Elixir Supplier 665-668

 665 ออกเดท


 


หวังเย้าเข้าไปเช็คอินในโรงแรมพร้อมกับกระเป๋าเดินทางของเขา ส่วนชูเหลียนและซูเสี่ยวซวีก็พากันกลับไปที่บ้าน


 


“ทำไมหมอหวังถึงไม่อยากพักอยู่ที่กระท่อมล่ะคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ที่หมอหวังพักอยู่ที่กระท่อมก่อนหน้านี้ ก็เพราะว่าเขามาเพื่อรักษาคุณหนู ดังนั้น มันก็เลยเป็นเรื่องเหมาะสมสำหรับเขาที่จะพักที่นั่น” ชูเหลียนพูด “แต่ครั้งนี้ เขามาด้วยจุดประสงค์ที่ต่างออกไป บางทีเขาอาจจะคิดว่า การพักอยู่ที่กระท่อมคงจะไม่ใช่เรื่องเหมาะสมสำหรับเขาอีกต่อไปแล้วก็เป็นได้ค่ะ”


 


ซูเสี่ยวซวีเข้าใจคำอธิบายของชูเหลียน “เย็นนี้ หนูกับหมอหวังจะไปดินเนอร์ด้วยกันนะคะ”


 


“รับทราบค่ะ” ชูเหลียนพูด


 


“น้าเหลียนคะ น้าเหลียนช่วยจองโต๊ะในร้านอาหารให้หนูหน่อยได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ได้สิคะ ไม่มีปัญหาเลย” ชูเหลียนพูด


 


ปักกิ่งเป็นเมืองใหญ่และเต็มไปด้วยร้านอาหารมากมายที่เหมาะสำหรับวาระต่างๆ บางที่ก็เหมาะสำหรับคุยเรื่องธุรกิจ บางที่ก็เหมาะสำหรับทานอาหารเพียงลำพัง ส่วนบางที่ก็เหมาะสำหรับการพบปะของคู่รักและเพื่อนฝูง ในปักกิ่งมีร้านอาหารมากมายให้เลือกไม่เคยขาด


 


หลังจากซูเสี่ยวซวีกลับมาถึงที่บ้าน ซงรุ่ยปิงก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่เธอก็ยังคงรู้สึกกังวลเล็กน้อย เมื่อเห็นว่า ลูกสาวของเธอดูมีความสุขมากจนออกนอกหน้า


 


ยัยเด็กบ๊อง! เธอคิด


 


“อืมมม จะใส่ชุดอะไรดีน้า?” ซูเสี่ยวซวีมีเสื้อผ้าให้เลือกอยู่มากมาย


 


ซงรุ่ยปิงเคาะประตูและเดินเข้าไปด้านใน “ทำอะไรอยู่เหรอจ๊ะ?”


 


“คุณแม่คะ คุณแม่คิดว่าคืนนี้หนูจะใส่ชุดอะไรดีคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ลูกแม่ใส่ชุดไหนก็สวยจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด


 


“ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีก็ยังคงไม่รู้ว่าจะใส่ชุดอะไรอยู่ดี


 


“เลือกชุดที่ดูเรียบง่ายและสวยหน่อยก็ได้แล้วล่ะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด


 


แล้วในที่สุด เธอก็ช่วยเลือกชุดให้ลูกสาว ซึ่งเป็นชุดที่ช่วยขับเน้นเรียวขางามของซูเสี่ยวซวีได้เป็นอย่างดี ผิวพรรณของเธอเรียบเนียนราวกับหยกขาว เธอดูงดงามในชุดสวยตัวนี้


 


เธอยังแต่งหน้าด้วยเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกในการแต่งหน้าของเธอ หลังจากที่หายจากอาการป่วย


 


“ดูเป็นยังไงบ้างคะ?” ซูเสี่ยวซวีหมุนตัวเป็นวงกลมต่อหน้าแม่ของเธอ


 


“ลูกสวยมากเลยจ๊ะ! ลูกสาวของแม่สวยที่สุดในโลกเลย” ซงรุ่ยปิงพูด


 


หลังจากสวมชุดที่เลือกมาเป็นอย่างดีแล้ว ซูเสี่ยวซวีก็ยิ่งดูสวยขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า เธอดูราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน


 


ซงรุ่ยปิงถอนหายใจ


 


“มันใกล้จะได้เวลาแล้ว หนูต้องไปแล้วล่ะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“เดินทางระวังๆนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด


 


“ค่ะ คุณแม่” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ดูแลเธอให้ดีล่ะ ชูเหลียน” ซงรุ่ยปิงไม่ลืมที่จะย้ำเตือนกับชูเหลียน


 


“แน่นอนค่ะ คุณผู้หญิง” ชูเหลียนพูด


 


ในขณะเดียวกัน หวังเย้าก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่างของห้องพักและมองดูท้องถนนที่วุ่นวายด้านล่าง ดูเหมือนถนนจะไม่เคยว่างเลยสักวัน ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนหรือฤดูกาลไหนก็ตามที


 


“เป็นเมืองที่วุ่นวายจริงๆ!” เขาพึมพำออกมา


 


ไม่ว่าจะดูในทีวีหรือมาเห็นด้วยตาตัวเอง หวังเย้าก็ต้องยอมรับว่า ปักกิ่งคือหนึ่งในเมืองที่วุ่นวายที่สุดในโลก


 


ปี๊บ! ตื๊ด!


 


ในขณะที่เขากำลังเหม่อลอยอยู่ตรงหน้าต่าง มือถือของเขาก็ส่งเสียงดังขึ้น


 


เขากดรับสาย “ฮัลโหล!”


 


“หมอหวัง เราอยู่ที่ล็อบบี้แล้วค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ผมจะลงไปเดี๋ยวนี้” หวังเย้าพูด


 


เขากดวางสาย จัดการล็อคประตูและลงไปยังชั้นล่าง ที่ล็อบบี้ ซูเสี่ยวซวีได้กลายเป็นที่สนใจของใครหลายๆคน


 


“สวัสดีครับ คุณผู้หญิง ผมขอทราบชื่อของคุณได้ไหมครับ?” ชายคนหนึ่งถาม


 


“ขอโทษนะคะ คงบอกไม่ได้” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


ภายในเวลาเพียงแค่ห้านาที มีผู้ชายถึงสี่คนที่เข้าหาซูเสี่ยวซวีและพยายามพูดคุยกับเธอ หนึ่งในนั้นเป็นชายวัยกลางคน ส่วนอีกคนเป็นชายหัวล้านอายุประมาณ 50 ซึ่งดูเหมือนจะร่ำรวยอย่างมากด้วย


 


แม้แต่พนักงานโรงแรมก็ยังอดชื่นชมซูเสี่ยวซวีไม่ได้ “เธอสวยมากเลย!”


 


“ใช่ เธอสวยกว่าพวกดาราหนังซะอีก” พนักงานหญิงพูด


 


“เธอว่า หล่อนจะทำศัลยกรรมมารึเปล่า?” เธอถามเพื่อนร่วมงาน


 


“หมอศัลย์ที่ไหนที่สามารถทำให้ฉันสวยได้ขนาดนี้ด้วยเหรอ?” เพื่อนร่วมงานของเธอถาม


 


“นั่นน่ะสิ! ฉันจะต้องหาหมอคนนั้นให้เจอให้ได้เลย” เธอพูด


 


มีคนที่ถึงขนาดแอบถ่ายรูปของซูเสี่ยวซวีเอาไว้ด้วย


 


ในขณะที่คนในล็อบบี้กำลังคุยเรื่องซูเสี่ยวซวีอยู่นั้น หวังเย้าก็ลงมาถึงชั้นล่างพอดี ดวงตาของเขาพล่ามัวไปชั่วขณะ เขาสามารถมองเห็นซูเสี่ยวซวีได้ในทันที เธอดูโดดเด่นจนเกินกว่าจะมองข้ามไปได้ เหมือนกับดวงจันทร์ที่อยู่บนฟ้า หรือดอกพีโอเนียที่อยู่กลางทุ่งหญ้า เธอสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี


 


“หมอหวัง!” ซูเสี่ยวซวีเดินเข้าไปหาหวังเย้า


 


“เชี่ยอะไรกันเนี่ย?” มีบางคนอดที่จะสบถออกมาไม่ได้


 


“จริงเหรอเนี่ย?” ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในล็อบบี้พูดขึ้นมา


 


“ดูเขาสิ! อย่างกับพวกบ้านนอกเข้ากรุงเลย” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูด


 


“เธอตาบอดรึไงกัน?” อีกคนพูดขึ้นมา


 


“ขอโทษที่ทำให้เธอต้องรอนะ” หวังเย้าพูด เขาได้ยินคำพูดทั้งหมดของคนที่อยู่ภายในล็อบบี้ แต่เขาก็เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น


 


“ไม่เป็นไรเลยค่ะ เราเพิ่งมาถึงไม่นานเหมือนกัน” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“เพิ่งมาถึงงั้นเหรอ? เขาไม่รู้เลยหรือไง ว่าเขาปล่อยให้เธอต้องรออยู่นานแค่ไหนน่ะ?” ชายวัย 30 คนหนึ่งพูดขึ้นมา “ยกโทษให้ไม่ได้!”


 


“ถ้าฉันมีแฟนสวยขนาดนี้นะ ฉันจะตัวติดกับเธอตลอดเวลาเลย” ชายหนุ่มวัยประมาณ 20 พูด


 


“เลิกฝัน แล้วก็เช็ดน้ำลายที่ปากของตัวเองซะ” เพื่อนของเขาพูด


 


ในขณะที่ทุกคนต่างกำลังอิจฉาหรือไม่เข้าใจอยู่นั้น หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีก็พากันเดินไปนั่งในรถหรูและขับออกไป


 


“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ” ชายหนุ่มที่อยู่ในล็อบบี้พูดขึ้นมา


 


หลายคนต่างก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน


 


“ชาติที่แล้วเขาจะต้องทำคุณความดีเอาไว้เยอะมากแน่ๆ ชาตินี้เขาถึงได้โชคดีขนาดนี้น่ะ” ชายอีกคนพูด


 


“หมอหวังคะ อยากกินอาหารชานตงไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“อยากสิ แต่ผมกินอาหารอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ” หวังเย้าพูด


 


เขาไม่ได้เป็นคนเลือกกินอยู่แล้ว ในเมื่อหวังเย้าเป็นคนจังหวัดฉี ซูเสี่ยวซวีจึงได้เลือกร้านอาหารชานตงที่ดีที่สุดมาร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านที่ชูเหลียนเป็นผู้แนะนำ


 


ร้านอาหารไม่ได้ดูหรูหรางดงามสะดุดตาคน มันตั้งอยู่ท่ามกลางตึกสูงมากมายจนอาจทำให้ใครหลายๆคนมองเลยผ่านไปได้ง่ายๆ แต่ลานจอดรถของร้านกลับแน่นเอี๊ยด แสดงให้เห็นถึงความนิยมของร้านนี้ได้เป็นอย่างดี


 


เมื่อเดินเข้าไปด้านใน หวังเย้าก็พบว่า ภายในร้านอาหารแทบจะไม่เหลือที่นั่งแล้ว


 


ชูเหลียนได้จัดการของห้องส่วนตัวเอาไว้ให้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องมีการตกแต่งที่งดงามสบายตา


 


อาหารของทางร้านเป็นอาหารชานตงแบบดั้งเดิม ถึงหวังเย้าจะเป็นคนจากจังหวัดฉี แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้มากินอาหารชานตงแท้ๆในปักกิ่ง


 


ภายในห้องมีเพียงเขาและซูเสี่ยวซวีเท่านั้น


 


“หมอหวังคะ ฉันคิดว่า กำลังภายในของฉันพัฒนาขึ้นด้วยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“อืม ผมรู้สึกถึงมันได้” หวังเย้าพูด


 


“เวลาที่ไม่ได้ตรวจคนไข้ หมอมีงานอดิเรกอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“งานอดิเรก…อืม…” หวังเย้าเริ่มใช้ความคิด


 


เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการตรวจคนไข้, ปลูกสมุนไพร, และทำยาสมุนไพร พวกมันเป็นทั้งหน้าที่และงานอดิเรกของเขา เมื่อเขาไม่มีอะไรให้ทำจริงๆ เขาก็จะหยิบตำราแพทย์ขึ้นมาอ่าน ดูเหมือนว่า ชีวิตของเขาจะจืดชืดมาก


 


“ปลูกต้นไม้ล่ะมั้ง” หวังเย้าพูด


 


“จริงเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยความประหลาดใจ “ปลูกต้นไม้เหรอ?”


 


“อืม ผมจะบอกยังไงดีล่ะ?” อยู่ๆหวังเย้าก็รู้สึกอับอายขึ้นมา เขารู้สึกว่า คำพูดของเขากลายเป็นตลกฝืดสำหรับซูเสี่ยวซวีแทน


 


“ผมอยากจะท่องเที่ยวไปทั่ว เพื่อไปดูสถานที่ที่มีชื่อเสียงในประเทศจีน เพื่อให้ได้เรียนรู้เรื่องการแพทย์ของในแต่ละพื้นที่ไปในตัวด้วย” หวังเย้าพูด


 


ตั้งแต่ที่เขาเป็นนักศึกษาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เขาก็อยากจะออกไปท่องเที่ยวทั่วประเทศจีนสักครั้ง เขาวางแผนเอาไว้ว่า หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เขาก็จะหาเวลาออกไปท่องเที่ยว เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง แต่หลังจากที่เรียนจบ เขากลับยังหางานทำไม่ได้ ดังนั้น แผนการของเขาก็ต้องชะลอออกไปด้วย ตอนนี้ พอซูเสี่ยวซวีถามขึ้นมา มันก็ทำให้เขานึกขึ้นมาได้


 


“หมอชอบเที่ยวเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ใช่ ผมชอบเที่ยว” หวังเย้าพูด


 


“ฉันก็เหมือนกันค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


ในเมื่อทั้งสองต่างก็ขื่นชอบในเรื่องของการท่องเที่ยว พวกเขาจึงได้หัวข้อสนทนาอื่นที่นอกเหนือไปจากการรักษาการฝึกฝนกำลังภายในมาคุยกัน ซูเสี่ยวซวีรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวในหลายๆเรื่อง ก่อนที่เธอจะป่วยด้วยโรคร้าย เธอก็เคยท่องเที่ยวไปในหลายพื้นที่ เมื่ออยู่กับหวังเย้า เธอก็กลายเป็นคนช่างคุยไปในทันที ทั้งที่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น เธอไม่ใช่คนที่พูดมากเลย


 


แต่เธอก็ยังรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย เพราะถึงยังไง นี่ก็เป็นการเดทครั้งแรกของเธอกับหวังเย้า


 


เวลาที่อยู่กับซูเสี่ยวซวี หวังเย้าก็มีความรู้สึกที่พิเศษเช่นเดียวกัน เธอเป็นคนสวยและนิสัยน่ารัก ทั้งยังบอกความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาโดยไม่มีปิดบัง เขาคิดเอาไว้มากมายหลายอย่าง ว่าเขาควรจะเข้าหาเธอยังไงเพื่อเป็นการเริ่มความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง


 


ในเมื่อเขาก็ชอบเธอ เขาจึงตัดสินใจว่า เขาจะพยายามใช้เวลาอยู่กับซูเสี่ยวซวีให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาได้ติดสินใจแล้ว และที่เขามาปักกิ่ง ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาต่างก็คิดถึงกันและกัน


 


“หมอหวังคะ พรุ่งนี้ อยากให้ฉันพาคุณไปเที่ยวที่อื่นในปักกิ่งไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“อยากสิ ยังมีหลายที่เลยที่ผมยังไม่เคยไป” หวังเย้าพูด


 


ที่ด้านนอกห้องส่วนตัว มีชายหนุ่มหลายคนกำลังคุยกันอยู่


 


“นายแน่ใจนะ ว่าในห้องนี้มีสาวสวยอยู่ในนั้นน่ะ?” หนึ่งในพวกเขาถามขึ้นมา


 


“แน่ใจสิ เธออยู่ในนั้นแน่นอน แล้วเธอก็สวยโคตรๆเลยด้วย” เพื่อนของเขาพูด


 


“ดี ฉันจะลองเข้าไปแนะนำตัวกับเธอดู” หนึ่งในพวกเขาพูด


 


“พวกเธอมาทำอะไรกันที่นี่?” ชูเหลียนหยุดเขาเอาไว้


 


“อย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่น” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่สนใจมารยาท


 


“เธอก็สวยเหมือนกันนี่นา” ชายหนุ่มอีกคนพูดขึ้นมา “ฉันชอบผู้หญิงแก่กว่านะ”


 


ชูเหลียนมองดูเหล่าชายหนุ่ม ที่ดูเหมือนจะเมาได้ที่กันแล้ว “ฉันต้องการให้พวกเธอออกไปเดี๋ยวนี้”


 


“ทำไมเราต้องฟังเธอด้วย? คิดว่าตัวเองเป็นใครวะ?” หนึ่งในพวกเขาถามอย่างหยาบคาย


 


“นี่ เธอสนใจไปเที่ยวกับฉันไหม?” เพื่อนของเขาถาม


 


“ก็ได้ เราไปกันเลยไหม?” ชูเหลียนถาม


 


“หา? ไปสิไป! พวกนายรออยู่นี่นะ ฉันจะขอออกไปเที่ยวกับคนสวยก่อนล่ะ เธอเป็นสเปคของฉันเลย ส่วนอีกส่วนฉันยกให้” ชายหนุ่มพูด


 


“ฉันคิดว่า พวกนายทุกคนควรมากับฉันดีกว่านะ มันคงจะน่าสนุกกว่านี่มาก” ชูเหลียนพูด


 


“เอาจริงเหรอ?” ชายหนุ่มอีกคนถาม “เธอนี่รสนิยมแปลกดีนะ”


 


เหล่าชายหนุ่มที่เมามายเดินตามชูเหลียนออกไปด้านนอก


 


“สุดสวย เธอกำลังจะไปที่ไหนเหรอ?” หนึ่งในพวกเขาถาม


 


ปึก! ตุบ! ตั๊บ!


 


“โอ๊ย!” ชายหนุ่มทั้งหมดต่างร้องออกมาและพากันหมดสติอยู่ที่พื้น


 


“หึ!” ชูเหลียนส่งเสียงหึออกมาอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินกลับไปในร้านอาหาร


666 ลมหนาวในยามราตรี


 


“พี่ใหญ่ เราโทรหาตำรวจกันดีไหม?” หลังจากที่ได้สติกลับคืนมา หนึ่งในพวกเขาก็พูดเสนอขึ้นมา


 


“โทรสิ เราต้องโทรหาตำรวจเดี๋ยวนี้เลย” หนึ่งในเหล่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าพวกเขาพูด


 


“ผู้หญิงคนนั้นเป็นกังฟูด้วย” ชายหนุ่มอีกคนพูด


 


พวกเขาจึงโทรไปหาตำรวจ หลังจากผ่านไปไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งก็มาถึง “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”


 


“คุณตำรวจ เราถูกทำร้ายครับ” ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มพูด


 


“แล้วใครที่ทำร้ายพวกคุณกันล่ะ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม


 


“ผู้หญิงคนหนึ่งครับ เธออยู่ในร้านอาหารนั่น” ชายหนุ่มพูด


 


“พวกคุณโดนผู้หญิงแค่คนเดียวทำร้ายเนี่ยนะ? หนึ่ง , สอง, สาม, สี่, ห้า ผู้ชายห้าคน?” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดและมองไปที่หน้าของพวกเขาแต่ละคน “พวกคุณดื่มกันมาใช่รึเปล่า?”


 


ตามเนื้อตัวของเหล่าชายหนุ่มเต็มไปด้วยกลิ่นของแอลกอฮอล


 


“ครับ เราดื่มกันมา แต่เราก็ไม่ได้ขับรถเองนะ เราเป็นประชาชนที่ดีและเชื่อฟังกฎของบ้านเมือง” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยังไม่หายเมาพูด


 


“เงียบปากซะ!” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่จ้องเขม็งไปที่เขา


 


“เอาล่ะ ผมจะบอกพวกคุณเอาไว้ก่อนด้วย ว่าการแจ้งความเท็จก็เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายเหมือนกัน” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด


 


“เรารู้ครับ แต่ดูสภาพของพวกเราสิ” ชายที่เป็นพี่ใหญ่พูด “เราดูเหมือนคนโกหกอย่างนั้นเหรอครับ?”


 


ก็นายดูเหมือนคนโกหกจริงๆน่ะสิ เจ้าหน้าที่ตำรวจคิดในใจ


 


เขาเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนแล้ว คนเมาหลายคนมักจะโทรไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยเหตุทะเลาะวิวาท ในตอนสุดท้าย พวกเขาก็ไม่ได้อะไรเลยนอกจากคำสั่งสอนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากพูดตามจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ชอบที่ต้องมาจัดการเรื่องของคนเมาเลยสักนิด เพราะคนพวกนี้มีแต่สร้างเรื่องให้ต้องปวดหัวอยู่ตลอดเวลา


 


“คุณตำรวจไปขอดูกล้องวงจรปิดก็ได้นะครับ” หนึ่งในเหล่าชายหนุ่มใช้มือหนึ่งชี้ไปที่กล้องวงจรปิด ส่วนอีกมือก็เอากุมหน้าของตัวเองเอาไว้ กล้องวงจรหันมายังจุดที่พวกเขาอยู่พอดี ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะสามารถเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้


 


“แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหนเหรอ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม


 


“เธออยู่ข้างในครับ ตามผมมาเลย” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มพูด


 


หลังจากที่เขาเดินกลับเข้ามาในร้านอาหารแล้ว อยู่ๆเขาก็นึกไม่ออกว่าควรไปทางไหน หากมองภายนอก ร้านอาหารก็ไม่ได้ดูใหญ่โตอะไร แต่ด้านในกลับกว้างขวางอย่างมาก ตอนนี้ยังเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่ออกมาทานอาหารกัน ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตามหาผู้หญิงคนหนึ่งจากลูกค้าทั้งหมดภายในร้าน


 


“โทษที ขอถามหน่อยได้ไหมว่าเธอเคยเห็น ผู้หญิงอายุประมาณ 30 ใส่เสื้อสีเขียวกับกางเกลงยีนส์ไหม?” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มถามพนักงานเสริฟ “เธอหน้าตาดีหน่อย”


 


“ค่ะ เธอน่าจะอยู่ที่ห้องส่วนตัวที่ชั้นสองนะคะ” พนักงานเสริฟพูด


 


“พาเราไปหน่อยได้ไหม?” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มถาม


 


เมื่อเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจตามมาด้วย เธอจึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี


 


ชูเหลียนกำลังนั่งอยู่ภายในห้อง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับห้องของหวังเย้าและซูเสี่ยวซวี เธอไม่ได้ปิดประตูสนิท ดังนั้น เธอจึงรู้ว่าที่ด้านนอกห้องของหวังเย้าและซูเสี่ยวซวีเกิดเรื่องอะไรขึ้น และนั่นก็ทำให้เธอเจอกับชายหนุ่มทั้งห้าคน ที่ได้รับบทเรียนดีดีจากเธอไป


 


หืม? เรื่องฝีเท้า!


 


“ห้องนี้ค่ะ” พนักงานเสริฟพูด


 


ประตูถูกผลักให้เปิดออก กลุ่มคนเดินเข้าไปด้านในห้องและพบว่า มีคนอยู่ในห้องแค่คนเดียว เธอเป็นหญิงหน้าตาดีวัยประมาณ 30 กว่า มีอาหารวางอยู่บนโต้ะด้วยหลายจานและเธอกำลังมองไปที่พวกเขาด้วยรอยยิ้ม


 


“คุณตำรวจ เธอคนนี้แหละครับ” หนึ่งในชายหนุ่มทั้งห้าพูด


 


“ระวังด้วยนะครับ เธอเป็นกังฟูด้วย” ชายหนุ่มอีกคนพูด


 


“สวัสดีครับ พวกเขาได้แจ้งมาว่า คุณเป็นคนทำร้ายพวกเขาน่ะครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด


 


“คุณตำรวจเชื่อพวกเขาด้วยเหรอคะ?” ชูเหลียนถาม


 


“เอ่อ…” จริงๆแล้ว เขาไม่ได้เชื่อคำพูดของชายหนุ่มทั้งห้าคนเลยสักนิด


 


“เอาแบบนี้ดีไหมคะ คุณตำรวจก็พาพวกเขาไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจซะก็สิ้นเรื่อง จริงไหม?” ชูเหลียนแนะนำ


 


“โอเค โอค…เดี๋ยวนะ! ทำไมมีแค่เราที่ต้องไปล่ะ?” หนึ่งในชายหนุ่มพูด


 


ปี๊บ! ตื๊ด!


 


มือถือของเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งเสียงดังขึ้น


 


“โอเค ทราบแล้ว” เข้ากดรับสาย จากนั้น เขาก็หันไปหาชายหนุ่มทั้งห้าที่มีสภาพสะบักสะบอมและพูดกับพวกเขาว่า “เอาล่ะ พวกคุณตามผมไปที่สถานนี้ตำรวจ ผมจำเป็นต้องสอบสวนพวกคุณอีกรอบ”


 


“ครับ” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มพูด


 


พวกเขาเดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจลงไปชั้นล่าง


 


“คุณตำรวจ แล้วเธอล่ะครับ?” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มถาม


 


“ไม่ต้องไปสนใจเรื่องของเธอ สนใจเรื่องของตัวเองก่อนดีกว่านะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด


 


“หา?!” พวกเขาทั้งห้าเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ว่าพวกเขาอาจจะไปแหย่คนที่ไม่ควรเข้าซะแล้ว


 


หลังจากเดินทางไปถึงสถานีตำรวจ พวกเขาก็ถูกพาเข้าไปในห้องสอบสวนทันที “เอาล่ะ บอกผมมาว่าเรื่องเป็นยังไง?”


 


“เราถูกทำร้ายครับ” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มพูด


 


“แล้วทำไมถึงถูกทำร้ายล่ะ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม


 


“ก็ เราแค่เข้าไปคุยกับเธอแปบนึง จากนั้นเราก็ถูกเธอทำร้าย” หนึ่งในชายหนุ่มทั้งห้าพูดขึ้นมา


 


“แล้วพวกคุณคุยอะไรกันเหรอ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม


 


“เอ่อ…” ไม่มีใครอยากจะตอบคำถามนี้


 


“พูดมาสิ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด


 


ชายหนุ่มทั้งห้าหุบปากเงียบและมองหน้ากันไปมา


 


“อะไรกัน?” เจ้าหน้าที่ตำรวจ “เมื่อกี้พวกคุณยังเรียกร้องความยุติธรรมอยู่เลยนี้”


 


“คุณตำรวจ ผมก็โทรศัพท์หน่อยได้ไหมครับ?” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มถาม


 


“ได้สิ ตามสบายเลย” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด


 


“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มเดินออกไปโทรศัพท์ด้านนอก “ฮัลโหล เราอยู่ที่สถานีตำรวจ รีบมาจัดการให้ที เราโดนผู้หญิงคนหนึ่งทำร้ายเข้าน่ะสิ ฉันรู้ พอออกไปได้แล้วฉันจะเลี้ยงข้าวเย็นเอง โอเค ขอบคุณมาก”หลังวางสายเสร็จ เขาก็คิดว่า ตัวเองจะสามารถออกไปจากสถานีตำรวจได้ในเวลาไม่นาน แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิด


 


“คิดได้รึยัง ว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม


 


อะไรกัน? ทำไมที่โทรไปขอความช่วยเหลือถึงไม่ได้ผล? ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มงุนงง


 


พวกเขากำลังทานอาหารกันอยู่ และบังเอิญได้เห็นซูเสี่ยวซวีและชูเหลียนเข้า พวกเขาจึงคิดจะเอาเปรียบพวกเธอทั้งสอง แต่กลับต้องมาจบอยู่ที่สถานีตำรวจแทน พวกเขาทั้งห้าล้วนมีฐานะ แต่ครั้งนี้กลับช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้เลย


 


เชี่ยแล้ว! ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มคิด


 


พวกเขาพอจะเดาได้ว่า พวกเขาอาจจะไปยุ่งกับคนมีอำนาจเข้า ดังนั้น พวกเขาจึงสารภาพเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ


 


ภายในร้านอาหาร หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย


 


“เราออกไปเดินเล่นกันสักหน่อยดีไหม?” หวังเย้าถาม


 


“โอเคค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“เธอเป็นคนพาผมเดินเที่ยวได้ไหม?” หวังเย้าถาม


 


“ได้แน่นอนค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


ค่ำคืนในปักกิ่งยังคงคึกคักอย่างมาก ซูเสี่ยวซวีกำลังคิดว่า เธอควรจะพาหวังเย้าไปที่ไหนดี


 


“เราไปที่ทะเลสาบโฮ่วห่ายกันดีไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“เอาสิ” หวังเย้าพูด


 


รถที่ขับโดบชูเหลียนมาจอดได้อย่างพอเหมาะ เธอถามออกไปว่า “จะไปที่ไหนกันคะ?”


 


“ไปที่ทะเลสาบโฮ่วห่ายค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบ


 


ทะเลสาบโฮ่วห่ายตั้งอยู่ที่ชานเมือง ซึ่งอยู่ห่างจากร้านอาหารที่พวกเขาอยู่ไปไม่ไกลมาก มันมักจะเป็นจุดแวะเที่ยวของคุณหนุ่มสาวในยามค่ำคืน ที่ทะเลสาบโฮ่วห่ายมีทั้งผับและร้านอาหารมากมาย และสภาพแวดล้อมในบริเวณนั้นก็ยังดีอีกด้วย


 


“ฉันจะรอยู่ที่นี่นะคะ ถ้ามีอะไรก็ให้โทรหาฉันได้เลย” ชูเหลียนพูด


 


“ได้ค่ะ น้าเหลียน” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีพากันเดินไปที่ทะเลสาบ อากาศตอนกลางคืนไม่ได้ร้อนและยังเย็นเล็กน้อยด้วย


 


“หนาวรึเปล่า?” หวังเย้าถาม


 


“ไม่ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


เธอมีกำลังภายในอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะต่างจากของหวังเย้า และเธอยังมีปฏิกิริยากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอยู่ แต่ในอากาศที่เย็นแค่เล็กน้อยก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับเธอเลย และตอนนี้ เธอก็รู้สึกเย็นสบายดีด้วย


 


พนักงานเสริฟชายหญิงของแต่ละร้านได้ออกมาตะโกนเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน มีเสียงดนตรีดังออกมาถึงถนน คนหนุ่มสาวเดินผ่านพวกเขาไปเป็นระยะๆ มีกลุ่มวัยรุ่นอยู่หลายกลุ่ม รวมไปถึงคู่รักอีกหลายคู่ที่เดินอยู่ตามถนน


 


“การเรียนเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม


 


“ก็ดีค่ะ ตอนนี้ ฉันกำลังเรียนบริหารธุรกิจอยู่” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


เธอไม่ได้สนใจอยากเรียนบริหารธุรกิจมากมายอะไร แต่มหาวิทยาลัยปักกิ่งคือมหาวิทยาลัยที่มีวิชาเรียนที่ดีที่สุดในประเทศจีนแล้ว


 


“แล้วหลังเรียนจบ เธอคิดจะทำอะไรเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“อืม ฉันยังไม่ได้คิดเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม เธอต้องหยุดเรียนไปตอนปีสอง เพราะป่วยด้วยโรคร้าย เธอต้องเรียนอีกประมาณปีหนึ่งก็จะจบแล้ว “พอจะมีคำแนะนำดีดีบ้างไหมคะ?”


 


“ผมเหรอ?” หวังเย้าถาม เขาส่ายหน้า


 


พวกเขาเดินเล่นพูดคุยกันไป แล้วก็เริ่มขยับเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ


 


“หืม?” อยู่ๆหวังเย้าก็ชะงักไป


 


“มีอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“เปล่าหรอก” หวังเย้าพูด เขารับรู้ได้ว่า ชูเหลียนแอบตามหลังพวกเขามาด้วย


 


“อยากจะเข้าไปหาอะไรดื่มข้างในไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม เมื่อพวกเขาเดินไปถึงหน้าผับแห่งหนึ่ง


 


“เหล้าเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ค่ะ ฉันอยากจะลองดื่มดู” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“โอเค” หวังเย้าพูด พวกเขาพากันเดินเข้าไปในผับ


 


“ผับเหรอ?” ชูเหลียนขมวดคิ้ว เธอยืนอยู่ตรงต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากผับที่พวกเขาเข้าไป


 


ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน พวกเขาก็ได้ยินเพลงรักเพลงหนึ่งดังขึ้น “ครั้งที่เรารักกัน เธอไร้เงินทองและร่ำเรียนอย่างหนัก เมื่อฉันทิ้งเธอไป เธอแต่งงานและมีชีวิตที่ดี ฉันขอเต้นรำกับเธอสักเพลงจะได้ไหม?”


 


มันเป็นเพลงเก่าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่นิยมอย่างมาก


 


“หนุ่มหล่อกับคนสวย อยากจะดื่มอะไรดีครับ?” บาร์เทนเดอร์มีอาการตกตะลึงทันทีที่ได้เห็นความงามของซูเสี่ยวซวี


 


(คนจีนมักจะเรียกลูกค้าว่า 帅哥 shuaige หนุ่มหล่อ และ 美女 meinü คนสวย)


 


สวยจัง!


 


ในบริเวณทะเลสาบโฮ่วห่ายมีคนหน้าตาดีให้เห็นอยู่มากมาย เขาได้เห็นผู้หญิงสวยมาก็เยอะ แต่ไม่มีใครที่เทียบกับซูเสี่ยวซวีได้เลย จากนั้น เขาก็เหลือบมองไปที่หวังเย้า


 


หวังเย้าไม่ได้หน้าตาแย่อะไร แต่เขาก็ไม่ได้ดูโดดเด่น เมื่อเทียบกับความสวยจนตะลึงของซูเสี่ยวซวีแล้ว เขาก็ดูเหมือนคนเซ่อซ่าไป หรือเขาจะเป็นพวกคนตระกูลใหญ่?


 


“อันนี้คืออะไรเหรอคะ หมอหวัง?” ซูเสี่ยวซวีหันไปหาหวังเย้า


 


ทำไมเธอถึงเรียกเขาว่าหมอล่ะ? แปลกจริงๆ! บาร์เทนเดอร์คิดในใจ


 


“อืม คุณช่วยแนะนำเครื่องดื่มให้เราหน่อยได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ได้สิครับ เอาเป็นค็อกเทลสำหรับคุณผู้หญิงดีไหมครับ? เดอะกรีนกราสฮ๊อบเปอร์ดีไหม?” บาร์เทนเดอร์เสนอ


 


“โอเคค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“แล้ว คุณเอาเป็นเหล้าวิสกี้แก้วหนึ่งไหมครับ?” บาร์เทนเดอร์ถาม


 


“ครับ” หวังเย้าพูด


 


ไม่นาน บาร์เทนเดอร์ก็นำเครื่องดื่มมาเสริฟตรงหน้าพวกเขา


 


“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะคะ ที่ฉันได้มาที่แบบนี้น่ะ” ซูเสี่ยวซวียกเครื่องดื่มขึ้นมาจิบ


 


“ผมก็มาเที่ยวผับไม่บ่อยเท่าไหร่” หวังเย้าพูด


 


ตอนนี้ เขาไม่ค่อยชอบเที่ยวผับ เพราะมันอึกทึกเกินไป ทั้งที่ในอดีต เขาสนุกกับการมาเที่ยวสถานที่แบบนี้มาก


667 สาวงามข้างกาย วันเวลากับการท่องเที่ยว


 


“ตอนที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ผมเคยชอบที่ที่เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกและคนมากมายแบบนี้มาก” หวังเย้าพูด


 


หลังจากที่เริ่มฝึกฝนวิถีทางเต๋า เขาก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน


 


“คุณเคยเป็นเหมือนพวกเขาด้วยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม พร้อมกับชี้ไปที่ชายหนุ่มหลายคนที่ตะโกนอยู่ข้างเวที


 


“ใช่ ก็ประมาณนั้น” หวังเย้าพูด


 


ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินขึ้นไปบนเวที


 


“ผมขอร้องเพลง “ซินเดอร์เรลล่า” ให้กับคนรักของผมนะครับ” ชายหนุ่มพูด


 


“โว้ว! สุดยอดไปเลย!” กลุ่มคนที่อยู่ข้างเวทีต่างพากันตะโกน


 


ชายหนุ่มที่อยู่บนเวลทีเริ่มร้องเพลง “ฉันหลงใหลในตัวเธอได้ยังไง? ฉันเฝ้าถามตัวเอง ฉันยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอ แต่ทำไมเธอถึงทิ้งฉันไป? เธอไม่ได้งดงามที่สุด แต่เธอน่ารักที่สุดสำหรับฉัน”


 


หากพูดตามจริงแล้ว ชายหนุ่มถือว่าร้องได้ดีทีเดียว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก


 


“คุณร้องเพลงได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ผมเหรอ? ไม่ได้หรอก” หวังเย้าพูด


 


“สวัสดีครับ คนสวย ผมขอได้รับเกียตริรู้จักกับคุณจะได้ไหมครับ?” อยู่ๆก็มีชายหนุ่มแต่งตัวดีเข้ามาหาซูเสี่ยวซวี


 


“ขอโทษค่ะ คงไม่ได้” ซูเสี่ยวซวีพูดอย่างเย็นชา


 


“ผมแค่อยากเป็นเพื่อนกับคุณเท่านั้นเอง คุณคิดว่ายังไงครับ?” ชายหนุ่มยังคงไม่ยอมแพ้


 


ผับคือสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการค้นหาสาวๆสวยๆ ชายหนุ่มมีโอกาสที่จะเจอเข้ากับหญิงสาวที่เพิ่งอกหักจากคู่รักหรือแฟนมา ผู้หญิงประเภทนั้นมักจะเสียใจและดื่มเหล้าอย่างหนัก มันจึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ชายหลายคนที่ต้องการลวงพวกเธอไม่ทำเรื่องไม่ดี


 


แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับพยายามจีบซูเสี่ยวซวี โดยที่ไม่สนใจหวังเย้าที่อยู่กับเธอเลยสักนิด บางที เขาอาจจะคิดว่าตัวเองดีกว่าก็เป็นได้


 


“ฮาฮา!” ชายหนุ่มหัวเราะ


 


เขาเดินขึ้นไปบนเวทีและกระซิบบางอย่างกับชายหนุ่มที่กำลังร้องเพลงอย่างได้อารมณ์ ชายหนุ่มคนนั้นก็ยกเวทีให้กับเขา


 


“ผมขอร้องเพลง ‘สารภาพรัก’ ให้กับสาวสวยคนนั้นนะครับ” ชายหนุ่มแต่งตัวดีพูด


 


เขาชี้ไปที่ซูเสี่ยวซวีที่อยู่ๆก็ได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง


 


“ว้าว เธอสวยมากเลย” คนในผับพูด


 


“เดี๋ยวนะ! เธอมากับคนอื่นนี่” อีกคนพูด


 


“เขากำลังพยายามจะแย่งเธอจากผู้ชายอีกคนเหรอเนี่ย?” เพื่อนของเขาถาม


 


ชายที่แต่งตัวดีเริ่มร้องเพลง “เรียบลำน้ำแซน คาเฟ่ที่อยู่ทางซ้าย ผมกำลังดื่มกาแฟถ้วยหนึ่งและลิ่มรสความงามของคุณ รอยลิปของคุณติดอยู่ในในใจของผม…คุณบอกว่าไม่สนใจ คุณอยากให้ผมถอยไป…”


 


“เธอคิดว่า เขาร้องเพลงเป็นยังไง?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม


 


“แย่มาก! เสียงร้องของเขาไม่ได้เรื่องเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


หากพูดตามตรง หวังเย้าคิดว่าเขาร้องได้ดีทีเดียว


 


“ฉันไม่อยากอยู่แล้วค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“โอเค” หวังเย้าจ่ายเงิน


 


“นี่ คนสวย อย่าเพิ่งไป!” ชายหนุ่มที่อยู่บนเวทีตะโกน ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังอินกับการร้องของตัวเองอยู่ “อย่าเพิ่งไป! อย่าเพิ่งไป!”


 


ฝูงชนส่งเสียงโวยวาย


 


“เปรี๊ยง!”


 


อยู่ๆทุกคนในผับก็ได้ยินเสียงที่ราวกับเสียงของฟ้าผ่า ที่กลบเสียงอื่นจนมิด


 


“โอ๊ย!” มีคนร้องออกมา”


 


“หูฉัน!” มีอีกคนที่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขารู้สึกปวดในหูอย่างมาก


 


คนที่อยู่ในผับต่างเอามือกุมหูและนวด


 


“นั่นอะไรน่ะ?” หลังออกมาจากผับแล้ว ซูเสี่ยวซวีก็ถามขึ้นมา


 


“มันก็แค่ วิธีการใช้กำลังภายในอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง” หวังเย้าพูด


 


“เหมือนกับ สิงโตคำราม น่ะเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“อืม คล้ายแบบนั้นแหละ” หวังเย้าพูด


 


“คุณสุดยอดไปเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“พวกเขาเสียงดังเกินไป” หวังเย้าพูด


 


“โอ้ แย่จริง!” ชูเหลียนเดินออกมาจากผับพร้อมกับเอามือนวดขมับของตัวเอง หมอหวังมีความสามารถมากจริงๆ เขาใช้ได้แม้กระทั่ง สิงโตคำราม


 


เธอสูดลมหายใจเข้าลึก และตามหวังเย้ากับซูเสี่ยวซวีต่อ


 


หวังเย้าดูเวลาจากหน้าจอมือถือของเขา “สามทุ่มแล้ว ผมจะพาเธอกลับบ้านนะ”


 


“โอเคค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด ถึงแม้ว่าเธอจะอยากอยู่กับเขาให้นานกว่านี้ก็ตามที “ฉันจะโทรหาน้าเหลียนนะคะ


 


ครู่ต่อมา ซุเหลียนก็มาหาพวกเขา เธอขับรถไปส่งหวังเย้าที่โรงแรมก่อน จากนั้นก็กลับไปที่บ้านกับซูเสี่ยวซวี


 


“วันนี้สนุกไหมคะ?” ชูเหลียนถาม


 


“ค่ะ หนูมีความสุขมากเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


เมื่อได้ยินเสียงรถเข้ามาจอด ซงรุ่ยปิงก็เดินออกมาจากห้องนั่งเลาน


 


“ลูกกลับมาแล้ว” ซงรุ่ยปิงพูด “วันนี้สนุกไหมจ๊ะ?”


 


“สนุกค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ดีจ๊ะ ลูกไปพักเถอะนะ” ซงรุ่ยปิงพูด


 


“ค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะคะ คุณแม่” ซูเสี่ยวซวีพูด เธอเดินขึ้นบันไดพร้อมกับฮัมเพลงไปด้วย


 


“พวกเขาไปที่ไหนกันมาบ้าง?” ซงรุ่ยปิงถามเสียงเบา


 


“พวกเขาไปทานอาหารด้วยกันที่ร้าน และไปผับที่ทะเลสาบโฮ่วห่ายค่ะ” ชูเหลียนพูด


 


“ผับเหรอ? เสี่ยวซวีเข้าไปดื่มในนั้นเหรอ?” ซงรุ่ยปิงถาม


 


“ค่ะ เธอสั่งค็อกเทลมาแก้วหนึ่ง” ชูเหลียนพูด


 


“แล้วยังไงต่อ?” ซงรุ่ยปิงถาม


 


“เธอไม่ได้ดื่มเลยค่ะ” ชูเหลียนพูด


 


“อืม ดีแล้ว” ซงรุ่ยปิงพูด


 


“มีอีกเรื่องหนึ่งค่ะ พรุ่งนี้ หมอหวังอยากจะมาเยี่ยมที่นี่ค่ะ” ชูเหลียนพูด


 


“ได้” ซงรุ่ยปิงพูด เธอก็อยากจะคุยกันต่อหน้ากับหวังเย้าอยู่เหมือนกัน


 


ค่ำคืนในปักกิ่งยังคงคึกคัก วันต่อมา ท้องฟ้ามืดครึ้ม ราวกับท้องฟ้าถูกบางอย่างครอบเอาไว้ จนทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด มันเป็นเพียงแค่วันหนึ่งในปักกิ่งเท่านั้น


 


หวังเย้าเตรียมของขวัญเอาไว้ด้วย เขาเอาชามาจากห่านชิว ซึ่งเป็นชาที่ได้มาจากซวีเม่าชวง เขาไม่ได้ขอให้ชูเหลียนมารับ และเดินทางไปที่บ้านของซูเสี่ยวซวีด้วยตัวเอง


 


“อรุณสวัสดิ์ครับ น้าซง” หวังเย้าพูด ครั้งนี้ เขาไม่ได้เรียกเธอว่าคุณ


 


“อรุณสวัสดิ์จ๊ะ เข้ามาข้างในก่อนสิ” ซงรุ่ยปิงเชิญหวังเย้าเข้าไปในห้องด้วยรอยยิ้ม


 


ชาถูกนำมาเสริฟอย่างรวดเร็ว


 


“หมอหวัง!” เมื่อได้เห็นหวังเย้า ซูเสี่ยวซวีก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที เธอเกิดความรู้สึกใกล้ชิดกับเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ


 


ทั้งสามคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง


 


“เสี่ยวซวี แม่มีเรื่องอยากจะคุยกับหมอหวังเป็นการส่วนตัว” ซงรุ่ยปิงพูด “ได้ไหมจ๊ะ?”


 


“ได้สิคะ” ซูเสี่ยวซวีเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเงียบๆ


 


“หวังเย้า ฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับเธอ” ซงรุ่ยปิงพูด


 


“ได้ครับ น้าซงพูดมาได้เลย” หวังเย้าพูด


 


“ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจกับการที่เธอช่วยชีวิตของเสี่ยวซวีเอาไว้ ความจริง ทุกคนในตระกูลล้วนแล้วแต่รู้สึกขอบคุณเธอเพราะเรื่องนี้ เราจดจำไว้ในใจอยู่เสมอ” ซงรุ่ยปิงพูด


 


หวังเย้าไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่นั่งฟังซงรุ่ยปิงอยู่ที่โซฟาอย่างเงียบๆเท่านั้น


 


“แต่ในฐานะของคนเป็นแม่แล้ว ฉันก็ต้องใส่ใจเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการแต่งงานของเสี่ยวซวี” ซงรุ่ยปิงพูด


 


“ผมเข้าใจดีครับ” หวังเย้าพูด


 


“ดังนั้น ฉันหวังว่า เธอจะบอกความจริงกับฉันได้ ว่าเธอชอบเสี่ยวซวีจากใจจริงหรือไม่” ซงรุ่ยปิงพูด “เธอคบกับลูกสาวของฉัน เพราะชอบเสี่ยวซวีอย่างบริสุทธิ์ใจหรือเปล่า?”


 


“ครับ ผมชอบเธอมาก” หลังจากที่เงียบไปไม่นาน หวังเย้าก็ตอบกลับไป “ผมอยากจะใช้เวลาร่วมกับเธอ เพื่อดูว่าเราเข้ากันได้ดีรึเปล่า”


 


“อืม ฉันก็ได้แต่หวังว่าเธอจะไม่ทำร้ายเสี่ยวซวีนะ” ซงรุ่ยปิงพูด ส่วนใหญ่แล้ว ผู้หญิงมักเป็นฝ่ายเสียใจเมื่อถึงเวลาที่ต้องจบความสัมพันธ์


 


“แน่นอนครับ” หวังเย้าตอบออกมาจากใจจริง


 


“ดี” ซงรุ่ยปิงพูด “ชูเหลียน ไปเรียกเสี่ยวซวีลงมาเถอะ”


 


“ค่ะ คุณผู้หญิง” ชูเหลียนพูด


 


ซูเสี่ยวซวีลงมาด้านล่างและเดินเข้าไปหาหวังเย้า


 


“วันนี้ อยากจะไปเที่ยวที่ไหนดีคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม “ฉันจะพาไปเอง แล้วก็จะเป็นคนพาเที่ยวด้วย”


 


“ฟังดูเข้าท่าดีนะจ๊ะ ขอให้ทั้งสองเที่ยวให้สนุกนะ” ซงรุ่ยปิงพูด “จะกลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้านไหมจ๊ะ?”


 


“คงไม่ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“โอเค งั้นก็ดูแลตัวเองดีดีนะ” ซงรุ่ยปิงพูด


 


เธอเดินออกไปส่งลูกสาวและหวังเย้าที่ประตู


 


“หมอหวัง วันนี้เราจะไปที่ไหนกันดีคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ผมตามใจเธอเลย” หวังเย้าพูด


 


ซูเสี่ยวซวีไม่ได้ถามว่า แม่ของเธอพูดอะไรกับหวังเย้า และเขาก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลยด้วย


 


“เราไปที่อุทยานเป่ยห่ายกันดีไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีเสนอขึ้นมา


 


“เอาสิ” หวังเย้าพูด


 


“งั้นก็ไปกันเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


ปักกิ่งเป็นเมืองใหญ่ มีสถานที่น่าไปอยู่มากมาย จึงทำให้ไม่สามารถเที่ยวได้จนหมดภายในวันเดียว


 


ซูเสี่ยวซวีอารมณ์ดีมาก แต่เธอก็ยังไม่สามารถสลัดความคิด เรื่องที่ว่าแม่ของเธอได้พูดอะไรกับหวังเย้าไปก่อนหน้านี้


 


“จักรพรรดิในอดีตทรงรู้จักสรรหาความสุขใส่ตัวกันเก่งมากเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดหลังจากที่พวกเขามาถึงที่อุทยานเป่ยห่าย


 


ภายในอุทยาน หวังเย้ารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่คล้ายกับบนเนินเขาหนานชาน แต่แน่นอนว่า พลังในอุทยานเป่ยห่ายคงจะไม่ได้ดีเท่ากับที่เนินเขาหนานชานอยู่แล้ว ผู้ออกแบบอุทยานหลวงแห่งนี้คงจะต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก และอาจจะขอคำปรึกษาจากอาจารย์ฮวงจุ้ยด้วย


 


น้ำกระเพื่อมอยู่ภายในทะเลสาบ ตึกสีขาวตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาที่ไกลออกไห


 


“เธอรู้สึกอะไรบ้างไหม?” หวังเย้าถามอย่างอ่อนโยน


 


“รู้สึกอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม หลังจากที่คิดอยู่พักหนึ่ง “หมายความว่ายังไงเหรอคะ?”


 


“ก็พลังที่อยู่รอบๆตัวเรายังไงล่ะ” หวังเย้ามองไปรอบๆ


 


“พลังของสถานที่แห่งนี้เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีหลับตาเพื่อรับรู้ถึงมัน


 


“บอกตามตรงนะคะ ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ถ้าเทียบกับในตัวเมืองแล้ว พลังของที่นี่บริสุทธิ์และเข้มข้นกว่ามากเลยล่ะ” หวังเย้าพูด


 


“หมายความว่า ที่นี่เหมาะกับการฝึกฝนเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ใช่ นั่นแหละที่ผมอยากจะบอก” หวังเย้าพูด


 


ทั่วทั้งปักกิ่งเต็มไปด้วยมลพิษ ซึ่งต่างจากเมื่อหลายพันปีก่อนมาก มันจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่จักรพรรดิเหล่านั้นเลือกปักกิ่งเป็นเมืองหลวง พวกเขาคงจะใช้ความพยายามอย่างหนักในการสร้างมันขึ้นมา ปักกิ่งกลายเป็นเมืองหลวงของประเทศจีนมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน มันถูกออกแบบมาอย่างละเอียด ผู้คนในสมัยโบราณนั้นมีความเฉลียวฉลาดในบางเรื่องมากกว่าคนในสมัยปัจจุบัน โดยที่พวกเขาไม่ได้มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเลย


 


เมืองถูกสร้างขึ้นมาอย่างมีจุดประสงค์ ไม่ว่ามันจะมีคนอาศัยอยู่หรือไม่ก็ตาม


 


“ฉันไม่รู้สึกอะไรจากที่นี่เลย แต่ฉันรู้สึกได้แค่ตอนที่อยู่ใกล้กับเนินเขาหนานชานเท่านั้น” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


เธอไม่เคยขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานมาก่อน เธอเพียงแค่อยู่ที่บริเวณตีนเขาเท่านั้น ซึ่งเธอสามารถรับรู้ถึงพลังพิเศษบางอย่างได้


 


“ถ้ามีเวลา เธอน่าจะลองแวะมาที่นี่บ่อยๆนะ” หวังเย้าพูด “มันจะเป็นประโบนช์กับการฝึกฝนของเธอมากเลยล่ะ”


 


“ได้ค่ะ ฉันจะมาบ่อยๆ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


หลังเดินเล่นในอุทยานเป่ยห่ายเสร็จแล้ว พวกเขาก็พากันไปที่กำแพงเมืองจีนต่อ หวังเย้าเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งในวันฝนตก และเขายังมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดในเวลานั้นด้วย แต่ในเวลานี้ สถานที่แห่งนี้มีนักท่องเที่ยวอยู่เยอะเกินไป แม้ว่าจะไม่ใช้ฤดูกาลของการท่องเที่ยว แต่ก็ยังมีคนเดินทางมาไม่ขาดสาย หวังเย้าจึงไม่สามารถรับรู้ถึงพลังพิเศษอะไรได้เลย


668 เกรี้ยวกราด ราตรีมาเยือน


 


นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาปักกิ่งมักจะเลือกไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนและพระราชวังต้องห้ามกันเป็นส่วนใหญ่ กำแพงเมืองจีนมีความยาวมากกว่าสองหมื่นกิโลเมตร มันคือความน่าอัศจรรย์ของอดีตกาล เมื่อมองจากมุมสูงก็จะสามารถมองเห็นความยิ่งใหญ่ของมันได้


 


หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีทานมื้อเที่ยงด้วยกันในร้านอาหารที่ดูสะอาดและน่านั่ง ก่อนที่พวกเขาจะออกเที่ยวกันต่อ ทั้งสองไปที่คฤหาสน์กงหวังฝู่ในช่วงบ่าย


 


มันคือคฤหาสน์ที่ใหญ่ที่สุดในปักกิ่ง ผู้คนพูดกันว่า ภายในคฤหาสน์ได้บรรจุประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ชิงเอาไว้เกือบครึ่ง ถึงแม้คฤหาสน์จะเล็กกว่าพระราชาวังต้องห้าม แต่มันก็มีความพิเศษในตัวมันเอง


 


เพราะไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์หรือช่วงวันหยุด จึงมีคนเข้ามาเยี่ยมชมคฤหาสน์แห่งนี้ไม่มากนัก พวกเขาเดินกันไปได้สักพักถึงจะเจอกับคนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ


 


“เธอคิดว่า คนที่อยู่ในคฤหาสน์ใหญ่ขนาดนี้ในอดีตจะเคยหลงทางกันบ้างไหม?” หวังเย้าถาม


 


“ก็อาจจะหลงได้นะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ผมว่า พวกเขาน่าจะทำป้ายเพื่อบอกทางว่าห้องครัวกับห้องน้ำไปทางไหนนะ” หวังเย้าพูด


 


“ไม่มีทางหรอกค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “ถ้าเกิดมีคนคิดอยากจะสังหารองค์ชายขึ้นมาละคะจะทำยังไง?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“เรื่องนั้นก็จริง” หวังเย้าพูด


 


“ฉันได้ยินว่าที่นี่มีผีสิงอยู่ด้วยล่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ไม่ใช่ว่าพระราชวังต้องห้ามก็มีผีสิงอยู่ด้วยเหมือนกันเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“แล้วคุณคิดว่า โลกนี้มีผีอยู่จริงไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมก็เคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งนะ” หวังเย้าพูด


 


อยู่ๆพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดเข้ามา ในตอนที่พวกเขากำลังพูดเรื่องผีกันอยู่พอดี


 


“ว้าย!” ซูเสี่ยวซวีอุทาน


 


“ผีมาแล้วเหรอ?” หวังเย้าพูดหยอก


 


“อ๊าย!” ซูเสี่ยวซวีแกล้งทำเป็นกรีดร้อง


 


“ฮาฮา!” เสียงหัวเราะของทั้งสองดังก้องอยู่ภายในตัวคฤหาสน์


 


พวกเขาเดินอยู่ในคฤหาสน์อย่างไม่เร่งรีบ เพราะภายในไม่ได้มีคนอยู่มากเท่าไหร่ ทั้งสองอยู่ที่คฤหาสน์กงหวังฝู่ไปจนถึงบ่ายสี่โมงเย็น


 


“อยากจะไปเที่ยวที่ไหนอีกไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ไม่แล้วล่ะ วันนี้เราเที่ยวกันทั้งวันแล้ว เราพักกันก่อนเถอะ” หวังเย้าพูด


 


“โอเคค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“เธอช่วยเลือกร้านสำหรับคืนนี้ด้วยนะ แต่ผมจะขอเป็นคนเลี้ยงเอง” หวังเย้าพูด


 


“ไม่มีปัญหาค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “ฉันจะชวนน้าเหลียนมากินกับเราด้วยนะคะ”


 


หวังเย้ารู้สึกสงสัยเกี่ยวกับชูเหลียน ผู้เป็นลูกจ้างที่มีความรับผิดชอบสูงของตระกูลซู เขาสงสัยว่า ทำไมซูเสี่ยวซวีจะต้องเรียกเธอว่าน้าด้วย ในเมื่อชูเหลียนเพิ่งจะอายุได้แค่สามสิบกว่าปีเท่านั้น


 


ชูเหลียนเลือกร้านเอาไว้ร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านอาหารแบบไพรเวทที่ตั้งอยู่ภายในบ้านเก่าหลังหนึ่ง มันอยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมือง แต่เป็นร้านที่มีชื่อเสียงอย่างมาก


 


“เชฟที่นี่ฝีมือดีมากเลยค่ะ ถึงเขาจะเป็นคนแปลกอยู่บ้างก็ตาม” ชูเหลียนพูด


 


“แปลกยังไงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เขาจะเป็นคนคิดว่าจะทำอาหารอะไรให้ลูกค้ากิน ดังนั้น ที่นี่ลูกค้าไม่มีสิทธิสั่งอาหารเอง พวกเขามาเพื่อรอกินอย่างเดียวเท่านั้น” ชูเหลียนพูด


 


“เขาแปลกจริงด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


พวกเขารออยู่ประมาณ 30 นาที แล้วอาหารก็ถูกนำออกมาเสริฟ เชฟใช้เวลาทำอาหารค่อนข้างนาน อาหารที่นำอกมาเสริฟทั้งหมดแปดจานใช้เวลาทานถึงเกือบหนึ่งชั่วโมง อาหารแต่ละจานมีรสชาติอร่อย และมีวัตถุดิบมากมายที่นำออกมาทำอาหารให้แต่ละจาน


 


“หืม?” หวังเย้ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หลังจากที่เขาได้กินอาหารจานหนึ่งเข้าไป อาหารจานนี้มีส่วนผสมของชะเอมและมิ้นต์อยู่ด้วย เขาลองชิมอาหารจานอื่นดู ซึ่งก็มีสมุนไพรผสมรวมอยู่ในนั้นเช่นเดียวกัน


 


“โอเคไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามขึ้นมา ในขณะที่หวังเย้ากำลังลองชิมอาหารแต่ละจานอยู่


 


“อืม ผมแค่สงสัยเกี่ยวกับรสชาติของอาหารแต่ละจานน่ะ เชฟของร้านนี้แปลกจริงๆ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“อาหารแต่ละจานเป็นยังไงเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“เขาใส่สมุนไพรลงไปในแต่ละจานด้วยน่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


“จริงเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“จานนี้มีส่วนผสมของชะเอมกับมิ้นต์อยู่ ส่วนจานนี้มีโสมกับโก่วฉี, ส่วนจานนี้มีฟู่หลิงกับเป้ยหมูผสมอยู่…” หวังเย้าชี้ไปที่อาหารแต่ละจาน และบอกกับซูเสี่ยวซวีว่ามีสมุนไพรอะไรผสมอยู่บ้าง


 


“แล้วถ้ากินสมุนไพรพวกนี้เข้าไปจะไม่เป็นอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ไม่เป็นอะไรหรอก” หวังเย้าพูด


 


อาหารเหล่านี้ก็คืออาหารที่นำสมุนไพรมาปรุงเป็นอาหาร แต่มีอยู่จานหนึ่งที่ฤทธิ์ของสมุนไพรมีความขัดแย้งกัน ซึ่งสามารถทำให้เกิดแก็สในกระเพาะและท้องเสียได้


 


“ผมสงสัยว่า เขาไปได้สูตรอาหารพวกนี้มาจากที่ไหน” หวังเย้าพูด


 


“คุณอยากจะคุยกับเขาไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม “ฉันไม่อยากมาท้องเสียทีหลังนะ”


 


“ไม่ล่ะ ช่างมันเถอะ” หวังเย้าพูด


 


อาหารรสชาติอร่อยเป็นที่พอใจของทุกคน ทั้งสามทานเสร็จตอนเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม


 


“อยากจะไปดูหนังไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“เอาสิ” หวังเย้าพูด เขาไม่ได้ไปโรงหนังหลายปีแล้ว


 


พวกเขาเลือกหนังที่มีเนื้อหาสนุกสนาน ทั้งสองนั่งดูหนังอยู่ข้างกันอย่างเงียบๆ


 


ซูเสี่ยวซวีกินป๊อบคอร์นพร้อมกับดูหนังไปด้วย อารมณ์ของเธอในเวลานี้ หวานพอๆกับรสชาติของป๊อบคอร์น


 


หนังที่ดูไม่ได้น่าประทับใจมากนัก คนที่มาดูส่วนใหญ่จะมากันเป็นคู่ พวกเขาเพียงแค่อยากจะหาสถานที่ที่จะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันเท่านั้น บางคู่ก็โอบกอดคู่ของตนเอาไว้ในอ้อมแขน


 


ชูเหลียนนั่งมองคนทั้งคู่อยู่ที่มุมหนึ่งของโรงหนัง และคิดในใจว่า คุณหนูซูดูเหมือนจะชอบหมอหวังมากขึ้นเรื่อยๆ


 


หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีนั่งใกล้ชิดติดกัน ทั้งสองจะกระซิบข้างหูของกันและกันเป็นครั้งคราว ศีรษะของคนทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรไม่มากกว่านั้น


 


หลังจากดูหนังจบ ชูเหลียนก็ขับรถไปส่งหวังเย้าที่บ้านและกลับบ้านไปพร้อมกับซูเสี่ยวซวี


 


หลังจากที่ออกไปนอกบ้านมาตลอดทั้งวัน ซูเสี่ยวซวีก็รู้สึกเหนื่อยล้า เธออาบน้ำและเข้านอน เธอก็ไม่ได้หลับในทันที แต่กลับกำลังคิดถึงช่วงเวลาแห่งความสุขที่เธอได้อยู่กับหวังเย้า และคิดถึงสถานที่ที่พวกเขาจะไปกันในวันพรุ่งนี้


 


ภายในห้องนั่งเล่นที่อยู่ชั้นล่าง ชูเหลียนนั่งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในระหว่างวันให้ซงรุ่ยปิงฟัง


 


“คุณผู้หญิงคะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นสปายยังไงไม่รู้ค่ะ” ชูเหลียนพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“เสี่ยวซวีเป็นคนใสซื่อ เราต้องคอยจับตาดูเธอเอาไว้ ฉันอดห่วงเธอไม่ได้เลยจริงๆ” ซงรุ่ยปิงพูด


 


ขณะเดียวกัน หวังเย้านั้นกำลังยืนอยู่ที่หน้าต่างของห้องพัก เขาใช้เวลาไปทั้งวัน และเขาก็มีความสุขมาก มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่สามารถอธิบายได้


 


ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! มีใครบางคนมาเคาะประตู


 


“ใครครับ?” หวังเย้าถาม


 


เขาเดินไปที่ประตูและพบว่า มีหญิงสาวหน้าตาดีแต่งหน้าหนาเตอะยืนอยู่ที่ประตู


 


“ขอโทษนะครับ คุณคือใคร?” หวังเย้าถาม


 


“สวัสดีค่ะ ต้องการบริการพิเศษไหมคะ?” เธอถาม


 


เขาปิดประตูทันที


 


“บ้าอะไรกัน? มีบริการแบบนี้ในโรงแรมด้วยเหรอเนี่ย?” หวังเย้าพึมพำออกมาอย่างหงุดหงิด


 


“เฮอะ” หญิงสาวส่งเสียงหึออกมาและเดินไปที่ห้องอื่นต่อ


 


บานประตูถูกเปิดออกพร้อมกับมีชายวัยกลางคนร่างท้วมเดินออกมาจากภายในห้อง เขามองไปที่หญิงสาว ก่อนจะเชิญเธอเข้าไปด้านใน


 


ในตอนที่หวังเย้ากำลังจะหลับ เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของใครบางคน


 


“โอ้ ไม่นะ!”


 


เกิดอะไรขึ้น? เขาสงสัย


 


ครู่ต่อมา เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ฟังดูรีบร้อน เขาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งกับปัญหาของคนอื่น ดังนั้น เขาจึงยังคงอยู่ภายในห้องของตัวเอง


 


“เกิดอะไรขึ้น?” พนักงานโรงแรมถาม


 


“ฉัน ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้แรกเขาก็ยังดีดีอยู่ แต่อยู่ๆเขาก็หมดสติไป” หญิงสาวพูด


 


เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นในระหว่างทีเพศสัมพันธ์เหรอ? เกิดการสูญเสียธาตุหยาง? หวังเย้าคิด


 


ชายวัยกลางคนร่างท้วมคนนี้ช่างโชคร้าย เขาตั้งใจจะมีความสุขกับการเดินทางมาทำธุรกิจที่ปักกิ่ง เพราะภรรยาจอมจู้จี้ของเขาไม่ได้มาด้วย เขาจึงใช้โอกาสนี้เรียกใช้บริการพิเศษจากหญิงสาวห้าคนภายในเวลาสามวัน คืนนี้ เขาก็รู้สึกเบื่อเหมือนเช่นเคย แล้วก็มีหญิงสาวคนหนึ่งมาเคาะประตูห้องของเขาพอดี เขาจึงกินยาไวอะกร้าเข้าไปหลายเม็ด ก่อนที่จะมีเซ็กซ์กับหญิงสาว และสุดท้าย เขาก็ต้องมาเสียชีวิตเพราะอาการช๊อคจนหัวใจหยุดเต้น


 


“รีบพาเขาไปโรงพยาบาลเร็วเข้า” พนักงานโรงแรมพูด


 


รถฉุกเฉินเดินทางมาถึงในเวลาไม่นาน


 


มันเป็นความจริงที่ว่า สิ่งมึนเมาเป็นพิษร้ายที่เข้าไปทิ่มแทงกระเพาะของผู้ดื่ม และเซ็กซ์คือมีดที่แหลมคมที่สามารถตัดกระดูกให้ขาดออกจากกันได้


 


การตายของเขาไม่ได้เกี่ยวของกับหวังเย้าเลยสักนิด เขาแค่นอนหลับช้ากว่าที่ตั้งใจเอาไว้ไปเล็กน้อยก็เท่านั้น


 


ขณะเดียวกัน เครื่องบินลำหนึ่งได้แล่นลงที่สนามบินปักกิ่ง


 


“สวัสดียามเย็นครับ คุณชายกั๋ว” ชายที่มารอรับกั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“เขามาที่ปักกิ่งเหรอ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม


 


“ครับ เราเห็นเขากับซูเสี่ยวซวีอยู่ด้วยกัน” ชายคนนั้นพูด


 


“อืม” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


เขาขึ้นไปนั่งบนรถด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก รอยยิ้มที่แสนเจิดจ้าไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย และถูกแทนที่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด


 


เขากล้าดียังไงถึงมาที่ปักกิ่ง! เขากล้าดียังไงถึงได้มาใช้เวลาอยู่กับเสี่ยวซวี!


 


เขาคิดไม่ถึงว่า หวังเย้าจะเดินทางมาที่ปักกิ่ง และทันทีที่เขาทราบข่าว เขาก็เดินทางมาปักกิ่งด้วยความโมโห


 


เขามักจะวางแผนก่อนจะลงมือเสมอ มันถือเป็นหลักการหนึ่งของเขา แต่ครั้งนี้ เขากลับทำก่อนคิด


 


ตอนที่อยู่บนเครื่อง เขาเอาแต่คิดว่า เขาจะทำอะไรได้บ้างและควรทำอะไรบ้าง เขาไม่ได้กลับไปที่บ้านและพักอยู่ที่อื่นแทน เขาไม่ต้องการให้คนในครอบครัวรู้ว่าเขากลับมา


 


วันต่อมา มันเป็นวันที่สดใสและแดดจ้า


 


“เอาน้ำไปด้วยนะจ๊ะ วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าอุณหภูมิจะอยู่ที่ 30 องศาเลยนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูดเตือนก่อนที่ซูเสี่ยวซวีจะออกจากบ้านไป


 


“รู้แล้วค่ะ คุณแม่” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“แล้ววันนี้จะไปที่ไหนกันเหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม


 


“ไปที่สวนสาธารณะเซียงชานค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“โอเคจ๊ะ ไปเถอะ ขอให้สนุกนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด


 


“ขอบคุณค่ะ คุณแม่ แล้วเจอกันนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


ชูเหลียนขับรถเพื่อพาซูเสี่ยวซวีไปรับหวังเย้าที่โรงแรม จากนั้น พวกเขาก็ตรงไปที่สวนสาธารณะเซียงชานกันต่อ


 


มันเป็นวันเสาร์พอดี ดังนั้น จึงมีคนมาเที่ยวอยู่เต็มไปหมด


 


สวนสาธารณะเซียงชานนั้นมีขนาดใหญ่มาก และมีหลายจุดที่น่าสนใจ มีต้นไม้อยู่ทั่วสวน ถึงแม้แดดจะค่อนข้างแรงและอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ภายในสวนสาธารณะกลับไม่ได้ร้อนเลย


 


พวกเขาไปที่วัด, ยอดเขาเซียงลู่, และบ้านเจียนซิน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น ทั้งสองคอยดูแลซึ่งกันและกัน ในขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่บนเขา หวังเย้าก็ได้ให้ความสนใจกับต้นไม้ในบริเวณนี้เป็นพิเศษ


 


เขาได้ยินมาว่า เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของเนินเขาเซียงชานถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ และต้นไม้แต่ละต้นก็มีความเก่าแก่อย่างมาก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)