Elixir Supplier 669-672
669 ไม่หันหลังกลับ ไม่เสียใจทีหลัง
หวังเย้าพบว่ามีมีต้นสนอยู่หลายพันธุ์ทั้ง พันธุ์ทิงฟ่า, พันธุ์เฟิงชี, พันธุ์ฉงซง, และพันธุ์จิ่วหลง
ในเมื่อเขาก็ปลูกทั้งต้นไม้และสมุนไพรมากมายเอาไว้บนเนินเขาหนานชาน เขาจึงให้ความสนใจต้นไม้เหล่านี้เป็นพิเศษ เขายังพบอีกด้วยว่า ทิวทัศน์ของธรรมชาตินั้นน่าสนใจกว่าสิ่งก่อสร้างโบราณเหล่านั้นมาก
ที่เขาเซียงชานมีทั้งสิ่งอำอวยความสะดวกต่างๆและร้านอาหารอยู่ด้านบนด้วย พื้นที่บริเวณนี้เป็นจุดที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนและเที่ยวชมสิ่งต่างๆ พวกเขาหาที่นั่งพักและหาอะไรทานง่ายๆแถวนั้น หลังจากนั้น พวกเขาก็พากันเดินชมบริเวณอื่นกันต่อ
สวนสาธารณะเซียงชานนั้นมีขนาดใหญ่พอๆกับอุทยานหลวง มันจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันเพื่อเที่ยวให้ทั่วบริเวณ
ในช่วงบ่าย พวกเขาไปที่สวนจื้อซง, และวัดปี้หยุน
สิ่งก่อสร้างหลายอย่างได้รับความเสียหายและถูกทำลายไปบางส่วน ถึงจะมีการซ่อมแซมในบางส่วนแล้ว แต่มันก็ไม่สามารถคืนกลับสู่สภาพเดิมของมันได้
“เราเข้าไปอธิษฐานข้างในกันไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ไปสิ” หวังเย้าพูด
หลายคนเชื่อกันว่า หากพวกเขาได้อธิษฐานขอพรในวัด สิ่งที่พวกเขาปรารถนาก็จะเป็นจริงได้ แต่หวังเย้าไม่ใช่หนึ่งในนั้น
ด้านในวัดมีการตกแต่งเอาไว้อย่างยิ่งใหญ่ ซูเสี่ยวซวีคุกเข่าเพื่อขอพร ส่วนหวังเย้าก็ยืนอยู่ข้างๆเธอ
อยู่ๆพวกเขาก็ได้ยินเสียงคนเรียก “เสี่ยวซวี?”
พวกเขาหันไปตามเสียงและเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใบหน้ามีรอยยิ้มแสนเจิดจ้าติดอยู่ เขาก็คือ กั๋วเจิ้งเหอ
“สวัสดี พี่เจิ้งเหอ บังเอิญจังเลยนนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“สวัสดี เสี่ยวซวี สวัสดีครับ หมอหวัง” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“สวัสดี” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ยอมฟังคำแนะนำจากผมนะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูดพร้อมกับจ้องไปที่หน้าของหวังเย้า
“ผมไม่คิดจะสนใจ แล้วผมก็ไม่ล้มเลิกความคิดนั้นด้วย” หวังเย้าพูด
ไม่กี่นาทีก่อน หวังเย้าอาจจะคิดว่า การที่เขามาเจอกั๋วเจิ้งเหอที่นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่ตอนนี้ ความคิดนั้นได้หายไปแล้ว เขารู้สึกไม่ชอบในตัวกั๋วเจิ้งเหอเลยสักนิด
ทำไมเขาจะต้องอยู่ห่างจากของหรือคนที่กั๋วเจิ้งเหอสนใจด้วยล่ะ? กั๋วเจิ้งเหอไม่ใช่เทพเจ้าหรือจักรพรรดิของโลกนี้สักหน่อย เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องยอมตามใจชายคนนี้เลยสักนิด
“ดี ผมหวังว่าหลังจากนี้คุณจะไม่ต้องมาเสียใจภายหลังนะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
ซูเสี่ยวซวีดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจากคำพูดของพวกเขา
“พี่เจิ้งเหอหมายความว่ายังไงคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยรอยยิ้ม
“ไปกันเถอะ” หวังเย้าจับมือของซูเสี่ยวซวีและเดินออกไป
ซูเสี่ยวซวีสั่นเล็กน้อย เมื่อหวังเย้าจับมือของเธอ มันราวกับมีไฟฟ้าสถิตเกิดขึ้น เธอเดินตามหวังเย้าออกไปจากวัดอย่างไม่รู้สึกตัว ทิ้งกั๋วเจิ้งเหอเอาไว้ด้านหลังเพียงลำพัง กั๋วเจิ้งเหอไม่พอใจอย่างที่สุด สีหน้าของเขาดูราวกับสภาพอากาศในเดือนมิถุนายน ที่อยู่ๆก็เปลี่ยนจากแดดจ้าไปเป็นมืดครึ้ม
“ดื้นด้านจริงๆ!” กั๋วเจิ้งเหอกัดฟันพูดด้วยท่าทีไม่น่ามอง
การที่หวังเย้าจับมือซูเสี่ยวซวี มันก็ไม่ต่างจากการตบหน้าเขาเลยสักนิด เขาเชื่อว่า หวังเย้ากำลังท้าทายเขาอยู่ ไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้ต่อหน้าเขามาก่อน
ซูเสี่ยวซวีเป็นเหมือนชิ้นเนื้อที่อยู่ในจานของเขา เธอคือผู้หญิงที่เขาสั่งจองเอาไว้นานแล้ว ไม่มีใครที่จะแตะต้องตัวเธอได้นอกจากเขา
กั๋วเจิ้งเหอตัดสินใจลบความรู้สึกขอบคุณที่หวังเย้าเคยช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ออกไปจนหมด ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หวังเย้าคือศัตรูของเขา
“หมอหวัง?” ซูเสี่ยวซวีที่ใบหน้าแดงก่ำเรียกหวังเย้าเสียงเบา เสียงของเธอเบาราวกับเสียงยุง นี่เป็นครั้งแรกที่มีชายหนุ่มจับมือของเธอ
“โอ้ ขอโทษนะ” หวังเย้าปล่อยมือของซูเสี่ยวซวี
ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันที่ใต้ต้นสนที่ดูเหมือนจะมีอายุหลายร้อยปีต้นหนึ่ง
“เขาบอกให้คุณยอมแพ้เรื่องอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม เธอจดจำคำพูดที่หวังเย้าและกั๋วเจิ้งเหอคุยกันได้ทุกคำ
“ก็เรื่องของเธอน่ะสิ” หวังเย้าพูด
“อะไรนะคะ?” ซูเสี่ยวซวีตกใจ สีหน้าของเธอกลายเป็นเคร่งเครียดในทันที “แปลกคนจริงๆ!”
“ใช่” หวังเย้าพูด
“บอกฉันได้ไหมคะ ว่าเขาพูดอะไรกับคุณบ้าง?” ซูเสี่ยวซวีถาม
หวังเย้าตกลงและเล่าเรื่องที่กั๋วเจิ้งเหอไปหาเขาที่หมู่บ้านให้ซูเสี่ยวซวีฟัง เขาบอกกับซูเสี่ยวซวีว่า กั๋วเจิ้งเหอต้องการให้เขาปล่อยมือจากเธอ
“เราตัดสินคนจากภายนอกไม่ได้จริงๆ เขาเป็นคนที่น่ารังเกียจมาก” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยความโมโห
“อย่าโกรธไปเลย เลิกสนใจเรื่องเขากันเถอะนะ” หวังเย้าพูด “เราไปที่อื่นกันดีไหม?”
“คุณต้องระวังตัวไว้นะคะ ฉันรู้ว่า เขาจะต้องหาทางทำร้ายคุณแน่” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ผมรู้ ผมจะระวังตัว” หวังเย้าพูด
หลังจากหวังเย้าและซูเสี่ยวซวีจากไปแล้ว กั๋วเจิ้งเหอก็ออกไปจากเขาเซียงชานทันที เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอยู่ที่นี่ต่ออีก เขาไม่ได้กลับไปที่บ้าน แต่ไปที่บ้านอีกหลังหนึ่งในปักกิ่ง เขานั่งสูบบุหรี่อยู่ภายในห้องนั่งเล่นเพียงลำพัง และเหม่อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ใครจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่?
อีกหนึ่งวันได้ผ่านพ้นไป เวลาดีดีมักจะผ่านไปเร็วเสมอ
“น้าเหลียนคะ วันนี้ ตอนที่เราไปวัดปี้หยุนเราเจอกั๋วเจิ้งเหอด้วยค่ะ” หลังจากส่งหวังเย้าลงที่โรงแรมแล้ว ซูเสี่ยวซวีก็พูดขึ้นมา
“โอ้ บังเอิญจังเลยนะคะ” ชูเหลียนพูด
“หนูไม่คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรอกค่ะ หนูว่าเขาตั้งใจมามากกว่า” ซูเสี่ยวซวีพูด เธอเป็นคนฉลาด
“คุณหนูคิดว่า เขาตามคุณหนูไปงั้นเหรอคะ?” ชูเหลียนถาม
“ใช่ค่ะ เขายังพยายามจะข่มขู่หมอหวังด้วยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“คุณหนูหมายความว่ายังไงเหรอคะ?” ชูเหลียนถาม ตั้งแต่ที่ได้ยินเรื่องที่กั๋วเจิ้งเหอทำภายในหน่วยงานท้องถิ่นและที่ปักกิ่งแล้ว ชูเหลียนก็ไม่มีความรู้สึกประทับใจอะไรในตัวกั๋วเจิ้งเหอเลยแม้แต่น้อย
“เขาไปที่หมู่บ้านเพื่อบอกให้หมอหวังเลิกคบกับหนูค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“จริงเหรอคะ?” ชูเหลียนไม่แปลกใจเลยสักนิด
“วันนี้ เขาก็ขู่หมอหวังอีก เขาพูดกับหมอหวังว่า สักวันหมอหวังจะต้องเสียใจที่ไม่ฟังคำพูดของเขา เขาเป็นพวกเผด็จการชัดๆ!” ซูเสี่ยวซวีเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดและเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ
ชูเหลียนรู้สึกแปลกใจที่ได้เห็นท่าทีไม่พอใจของซูเสี่ยวซวี ทั้งๆที่เธอมักจะเป็นเด็กสาวที่เรียบร้อยอยู่เสมอ
“แล้วคุณหนูคิดจะทำยังไงกับเรื่องนี้คะ?” ชูเหลียนถาม
“หนูต้องทำให้แน่ใจว่า เรื่องนี้จะไม่ไปรบกวนชีวิตของหมอหวังค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“แบบนั้นคงจะยุ่งยากสักหน่อยนะคะ” ชูเหลียนพูด
เธอรู้ว่า พ่อของกั๋วเจิ้งเหอมีตำแหน่งสูงอยู่ในหน่วยงานรัฐของจังหวัดฉี เขาอาจจะกลายเป็นผู้ว่าจังหวัดฉีได้ในอนาคต การที่เขาคิดจะสร้างปัญหาให้กับใครสักคนนั้นง่ายดายอย่างมาก
“หนูจะลองคุยเรื่องนี้กับคุณแม่ดูค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
คืนนั้น ซูเสี่ยวซวีคุยกับแม่ของเขาเป็นเวลานาน
“แม่เข้าใจว่าลูกต้องการอะไร แม่จะพยายามปกป้องหมอหวังกับครอบครัวของเขาอย่างสุดความสามารถนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ขอบคุณนะคะ คุณแม่” ซูเสี่ยวซวีพูด
“อย่าพูดแบบนั้นสิจ๊ะ! ยังไงหนูก็เป็นลูกของแม่นะ” ซงรุ่บปิงพูด
ในขณะเดียวกัน ซูเสี่ยวซวีก็รู้สึกได้ว่า ตัวเองนั้นไร้อำนาจขนาดไหน เธอต้องพึ่งพาแม่ของเธอเพื่อปกป้องคนที่เธอรัก แต่ถึงยังไง เธอก็เป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น เธอไม่มีอะไรเลยนอกจากใบหน้าที่งดงาม, จิตใจที่อบอุ่น, และครอบครัวที่มีอำนาจ
ขณะเดียวกัน หวังเย้าก็กำลังคิดถึงเรื่องที่เขาได้เจอกับกั๋วเจิ้งเหอ เขาจำได้ทุกคำพูดที่กั๋วเจิ้งเหอพูดกับเขา และตอนนั้น เขาก็ไม่พอใจมากด้วย
กั๋วเจิ้งเหอคิดว่า ตัวเองอยู่เหนือกว่าหวังเย้าและถึงขนาดกล้าที่จะข่มขู่เขา หวังเย้ารู้ดีว่า พ่อของกั๋วเจิ้งเหอมีตำแหน่งสูงอยู่ในจังหวัดฉี ประชาชนไม่อาจสู้เจ้าหน้าที่รัฐ และคนจนก็ไม่อาจสู้คนรวยได้
ถ้าเขาต้องการจะสู้กับกั๋วเจิ้งเหอ หวังเย้าจะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบมากกว่า เพราะแม้แต่ซุนเจิ้งหรงก็ไม่สามารถทำอะไรกั๋วเจิ้งเหอและครอบครัวของเขาได้ มีเพียงตระกูลของซูเสี่ยวซวีเท่านั้น ที่มีอำนาจเท่าเทียมกับตระกูลของกั๋วเจิ้งเหอ แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าเรื่องนี้จะไม่กระทบต่อคนในครอบครัวของเขาด้วย
“ดูเหมือนว่า ฉันจะทำตัวเป็นคนไม่เข้าสังคมไม่ได้แล้วสินะ ฉันต้องมีอำนาจมากพอที่จะปกป้องคนที่ฉันรักได้” หวังเย้าพึมพำ ถึงแม้ตัวเขาจะเกลียดการใช้เล่ห์กลและการต่อสู้ก็ตามที
เขาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่เข้าไปมีปัญหากับใครทั้งนั้น แต่เขาไม่สามารถหลีกหนีคำท้าทายจากกั๋วเจิ้งเหอได้ ในบางครั้ง ยิ่งเขาหนีเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนปัญหาจะเข้ามาหาเขาเร็วขึ้นเท่านั้น
เขากำลังคิดหาวิธีที่จะต่อกรกับกั๋วเจิ้งเหอ
มาลองสู้กันสักตั้งแล้วกัน!
แต่คู่ต่อสู้ในครั้งนี้ของเขาต่างจากครั้งก่อนๆ ฝ่ายนั้นมีข้อได้เปรียบกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด
เช้าวันต่อมา หวังเย้าโทรไปหาซูเสี่ยวซวี และไปที่กระท่อมที่ตระกูลซูเคยจัดไว้ให้โดยที่ไม่ได้หูเหลียนมารับเขา เขาต้องการไปเจอกับเฉินหยิงและเฉินโจว
“สวัสดีค่ะ หมอหวัง ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะคะ?” เฉินหยิงถาม
“ผมมาที่ปักกิ่งตั้งแต่สองวันที่แล้วน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“ทำไมไม่บอกฉันล่ะคะ?” เฉินหยิงถาม “ฉันจะได้ทำความสะอาดห้องให้”
“ไม่จำเป็นต้องทำหรอกครับ คราวนี้ ผมมาด้วยเรื่องส่วนตัวน่ะครับ” หวังเย้าพูด “ผมไม่อยากมารบกวนพี่และเสี่ยวโจว ที่ผมมาก็เพราะจะแวะมาเยี่ยมเท่านั้นเอง แล้วเสี่ยวโจวเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม?”
“ผมสบายดีครับ อาการของผมไม่ได้กำเริบนานมากแล้ว ตอนนี้ ผมคิดว่า ผมน่าจะไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ” เฉินโจวพูด
หวังเย้าไม่ได้เจอเขานานแล้ว ดูเหมือนว่า เฉินโจวจะดูแข็งแรงขึ้นมาก
หลังจากอยู่คุยกับเฉินหยิงและเฉินโจวได้สักพัก ชูเหลียนก็มาหาพร้อมกับซูเสี่ยวซวี
“ผมคงต้องไปแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วเจอกันใหม่นะคะ หมอหวัง” เฉินหยิงพูด
เธอและน้องชายเดินออกมาส่งหวังเย้าที่หน้าประตู และมองส่งรถของพวกเขาที่ขับออกไป
“พี่ พี่ว่าคราวนี้ หมอหวังมาทำอะไรที่ปักกิ่ง?” เฉินโจวถาม
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันจ๊ะ” เฉินหยิงพูด
สองชั่วโมงต่อมา หวูถงชิ่งก็มาถึงที่กระท่อม
“สวัสดีค่ะ คุณหวู” เฉินหยิงพูด
“สวัสดี ฉันบอกตั้งกี่ครั้งแล้ว ว่าให้เรียกฉันว่า ลุงหวูน่ะ? หมอหวังมาที่ปักกิ่งเหรอ?” หวูถงชิ่งถาม
“ใช่ค่ะ เขาเพิ่งออกไปกับคุณหนูซูเมื่อกี้นี้เอง” เฉินหยิงพูด
“ออกไปกับเสี่ยวซวีเหรอ?” หวูถงชิ่งถาม “ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เฉินหยิงพูด
หลังจากที่หวูถงชิ่งไปแล้ว ก็มีรถอีกคันขับเข้ามาที่กระท่อม ชายชราคนหนึ่งลงมาจากรถ เขาก็คือ หมอเฉิน
“สวัสดีค่ะ หมอเฉิน” เฉินหยิงพูด
“หมอหวังอยู่ที่นี่รึเปล่า?” หมอเฉินถาม
“เขาเพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้เองค่ะ” เฉินหยิงพูด
“เขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ?” หมอเฉินถาม
“ประมาณชั่วโมงหนึ่งได้แล้วค่ะ” เฉินหยิงพูด
“แล้วเขาไปที่ไหน?” หมอเฉินถาม
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ” เฉินหยิงพูด
“ทำไมเธอไม่บอกฉันล่ะ ว่าเขามาที่นี่น่ะ?” หมอเฉินบ่น
670 เขาเทียนโช่ว ฮวงจุ้ย
ในตอนเช้า มีคนมาหาหวังเย้าถึงสามกลุ่ม ในขณะเดียวกันนั้น หวังเย้ากลับกำลังสนุกไปกับการท่องเที่ยวที่สุสานราชวงศ์หมิงกับซูเสี่ยวซวี
ถึงจักรพรรดิในสมัยโบราณจะมีความสุขอยู่กับความยิ่งใหญ่และร่ำรวย แต่พวกเขาก็ยังไม่ลืมที่จะสร้างสุสานที่ยิ่งใหญ่ด้วยหวังว่า พวกเขาจะสามารถมีความสุขกับเกียตริยศในโลกหลังความตายด้วย
“พวกเขาจะใช้ทรัพยากรมนุษย์กับเงินไปสักเท่าไหร่กันนะ?” หวังเย้าถาม
“ในอดีต จักรพรรดิถูกมองว่า เป็นเหมือนตัวแทนของสวรรค์ผู้มีสิทธิในการปกครองประเทศ” ซูเสี่ยวซวีพูด “พวกเขาเลยสามารถตัดสินใจเรื่องทุกอย่างได้ตามใจชอบยังละคะ”
ทำเลที่จักรพรรดิองค์นี้เลือกมานั้นดีมาก มันเป็นจุดที่คนเรียกกันว่า ถ้ำมังกร
“เฮ้อ มันเป็นที่ที่ดีจริงๆ” หวังเย้าเดินดูสุสานไปอย่างช้าๆ
“คุณรู้เรื่องฮวงจุ้ยบ้างไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“นิดหน่อยน่ะ” หวังเย้าตอบ
เขาพอจะมีความรู้ในเรื่องนี้ เพราะเขาได้ศึกษาวิธีการสร้างค่ายกลห้าแถว เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น เพราะตัวค่ายกลเองก็มีความคล้ายกับหลักฮวงจุ้ยอยู่
“ถ้าอย่างนั้น คุณสอนฉันหน่อยได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เอ่อ?” หวังเย้าลังเลเล็กน้อย “ได้สิ ไม่มีปัญหา มันเป็นที่รู้จักในดีว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของฮวงจุ้ย มันยังเป็นสุดยอดผลงานที่รวมทฤษฎีสามธาตุธรรมชาติเอาไว้ ซึ่งผู้คิดค้นก็คือหยางเชียนเชิง”
ในตอนที่เขาศึกษาค่ายกลห้าแถวนั้น หวังเย้ายังอ่านตำราที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของฮวงจุ้ยด้วย
หลังจากที่มีการปรึกษากันแล้ว จักรพรรดิผู้สร้างก็จะเป็นผู้เลือกและใช้งานอาจารย์ดูฮวงจุ้ยของราชสำนักเพียงคนเดียวเท่านั้น พวกเขาล้วนแล้วแต่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จักรพรรดิทั้งหลายต่างก็หวังว่า พวกเขาจะสามารถครอบครองทุกอย่างให้เป็นของตนเองและผู้สืบทอดคนต่อๆไป
“ภูเขามีชื่อว่า เทียนโช่ว” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม “ฟังเหมือนรหัสอะไรสักอย่างเลยนะ?”
“อืม มันก็ฟังดูเป็นมงคลดีนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ถ้าเขียนด้วยตัวอักษรแบบนี้ มันต้องเป็นชื่อที่มีความหมายเป็นมงคลอยู่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด “ภูเขาลูกนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหยาน ที่เป็นส่วนแยกมาจากเทือกเขาไท่หางอีกที และเทือกเขาก็เชื่อมกับเทือกเขาคุณหลุน ซึ่งเป็นเทือกเขาที่มีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีของฮวงจุ้ย ที่ข้ามผ่านเทือกเขาฉีหลานกับเทือกเขาเอ๋อจิน ในอีกความหมายหนึ่ง เทือกเขาเทียนโช่วก็เปรียบเสมือนกับเส้นเลือดของมังกร และมีต้นกำเนิดมากเทือกเขาคุณหลุน”
“คุณรู้เยอะจังเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“อ่อ ผมอ่านมาจากในตำราน่ะ ทั้งหมดนี้เป็นต้นแบบของการดูฮวงจุ้ยสำหรับสร้างสุสานอยู่แล้ว ผมก็แค่รู้บางส่วนเท่านั้นเอง” หวังเย้าพูด ก่อนจะเล่าต่อว่า “จากเทือกเขาคุณหลุนไปถึงเขาเทียนโช่วจะมีอยู่ด้วยกันเจ็ดส่วน ตามทฤษฎีของการดูภูมิศาสตร์แล้ว ภูเขาก็เป็นเหมือนกับมังกรตัวหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยพละกำลังหลังจากที่พวกมันลอกคราบแล้ว ภูเขาที่เริ่มตั้งแต่เทือกเขาคุณหลุนมาอีกหลายพันไมล์นั้น ก็เป็นเหมือนกับการลอกคราบของมังกรเจ็ดครั้ง พลังฉีจึงไม่มีที่ไหนเทียบเคียงได้”
ซูเสี่ยวซวีฟังหวังเย้าเล่าอย่างตั้งใจ เธอพอจะรู้เรื่องฮวงจุ้ยอยู่บ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรก ที่เธอได้ฟังคำอธิบายเจาะจงเกี่ยวกับเรื่องของฮวงจุ้ยการสร้างสุสาน
“เขาเทียนโช่วเป็นส่วนหลัก ที่มีหน้าที่เป็นเหมือนกับดาวเหนือ ซึ่งเป็นดาวที่มีความสำคัญและเป็นตัวแทนของความรุ่งโรจน์” หวังเย้ามองซูเสี่ยวซวีและเริ่มท่องบทประพันธ์บทหนึ่ง “มังกรท่องทะยานไปทั่วล้า เทือกเขาที่อยู่ใต้ดวงดาวเปรียบดั่งเรือนร่างของมังกร เทือกเขาตั้งตามชื่อดวงดาวที่ส่องประกายเจิดจ้าไปทั่วแดนดิน”
“เราขึ้นไปดูบนยอดเขากันเถอะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
หวังเย้าตกลง ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดินขึ้นเขา ไม่นาน พวกเขาก็อยู่บนจุดสูงสุดที่ถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขา
“ดูภูเขาทั้งหมดนี่สิ” หวังเย้ารู้หลักฮวงจุ้ยที่ใช้สร้างสุสานแห่งนี้ขึ้นมา แต่มันก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขาได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง “ฮวงจุ้ยของราชวงศ์มีพื้นฐานโดยการซ่อนลมและรวมพลังฉี ภูเขาที่อยู่กันเป็นกลุ่มก้อนก็เปรียบเสมือนกับเหล่าบริวารนับหมื่นนับพัน มันคือฮวงจุ้ยขนาดใหญ่ เธอรับรู้ถึงพลังฉีที่ต่างออกไปจากที่นี่ไหม?”
“พลังฉีเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีหลับตาของเธอและเปิดสัมผัส “มันสบาย สบายยิ่งกว่าที่ทะเลสาบเป่ยห่ายอีกค่ะ”
“ใช่ มันเป็นจุดฮวงจุ้ยที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลยล่ะ” หวังเย้าพูด
โดยปกติแล้ว สุสานก็เป็นเหมือนกับสถานที่ที่ควรจะเต็มไปด้วยพลังชั่วร้ายอย่างหนาแน่ ที่กลับไม่ใช่ที่นี่
“เมื่อมีสถานที่ที่เป็นฮวงจุ้ยยอดเยี่ยมขนาดนี้ มันเป็นเหมือนกับของขวัญจากธรรมชาติเลยล่ะ” หวังเย้าอธิบายต่อ “คนที่จะออกแบบสุสานของจักรพรรดิในสมัยราชวงศ์หมิงขึ้นมาได้ จะต้องเป็นคนระดับปรมาจารย์อย่างแน่นอน เพราะจำเป็นต้องมีสองธาตุที่เสริมและเติมเต็มซึ่งกันและกัน ถึงจะทำให้สุสานยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้”
“แต่ฮวงจุ้ยก็ไม่สามารถต่อต้านกาลเวลาที่ไหลผ่านและประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ไม่ว่ามันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ใช่ ผู้มีพรสวรรค์จะยืนอยู่เหนือคนในรุ่นเพื่อชี้นำประวัติศาสตร์เป็นเวลาหลายสิบปี” หวังเย้าพูดในตอนที่เขาสูดลมหายใจเข้าลึก “ไม่ค่อยมีคนมาที่นี่เท่าไหร่เลยนะ”
“ใช่ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะที่นี่อยู่ไกล แล้วสุสานก็ยังถือเป็นที่ของคนตายด้วย บางคนก็เลยรู้สึกว่าการมาที่นี่เป็นเรื่องไม่ใงคลและกลัวว่าจะวิญญาญร้ายจะทำให้เกิดเรื่องไม่ดี มันก็เลยไม่ค่อยมีใครมาที่นี่น่ะค่ะ”
“พวกเขาก็น่าจะลองมาดูกันสักหน่อยนะ” หวังเย้าพูด
สายลมพัดผ่านเข้ามาให้ความรู้สึกเย็น ซูเสี่ยวซวีตัวสั่นเล็กน้อย
“เธอหนาวเหรอ?” หวังเย้าถาม
“นิดหน่อยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ลองเคลื่อนกำลังภายในดูสิ” หวังเย้าพูด
ซูเสี่ยวซวีกระตุ้นกำลังภายในของเธอ เพราะพัฒนาการของเธอไม่สามารถเทียบกับหวังเย้าได้ พลังฉีจึงอยู่แค่ภายในร่างกายของเธอเท่านั้น แต่พลังฉีของหวังเย้านั้นเคลื่อนอยู่รอบตัวเขาและเชื่อมต่ออยู่กับฟ้าดิน
หยุด!
หวังเย้าชูมือขวาขึ้นไปกลางอากาศ สายลมก็หยุดลงไปพร้อมกับเสียงของเขา
“หา?!” ซูเสี่ยวซวีที่ยืนอยู่ข้างๆเขาตกใจ เธอมองไปที่หวังเย้าด้วยความทึ่ง “มันสุดยอดไปเลย! นี่มันบังเอิญใช่ไหม?”
“ใช่ เรื่องบังเอิญน่ะ” หวังเย้ายิ้ม
“จริงเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
มา!
หวังเย้าโบกมือ ลมก็เริ่มพัดมาอีกครั้ง
“คุณสุดยอดไปเลย!” ซูเสี่ยวซวีไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอได้เห็นกับตาตัวเอง “คุณทำได้ยังไงเหรอคะ?”
“ด้วยพลังฉีน่ะสิ” หวังเย้าพูด “มนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของฟ้าดิน”
“ฉันจะทำได้บ้างไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“อืมม ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” หวังเย้าพูด
หวังเย้าสามารถมาถึงจุดนี้ได้หลักๆแล้วเป็นเพราะความช่วยเหลือที่ไม่สามารถอธิบายได้ รวมไปถึงการศึกษาตำราจื้อหรานจิง บนเนินเขาหนานชานก็ยังมีค่ายกลรวมวิญญาณที่รวมหมู่เมฆเอาไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งมันทำให้เขาสามารถทะลวงมาได้ด้วยโอกาสที่เป็นใจเหล่านี้ และนั่นก็คือสาเหตุว่าทำไมเขาถึงพัฒนามาถึงระดับนี้ได้ สำหรับคนอื่นแล้ว มันเป็นเรื่องยากมากที่จะไต่ระดับขึ้นไป และอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“เธอก็ลองดูได้นะ แต่มันก็ยากมากเหมือนกัน” หวังเย้าพูด
“เข้าใจแล้วค่ะ”
…
กั๋วเจิ้งเหอขังตัวเองอยู่ภายในห้องตลอดทั้งวัน ที่เขี่ยบุหรี่เต็มไปด้วยก้นบุหรี่ ซึ่งมันน่าแปลกใจมาก เพราะโดยปกติเขาแทบจะไม่สูบเลยด้วยซ้ำ
ด้านนอกเริ่มมืดลงแล้ว เขาลุกขึ้น จนเกิดเสียงดังขลุกขลัก
“อย่าโทษผมก็แล้วกันนะ หมอ” เขาพูดกับอากาศ
…
หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีกลับเข้าตัวเมืองในตอนใกล้ค่ำ
“อยากจะทานอะไรเป็นมื้อเย็นดีคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“แล้วแต่เธอเลย” หวังเย้าพูด
“งั้นเรากินเชฟเทเบิ้ลกันดีไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
หวังเย้าตกลง
ในปักกิ่ง ร้านอาหารบางร้านก็สามารถมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ด้วยการทำเป็นแบบเชฟเทเบิ้ล ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านสมัยเก่าและไม่มีป้ายชื่อร้านหรือป้ายโฆษณาอยู่เลย ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเป็นลูกค้าประจำ จุดเด่นของการกินแบบนี้คือ การได้รู้ถึงความลึกซึ้งและความสวยงามของอาหารแต่ละจาน
ในตอนที่พวกเขากำลังทานอาหารอยู่นั้น ก็มีชายวัยเกือบสามสิบเดินเข้ามาหา เขาแต่งตัวอย่างเป็นทางการและดูเหมือนกับคนคงแก่เรียน “เสี่ยวซวี?”
“พี่ชื่อจิง?” ซูเสี่ยวซวีทักตอบ
“บังเอิญจังเลยนะ” โจวชื่อฉิงพูด
“ค่ะ บังเอิญมาก” ซูเสี่ยวซวีพูด
“แล้วนี่คือ?” โจวชื่อฉิงถาม
“ขอแนะนำให้รู้จักนะคะ นี่คือ หวังเย้า เป็นคนนี้คือเพื่อนคนหนึ่งของฉันเองค่ะ ชื่อว่า โจวชื่อฉิง” ซูเสี่ยวซวีแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน
“สวัสดีครับ?” หวังเย้าพูด
“สวัสดีครับ ผมได้ยินชื่อของคุณมานานแล้ว” โจวชื่อฉิงพูด
เขารับรู้ถึงชื่อเสียงของหวังเย้ามาแล้ว รวมไปถึงเรื่องที่เขารักษาซูเสี่ยวซวีและนายท่านหวู รวมทั้งยังรักษาโรคให้กับนายท่านกั๋วที่ได้จากไปแล้ว แต่เขาก็อาจจะจากไปเร็วกว่านี้หากไม่ได้รับการดูแลจากหวังเย้า
ผู้คนมากมายในปักกิ่งอยากรู้จักกับหวังเย้า ผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษ เพราะการที่ได้รู้จักกับหมอผู้มีความสามารถสูง ก็มีแต่ได้ไม่มีเสีย
“หมอหวัง หวังว่าถ้ามีเวลาเราจะได้คุยกันเป็นการส่วนตัวบ้างนะครับ” โจวชื่อฉิงพูด
“ได้สิครับ” หวังเย้าตอบ
ในตอนที่คุยกันอยู่นั้น เพื่อนของโจวชื่อฉิงก็เดินเข้ามา เขาจึงขอตัวเพื่อไปทักทายเพื่อนของเขา
“พวกเขาเป็นพวกตระกูลใหญ่เหรอ?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ น่าจะทุกคนเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด
คนในระดับพวกเขามักจะเลือกสถานที่แบบนี้ในการเลี้ยงเพื่อนฝูง เพราะมันดูหรูหรามีราคามากกว่า ถ้าไม่อย่างนั้น พวกเขาก็จะเลือกไปตามสมาคมมากกว่าที่จะเลือกไปตามโรงแรมหรู
671 ได้ครับ เจ้าหญิงของผม
ร้านอาหารมีความโดดเด่นในเรื่องของอาหารเจียงซู เชฟจัดแต่งจานอาหารให้ออกมาน่าทานและรสชาติอร่อย หลังจากที่พวกเขาทานเสร็จและเตรียมที่จะจ่ายเงิน พวกเขาก็พบว่า มีคนจ่ายให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว
“โจวชื่อฉิง?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ น่าจะเป็นเขา” ซูเสี่ยวซวีพูด
“เราไปทักทายสักหน่อยดีไหม?” หวังเย้าเสนอ
“ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะจ่ายเงินค่าอาหารให้คนที่เป็นเพื่อนกัน แต่หวังเย้าไม่ต้องการติดหนี้ใคร แล้วโจวชื่อฉิงก็ไม่ใช่เพื่อนของเขาด้วย
เขาและซูเสี่ยวซวีเดินไปทักทายและขอบคุณโจวชื่อฉง สำหรับเรื่องที่เขาจ่ายเงินค่าอาหารให้ ก่อนที่พวกเขาจะขอตัวกลับ
“นี่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอ?” เพื่อนของโจวซื่อฉิงถาม “สวยอย่างกับนางฟ้าเลย”
“ใช่ๆ” เพื่อนอีกคนพูด “นายปล่อยให้เธอกลับไปเฉยๆแบบนั้นได้ยังไงกัน? นายน่าจะแนะนำเธอให้พวกเรารู้จักก่อนสิ”
“เธอเหรอ? อย่าแม้แต่จะคิดเลยนะ” โจวชื่อฉิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“เธอเป็นใครเหรอ?” เพื่อนคนหนึ่งถาม
“เธอเป็นลูกสาวของซูฉางเหอ” โจวชื่อฉิงพูด
“โอ้ ฉันเข้าใจแล้วล่ะ” เพื่อนของเขาพูด “ฉันได้ยินมานานแล้ว ว่าคุณหนูซูเป็นคนสวยมาก แต่ไม่คิดเลยว่าจะสวยได้ขนาดนี้ ไม่ใช่จะหาคนสวยแบบนี้ได้ง่ายๆ!”
“เธอก็เหมือนกับของพีโอเนียดอกหนึ่ง ฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยเท่าเธอมาก่อน” เพื่อนอีกคนพูด “เธอมีแฟนรึยัง?”
“มีแล้ว” โจวชื่อฉิงพูด เขารู้ว่า กั๋วเจิ้งเหอกำลังตามติดซูเสี่ยวซวี และต้องการจะแต่งงานกับเธอ แต่ดูเหมือนว่า ซูเสี่ยวซวีกับหวังเย้าดูจะใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก เพราะถึงขนาดมากินข้าวด้วยกันแบบนี้ โจวชื่อฉิงก็คิดไม่ออกเหมือนกัน ว่าเรื่องเป็นมายังไง
“น่าเสียดาย” ชายหนุ่มจากตระกูลร่ำรวยคนหนึ่งพูด
“นายมีแฟนอยู่แล้วตั้งหลายคน แล้วสาวๆสวยๆในบริษัทภาพยนตร์ที่แย่งกันปีนเตียงของนายอีกล่ะ” โจวชื่อฉิงพูด “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนเมื่อคืนล่ะ?”
“นั่นก็แค่คู่นอนแค่คืนเดียว ฉันไม่จะคิดจริงจังกับผู้หญิงพวกนั้นหรอก” ชายหนุ่มพูด
“มาดื่มกันดีกว่า” โจวชื่อฉิงพูด
“เอาสิ ดื่ม” ชายหนุ่มพูด
ซูเสี่ยวซวีกลับบ้านไปด้วยที่ดีมาก
“วันนี้ ไปเที่ยวที่ไหนมาเหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ไปที่สุสานราชวงศ์หมิงมาค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“สุสานอยู่ไกลจากที่นี่มากนี่จ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ใช่ค่ะ แล้วหนูก็ได้เรียนรู้จากหมอหวังมาเยอะเลยด้วย” ซูเสี่ยวซวีพูด
“โอ้? แล้วลูกได้เรียนอะไรมาเหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“เรื่องฮวงจุ้ยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“เขารู้เรื่องฮวงจุ้ยด้วยเหรอ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ค่ะ เขารู้เรื่องพวกนี้เยอะเลยด้วยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
ซงรุ่ยปิงไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอเพียงแค่ยิ้มและคิดว่า หวังเย้าอาจจะแค่พยายามเอาใจลูกสาวของเธอเท่านั้น
“แล้วพรุ่งนี้ ลูกคิดจะไปที่ไหนกันจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “คุณแม่มีที่ไหนแนะนำบ้างไหมคะ?”
“พวกลูกไปเที่ยวจุดที่มีชื่อเสียงของปักกิ่งมากันเกือบหมดแล้ว ลูกก็ลองหาที่ที่ได้นั่งคุยกันดูสิจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“คุยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยความแปลกใจ “หนูเข้าใจแล้วค่ะ”
เธอเข้าใจสิ่งที่แม่ของเธอต้องการจะบอก เมื่อเธอขึ้นไปชั้นบน เธอก็เฉินหยิงอยู่บนนั้นด้วย
“หลังจากที่คุณหนูกับหมอหวังไปแล้ว มีคนสองสามคนเข้ามาคุยกับฉันด้วยค่ะ” เฉินหยิงพูด
“เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวถาม “พวกเขาถามถึงเรื่องของหมอหวังเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ เป็นคนจากตระกูลหวู, หมอเฉิน, แล้วก็คนจากตระกูลลู่ค่ะ” เฉินหยิงพูด
“เขาไปที่กระท่อมด้วยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ค่ะ เขากำลังเรียนรู้วิถีของโลกอยู่” เฉินหยิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“หมายความว่ายังไงเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เขากำลังมองหาพันธมิตรอยู่ค่ะ” เฉินหยิงพูด “เรื่องที่เกิดขึ้นในวัดปี้หยุนทำให้เขาคิดได้ว่า เขาต้องทำอะไรสักอย่างที่จะสู้เพื่อคุณและคนที่เขารักยังไงล่ะคะ เขาเลยพยายามจะเปลี่ยนแปลงตัวของเขาเอง”
“เขากำลังพยายามหาผู้ช่วยจากผู้มีอำนาจที่เขารู้จักอย่างนั้นเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“จะพูดแบบนั้นก็ได้ค่ะ ขอแค่เขาต้องการ คนจากตระกูลหวูก็ยินดีช่วยเขา รวมไปถึงคนจากตระกูลลู่ด้วยค่ะ” เฉินหยิงพูด “และแน่นอนว่า ตระกูลของคุณหนูก็จะช่วยด้วยเช่นกัน ลองคิดดูสิคะ ถ้าเขาคิดจะสร้างเครือข่ายของตัวเองขึ้นมาจริงๆ เขาจะมีผู้ช่วยอยู่มากขนาดไหน”
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่า เขาต้องการแค่ไหนสินะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
ในขณะเดียวกัน หวังเย้านั้นกำลังเดินอย่างไร้จุดหมายอยู่บนถนน เขาได้รับสายจากหวูถงชิ่ง
“ฮัลโหล คุณหวู” หวังเย้าพูด
“ฮัลโหล หมอหวัง ตอนนี้ หมออยู่ที่ปักกิ่งเหรอ?” หวูถงชิ่งถาม
“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด
“คุณสะดวกเจอกันไหมครับ?” หวูถงชิ่งถาม
“ได้สิครับ” หวังเย้าพูด
เขาบอกที่อยู่กับหวูถงชิ่งไป ครู่ต่อมา ก็มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาจอดตรงหน้าเขา หวูถงชิ่งก็ลงมาจากรถคันนั้น
“สวัสดี มาปักกิ่งทำไมไม่บอกกันเลยล่ะ?” หวูถงชิ่งที่ลงมาจากรถถาม
“ผมมาเรื่องส่วนตัวน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“เราไปหาที่คุยกันดีไหม?” หวูถงชิ่งพูด
“ครับ” หวังเย้าพูด
หวูถงชิ่งพาหวังเย้าไปที่เงียบๆแห่งหนึ่ง
“หมอจะอยู่กี่วันเหรอ?” หวูถงชิ่งถาม
“ประมาณอาทิตย์หนึ่งครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วหมอพอจะมีเวลาไปดูอาการพ่อของผมไหม?” หวูถงชิ่งถาม
“ความจริง ไปหรือไม่ไปมันก็ไม่ต่างกันเลยนะครับ” หวังเย้าพูด เขารู้ว่า ชายชราต้องพึ่งพายาเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ไม่มีการรักษาไหนที่จะทำให้เขาดีขึ้นได้เลย คล้ายกับอาการของหวังยี่หลงชายชราที่หมู่บ้านของหวังเย้า “ผมคงทำให้เขาดีขึ้นกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“ขอแค่หมอช่วยทำให้เขาเจ็บปวดน้อยลงก็มากพอแล้วล่ะครับ” หวูถงชิ่งพูด
“เรื่องนั้นผมอาจจะพอช่วยได้ครับ” หวังเย้าพูด
เขามีตัวยาปาเจียวถงติดมาด้วย ซึ่งมันมีสรรพคุณในการบรรเทาความเจ็บปวด
หวูถงชิ่งมองแก้วในมือ ในขณะที่กำลังคิดว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้หวังเย้าไปดูอาการพ่อของเขาที่บ้าน
“ยังมีเรื่องอะไรอีกไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ยังไงผมก็อยากให้หมอที่ดูเขาสักหน่อยอยู่ดีน่ะครับ” หวูถงชิ่งพูด
“ผมมาที่นี่ก็เพื่อมาพบกับคนคนหนึ่ง ผมคงต้องขอถามเธอก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
“เสี่ยวซวีน่ะเหรอ?” หวูถงชิ่งถาม
“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด
“ตามสบายเลย” หวูถงชิ่งพูด เขาเคยไปคุยกับซงรุ่ยปิงมาก่อนหน้านี้แล้ว ซงรุ่ยปิงได้รับปากเขาไว้แล้วด้วย ว่าเธอจะช่วยคุยกับหวังเย้าเรื่องพ่อของเขาให้ และบอกว่า ซูเสี่ยวซวีไม่มีปัญหาในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
หลังจากที่หวูถงชิ่งสั่งให้คนไปส่งหวังเย้าที่โรงแรมแล้ว เขาก็โทรไปหาซงรุ่ยปิงเพื่อนัดเจอเธอในวันพรุ่งนี้
“หืมมม เขาคิดจะส่งต่อหนี้บุญคุณมาให้กับฉันอย่างนั้นเหรอ?” ซงรุ่ยปิงยิ้มขึ้นมาหลังจากที่วางสายเสร็จ
“เธอกำลังพูดถึงใครงั้นเหรอ?” ซูเซี่ยงฮวาที่กำลังอ่านรายงานอยู่ถาม
“ก็คนที่ลูกสาวของคุณหลงรักน่ะสิคะ” ซงรุ่งปิงพูด
“แล้วเขาเอาหนี้บุญคุณของใครมาให้เหรอ?” ซูเซี่ยงฮวาถาม
“หวูถงชิ่งค่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“โอ้ หวูถงชิ่งงั้นเหรอ ผมเข้าใจแล้ว” ซูเซี่ยงฮวาพูด
“หวูถงชิ่งมีอะไรเหรอคะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ไม่มีอะไรหรอก ดูเหมือนว่าภาระบนบ่าของเขาจะเพิ่มมากขึ้น” ซูเซี่ยงฮวาพูด
“โอ้?” ซงรุ่ยปิงถามด้วยความประหลาดใจ “คุณจะบอกว่า…”
“ไม่มีอะไรหรอก ช่างมันเถอะ” ซูเซี่ยงฮวาพูด
เช้าวันต่อมา ในปักกิ่งก็เริ่มมีฝนตกลงมา
“คุณปู่หวูเป็นคนดีมาก หมอช่วยเขาด้วยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดขึ้นในตอนที่เจอะกับหวังเย้า
“ได้สิ เจ้าหญิงของผม” หวังเย้าพูด
ใบหน้าของซูเสี่ยวซวีแดงเรื่อ ซึ่งทำให้น่ามองมากยิ่งขึ้นไปอีก
ที่บ้านตระกูลหวู ทุกคนกำลังรอคอยหวังเย้ากันอยู่ ชายชรานอนอยู่บนเตียง ผิวหนังบนใบหน้าของเขาดูราวกับเปลือกไม้ที่หลุดมาจากต้นไม้อายุหลายร้อยปี ผมของเขาขาวโพลน ดวงตาหลับสนิทและหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ
“อือออ!” เขาครางออกมา และขมวดคิ้วเป็นครั้งคราว ดูเหมือนว่าเขากำลังอดทนกับความเจ็บปวดอยู่
“พ่อ หมอหวังมาครับ” หวูถงชิ่งพูด
“โอ้!” ชายชราลืมตาและมองไปที่หวังเย้า “สวัสดี พ่อหนุ่ม”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรนะครับ” หวังเย้าตรวจดูร่างกายของชายชราอย่างละเอียด ปอดของเขามีปัญหาอย่างหนัก มะเร็งลุกลามไปทั่วทั้งปอดและลามไปจนถึงตับของเขาด้วย แม้แต่พระเจ้าก็คงจะช่วยเขาไม่ได้
“มะเร็งในตัวเขาได้แพร่กระจายไปส่วนอื่นแล้ว” หวังเย้าพูด
“เรารู้” หวูถงชิ่งพูด
“ผมคงจะทำให้มันดีกว่านี้ไม่ได้ คงจะทำได้แค่ยืดอายุและลดความเจ็บปวดให้กับเขาได้เท่านั้น” หวังเย้าพูด
“แค่นั้นเราก็ขอบคุณมากแล้วล่ะครับ” พี่ชายคนโตของหวูถงชิ่งพูด
“ผมจะกลับไปต้มยาให้พ่อของคุณที่กระท่อมของตระกูลซู แล้วจะกลับมาอีกทีตอนบ่ายนะครับ” หวังเย้าพูด
“มีอะไรจะให้เราทำบ้างไหมครับ?” พี่ชายคนโตของหวูถงชิ่งถาม
“ผมต้องการสมุนไพรบางตัวครับ” หวังเย้าเขียนรายชื่อสมุนไพรลงไปในกระดาษแผ่นหนึ่ง “ตอนนี้ ผมจะฝังเข็มเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของมะเร็งให้เขาก่อนนะครับ”
หวังเย้าคลายเสื้อผ้าของชายชราและหยิบเข็มที่เขามักจะพกติดตัวเสมอออกมา เขาเริ่มแทงเข็มลงไปบนร่างกายของชายชราอย่างช้าๆ แต่มั่นคง เขาไม่ใช่แค่ฝังเข็มรักษาเท่านั้น แต่เขายังส่งพลังฉีเข้าไปในร่างกายของชายชราด้วย พลังฉีของหวังเย้านั้นทั้งบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยพลัง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชายชราอย่างมาก
หลังจากดึงเข็มทั้งหมดออกจากร่างกายของชายชราแล้ว เขาก็ตบเบาๆไปที่หน้าอกของชายชราและส่งพลังฉีเข้าไปในร่างกายของชายชรา
พลังฉีจะทำให้เขายังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หวังเย้าคิด
เขาคิดว่า มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า ทำไมคนที่บาดเจ็บสาหัสถึงยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ด้วยกำลังภายใน เพราะมันจะเข้าไปปกป้องหลอดเลือดและหัวใจของคนคนนั้น เขาได้อ่านนิยายกำลังภายในมาหลายเรื่อง แต่ก็มีคนในยุคปัจจุบันแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ที่จะสามารถทำอย่างในนิยายได้ อย่างน้อย ตัวหวังเย้าเองก็ยังไม่เคยเจอใคร ที่สามารถช่วยคนใกล้ตายได้ด้วยการใช้กำลังภายในมาก่อนเลย
ฝนยังคงตกลงมาไม่หยุด หลังจากได้รับการชะช้างจากน้ำฝน ก็ทำให้ต้นไม้บริเวณกระท่อมที่เป็นของตระกูลซูเขียวชอุ่มขึ้น
“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” เฉินหยิงพูด
“ขอโทษที่ต้องมารบกวนพี่อีกแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด
“ไม่รบกวนเลยค่ะ” เฉินหยิงพูด
“อุปกรณ์สำหรับทำยาของผมยังอยู่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ” เฉินหยิงพูด เธอรีบไปนำมันออกมาและจัดเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างให้หวังเย้าจนเรียบร้อย
หวังเย้าต้องการสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการทำยา ถึงเขาจะพกหม้ออเนกประสงค์ติดตัวอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่สามารถนำมันออกมาต่อหน้าคนอื่นได้ เพราะมันถือเป็นความลับอย่างหนึ่งของเขา
เม็ดฝนตกลงกระทบกับหลังคาและหน้าต่าง จนเกิดเป็นเสียงดังให้ได้ยิน
น้ำในหม้อเริ่มเดือด ทำให้ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยกลิ่นของสมุนไพร
672 ใช้ประโยชน์
ซูเสี่ยวซวีตามเข้าไปหาเขาที่ลานบ้าน เธอนั่งเงียบๆอยู่ข้างหวังเย้าและมองดูเขาต้มยา เขาใส่สมุนไพรลงไปในหม้อทีละต้นๆ มันเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นเขาทำยาใกล้ๆแบบนี้
“หมอคะ นี่คือยาอะไรเหรอ แล้วเอาไว้ทำอะไร?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เธอรู้จักสมุนไพรกี่ชนิดล่ะ?” หวังเย้าถาม
“ก็พวกโสม, หลินจือ, แล้วก็โก่วฉี” ซูเสี่ยวซวีรู้แค่ไม่กี่ชนิดเท่านั้น
“ในนี้คือ เชี่ยนฉือกับซิลเวิร์ธ” หวังเย้าได้ข้ามสมุนไพรรากสองชนิดไป ซึ่งก็คือ กุยหยวนกับชานจิง “มันคือซุเป่ยหยวน ที่เธอเองก็เคยกินมาแล้วเหมือนกัน มันมีไว้เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกาย แล้วก็ได้ผลดีในคนที่ป่วยหนักด้วย”
นี่เป็นยาตัวแรกที่เขาไว้สำหรับชายชรา ก่อนหน้านี้ เขาได้เคยมอบสูตรยาที่มีสรรพคุณคล้ายกันกับพวกเขา แต่มันก็ไม่ดีเท่ากับสูตรของระบบ มันยังรวมสมุนไพรรากเอาไว้ถึงสองชนิดด้วยกัน สูตรยานี้ถือเป็นหนึ่งในสูตรยาที่เขาใช้บ่อยที่สุด ในช่วงแรก เขาใช้มันกับทุกโรคร้ายแรงและโรคที่รักษาได้ยาก
“หมอคะ หมอช่วยสอนฉันทำยาได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ได้สิ” หวังเย้าพูด
เขามีความเชี่ยวชาญในด้านนี้มาก การทำยานั้นมีขั้นตอนของมันอยู่อย่างชัดเจนและต้องขึ้นอยู่กับความรู้และคุณภาพของสมุนไพรที่เลือกมา, การจัดเตรียม, เวลาในการใส่สมุนไพร, การควบคุมอุณหภูมิ, การดูสีและกลิ่นของตัวยา, ระยะเวลาในการต้ม, และยาที่ต้มนานเกินไป
“หมอเรียนจบปริญญาด้านชีววิทยามาใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ใช่ หลังจากเรียนจบ ผมก็ได้มาเรียนเรื่องพวกนี้ด้วยความบังเอิญน่ะ” หวังเย้าพูด
“คุณเรียนมาจากใครเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวี รวมไปถึงทุกคนที่รู้ถึงความสามารถที่น่าอัศจรรย์ของหวัวเย้า ล้วนแล้วแต่สงยสัยในเรื่องนี้กันทั้งนั้น
“จากสวรรค์” หวังเย้าชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
ซูเสี่ยวซวียิ้ม
“จริงๆนะ เชื่อผมสิ” หวังเย้าพูด
“ฉันเชื่อคุณค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
เขาใช้เวลาตลอดทั้งเช้าไปกับการต้มยาตัวแรก ด้วยพลังฉีที่เบาบาง ซึ่งต่างจากพลังฉีในจุดที่ตั้งของค่ายกลรวมวิญญาณ และหม้อต้มยาที่ไม่ใช่หม้ออเนกประสงค์ จึงทำให้คุณภาพของตัวยาลดลงไป
“เรียบร้อย” หวังเย้าพูด
ซูเสี่ยวซวีสูดดมกลิ่นของตัวยา “กลิ่นมันแปลกๆนะคะ
“ก็มันเป็นกลิ่นของยาน่ะสิ” หวังเย้าพูด “ยาทุกตัวชอบมีกลิ่นแปลกๆอยู่แล้ว”
“หมอบอกความแตกต่างของมันได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ถ้าเป็นสูตรยาของผมเองก็ไม่มีปัญหา” หวังเย้าพูด “แต่ถ้าเป็นสูตรยาของคนอื่นละก็ ผมก็พอจะจำได้บ้าง ขอแค่ได้เห็นมันสักครั้ง”
“เสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ผมยังต้องทำยาอีกตัวหนึ่ง” หวังเย้าตอบ
“จะเริ่มตอนนี้เลยไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“รอก่อน” หวังเย้าพูด
หลังจากตัวยาเย็นลงแล้ว หวังเย้าก็ใช้ผ้าขาวบางกรองเศษสมุนไพรออกไป แล้วล้างหม้อจนสะอาด เขาทำทุกอย่างเสร็จในตอนสิบเอ็ดโมง
“จะอยู่กินข้าวที่นี่ไหมคะ?” เฉินหยิงถาม
“ครับ ขอโทษที่ต้องรบกวนนะครับ” หวังเย้าพูด
“เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ” เฉินหยิงพูด
“ให้ฉันช่วยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“คุณหนูไม่ต้องช่วยหรอกค่ะ ฉันทำเองได้” เฉินหยิงไม่สามารถห้ามไม่ให้ซูเสี่ยวซวีเข้าห้องครัวได้
เมื่ออยู่ในห้องครัว ซูเสี่ยวซวีก็แอบกระซิบถามว่า “พี่หยิง ช่วยสอนฉันทำอาหารหน่อยได้ไหมคะ?”
เฉินหยิงมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดออกมาว่า “เอ่อ ก็ได้ค่ะ” ในตอนที่ทำอาหารอยู่นั้น เธอก็อธิบายเกี่ยวกับวัตถุดิบและเครื่องปรุงต่างๆให้ซูเสี่ยวซวีฟังไปด้วย
ซูเสี่ยวซวีแทบจะไม่รู้เรื่องในครัวเลยสักอย่าง เวลาอยู่ที่บ้าน เธออยากจะลองทำอาหารดู แต่ซงรุ่ยปิงกับซูเซี่ยงฮวาก็ห้ามเอาไว้ พวกเขาเลี้ยงดูเธอราวกับเจ้าหญิง ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ลองทำเลย
“หมอหวังชอบกินอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เอ่อ ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่รู้สึกว่า เขาน่าจะชอบอาหารลู่กับฮวยหยางนะคะ” เฉินหยิงพูด เวลาที่เขามาพักที่กระท่อม เธอมักจะทำอาหารประเภทนี้ให้เขาทานบ่อยๆ
เฉินหยิงได้ทำอาหารอย่างช้าๆเพื่อให้ซูเสี่ยวซวีได้ดูด้วย และในเวลาเดียวกัน เธอก็ยังอธิบายในสิ่งที่เธอทำแต่ละอย่างไปด้วย
เมื่ออาหารทุกอย่างถูกทำออกมาเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็ยกอาหารไปวางไว้บนโต๊ะ บางอย่างเป็นอาหารเบาๆที่ทำโดยซูเสี่ยวซวี ซึ่งเป็นอาหารที่สามารถทำได้ง่ายๆ
หลังจากทานอาหารเสร็จ ทั้งหมดก็แยกกันไปนอนพัก
หวังเย้าเริ่มลงมือต้มยาตัวที่สอง
“นี่คืออะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ยาแก้ปวด” หวังเย้าพูด “มันมีหน้าที่หลักในการบรรเทาความเจ็บ อาการของคุณหวูอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว โรคได้กระจายไปตามเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายของเขา ซึ่งมันจะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทรมานจนทนไม่ไหวเลยล่ะ”
ตัวยาดูธรรมดา แต่ผลของมันสามารถรักษาได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ
“เราไม่จำเป็นต้องใช้สมุนไพรหลายตัว” หวังเย้าพูด
“หู่ซัว, ป่ายจื๋อ, กานเฉา,…”
“ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก เขาดีกับฉันมากเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด “เขามักจะใจดีอยู่เสมอเลยล่ะค่ะ”
“จริงเหรอ? เขาชอบเด็กผู้หญิงมากเลยเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ เขามีหลานชายหลายคนมาก แต่ไม่มีหลานสาวเลยสักคน” ซูเสี่ยวซวีพูด
หลังจากผ่านไปได้ไม่นาน ตัวยาก็ได้ที่แล้ว “ไปที่บ้านตระกูลหวูกันเถอะ” หวังเย้าพูด
ซูเสี่ยวซวีไปที่บ้านตระกูลหวูพร้อมกับหวังเย้า
“ยาสองตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้กินยาตัวนี้ก่อนนะครับ เพื่อช่วยลดอาการเจ็บปวดภายในร่างกาย ส่วนตัวนี้จะช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายครับ” หวังเย้าส่งยาทั้งสองตัวให้กับคนของตระกูลหวู
“ได้ครับ ขอบคุณมาก” คนตระกูลหวูพูด
หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีอยู่ที่บ้านตระกูลหวูต่อ หลังจากชายชรากินยาผ่านไปได้ประมาณ 20 นาที หวังเย้าก็ตรวจดูอาการของเขา
“รู้สึกยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“มันไม่ได้เจ็บมากแล้ว” ชายชราพูด
“ดีครับ นี่เป็นยาตัวที่สองนะครับ” หวังเย้าพูด มันคือซุปเป่ยหยวน มันเป็นตัวยาที่มีฤทธิ์อ่อน ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรฤทธิ์ แต่ถูกสรรพคุณของกุยหยวนปรับเปลี่ยนให้อ่อนลง
หลังจากดื่มยาเข้าไปแล้ว ชายชราที่นอนอยู่บนเตียงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขารู้สึกสบายตัวขึ้นมาก เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บมากเหมือนทุกทีและผ่อนคลายได้บ้างเล็กน้อย เขายังไม่รู้สึกง่วงนอนเหมือนทุกทีอีกด้วย
“พ่อรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” ลูกชายคนหนึ่งของชายชราถาม
“สบายขึ้นมากเลยล่ะ” ชายชราพูด
ทุกคนในครอบครัวของเขาต่างรู้กันดีว่า โรคของเขานั้นเกินเยียวยาแล้ว พวกเขาจึงหวังแค่ว่า จะสามารถช่วยยืดอายุของเขาและบรรเทาความเจ็บปวดให้เขาได้บ้างก็ยังดี
หวังเย้านั่งอยู่ที่ข้างเตียงและจับชีพจรของชายชราไว้
“โอเค ให้เขาพักได้ครับ” หวังเย้าส่งพลังฉีเข้าไปในร่างกายของชายชรา ด้วยฤทธิ์ของยาทั้งสองตัว ทำให้สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน “นี่คือทั้งหมดของวันนี้นะครับ ไว้พรุ่งนี้ผมจะกลับมาใหม่”
“ขอบคุณครับ หมอหวัง” ลูกชายคนหนึ่งของชายชราพูด
แม้งานจะยุ่งแค่ไหน แต่หวูถงชิ่ก็ยังคงเลือกที่จะเดินออกไปส่งหวังเย้าและซูเสี่ยวซวีที่ประตูบ้าน เขาอยากจะเลี้ยงข้าวพวกเขาด้วย แต่ก็ถูกบอกปัดไป
ทันทีที่พวกเขาเดินออกมาจากบ้านตระกูลหวู ชายชราคนหนึ่งก็เข้ามาหาหวังเย้าและซูเสี่ยวซวี
“สบายดีไหมคะ หมอเฉิน?” ซูเสี่ยวซวีทักเขา
“สบายดี เสี่ยวซวี เธอสวยขึ้นทุกวันเลยนะ” ชายชรามองดูซูเสี่ยวซวีด้วยสายตาเอื้อเอ็นดู เขาสานสัมพันธ์กับตระกูลไว้ในอย่างเหนียวแน่นและมองเธอเหมือนหลานสาวคนหนึ่งของเขา ตอนที่เธอป่วย เขาก็คอยเป็นห่วงเธออยู่เสมอ
“สวัสดีครับ หมอเฉิน มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“มีบางอย่างที่ฉันจำเป็นต้องคุยกับเธอน่ะ” หมอเฉินพูด “เธอพอจะช่วยไปดูคนไข้คนหนึ่งให้ฉันได้ไหม?”
“คนไข้? ใครเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
เขารู้ความสามารถของชายชราดี เขาถือเป็นระดับแนวหน้าของประเทศคนหนึ่ง และยังมีประสบการณ์ในการรักษามากกว่าหวังเย้าหลายเท่า ดังนั้น หวังเย้าจึงพอจะเดาได้ว่า คนไข้รายนี้จะต้องป่วยด้วยโรคที่หมอเฉินไม่สามารถรักษาได้เองอย่างแน่นอน
“อืมม มันอธิบายยากน่ะ” หมอเฉินพูด
“เวลานี้คงจะไม่เหมาะเท่าไหร่มั้งครับ” หวังเย้าพูด
มันเป็นเวลาเกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว ซึ่งเป็นเวลาทานอาหารเย็น และที่มากไปกว่านั้น การพบหมอตอนเย็นเป็นเรื่องไม่มงคลสักเท่าไหร่ในความเชื่อของคนจีน
“อาการของเขาวิกฤตมากเลยน่ะสิ” หมอเฉินพูด
หวังเย้าหันหน้าไปหาซูเสี่ยวซวี “เธอว่ายังไง?”
“แล้วแต่หมอเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดอย่างเข้าใจ
“ก็ได้ งั้นไปดูเขากัน” หวังเย้าพูด
พวกเขาตามหมอเฉินไปที่บ้านคนไข้ ขนาดยังไม่ได้เข้าไปในตัวบ้าน พวกเขาก็ได้กลิ่นยาเข้มข้นลอยออกมาแล้ว
“มันเป็นยาสมุนไพรจีนที่มีฤทธิ์เย็นเพื่อช่วยในการขับพิษ” หวังเย้าพูด เขาสามารถบอกยาที่คนไข้ใช้ได้จากการดิมกลิ่น
หมอเฉินเคาะประตู มีหญิงใบหน้าซีดเซียวอายุประมาณ 50 เปิดประตูออกมา เธอดูเหนื่อยล้าอย่างมาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น