Elixir Supplier 673-676

 673 คนดีมักมีโชค


 


“สวัสดีค่ะ ลุงเฉิน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนแรง


 


เธอดูเหนื่อยมากเลยนะ” เฉินโจวฉวนพูดพร้อมถอนหายใจ


 


หลังจากที่เธอเปิดประตูออกมา กลิ่นของตัวยาก็เข้มข้นมากขึ้นไปอีก และฉุนจนแทบทนไม่ไหว


 


“เชิญเข้ามาข้างในก่อนสิคะ” เธอพูด


 


“นี่คือหมอหวัง คนที่ฉันเคยพูดให้เธอฟังก่อนหน้านี้ เขาจะมาดูอาการลูกชายของเธอให้” เฉินโจวฉวนพูดพร้อมชี้มือไปทางหวังเย้า


 


“โอ้ เยี่ยมไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอพูด


 


“ผมขอเข้าไปดูอาการคนไข้ก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด


 


พวกเขาทุกคนเดินเข้าไปด้านใน หวังเย้าก็พบว่า ภายในบ้านมีข้าวของเครื่องใช้เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น


 


“ก่อนหน้านี้ พวกเขาเอาของทุกอย่างไปขายเพื่อเอาเงินมารักษาลูกชายของพวกเขาน่ะ” เฉินโจวฉวนพูดเสียวเบา


 


หวังเย้าเข้าไปดูคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียง เขาเป็นชายที่ผอมจนเหลือแต่กระดูก ผมครึ่งหนึ่งของเขาหลุดร่วง ใบหน้าของเขากลายเป็นสีเหลืองและดวงตาลึก เขาดูราวกับซากศพของคนตาย เมื่อมองไปที่เขา หวังเย้าก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคนไข้มีอายุได้เท่าไหร่แล้ว


 


ร่างกายของคนไข้เต็มไปด้วยกลิ่นของยาสมุนไพร เขาเกินเยียวยาแล้ว


 


“เกิดอะไรขึ้นกับเขาเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เขาเป็นแผลเรื้อรัง” เฉินโจวฉวนพูด


 


เขาบอกให้หญิงผู้เป็นแม่ของคนไข้นำผ้าคลุมบนตัวคนไข้ออก เพื่อให้หวังเย้าได้ดูร่างกายของคนไข้ แผลปรากฏอยู่บนท้องของคนไข้ ชิ้นเนื้อบนร่างกายของเขาเกิดการเน่าเสีย ร่างกายของเขามีกลิ่นเหม็นเน่า หวังเย้าสามารถมองเห็นเข้าไปถึงกระดูกของเขาได้เลย


 


“เขาเป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ?” หวังเย้าถาม


 


“สามเดือนกว่าแล้วล่ะ” เธอพูด


 


“ดูตรงนี้สิ หมอหวัง” เฉินโจวฉวนพูด


 


“ครับ ผมเห็นแล้ว” หวังเย้าไม่ได้พูดอะไรมาก เขาจับดูชีพจรของคนไข้ “โชคดีที่เชื้อไม่ได้ลงลึกไปถึงกระดูกของเขา”


 


“คุณช่วยเขาได้ไหมคะ?” ผู้เป็นแม่ถาม


 


“ผมลองรักษาเขาดูได้ครับ” หวังเย้าพูด


 


“เยี่ยมค่ะ” ผู้เป็นแม่พูด


 


“แต่ค่ายาแพงมากนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“เอ่อ…” เฉินโจวฉวนอยากจะพูดบางอย่างออกไป


 


“ฉันยินดีจ่ายค่ะ” แม่คนไข้พูด


 


“ฟังนะ ฉันจะเป็นคนจ่ายเงินค่ารักษาเอง” เฉินโจวฉวนพูด


 


“ไม่ได้หรอกค่ะ” แม่คนไข้พูด “ลุงเฉินช่วยเรามามากพอแล้ว”


 


“ไม่เป็นไรๆ เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันแล้ว ฉันจะจ่ายค่ารักษาให้เม้าฉีเอง” เฉินโจวฉวนพูด “ฉันขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม หมอหวัง?”


 


“ตอนนี้ ยังไม่ต้องไปสนใจเรื่องยาหรอกครับ ขอผมฝังเข็มให้เขาก่อน” หวังเย้าพูด


 


เขาหยิบเข็มเงินออกมาและแทงลงไปตามส่วนต่างๆของร่างกายคนไข้ พร้อมส่งพลังฉีเข้าไปเพื่อช่วยให้ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้น


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินโจวฉวนได้เห็นหวังเย้ารักษาคนไข้ด้วยการฝังเข็ม เขาเฝ้ามองไม่คลาดสายตาและสนใจในทุกรายละเอียดของการลงเข็มและจุดต่างๆที่แทงเข็มลงไป


 


“อืมม ดี” เฉินโจวฉวนพูด


 


การฝังเข็มของหวังเย้าแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ เฉินโจวฉวนไม่สามารถบอกได้ว่า เขาจะสามารถทำได้ดีกว่าหวังเย้าหรือไม่ และเขาก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมหวังเย้าถึงฝังเข็มลงไปในสองจุดนั้น


 


“ผมจะกลับไปเตรียมยานะครับ” หวังเย้าก็พูดขึ้นมาหลังจากที่เขาฝังเข้มให้คนไข้เสร็จแล้ว


 


“ยาจะได้เมื่อไหร่เหรอ?” เฉินโจวฉวนถาม


 


“พรุ่งนี้ครับ” หวังเย้าพูด


 


“ขอบคุณมากๆนะคะ” แม่ของคนไข้พูด


 


เธอเดินออกมาส่งหวังเย้า, ซูเสี่ยวซวี, และหมอเฉินที่ด้านล่าง


 


“เม้าฉีจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอ?” เฉินโจวฉวนถาม


 


“ประมาณสองทุ่มค่ะ” เธอพูด


 


“บอกเขาว่า อย่าทำงานหักโหมจนเกินไปล่ะ” เฉินโจวฉวนพูด


 


“ได้ค่ะ” เธอพูด


 


“กลับเข้าไปในบ้านเถอะ เธอก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วยเหมือนกันนะ” เฉินโจวฉวนพูด


 


เธอยังคงอยู่ที่เดิมไปจนกระทั่งไม่เห็นพวกเขาแล้วถึงกลับเข้าไปในบ้าน


 


“พวกเขาเป็นญาติของคุณหมอเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามเมื่อนั่งอยู่ในรถ


 


“ไม่ใช่หรอก ฉันแค่รู้จักกับพวกเขาโดยบังอฺญน่ะ” เฉินโจวฉวนพูด


 


“บังเอิญได้รู้จักงั้นเหรอครับ?” หวังเย้าถามด้วยความประหลาดใจ


 


การที่เฉินโจวฉวนดูจะใส่ใจคนไข้เป็นพิเศษ และยังยินดีจ่ายค่ารักษาให้พวกเขาอีก มันจึงทำให้หวังเย้าคิดว่าพวกเขาเป็นญาติสนิทกัน แต่ความจริงพวกเขาเป็นแค่คนรู้จัก จะเรียกว่าเพื่อนก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ


 


“ฉันรู้จักกับพ่อของคนที่ป่วยอยู่น่ะ เขาเป็นคนที่นับถือมาก” เฉินโจวฉวนพูด


 


“ทำไมถึงได้นับถือเขาเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“เพราะสิ่งที่เขาได้ลงไปน่ะสิ ขนาดฉันยังไม่คิดจะทำเลย” เฉินโจวฉวนพูด พร้อมกับเล่าเรื่องราวของชายคนนั้น


 


จางเม่าฉีเป็นคนจิตใจดีมาก เขามีนิสัยชอบช่วยเหลือคน เขาให้เงินสนับสนุนการศึกษาของนักเรียนยากจนหลายคนมานานหลายสิบปี เขาได้บริจาคเงินช่วยเหลือไปถึง 156,000 หยวนเพื่อช่วยเด็กๆเหล่านั้น มันอาจจะไม่ใช่เงินมากมายอะไร แต่มันถือเป็นเงินจำนวนมากสำหรับคนอย่างจางเม้าฉี เพราะเขาไม่ได้มีรายได้มากมายอะไร


 


บนโลกใบนี้ หลายคนสามารถหาเงินได้เป็นล้านหรือแม้แต่พันล้านก็ยังมี แต่พวกเขากลับไม่คิดที่จะบริจาคเงินเพื่อสังคมเลยแม้แต่นิดเดียว ในขณะที่ คนบางคนที่สามารถหาเงินได้แค่ไม่กี่พันหยวนกลับยินดีที่จะแบ่งเงินเหล่านั้นเพื่อช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่าเขา คนเรามีความคิดที่แตกต่างกันอย่างมาก


 


จากเรื่องที่เขาได้ยิน ทำให้หวังเย้าคิดว่า การที่คนทำดีกลับจบไม่สวย ในขณที่คนทำชั่วมากมายกลับมีชีวิตที่ดี มันเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย


 


“ฉันก็เลยตัดสินใจช่วยเขาน่ะ” เฉินโจวฉวนพูด


 


หวังเย้าไม่ได้พูดอะไร หลังจากผ่านไปสักพัก  เขาก็ถามขึ้นมาว่า “เรื่องทั้งหมดเป็นความจริงเหรอครับ?”


 


“เธอคิดว่าฉันโกหกอย่างนั้นเหรอ?” เฉินโจวฉวนถามด้วยรอยยิ้ม “ฉันเป็นแค่ตาแก่คนหนึ่ง ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปโกหกเธออยู่แล้ว”


 


“ก็จริงครับ” หวังเย้าพูด


 


เฉินโจวฉวนมาส่งพวกเขาในเวลาทุ่มกว่าไปแล้ว


 


“จะไปกินข้าวกันที่บ้านของฉันกันก่อนไหม?” เฉินโจวฉวนถาม “ภรรยาของฉันเตรียมไว้ให้แล้ว”


 


“ไม่ดีกว่า ขอบคุณนะครับ เราคงต้องไปแล้ว” หวังเย้าพูด


 


พวกเขากลับไปที่กระท่อม


 


“คุณยังคิดถึงเรื่องคนไข้คนนั้นอยู่เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ใช่ เธอช่วยสืบให้หน่อยได้ไหม ว่าเรื่องที่หมอเฉินพูดมาเป็นความจริงรึเปล่า?” หวังเย้าพูด “ผมเชื่อหมอเฉินนะ แต่ก็ไม่อยากให้เขาถูกหลอก”


 


“ไม่มีปัญหาค่ะ เรื่องนี้ง่ายมาก” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


เธอกดโทรออก และบอกกับคนที่อยู่ปลายสายให้สืบเรื่องของจางเม้าฉี ในตอนที่พวกเขากำลังทานอาหารกันอยู่นั้น คนที่ใช้ให้ไปสืบก็โทรกลับมา


 


“เรื่องที่หมอเฉินพูดเป็นความจริงค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“อืม ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะไม่คิดเงินค่ารักษาจากพวกเขาแม้แต่หยวนเดียว” หวังเย้าพูด เขาไม่สามารถปล่อยให้ครอบครัวของคนที่ดีแบบนี้ต้องทุกข์มานได้


 


“บางที คุณอาจจะเป็นคนที่พระเจ้าส่งมาเพื่อช่วยพวกเขาก็ได้นะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม


 


หวังเย้าหัวเราะ เขาได้เจอคนไข้ด้วยความบังเอิญ หรืออาจจะเป็นโอกาสที่พระเจ้ามอบให้เขาได้ช่วยคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่ก็เป็นได้ เขาควรจะขอบคุณหมอเฉินที่มอบโอกาสดีดีแบบนี้ให้กับเขา


 


เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เขาหวังว่า พระเจ้าจะบอกเรื่องที่พระองค์รู้ให้กับเขาบ้าง


 


หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีอยู่คุยกันสักพัก ชูเหลียนเดินทางมารับซูเสี่ยวซวีกลับไปที่บ้าน หลังจากซูเสี่ยวซวีกลับไปแล้ว หวังเย้าก็เริ่มเตรียมสมุนไพรเพื่อทำยา


 


การรักษาแผลเน่าเปื่อยบริเวณกล้ามเนื้อ นั้นง่ายกว่าการรักษาในส่วนของอวัยวะภายในและกระดูกมาก หวังเย้าจำเป็นต้องขับพิษร้อนออกจากร่างกายของคนไข้ และรักษาแผลของเขา อย่างน้อยๆ สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำก็คือการบรรเทาอาการเจ็บปวด และกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อกับผิวหนังใหม่ขึ้นมา


 


เขาต้องใช้ยาสมุนไพรสองชนิดในการรักษาคนไข้ให้ได้ประสิทธิภาพ หนึ่งคือยาขับพิษ และอีกหนึ่งคือยาผงซ่อมแซมกล้ามเนื้อ


 


ยาขับพิษมีส่วนผสมก็คือ สมุนไพรแก้พิษหนึ่งใบ ในช่องเก็บของของเขายังมียาตัวนี้เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง เพราะการรักษาหลายๆครั้งที่ผ่านมา เขาไม่จำเป็นต้องเอามันออกมาใช้เลย


 


เขาปรับเปลี่ยนสูตรยาขับพิษโดยการเพิ่มสมุนไพรเข้าไปอีกสองชนิด เพื่อจะได้เข้าไปช่วยขับพิษและบรรเทาอาการเจ็บปวดไปด้วยในตัว เขานำใบปาเจียวทงครึ่งใบใส่ลงไปในหม้อในตอนที่ยาใกล้จะได้ที่แล้ว


 


หวังเย้าใช้เวลาทั้งคืนในการทำยาให้เสร็จ โชคดีที่เขาเก็บยาบางส่วนเอาไว้ในช่องเก็บของและนำติดตัวมาด้วย


 


เช้าของวันถัดมา หวังเย้าฝึกกังฟูอยู่ภายในสวน เฉินหยิงและเฉินโจวคอยเฝ้ามองเขาอยู่ ทั้งสองต่างพบว่า การเคลื่อนไหวของหวังเย้านั้นมีความพิเศษมาก บางครั้งเขาก็เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า และในบางครั้งเขาก็เคลื่อนไหวรวดเร็ว


 


หลังจากหวังเย้าฝึกเสร็จแล้ว เฉินหยิงก็เตรียมอาหารเช้าเสร็จอย่างรวดเร็ว


 


ขณะเดียวกัน ภายในบ้านตระกูบซู ซูเสี่ยวซวีเพิ่งจะทานอาหารเช้าเสร็จ


 


“วันนี้ ลูกลงมาเช้าจังเลยนะ” ซงรุ่ยปิงพูด “กินอีกสักหน่อยไหมจ๊ะ?”


 


“ไม่ล่ะค่ะ ขอบคุณ หนูอิ่มแล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


ซูเสี่ยวซวีออกมาจากบ้านและตรงไปที่กระท่อมแต่เช้าตรู่ เมื่อเธอไปถึง หวังเย้าก็เตรียมสมุนไพรเสร็จเรียบร้อยและกำลังเริ่มต้มยาอยู่


 


“วันนี้เริ่มเร็วจังเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“อื้ม ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการต้มยาน่ะ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


ในการต้มยานั้น ช่วงเวลาและสถานที่เป็นสิ่งสำคัญมาก หวังเย้าเลือกต้มยาในตอนเช้า ก็เพราะเขาต้องการเพิ่มพลังที่มีในช่วงเวลานี้เข้าไปในตัวยาด้วย


 


“นี่เป็นยาตัวเดียวกับที่คุณทำเมื่อวานรึเปล่าคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ใช่ นี่คือ ซุปเป่ยหยวน” หวังเย้าพูด


 


หวังเย้าทำยาตัวนี้ขึ้นมาก็เพื่อต้องการเสริมความแข็งแรงให้กับจางอันจิ้ง ซึ่งร่างกายของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก และเขาก็จำเป็นต้องกินซุปเป่ยหยวนอย่างต่อเนื่องด้วย


 


“ยาตัวนี้แพงมากไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“แพง แพงมากด้วย” หวังเย้าตอบ


 


“มันราคาเท่าไหร่เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเพื่ออะไรด้วย” หวังเย้าพูด “ถ้านำยาตัวนี้ให้กับคนดีแบบจางเม้าฉี ผมก็ไม่คิดเงินสักหยวน แต่ถ้าเป็นคนไม่ดีหรือไม่ได้ต้องการยาจากผมจริงๆ ผมก็จะไม่ให้เลย ไม่ว่าคนพวกนั้นจะเสนอเงินให้มากแค่ไหนก็ตาม”


 


“มีคนอยู่หกประเภทที่ผมจะไม่ยอมรักษาให้” หวังเย้าพูดเสริมเสียงเบา


 


ยาที่อยู่ภายในหม้อเริ่มเดือดแล้ว หวังเย้าเติมฟืนเข้าไปเป็นครั้งคราว เขาต้วยาในตอนเช้าเพียงตัวเดียวเท่านั้น


 


“คุณจะทำยาอีกตัวไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“จริงๆแล้วต้องบอกว่าสอง ผมเตรียมเสร็จไปแล้วหนึ่ง ส่วนอีกหนึ่งผมจะต้มมันตอนบ่ายหรือไม่ก็ตอนกลางคืน” หวังเย้าพูด


 


เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มันเป็นวันที่สดใส พระอาทิตย์ส่องแสงเจิ้ดจ้าและร้อนราวกับถูกเผา “ตอนนี้ มันร้อนเกินไป”


 


“เวลาจะต้มยาที ทำไมคุณต้องสนใจเรื่องอากาศด้วยล่ะคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ผมใส่ใจทั้งเรื่องอากาศ, สถานที่, และคนอยู่ตลอด” หวังเย้าพูด “ผมสามารถต้มยาสำหรับขับพิษเย็นออกจากร่างกายมนุษย์หรือเสริมพลังหยางได้ในเวลานี้ เพราะเป็นช่วงที่พลังหยางของโลกเข้มข้นที่สุด แต่ถ้าผมจะทำยาสำหรับขับพิษร้อนหรือเสริมพลังหยิน ตอนนี้ มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม ผมควรทำในตอนบ่ายแก่ๆ หรือไม่ก็ตอนเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่พลังหยินเข้มข้นที่สุด”


674 เวลาผ่านไปเร็ว


 


“มีรายละเอียดเยอะจังเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ที่ผมรู้เรื่องพวกนี้ ก็เพราะผมเรียนรู้ด้านนี้มา” หวังเย้าพูด “แต่ถ้าเป็นความรู้ในเรื่องอื่น อย่างเรื่องเศรษฐกิจกับการบริหารที่เธอเรียนอยู่ ผมก็ไม่รู้เรื่องเลยสักนิด เพราะเราเรียนมาคนละสายกัน”


 


“ที่คุณพูดมาก็จริงนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ก่อนจะทำยาตัวต่อไป เราไปที่ตระกูลหวูกันก่อนดีกว่านะ” หวังเย้าพูด


 


เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึง พวกเขาเห็นได้ทันทีว่า อาการของนายท่านหวูดีขึ้นกว่าเมื่อวาน เพราะสาเหตุเห็นได้จากสีหน้าของเขา


 


“เป็นยังไงบ้างครับ? ยังรู้สึกเจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ แล้วเมื่อเช้าฉันยังกินโจ๊กเข้าไปได้ด้วยนะ” ชายชราพูด


 


ไม่ว่าชีวิตของเขาจะเคยรุ่งเรืองมาขนาดไหนหรือเขาจะขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงแค่ไหนก็ตาม ตอนนี้ เขาก็เป็นแค่ชายแก่คนหนึ่งที่เจ็บป่วยเหมือนกับคนทั่วไป สิ่งที่ต่างก็คงจะมีแค่เพียงการที่เขาได้รับการรักษาที่ดีกว่าคนอื่นๆ


 


“ดีครับ จำไว้ว่าห้ามลืมกินยาเด็ดขาดนะครับ” หวังเย้าพูด “ทีนี้ ผมจะฝังเข็มรักษาให้นะครับ”


 


นายท่านหวูใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนอยู่บนเตียงและแทบจะไม่ได้ขยับร่างกายเลย เขาสามารถมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะยา มันจึงทำให้การไหลเวียนของโลหิตและพลังฉีไม่สอดคล้องกัน การที่เขามีหลายโรคแทรกซ้อนส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะปัญหาจกการไหลเวียนของโลหิตและพลังฉี การไหลเวียนที่ดีและเต็มไปด้วยพลังจะช่วยขับโรคร้ายออกไปได้


 


หลังจากถอดเสื้อของชายชราอออกแล้ว หวังเย้าก็แทงเข็มลงไปบนตัวของเขาและส่งพลังฉีเข้าไปด้วย การรักษาดำเนินไปช่วงเวลาหนึ่ง และจบลงเมื่อเวลาบ่ายโมงตรง


 


“ขอบคุณมากครับ หมอหวัง” หนึ่งในคนของตระกูลพูด “อาหารกลางวันพร้อมแล้ว หมอต้องการจะ…”


 


“เอ่อ ผมบอกกับเฉินหยิงก่อนออกมาแล้วน่ะครับ ว่าผมจะกลับไปกินข้าวที่กระท่อม” หวังเย้าพูด


 


พวกเขากลับไปทานอาหารกลางวันที่กระท่อม หลังจากนั้น หวังเย้าก็นึกอยากจะไปเยี่ยมน้าของเขาขึ้นมา เขาไปมาแล้วครั้งหนึ่งตอนวันแรกๆที่มาถึง และไปเพียงลำพัง แต่ตอนนี้ เขาคิดจะพาซูเสี่ยวซวีไปด้วยกัน


 


“มันจะเหมาะเหรอคะ?” ในมุมมองของซูเสี่ยวนั้น มันไม่ต่างจากการไปได้เจอพ่อแม่ของเขาเลย ถึงผู้หญิงคนนั้นจะไม่ใช่แม่ของหวังเย้าก็ตาม


 


“ทำไมจะไม่เหมาะล่ะ?” หวังเย้าถาม “คิดซะว่าไปเยี่ยมญาติของเธอก็ได้”


 


“ก็ได้ค่ะ แต่ฉันต้องขอเวลาหาของขวัญก่อนนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“เธอไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นหรอก” หวังเย้าพูด “เธอเป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว”


 


สุดท้าย ซูเสี่ยวซวีก็นำของขวัญติดตัวไปด้วยอยู่ดี น้าของหวังเย้าอยู่ที่บ้านรอเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านี้เธออยู่ที่ที่ทำงาน แต่พอได้ยินว่าหวังเย้าจะมา เธอก็รีบกลับบ้านทันที


 


“นี่คือ?” เธอเห็นเขามาพร้อมกับหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง


 


“อ่อ นี่คือ ซูเสี่ยวซวี ครับ เพื่อนของผมเอง” หวังเย้าพูด


 


“สวัสดีค่ะ คุณน้า” ซูเสี่ยวซวียิ้ม


 


“อ้อ สวัสดีจ๊ะ เข้ามานั่งข้างในกันก่อนสิจ๊ะ” น้าของหวังเย้าชงชาและล้างผลไม้เพื่อนำออกมาเสริฟให้ทั้งสอง เธอดูมีความสุขมาก


 


“น้าไม่ต้องวุ่นวายขนาดนั้นก็ได้ครับ” หวังเย้าพูด “มานั่งคุยกับพวกเราดีกว่า”


 


“วันก่อน เธอก็มาแปบเดียวเอง” น้าของเขาพูด “แล้ววันนี้จะอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนไหมล่ะจ๊ะ?”


 


“ไม่ล่ะครับ ตอนเย็นผมยังต้องไปตรวจคนไข้คนหนึ่งต่ออีก แล้วผมก็นัดเขาไว้แล้วด้วย” หวังเย้าตอบ


 


“ถ้าอย่างนั้น ไปตรวจคนไข้แล้วค่อยกลับมากินข้าวที่บ้านน้าดีไหมจ๊ะ?” น้าของเขาถาม


 


“ไม่รบกวนดีกว่าครับ! ผมแค่อยากจะมาเจอน้าเท่านั้นเอง” หวังเย้าพูด


 


ในตอนที่คุยกันอยู่นั้น น้าของหวังเย้าก็ยังถามซูเสี่ยวซวีอยู่หลายคำถาม ยิ่งเธอมองดูเด็กสาวมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกชอบมากเท่านั้น รวมทั้งเด็กสาวยังเป็นคนหน้าตาสะสวยและมีมารยาทด้วย หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีอยู่ที่บ้านน้าชั่วโมงกว่า ก่อนที่พวกเขาจะขอตัวกลับ


 


น้าของหวังเย้าเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องหลายครั้ง ในที่สุด เธอก็หยิบมือถือขึ้นมาและกดโทรหาพี่สาวของเธอที่อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ “พี่ ฉันเองนะ ใช่ เมื่อกี้เสี่ยวเย้าเพิ่งจะมาหาฉันน่ะสิ”


 


“เขาไปน่ะถูกแล้ว เขาเป็นเด็กก็ต้องเป็นคนไปเยี่ยมเธอยังไงล่ะ” จางซิวหยิงพูด


 


“แต่เขาไม่ได้มาคนเดียวนี่สิ เขาพาเด็กสาวหน้าตาดีคนหนึ่งที่ชื่อ ซูเสี่ยวซวี มากับเขาด้วย” ผู้เป็นน้องพูด


 


“เด็กสาวเหรอ?” เมื่อได้ยินดังนั้น จางซิวหยิงก็รีบวางงานในมือลงทันที “ฉันจำชื่อนี้ได้นะ เธอเคยมาที่นี่แล้วด้วย”


 


“พวกเขาเป็นเพื่อนกันเหรอ?” น้องสาวถาม


 


“อืม ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นนะ” จางซิวหยิงพูด


 


“อ่อ โอเค” น้องสาวพูด “แต่เด็กคนนั้นสวยมากเลยล่ะ”


 


“อืม ฉันรู้” จางซิวหยิงพูด


 


หรือเขาจะไปปักกิ่งเพื่อไปหาเด็กคนนั้นกัน? จางซิวหยิงถามตัวเอง


 


หลังออกมาจากบ้านน้าของเขาแล้ว หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีก็ไปที่บ้านของจางอันหนิง และแวะรับเฉินโจวฉวนระหว่างทางด้วย


 


ในครั้งนี้ ผู้เป็นพ่ออยู่ที่บ้านด้วย เขาเป็นชายวัยกลางคน ผมเกือบครึ่งของเขากลายเป็นสีขาว หลังของเขาค่อมเล็กน้อยและดูเหนื่อยล้าอย่างมาก


 


“ลุงเฉิน” จางเม้าฉีพูด


 


“เกิดอะไรขึ้นกับเธอน่ะ?” เฉินโจวฉวนถาม


 


“ไม่มีอะไรหรอกครับ” จางเม้าฉีขมวดคิ้วในตอนที่เขาลุกขึ้นดิน


 


“ตอนที่เขาทำงานอยู่ในโรงงาน เขาได้รับบาดเจ็บที่เอวเข้าน่ะค่ะ” ภรรยาที่อยู่ข้างๆเขาพูดขึ้นมา


 


“มานี่สิ ฉันขอดูหน่อย” เฉินโจวฉวนตรวจดูเขาอย่างละเอียด “อืม ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เป็นแค่กล้ามเนื้ออักเสบ เธอแค่ต้องพักสักสองสามวันก็หายแล้ว”


 


“ได้ครับ” จางเม้าฉีตอบ


 


“นี่คือหมอหวัง เขามาเพื่อรักษาอันหนิง” เฉินโจวฉวนพูด


 


“ครับ ขอบคุณนะครับ” จางเม้าฉีพูด


 


“เราเริ่มกันเลยไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ได้ครับ” จางเม้าฉีพูด


 


เริ่มแรก หวังเย้านำซุปเป่ยหยวนให้คนไข้กินเข้าไปก่อน


 


“ฉันดูเหมือนจะเคยได้กลิ่นยาตัวนี้มาก่อนนะ” เฉินโจวฉวนที่ยืนอยู่ใกล้ๆพูด เขามั่นใจว่า หวังเย้าเคยใช้ยาตัวนี้รักษาคนไข้ที่ปักกิ่งมามากกว่าหนึ่งครั้ง


 


“มันจะช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายน่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


หลังจากให้ยาคนไข้ไปแล้ว พวกเขาก็กลับไปที่ห้องนั่งเล่น หลังจากผ่านไปได้ 30 นาที หวังเย้าก็กลับเข้าไปจับดูชีพจรของเขา “ไม่มีปัญหาอะไร ได้เวลากินยาตัวที่สองแล้วครับ”


 


หน้าที่ของยาตัวที่สองคือการขับความร้อนและเสมหะ มันยังมีสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดผสมอยู่ด้วย


 


หลังจากผ่านไปอีก 30 นาที หวังเย้าก็หยิบยาตัวที่สามออกมา มันคือยาผงฟื้นฟูกล้ามเนื้อ


 


ซูเสี่ยวซวีถอนหายใจออกมา เพราะเธอรู้จักยาตัวนี้ และเคยใช้มันเมื่อครั้งที่เธอยังป่วยหนักอยู่


 


หวังเย้าตักออกมาหนึ่งช้อนชาและนำไปละลายกับน้ำอุ่น เขาเทตัวยาลงไปในขวดสเปรย์และฉีดพ่นไปตามแผลที่เน่าเปื่อยของคนไข้จนทั่ว


 


หลังจากนั้น พ่อแม่ของคนไข้ก็ช่วยกันพันแผลของเขาอย่างระมัดระวัง


 


“ให้กินยาตัวนี้ตามเวลานะครับ” หวังเย้าทิ้งยาสองตัวแรกไว้กับพวกเขา และบอกวิธีการใช้ก่อนที่จะขอตัวกลับ


 


หลังจากที่พวกเขากลับไปแล้ว สองสามีภรรยาก็ขึ้นไปที่ห้องของลูกชายที่อยู่ชั้นบน


 


“อันหนิง ลูกรู้สึกเป็นยังไงบ้างจ๊ะ?” แม่ของเขาถาม


 


“มันไม่ค่อยเจ็บแล้วครับ” เขาตอบ “ที่ท้องกับหลังของผมก็รู้สึกสบายกว่าเดิมมากด้วย”


 


“ดี ดี” เมื่อทั้งสองได้ยินว่าลูกชายของพวกเขารู้สึกสบาย พวกเขาก็โล่งอก


 


“หมอคนนั้นมาจากโรงพยาบาลไหนเหรอ?” จางเม้าฉีถาม “เขารักษาเก่งมากเลย”


 


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คุณก็รู้จักลุงเฉินดีนี่” ภรรยาของเขาพูด “คนที่เขาแนะนำมาจะต้องเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญแน่ ฉันได้ยินมาว่า มีหลายคนอยากจะให้เขาไปรักษา แต่ก็ถูกปฏิเสธไป เขายังเคยรักษาคนระดับสูงมาแล้วหลายคนด้วยนะ”


 


“แล้วเรื่องค่ารักษาล่ะ?” จางเม้าฉีถาม


 


“เขาบอกว่า เขาไม่คิดเงินค่ารักษาอันหนิงสักหยวนเดียว” ภรรยาของเขาตอบ


 


“ทำไมล่ะ?” จางเม้าฉีถาม


 


“ก็เพราะคุณยังไงล่ะ เขาพูดว่า คนดีดีก็ควรจะได้รับสิ่งดีดี” ภรรยาของเขาพูด


 


“ฮาฮา” จางเม้าฉีเพียงยิ้มออกมาเท่านั้น


 


ภายในรถ หวังเย้าและเฉินโจวฉวนคุยกันเกี่ยวกับเรื่องอาการป่วยของคนไข้


 


“เธอจะอยู่ปักกิ่งอีกกี่วันเหรอ?” เฉินโจวฉวนถาม


 


“แผนที่วางไว้คือจะอยู่อีกประมาณสามวันครับ” หวังเย้าพูด เขาวางแผนจะอยู่ที่ปักกิ่งแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น


 


“แล้วเรื่องการรักษาของอันหนิงล่ะ?” เฉินโจวฉวนถาม


 


“ภายในสามวัน อาการของเขาจะดีขึ้นครับ” หวังเย้าพูด “หลังจากนั้น เขาก็สามารถเดินทางมารักษากับผมที่คลินิกของผมได้”


 


“อ่อ โอเค” เฉินโจวฉวนไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ การที่หวังเย้ายอมไปรักษาคนไข้เพื่อไว้หน้าเขา และยังไม่คิดค่ารักษาอีก แค่นี้ก็มากพอแล้ว เขาคงไม่กล้าขออะไรไปมากกว่านี้อีก “คืนนี้ เราไปดูงิ้วปักกิ่งกันเถอะ”


 


“งิ้วปักกิ่งเหรอครับ?” หวังเย้าถามอย่างไม่แน่ใจ


 


“เธอไม่ชอบดูเหรอ?” เฉินโจวฉวนถาม


 


“เอ่อ บอกตามตรงนะครับ ผมไม่เคยไปดูงิ้วแบบสดๆมาก่อนเลย” หวังเย้าพูด


 


“แล้วเธอสนใจจะไปด้วยกันไหม?” เฉินโจวฉวนถาม


 


“เอาสิครับ” หวังเย้าพูด


 


หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ทั้งสามก็พากันไปดูงิ้ว หวังเย้าสงสัยว่า รสนิยมของเขาอาจจะไมสูงพอจึงทำให้เขาเข้าไม่ถึงเนื้อเรื่องของมัน เขาไม่รู้สึกชอบมันเลย การได้ฟังงิ้วมันทำให้เขารู้สึกไม่สงบ


 


“หมอไม่ชอบเหรอคะ?” หลังเดินออกมาจากโรงงิ้วแล้ว ซูเสี่ยวซวีก็ถามเขา


 


“ไม่ชอบ แต่ก็พอดูได้” หวังเย้าพูด “มันก็ช่วยฆ่าเวลาไปได้อีกแบบ”


 


ในระหว่างสามวันที่เหลือ หวังเย้าไปกลับบ้านคนไข้สองหลัง แน่นอนว่า เขามีซูเสี่ยวซวีติดไปด้วยทุกที่ ด้วยการรักษาจากเขา อาการของคนไข้ทั้งสองก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นแบบนี้ มันก็ทำให้คนในครอบครัวของคนไข้ต่างก็พอใจเป็นอย่างมาก


 


แล้วเจ็ดวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


675 หัวใจสองดวงชิดใกล้


 


“ผมคงต้องกลับแล้ว” หวังเย้าพูด


 


“ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


หวังเย้ามีคลินิกและเนินเขาหนานชานที่ต้องดูแล ซูเสี่ยวซวีก็ต้องกลับไปเรียนต่อ


 


ก่อนที่หวังเย้าจะเดินทางกลับเหลียนชาน เขาได้ไปเยี่ยมพ่อแม่ของซูเสี่ยวซวีอีกครั้ง เขาและซูเสี่ยวซวีได้ถือว่าเริ่มคบหากันอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งทางพ่อแม่ของซูเสี่ยวซวีก็ดูเหมือนจะรับเรื่องนี้ได้ไม่มีปัญหา


 


ซูเสี่ยวซวีไม่อยากแยกจากกับหวังเย้าเมื่อพวกเขาอยู่ที่สนามบิน


 


“ฉันจะไปหาคุณที่เหลียนชานนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“โอเค เราจะติดต่อกันอยู่ตลอดนะ กลับบ้านเถอะ” หวังเย้าพูด


 


เขาเดินไปไม่กี่ก้าวและอยู่ๆก็หมุนตัวกลับไป แล้วดึงซูเสี่ยวซวีเข้าไปในอ้อมกอด “ดูแลตัวเองดีดีนะ”


 


“ค่ะ คุณก็เหมือนกันนะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


ทั้งสองใกล้ชิดกันอย่างมาก


 


เครื่องบินขึ้นฟ้าและหายเข้าไปในกลีบเมฆ ซูเสี่ยวซวียังคงไม่ละสายตาไปจากท้องฟ้าในจุดที่เครื่องบินบินหายไป


 


“คุณหนูซู เขาไปแล้วนะคะ” ชูเหลียนพูด


 


“หนูรู้ค่ะ เขาจะต้องกลับมาอีก หรือไม่หนูก็จะไปหาเขา” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“เรากลับกันเลยไหมคะ?” ชูเหลียนถาม


 


“ขออีกเดี๋ยวนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


ท้องฟ้ากว้างไกลและเต็มไปด้วยก้อนเมฆ เครื่องบินอีกลำกำลังทะยานขึ้นไปด้านบนและหายลับไป


 


“ไปกันเถอะค่ะ วันนี้หนูต้องไปเข้าเรียนด้วย” ซูเสี่ยวซวีพูดพร้อมกับเดินไปขึ้นรถ


 


เครื่องร่อนลงที่สนามบินห่ายชิว ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่หลายกิโล


 


หืม?


 


หวังเย้าออกไปรอรถแท็กซี่ที่ด้านนอกสนามบิน แต่โชคร้ายที่ทุกคันถูกคนอื่นแย่งไปหมด เขาจึงเขยิบไปข้างหน้าอีกนิด


 


บรื้น! รถคันหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาและตรงมาทางหวังเย้า หวังเย้าเบี่ยงตัวเพื่อเลี่ยงไม่ให้รถชนตัวเองโดยที่ไม่ต้องพยายามอะไรมากนัก


 


เอี๊ยด! รถหยุดลง ชายสวมแว่นกันแดดที่อยู่ภายในรถเลื่อนกระจกลงและเหลือบมองหวังเย้า แล้วเขาก็เหยียบคันเร่งจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำเดียว


 


หืม? ไม่คิดจะขอโทษหรืออธิบายอะไรสักคำเลยงั้นเหรอ? เขาทำแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน?


 


หวังเย้าจดจำป้ายทะเบียนรถหมายเลข 9527 เอาไว้ใจใน ครู่ต่อมา เขาก็เจอรถแท็กซี่ที่ไม่มีคน เพื่อพาเขากลับไปที่หมู่บ้าน


 


“ลูกกลับมาแล้วเหรอ?” จางซิวหยิงเอ่ยออกมา


 


“ครับ แม่” หวังเย้าพูด


 


“ไปล้างหน้าล้างตาซะก่อนสิจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด


 


หวังเย้าเก็บกระเป๋าเอาไว้ในห้องของเขา เขาไปล้างหน้าก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น พ่อแม่ของเขาถามคำถามมากมาย และพยายามขุดค้นข้อมูลของซูเสี่ยวซวีให้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้


 


“ผมไปหาเสี่ยวซวีที่ปักกิ่งครับ เพราะผมอยากจะรู้ว่า เราจะเข้ากันได้ดีรึเปล่าน่ะครับ” หวังเย้าพูดออกไปตามตรง


 


“เยี่ยมไปเลยจ๊ะ” จางซิวหยิงพูดอย่างมีความสุข “แล้วพ่อแม่ของเสี่ยวซวีทำงานอะไรเหรอจ๊ะ?”


 


“พวกเขาทำงานรับราชการครับ” หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเย้าก็ตอบกลับไป


 


“อ่อ” จางซิวหยิงพูด “แล้วเสี่ยวซวีทำงานอะไรเหรอจ๊ะ?”


 


“เธอยังเรียนอยู่ที่มหาลัยปักกิ่งครับ” หวังเย้าพูด “เธอต้องหยุดเรียนไปพักหนึ่งเพราะป่วยหนัก อีกไม่นานก็จะเรียนจบแล้วล่ะครับ”


 


“แล้วตอนนี้ เธอไม่เป็นอะไรแล้วเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ไม่เป็นไรแล้วครับ” หวังเย้าพูด


 


จางซิวหยิงเป็นผู้ถามคำถามทั้งหมด ในขณะที่หวังเฟิงฮวาก็ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี


 


“แม่ก็แค่สงสัยเรื่องของครอบครัวกับตัวเธอก็เท่านั้น ลูกไปทำธุระของลูกเถอะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด


 


“ครับ งั้นผมขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด


 


ถึงเขาจะประทับใจในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและความคึกคักในปักกิ่ง ซึ่งเขาใช้เวลาอยู่ที่นั่นหนึ่งอาทิตย์ แต่เขาก็ยังคิดว่า เนินเขาหนานชานดีกว่าหรือเป็นสถานที่ที่เหมาะกับเขามากกว่า มันทำให้เขารู้สึกสงบเมื่อได้อยู่ที่นี่


 


ด้านนอกหมู่บ้านมีนาข้าวแปลงใหญ่ ในช่วงเวลานี้ของทุกปี ต้นข้าวจะพากันกลายเป็นสีเหลืองทอง และพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวในเร็ววัน เหนือขึ้นไปทางใต้ของนาข้าวก็จะมีเนินเขาโผล่ขึ้นมา ด้านหลังเนินเขาที่ลึกเข้าไปด้านใน มีพื้นดินที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ มีนาข้าวที่ถูกทำเป็นขั้นบันไดปรากฏอยู่ ไกลออกไปทางใต้ของนาขั้นบันไดคือต้นไม้ที่หวังเย้าปลูกเอาไว้ หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน ต้นไม้ก็ยังคงเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี พวกมันมีใบไม้สีเขียวที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา


 


ซานเซียนวิ่งลงมาจากยอดเขาเพื่อมาหาหวังเย้า มันกระโดดไปรอบๆเขาพร้อมกับหางที่เกว่งไกวไม่หยุด


 


“ซานเซียน ทำไมนายถึงได้น้ำหนักขึ้นอีกแล้วล่ะ?” หวังเย้าลูบหัวซานเซียนพร้อมกับยิ้มออกมา


 


เขาและซานเซียนเดินไปรอบๆตีนเขาก่อนที่จะพากันขึ้นไปบนเขา เนินเขาหนานชานยังคงเงียบสงบเหมือนเช่นเคย อากาศที่สดชื่นทำให้หวังเย้ารู้สึกสบายตัว เขาเดินไปรอบๆเนินเขา


 


“ซานเซียน คนขึ้นมาบนเขาน้อยลงสินะ” เขาเดินไปไกล ดังนั้น เขาจึงมองเห็นรอยเท้าเก่าที่ถูกปกคลุมด้วยต้นหญ้า มันแสดงให้เห็นว่า แทบจะไม่มีใครเข้ามาใกล้เนินเขาหนานชานเลย


 


โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงเห่าเพื่อแสดงว่าเห็นด้วยกับหวังเย้า


 


“หญ้าตรงนี้…” หวังเย้าพึมพำ


 


ดูเหมือนว่าต้นหญ้าจะโตเร็วกว่าต้นไม้มาก ซึ่งมันเป็นผลจากพลังของค่ายกลรวมวิญญาณ จึงทำให้ต้นหญ้าเติบโตอย่างบ้าคลั่ง บางต้นก็สูงถึงเอวของหวังเย้าเข้าไปแล้ว


 


“ฉันคงต้องทำอะไรสักอย่างกับต้นหญ้าพวกนี้” หวังเย้าพูด


 


มีสมุนไพรรากมากกว่าสิบชนิดที่เติบโตอยู่ภายในแปลงสมุนไพร


 


ปี๊บ! ตื๊ด! มือถือของหวังเย้าส่งเสียงดังขึ้น


 


“ถึงบ้านรึยังคะ?” ซูเสี่ยวซวีที่อยู่ปลายสายถาม


 


“อ่อ อืม ตอนนี้ผมอยู่บนเนินเขาหนานชานแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด


 


“เพิ่งจะเดินทางไปถึง คุณเหนื่อยรึเปล่าคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ไม่หรอก” หวังเย้าพูด “แล้วเธอล่ะ? อยู่ที่มหาลัยเหรอ?”


 


“ค่ะ ฉันเพิ่งจะเรียนเสร็จ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


พวกเขาคุยกับพักหนึ่ง ก่อนที่จะวางสาบ


 


“เธอกำลังคุยอยู่กับใครเหรอ?” เพื่อนของซูเสี่ยวซวีถาม “เธอพูดเสียงหวานมากเลยนะ”


 


“คุยกับแฟนของฉันน่ะสิ” ซูเสี่ยวซวีบอกกับเพื่อนของเธอด้วยท่าทีมีความสุข


 


“งั้นที่เธอลาไปอาทิตย์หนึ่งก็เพราะ…” เพื่อนของเธอเริ่มตั้งคำถาม


 


ซูเสี่ยวซวียิ้ม


 


“เขาหน้าตาเป็นยังไงเหรอ? เธอมีรูปให้ฉันดูรึเปล่า?” เพื่อนของเธอถาม


 


“มีสิ!” ซูเสี่ยวซวีเอารูปที่เธอถ่ายกับหวังเย้าให้เพื่อนของเธอดู


 


“ฉันไม่เห็นว่าเขาจะมีอะไรพิเศษตรงไหนเลย” เพื่อนของเธอพูด


 


“เขาเป็นคนเก่งมากเลยนะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“โห! ดูเธอพูดเข้าสิ!” เพื่อนของเธอล้อ


 


ท้องฟ้าเริ่มมืดลง บนเนินเขาหนานชานเงียบสงัด


 


หวังเย้าโพสข้อความลงในเวยป๋อของตัวเอง เพื่อแจ้งให้คนไข้ทราบว่าเขาจะเปิดคลินิกในวันพรุ่งนี้ ไม่นานก็เริ่มมีคนเข้ามาอ่าน


 


คนไข้คนหนึ่งโพส : [ในที่สุดหมอก็กลับมาสักที! ผมรอมาตั้งหลายวันแล้ว!]


 


คนไข้อีกคนพิมพ์ว่า : [หมอไปที่ไหนมาเหรอ?]


 


มีหลายคนเข้ามาพิมพ์ตอบข้อความของหวังเย้า หวังเย้าไล่อ่านทีละข้อความ จากนั้นก็เก็บมือถือของเขาไป


 


นอกจากการตรวจคนไข้แล้ว เขายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องจัดการ เขาต้องคอยระวังเรื่องของกั๋วเจิ้งเหอ ชายหนุ่มจากตระกูลใหญ่ ผู้ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม


 


หวังเย้าเข้านอนตอนกลางดึกของวัน


 


ในหมู่บ้าน พ่อแม่ของเขากำลังคุยเรื่องลูกชายของพวกเขาอยู่


 


พระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาในเช้าของวันใหม่ คนไข้บางคนได้มาถึงที่หน้าคลินิกตั้งแต่ตอนแปดโมงเช้า ไม่นาน หวังเย้าก็เดินลงมาจากเขา เขาเดินไปเปิดประตูและเริ่มงาน


 


มีคนไข้มากกว่าสิบคนในตอนเช้า หวังเย้ายังมีคนไข้อีกส่วนหนึ่งที่มาในช่วงเที่ยง เขาจึงไม่ได้กินข้าวกลางวันและทำงานต่อ ในตอนบ่ายก็มีคนไข้เข้ามาเพิ่มอีก ในหมู่พวกเขามีบางคนที่คิดว่า หากมาตอนเช้าพวกเขาคงจะไม่ได้ตรวจกับหวังเย้า ดังนั้น พวกเขาจึงเลือกที่จะมาช่วงบ่ายแทน จึงกลายเป็นว่า ช่วงบ่ายมีคนไข้เยอะกว่าช่วงเช้า


 


คนไข้ส่วนใหญ่เดินทางมาจากสถานที่ที่ไกลจากหมู่บ้านมาก ดังนั้น หวังเย้าจึงไม่สามารถไล่พวกเขากลับไปโดยที่ไม่ตรวจพวกเขาได้ เขาจึงต้องทำงานล่วงเวลาไปจนถึงสองทุ่ม โดยที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย


 


เขาตรวจคนไข้ไปถึง 32 คนภายในวันเดียว ตั้งแต่เปิดคลินิกมา เขาไม่เคยตรวจคนไข้เยอะขนาดนี้มาก่อนเลย


 


“คนไข้กลับไปกันหมดแล้วเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงนำอาหารมาส่งให้ที่คลินิก


 


“ครับ แม่” หวังเย้าพูด


 


“นี่จ๊ะ แม่เอาของกินมาให้” จางซิวหยิงพูด


 


“ผมกลับไปกินที่บ้านดีกว่าครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาปิดประตูคลินิกและกลับไปที่บ้าน ในตอนที่เขากำลังทานอาหารอยู่นั้น เจิ้งเหว่ยจวินก็มาหาเขาที่บ้าน


 


“ผมคิดว่า บริษัทยาที่คุณพูดถึงตอนนั้นเป็นความคิดที่เข้าท่าดีนะครับ” หวังเย้าพูด “แล้วมีกฎเกณฑ์อะไรไหมครับ?”


 


“คุณตัดสินใจจะเดินหน้าต่อแล้วใช่ไหมครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม


 


“ครับ” หวังเย้าพยักหน้า


 


“ขั้นแรก ต้องเตรียมเอกสารให้เรียบร้อยก่อน ในเมื่อคุณตกลงใจได้แล้ว ปล่อยเรื่องเอกสารให้ผมเป็นคนจัดการเองนะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “เรายังต้องคุยกันถึงเรื่องเค้าโครงของบริษัทด้วย”


 


เขาต้องการจะสื่อถึงเรื่องที่ใครจะมีส่วนร่วมในการบริหารบริษัท และพวกเขาต้องการพนักงานให้การทำงานกี่คน


 


“ได้สิครับ เรามาคุยเรื่องนี้กันพรุ่งนี้เย็นดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ผมจะมาใหม่” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


เมื่อเขากลับไปแล้ว หวังเย้าก็เข้าไปนวดให้กับพ่อแม่ของเขา ก่อนที่จะกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน


 



 


ในปักกิ่ง หมอเฉินได้เดินทางไปเยี่ยมจางอันหนิง


 


“นี่มันสุดยอดไปเลย!” เฉินโจวฉวนอุทานออกมา หลังจากที่เขาตรวจดูแผลของจางอันหนิง


 


เนื้อใหม่เริ่มงอกออกมาแล้ว และส่วนที่เน่าเปื่อยก็เริ่มมีการรักษาตัว บางส่วนเริ่มตกสะเก็ดและหลุดร่วงไปบ้างแล้ว นี่ถือเป็นสัญญาณของบาดแผลที่กำลังฟื้นตัว


 


“มันเพิ่งจะผ่านไปแค่สามวันเองนะ” เฉินโจวฉวนพูด


 


หวังเย้าทิ้งยาเอาไว้ให้จางอันหนิง รวมไปถึงยาผงฟื้นฟูกล้ามเนื้อจำนวนหนึ่งด้วย


 


“มันเป็นยาที่วิเศษจริงๆ” เฉินโจวฉวนมองไปที่ยาทั้งสาม


 


จางอันหนิงที่นอนอยู่บนเตียงอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ใบหน้าและแววตาของเขาดูมีสีสันมากขึ้น พ่อแม่ของเขาต่างก็ตื่นเต้นกับเรื่องนี้เช่นกัน


 


“ลุงเฉินรู้รึเปล่าว่าหมอหวังอยู่ที่ไหน?” แม่ของจางอันหนิงถาม “เราต้องไปเพื่อขอบคุณเขา”


676 หนานชานการแพทย์


 


วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการทำงานของคนส่วนใหญ่ วันต่อมา จึงมีคนเดินทางไปหาหมอมากขึ้น หวังเย้าทำงานตลอดทั้งวันไปจนกระทั่งฟ้ามืด


 


หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ เขาก็ไปที่บ้านของตระกูลซุน เจิ้งเหว่ยจวินและซุนหยุนเชิงต่างก็อยู่กันพร้อมหน้า ทั้งสามพูดคุยกันเรื่องการก่อตั้งบริษัทยาขึ้นมา


 


หวังเย้า, เจิ้งเหว่ยจวิน, และซุนหยุนเชิงจะแบ่งหุ้นเป็น 51%, 27%, และ 21% อีก 2% ที่เหลือจะถูกแบ่งให้กับ เว่ยห่าย, เทียนหยวนถูและอีกคนที่ชื่อ เหอเจียลั้ว มันเป็นเรื่องปกติของบริษัทที่จะมีหุ้นส่วนอยู่หลายคน สินทรัพย์ที่ใช้ขึ้นทะเบียนอยู่ที่ 100 ล้านหยวน หวังเย้าลงไป 15 ล้าน และที่เหลือก็จะเฉลี่ยกันไปตามหุ้นที่แต่ละคนถือ


 


ที่เหลือก็คือการปรึกษากันเรื่องขั้นตอนและสถานที่ตั้งบริษัท หวังเย้าเสนอให้เป็นที่เขตเหลียนชาน ซึ่งใกล้บ้านเขา และยังเป็นการช่วยสนับสนุนบ้านเกิดของเขาไปในตัวด้วย ทั้งเจิ้งเหว่ยจวินและซุนหยุนเชิงต่างก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้


 


เจ้าหน้าที่ของเขตเหลียนชานต่างก็ตื่นเต้น เมื่อได้ยินว่าจะมีเงินทุนจำนวนมหาศาลมาลงทุนที่เขต พวกเขาได้แต่หวังว่า พวกเขาจะสามารถดึงดูดนักลงทุนกลุ่มนี้ให้มาลงทุนจริงๆได้ ไม่เหมือนกับโครงการก่อนหน้านี้ ที่ผู้บริหารบริษัทได้กลับคำและมีแค่คำว่ากำลังดำเนินการมอบให้พวกเขามาโดยตลอด


 


ครั้งนี้ มันเป็นการลงทุนของคนกลุ่มใหญ่ที่มีทั้งกำลังและอิทธิพล หากโครงการเป็นไปได้ด้วยดี มันก็จะเป็นผลดีต่อการพัฒนาของเขตเหลียนชาน ดังนั้น เจ้าหน้าที่จึงกระตือรือร้นกันเป็นพิเศษ ผู้ปกครองเขตได้ลงมาดูแลด้วยตัวเอง และยังสั่งการให้ทุกฝ่ายให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่


 


ตระกูลเจิ้งรับหน้าที่ดำเนินการขั้นตอนต่างๆทั้งหมด ส่วนซุนหยุนเชิงรับหน้าที่แก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโรงงาน เพราะตัวเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหน้าที่ของที่นี่ และมีความคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่ค่อนข้างมาก


 


ปัญหาที่ใช้เวลาจัดการนานที่สุดก็เห็นจะเป็นชื่อบริษัท เจิ้งเหว่ยจวินและซุนหยุนเชิงต่างก็ยกเรื่องนี้ให้หวังเย้าเป็นคนตัดสิน แต่เขาก็ยังไม่สามารถหาชื่อที่เหมาะสมได้สักที


 


“เอาชื่อ หนานชานการแพทย์ ดีไหมครับ?” ซุนหยุนเชิงเสนอ


 


“อืม ผมว่าชื่อนี้ก็ดีนะ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง


 


หนานชานเหรอ?


 


“เชียนเชิงคิดว่ายังไงครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม


 


“ก็ดีนะ” หวังเย้าพูด


 


“สรุปเอาชื่อนี้นะครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม


 


“โอเค” หวังเย้าตอบ


 


ปัญหาจบลงในเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า


 


“ผมว่า เราน่าจะมาฉลองกันนะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูดด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้ เขาสามารถลุกขึ้นเดินได้แล้ว และไม่จำเป็นต้องนั่งรถเข็นอีกต่อไป ดังนั้น เขาจึงมีความสุขอย่างมาก


 


“ดีเลย” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“เราต้องเลือกวันดีสักวันนะ” หวังเย้ายิ้ม


 


เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดี เขาก็ออกมาจากบ้านของซุนหยุนเชิงแบะขึ้นไปบนเนินเขาหนาชาน ในเย็นวันนั้น เขาก็นสูตรยาที่เขามีออกมาเลือกดู


 


ยาถอนพิษ, อันเฉินซาน, เป่ยหยวนทัง, เจินถงซาน, ผงซานหยาง, เม็ดยาจิ่วเฉา, ถงหลัวซาน, เชิงจีซาน, ขี้ผึ้ง…


 


ปัญหาก็คือ ยาส่วนใหญ่มีสมุนไพรรากเป็นส่วนผสม ยาเหล่านี้จึงไม่เหมาะที่จะผลิตในปริมาณมาก ซึ่งก็หมายความว่า สูตรยาเหล่านี้ไม่สามารถนำไปให้โรงงานผลิตได้ สูตรยาที่เขาสามารถนำออกไปผลิตในปริมาณมากได้ก็คือ ซุปเป่ยหยวนและผงซานหยาง


 


เขารู้เรื่องเกี่ยวกับบริษัทยาไม่มาก และได้ปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนๆของเขามาก่อนหน้าแล้ว บริษัทยาที่ตั้งขึ้นมานี้ จะผลิตยาสมุนไพรจีนเป็นหลัก ขอแค่มียาตัวหรือสองตัวที่สามารถติดตลาดได้ บริษัทก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว


 


เจิ้งเหว่ยจวินและซุนหยุนเชิงต่างก็มั่นใจในคุณภาพของยาสมุนไพรที่ผลิตขึ้นมาโดยหวังเย้า พวกเขาคือคนไข้ที่มีประสบการณ์ใช้จริงกับยาของหวังเย้า พวกเขาจึงเชื่อโดยไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ไม่มีใครรู้ถึงส่วนผสมที่แท้จริงของตัวยา


 


ในเรื่องความยากในของการผลิตยาออกมาให้ได้ในปริมาณมากนั้น ในเวลานี้ พวกเขายังไม่ได้นำมาพิจารณาอย่างละเอียด  เพราะสมุนไพรที่ใช้ก็คือสมุนไพรที่หาได้ทั่วไป และขั้นตอนการทำก็ไม่ได้ถือว่ายุ่งยากมาก


 


หวังเย้าที่อยู่บนเนินเขาหนานชานใช้เวลาคิดอยู่นาน เขาเขียนบันทึกลงไปในสมุด ก่อนที่จะปิดไฟและเข้านอน


 


เช้าตรู่ของวันถัดมา เพราะเข้าสู่เดือนมิถุนายนแล้ว อากาศตอนเช้าจึงร้อนเล็กน้อย หวังเย้าลงจากเขาในตอนเช้า


 


มีคนมาถึงคลินิกตั้งแต่เช้า พวกเขายืนพิงกำแพงทางทิศตะวันตก เพราะมีต้นจินเหอสองต้นที่กำลังเบ่งบานอยู่ภายในสวนด้านนั้น มันจึงเผื่อแผ่ร่มเงาออกมาถึงด้านนอกด้วย


 


ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของหวังเย้า ฉันน่าจะเอาเก้าอี้กับม้านั่งมาวางแถวนี้ดู


 


เขาไม่ใช่แค่ต้องรักษาคนไข้เท่านั้น แต่ยังต้องให้ความสะดวกสบายแก่คนไข้ที่มาด้วย


 


หลังจากคลินิกเปิดได้ไม่นาน พันจวินก็มาถึง วันนี้เขาไม่ต้องเข้าเวรที่โรงพยาบาล เขาจึงมาช่วยที่คลินิกและลดภาระของหวังเย้าไปบางส่วน


 


ช่วงเที่ยง คนไข้ก็ตรวจเสร็จหมดทุกคน ทั้งสองจึงหยุดพักและไปหาอะไรทานด้วยกัน


 


“อาจารย์คิดจะเอายาแผนตะวันตกมาใช้ที่นี่ด้วยไหม?” พันจวินถาม


 


จากการสังเกตของเขาแล้ว คนไข้บางคนสามารถรักษาได้ด้วยยาแผนตะวันตก เพราะที่โรงพยาบาลและคลินิกนอกเวลาต่างก็รับมือด้วยวิธีนี้กันทั้งนั้น ซึ่งมันอาจจะเร็วกว่าการกินยาสมุนไพรของจีนด้วยซ้ำ


 


“ไม่คิด” หวังเย้าพูดอย่างชัดเจน


 


เขาได้รับสืบทอดความรู้ของแพทย์ปรุงยาโบราณมา ถึงเขาจะไม่ได้เกลียดแพทย์แผนตะวันตก แต่เขาจะใช้มันได้ยังไงล่ะ?


 


“อ่อ เข้าใจแล้ว” พันจวินพูดออกไปเพราะความหวังดีเท่านั้น ถ้าอาจารย์ของเขาต้องการซื้อยาแผนตะวันตกมาขายที่คลินิก เขาก็สามารถช่วยหาสินค้าที่ราคาถูกให้ได้ แต่ถ้าเขาไม่ต้องการ ถ้าอย่างนั้นก็ลืมมันไปซะ


 


หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ พวกเขาก็กลับไปที่คลินิก ซึ่งไม่นานก็มีคนไข้เดินทางมาถึง


 


ด้วยชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้บันชีเวยป๋อของหวังเย้าได้รับความสนใจมากขึ้นตามไปด้วย หลายคนที่อาศัยอยู่ในเขตเหลียนชานต่างรู้ว่า ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง มีหมอจีนอายุน้อยที่มีฝีมือเปิดคลินิกอยู่ที่นั่น หลายๆคนจึงเดินทางมาเพื่อรักษากับเขา และหลังจากได้กินยา พวกเขาก็หายดี ซึ่งก็ทำให้ชื่อเสียงของเขาขยายวงกว้างออกไป


 


คนมารักษามากขึ้น และมีคนที่แปลกและน่าสนใจมาให้เห็นมากขึ้นด้วย


 


เวลาประมาณบ่ายสี่โมง ผู้ชายและผู้หญิงในวัยประมาณ 30 เดินทางมาที่คลินิก


 


“คุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“คุณคือหมอหวังเหรอ?” ผู้หญิงถาม


 


“ครับ คุณจะมาตรวจกับหมอรึเปล่า?” หวังเย้าถาม


 


“ค่ะ ตรวจค่ะ” เธอตอบ


 


“คุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนครับ?” หวังเย้าสอบถามคนไข้ พร้อมกับเริ่มสังเกตตัวเธอไปด้วย


 


ชายหญิงทั้งสองคนต่างดูปกติดี ร่างกายของพวกเขาไม่ได้มีความผิดปกติอะไรเลย


 


“เราอยากมีลูกค่ะ” เธอพูด


 


หวังเย้าและพันจวินต่างประหลาดใจเมื่อได้ยิน


 


“หมายความว่ายังไงครับ? คุณมาที่นี่เพื่อขอให้ช่วยเรื่องการมีลูกอย่างนั้นเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ถ้าจะให้ดี เราอยากได้ฝาแฝดชายหญิงไปเลยครับ” ผู้ชายพูด


 


หวังเย้าอึ้งไป เขาเปิดคลินิกมานานพอสมควรแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอคนไข้แบบนี้


 


“หมายความว่ายังไงครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ฉันได้ยินมาว่า มันมียาแบบที่ว่า ถ้ากินเข้าไปแล้วจะช่วยให้สามารถมีลูกได้น่ะค่ะ” ผู้หญิงพูด


 


“เอ่อ ผมไม่รู้ว่ามียาแบบนั้นด้วย แต่ที่นี่ไม่มีหรอก ขอโทษด้วยนะครับ” หลังจากที่ได้รู้เป้าหมายของคนทั้งสองแล้ว หวังเย้าก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้


 


“หมอ หมอไม่มีมันจริงๆเหรอ?” ผู้ชายถาม “เราจ่ายได้นะ แล้วเราก็จะไม่บอกใครด้วย”


 


“ที่นี่ไม่มียาแบบนั้นหรอกครับ” หวังเย้าพูด


 


“แล้วหมอรู้ไหม ว่าเราจะไปหายาแบบนั้นได้ที่ไหน?” ผู้ชายถาม


 


“ขอโทษด้วย แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” หวังเย้าส่ายหน้า


 


“ขอบคุณครับ” ผู้ชายพูด “ลาก่อนครับ”


 


หลังจากสองสามีภรรยากลับไปแล้ว พันจวินก็พูดขึ้นมาว่า “อาจารย์ มีคนแบบพวกเขาอยู่เยอะมาก! ตอนฉันอยู่ที่โรงพยาบาล ก็มีคนมาถามฉันเรื่องนี้เหมือนกัน ตอนนี้กฎการมีบุตรถูกเปลี่ยนแล้ว หลายๆคนก็เลยคิดจะมีลูกคนที่สองกัน บางคนก็อยากจะมีฝาแฝดชายหญิงทีเดียวไปเลยก็มี”


 


“มันมียาแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“อืม ก็ประมานั้น” พันจวินพูด “มันเป็นเรื่องทางการแพทย์ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันใช้ยังไง”


 


หวังเย้าพยักหน้า ถึงจะบอกว่า แพทย์ปรุงยาโบราณสามารถรักษาได้ทุกโรค แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่า มันจะสามารถเอามาใช้กับเรื่องแบบนี้ได้ด้วยรึเปล่า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)