องโอดครวญ


 


“แกคิดจะขโมยอะไร?” จงหลิวชวนถาม


 


“ฉันได้ยินมาว่า หมอหวังรวยมาก ฉันก็เลยอยากได้เงินไปใช้สักหน่อย ก็เลยมาที่นี่น่ะสิ” ชายที่ปิดบังใบหน้าพูด


 


“ถอดเสื้อผ้าของแกออก” จงหลิวชวนพูด


 


“อะไรนะ?” หัวขโมยตกใจ แคร๊ก! เสียงบางอย่างหักดังขึ้น “โอ๊ย!”


 


เขากรีดร้องออกมา ไม่นานเขาก็พบว่าตัวเองไม่สามารถส่งเสียงได้ กรามของเขาเคลื่อนหลุดออกจากกันโดยฝีมือของจงหลิวชวน


 


“ถอดเสื้อผ้าของแกออกซะ” จงหลิวชวนสั่ง


 


หัวขโมยรีบถอดเสื้อผ้าของเขาออกทันที


 


“ในเมื่อแกคิดจะมาขโมยเงิน ทำไมแกต้องพกเจ้านี่มาด้วยล่ะ?” จงหลิวชวนถาม “ฉันเดาว่า ข้างในคงจะมียาพิษอยู่สินะ?”


682 ถูกวางยา


 


“มานี่!” จงหลิวชวนแบกร่างของหัวขโมยด้วยมือข้างเดียวและเดินไปที่บ้านเปล่าหลังหนึ่ง เขาทำราวกับกำลังหิ้วหนูตัวหนึ่งและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว


 


เขาไม่ใช่แค่อยู่เป็นเพื่อนน้องสาวของเขาในตอนที่เข้ารับการรักษาเท่านั้น แต่เขายังมักจะเดินไปรอบๆหมู่บ้าน เพื่อทำความคุ้นเคยกับสิ่งรอบข้างอีกด้วย


 


จงหลิวชวนรู้จำนวนของชาวบ้านว่ามีทั้งหมดกี่คน, มีสุนัขที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้กี่ตัว, บ้านหลังไหนที่ไม่มีคนอยู่, ถนนหนทาง, และทางเข้าออกเนินเขาโดยรอบ เขายังไปทำความคุ้นเคยกับหมู่บ้านที่อยู่รอบๆด้วย


 


เขาพาตัวหัวขโมยไปที่บ้านว่างหลังหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ไกลจากกึ่งกลางของหมู่บ้านมาก ตัวบ้านอยู่ระหว่างทางไปเนินเขาตงชานและไม่มีคนอาศัยมานานแล้ว


 


จงหลิวชวนโยนชายคนนั้นลงไปที่พื้น


 


แคร๊ก! แคร๊ก! ไหล่และกรามที่หลุดของชายคนนั้นถูกย้ายกลับเข้าที่เดิม


 


จงหลิวชวนเชี่ยวชาญในเรื่องนี้อย่างมาก เห็นได้ชัดว่า เขาต้องเคยทำมาแล้วเป็นพันๆครั้ง


 


“เอาล่ะ ตอนนี้บอกฉันมาได้แล้วว่าแกมาทำอะไรที่นี่” เขาพูด


 


ชายที่ร่างกายเปลือยเปล่าไปเกือบครึ่งตัวสั่นงันงก เขาไม่คิดว่าจะต้องมาถูกจับก่อนที่จะทันได้ทำอะไรแบบนี้มาก่อน


 


“ฉันก็แค่อยากจะมาขโมยเงินกับสมุนไพรก็แค่นั้น ถ้าฉันโชคดีพอ ฉันก็คิดจะจับสัตย์เลี้ยงของคนที่นี่ติดมือไปด้วย” เขาพูด


 


“แล้วนี่อะไร?” จงหลิวชวนถาม


 


“มันก็แค่ยาสลบเท่านั้นเอง” ชายคนนั้นพูด


 


“จริงเหรอ?” จงหลิวชวนมองดูผงแป้งที่อยู่ภายในถุงพลาสติกเล็กๆ “ถ้าเป็นยาสลบ ก็คงจะไม่ทำให้ใครเจ็บตัวได้อยู่แล้วสินะ”


 


“ก็น่าจะใช่ เดี๋ยว! นายจะทำอะไรฉันน่ะ?” ชายคนนั้นพูดออกมาด้วยความกลัว


 


“กินซะสิ ฉันอยากจะรู้ว่ายาสลบมันจะได้ผลจริงไหม เพราะฉันไม่เชื่อว่าที่แกพูดจะเป็นเรื่องจริง” จงหลิวชวนพูด


 


“ก็ได้! ฉันจะบอกความจริงก็ได้ มันไม่ใช่ยาสลบ แต่มันคือยาพิษ” ชายคนนั้นพูด เขาเกือบจะฉี่ราดกางเกงตัวเองอยู่รอมร่อแล้ว


 


“มันคือพิษอะไร?” จงหลิวชวนถาม


 


“ฉัน…ฉันไม่รู้” ชายคนนั้นพูด


 


“จริงเหรอ?” จงหลิวชวนบังคับให้ชายคนนั้นอ้าปากและทำท่าเหมือนจะกรอกยาใส่ปากของเขา


 


“ฉันไม่รู้! ฉันไม่รู้ว่ามันคือยาอะไรจริงๆ!” ชายคนนั้นพยายามดิ้นรน แต่ก็พบว่า ตัวเขาไม่สามารถสู้แรงของจงหลิวชวนได้เลย


 


“บอกความจริงกับฉันมา” จงหลิวชวนพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม


 


“ฉันบอกความจริงไปแล้ว มีคนจ่ายเงินให้ฉันเอายาพิษผสมเข้าไปในสมุนไพรของคลินิกนี้ ฉันสาบานได้ ว่าเรื่องที่ฉันบอกเป็นความจริง” ชายคนนั้นพูด


 


เกิดเสียงครืนครันดังมาจากด้านนอก พายุฝนกำลังเคลื่อนตัวมา


 


“หืม ขนาดเทพเจ้าก็ยังไม่เชื่อแกเลย” จงหลิวชวนพูดเสียงเย็น


 


“ฉันไม่ได้โกหกนะ! ฉันบอกความจริงเชื่อฉันเถอะ!” ชายคนนั้นร่ำร้อง


 


“ใครเป็นคนสั่งให้แกทำเรื่องนี้?” จงหลิวชวนถาม


 


“ฉันไม่รู้” ชายคนนั้นพูด


 


“อะไรนะ?” จงหลิวชานถาม


 


“ฉันไม่รู้ เขาจะติดต่อฉันผ่านทางโทรศัพท์ แล้วก็จ่ายเงินผ่านทางมือถือตลอด” ชายคนนั้นพูด


 


“แล้วเขาหาแกเจอได้ยังไง?” จงหลิวชวนถาม


 


“ฉันก็ไม่รู้” ชายคนนั้นตอบ


 


“ฉันรู้สึกว่า แกจะไม่ได้พูดความจริงกับฉันเลยนะ งั้นฉันจะให้เวลาแกหนึ่งคืนเพื่อคิดทบทวนให้ดีว่าแกควรจะบอกฉันว่าอะไรบ้าง” จงหลิวชวนพูด


 


เขาหยิบยาเม็ดเล็กๆออกมาจากกระเป๋าเม็ดหนึ่ง และบังคับให้ชายคนนั้นกลืนลงไป


 


“เอาอะไรให้ฉันกินน่ะ?” ชายคนนั้นมองไปที่จงหลิวชวนด้วยความหวาดกลัว


 


“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นก็ได้ นี่เป็นยาชนิดพิเศษ ถ้าแกได้กินยาแก้พิษภายในแปดชั่วโมง แกก็จะไม่เป็นอะไร แต่ถ้าไม่ แกก็จะเจ็บปวดทรมานมากเลยล่ะ” จงหลิวชวนพูด


 


เขามัดชายคนนั้นและอุดปากเขาเอาไว้ เขานำเสื้อผ้าของชายคนนั้นไปและจัดการล็อคประตู


 


“อื้อๆๆ!” ชายคนนั้นพยายามดิ้นรน แต่มันก็ไม่ได้ผล


 


เขาพยายามจะแก้มัดให้ตัวเอง แต่จงหลิวชวนได้มัดเงื่อนตายเอาไว้ ไม่นาน เขาก็ค่อยๆหมดแรงลงและเจ็บข้อมือทั้งสองข้าง


 


เขาเริ่มมองไปรอบๆ ตัวบ้านมีสภาพทรุดโทรม กรอบหน้าต่างที่ทำจากไม้ได้รับความเสียหาย ดังนั้น มันจึงไม่สามารถกันลมได้ ถึงจะเป็นช่วงเดือนมิถุนายนแล้ว และในเวลากลางคืนก็ยังมีอากาศเย็นและลมพัดแรงอยู่ เขาตัวสั่นเทาด้วยความหนาว เขาสามารถมองเห็นต้นไม้ส่ายไปส่ายมาด้วยแรงลมอยู่นอกหน้าต่างและตรงหน้าเนินเขา


 


หวังว่ามันจะไม่ใช่บ้านผีสิงหรอกนะ เขาคิด เชี่ยเอ้ย! ฉันไม่น่ารับเงินมาเลย


 


เขาเสียใจที่เลือกมาหมู่บ้านนี้ ถ้ามียาที่ช่วยไม่ให้ต้องเสียใจทีหลังได้ เขาจะขอสักสองขวด


 


คืนนั้นผ่านพ้นไปอย่างช้าๆ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว เขาเผลอหลับไปครู่หนึ่ง แต่แล้วอยู่ๆก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เขาหันไปมองด้านนอก มันยังคงมืดสนิทอยู่


 


ทำไมถึงยังมืดอยู่ล่ะ?


 


เขาหยับตัวไปทางกำแพงและใช้หลังพิงกำแพงที่เย็นเฉียบ เขาผล็อยหลับไปอีกครั้ง และสะดุ้งตื่นขึ้นมาหลังจากที่หลับไปได้ไม่นาน มันยังมืดอยู่


 


ทำไมเวลาถึงผ่านไปช้าแบบนี้? นี่เป็นค่ำคืนที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เขาเคยมีมา


 


ในที่สุด ฟ้าก็เริ่มสาง


 


หวังเย้าลงมาจากเนินเขาหนาชานและเลือกเดินไปที่คลินิก


 


ระหว่างทาง เขาได้เจอเข้ากับจงหลิวชวน ดูเหมือนว่า จงหลิวชวนจะกำลังรอเขาอยู่


 


“อรุณสวัสดิ์ครับ หมอหวัง” จงหลิวชวนพูด


 


“อรุณสวัสดิ์ครับ” หวังเย้าพูด


 


จงหลิวชวนได้เล่าเรื่องที่เขาจับชายคนหนึ่งได้เมื่อคืนให้หวังเย้าฟัง


 


หวังเย้าขมวดคิ้ว “งั้นเราไปดูเขากันเถอะครับ”


 


ทั้งสองเดินไปที่บ้านร้างหลังหนึ่งเพื่อไปเจอกับชายที่ถูกจงหลิวชวนจับเอาไว้ได้ ชายคนนั้นตัวสั่นด้วยความหนาว


 


“ได้โปรด ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันไม่รู้จริงๆว่าใครเป็นคนจ้าง!” ชายคนนั้นร้องไห้


 


หวังเย้าจ้องหน้าชายคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะยื่นมือไปกดที่หน้าท้องของชายคนนั้น ครู่ต่อมา ชายคนนั้นก็เริ่มรู้สึกเจ็บที่ท้องของเขา คล้ายกับว่า มีหนูกำลังกระโดดโลดเต้นและฉีกทึ้งภายในร่างกายของเขาอยู่


 


เขาเจ็บปวดอย่างมากจนต้องกรีดร้องออกมา “อ้าก!”


 


แกร๊ก! จงหลิวชวนเคลื่อนกรามของเขาให้หลุดออกจากกันอีกครั้ง


 


ชายคนนั้นนอนตัวสั่นอยู่ที่พื้น เพราะเขาถูกมัดอยู่ เขาจึงไม่สามารถกลิ้งไปมาได้


 


ไม่กี่นาทีต่อมา หวังเย้าก็กดไปที่หน้าท้องของเขาอีกครั้ง แล้วความเจ็บปวดก็ค่อยๆจางหายไป


 


“ตอนนี้ พอจะบอกได้รึยังว่าใครเป็นคนสั่งให้นายมาที่นี่?” หวังเย้าถาม


 


“ฉันไม่รู้จริงๆ! สาบานได้!” ชายคนนั้นเหงื่อแตกพลั่ก


 


“ผมว่า เขาน่าจะพูดเรื่องจริงนะครับ เราปล่อยให้ตำรวจเอาตัวเขาไปดีกว่า” หวังเย้าโทรเรียกตำรวจ


 


“ขอบคุณๆๆ” ชายคนนั้นพูดจนแทบไม่ทันได้หายใจ


 


เขาไม่ได้กลัวที่จะถูกจับเลยสักนิด เขาแค่อยากจะไปให้พ้นๆบ้านหลังนี้ และหวังว่าจะไม่ได้เจอจงหลิวชวนกับหวังเย้าอีกต่อไป


 


“เอายาแก้พิษให้ฉันด้วย” อยู่ๆชายคนนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ และหันไปพูดกับจงหลิวชวน


 


“มันเป็นแค่ยาธรรมดา ไม่ทำให้นายตายได้หรอก” จงหลิวชวนพูด


 


“อะไรนะ?” ชายคนนั้นอึ้งไป


 


ครู่ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เดินทางมาถึง


 


“คุณตำรวจ ในที่สุดก็มาซักที!” ชายคนนั้นตื่นเต้นจนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา เมื่อได้เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มันราวกับว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจคือญาติสนิทมิตรสหายของเขายังไงยังงั้น


 


“เกิดอะไรขึ้นที่นี่เหรอ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกสับสน


 


หนึ่งในเจ้าหน้าที่ได้เดินเข้าไปหาหวังเย้าเพื่อถามเรื่องทั้งหมด


 


“มีคนมาสร้างปัญหาให้หมออีกแล้วเหรอ? หมอไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจรึเปล่า?” เขาถาม


 


หลายวันที่ผ่านมา หวังเย้าทั้งถูกเบลคเมลล์, ลอบวางยาพิษในสมุนไพร, และขโมยของ เจ้าหน้าที่จึงไม่คิดว่า นี่จะเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น


 


“คุณคิดว่า ผมไปทำให้ใครไม่พอใจเข้าเหรอครับ?” หวังเย้าพูดพร้อมกับคิดทบทวน “ผมว่าไม่น่าจะใช่นะ”


 


“ลองคิดดูดีดีแล้วกันนะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด


 


“ได้ครับ ขอบคุณมาก” หวังเย้าพูด


 


“ยินดีครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาตัวชายนั้นออกไป


 


“ขอบคุณมากนะ หลิวชวน” หวังเย้าพูด


 


เขาขอบคุณที่จงหลิวชวนได้ช่วยเขาเรื่องเมื่อคืน ถ้าชายคนนั้นสามารถเข้าไปในคลินิกของเขาและเอายาพิษใส่เข้าไปในสมุนไพรของเขาได้ละก็ เขาก็คงจะเจอปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน และพ่อกับแม่ของเขาก็คงจะไม่สบายใจไปด้วย


 


“ยินดีครับ” จงหลิวชวนพูดด้วยรอยยิ้ม


 


น้องสาวของเขาคือสมาชิกครอบครัวเพียงคนเดียวของเขาที่เหลืออยู่ เขาติดหนี้บุญคุณหวังเย้า ผู้ซึ่งช่วยรักษาน้องสาวของเขาให้อาการดีขึ้น เขาจึงอยากจะตอบแทนบุญคุณหวังเย้าบ้าง และนี่ก็ถือเป็นโอกาสที่ดี


 


หวังเย้าเปิดทำการคลินิกของเขาตามปกติ แต่มีคนไข้มาตรวจไม่มากนัก ซึ่งก็เป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เขามีคนไข้ในตอนเช้าแค่สามคนเท่านั้น


 


หลังจากตรวจคนไข้ทั้งสามคนเสร็จแล้ว หวังเย้าก็ไปนั่งที่โซฟาและเริ่มคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาในหลายวันที่ผ่านมา เขาคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เขานึกถึงใครคนหนึ่ง ที่หน้าตาดีและมักจะมีรอยยิ้มแสนเจิดจ้าอยู่บนใบหน้าของเขาเสมอ ชายที่มักจะทำตัวดีต่อหน้าคนอื่นอยู่ตลอดเวลา


 


เขากำลังคิดไปถึง กั๋วเจิ้งเหอ ชายหนุ่มตระกูลดีที่ได้รับการศึกษาสูง คือผู้ต้องสงสัยรายแรกในใจเขา ชายหนุ่มคนนี้อาจจะเป็นตัวการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งในหมู่บ้านและคลินิกของหวังเย้า เขาดูเป็นคนดีและสุภาพ แต่ความจริงเขาก็คือชายที่เต็มไปด้วยแผนการ


 


หวังเย้าบอกได้เลยว่า ครั้งก่อนที่พวกเขาได้พบกันที่วัดปี้หยุนบนเขาเซียงชาน กั๋วเจิ้งเหอไม่พอใจอย่างมาก เขาเดาว่า กั๋วเจิ้งเหอจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการเอาคืนเขาอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่คิดว่า กั๋วเจิ้งเหอจะกล้าทำเรื่องสกปรกแบบนี้ได้


 


ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ถือเป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยมอย่างมาก แน่นอนว่าหวังเย้าไม่ได้สงสัยแค่กั๋วเจิ้งเหอเพียงคนเดียวเท่านั้น ตั้งแต่ที่เขาเปิดคลินิกมา หวังเย้าก็ได้สร้างความไม่พอใจให้กับใครหลายๆคน ทั้งชายหนุ่มจากเมืองจี้และหลี่เชาหยางต่างก็สามารถเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ได้เหมือนกัน


 


หวังเย้าไม่สามารถนึกถึงคนอื่นได้อีก แต่สำหรับเขา กั๋วเจิ้งเหอก็คือคนที่น่าสงสัยที่สุด


683 คนชั่วก็มีบทลงโทษสำหรับคนชั่ว


 


หวังเย้ายังไม่แน่ใจว่าใครที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนี้ ความจริง ตัวเขาเองก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร


 


ภายในโรงพยาบาลห่ายชิว เฉาเหมิงและลูกน้องของเขากำลังอาเจียนออกมา หลังจากที่พวกเขาเพิ่งจะทานอาหารเสร็จ “แหวะ…”


 


“หมอ พวกเราเป็นอะไรกันแน่?” เฉาเหมิงรู้สึกกลัวมาก เขาไม่สามารถใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอดได้ และกลัวว่า ตัวเองจะไม่สามารถกินอะไรได้อีกตลอดไป


 


ก่อนหน้านี้เขาคิดว่า ที่โรงพยาบาลเหลียนชานรักษาเขาไม่ได้ก็เพราะที่นั่นเป็นแค่โรงพยาบาลเล็กๆ จึงอาจจะไม่มีความพร้อมในการรักษาและมีอุปกรณ์ไม่ครบถ้วน เขาเคยคิดว่า แพทย์ของโรงพยาบาลเหลียนชานอาจจะไม่เคยรักษาคนไข้ที่มีอาการแบบเขามาก่อน แต่หลังจากที่เขาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลห่ายชิว อาการของเขากลับแย่ลงกว่าเดิม


 


นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทุกคนที่เจอเรื่องนี้กับตัวเองต่างก็ต้องรู้สึกตื่นตระหนกอย่างช่วยไม่ได้


 


โรงพยาบาลห่ายชิวมีความพร้อมมากกว่าโรงพยาบาลเหลียนชาน แต่แพทย์ของที่นี่กลับช่วยอะไรเขาไม่ได้เหมือนกัน


 


“ผมขอแนะนำให้คุณหยุดกินไปก่อนสักพักนะครับ” แพทย์พูด


 


“หมอ หัวหน้ากับเพื่อนของผมเป็นอะไรกันแน่?” หนึ่งในคนของแก็งค์ถาม


 


“ใช่ๆ พวกเขาเป็นอะไรกันน่ะหมอ?” อีกคนถาม


 


กลุ่มแก็งค์ของเฉาเหมิงที่ตามมาทีหลังได้มารวมตัวกันที่ห้องทำงานของแพทย์ ถึงอาชีพของพวกเขาจะไม่ปกติ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถอยู่แต่โรงพยาบาลทั้งวันแบบนี้ได้ แล้วพวกเขาก็ยังเป็นพวกขี้เกียจและไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ถูกต้อง ทำให้แม้แต่พ่อแม่ของตัวเองพวกเขาก็ยังไม่คิดจะดูแล ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัวของพวกเขาแบบพวกเฉาเหมิงเลย


 


“ผมคิดว่า พวกเขาเป็นอาหารเป็นพิษครับ” แพทย์พูด


 


“อาหารอะไรที่ทำให้อาการแย่ได้ขนาดนี้น่ะ?” หนึ่งในพวกเขาถาม


 


“ถึงผมจะบอกไป พวกคุณก็คงจะไม่เข้าใจอยู่ดี” แพทย์เริ่มรำคาญเฉาเหมิงและพักพวกของเขา


 


อาการของคนไข้ทรุดลงครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนที่พวกเขาทานไม่ได้ทานอะไร อาการของพวกเขาก็ไม่ถือว่าแย่มาก แต่เมื่อเริ่มทานอะไรเข้าไป แม้จะเป็นแค่โจ๊กธรรมดาๆก็สามารถทำให้พวกเขาอาเจียนไม่หยุดได้ ในฐานะแพทย์ผู้มีประสบการณ์คนหนึ่ง เขากลับไม่เคยเจอคนไข้อาการแบบนี้มาก่อนเลย แล้วคนที่มาคอยดูแลพวกเขายังทำตัวน่ารำคาญมากด้วย


 


เหล่าคนในแก็งค์มักจะทำเสียงดังน่ารำคาญ พวกเขาทั้งสูบบุหรี่, เล่นไพ่, และเล่นมือถือภายในห้องพักคนไข้ พวกเขาไม่ต่างจากกลุ่มคนเถื่อน ไม่มีใครในหมู่พวกเขาสนใจคำเตือนจากทางโรงพยาบาล และทำตัวเกรี้ยวกราดเมื่อมีเจ้าหน้าที่เข้ามาตักเตือนพวกเขาให้เงียบ พวกเขายังลวนลามนางพยาบาลในแผนกอีกสองคนด้วย


 


หนึ่งในนางพยาบาลเป็นน้องสะใภ้ของนายแพทย์คนนี้ด้วย การที่พวกเขาลวนลามเธอก็เหมือนกับการตบหน้าเขา ดังนั้น แพทย์จึงยิ่งไม่พอใจพวกเขามากขึ้นไปอีก


 


“พวกเขามาจากที่ไหนกัน?” แพทย์พึมพำ


 


ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่ไม่ชอบคนเหล่านี้ แต่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลล้วนแล้วแต่ไม่มีใครชอบพวกเขาเลย


 


“นี่ เราจะทำยังไงต่อไปดี?” หนึ่งในคนในแก็งค์ถาม


 


“สาม ห้า” หนึ่งในพวกเขากำลังเล่นไพ่อยู่


 


“ฉันหวังว่า นี่จะไม่ใช่เรื่องกรรมตามทันอะไรพวกนี้นะ” อีกคนพูดขึ้นมา


 


“สาม เจ็ด” ชายร่างสูงพูด


 


“เหลวไหล คนอย่างเราสนใจเรื่องบาปกรรมกันด้วยเหรอไง?” ชายอีกคนพูด “ตองเอช”


 


“ใช่” ชายที่เตี้ยกว่าพูด “ลุกขึ้น! ขอฉันดูข้างหลังแกหน่อย”


 


“ดูสิ มันซ่อนไพ่เอาไว้ในกางเกงใน! ไอ้เลว” ชายร่างสูงพูด “เชี่ย! เราเป็นพวกเดียวกันนะเว้ย ช่วยซื่อสัตย์หน่อยไม่ได้เหรอไง? มาโกงไพ่กันแบบนี้มันไม่สวยเลยนะ”


 


“ฉันทำตามกฎของเราในทุกอย่างที่ฉันทำต่างหากล่ะ ฉันยึดมั่นในคำพูดของหัวหน้า” ชายร่างผอมพูด


 


“ต*แหล” ชายร่างเตี้ยพูด


 


พวกเขาสูบบุหรี่ในระหว่างที่เล่นไพ่กันด้วย


 


“คนพวกนี้เป็นใครกันน่ะ?” คนไข้และญาติคนไข้บางส่วนต่าวก็ไม่พอใจพวกเขา


 


คนในแก็งค์ส่งเสียงดังเอะอะทั้งวัน มันจึงกระทบกับคนไข้ที่พักรักษาตัวอยู่ห้องเดียวกันกับพวกเขาด้วย


 


“น่าจะให้พวกเขาออกจากโรงพยาบาลไปซะ” ญาติคนไข้รายหนึ่งพูดขึ้นมา


 


เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้เข้ามาภายในห้องที่พวกเขาอยู่ ครั้งนี้ พวกเขาพากันมาถึงห้าคนเพื่อเข้ามาจัดการกับพวกแก็งค์ของเฉาเหมิงโดยเฉพาะ ทั้งหมดเป็นชายหนุ่มร่างกายกำยำ เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลต่างก็ไม่มีใครอย่างจะเสี่ยงกับความปลอดภัยของตัวเอง พวกเขาจึงได้ไปพูดกับฝ่ายบริหารของโรงพยาบาลเพื่อให้มาจัดการเรื่องนี้


 


“ขอโทษนะครับ พวกคุณไม่ได้รับอนุญาตให้สูบบุหรี่หรือเล่นไพ่ในโรงพยาบาล” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูด


 


“โอ้ งั้นเหรอ? กลัวจังเล้ย!” พวกเขาแกล้งทำเป็นกลัว


 


“ฮาฮา!” คนในแก็งค์พากันหัวเราะ พวกเขาไม่ได้สนใจคำเตือนเลยสักนิด


 


“ตอนนี้ เชิญออกไปจากโรงพยาบาลได้แล้วครับ” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูด


 


“อะไร? นี่คิดจะเข้ามาทำร้ายพวกเราเหรอ?” หนึ่งในพวกเขาพูด


 


“นี่ ยามจะทำร้ายฉัน!” พวกคนในแก็งค์ส่งเสียงตะโกนโหวกเหวก


 


“จะตะโกนกันทำไม?” ชายหัวล้านร่างสูงใหญ่เดินเข้ามา “นี่เป็นโรงพยาบาลนะ ไม่ใช่บ้าน ถ้าพวกแกอยากจะเล่นไพ่ ก็ออกไปเล่นที่อื่น”


 


“แกคิดว่าแกเป็นใคร ถึงได้กล้ามาสั่งให้พวกเราอกไป หา?” ชายร่างสูงในแก็งค์พูด


 


“ใช่ๆ” ชายร่างเตี้ยในแก็งค์พูด


 


คนในแก็งค์ทั้งสี่วางไพ่ลงและพากันลุกขึ้นยืน และพากันจับจ้องไปที่ชายหัวล้านร่างใหญ่ พวกเขามองไปที่ชายคนนั้นด้วยสายตาข่มขู่และพูดออกมาว่า “แน่จริงก็เข้ามา”


 


“พวกแกรอก่อนเถอะ” ชายหัวล้านร่างสูงใหญ่จบแล้วก็หมุนตัวเดินออกไป


 


“โถ่ ฉันละกลัวจริงๆ! อย่าให้ฉันรอนานล่ะ!” ชายร่างสูงในแก็งค์ตะโกนตามหลัง


 


คนในแก็งค์ก็พากันหันไปจัดการกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่อ พวกเขาเคยเจอเรื่องแบบนี้มาจนเบื่อ และรู้ดีว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่กล้าแตะต้องพวกเขาอย่างแน่นอน แต่หากอยู่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีไร้มารยาทเท่านี้ ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจมา พวกเขาก็จะร้องเรียนและยอมรับความผิดพลาด จากนั้นก็ทำเป็นเชื่อฟังกฎของโรงพยาบาลต่อหน้าพวกเขา แต่พอเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินออกไปแล้ว พวกเขาก็จะกลับมาทำตัวโหวกเหวกและสร้างความรำคาญเหมือนเดิม


 


พวกเขาไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรงอะไร เพียงแค่ไม่ทำตามกฎและสร้างความรำคาญเท่านั้น ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจและศาลจึงทำอะไรพวกเขาไม่ได้


 


คนแบบพวกเขามักจะมีให้เห็นอยู่มากมาย พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งผิดกฎหมาย แต่พวกเขาจะทำตัวน่ารำคาญจนทำให้คนรอบๆคลั่งเพราะพวกเขาได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่มีวิธีที่ดีในการจัดการกับพวกเขา แต่สักวัน พวกเขาจะต้องได้รับผลจากการกระทำของตัวเองอย่างแน่นอน


 


คนทั้งสี่กลับไปเล่นไพ่กันต่อ แต่อยู่ๆก็มีกลุ่มคนจำนวนมากเข้ามาล้อมพวกเขาเอาไว้


 


หนึ่งในพวกเขาหันหน้าไปมองและเห็นชายหัวล้านร่างกายสูงใหญ่ พวกเขานึกสงสัยว่าชายคนนี้กลับมาอีกทำไม มันไม่ใช่แค่ชายหัวล้านเท่านั้นที่กลับมา แต่เขายังพาคนมาด้วยอีกหกคน และทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีร่างกายแข็งแรงกำยำกันทั้งนั้น


 


“พวกแกต้องการอะไร?” ชายร่างสูงถามด้วยท่าทีหวาดระแวง


 


“จัดการพวกมันซะ” ชายหัวล้านพูด


 


เพื่อนอีกหกของเขาเดินหน้าเข้าไปทุบตีคนทั้งสี่


 


“นี่ พวกกำลังจะทำอะไรน่ะ?” ชายร่างสูงในแก็งค์กรีดร้อง “นี่มันโรงพยาบาลนะ! ยาม! ยามโว้ย! หยุดพวกมันเซ่! ไม่งั้นเราจะร้องเรียนพวกแก!”


 


“โอ๊ย! อย่าชกหน้าฉัน!” ชายร่างผอมกรีดร้อง “ขอโทษ ฉันขอโทษ!”


 


เขาพยายามจะหนีออกมา แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขวางเอาไว้


 


“เฮ้ย ไอ้หนุ่มนี่!” ชายร่างผอมตะคอก


 


“มานี่!” ชายร่างกายกำยำที่เป็นเพื่อนของชายหัวล้านเดินเข้ามาคล้าผมของเขาเอาไว้และกดเขาลงกับพื้น เขาใช้เท้าเหยียบลงไปที่หน้าอกของชายร่างผอมราวกับสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง สำหรับชายร่างผอม มันราวกับว่า เขากำลังถูกปีศาจร้ายทรมานอยู่ “แกรู้สึกดีไหมล่ะ?”


 


“ฟังนะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ถ้าพวกแกอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ พวกแกต้องหุบปาก ถ้าไม่อย่างนั้น นี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่พวกแกถูกทุบ” ชายหัวล้านพูด


 


เขาไม่ได้คิดจะเลี่ยงคนในแก็งค์พวกนี้ แต่เขาเดินออกไปในตอนนั้นก็เพื่อไปเรียกเพื่อนของเขามาช่วย คนฉลาดจะไม่สู้เมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้ และเขาแค่คนเดียวก็สู้คนหมู่มากไม่ได้


 


“ได้ๆๆๆ” ชายร่างสูงในแก็งค์พูด


 


คนในแก็งค์ทั้งสี่น่วมไปทั้งตัว พวกเขามีรอยช้ำอยู่ทั่วหน้าและไม่กล้าพูดอะไรอีก ทุกคนตางพากันพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง


 


“ได้ เราผิดเอง เราจะเงียบไม่ส่งเสียงดังกันอีก” ชายร่างสูงในแก็งค์พูด


 


ชายหัวล้านและเพื่อนของเขาจึงเดินออกไป


 


“เชี่ย! รอก่อนเถอะ! สักวันฉันจะเอาคืน” ชายร่างเตี้ยพูด “ไปหาว่าพวกมันเป็นใคร แล้วบ้านของพวกมันอยู่ไหนกันเถอะ”


 


“แกมัวทำอะไรกันอยู่? ไม่ใช่ว่าพวกแกเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหรอ ทำไมถึงปล่อยให้พวกมันตีเราอยู่ได้?” ชายร่างผอมถามขึ้นมา หลังจากที่ชายหัวล้านและเพื่อนของเขาจากไปแล้ว


 


“พวกแกไม่ทำงานตามหน้าที่ พวกแกไม่สมควรได้ใส่ชุดนี่และรับเงินด้วยซ้ำ” ชายร่างสูงในแก็งค์พูด


 


“กัปตันครับ! เราน่าจะสั่งสอนพวกเขาซักหน่อยนะครับ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูด เขารู้สึกโมโหมากจนเห็นเส้นเลือดปูดที่ขมับทั้งสองข้าง


 


“ไม่ อย่าทำอะไรโง่ๆ” กัปตันของเขาพูด “ไปกันเถอะ”


 


“เชี่ย ไอ้พวกไร้ประโยชน์ พวกมันสมควรเจอดีแล้ว” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูด “พวกมันพูดว่า พวกมันจะแก้แค้นผู้ชายหัวล้านคนนั้นใช่ไหม? ผมว่า เราน่าจะไปบอกเขาสักหน่อยนะครับ”


 


“เรื่องนี้ฉันเห็นด้วย” กัปตันพูด


 


ไม่นานก็เป็นเวลาเที่ยง


 


“ได้เวลาทานอาหารกลางวันแล้วค่ะ” นางพยาบาลพูด


 


“หัวหน้าอยากกินอะไรดี?” ชายร่างสูงในแก็งค์ถาม


 


“แกโง่หรือว่าหูหนวกหา?” เฉาเหมิงถามด้วยความโมโห หลังจากที่ได้ยินคำถาม “แกไม่ได้ฟังที่หมอบอกเหรอไง? ตอนนี้ ฉันยังกินอะไรไม่ได้”


 


เขาทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากนอนอยู่บนเตียงและใส่สายน้ำเกลือ เขากินอะไรไม่ได้ เพราะเมื่อกินเข้าไปเขาก็จะอาเจียนออกมาไม่หยุด  ถ้าหากเขาเป็นมนุษย์ที่สร้างขึ้นมาจากเหล็กกล้า เขาก็คงต้องกินเหล็กเป็นอาหาร ไม่มีใครมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่กินอะไรเลย เขาไม่สามารถพึ่งพาสารอาหารจากน้ำเกลือไปตลอดได้ เขาเริ่มมีอาการมึนงงและอ่อนแอ เวลาจะลุกไปเข้าห้องน้ำ เขาก็ต้องมีคนคอยช่วยอยู่ตลอด เขารู้สึกว่า ตัวเองเป็นเหมือนกับชายชราที่กำลังใกล้ตายยังไงยังงั้น


 


“อ้อๆ งั้นเราไปกินข้าวก่อนนะ” ชายร่างสูงในแก็งค์พูด


 


เขาและพักพวกอีกสามคนในแก็งค์ลงไปชั้นล่างเพื่อหาอะไรทาน ทันทีที่เดินพ้นจากประตู พวกเขาก็เริ่มบ่นออกมา


 


“แม่ง! ทั้งๆที่นอนอยู่บนเตียงทำอะไรไม่ได้แท้ๆ ทำไมถึงเอาแต่ด่าพวกเราอยู่ได้?” หนึ่งในพวกเขาพูดขึ้นมา “เขาคิดว่า ตัวเองใหญ่มาจากไหนกัน?”


 


“ใช่ๆ” ชายร่างเตี้ยเห็นด้วย


 


“เลิกบ่นได้แล้ว เงินยังอยู่ในมือของเขานะ” ชายร่างสูงพูด


684 หนึ่งลูกพีชสังหารสามคน


 


“เฮ้อ นำทีมพวกนี้ยากขึ้นทุกวัน!” เฉาเหมิงที่นอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลถอนหายใจออกมา


 


แก็งค์สี่คนที่เดินออกมาจากโรงพยาบาล และเจอเข้ากับชายหัวล้านที่เพิ่งจะลงมือทำร้ายพวกเขาไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน พวกเขาจึงอดที่จะโมโหขึ้นมาไม่ได้ หนึ่งในพวกเขาสะบัดมือและเอ่ยขึ้นมาว่า “ตามมันไป!”


 


ในเมืองติดทะเลเล็กๆแห่งนี้ กลับเป็นเรื่องน่าแปลกใจมากที่คนที่นี่รังแกได้ไม่ง่ายเลย คนในแก็งค์ทั้งสี่คิดว่า พวกเขาเป็นเพียงคนที่ผ่านทางมาและไม่คิดจะอยู่เมืองนี้นานนัก ดังนั้น พวกเขาจึงไม่กลัวว่า ชายหัวล้านจะตามมาล้างแค้นพวกเขา


 


ชายที่สะบัดมือกัดฟันกรอดและพึมพำออกมาว่า “ฉันสู้แกไม่ได้ แล้วฉันก็เกลียดแกเข้าไส้ ฉันจะจัดการกับคนในบ้านของแกด้วย และก็จะหนีไปให้เร็วที่สุด แล้วคนอย่างแกจะไปทำอะไรฉันได้?”


 


ชายหัวล้านเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยและแวะซื้อไอศกรีมที่ร้านข้างทาง


 


“เจ้าของร้าน เอาไอติมสองอัน”


 


“เอ่อ ฉันเอารสสตอเบอร์รี่อันหนึ่ง” ชายในแก็งค์อีกคนสั่ง


 


แล้วมันก็กลายเป็นภาพของชายหัวล้านคนหนึ่งที่กำลังเดินกินไอศกรีม พร้อมกับมีชายอีกสี่คนที่ตามหลังและกินไอศกรีมไปด้วย


 


“โอ้ย ร้อนขนาดนี้ มันคิดจะไปที่ไหนกันเนี่ย?” หนึ่งในแก็งค์สี่คนพูดขึ้นมา


 


พวกเขาเดินเข้าไปในสวนสาธารณะขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือที่ชายหัวล้านเดินเข้าไป


 


“ตามมันไปอย่าให้คลาดสายตาล่ะ” ชายที่เป็นผู้นำอีกสามคนที่เหลือพูด


 


เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในสวนสาธารณะ พวกเขาก็พบว่า ชายหัวล้านได้หายไปแล้ว


 


“เฮ้ย มันหายไปไหนแล้ว?” หนึ่งในพวกเขาพูด


 


“ลองหารอบๆดูซิ” อีกคนพูด


 


พวกเขาทั้งสี่เดินเข้าไปด้านในโดยที่ไม่เห็นอะไรใครเลย แต่เมื่อพวกเขาคิดจะกลับ อยู่ๆก็มีกลุ่มคนนับสิบเดินเข้ามาล้อมพวกเขาเอาไว้ทุกด้าน


 


“แกกำลังมองหาฉันเหรอ?” ชายหัวล้านจ้องไปที่ชายทั้งสีพร้อมกับถือท่อนเหล็กเอาไว้ในมือ


 


“ตามหาแก?” หนึ่งในแก็งค์สี่คนถาม “จะตามหาแกทำไม? เราก็แค่เดินผ่านมาทางนี้เฉยๆ แล้วก็เห็นว่าที่นี่อากาศดี เราก็เลยเข้ามาเดินเล่นก็เท่านั้นเอง จริงไหม?”


 


“ใช่ๆ เราเห็นว่า ต้นไม้ในนี้สวยดี” ชายอีกคนพูด “ดอกไม้นี่…หญ้านั่น…โอ้ มันสวยเหลือเกิน”


 


“จัดการพวกมันซะ!” ชายหัวล้านตะโกน


 


คนนับสิบพุ่งตัวเข้าไป และจับคนทั้งสี่กดลงไปที่พื้นอย่างแรง


 


“โอ๊ย มันเจ็บนะ” หนึ่งในแก้งค์สี่คนพูด


 


“อย่าต่อยหน้าฉัน!” อีกคนกรีดร้อง


 


“ช่วยด้วย! โอ๊ย ช่วยด้วย พวกมันจะฆ่าฉันแล้ว!” หนึ่งในแก็งค์สี่คนตะโกนออกมา


 


“เงียบ!” ชายหัวล้านพูด “ไอ้พวกชั่ว พวกแกคิดจะทำร้ายคนในครอบครัวของฉันงั้นเหรอ กล้ามากนะ ย้ากกก!”


 


ชายหัวล้านเดินเข้าไปเตะหนึ่งในแก็งค์สี่คนเต็มแรง จนชายคนนั้นตัวงอด้วยความเจ็บปวดราวกับกุ้ง


 


หลังจากทุบตีพวกเขาจนหน่วมแล้ว คนทั้งหมดก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เริ่มจนจบ ไม่มีคนเข้ามามุงดูหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควรจะมาทันเวลาเลยสักอย่าง


 


“กฎหมายของที่นี่มันห่วยสิ้นดี” หนึ่งในแก็งค์สี่คนพูด


 


คนทั้งสี่ถูกทุบตีอีกครั้ง ทั้งๆที่แผลเก่าก็ยังไม่หาย ทั้งจมูกและใบหน้าของพวกเขาต่างก็บวมช้ำ พวกเขาบอบช้ำไปทั้งร่างกาย


 


“นี่ ทุกคน ฉันว่าเราคงจะไม่เหมาะกับที่นี่สักเท่าไหร่นะ” หนึ่งในพวกเขาทั้งสี่พูดขึ้นมา


 


“ใช่ ฉันเห็นด้วย” อีกคนพูด “ญาติของไอ้หัวล้านนั่นก็รักษาตัวอยู่ชั้นเดียวกัน แบบนี้ มันจะไม่มาทุบตีเราทุกวันเลยเหรอ? บางคนก็เสพติดความรุนแรงนะ”


 


“เชี่ย แล้วหัวหน้ากับคนอื่นล่ะจะเอายังไง?” ชายที่เป็นคนนำกลุ่มถาม “ เราเป็นทีมเดียวกัน พวกนายคิดถึงเพื่อนร่วมทีมกันบ้างไหม? พอเจอปัญหาอะไรหน่อยก็คิดจะทิ้งคนอื่นเลยเหรอ?”


 


“พี่ พวกเราย้ายไปอยู่ทีมอื่นกันดีไหม?” หนึ่งในพวกเขาถามขึ้นมา


 


พวกเขาเงียบอยู่นาน


 


“หัวหนาพูดว่า พวกเราจะต้องรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และจะไม่แยกกัน” ชายที่เป็นผู้นำกลุ่มพูด


 


หลังจากกลับไปถึงที่โรงพยาบาลแล้ว เฉาเหมิงก็เห็นคนทั้งสี่เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยช้ำ ทั้งที่ตอนออกไป พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในสภาพนี้ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกนายกัน?”


 


“พี่ ผมมีเรื่องต้องกลับไปจัดการที่บ้านน่ะ” หนึ่งในสี่คนพูด “ปู่ของผมโทรมาหา บอกว่าย่าตายแล้ว ผมคงต้องกลับบ้าน!”


 


“ไม่ใช่ว่าย่าแกเพิ่งจะตายไปเมื่อสามปีที่แล้วเหรอ?” เฉาเหมิงถาม


 


“เป็นย่ารองน่ะ” เขาพูด


 


“ก็ได้ แกกลับไปเถอะ” เฉาเหมิงพูด


 


“พี่ ฉันไม่มีเงินแล้ว” เขาพูด “พี่ช่วยแบ่งเงินที่ได้มาคราวที่แล้วให้ฉันได้ไหม?”


 


“ใช่ๆ พี่ ฉันก็ไม่มีเงินเหมือนกัน” ชายอีกคนพูด “ฉันอยากจะซื้อบ้านให้ลูกชาย พี่ก็รู้นี่ ว่าราคาบ้านเดี๋ยวนี้แพงขึ้นเรื่อยๆ พี่แบ่งให้ผมด้วยได้ไหม?”


 


“นี่มันฟังดูไม่เข้าท่าเลยนะ” เฉาเหมิงถาม “แกยังไม่มีแฟนด้วยซ้ำ แล้วแกไปมีลูกชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”


 


“ก็ลูกชายในอนาคตยังไงล่ะ” เขาพูด


 


“ดูตัวพวกแกก่อนเถอะ อย่าเพิ่งคิดไกลไปถึงอนาคตเลย ฉันว่ามันไกลเกินไปหน่อยนะ” เฉาเหมิงพูดและหยิบบัตรออกมาจากกระเป๋า “อะนี่ ในนี่มีเงินอยู่ 100,000 หยวน พวกแกสี่คนก็เอาไปแบ่งกันเองแล้วกัน”


 


เขาบอกรหัสให้กับพวกเขาไป


 


“โอ้ ขอบคุณนะ หัวหน้า” ชายทั้งสี่รับบัตรมาและจากไปอย่างมีความสุข


 


“พี่ พี่เอาเงินให้พวกนั้น แล้วก็ปล่อยให้พวกมันกลับไปแบบนี้” หนึ่งในคนที่นอนป่วยอยู่พูดขึ้นมา “แล้วพวกเราที่เหลือล่ะจำยังไง?”


 


“ใช่ๆ” อีกคนพูด


 


มีคนป่วยในแก็งค์อยู่ถึงสี่คน แต่ละคนล้วนต้องการคนคอยดูแล เพราะพวกเขาไม่มีแรงจะช่วยเหลือตัวเองได้


 


“ก็พวกมันไม่อยากอยู่ ถึงฉันจะอยากให้อยู่ก็คงทำอะไรไม่ได้” เฉาเหมิงพูด


 


“แต่…”


 


“ไม่ต้องห่วง” เฉาเหมิงโบกมือเบาๆ เขาดูมั่นใจมาก


 


ส่วนชายทั้งสี่คนในแก็งค์ที่ได้เงินมาแล้วนั้น ก็พากันออกไปจากโรงพยาบาล หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาว่า “แบบนี้ต้องฉลองกันหน่อยแล้ว ไปหาอะไรดื่มกันเถอะ!”


 


ทั้งสี่พากันไปที่ร้านเหล้าและสั่งเหล้ามาดื่มจนเมามาย พวกเขากลับไปที่โรงแรมและนอนยาวไปจนถึงตอนบ่าย หลังจากที่ตื่นนอนกันแล้ว พวกเขาก็มาแบ่งเงินกัน และพากันไปที่ธนาคารเพื่อเบิกเงิน


 


“อะไรกัน? ทำไมเหลือแค่ 80,000 หยวนล่ะ?” หนึ่งในนั้นถาม


 


“80,000 หยวน? ก็ไหนหัวหน้าบอกว่าแสนหนึ่งนี่นา” อีกคนพูด


 


“ดูตัวเลขนี่สิ มันเป็นเลขแปดแล้วตามด้วยศูนย์อีกสี่ตัว” ชายคนแรกพูด


 


“ฉันนับเลขเป็นโว้ย” ชายอีกคนพูด


 


“แกบอกความจริงกับฉันมานะ ตอนที่เรากำลังเมากันอยู่ แกแอบไปถอนมาเอง 20,000 ใช่ไหม?” ชายอีกคนถาม


 


“ใช่ เห็นอยู่ว่าแกยุให้เราดื่มไปตั้งหลายแก้วน่ะ” คนที่เหลือพูด


 


“ฉันก็ดื่มเหมือนกันนะ แล้วฉันก็เมาด้วย” ชายคนแรกพูด “ฉันไม่รู้เรื่องสักหน่อย!”


 


“แกน่ะ ถึงจะดื่มไปเป็นพันแก้วก็ไม่เมาง่ายๆหรอก หัวหน้ายังเคยพูดไว้เลยว่า แกเป็นพวกแสดงสมบทบาทที่สุดในหมู่พวกเรา” ชายคนที่สองพูด “แกสามารถไปเล่นเป็นนักแสดงในหนังได้เลย แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่แกแกล้งทำเป็นเมาด้วย แกมันเสแสร้งทุกครั้งน่ะแหละ”


 


“ใช่ๆ” ชายคนที่สามพูด


 


“ทำไมถึงไม่มีใครเชื่อฉันเลยล่ะ?” ชายคนแรกพูด


 


“พวกแกเป็นคนเลือกให้ฉันเป็นหัวหน้านะ แต่ตอนนี้ อยู่ๆพวกแกก็เปลี่ยนความคิดไปซะอย่างนั้นน่ะ” ชายคนแรกพูด “ถ้าพวกแกทำแบบนี้ มิตรภาพของพวกเรามันก็จะไม่ทางยั่งยืนหรอกนะ”


 


“ฉันเข้าใจแล้ว” ชายคนที่สองพูด “นี่ต้องเป็นกลลวงของหัวหน้าแน่ๆ หนึ่งลูกพีชสังหารพวกเราสามคนในทีเดียว!”


 


“มันไม่ได้เกี่ยวกับลูกพีชสักหน่อย” ชายคนที่สามพูด “เรามาพูดเรื่องเงินกันดีกว่า หัวหน้าไม่เคยโกงเงินพวกเรามาก่อนเลยนะ!”


 


“ใช่ เพื่อน แกต้องเป็นคนเอาเงิน 20,000 หยวนไปแน่ๆ” ชายคนที่สองพูด “แกเอาเงินไปอีก 5,000 หยวน แล้วก็ไปให้พ้นหน้าพวกเราซะ”


 


“ฉันไม่ได้เอาเงินไปซักหยวนเลยนะ” ชายคนแรกพูด “ฉันสาบานกับเทพเจ้าก็ยังได้!”


 


“อย่ามาโวยวายหน่อยเลยน่า” ชายคนที่สามพูด แต่แล้วอยู่ๆเขาก็อยู่ในอาการตกตะลึง “เครื่องมันกลืนบัตรเข้าไปแล้ว!”


 


ชายทั้งสี่ยืนมองเครื่องกดเงินราวคนโง่ ไม่ พวกเขาโง่จริงๆต่างหาก


 


“แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ?” หนึ่งในนั้นถาม


 


“เราก็โทรไปบอกธนาคารสิ” อีกคนพูด


 


พวกเขาติดต่อกับพนักงานของธนาคาร และได้รับการบอกกล่าวจากทางธนาคารว่า พวกเขาสามารถมารับบัตรได้หลังจากผ่านไปสามวันพร้อมกับบัตรประชาชนของเจ้าของบัตร ชายทั้งสี่มองหน้ากันไปมา


 


“เราจะทำยังไงกันดีล่ะทีนี้?” หนึ่งในพวกเขาถาม


 


“งั้นเรากลับไปหาหัวหน้ากันก่อนเถอะ” อีกคนพูด “หัวหน้าฉลาดอยู่แล้ว!”


 


ภายในโรงพยาบาลห่ายชิว มีคนหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆยืนอยู่ตรงเตียงคนไข้ของเฉาเหมิง พวกเขาเป็นชายหนุ่มที่ดูสุภาพและหญิงสาวหน้าตาดี


 


“พี่ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ได้ล่ะครับ?” ชายหนุ่มถาม


 


“ฉันเจอปัญหาในตอนทำงาน่ะ” เฉาเหมิงพูด “ทางฝั่งนั้นเป็นยังไงบ้าง?”


 


“ทุกอย่างเป็นไปด้วยความรวดเร็วครับ งานสำเร็จไปได้ 90% แล้ว” ชายหนุ่มพูด “ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น”


 


“นายน่าจะได้เป็นนักศึกษาจบใหม่นะ” เฉาเหมิงพูด


 


“การรวมกันของทฤษฏีกับภาคปฏิบัติมีประโยชน์ที่สุดแล้วล่ะครับ” ชายาหนุ่มพูด


 


“มานั่งนี่ก่อนสิ” เฉาเหมิงพูด “ฉันจะบอกเรื่องคราวนี้ให้ฟัง”


 


เขาบอกเรื่องทั้งหมดให้กับคนทั้งสองฟังโดยไม่มีปิดบัง


 


“พี่ ถ้ามันไม่ได้ผล เราถอยกันดีกว่าไหม?” เฉาเหอถาม


 


“ถอยเหรอ? ทำไมล่ะ?” เฉาเหมิงถาม


 


“เพราะเราไม่มีทั้งโอกาสที่ดี, เวลาที่เหมาะสม, หรือคนที่มีความสามารถเลยน่ะ” เฉาเหอพูด “ถ้าคนคนนี้เป็นหมอที่มีชื่อเสียงอยู่ในพื้นที่ เขาก็จะถือว่าเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง เขารักษาคนไข้ไปกี่คนแล้วล่ะ? ถ้าเกิดเขาติดต่อคนไข้พวกนั้น ก็จะต้องมีคนยินดีช่วยเหลือเขาแน่ ส่วนฝ่ายเราไม่มีทั้งความช่วยเหลือหรือโอกาสดีดีเลย แต่คนไข้พวกนั้นต้องการสร้างความสัมพันธ์กับเขา เผื่อการเจ็บป่วยในอนาคต”


 


“ความได้เปรียบเดียวที่พวกเรามีก็คือ พันธมิตรอีกคนที่พวกเธอยังไม่เคยเจอ” เฉาเหมองพูด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)