Elixir Supplier 661-662

 661 คำเชิญ


 


“ฉันจะทำยังไงดี?” ภรรยาคนไข้ถาม


 


“เธอหมายความว่ายังไง?” แม่ของคนไข้ถาม


 


“เราจะทิ้งเขาให้นอนอยู่แบบนี้น่ะเหรอ?” ภรรยาคนไข้ถาม


 


“ให้หมอลองรักษาเขาดูก่อนดีกว่านะ” แม่คนไข้พูด


 


ภรรยาและแม่ของคนไข้ไม่สามารถตกลงกันได้ว่า จะย้ายคนไข้ไปรักษาที่อื่นดีหรือไม่ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้เชื่อข่าวลือซะทีเดียวด้วย พวกเขาไม่เคยพบคนที่ป่วยด้วยอาการเดียวกันและรักษาหายมาก่อน ดังนั้น พวกเขาจึงไม่อยากจะเสี่ยงในเรื่องนี้ พวกเขาไม่เชื่อว่า หมอในคลินิกเล็กๆจะสู้หมอในโรงพยาบาลใหญ่ๆได้ คนส่วนใหญ่ล้วนมีความคิดแบบเดียวกันนี้ ซึ่งมันก็สมเหตุสมผลดี


 


ในหลายๆเคส ยาสมุนไพรพื้นบ้านที่ว่ากันว่าสามารถรักษาได้หลายโรค มักจะเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงซะส่วนใหญ่


 


แต่ครั้งนี้ ครอบครัวของคนไข้รายนี้คิดผิด แต่แน่นอนว่า ในตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ตัวกัน


 


“เขายังอยู่ที่นี่ไหม?” พันจวินมาถามถึงคนไข้ที่มารักษาตัวในแผนกนี้เป็นครั้งที่สองของวันแล้ว “เขาเป็นยังไงบ้าง?”


 


“หา? คนไข้คนไหนเหรอครับ?” แพทย์ประจำแผนกถาม “คุณก็รู้ ว่าช่วงนี้คนไข้ของผมเยอะขนาดไหน”


 


“ก็คนที่มาเมื่อวานยังไงล่ะ” พันจวินพูด


 


“เขาอาการไม่ดีเท่าไหร่” แพทย์ประจำแผนกพูด “แล้วมันก็ทำให้ผมปวดหัวมากเลยตอนนี้”


 


“ผมอ่านรายงานผลตรวจเลือดของเขาแล้ว มันผิดปกติมากเลย” พันจวินพูด


 


“เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าผลเลือดของเขามันผิดปกติ เพราะเลือดของเขามีพิษปะปนอยู่” แพทย์ประจำแผนกพูด


 


“ใช่” พันจวินพูด “แต่คุณก็ยังหาวิธีรักษาที่ดีไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”


 


“ตอนนี้ยังหาไม่ได้ แต่ผมก็จะพยายามให้ถึงที่สุด แล้วทำไมคุณถึงได้สนใจคนไข้คนนี้ขนาดนี้ล่ะ? คุณรู้จักเขาเหรอ?” แพทย์ประจำแผนกสังเกตเห็นว่า พันจวินให้ความสำคัญกับคนไข้รายนี้เป็นพิเศษ ดังนั้น เวลาให้การรักษา เขาจึงใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่อาการของคนไข้ก็ยังคงแย่ลงอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสามารถของเขาแล้ว คงจะไม่สามารถทำให้เขาอาการดีขึ้นกว่านี้ได้


 


“เปล่า ผมแค่สงสัยเรื่องอาการของเขาเท่านั้นเอง” พันจวินพูด


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” แพทย์ประจำแผนกพูด


 


“ดียังไงเหรอ?” พันจวินถาม


 


“ก็ตอนนี้อาการของเขาแย่มากน่ะสิ” แพทย์ประจำแผนกพูด


 


“แย่แค่ไหนเหรอ?” พันจวินถาม


 


“ก็ มันอธิบายค่อนข้างยากนะ” แพทย์ประจำแผนกพูด


 


“แล้วสถานการณ์ของเขาตอนนี้อันตรายมากไหม?” พันจวินถาม


 


“ณ ตอนนี้ถือว่ายัง แต่ถ้าเขายังไม่ดีขึ้น เขาก็มีโอกาสที่จะเสียชีวิตสูงมากเลยล่ะ” แพทย์ประจำแผนกพูด


 


“จริงเหรอ?” พันจวินถาม


 


“อาการของเขาแย่ลงเรื่อยๆเลยน่ะสิ” แพทย์พูด


 


“แล้วคุณจะทำยังไง? ปล่อยเขาไว้อย่างนั้นน่ะเหรอ?” พันจวินถาม


 


“ไม่ใช่แน่นอน ผมได้แนะนำให้ครอบครัวของคนไข้ส่งตัวเขาไปโรงพยาบาลอื่นแล้ว” แพทย์พูด


 


“แล้วครอบครัวของเขาว่ายังไงบ้าง?” พันจวินถาม


 


“พวกเขาอยากให้เขาอยู่ที่นี่ต่ออีกสักหน่อยน่ะ” แพทย์พูด


 


“เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ” พันจวินพูด


 


“ไม่เป็นไร” แพทย์พูด


 


พวกเขาที่อยู่ที่นี่ไม่สามารถทำให้อาการของคนไข้ดีขึ้นได้ แต่แพทย์ที่โรงพยาบาลในเมืองสามารถทำได้ พันจวินไม่แน่ใจว่าเขาจะรักษาคนไข้ได้ดีแค่ไหน แต่เขามั่นมากว่า อาจารย์น้อยของเขาจะต้องรู้อย่างแน่นอน พรุ่งนี้ ฉันจะลองไปคุยกับหมอหวังดู แล้วเรียนเรื่องใหม่ๆจากเขาตอนอยู่ที่นั่นไปด้วย


 


ในขณะเดียวกัน หวังเย้าก็กำลังรักษาคนไข้คนสุดท้ายของเช้านี้อยู่ภายในคลินิก มันเกือบจะถึงเวลาเที่ยงแล้ว


 


“สวัสดีครับ คุณหมอ ดูเหมือนวันนี้จะยุ่งนะครับ” คนที่พูดเป็นชายวัย 40 คนหนึ่ง เขาสวมแว่นตาไม่มีกรอบและดูอ่อนกว่าวัยมาก


 


“ก็เรื่อยๆครับ” หวังเย้าเหลือบมองชายวัยกลางคน “คุณดูเหมือนจะไม่ได้ป่วยอะไรนี่ครับ”


 


“หา? ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ?” ชายวัยกลางคนถาม “ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย ช่วงนี้ น้ำตาลในเลือดของผมสูงขึ้นมานิดหน่อยด้วย ขอผมแนะนำตัวเองดีกว่านะครับ ผมมีชื่อว่า จูอี้ถาง เป็นรองผู้อำนวยการของโรงพยาบาลเหรินจี้ครับ” ชายวัยกลางคนหยิบนามบัตรของเขาออกมาและยื่นให้กับหวังเย้า


 


“โรงพยาบาลเหรินจี้เหรอครับ?” หวังเย้ารับนามบัตรมา


 


“ใช่ครับ โรงพยาบาลของเราเป็นโรงพยาบาลเอกชน ออฟฟิสหลักของเราตั้งอยู่ที่เมืองเว่ย เรายังมีสาขาย่อยอยู่ที่เมืองเต๋าและจี้ด้วย” จูอี้ถางพูด


 


“อ่อ” หวังเย้าพูด


 


“ผมได้ยินคนพูดเกี่ยวกับเรื่องของคุณมามาก แล้วเช้านี้ผมก็ได้เห็นถึงความสามารถที่สุดยอดของคุณแล้วด้วย” จูอี้ถางพูด “ฟังนะครับ ผมมาที่นี่เพื่อเชิญคุณไปทำงานกับเรา เราต้องการให้คุณทำงานเป็นแพทย์ประจำอยู่ในแผนกของแพทย์แผนจีน”


 


“ผมต้องขอโทษด้วย ผมไม่สนใจหรอกครับ” หวังเย้าพูด


 


“เรายินดีเสนอเงินให้คุณปีละ 200,000 หยวนเลยนะครับ” จูอี้ถางพูด


 


หวังเย้าไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับเรื่องเงิน และเริ่มเก็บกวาดข้าวของภายในคลินิก


 


“เรายังเสนอให้คุณได้ทำงานอยู่ในตึกที่ดีที่สุด ซึ่งมีอุปกรณ์ทันสมัยอยู่อย่างครบครัน คุณสามารถเลือกได้เลยนะครับว่าอยากจะทำงานที่สาขาไหน” จูอี้ถางพูด


 


“ขอปฏิเสธครับ” หวังเย้าพูด


 


“รวมรถอีกหนึ่งคัน ที่มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 200,000 หยวนด้วยนะครับ” จูอี้ถางพูด “คุณคิดว่ายังไงครับ?”


 


หวังเย้าหยุดเก็บของและมองไปที่จูอี้ถาง “อยากได้คนเก่งไปทำงานด้วยขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”


 


“เรายินดีที่จะลงทุนกับผู้มีพรสวรรค์อยู่แล้วล่ะครับ” จูอี้ถางพูด


 


สาเหตุที่โรงพยาบาลเหรินจี้สามารถขยายขนาดธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขาดึงเอาแพทย์ที่มีความสามารถมาทำงานให้พวกเขาได้ ในเมื่อพวกเขารู้อยู่แล้วว่า แพทย์ที่มีความสามารถมักจะดึงดูดคนไข้ได้ดีเสมอ ดังนั้น ฝ่ายบริหารของโรงพยาบาลจึงเสนอเงินเดือนจำนวนมากให้พวกเขา พวกเขายังรู้อีกด้วยว่า เงินเดือนที่สูงก็จะสามารถดึงดูดแพทย์ดีดีเข้ามาได้ด้วยเช่นเดียวกัน


 


“ขอโทษที่ทำให้คุณต้องเสียเวลานะครับ แต่ผมไม่สนใจ” หวังเย้าพูด


 


คนแบบไหนกัน ที่จะปฏิเสธข้อเสนอดีดีแบบนี้ได้?


 


จูอี้ถางขมวดคิ้ว เขาคิดว่า เขาไม่สามารถยื่นข้อเสนอที่ดีกว่าที่มีอยู่ได้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเขาได้รับการแนะนำมาจากเพื่อนของเขา และเขาไม่ได้มาเห็นความสามารถที่น่าอัศจรรย์ของหวังเย้าด้วยตาตัวเองล่ะก็ เขาก็คงไม่คิดจะเสนอเงินเดือนที่สูงขนาดนี้ให้กับหวังเย้า ทั้งๆที่เงินเดือนเท่านี้สามารถดึงดูดแพทย์จากโรงพยาบาลระดับสามมาได้อย่างง่ายดาย


 


“บอกผมทีสิ ว่าคุณยังต้องการอะไรอีก เรายินดีจะพิจารณาข้อเสนอของคุณนะครับ” จูอี้ถางพูด


 


“ผมชอบหมู่บ้านนี้ แล้วผมก็ไม่อยากทำงานให้ใครด้วย ขอโทษนะครับ ผมคงต้องขอตัวก่อน” หวังเย้าพูด


 


จูอี้ถางไม่มีอะไรจะเสนอให้เขาแล้ว และเดินตามหวังเย้าออกไปด้านนอก “หมู่บ้านนี้มีอะไรดีอย่างนั้นเหรอครับ?”


 


“ที่นี่มีอากาศบริสุทธิ์ แล้วก็เงียบสงบ ที่สำคัญ ที่นี่คือบ้านเกิดของผมครับ” หวังเย้าพูด


 


จูอี้ถางดูสับสน


 


“ช่างเถอะ ผมคิดว่าคุณคงจะไม่เข้าใจหรอก” หวังเย้าพูด


 


เขามองเห็นแค่เงินและผลประโยชน์ได้จากแววตาของจูอี้ถาง เขาไม่คิดว่า คนอย่างจูอี้ถางจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดออกมาได้


 


“ถ้าคุณเปลี่ยนใจ ช่วยบอกผมด้วยนะครับ” จูอี้ถางพูดในตอนที่เขาเดินไปขึ้นนั่งบนรถ แล้วก็ขับออกไป


 


“รองครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมครับ?” ผู้ช่วยที่อยู่ในรถถามเขา


 


“เขาเป็นพวกหัวดื้อ เอาแต่พูดเรื่องบ้านเกิด, อากาศบริสุทธิ์, ความสงบสุข โง่จริงๆ!” จูอี้ถางหัวเราะอย่างเย็นชา


 


ในตอนที่เขากำลังคิดว่าจะทำอะไรต่ออยู่นั้น รถก็เหวี่ยงออกเล็กน้อย มีรถสองคันขับผ่านรถของเขาไป คนพวกนั้นเป็นใครกัน? รถทั้งสองคันเป็นรถเบนซ์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ


 


“ป้ายทะเบียนจากเมืองเต๋า” จูอี้ถางพูด “พวกเขามาทำอะไรที่นี่กัน? อย่าบอกนะ ว่าพวกเขามาหาเขาน่ะ”


 


“พูดเป็นเล่นไปครับ!” ผู้ช่วยของจูอี้ถางพูด


 


“หยุดรถก่อน” จูอี้ถางพูด


 


เอี๊ยด! รถหยุดลง


 


จูอี้ถางลงมาจากรถ เขายืนอยู่ข้างทางและมองไปที่รถเบนซ์ทั้งสองคัน รถทั้งสองคันจอดอยู่กึ่งกลางของหมู่บ้าน แล้วก็มีคนลงมาจากรถหลายคน


 


“คนพวกนั้นเป็นใครกัน? เขาดูเหมือนจะมีคนใหญ่คนโตซะด้วย” จูอี้ถางพึมพำ เพราะเขาอยู่ห่างจากรถทั้งสองคันไปค่อนข้างไกล จึงทำให้เขาบอกไม่ได้ว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร


 


“พ่อ ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม


 


“พ่อผ่านมาทำธุระแถวนี้พอดีน่ะ ไหนๆก็จะผ่านทางนี้อยู่แล้ว พ่อก็เลยคิดว่า อยากแวะมาที่นี่สักหน่อย” ซุนเจิ้งหรงพูด


 


คนที่จูอี้ถางบอกไม่ได้ว่าเป็นใครนั้น เขาก็คือ ซุนเจิ้งหรง นั่นเอง


 


“สวัสดีครับ ลุงซุน” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“เหว่ยจวิน ดูเหมือนว่าจะฟื้นตัวได้ดีทีเดียวนะ” ซุนเจิ้งหรงพูด


 


“ครับ ผมดีขึ้นมากแล้ว ต้องขอบคุณคุณลุงที่แนะนำหมอหวังให้ผมด้วยนะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“ไม่เป็นไร เป็นเพราะเธอเป็นคนมีโชคด้วยน่ะสิ” ซุนเจิ้งหรงพูด


 


“สวัสดีครับ ประธานซุน” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


“คุณไม่จำเป็นต้องเรียกผมว่าประธานหรอกครับ” ซุนเจิ้งหรงพูด “เราไม่ได้มีโอกาสเจอกันบ่อยๆ ผมเลยอยากจะเชิญทุกคนมาทานอาหารกลางวันด้วยกันนะครับ”


 


“ขอบคุณครับ เราชวนหมอหวังมากินด้วยกันดีไหมครับ?” เจิ้งชื่อฉงเสนอ


 


“ผมจะถามหมอหวังดูเอง” ซุนหยุนเชิงพูด


 


หวังเย้าเห็นที่จอดอยู่ของพวกเขา และเดาว่า คนที่มาน่าจะเป็นซุนเจิ้งหรง


 


“สวัสดีครับ หมอหวัง ขอโทษที่มรรบกวน ผมอยากจะรู้ว่า หมอหวังว่างมาทานข้าวกับพวกเราไหมครับ?” ซุนหยุนเชิงเดินเข้าไปที่บ้านของหวังเย้า ซึ่งเป็นตอนที่จางซิวหยิงได้วางอาหารเอาไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว


 


มีอาหารอยู่สี่จานและซุปอีกหนึ่ง สำหรับพวกเขาสามคน


 


“เนื่องในโอกาสอะไรเหรอ” หวังเย้าถาม


 


“ผมแต่อยากจะเชิญคุณไปทานข้าวกลางวันที่บ้านเท่านั้นเอง” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“คงไม่ดีกว่า ขอบคุณนะครับ” หวังเย้าปฏิเสธคำเชิญโดยไม่ลังเล


 


แม่ของเขาทำอาหารเอาไว้แล้ว ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็น เขาก็ไม่อยากจะออกไปกินที่อื่น


 


“ไม่เป็นไร ขอโทษที่มารบกวนนะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“ฮาฮา หรือจะอยู่กินข้าวด้วยกันที่บ้านของผมดีล่ะครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ไม่ล่ะ ขอบคุณ พอดีพ่อของผมมาที่บ้าน ผมคงต้องกลับไปกินข้าวกับเขาน่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“อ่อ ถ้าอย่างนั้นก็ฝากสวัสดีพ่อของคุณด้วยนะ” หวังเย้าพูด


 


ซุนหยุนเชิงออกไปจากบ้านของหวังเย้าก็ความรู้สึกผิดหวัง


 


“ทำไมไม่ไปตามคำเชิญของคุณซุนล่ะจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ผมไม่ชอบกินข้าวกับพวกนักธุรกิจน่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ก็จริง กินข้าวเถอะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด


 


“อยากชนแก้วกับพ่อสักหน่อยไหม?” หวังเฟิงฮวาถาม


 


“เอาสิครับ” หวังเย้าลุกขึ้นไปหยิบไวน์ด้วยรอยยิ้ม เขาเทไวน์ใส่แก้วให้พ่อของเขาและตัวเอง


 


ภายในบ้านของซุนหยุนเชิง ได้มีการเตรียมอาหารเอาไว้มากมาย


 


“แม่ของหมอหวังทำอาหารเอาไว้แล้ว เขาก็เลยไม่ได้มากินกับเราน่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“ไม่เป็นไร ไว้หลังจากนี้ พ่อค่อยแวะไปหาเขาเอง” ซุนเจิ้งหรงพูด


 


หวังเย้าอยู่นั่งคุยกับพ่อแม่ของเขาอยู่อีกสักพัก ก่อนที่จะออกจากบ้านเพื่อไปที่คลินิก


 


“สวัสดีครับ คุณซุน” เขาพบว่า ซุนเจิ้งหรงมารอเขาอยู่ที่หน้าคลินิก


 


“สวัสดี หมอหวัง” ซุนเจิ้งหรงพูด


 


“เชิญเข้ามาข้างในก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด


 


หลังจากที่พวกเขาเดินเข้าไปในคลินิกแล้ว หวังเย้าก็ชงชาให้กับซุนเจิ้งหรง


 


“ดื่มชาก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด


 


“ขอบคุณ” ซุนเจิ้งหรงพูด “หวังว่า ซุนเชิงคงจะไม่ได้มาสร้างปัญหาให้ที่นี่นะ”


 


“ฮาฮา ไม่เลยครับ” หวังเย้าพูด


 


“ผมได้ยินมาจากเหว่ยจวินกับหยุนเชิงว่า หมอสนใจจะก่อตั้งบริษัทยาขึ้นมา” ซุนเจิ้งหรงพูด


 


“ใช่ครับ ผมสนใจเรื่องนี้อยู่” หวังเย้าพูด


 


“ถ้าหมอจริงจังกับเรื่องนี้ ผมอาจจะพอช่วยได้นะ” ซุนเจิ้งหรงพูด


 


“จริงเหรอครับ?” หวังเย้ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขาหมายความว่ายังไงกัน? เขาต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องนี้เหรอ?


 


ซุนเจิ้งหรงเป็นนักธุรกิจที่มีสายตากว้างขวาง เขาฉลาดเป็นกรด ทำให้เขารู้ได้ว่าบริษัทยาที่หวังเย้าคิดจะก่อตั้งขึ้นมาจะสามารถสร้างกำไรได้มากแค่ไหน แล้วยังรวมไปถึงความสามารถการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ของหวังเย้าอีกด้วย ซุนเจิ้งหรงเคยได้ยาสมุนไพรของหวังเย้าและก็ต้องประหลาดใจกับผลลัพธ์ของมัน ถ้าหากสมุนไพรเหล่านั้นสามารถผลิตออกมาในปริมาณมากได้ มันจะเป็นการสร้างกำไรได้อย่างมหาศาล นอกจากนี้ การทำงานร่วมกับหวังเย้าก็ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลซุนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสามตัว ทำไมเขาจะไม่สนใจล่ะ?


 


“ผมยังไม่ได้ตัดสินใจเลยครับว่าจะเอายังไง” หวังเย้าพูด


 


“อืม ผมก็แค่เสนอเท่านั้นเอง” ซุนเจิ้งหรงพูดด้วยรอยยิ้ม


 


เขาไม่ได้อยู่ที่คลินิกนานมาก เพราะหวังเย้ายังมีคนไข้ที่ต้องตรวจในช่วงบ่าย


 


ดูเหมือนพวกเขาจะอยากให้ฉันทำบริษัทมากเลยนะเนี่ย หวังเย้าคิด


 


“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” คนไข้ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา


 


“สวัสดีครับ” หวังเย้าพูด


 


เขารู้จักคนไข้รายนี้ เธอมีอายุประมาณ 60 และอาศัยอยู่ในหมู่บ้านไม่ไกลจากที่นี่มาก


 


“หมอหวัง ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยล่ะ ตอนนี้ฉันไม่ปวดหัวกับหน้ามืดแล้วด้วย” เธอพูด “หมอช่วยตรวจอีกทีได้ไหม? ฉันยังต้องกินยาอยู่รึเปล่า?”


 


“ผมขอตรวจหน่อยนะครับ” หวังเย้าตรวจดูคนไข้อย่างละเอียด “ดีมากครับ คุณป้าไม่ต้องกินยาแล้ว แค่ต้องระวังเรื่องสุขภาพหน่อยก็พอครับ”


 


“ขอบคุณมากนะหมอ” เธอพูด


 


“ยินดีครับ” หวังเย้าพูด


 


พันจวินเข้ามาในคลินิก ในตอนที่หวังเย้ากำลังตรวจคนไข้รายที่สอง


 


“สวัสดี หมอหวัง” พันจวินพูด


 


“สวัสดีครับ วันนี้ไม่ทำงานเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ไม่ทำ” พันจวินตั้งใจจะมาตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว แต่เขามีเรื่องอื่นให้ต้องจัดการก่อน


662 ผู้มาเยือนยามฝนโปรย


 


“ถ้างั้นก็ คนไข้ทั้งหมดนี้มีปัญหาเรื่องปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ พี่จัดการได้เลยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“โอเค” พันจวินพูด


 


เขามาที่นี่ก็เพื่อเรียนรู้จากอาจารย์ของเขา และกระตือรือร้นที่จะได้รับทักษะใหม่ๆ เขาพร้อมที่จะเริ่มงานแล้ว


 


“หมอหวัง คนนี้ใครเหรอ?” คนไข้คนหนึ่งถาม


 


“ผมเป็นลูกศิษย์ของหมอหวังครับ” พันจวินพูด “ผมทำงานเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลเหลียนชาน”


 


“โอ้ โรงพยาบาลประจำเขตน่ะเหรอ?” คนไข้ถาม


 


“ใช่ครับ” พันจวินพูด


 


เขาลงมือรักษาคนไข้อย่างมีความสุข เขาใช้เทคนิคการนวดได้อย่างคล่องแคล่ว การฝึกฝนจะช่วยเพิ่มความชำนาญ และเขาก็ฝึกฝนมาตลอด


 


“ฝีมือพัฒนาขึ้นเยอะเลยนะครับ” หวังเย้าพูดในขณะที่เขาคอยสังเกตการณ์ทำงานของพันจวิน


 


“ฉันฝึกอยู่ที่คลินิกของพี่สาวทุกครั้งที่มีโอกาสน่ะ” พันจวินพูด


 


หวังเย้าลงชาให้กับเขา


 


พันจวินรักษาคนไข้ของหวังเย้าไปสามคน และการรักษาของเขาก็มีประสิทธิภาพอย่างมาก


 


“เก่งนะ ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลย” คนไข้ชายวัย 60 พูด


 


“ผมดีใจที่คุณรู้สึกดีขึ้นนะครับ” พันจวินพูด “คุณยังต้องรับการรักษาอีกสองครั้ง เพื่อให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้นไปอีกนะครับ”


 


“ได้ๆ” คนไข้พูด


 


หลังจากคนไข้ทั้งหมดกลับไปแล้ว หวังเย้าก็ชวนพันจวินไปทานอาหารด้วยกันที่ร้านอาหารใกล้บ้าน


 


“หมอหวัง จริงๆฉันมาวันนี่ก็เพราะมีเรื่องอื่นด้วย” พันจวินพูด


 


“เรื่องอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“อาการของคนไข้ที่ฉันบอกกับอาจารย์ไปเมื่อวาน คนที่ถูกแมลงกัดน่ะ ตอนนี้อาการของเขาเริ่มแย่ลงแล้วนะ” พันจวินพูด “อาจารย์ช่วยเขาได้ไหม?”


 


“คนที่มาจากหมู่บ้านหลี่น่ะเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


พันจวินพยักหน้ายืนยันคำตอบ


 


“ช่วยได้สิครับ” การรักษาคนไข้รายนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหวังเย้าเลย เขาเพียงแค่ต้องใช้สมุนไพรแก้พิษอย่างเดียวเท่านั้น


 


“ถ้าเขาไม่ได้รับการรักษาในทันที ฉันคิดว่า เขาคงจะไม่รอด” พันจวินพูด


 


“คงต้องให้เขามาที่คลินิกของผมให้ได้ก่อนน่ะสิครับ” หวังเย้าพูด


 


“มันก็จริง” พันจวินพูด


 


พวกเขากลับไปที่คลินิกของหวังเย้าหลังจากที่ทานอาหารกลางวันกันเสร็จแล้ว เมื่อยังไม่มีคนไข้มา พันจวินก็ข้อคำแนะนำจากหวังเย้าสองสามคำถาม เขาพบเจอปัญหาเหล่านี้จากการที่ได้รักษาคนไข้ในคลินิกพี่สาวของเขาเอง เขาสะสมประสบการณ์จากการลงมือทำและเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงไปด้วย


 


“เป็นคำถามที่ดีมากเลยนะครับ” จากคำถามของเขา ทำให้หวังเย้ารู้ได้เลยว่าพันจวินฝึกฝนอย่างหนัก และความรู้ในเรื่องแพทย์แผนจีนของเขาพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาเห็นได้ว่า ฝีมือของพันจวินพัฒนาขึ้นทุกครั้งที่เจอหน้ากัน


 


“เมื่อไหร่ที่พี่แตกฉานเกี่ยวกับทฤษฎีและเทคนิคการนวดแล้ว ผมจะสอนอย่างอื่นให้นะครับ” หวังเย้าพูด


 


“เยี่ยมไปเลย” พันจวินพูดด้วยรอยยิ้ม


 


เขากระตือรือร้นที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ แต่เขาก็รู้ความสามารถของตัวเองดี จุดแข็งของเขาก็คือ เขาตั้งใจกับสิ่งที่เขากำลังศึกษาอยู่เสมอ เขาจะเลือกเรียนทักษะใหม่ที่เหมาะกับความสามารถของเขาเอง และไม่รับอะไรที่มากจนเกินพอดี


 


ในโรงพยาบาลเหลียนชาน คนไข้ที่ถูกแมลงกัดถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลห่ายชิว


 


แพทย์ของโรงพยาบาลห่ายชิวก็ไม่รู้เช่นกันว่าต้องทำยังไงกับคนไข้รายนี้ เพราะพวกเขาไม่เคยเจอคนไข้อาการคล้ายแบบนี้มาก่อน


 


“เดี๋ยวนะ! ฉันว่า ฉันเคยเจอเคสคล้ายๆแบบนี้มาก่อนนะ” หลังจากอ่านรายละเอียดอาการของคนไข้เสร็จแล้ว แพทย์คนหนึ่งก็พูดขึ้นมา


 


เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า คนไข้ที่ป่วยด้วยอาการเดียวกันนี้เป็นคนจากตระกูลใหญ่ ที่มีแพทย์หลายคนมารวมตัวกันเพื่อรักษาเขาเพียงคนเดียว


 


“ใช่! เขานั่นเอง!” แพทย์คนนั้นพึมพำ


 


“นายกำลังพูดอะไรอยู่เหรอ?” แพทย์อีกคนถาม


 


“ฉันเคยเจอเคสที่คล้ายกันมาก่อน” เขาพูด


 


“จริงเหรอ?” เพื่อนรวมงานของเขาถาม


 


“ใช่ แต่เขาไม่ได้หายเพราะฝีมือของเรานะ เขาหายเพราะได้ยาสมุนไพรจากหมอคนหนึ่งที่อยู่ในเหลียนชานน่ะ” แพทย์พูด


 


“แต่คนไข้เคสนี้มาจากเหลียนชาน แล้วที่เขาถูกส่งมาที่นี่ ก็เพราะหมอที่โรงพยาบาลเหลียนชานรักษาเขาไม่ได้” เพื่อนร่วมงานของเขาพูด


 


“งั้นเรามาลองรักษาเขาดูก่อนก็แล้วกัน” เขาพูด


 


พวกเขาได้ให้ยากับคนไข้ไป แต่มันกลับไม่ได้ผล มันเป็นพิษที่ไม่มีใครรู้จัก และอาการของคนไข้ก็ทรุดลงเร็วมาก พวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการรักษาอาการแบบนี้มาก่อน ดังนั้น พวกเขาจึงต้องเดินข้ามแม่น้ำและเหยียบหินไปบ้าง


 


ฝนเริ่มตกลงมาในหมู่บ้านของหวังเย้า อากาศในช่วงนี้ค่อนข้างแปรปรวน


 


บางทีอาจจะเป็นเพราะฝนที่ตกลงมา ทำให้หวังเย้าไม่มีคนไข้เลยตั้งแต่บ่ายสามเป็นต้นไป หลังจากนั้นอีกหนึ่งชั่วโมง พันจวินก็ขอตัวกลับ


 


ฝนตกลงมาไม่ทันให้ได้ตั้งตัวเลย หวังเย้าคิด


 


เขานั่งอ่านหนังสืออยู่ภายในคลินิก หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็เล่นอินเตอร์เนตในมือถือ


 


นี่อะไรน่ะ?


 


เขาเห็นข่าวบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านของเขา มันได้มีการบรรยายเอาไว้ว่า มีคนตายหลังถูกแมลงกัดเป็นจำนวนมาก


 


เขากดเข้าไปอ่าน และพบว่า คนที่เขียนบทความนี้ได้เขียนไปในแง่บวก มันอธิบายเอาไว้ว่า มีการพบแมลงชนิดหนึ่งในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคระบาด มีคนตายไปเป็นจำนวนมาก หลายคนต่างก็รู้เรื่องนี้กันดี แต่ทางรัฐบาลได้ห้ามไม่ให้คนกระจายข่าวนี้ออกไป


 


หวังเย้าเลื่อนอ่านคอมเมนต์ด้านล่าง และพบว่า คนจากพื้นที่อื่นก็ให้ความสนใจกับข่าวนี้เหมือนกัน มีคอมเมนต์ที่น่าสนใจอยู่อันหนึ่ง ได้เขียนเอาไว้ว่า : [ใช่แล้วล่ะ! เพื่อนฉันก็เกือบตายที่นั่นแล้วเหมือนกัน]


 


บางทีเพื่อนของเขาคนนั้นอาจจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นสามคนที่มาเมื่อวันก่อนก็ได้ หวังเย้าคิด


 


มีคอมเมนต์อื่นๆอีก เช่น [มันเป็นแมลงแบบไหนเหรอ?] และ [เอารูปมาให้ดูหน่อยสิ]


 


บางคนเพียงแค่อยากจะทำให้เรื่องมันใหญ่โตขึ้นไปอีก มีอีกคอมเมนต์ที่เขียนเอาไว้ว่า [ที่รีสอร์ทน้ำพุร้อนในหมู่บ้านหลี่ก็มีแมลงแบบนี้เหมือนกัน มีคนถูกมันกัดไปหลายคนแล้วด้วย]


 


คอมเมนต์มีมากมายไม่จบไม่สิ้น รวมไปถึงเรื่องเกี่ยวกับหมู่บ้านหลี่ด้วย


 


[มันเริ่มกระจายมาที่หมู่บ้านของเราแล้วรึยัง?]


 


[เรื่องจริงเหรอเนี่ย?]


 


คนที่เคยไปพื้นที่เหล่านั้นมาก่อนก็เข้ามาคอมเมนต์เช่นเดียวกัน


 


[ฉันสงสัยมามันจะเป็นเรื่องจริงรึเปล่าน่ะสิ ฉันไปที่นั่นมาตั้งสองครั้ง แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องแมลงพวกนี่เลยล่ะ?]


 


[ฉันว่า ต้องมีคนคิดสร้างข่าวลือเพื่อทำลายธุรกิจที่กำลังไปได้ดีของคนที่อยู่ที่นั่นแน่]


 


หวังเย้าอ่านคอมเมนต์ต่ออีกสักพัก ก่อนจะปิดมือถือและหันไปอ่านหนังสือต่อ ด้านนอกฝนยังคงตกอยู่


 


บนเนินเขาซีชาน พื้นที่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยปูนขาวได้เกิดปฏิกิริยากับน้ำฝนจนกลายเป็นด่าง


 


จี๊ด! มาบางอย่างออกมาจากตรงนั้น ในคือหนูตัวหนึ่ง มันยื่นศีรษะออกมาด้านนอกจนโดนน้ำฝนและมองไปรอบๆ จากนั้น มันก็หดศีรษะกลับเข้าไปอีกครั้ง


 


เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ ฝนยังคงตกลงมาไม่หยุด เช้าวันต่อมา ท้องฟ้ายังคงไม่สดใส ถึงแม้ว่าฝนจะหยุดตกไปแล้วก็ตาม สายลมที่พัดผ่านแสดงให้เห็นว่า ฝนสามารถตกลงมาได้ทุกเมื่อ


 


มีคนสองคนมาที่หมู่บ้านในตอนเช้า


 


“ใช่ที่นี่แน่นะ?” หนึ่งในพวกเขาถามขึ้นมา


 


“ใช่สิ” อีกคนพูด


 


ทั้งสองสวมเสื้อผ้าธรรมดา หนึ่งในพวกเขามีอายุประมาณ 30 ส่วนอีกคนมีอายุประมาณ 40 ทั้งสองมีร่างกายค่อนข้างเตี้ย


 


“ที่นี่คือเนินเขาซีชานเหรอ?” ชายวัย 30 ถาม


 


“ใช่แล้วล่ะ” ชายวัย 40 พูด


 


“เดี๋ยวผมจะลองไปถามคนแถวนี้ดู” ชายวัย 30 พูด


 


เพราะอากาศที่ไม่เป็นใจ ทำให้ไม่มีคนเดินอยู่ตามท้องถนน พวกเขาจึงไปเคาะประตูที่บ้านหลังหนึ่ง


 


“เนินเขาซีชานเหรอ? พวกคุณจะไปที่นั่นกันทำไม?” เจ้าของบ้านถาม “มันอยู่ตรงนั้นไง แต่มันอันตรายมากนะ ฉันแนะนำว่าอย่าไปที่นั่นเลย”


 


“ตรงนั้นสินะครับ ขอบคุณนะครับ” ชายวัย 40 พูด


 


ทั้งสองเดินไปตามเส้นทางที่เจ้าของบ้านบอก ฝนเริ่มตกลงมาอีกครั้ง


 


“เราเริ่มกันเลยไหม?” ชายวัย 30 ถาม


 


“อืม” ชายวัย 40 พูด


 


คลืน! มีเสียงหนึ่งดังขึ้น


 


“ตรงนี่” ชายวัย 30 พูด


 


ไม่นาน พวกเขาก็หาสถานที่อันตรายเจอ


 


“ถูกที่แน่นะ?” ชายวัย 40 ถาม ทั้งสองเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียด


 


“น้ำฝนทำลายไปหลายอย่าง ผมขอดูก่อนนะ” ชายวัย 30 พูด


 


เขากระโดดเข้าไปในหลุมและเริ่มมองหาบางอย่าง อยู่ๆเขาก็แทงมือลงไปในพื้นดินและดึงมือกลับ


 


จี๊ด! มีหนูตัวหนึ่งอยู่ในกำมือของเขา


 


“ไอ้หนูนี่ ฉันล่ะเกลียดหนูจริงๆ” เขาพูด


 


จี๊ด! หนูพยายามที่จะหลุดจออกเป็นอิสระและกัดมือของเขา


 


“สมควรตาย” เขาพูด


 


แล้วอยู่ๆหนูก็ชักกระตุกและตายลง ร่างกายของมันเหือดแห้งกลายเป็นเพียงซากศพ ราวกับว่ามันตายอยู่ในทะเลมาเป็นเวลานานมากแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)