Elixir Supplier 649-656

 649 แม้แต่เทพเจ้าก็ถูกซื้อได้ด้วยเงิน


 


ในเมืองแห่งนี้ คำพูดของเขามีผลมากกว่าผู้มีอำนาจหลายๆคน การที่ซุนเจิ้งหรงมีอารมณ์รุนแรงและใช้น้ำเสียงที่ไม่ดี มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะเขาต้องเจอกับการโจมตีถึงสองครั้งแล้ว และที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ การหาตัวคนร้ายไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย


 


การมาของอธิบดีซวีมีอยู่ด้วยกันสองเรื่อง หนึ่งเพื่อแจ้งเขาเกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆ ส่วนอีกเรื่อง ก็เพื่อขอให้ซุนเจิ้งหรงคอยควบคุมกองกำลังใต้ดินของเมืองเต๋า รางวัลที่เขาเสนอไป เป็นเหมือนกับการโยนระเบิดเข้าไปในน้ำมัน จนเกิดการระเบิดครั้งใหญ่


 


เขาจึงเข้าใจในเรื่องนี้ดี ในเมื่อตัวเขาเองเป็นผู้มีประสบการณ์ในแวดวงของตำรวจ เหล่าคนใต้ดินต่างยินดีทำทุกอย่างเพื่อเงิน รวมไปถึง การทำลายความสัมพันธ์ในพวกเดียวกันเองด้วย ขอแค่ได้เงินมากพอ การทรยศก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา


 


การเสนอรางวัลในครั้งนี้ ได้ทำให้ความสงบสุขในเมืองเต๋าหายไป เหมือนอย่างที่คนพูดกันว่า หากมีเงิน ก็สามารถทำให้ปีศาจยกหินโม่ได้ คนเหล่านั้นได้ถูกอำนาจของเงินเข้าครอบงำไปแล้ว


 


ก่อนจะมาที่นี่ เขาคิดว่ามันอาจจะเป็นไปตามที่เขาคิด แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวัง


 


“ผมต้องขอตัวก่อน” อธิบดีซวีพูด “ขอโทษที่รบกวนนะครับ”


 


“อาหลิน ช่วยส่งท่าอธิบดีด้วย” ซุนเจิ้งหรงพูด


 


หลังการโจมตีถึงสองครั้ง มันก็ทำให้เขาอยู่ในอารมณ์ที่เลวร้ายมาก ความจริง ควรจะเป็นสามครั้งมากกว่า ผู้บุกรุกมีอยู่แค่สองคนเท่านั้น แต่พวกเขากลับไม่มีร่องรอยให้ตามจับได้เลย เขาไม่เคยเจอะเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน


 


การมีศัตรูที่ร้ายกาจก็ไม่ได้ถือว่าเลวร้ายเท่าไหร่ แต่ที่แย่ก็คือ การที่ไม่รู้ถึงพื้นหลังและความสามารถของศัตรูต่างหาก


 


ภายในโรงเก็บของร้างในเมืองเต๋า ชายคนหนึ่งถาม “พี่โอเคไหม?”


 


แค่ก! แค่ก! แค่ก! “ไม่ต้องห่วง” เมื่อเขาพูดออกมา ก็มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของเขาด้วย


 


ในการต่อสู่ที่วิลล่านั้น เมื่อระเบิดแสงเกิดการระเบิด มันทำให้พวกเขาเกิดความสับสนและสูญเสียการควบคุม ดังนั้น ตัวเขาจึงได้รับบาดเจ็บไปด้วย มันเป็นอาการบาดเจ็บที่อวัยวะภายใน โชคดีที่อวัยวะของเขาได้รับการฝึกด้วยวิธีพิเศษมา มันจึงไม่ได้ส่งผลเสียหายในระยะยาว


 


“เราอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว” ชายที่ได้รับบาดเจ็บพูด


 


“ผมรู้ ผมจะกลับไปกับพี่” ชายอีกคนพูด


 


“ตราบใดที่ยังไม่ตาย เราก็ยังมีหวัง” ชายที่ได้รับบาดเจ็บพูด


 


ทั้งสองเตรียมจะออกไปจากเมืองเต๋า แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผู้คนต่างก็กำลังตามหาตัวพวกเขากันให้ควัก จำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นถึง 100 ล้าหยวนได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่ว


 


คนจำนวนมากได้ใช้ทุกวิถีทางในการตามหาตัวพวกเขา ไม่ว่ามันจะยากเย็นแค่ไหน แต่ด้วยความมุมานะที่มี ไม่นานก็จะต้องมีคนตามเจอจนได้ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ที่จะตามหาตัวคนในเมืองเต๋า


 


เมื่อร่องรอยของพวกเขาได้รับการยืนยัน เมื่อนั่น โอกาสก็จะมาถึง คนมากมายทำการค้นหาไปทั่ว ราวกับแมลงวันที่ได้กลิ่นของเสีย ถึงคำเปรียบเทียบอาจจะดูไม่สวยงาม แต่มันก็ทำให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน


 


“พวกมันน่ารังเกียจจริง!” เมี่ยวชิงเฟิงคิดอยากที่จะฆ่าคนเหล่านี้ แต่เขาก็ต้องหยุดตัวเองไว้


 


ร่องรอยของเขาถูกเปิดเผย เพราะกู่ชุนฉือรู้จักเขา ถ้าเขาไม่ยั้งใจตัวเองไม่ให้ฆ่าคนเหล่านี้เอาไว้ แม้แต่อาจารย์ก็คงจะช่วยเขาไม่ได้ และมันยังจะส่งผลกระทบร้ายแรงไปยังบ้านเกิดและโรงเรียนของเขาด้วย ตอนนี้ มันคือสังคมที่สงบสุข ที่ผู้คนสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้ มันเป็นสถานที่ที่มีกฎระเบียบควบคุมอยู่


 


มันกลายเป็นเรื่องยุ่งยากเมื่อร่องรอยของพวกเขาถูกเปิดเผย ทั้งสองได้รับบาดเจ็บจากการถูกระเบิด คนกลุ่มแรกที่หาพวกเขาเจอได้ปาระเบิดที่มีอานุภาพรุนแรงเข้าใส่ ถึงแม้พวกเขาจะสามารถป้องกันกระสุนหรือของมีคมได้ แต่พวกเขาก็ต้านทานเปลวไฟไม่ได้


 


ดังนั้น มันจึงทำให้เมี่ยวชิงเฟิงโกรธขึ้นมา เขาจึงลงมือกับคนพวกนั้น และฆ่าคนตายไปถึงสาม ข่าวการตายของคนทั้งสามได้กระจายออกไปออกรวดเร็ว คนที่ตามมาทีหลังจึงได้รู้ว่า เงิน 100 ล้านหยวนไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ ดังนั้น พวกเขาจึงคลั่งมากกว่าเดิมหลายเท่า


 


แฮ่ก! แฮ่ก! “เหนื่อยโว้ย!” เมี่ยวชิงเฟิงยังคงสามารถสงบใจและนิ่งเฉยอยู่ได้ เขาประเมินคนพวกนั้นและอำนาจของเงินต่ำเกินไป


 


ภายในสถานีตำรวจเมืองตำรวจได้มีการประกาศจับออกไป เมื่อตัวเลขการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ชายสองคนจึงถูกกำหนดให้มีความอันตรายในระดับสูง


 


พวกเขาติดรูปเอาไว้ตามป้ายรถเมล์, สถานีรถไฟ, สนามบิน,และทุกที่ที่จะได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก


 


“มันยุ่งยากกว่าที่พวกเราคิดไว้ซะแล้วสิ” เมี่ยวชิงเฟิงพูด


 


พวกเขาสามารถปลอมแปลงตัวเองเพื่อเดินทางออกจากเมืองได้ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขา แต่การเดินทางไปให้ถึงบ้านกลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย


 


“ตอนนี้ จะซื้อตั๋วก็ต้องใช้ชื่อจริงนามสกุลจริงอีก” เมี่ยวชิงเฟิงพูด “ฉันว่า เราคงจะกลับด้วยวิธีธรรมดาไม่ได้แล้วล่ะ”


 


พวกเขาจึงโบกรถบรรทุกขนส่งเพื่อเดินทางออกจากเมืองเต๋าไปอย่างเงียบเชียบ


 


ผู้คนในเมืองเต๋าต่างก็กลัวว่าทั้งสองจะหลบหนีออกจากเมืองไป ตอนนี้ พวกเขารู้ตัวตนของหนึ่งในนั้นแล้ว อย่างน้อยๆ พวกเขาก็มีตัวเลือกในการค้นหาพวกเขามากขึ้นอีกหนึ่ง


 


“เราจ่ายเงินให้ชายคนหนึ่งในหมู่บ้านนั้นครับ” ชายคนหนึ่งพูด “จ้าวหยิงหาวไปที่นั่นเมื่อสามเดือนก่อน ส่วนเมี่ยวชิงเฟิงเคยมีคดีฆาตกรรมด้วยครับ”


 


“ดี” อธิบดีซวีพูด เมื่อมีข้อมูลมากขึ้น เรื่องทุกอย่างก็จะง่ายมากขึ้น “ผู้นำของหมู่บ้านนั้นชื่อว่าอะไร?”


 


“เมี่ยวซีเหอ ครับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาพูด “เขาเป็นลุงของเมี่ยวชิงเฟิงครับ”


 


“พวกเขาสนิทกันรึเปล่า?” อธิบดีซวีถาม


 


“ครับ ตอนที่เขาก่อคดีฆาตกรรม เมี่ยวซีเหอก็คือคนที่เข้าไปหยุดเขาเอาไว้” ผู้ใต้บังคับบัญชาพูด “แล้วเขาก็ถูกลงโทษกักบริเวณเป็นเวลาหนึ่งปี”


 


“นายไปจัดการเรื่องนี้ได้เลย” อธิบดีซวีพูด “ไม่ว่าใครก็ตามที่สร้างปัญหา เขาก็จะต้องชดใช้ไม่ว่าเขาจะหนีไปอยู่ที่ไหนก็ตาม”


 



 


ในหมู่บ้านที่ไกลออกไปหลายพันไมล์ เจิ้งชื่อฉงได้พาเจิ้งเหว่ยจวินออกไปเดินเล่นในหมู่บ้าน


 


“ลุงครับ ผมได้ยินมาว่า ชาวบ้านกำลังจะย้ายออกกันเหรอครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม


 


“ใช่ ก็เพราะเรื่องโรคระบาดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไปได้ไม่นานนั่นแหละ” เจิ้งชื่อฉงพูด “ต้นเหตุของโรคมันอยู่บนเนินเขาซีชาน มันก็เลยทำให้ชาวบ้านกลัวกันไปหมด แล้วที่ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลซุนยังให้ข้อเสนอที่น่าสนใจกับชาวบ้านและรับแลกเปลี่ยนบ้านกับห้องในราคาเท่ากันด้วย ชาวบ้านเกินครึ่งก็เลยเลือกจะย้ายออกไปอยู่อพาร์ทเมนต์ของตระกูลซุนแทน”


 


“ผมว่า แบบนั้นก็ดีนะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “อืมมม ลุงคิดว่ายังไง ถ้าเราจะซื้อบ้านเก่าที่หมู่บ้านนี้เอาไว้สักหลังครับ?”


 


“ไม่มีปัญหา” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


พวกเขาร่ำรวยจากธุรกิจขนาดใหญ่ และยังรวยกว่าตระกูลซุนด้วยซ้ำ เงินที่ใช้ซื้อบ้านเก่าหนึ่งหลังนั้นไม่ได้ทำให้ตัวเงินในบันชีของพวกเขาเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด


 


“หลายวันนี้ หมอหวังงานยุ่งมากเหรอครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม


 


เขามองไปที่รถหลายคันที่จอดอยู่ด้านนอก


 


“อืม ช่วงนี้ มีคนมารักษากับเขาเยอะขึ้นมาก” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


หวังเย้านั้นงานยุ่งตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น ไปจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ในวันที่ยุ่งที่สุด เขาจะมีคนไข้ที่ต้องรักษามากกว่า 30 คนขึ้นไป


 


คนมาที่นี่กันเยอะมาก ฉันคงทำคนเดียวไม่ไหวแน่ หวังเย้าเอาแต่คิดเรื่องนี้ เขาจึงได้ตั้งกฎขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง


 


เขาจะรับคนไข้แค่ 20 คนต่อวันเท่านั้น ทุกคนจะได้เข้าตรวจตามหมายเลยที่ทุกคนได้รับ แต่แน่นอนว่า เคสคนไข้ฉุกเฉินใกล้ตายถือเป็นข้อยกเว้น


 


ชื่อเสียงของหวังเย้าได้กระจายจากเมืองใกล้ๆไปยังที่ต่างจนทั่วเหลียนชาน รวมไปถึงเขตอื่นที่อยู่ใกล้ๆกับเหลียนชานด้วย ด้วยชื่อเสียงที่กระจายออกไปนี้ จึงทำให้มีคนเดินทางมารักษากับเขามากขึ้น ไม่ต่างจากร้านอาหารที่มีอาหารรสชาติเยี่ยมคอยดึงดูดลูกค้าเข้ามามากขึ้น


 


มีคนเดินทางมารักษาที่คลินิกของหวังเย้ามากขึ้น แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านกลับลดน้อยลง ชาวบ้านเริ่มย้ายออกกันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยคำพูดที่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เช่น “มีแมลงอยู่บนเนินเขาซีชาน แล้วคนก็จะตายทันทีที่ถูกมันกัด”


 


“เสี่ยวเย้า บนเนินเขาซีชานมีแมลงเหมือนอย่างที่ลูกพูดเอาไว้คราวก่อนจริงเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถามในระหว่างที่ทานอาหารมื้อเที่ยง


 


“จริงครับ” หวังเย้าพูด


 


“ไม่ใช่ว่าพวกมันตายไปหมดแล้วเหรอ?” จางซิวหยิงถาม


 


“เปล่าหรอกครับ” หวังเย้าพูด “การจะกำจัดพวกมันให้หมด เป็นเรื่องที่ยากมาก”


 


“เนินเขาซีชานคงจะกลายเป็นดินแดนรกร้างไปซะแล้ว” จางซิวหยิงพูด


 


“มันก็ไม่ถึงกับแย่ขนาดนั้นหรอกครับ” หวังเย้าพูด “หลังจากนี้อีกสักพัก ผมว่าจะเอาต้นอะไรไปปลูกที่นั่นด้วย เนินเขาซีชานยังเอาไปทำอะไรได้อีกเยอะครับ”


 


เช้าวันถัดมา มีชายวัย 30 มาที่คลินิก เขารับป้ายคิวและเดินไปต่อแถว


 


“คุณนั่นเอง” หวังเย้าพูด


 


“ผมคงต้องรบกวนหมออีกแล้ว” ชายคนนั้นพูด


 


หวังเย้าจำชายคนนี้ได้แม่นยำ เพราะบนใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็นอยู่ รอยแผลของเขาเริ่มตั้งแต่มุมปากลากยาวไปจนถึงติ่งหู คล้ายกับภาพของโจ๊กเกอร์ในเรื่องแบทแมน แต่แผลเป็นของเขามีแค่ด้านเดียวเท่านั้น


 


“บาดแผลของคุณไม่น่าจะมีปัญหาแล้วล่ะ!” หวังเย้ามองดูใบหน้าของเขา ร่างกายของเขามีสุขภาพแข็งแรงดี และเขายังต่อสู้เป็นด้วย ซึ่งก็หมายความว่า การไหลเวียนพลังฉีและโลหิตของเขาจะต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างแน่นอน


 


“มันไม่ใช่ผมหรอก แต่เป็นน้องสาวของผมต่างหาก” เขาพูด


 


“แล้วเธออยู่ไหนล่ะ?” หวังเย้าถาม


 


“เธอไม่ได้มา แต่ผมเอาประวัติการรักษาของเธอมาด้วย” เขาพูด “หมอด้วยดูให้หน่อยได้ไหม?”


 


หวังเย้ารับเอกสารประวัติการรักษามาและเปิดอ่านดูอย่างละเอียด


650 เชียนเชิง มาสู้กัน


 


ปัญหาของคนไข้อยู่ที่ตับ ตับของเธอเสียหายอย่างหนัก จนไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติ ตับมีหน้าที่สำคัญในร่างกายมนุษย์ และคอยสนับสนุนร่างกายอยู่อย่างเงียบๆ ซึ่งหมายความได้ว่า หากมันเหนื่อยหรือบาดเจ็บ มันก็จะไม่บอกให้ผู้เป็นเจ้าของร่างกายรับรู้ เมื่อรู้ว่าร่างกายเกิดความผิดปกติ อาการของมันก็แย่ไปมากแล้ว


 


“อายุ 12 ปีเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่” เขาพูด


 


“เธออยู่ที่ไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เธอรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองจี้” เขาพูด


 


เขาได้เห็นความสามารถที่น่าทึ่งของหวังเย้ามาแล้ว ดังนั้น เขาจึงกลับมาอีกครั้งพร้อมกับประวัติการรักษาของน้องสาว น้องสาวของเขารักษาตัวอยู่ที่เมืองจี้ แต่ผลลัพธ์กลับไม่ได้ดีอย่างที่คิด โรงพยาบาลทำได้เพียงชะลออาการของเธอไม่ให้แย่ลงไปกว่านี้เท่านั้น


 


“ถ้าสะดวก ช่วยพาเธอมาหาผมที่นี่ทีนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“หมอรักษาเธอได้ไหม?” เขาถาม


 


“ผมจะลองดู” หวังเย้าพูด “แต่ราคาก็สูงมากนะครับ”


 


“ไม่มีปัญหา ขอบคุณมาก” เขาพูด เขาได้ขอเบอร์โทรจากหวังเย้าเอาไว้ ก่อนที่จะกลับออกไป


 


ในตอนนี้ จำนวนคนไข้ที่ป่วยด้วยอาการเส้นเลือดอุดตันได้เดินทางมารักษาเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก ในทุกๆวันจะมีมาอย่างน้อยหนึ่งคน รวมไปถึงคนที่เคยมาซ้ำด้วย


 


การฝังเข็ม, การนวด, และกินยา คือการรักษาที่เรียบง่ายแต่ได้ผลดีในคนที่มีอาการไม่หนักมาก ส่วนคนที่อาการหนัก ก็จะดีขึ้นได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อและคาดไม่ถึงสำหรับตัวคนไข้เอง การป่วยด้วยโรคนี้ หมายถึงสูญเสียความสามารถในการทำงานไป ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันลำบากขึ้น คนไข้ทุกคนที่มารับการรักษาที่คลินิกล้วนแล้วแต่หายดี และบางคนยังสามารถกลับไปทำงานได้เหมือนเดิมด้วย


 


หมอที่มีชื่อเสียงคืออะไร? คือคนที่มีความสามารถที่น่าอัศจรรย์ แล้วหมอแห่งปาฏิหาริย์ล่ะ? ก็คือคนที่สามารถรักษาโรคที่ไม่มีใครสามารถรักษาได้ยังไงล่ะ แล้วหวังเย้าก็เริ่มถูกใครหลายๆคนเรียกว่า “หมอแห่งปาฏิหาริย์”


 


“ผมไม่กล้ารับหรอกครับ ผมเป็นแค่แพทย์ปรุงยาคนหนึ่งเท่านั้น” หวังเย้าตอบสนองต่อคำเรียกที่ได้ยินต่อหน้าเป็นครั้งแรก


 


แล้วใครคือคนที่สมควรได้รับคำเรียกแบบนั้นกัน?


 


เมื่อได้รับยาเป็นประจำ การฟื้นตัวของเจิ้งเหว่ยจวินก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ เขาสามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างช้าๆและก้าวเดินได้สองสามก้าวในแต่ละครั้งแล้ว


 


ช่วงนี้ เขาจึงมักเอ่ยออกมาว่า “การมีชีวิตมันดีจริงๆ”


 


เขามาที่คลินิกในตอนที่หวังเย้าเพิ่งจะตรวจคนไข้คนสุดท้ายเสร็จพอดี เขาอยากจะมาให้เร็วกว่านี้ แต่ช่วงนี้หวังเย้ายุ่งมาก เขาจึงไม่อยากจะมารบกวนเวลาทำงานของหวังเย้า


 


“งานเสร็จแล้วเหรอครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม


 


“อืม นี่เป็นคนไข้คนสุดท้ายแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด “เข้ามาข้างในเถอะครับ”


 


เจิ้งเหว่ยจวินและเจิ้งชื่อฉงเดินเข้าไปในคลินิก


 


“คุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่า?” หวังเย้าถาม


 


“ไม่ครับ ทุกอย่างดีมาก ผมรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองดีขึ้นในทุกๆวันเลยล่ะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“ดีครับ ร่างกายของคุณกำลังฟื้นตัวอยู่” หวังเย้าพูด “พิษในร่างกายของคุณถูกขับออกไปเกือบหมดแล้ว คุณต้องระมัดระวังในเรื่องที่ผมเคยบอกไว้ แล้วก็ดูแลสุขภาพจิตของตัวเองด้วย”


 


“ครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“มีเรื่องอะไรอีกรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เอ่ออออ…มีอยู่อีกเรื่องหนึ่งครับ…” เจิ้งเหว่ยจวินลังเล “ผมมาเพื่อขอบคุณหมอครับ”


 


“อ่อ คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกครับ” หวังเย้าพูด


 


“หมอหวัง หมอไม่เข้าใจหรอกว่าผมรู้สึกยังไง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “มันเหมือนกับผมได้ชีวิตใหม่เลยนะครับ ชีวิตก่อนหน้านี้ของผมมีแต่ความพล่ามันไร้สีสัน ผมแทบจะสิ้นหวัง ด้วยความคิดที่ว่า ชีวิตนี้ทั้งชีวิตคงจะเป็นแบบนี้ไปตลอด แต่เมื่อได้รักษากับหมอ ผมก็ได้มีโอกาสมองเห็นแสงอาทิตย์และความหวัง ปีนี้ผมอายุแค่ 24 เท่านั้น ผมรู้สึกว่า ผมยังเหลือเวลาในชีวิตนี้อีกหลายสิบปี ตั้งแต่ที่ป่วย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีความคิดแบบนี้”


 


“การเปลี่ยนแปลงทางความคิดของคุณสำคัญมากนะครับ การคิดบวกจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของคุณด้วย” หวังเย้าพูด


 


“ได้โปรด อนุญาตให้ผมแสดงความขอบคุณในแบบของผมด้วยนะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“ยังไงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ผมติดหนี้หมออยู่ ขอแค่หมอเอ่ยมา ผมจะทำทุกอย่างในทันทีเลยครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


มันเป็นคำสัญญาโดยไม่มีอะไรเป็นพิเศษ มันว่างเปล่าและกว้าง แต่มันก็เต็มไปด้วยพลัง


 


หวังเย้าเพียงยิ้มให้ “โอเค ผมเข้าใจแล้ว”


 


“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หมอหวังคือแขกคนสำคัญของตระกูลเจิ้ง ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่หมอต้องการขอความช่วยเหลือ ได้โปรดบอกกับเราได้ทันทีเลยนะครับ” เจิ้งชื่อฉงที่ยืนอยู่ด้านหลังเจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


หวังเย้ายิ้ม


 


หลังจากพูดไปหลายประโยค สองลุงหลานก็จากไป


 


น่าสนใจ หวังเย้าทำความสะอาดและกลับบ้าน


 



 


เขตเมี่ยวที่ไกลออกไปหลายพันไมล์…


 


ในหมู่บ้านกลางเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี มีเสียงของนกร้อง กลิ่นหอมของดอกไม้ และหมู่อาคารที่ตั้งอยู่ภายใต้ร่มเงาของแมกไม้ มันดูราวกับดินแดนสงบสุขในฝันที่ไม่มีอยู่จริง


 


ภายในอาคารไม้หลังหนึ่ง เตาหลอมทองแดงรุ่นเก่าส่งกลิ่นไหม้ออกมา


 


“ลุง” เมี่ยงชิงเฟิงและจ้าวหยิงหาวคุกเข่าอยู่ที่พื้นอย่างสงบเสงี่ยม


 


“ที่กลับมาเพราะไปสร้างเรื่องอีกแล้วใช่ไหม?” เมี่ยวซีเหอถาม


 


“ครับ ผมไปฆ่าคนมา” เมี่ยวชิงเฟิงพูด


 


“พี่เมี่ยวแหกกฎก็เพราะผม ได้โปรดลงโทษผมคนเดียวเถอะครับ ลุง” จ้าวหยิงหาวรีบพูดขึ้นมา


 


“เพราะเรื่องอาจารย์ของเธออีกแล้วเหรอ?” เมี่ยวซีเหอถาม


 


“ครับ” จ้าวหยิงหาวพูด


 


“เธอใจร้อนเกินไป” เมี่ยวซีเหอที่นั่งอยู่บนหินสี่เหลี่ยมก้อนหนึ่งมีสีหน้าอึกครึม เขาพูดออกมาด้วยท่าทีนิ่งสงบว่า “ขังตัวเองเป็นเวลาหนึ่งปี ทุกคำขอจะถูกปฏิเสธทั้งหมด”


 


“ครับ อาจารย์” จ้าวหยิงหาวพูด


 


“ครับ ลุง” เมี่ยวชิงเหิงพูด


 


พวกเขาพากันเดินออกไปจาอาคารไม้ไผ่


 


“ขอบคุณมากนะ พี่!” จ้าวหยิงหาวขอบคุณเมี่ยวชิงเฟิงด้วยใจจริง


 


“เราเป็นครอบครัวเดียวกัน นายไม่ต้องเกรงใจกันหรอก” เมี่ยวชิงเฟิงโบกมือ “แต่ยังไง เราก็ยังต้องขังตัวเองไปปีหนึ่ง”


 


การขังตัวเองเป็นเพียงคำพูดฟังดูดี แต่จริงๆก็คือการถูกกักบริเวณนั่นเอง


 


“คำตัดสินของลุงถือว่าช่วยเรามากแล้ว” เมี่ยวชิงเฟิงพูด


 


เปลวเพลิงของความแค้นยังคงลุกไหม้อยู่ภายในอกของเขา แต่มันก็ไม่ได้รุนแรงเท่ากับตอนที่อยู่ในเมืองเต๋า มันกำลังหลบซ่อนตัวคล้ายกับลาวา เมื่อมันตื่นขึ้นมา มันก็จะยิ่งรุนแรงและดุร้ายกว่าเดิมหลายเท่า


 


“ภายในหนึ่งปี นายก็ต้องพยายามฝึกฝนให้มากที่สุด เหนือผิวทองแดงและกระดูกเหล็กไหลก็ยังมีการสร้างอวัยวะที่แข็งแกร่งต่ออีก” เมี่ยวชิงเฟิงพูด “ในเมื่อเขาอยู่ในตระกูลสูง เขาก็จะสามารถสานสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา เหมือนกับผู้ชายที่ราวกับเทพบนดินที่นายเคยเล่าให้ฟังยังไงล่ะ”


 


“อืม ผมจะจำคำของพี่เอาไว้” เมื่อพูดถึงชายคนนั้นขึ้นมา อยู่ๆจ้าวหยิงหาวก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล


 


เหตุการณ์ในหมู่บ้านครั้งนั้น พวกเขาทั้งสาม หนึ่งอาจารย์ สองศิษย์ ล้วนพ่ายแพ้ให้กับชายคนนั้นในทันทีโดยไม่อาจจะต้านทานอะไรได้เลย พวกเขาสามคนรวมกันยังสู้กับเขาคนเดียวไม่ได้ เขาคือคู่ต่อสู้ที่พวกเขาไม่เคยพบพานมาก่อน และไม่อยากจะเจอด้วย


 


“ฟังจากคำพูดของนาย เขาอาจจะเก่งกว่าอาจารย์ก็ได้นะ” เมี่ยวชิงเฟิงพูด


 


“เขาเทียบกับอาจารย์ไม่ได้หรอกครับ” จ้าวหยิงหาวพูด ทั้งที่ในใจของเขากลับตอบอีกอย่าง ทักษะของชายหนุ่มคนนั้นดูเหมือนจะสูงกว่าเที่ยวซีเหอด้วยซ้ำ “เขามีความสามารถขนาดนั้นทั้งๆที่อายุแค่นั้นได้ยังไงกันนะ?”


 


สำหรับเรื่องนี้ ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แต่ยังรวมหลายๆคนที่รู้พื้นหลังของหวังเย้าด้วย ที่ต่างก็ไม่เข้าใจ


 



 


ในขณะที่หวังเย้ากำลังรักษาคนไข้อยู่นั้น ก็มีแขกที่คาดไม่ถึงเดินทางมากาในตอนกลางวัน


 


“เชียนเชิง คุณยุ่งไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม


 


“อืม ฉันยังมีคนไข้อีกหลายคนเลย” หวังเย้าพูด “เธอมีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่า?”


 


“เปล่าหรอกครับ ผมรอได้” กั๋วเจิ้งเหอนั่งรอเพื่อให้หวังเย้าตรวจคนไข้ต่อ


 


เขาตรวจคนไข้คนสุดท้ายเสร็จในเวลาเกือบห้าโมงเย็น


 


“โอเค เธอมีอะไรจะคุยกับฉันเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ เชียนเชิงพักก่อนสักหน่อยเถอะ” กั๋วเจิ้งเหอพูด รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาทำให้คนมองรู้สึกสบายใจ


 


“พูดมาเถอะ ฉันไม่เหนื่อยหรอก” หวังเย้าพูด


 


“เชียนเชิงรู้สึกยังไงกับเสี่ยวซวีเหรอครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม


 


“เสี่ยวซวี? ซูเสี่ยวซวีน่ะเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูดด้วยรอยยิ้มที่ยังคงบนหน้า


 


“เธอเป็นคนดีและน่ารัก” หวังเย้าพูด


 


“ใช่ครับ แต่เชียนเชิงชอบเธอ หรือมีความรู้สึกพิเศษกับเธอรึเปล่า?” กั๋วเจิ้งเหอถาม


 


หลังจากได้ยินคำถามนี้ หวังเย้าก็ลังเลอยู่เล็กน้อย เขาไม่เคยคิดว่า กั๋วเจิ้งเหอจะมาถามคำถามแบบนี้กับเขา


 


“อืม” หวังเย้าตอบอย่างตรงไปตรงมา


 


“เชียนเชิงชอบเธอเหรอครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม


 


“ใช่ ฉันชอบเธอ” หวังเย้าพูด


 


“เพราะเบื้องหลังของเธอเหรอครับ?” กั๋วเจิ้งเหอขยับตัวเล็กน้อย ราวกับเขาคือผู้ที่อยู่ในสถานะพิเศษ


 


“ไม่ใช่ แต่เป็นเพราะตัวเธอเอง” หวังเย้าพูด เขาไม่เคยสนใจเรื่องเบื้องหลังของเธอเลย


 


“เชียนเชิง ผมก็ชอบเสี่ยวซวีเหมือนกัน แล้วผมก็อยากจะแต่งงานกับเธอด้วย” กั๋วเจิ้งเหอพูด “เชียนเชิงคิดอยากจะแต่งงานกับเธอไหม?”


 


“ฉันมีความคิดที่จะคบกับเธอ” หวังเย้าพูดอย่างสงบ


 


ส่วนเรื่องแต่งงานนั้น จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ได้คิดถึงมันเลยสักนิด


651 ความขุ่นเคืองก่อตัวขึ้น


 


“เชียนเชิงเลิกชอบเธอได้ไหม?” กั๋วเจิ้งเหอถาม


 


หวังเย้าตกใจและไม่แน่ใจในความหมายที่กั๋วเจิ้งเหอต้องการจะสื่อ ในเมื่อเขาชอบเธอ เขาก็เลยขอให้ฉันยกเธอให้อย่างนั้นเหรอ? “ทำไม?”


 


“เพราะผมชอบเธอมาก?” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“อืมมมมม…” หวังเย้ายิ้ม พร้อมทั้งส่ายหน้าและคิดในใจ นี่มันตรรกะบ้าอะไรกัน? มันเป็นความคิดแบบไหน? ผู้ชายที่มาจากตระกูลใหญ่มีความคิดแบบเขากันหมดอย่างนั้นเหรอ?


 


หลังจากผ่านไปสักพัก หวังเย้าก็พูดออกมาว่า “โทษทีนะ”


 


ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน


 


“ผมเข้าใจแล้ว ขอโทษที่มารบกวนนะครับ” กั๋วเจิ้งเหอลุกขึ้นและหมุนตัวเดินออกไป เขาหยุดฝีเท้าลงที่ประตู “ผมขอบคุณที่คุณช่วยชีวิตผมเอาไว้ แต่สำหรับเรื่องนี้ ผมไม่ยอมแพ้แน่นอน”


 


“โอเค” หวังเย้าตอบกลับไป


 


“ขอให้คุณมีสุขภาพแข็งแรงนะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“อืม” หวังเย้าพูด อยู่ๆเขาก็รู้สึกว่า ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาดูน่ารังเกียจขึ้นมาเล็กน้อย


 


ด้านนอกคลินิก สีหน้าของกั๋วเจิ้งเหอเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ทันที


 


“คุณครับ คุณคือ…” เมื่อได้ยินเสียงพูด เขาก็หันไปมอง และเห็นว่าเป็นเจิ้งเหว่ยจวินและเจิ้งชื่อฉงที่ออกมาเดินเล่นข้างนอก พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เห็นกั๋วเจิ้งเหอ


 


กั๋วเจิ้งเหอคืนสู่ความเจิ้ดจ้าดังเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่เขามักจะทำอยู่เสมอไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าใครก็ตาม การแสดงว่าเป็นคนกระตือรือร้นและมองโลกในแง่ดี สามารถทำให้เขาสร้างความประทับใจให้กับคนอื่นได้ง่าย เขายิ้มและพยักหน้าให้คนทั้งสอง ก่อนที่จะขับรถออกไป


 


“ลุง ผมมองผิดไปรึเปล่าครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม


 


“ไม่หรอก นั่นเป็นสีหน้าที่สุดยอด บนใบหน้าของชายหนุ่มที่น่าขยะแขยงสุดๆยังไงล่ะ” เจิ้งชื่อฉงพูดกระทบกระเทียบ


 


“ผมหวังว่า สีหน้าแบบนั้นจะไม่ได้เป็นเพราะหมอหวังนะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“ลุงก็หวังว่าจะไม่ใช่ หรือไม่ก็…” เจิ้งชื่อฉงหรี่ตา “อ้อ ลุงได้ยินมาว่า หมอหวังได้พัฒนายาตัวใหม่ขึ้นมา แล้วมันก็ใช้ได้ผลกับคนที่เป็นโรคเส้นเลือดอุดตันด้วยล่ะ”


 


หลายวันมานี้ คนจำนวนมากเดินทางมารักษากับหวังเย้า ดังนั้น พวกเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย


 


“ใช่ครับ มันได้ผลดี แล้วก็ยังแสดงผลได้ไวมากด้วย” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “เราจะทำยังไงกับเรื่องนี้เพื่อแสดงความขอบคุณของเราดีครับ?”


 


“เธออยากจะซื้อสูตรยาในราคาสูงเหรอ?” เจิ้งชื่อฉงถาม


 


“ผมก็สงสัยว่า หมอหวังจะคิดยังไงกับเรื่องนี้นะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“งั้นลุงจะลองหาเวลาไปคุยกับเขาดูก็แล้วกัน” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


เขารู้ดีว่า หลานชายของเขานั้นเป็นคนที่มีความฉลาดอย่างมาก ถึงเขาจะอายุแค่ยี่สิบต้นๆ แต่ความสำเร็จในด้านธุรกิจของเขามีไม่น้อยเลย ความคิดเห็นของเขามีค่าอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของกลยุทธ์


 


เจิ้งเหว่ยจวินเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งทำให้แม้แต่เขาที่อายุ 40 กว่าแล้วยังชื่นชมเขาในเรื่องนี้ และมันก็ทำให้เขาได้รับการยอมรับของคนในตระกูล ตระกูลเจิ้งคือตระกูลร่ำรวยที่สร้างงานหลากหลายให้กับคนนับไม่ถ้วน


 


มีรุ่นเยาว์ในวัยเดียวกันกับเจิ้งเหว่ยจวินอยู่หลายคน แต่มีไม่กี่คนที่สามารถขึ้นรับช่วงต่อธุรกิจของตระกูลได้ และเจิ้งเหว่ยจวินก็คือหนึ่งในนั้น ขอแค่เขามีสุขภาพร่างกายที่ดี เขาก็จะมีส่วนในหุ้นจำนวนมากของตระกูลเจิ้งได้อย่างแน่นอน


 


ในตอนกลางคืน มีฝนตกลงมาปรอยๆ ท่วงทำนองที่เกิดจากน้ำฝนที่หยดลงมา ทำให้เราสามารถเพลิดเพลินไปกับมันได้ ฝนในฤดูใบไม้ผลินั้นล้ำค่าเทียบเท่ากับน้ำมัน ไม่มีใครรังเกียจที่มันตกลงมาเลย


 


หวังเย้ายืนอยู่ท่ามกลางสายฝนบนยอดเขา เขารู้สึกได้สึกบางอย่างอย่างเงียบเชียบ เขารู้สึกได้ว่า ภูเขาที่อยู่ใต้เท้าเขากำลังสั่นไหว มันเริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว


 


บูม! ภูเขากำลังเติบโตคล้ายกับเด็กน้อยคนหนึ่ง


 


ภายในแปลงสมุนไพร ซานเซียนที่อยู่ภายในบ้านสุนัขได้ลุกขึ้นยืน


 


เช้าวันต่อมา ฝนยังคงตกลงมาไม่ยอมหยุด แม้จะมีอากาศเช่นนี้ แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากเดินทางมาที่คลินิก ด้านในคลินิกคลาคล่ำไปด้วยผู้คน


 


“หมแหวัง” ชายวัย 40 ไอออกมาอย่างรุนแรง เขามีหนวดเคราอยู่เต็มหน้าและมีฟันหน้าสีเหลืองขนาดใหญ่สองซี่ “ช่วงนี้ผมไอหนักมาก แล้วก็เจ็บหน้าอกด้วย”


 


“คุณมีอาการแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เอ่อออ น่าจะเกือบเดือนแล้วล่ะ” หลังจากที่ลองคิดดูแล้ว ชายคนนั้นก็พูดออกมา


 


“แล้วคุณได้ไปหาหมอมารึยัง?” หวังเย้าถาม


 


“ยังครับ” ชายคนนั้นพูด


 


หลังจากได้ฟังคำตอบของเขาแล้ว หวังเย้าก็ตรวจอาการของชายคนนั้นอย่างละเอียด โดยเน้นไปที่ปอดของเขา


 


“คุณสูบบุหรี่ด้วยไหม?” หวังเย้าถาม


 


“ผมหยุดสูบมาได้สองเดือนแล้วครับ” ชายคนนั้นพูด


 


“คุณควรจะไปตรวจที่โรงพยาบาลที่ใหญ่กว่านี้ดูนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“อะไรนะ?” ชายคนนั้นตกใจ “ทำไมล่ะครับ?”


 


“ผมรักษาไม่ได้” หวังเย้าพูด


 


คนไข้มีเนื้องอกที่ปอด และมีโอกาสเป็นเนื้อร้ายสูงมาก ซึ่งเป็นไปได้สูงที่จะเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในแบบที่เสียสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องของการสูบบุหรี่


 


“มัน?” ชายคนนั้นถาม “หมอหวัง มันเป็นโรคที่รักษาได้ยากเหรอ?”


 


“คุณควรไปตรวจที่โรงพยาบาลจะดีกว่านะครับ” หวังเย้าพูด


 


ชายคนนั้นจากไปด้วยศีรษะที่ก้มต่ำและสีหน้ามืดมน


 


การรักษาไม่สามารถรอช้าได้ เขาคงจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในร่างกายของตัวเองอยู่แล้ว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที มันก็จะพัฒนาจนกลายเป็นโรคร้ายที่ยากต่อการรักษาและอาจจะไปถึงขั้นระยะสุดท้ายได้เลย


 


“หมอ ผมปวดหัว” คนไข้คนต่อมาพูด


 


การรักษาคนไข้รายต่อๆมาไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขา หวังเย้าให้การรักษาพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว


 


ในช่วงกลางวัน จงหลิวชวน ซึ่งก็คือชายที่มีรอยแผลยาวจากมุมปากไปจนถึงใบหูคนนั้น เขาได้พาน้องสาวมาที่คลินิก เธอเป็นเด็กสาวร่างกายผอมแห้งและมีผิวพรรณซีดเซียว เธอดูราวกับถั่วงอกต้นหนึ่ง ในตัวเธอไม่มีพละกำลังหรือพลังชีวิตอยู่เลย แม้แต่ในแววตาหรือเส้นผมของเธอก็ไม่มี


 


“สวัสดีครับ หมอหวัง ขอโทษที่ต้องมารบกวน นี่คือน้องสาวของผมเอง” จงหลิวชวนพูด


 


“สวัสดีค่ะ คุณหมอ” เด็กสาวเอ่ยปากทักทายด้วยท่าทีเขินอายและน้ำเสียงที่เบามาก


 


“สวัสดีครับ นั่งก่อนสิ” เมื่อเด็กสาวนั่งลงแล้ว หวังเย้าก็ตรวจดูอาการของเธออย่างละเอียด “ผมสามารถรักษาโรคได้ แต่มันอาจจะต้องใช้เวลาสักพัก แล้วในระหว่างการรักษา คุณควรจะหาที่อยู่ใกล้กับที่นี่เพื่อให้สะดวกเวลาเดินทางนะครับ”


 


เมื่อได้ยินว่า หวังเย้าสามารถรักษาเธอได้ จงหลินชวนก็มีความสุขอย่างมาก จะให้เขามาอยู่ที่หมู่บ้านเป็นครึ่งปีก็ยังได้


 


หลังจากที่พวกเขากลับไปกันแล้ว หวังเย้าก็บันทึกรายละเอียดอาการของเด็กสาวเอาไว้ทั้งหมด มันเป็นอาการของการทำงานตับที่ล้มเหลว มีไม่ถึง 10 % ของตับที่สามารถทำงานได้


 


ความอ่อนแอที่เกิดขึ้นก็เนื่องมาจากพิษที่สะสมมาเป็นเวลานานและระบบการย่อยที่ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งมันคือปฏิกิริยาลูกโซ่ อวัยวะสำคัญทั้งห้าก็เปรียบเสมือนธาตุทั้งห้า ที่คอยเป็นส่วนเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกัน เมื่อหนึ่งในนั้นเกิดปัญหา มันก็จะส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะที่เหลือด้วย


 


ในสายตาของหวังเย้า โรคของเธอรักษาง่ายกว่าเจิ้งเหว่ยจวินมาก เขาทั้งต้องล้างพิษ, เสริมความแข็งแรงของร่างกาย, และฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะภายในทั้งหมด


 


“พี่คะ หมู่บ้านนี้เงียบมากเลยนะคะ” เด็กสาวพูดออกมาในขณะที่เธอนอนอยู่บนเตียงคัง


 


เธอใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในโรงพยาบาลที่มีคนไข้เข้าๆออกๆอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจงหลิวชวนจะใช้จ่ายเงินและให้เธอได้รักษาอยู่ภายในห้องพักพิเศษ แต่เธอก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะเธอไม่สามารถสงบใจลงได้ และที่มากไปกว่านั้นก็คือ เธอไม่ชอบกลิ่นยา


 


“มันเงียบมาก แล้วอีกไม่นานน้องก็จะหายดี” จงหลิวชวนพูด


 


ญาติเพียงคนเดียวในโลกใบนี้ก็คือน้องสาวของเขา สาเหตุที่ทำไมเขาต้องทำงานหนัก และถึงขั้นทำงานผิดกฏหมายก็เพื่อให้น้องสาวของเขาได้รับการรักษาที่ดีที่สุด


 


“ค่ะ” เธอพูดก่อนที่จะผล่อยหลับไป


 


เช้าวันต่อมา จงหลิวชวนและน้องสาวก็พากันไปที่คลินิกแต่เช้า หวังเย้าเริ่มให้การรักษาเด็กสาว มันจำเป็นต้องใช้ยาสมุนไพรสองชนิดด้วยกันก็คือ ยาแก้พิษและซุปเป่ยหยวน


 


หลังจากดื่มยาไปได้สามสิบนาที เขาก็เริ่มฝังเข็มเพื่อกระตุ้นร่างกายและการไหลเวียนของโลหิตเพื่อให้การดูดซึมยาดีขึ้น


 


“ให้กินยาสามครั้งต่อวัน และมาฝังเข็มทุกๆสองวันนะครับ” หวังเย้าพูด


 


ที่ปักกิ่งไกลออกไปหลายพันไมล์


 


“ฉันรักษาไม่ได้” หมอเฉินพูด


 


“ช่วยตรวจดูเขาอีกสักครั้งได้ไหมครับ?” ชายคนหนึ่งพูด


 


“มันไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากทำ แต่ฉันทำไม่ได้” หมอเฉินพูด “ฉันรู้จักอยู่คนหนึ่ง ที่คุณอาจจะไปขอความช่วยเหลือจากเขาได้”


 


“ใครเหรอครับ?” ชายคนนั้นถาม


 


“หวังเย้า” หมอเฉินพูด


 


“เขาอยู่โรงพยาบาลไหนในปักกิ่งครับ?” เขาถาม


 


“เขาไม่ได้อยู่ที่ปักกิ่ง แต่เป็นที่จังหวัดฉี” หมอเฉินพูด


 


“จังหวัดฉี?” เขาพูด


 


“เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหนึ่งในจังหวัดนั้น” หมอเฉินพูด


 


“ใช่หมอหวังที่รักษาเจ้าหญิงซูรึเปล่าครับ?” เขาถาม


 


“ถูกแล้ว” หมอเฉินพูด


 


“ผมได้ยินมาว่า มันยากมากที่จะขอให้เขาออกมาจากหมู่บ้าน” ชายคนนั้นพูด


 


“มันไม่ง่ายเลยที่จะให้เขามา แต่คุณก็ไปหาเขาได้นี่ แบบนั้นมันง่ายกว่ามาก” หมอเฉินพูด


 


“ไปที่นั่นเหรอ? แต่ร่างกายของพ่อผม…” ชายคนนั้นไม่มั่นใจที่จะเดินไปทางที่หมู่บ้าน


 


“เขาทนไหว” หมอเฉินพูด


 


“ดี ผมจะไปบอกเรื่องนี้กับพ่อ ขอบคุณครับ” ชายคนนั้นพูด แล้วก็จากไป


 


หมอเฉินส่ายหน้าและคิดในใจ คนพวกนี้เคยชินกับการยืนอยู่เหนือคนอื่น พวกเขาคิดว่า ทุกอย่างจะเป็นไปตามความต้องการของพวกเขา และทุกคนก็ต้องรองรับความต้องการของพวกเขาด้วย


652 เพื่ออะไร?


 


“หงุดหงิดเรื่องอะไรอยู่เหรอ?” ภรรยาของเขาที่เดินเข้ามาในห้องถามเขา


 


“ไม่มีอะไร” หมอเฉินพูด “มีคนมาหา แต่ฉันไม่อยากเจอก็แค่นั้น”


 


“คุณไม่อยาก แต่ก็ยังให้เขามาเจออยู่ดีเนี่ยนะ?” ภรรยาของเขาถาม


 


“เธอคิดว่า แค่ฉันไม่อยากจะพบหน้าเขาฉันก็ทำได้เลยงั้นเหรอ?” หมอเฉินถามด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความไม่พอใจ


 


“แล้วทำไมถึงได้แนะนำให้เขาไปหาหมอหวังล่ะ?” ภรรยาของเขาถาม


 


“ฉันไม่ชอบเขา แต่พ่อของเขาไม่ใช่คนเลว ดังนั้น ฉันก็เลยช่วยเขาเท่าที่จะทำได้น่ะสิ” หมอเฉินพูด


 



 


ในหมู่บ้าน


 


“คนเยอะมาก!” เมื่อเห็นรถจอดอยู่ที่ด้านนอกคลินิก กู้หยวนหยวนก็ต้องประหลาดใจ ครั้งก่อนที่เธอมา มันไม่ได้ดูวุ่นวายขนาดนี้เลยสักนิด


 


พันจวินที่กำลังคอยช่วยงานอยู่ในคลินิก ก็ต้องรู้สึกแปลกใจกับจำนวนคนไข้เช่นเดียวกัน


 


“ลองยืดขา แล้วทำท่าทางต่างๆดูนะครับ” เขากำลังพูดกับคนไข้ที่เขาดูแลอยู่


 


คนไข้สองรายมาด้วยปัญหาปวดคอและปวดหลัง ซึ่งสามารถบรรเทาและรักษาได้ด้วยการนวด ในเมื่อช่วงนี้ พันจวินกำลังฝึกฝนเรื่องการนวดอยู่พอดี เขาก็สามารถรักษาคนไข้สองรายนี้ได้


 


“คุณเป็นใครเหรอ?” คนไข้คนหนึ่งถาม


 


“เอ่ออออ ผมเป็นลูกศิษย์ของเขาครับ” พันจวินพูด


 


“แล้วทำไมฉันไม่ค่อยเห็นหน้าคุณเลยล่ะ?” คนไข้ถาม


 


“อ้อ คุณคือไดเรคเตอร์พัน จากแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลเขตใช่ไหม?” คนไข้อีกคนถามขึ้นมา


 


“อะไรนะ? เขาเป็นไดเรคเตอร์ของโรงพยาบาลเขตเหรอ?” คนไข้ที่มารอคิวอยู่ต่างก็ประหลาดใจ


 


ถึงฝีมือการรักษาของหวังเย้าจะสุดยอดมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็ยังคิดว่า การที่เขามาเปิดคลินิกอยู่ในหมู่บ้านแบบนี้ก็เป็นเพราะเขาถูกปฏิเสธงานจากโรงพยาบาล ในสายตาของใครหลายๆคน การที่หมอมาเปิดคลินิกถือเป็นหมอที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการรักษาสูง และมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าคนที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐและมีความเสี่ยงที่จะตกงานน้อย


 


“ผมเองครับ” พันจวินพูด


 


“คุณเป็นลูกศิษย์ของหมอหวังเหรอ?” คนไข้คนหนึ่งถาม


 


“ใช่ อาจารย์ของผมเก่งมาก เขาก็เลยไม่อยากจะสอนคนที่ไม่มีพรสวรรค์เท่าไหร่” พันจวินพูด สิ่งที่เขาพูดมานั้นเป็นความจริง หวังเย้าไม่ได้อยากจะสอนความรู้นี้ให้กับคนทั่วไป


 


เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้เข้า หวังเย้าก็ยิ้มออกมา


 


คนที่มารอคิวอยู่ต่างก็รู้สึกทึ่ง การที่แพทย์แผนจีนที่อาศัยอยู่ในบ้านนอก สามารถสอนความรู้ให้กับไดเรคเตอร์ของโรงพยาบาลได้นั้น ก็แสดงว่า เขาจะต้องเป็นคนที่สุดยอดมากอย่างแน่นอน


 


“สุดยอด!


 


ด้วยความช่วยเหลือจากพันจวิน ทำให้หวังเย้าสามารถรักษาคนไข้ได้เร็วขึ้น คนที่เดิมทีรู้สึกสงสัยในตัวพันจวิน หลังจากที่ได้รู้สถานะของเขาแล้ว พวกเขาต่างก็ยินดีรักษากับพันจวิน แล้วการรักษาของเขาก็ยังเห็นผลดีอีกด้วย


 


“เฮ้อ สมแล้วที่เป็นถึงหมอของโรงพยาบาล ฝีมือดีจริงๆ” คนไข้คนหนึ่งพูด


 


เมื่อกู้หยวนหยวนเดินเข้าไปในคลินิก หวังเย้าก็ยังคงยุ่งอยู่ ดังนั้น เธอจึงเข้าไปรอในแถว


 


“เป็นคนที่สวยจริงๆ!” เมื่อได้เห็นกู้หยวนหยวน สายตาของคนที่รออยู่ต่างก็เป็นประกายขึ้นมา


 


ไม่ว่าจะไปที่ไหน ความงามของเธอก็มักจะดึงดูดความสนใจจากคนอื่นอยู่เสมอ เธอเป็นเหมือนกับผู้หญิงในเมืองแห่งแม่น้ำที่อยู่ทางใต้ของจีน ที่สง่างามและกิริยาดี ยิ่งมองเธอ ก็ยิ่งรู้สึกถึงความงามในตัวเธอมากขึ้น


 


“คุณชื่ออะไรเหรอครับ?” ชายหนุ่มที่พาแม่ของเขามาหาหมอเดินเข้าไปถามเธออย่างสุภาพ


 


กู้หยวนหยวนเพียงยิ้มให้เล็กน้อยเท่านั้น


 


โอ้ สวยจริงๆ! รอยยิ้มของเธอทำให้ชายหนุ่มรู้สึกคันหัวใจ เขารู้สึกราวกับกำลังถูกแมวข่วน เธอช่างสวยเหลือเกิน! ฉันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว!


 


เขาพูดเรื่องเรื่อยเปื่อยอยู่ข้างๆเธอ เพื่อเป็นการแนะนำตัวเอง แต่เธอกลับไม่ตอบสนองอะไรเลย


 


“ถึงตาคุณแล้วครับ” หวังเย้าพูด


 


ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาหวังเย้าพร้อมกับแม่ของเขา กู้หยวนหยวนก็นั่งรออยู่เงียบๆ


 


หลังจากตรวจเสร็จแล้ว ชายหนุ่มที่พาแม่ของเขามาก็เดินไปขอเบอร์มือถือกับเธอ


 


“ขอโทษนะคะ แต่ฉันแต่งงานแล้ว” กู้หยวนหยวนพูด


 


“โอ้ มันสายเกินไปเหรอเนี่ย” ชายหนุ่มถูกแม่ของเขาลากออกไป


 


“เชียนเชิง สบายดีไหมคะ?” กู้หยวนหยวนทักทายหวังเย้า


 


“ยินดีด้วยนะครับ ชีวิตแต่งงานเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถามกลับ


 


“จริงๆแล้วยังไม่ได้แต่งเลย ฉันตั้งใจจะแต่งตอนประมาณต้นเดือนตุลาน่ะค่ะ” กู้หยวนหยวนพูด


 


หวังเย้ายิ้ม


 


“ขอโทษที่ต้องมารบกวนนะคะ” เธอพูด “แต่อาการของนายท่านหวูกำลังแย่น่ะค่ะ”


 


เธอมาเพื่อขอยาจากเขา


 


“ยังทรุดลงอยู่เหรอ?” หวังเย้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดออกมาว่า “มาเอายาวันพรุ่งนี้นะครับ”


 


“ได้ค่ะ ขอบคุณมาก” กู้หยวนหยวนมอบของขวัญเล็กๆน้อยๆให้กับเขา ก่อนที่จะกลับไป


 


ถึงแม้ว่าเธอจะจากไปแล้ว แต่คนไข้ที่เหลืออยู่ก็ยังคงพูดเกี่ยวกับเธอไม่หยุดปาก


 


“ผู้หญิงคนนั้นสวยจริงๆเลยนะ!” หนึ่งในพวกเขาพูด


 


“ใช่ๆๆ!” คนไข้อีกคนเห็นด้วย


 


“หมอหวัง เด็กผู้หญิงคนนั้นมาจากไหนเหรอ?” คนไข้คนหนึ่งถาม


 


“ปักกิ่งครับ” หวังเย้าบอกไปตามตรง


 


พวกเขาไม่ได้เชื่อคำพูดของหวังเย้าเลย แต่ในเมื่อหวังเย้าพูดมาแบบนั้น พวกเขาจึงไม่ได้ถามอะไรอีก เพราะพวกเขามาที่นี่ก็เพื่อมารักษากับหวังเย้า การถกเถียงกับหมอที่พวกเขาต้องการรักษาด้วยไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ


 


ในตอนเย็น หวังเย้าได้ทำยาสำหรับนายท่านหวู มันก็คือ ซุปเป่ยหยวน


 


นายท่านหวูมีปัญหาอยู่ด้วยกันสองอย่าง หนึ่งคือภายในร่างกายของเขามีโรคร้ายบางอย่างแทรกซึมอยู่ อีกหนึ่งก็คือ อายุของเขาที่มากถึง 80 กว่าปีแล้ว ร่างกายของเขาแก่ชราลงทุกวัน แต่เขาก็พยายามจะยื้อมันเอาไว้จนถึงที่สุด การที่เขามีสถานะสูงส่ง จึงมียามากมายพร้อมให้เขาเลือกสรร ถ้าหากเขาอยู่ในครอบครัวธรรมดา เขาก็คงจะตายไปนานแล้ว


 


อากาศในเวลากลางคืนให้ความรู้สึกอึดอัด เช้าของวันถัดมา อากาศยังคงร้อนเล็กน้อย


 


กู้หยวนหยวนเดินทางมาที่คลินิกแต่เช้า เธอรับยาจากหวังเย้า จ่ายเงิน แล้วก็จากไป


 


ตอนสาย หวังเย้าก็ได้รับคนไข้พิเศษรายหนึ่ง เขาเป็นชายวัย 50 กว่าและมาด้วยปัญหาที่หัวใจ เขามาพร้อมกับลูกชาย ที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงพร้อมกับเป็นมันเลื่อม และกลิ่นน้ำหอมอย่างดีที่ลอยออกมาจากตัวเขา


 


หวังเย้าตรวจดูอาการของคนไข้ แต่เขาก็อดที่จะหันไปสนใจชายหนุ่มไม่ได้ เขาทั้งใจร้อน และมีประกายตารังเกียจฉายออกมา


 


“คุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถามคนไข้


 


“ผมเจ็บที่หน้าอก และรู้สึกปวดตามตัวด้วย” คนไข้พูด


 


“แล้วเป็นมานานแค่ไหนแล้วครับ?” หวังเย้าถาม


 


“อาจจะนานเป็นเดือนแล้วล่ะ” คนไข้ตอบ


 


“นานเป็นเดือนเลยเหรอครับ?” หวังเย้าจับชีพจรของคนไข้ และรู้ได้ทันทีว่าเขามีอาการของโรคหัวใจที่ค่อนข้างหนักเอาการ “คุณป่วยเป็นโรคหัวใจ ใช่ไหมครับ?”


 


“ใช่ ผมต้องกินยาตลอด” คนไข้พูด “ตอนที่เจ็บหน้าอก ผมก็จะรู้สึกว่าหน้าอกของผมมันบีบแน่น ผมแทบไม่มีแรง แล้วบางครั้งก็รู้สึกหน้ามืดด้วย แต่ผมก็ยังกินยาตลอดนะ”


 


“หมอ  ช่วยรีบหน่อยได้ไหม” ชายหนุ่มพูดเร่ง


 


“คุณเป็นอะไรกับเขาเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ผมก็ลูกของเขาน่ะสิ” ชายหนุ่มตอบ


 


“สำหรับเรื่องอาการป่วยของคุณ การรักษาจำเป็นต้องใช้เวลานานหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด “ยาสามารถช่วยได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น สิ่งสำคัญคือไม่ควรกังวลหรือโมโห คุณจำเป็นต้องพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองด้วย”


 


คนไข้ที่ป่วยด้วยโรคนี้ ไม่ควรทำงานหนัก หรือมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์รุนแรง


 


“หมอช่วยตรวจผมทีได้ไหม?” คนไข้พูด


 


ตอนแรก เขาไม่ได้อยากจะมาที่คลินิกนี้เลย แล้วยิ่งไม่อยากเข้าไปใหญ่ เมื่อเขาต้องมากับลูกชายของเขา แต่สุดท้ายเขาก็ต้องแพ้ให้กับคำพูดของภรรยา เขาจึงต้องมาและตลอดทางที่มาคลินิก เขาก็ต้องโมโหซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะลูกชายของเขาเอง


 


“ได้ครับ” หวังเย้าตรวจเขาอีกครั้ง ในเมื่อเขาเคยรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจมาก่อนแล้ว เขาจึงพอมีประสบการณ์ในด้านนี้และมียาที่ใช้รักษาอยู่ในมือ


653 ความหมายของการมีชีวิตอยู่คืออะไร?


 


หลังจากผ่านไปได้ไม่กี่นาที ชายหนุ่มก็ถามขึ้นมาอย่างหงุดหงิดว่า “จะต้องตรวจอีกนานไหม?”


 


“คุณดูรีบมากเลยนะ?” หวังเย้าถามด้วยความไม่พอใจ


 


“ก็ใช่น่ะสิ” ชายหนุ่มตอบ


 


“เฮ้อ!” คนไข้ถอนหายใจออกมา เขาไม่สามารถจัดการกับลูกชายของเขาได้เลย


 


“เดี๋ยวก่อน ผมจะจ่ายยาให้คุณไปกินด้วย” หวังเย้าลุกขึ้นไปหยิบยาและบอกวิธรการกินและข้อแนะนำอื่นๆ


 


“คุณต้องจัดการอารมณ์ของตัวเองให้ดี แล้วก็อย่าโมโหด้วย” ในตอนที่พูด หวังเย้าก็เหลือบไปมองลูกชายของคนไข้ด้วย


 


“หืม มองแบบนี้หมายความว่าไง?” ชายหนุ่มดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงความหมายในคำพูดของหวังเย้า


 


“ไปเถอะ” พ่อของเขาทนไม่ไหวอีกต่อไป และเดินนำเขาออกไป


 


“ทำไมต้องมาลากฉันด้วยวะเนี่ย?” ระหว่างทางที่เดินออกไป ชายหนุ่มก็ยังพูดจาหยิ่งยโสใส่พ่อของเขา ราวกับว่า ชายคนนี้ไม่ใช่พ่อของเขา แต่เขากำลังพูดอยู่กับข้าหรืออริแทน


 


“นี่ พ่อหนุ่ม ทำไมถึงได้พูดกับพ่อของตัวเองแบบนั้นล่ะ?” คนไข้ที่รออยู่รับไม่ได้กับพฤติกรรมของชายหนุ่ม


 


“อย่ามายุ่ง!” ชายหนุ่มตอบกลับไปอย่างไร้มารยาท


 


“ไป! เดี๋ยวนี้เลย!” ชายที่ป่วยเป็นโรคหัวใจรู้สึกอับอายขึ้นมา “ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ฉันไม่น่าพาเขามาเลย”


 


ปัง! เขากระชากประตูปิดตามหลัง


 


“เขาพูดกับพ่อของตัวเองแบบนั้นได้ยังไงกัน?” คนไข้คนหนึ่งพูดขึ้นมา


 


“ใช่ๆๆ” คนไข้อีกคนพูด “เด็กสมัยนี้ไม่ไหวเลยจริงๆ!”


 


“โอ๊ะ หมอหวัง ฉันไม่ได้พูดถึงหมอนะ” คนไข้พูด


 


“ผมรู้ครับ” หวังเย้าพูด


 


มันเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งที่ผ่านเข้ามาเท่านั้น หวังเย้าแค่รู้สึกเศร้าใจแทนชายคนนั้น ซึ่งมันส่งผลต่ออารมณ์ของหวังเย้าเล็กน้อย การมีลูกแบบนี้ คงมีแต่จะทำให้หัวใจต้องแตกสลาย เมื่อดูสถานการณ์ของชายคนนั้นแล้ว แสดงว่าเขาคงจะเจอกับเรื่องแบบนี้มาเป็นเวลานาน


 


ในชีวิตหนึ่ง การไม่โกรธเลยนั้นเป็นไปได้ยาก แต่การลบมันออกไปและได้ระบายมันออกมาคือสิ่งที่จำเป็น การเก็บกักความเจ็บปวดเอาไว้ในใจคือการทำร้ายร่างกายอย่างดีที่สุด


 


หวังเย้ามองดูห้องที่เต็มไปด้วยคนไข้ แล้วจึงกลับไปทำงานของเขาต่อ ไม่นาน ก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆและท้องฟ้ากำลังเริ่มมืดลง


 


ภายในบ้านแห่งหนึ่งในตัวเมืองเหลียนชาน หญิงคนหนึ่งถามขึ้นมาว่า “ไปหาหมอเป็นยังไงบ้าง?”


 


“ก็ดี” ชายวัยกลางคนพูด


 


“ดูพูดเข้าสิ ไอ้ที่ว่าก็ดี สรุปว่ามันดีหรือไม่ดีล่ะ?” ภรรยาของเขาเริ่มไม่พอใจเล็กน้อย


 


ผู้เป็นสามีไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงก้มหน้าและเดินออกไปจากห้อง


 


“ฉันพูดด้วยอยู่นะ” ภรรยาของเขาพูด “เป็นอะไรไปเนี่ย?”


 


เข้าเดินเข้าไปอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง เขาล้มตัวนอนลงไปบนเตียงและเหม่อมองฝ้าเพดาน เขาคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน ความไปถึงทัศนคติที่ลูกชายและภรรยามีต่อเขา ไม่วาจะอยู่ในหรือนอกบ้าน ภรรยาไม่เคยปฏิบัติตัวดีกับเขาเลยสักครั้ง และลูกชายก็ไม่เคยเชื่อฟังเขาเลย เขาอดทนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ด้วยความคิดที่ว่า มันคุ้มค่าแล้วกับการที่ลูกชายของเขาจะมีงานทำและมีครอบครัวเป็นของตัวเอง


 


มันคุ่มค่าจริงหรือ? ความหมายในการมีชีวิตอยู่ของเขาคืออะไร?


 


เขากลัดกลุ้มมาเกือบครึ่งชีวิตของเขา และไม่อยากจะเป็นแบบนี้อีกต่อไปแล้ว เขาถอนหายใจอย่างหนักอึ้ง


 


“ยาเสร็จแล้ว ออกมากินสิ” น้ำเสียงเร่งเร้าจากภรรยาของเขาดังอยู่ที่หน้าประตู


 


เธอรอการตอบรับ แต่กลับไม่ได้ยินอะไรเลย


 


“อะไร? โมโหงั้นเหรอ?” เธอพยายามจะเปิดประตู แต่มันถูกล็อกจากด้านใน


 


เขายังคงนอนจับจ้องเพดานอยู่บนเตียง ดวงตาของเขาพล่าเลือน เขารู้สึกเหมือนได้เห็นชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยพละกำลังและชีวิตชีวา รวมถึงพ่อแม่ที่จากไปแล้วของเขา “พ่อ แม่ ผมขอโทษ ที่ผมมันไร้ประโยชน์!”


 


“มัวทำอะไรอยู่ในนั้นน่ะ? เปิดประตู!” ภรรยาของเขารออยู่จนกระทั่งสี่ทุ่ม แต่สามีของเธอก็ยังไม่ยอมเปิดประตู เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “ก็ได้ ไม่ออกก็ไม่ต้องออก”


 


ในเมื่อพวกเขามีห้องนอนมากกว่าหนึ่งห้อง เธอจึงเข้าไปในนอนในห้องนอนอีกห้องหนึ่ง เช้าวันถัดมา เธอตื่นนอนและพบว่า ห้องนอนอีกห้องยังคงล็อกประตูอยู่ เธอคิดในใจ เฮ้อ งั้นก็ไม่ต้องตื่นไม่ตลอดกาลเลย!


 


เธอแต่งหน้าแต่งตัวและออกไปจากบ้าน ในเมื่อสามีคือคนที่ทำอาหารให้กินทุกมื้อ เธอจึงต้องออกไปหาอะไรทานที่ร้านอาหารแทน


 


เธอหาเงินได้มากกว่าสามี เธอจึงกลายเป็นคนที่ตัดสินใจในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ไหนก็ตาม เธอไม่เคยถามความเห็นของสามี และไม่เห็นคนในครอบครัวของสามีอยู่ในสายตา เธอถือว่า เธอรับหน้าที่ทำงานนอกบ้าน ส่วนสามีก็รับหน้าที่ดูแลเรื่องในบ้านไป


 


ในเมืองเล็กๆแบบนี้ ถือว่าเธอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างดี เธอลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และในตลาดหุ้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หาได้ยาก กับการที่ผู้หญิงจะมีพรสวรรค์ในการเทรด หรือจะพูดได้ว่า เธอต้องขอบคุณตลาดที่ทำให้เธอได้กำไร เงินที่เธอหาได้ในหนึ่งปี มากกว่ารายได้ทั้งหมดที่คนคนหนึ่งหามาตลอดทั้งชีวิต และแบบนี้ เธอจึงสามารถมีความสุขกับชีวิตได้เท่าที่เธอต้องการ


 


“จะออกไปข้างนอกเหรอ?” เพื่อนบ้านถาม


 


“ใช่ค่ะ” เธอพูด


 


“เธอสวยจังเลยนะ” เพื่อนบ้านพูด


 


“จริงเหรอ? ขอบคุณนะคะ” เธอตอบ


 


เมื่ออยู่นอกบ้านเธอจะกลายเป็นอีกคนทันที สำหรับคนนอก เธอมักจะยิ้มแย้มให้เสมอ แต่ที่บ้านกลับแทบไม่เคยทำเลย แม้แต่คืนก่อนนั้น เธอก็แค่ต้มยาให้สามีไปแบบส่งๆเท่านั้น ซึ่งมันเป็นการกระทำที่ผิดปกติของเธอ ซึ่งเกิดจากการที่เธอรู้สึกไม่พอใจกับพฤติกรรมของสามี


 


หลังทานอาหารเช้าที่ร้านอาหารใกล้บ้านเสร็จแล้ว เธอก็ไม่ได้กลับไปที่บ้าน แต่ไปหาเพื่อนคนหนึ่งของเธอ เพื่อชวนกันเล่นไพ่นกกระจอกแทน


 


“สามีของเธอหายดีรึยัง?” เพื่อนถาม


 


“ยังหรอก เขายังไม่ค่อยมีแรงเหมือนเดิมนั่นแหละ เมื่อคืนอยู่ๆก็โมโหขึ้นมา แล้วตอนนี้ก็ขังตัวเองอยู่ในห้องนู้น” เธอพูด


 


“ก็สามีของเธอเขาต้องทุกข์ใจน่ะสิ” เพื่อนของเธอพูด “เธอก็น่าจะดูแลเขาให้ดีกว่านี้สักหน่อยนะ”


 


“ฉันก็คอยดูแลเขาอยู่นี่ไง นี่ยังไม่ดีพออีกเหรอ?” เธอถาม


 


“สามีของเธอมีงานทำด้วยใช่ไหม?” เพื่อนถาม


 


“ก็แค่เงินไม่เท่าไหร่เอง” เธอพูด “พอได้แล้ว เลิกพูด มาเล่นกันดีกว่า”


 


หลังจากเล่นไปได้หลายตา มันก็เป็นเวลาอาหารกลางวัน


 


“จะอยู่กินข้าวกับเราที่บ้านรึเปล่า?” เพื่อนถาม


 


“ไม่ล่ะ ขอบคุณ ฉันว่าฉันกลับไปกินที่บ้านดีกว่า” เธอพูด


 


เมื่อกลับไปถึงบ้าน เธอก็พบว่า สามียังไม่ได้เตรียมอาหารอะไรไว้ และห้องนอนก็ยังคงปิดอยู่เหมือนเดิม


 


“จะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่เนี่ย หา?” เธอยกเท้าขึ้นเตะประตู


 


เมื่อไม่มีการตอบสนองใดๆ เธอจึงออกไปหาอะไรทานที่ร้านอาหารข้างนอก ในตอนที่เธอกำลังทานอาหารอยู่นั้น อยู่ๆสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เธอวางตะเกียบในมือลงและรีบวิ่งออกไป


 


“เดี๋ยว คุณยังไม่ได้จ่ายเงินเลยนะ!” พนักงานร้านตะโกนเรียก


 


เธอนำเงินสดวางไว้ที่โต๊ะ และรีบวิ่งกลับไปที่บ้าน เธอค้นหากุญแจเป็นพัลวัน แต่เธอก็ยังหาไม่เจอ เธอกำลังอยู่ในอาการตื่นตระหนกและเหงื่อไหลเต็มตัว


 


“แม่ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ลูกชายของเธอถาม


 


เขารีบกลับมาที่บ้านเพราะได้รับสายจากแม่ของเขา เขาไม่เคยได้ยินเสียงร้อนใจแบบนี้จากแม่ของเขาเลย


 


“พ่อ พ่อเขา…” เธออยู่ในอาการร้อนรน


 


“พ่อเป็นอะไร?” ลูกชายของเธอถาม


 


“เขาขังตัวเองอยู่ในห้อง” เธอพูดด้วยท่าทีสิ้นหวัง


 


“แล้วยังไง? ก็ช่างเขาสิ” ลูกชายของเธอพูด


 


“รีบเปิดประตูเร็วเข้า เขาอยู่ในนั้นได้วันกว่าแล้ว” เธอสั่ง


 


ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ดังนั้น เขาจึงชกไปที่ประตู การที่พวกเขามีเงิน พวกเขาจึงเลือกซื้อประตูไม้อย่างดีและแน่นหนา


654 เมื่อหัวใจตาย ร่างกายก็ตายตาม


 


ประตูอย่างดีและตัวล็อคชั้นดี มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเปิดหรือใช้กำลังทำลายมัน


 


ชายหนุ่มพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว แต่เขาก็ล้มเหลว แม้ภายนอกจะเสียงดังขนาดไหนก็ตาม แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาจากห้องด้านในเลย สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปในทันที “โทรเรียกบริษัทกุญแจเถอะ”


 


หลังจากโทรไป ไม่นานพนักงานบริษัทกุญแจก็เดินทางมาถึง มันล็อคจากข้างในเหรอครับ?”


 


“ใช่ค่ะ” เธอพูด


 


“โอเค ปล่อยให้ผมจัดการเองครับ” พนักงานพูด


 


ด้วยการใช้อุปกรณ์ได้อย่างเชี่ยวชาญ เมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่สองนาที ตัวประตูก็เกิดเสียงดังแกร๊กขึ้น


 


สองแม่ลูกรีบวิ่งเข้าในภายในห้อง ซึ่งมีหน้าต่างเปิดอยู่ มีแสงแดดส่องลอดเข้ามา บนเตียงมีชายที่แต่งตัวเรียบร้อย เขาดูเหมือนกำลังหลับอยู่ ที่ผิดปกติก็คือใบหน้าของเขา


 


ที่ข้างเตียง มีขวดยาพลาสติกสีขาววางอยู่


 


“อาจ้าว?” เธอเดินเข้าไปที่เตียงและร้องเรียกสามีของเธอเบาๆ เธอยื่นมือที่สั่นเทาออกไปอังที่จมูกของเขา มันไร้ลมหายใจ


 


ในหัวของเธอกลับกลายเป็นว่างเปล่าในทันที ตุบ! เธอทรุดตัวลงนั่งไปที่พื้น


 


“อาจ้าว! เธอตะโกนเสียงสูงและร้องไห้ออกมา


 


ไม่มีปฏิกิริยาใดๆจากเสียงกรีดร้องของเธอ ชายที่นอนอยู่บนเตียงราวกับไม่มีวันตื่นไปตลอดกาล


 


“พ่อ?” ชายหนุ่มอึ้งไป


 


เขาไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย ที่แปลกคือเขาไม่ได้รู้สึกเศร้าโศกแม้แต่น้อย เขาไม่ร้องไห้ เขาเพียงแต่ยืนอึ้งอยู่กับที่เท่านั้น


 


“เชี่ยแล้ว! เขาตายเหรอเนี่ย!” พนักงานที่มาปลดล็อคประตูตกตะลึง เขารีบจากไปโดยไม่รอรับเงิน พร้อมทั้งหักกิ่งต้นหลิวด้วยหนึ่งกิ่งเพื่อขับไล่สิ่งอัปมงคล “โชคไม่ดีจริงๆเลยเนี่ย!”


 


ภายในห้อง ผู้เป็นภรรยานั่งนิ่งอยู่ที่พื้น มีบางอย่างคอยย้ำเตือนเธออยู่ซ้ำๆ แต่เธอก็ยังนิ่งเฉยพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก


 


มันเป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้อยู่เสมอ มันเป็นสายสัมพันธ์ที่มนุษย์มีให้กัน หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันมาอย่างยาวนาน คู่สามีภรรยาก็จะพบว่า พวกเขาไม่ได้รักกันเหมือนแต่ก่อน ซึ่งนำไปสู่การมองเห็นข้อด้อยของฝ่ายตรงข้าม เช่น ขี้เกียจ, ขี้โอ่, เกินจุ, ขี้เหนียว, ไม่โรแมนติก, และอีกหลายๆอย่าง เมื่อได้เห็นข้อบกพร่องเหล่านี้ ก็อาจทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดความรู้สึกเสียใจกับคนที่พวกเขาเลือกเป็นคู่ชีวิต แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้ มีทั้งเรียบเรื่อยน่าเบื่อและที่ต้องอดทนกันไป แต่ละฝ่ายควรถอยกันคนละก้าว ไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นคนตัดสินใจหรือเป็นผู้นำของครอบครัวก็ตาม


 


ดอกไม้ไฟเจิดจ้าแต่ไม่ยั้งยืน สายน้ำไหลเรียบเรื่อยแต่ยืนนาน คู่แต่งงานไม่ควรระเบิดอารมณ์เมื่อโต้เถียงกัน เมื่ออีกฝ่ายจากไปแล้ว ถึงได้เข้าใจว่า ข้อบกพร่องต่างๆเป็นแค่เรื่องไม่สำคัญเท่านั้น ขอแค่มีอีกฝ่ายอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน แค่นั้นมันก็มากพอแล้ว แม้ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหนก็ตาม


 


“แม่ โทรเรียกหมอเถอะ” ลูกชายพูด


 


ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย พวกเขาไม่สามารถรอให้เธอนั่งอยู่กับที่และเขาต้องยืนอยู่แบบนั้น ในขณะที่พ่อของเขาก็นอนตายอยู่บนเตียงโดยไม่มีใครทำอะไรเลยสักอย่าง


 


“ได้” เธอตอบ ดวงตาของเธอยังคงเคลือบไปด้วยน้ำตา


 


“ผมจะไปเอาน้ำมาให้นะ” ลูกชายเดินไปเทน้ำใส่แก้วมาให้แม่ของเขา


 


เธอไม่ได้ดื่มมัน เธอไม่ต้องการดื่มน้ำ เธอได้แต่ร้องไห้ไม่หยุด


 


“พ่อของลูกตายเพราะเขาโกรธแม่ เขาโกรธมาทั้งชีวิตของเขา” เธอร่ำไห้


 


“แม่ อย่าพูดแบบนั้นสิ!” ชายหนุ่มรีบเข้าไปปลอบแม่ของเขา


 


“มันเป็นความผิดของแม่เอง! ฉันผิดเอง!” เธอขย้ำผมของตัวเอง


 


“แม่!” ลูกชายไม่รู้จะทำอย่างไรดี


 


ผลตรวจออกมาอย่างชัดเจน เขาเสียชีวิตจากการกินยาเกินขนาด


 


แพทย์ที่รับหน้าที่ชันสูติถอนหายใจและคิดว่า โศกนาฏกรรมในครอบครัวอีกหนึ่ง! มีเพียงคนที่หัวใจตายไปแล้วเท่านั้น ถึงได้เลือกที่จะจากไป


 


ข่าวการเสียชีวิตได้กระจายไปยังเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว


 


“นี่ รู้รึเปล่าว่าคุณจ้าวฆ่าตัวตายน่ะ?” เพื่อนบ้านคนหนึ่งพูด


 


“รู้แล้ว น่าเสียดาย เขาเป็นคนดีแท้ๆ” เพื่อนบ้านอีกคนพูด


 


“ใช่ เขาเป็นคนดี เสวี่ยเหมยลี่กุมอำนาจทุกอย่าง จะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้าน เธอก็ไม่เคยไว้หน้าเขาเลยสักครั้ง” เพื่อนบ้านอีกคนพูด


 


“ใช่แล้วล่ะ ถ้าฉันกล้าสั่งสามีต่อหน้าคนอื่นละก็ เขาคงจะโมโหใหญ่เลยล่ะ” เพื่อนบ้านคนแรกพูด


 


“ตอนนี้เขาก็ไม่อยู่แล้ว เธอก็ร้องไห้อย่างกับอะไรดี” เพื่อนบ้านอีกคนพูด


 


การที่พวกเขาอาศัยอยู่ในตึกเดียวกัน ทำให้พวกเขารู้ถึงความสัมพันธ์คู่ผัวเมียในแต่ละบ้านด้วยเช่นกัน พวกเขายังรู้อีกว่า ในบ้านตระกูลจ้าว ผู้เป็นภรรยาคือคนที่ใหญ่สุดในบ้าน


 


ภรรยาของผู้ตายได้จัดงานศพขึ้น ญาติของฝ่ายชายล้วนมาร่วมงาน


 


“เสวี่ยเหมยลี่ ที่พี่ชายของเราตายเป็นเพราะเธอใช่ไหม?” ญาติผู้ตายถาม


 


พวกเขามาด้วยความโกรธ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า พี่ชายของพวกเขาต้องอดทนมานานหลายปีกับพี่สะใภ้ผู้กุมอำนาจทุกอย่าง พวกเขาได้เห็นภาพนั้นทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากัน แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้ได้ เขาตายจากการดื่มยาฆ่าแมลง


 


“ใช่ ฉันเป็นคนทำให้เขาต้องตาย” เธอพูด


 


เธอยอมรับทุกอย่าง เพราะเธอรู้สึกสำนึกเสียใจกับสิ่งที่เธอทำไม่ดีกับสามี ตอนนี้ เขาได้ตายไปแล้ว เธอจะไปหาคนที่คอยดูแลและรักเธอแบบเขาได้จากที่ไหนอีก?


 


“เธอ เธอมัน…” ญาติของผู้ตายถึงกับพูดไม่ออก


 


“ไม่ใช่ พ่อไม่ได้ตายเพราะแม่สักหน่อย” อยู่ๆลูกชายของเธอก็โพล่งขึ้นมา “เขาตายเพราะกินยาผิดต่างหาก!”


 


“ชงหยาง เธอพูดอะไรน่ะ?” ญาติคนหนึ่งถาม


 


“พ่อกินยาเข้าไปก่อนที่เขาจะตาย มันเป็นยาจีน ผมว่ายานั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ” ชายหนุ่มพูด


 


“เสวี่ยเหมยลี่ พี่ชายของเรากินยาอะไรเข้าไปเหรอ?” ญาติถาม


 


“น่าจะใช่มั้ง?” ในเวลานี้ เสวี่ยเหมยลี่จำอะไรไม่ค่อยได้ แม้แต่อาหารที่เธอกินไปเมื่อเช้า เธอเอาแต่คิดถึงเรื่องในอดีต ทุกเรื่องที่เธอได้ข่มเหงผู้เป็นสามี


 


“ไม่ใช่ว่าหมอบอกว่า เขากินยาเกินขนาดเหรอ?” ญาติคนหนึ่งพูด


 


“มันจะต้องเป็นเพราะยาจีนนั่นแน่ๆ” จ้าวชงหยางพูด


 


“แล้วยังมียาเหลืออยู่รึเปล่าล่ะ?” ญาติถาม


 


“มีสิ” จ้าวชงหยางพูด


 


“งั้นก็เอายานั่นไปตรวจดูซะสิ” ญาติพูด


 


“ไว้เราค่อยจัดการเรื่องนั้นทีหลังก็ได้ ตอนนี้ เราต้องจัดการเรื่องงานศพก่อน” จ้าวชงหยางพูด


 



 


ในหมู่บ้าน น้องสาวของจงหลิวชวนได้รับการรักษาเป็นครั้งแรก เธอกินยาเข้าไปและได้รับการฝังเข็มกับนวดไปตามจุดฝังเข็มเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต


 


หวังเย้าใช้วิธีเดียวกันกับกับตู้เฟิง พวกเขามีอาการที่ต่างกัน แต่บางอย่างก็คล้ายกัน


 


“เมื่อคืนนอนหลับสบายไหม?” หวังเย้าถาม


 


“ดีค่ะ” จงอันซินพูดด้วยรอยยิ้ม


 


เธอนอนหลับสนิทดี ในหมู่บ้านนั้นเงียบสงบอย่างมาก เมื่อเธอได้กินยาบรรเทาอาการปวดไป เธอก็หลับยาวไปตลอดทั้งคืน


 


“เธอยังกินยาที่ได้จากโรงพยาบาลอยู่รึเปล่า?” หวังเย้าถาม


 


“ครับ มันช่วยปกป้องตับของเธอ” จงหลิงชวนพูด


 


“เลิกกินได้เลยนะ ไม่จำเป็นต้องให้เธอกินอีกแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด


 


“ได้รับ” จงหลิวชวนพูด


 


“ดี การรักษาวันนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว กลับไปก็ให้กินยา แล้วก็ทำจิตใจให้สบายนะ” หวังเย้าพูด


 


ในช่วงบ่าย หวังเย้าปิดคลินิกของเขา ระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็เห็นหวังเจ๋อเชิงที่ขี่มอเตอร์ไซด์กลับไปที่บ้าน สภาพของเขาดูเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก


 


“กำลังจะกลับบ้านเหรอ?” เมื่อเห็นหวังเย้า เขาก็หยุดรถเพื่อทักทาย การหายใจของเขาดูไม่สม่ำเสมเท่าไหร่


 


“พี่ดูเหมือนจะเหนื่อยมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“อ่อ ไม่เท่าไหร่หรอก” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“พี่จะทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะครับ ไม่อย่างนั้นร่างกายของพี่จะทรุดเอาได้” หวังเย้าพูด


 


“ไม่ต้องห่วง ฉันยังไหวอยู่” หวังเจ๋อเชิงพูด เขาต้องทำงานหนักเพื่อคนในครอบครัวของเขา มันยังเหมือนกับการชดเชยที่เมื่อก่อนเขาทำตัวไม่ดีด้วย


 


หวังเย้าวังเกตดูเขาอย่างละเอียด โดยเฉพาะพลังฉีของเขา การใช้ร่างกายทำงานหนักเกินไปจะนำไปสู่โรคภัยที่ร้ายแรงได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันคล้ายกับภูเขาที่ทรุดตัวลง “พรุ่งนี้เช้า มาที่คลินิกของผมหน่อยนะครับ”


 


“หา?” หวังเจ๋อเชิงมึนงง แต่เขาก็ยังตกลงแม้จะไม่รู้เหตุผลก็ตามที


 


เช้าวันถัดมา ท้องฟ้ามีเมฆมากและอากาศร้อนอบอ้าว เวลาประมาณสิบโมง มีรถหรูคันหนึ่งขับเข้ามาในหมู่บ้าน


 


“ที่นี่เหรอ?” ชายคนหนึ่งถาม


 


“น่าจะเป็นที่นี่ครับ หมอมีชื่อว่า หวังเย้า” ชายอีกคนพูด


 


รถขับเข้าไปจอดที่ด้านนอกคลินิก


 


“อืม ตัวอาคารสร้างได้ไม่เลวเลย มันดูมีสไตล์ใช่ได้เลย” ชายคนแรกพูด


 


ทั้งสองคนลงมาจากตัวรถ คนหนึ่งมีอายุประมาณ 30 กว่า ร่างกายของเขาตั้งตรงราวกับต้นสน ส่วนอีกคนที่เป็นคนขับ มีอายุ 40 กว่าและท้วมเล็กน้อย แต่ด้วยใบหน้าที่มีสีเลือดฝาดก็แสดงให้เห็นว่าเขาดูแลตัวเองเป็นอย่างดี


 


“เข้าไปดูข้างในกันเถอะ” ชายวัย 30 พูด


 


มีคนไข้หลายคนนั่งรอตรวจอยู่ภายในคลินิก


 


“สวัสดี ผมขอถามหน่อยได้ไหมว่าคุณคือหมอหวังรึเปล่า?” ชายวัย 30 ถาม


 


“ผมเองครับ” หวังเย้าพูด “มีอะไรเหรอครับ?”


 


“หมอตรวจคนไข้คนหนึ่งได้ไหม?” ชายคนนั้นถาม


 


“คุณต้องไปเอาบัตรคิว แล้วก็ไปรอตามคิวได้เลยครับ” หวังเย้าพูด แล้วชี้ไปที่บัตรคิวซึ่งแขวนอยู่ตรงประตู


 


“แต่นี่เป็นเรื่องด่วนมาก” ชายคนนั้นพูด “หมอช่วยยกเว้นเป็นกรณีพิเศษได้ไหม?”


 


หวังเย้าเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่พวกเขา “คนไข้ไม่ได้มาด้วยเหรอครับ?”


 


“ไม่ได้มาด้วย” ชายคนนั้นพูด


 


“แล้วคนไข้อยู่ที่ไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ที่ปักกิ่ง” ชายคนนั้นพูด


 


“ผมไม่รับตรวจคนไข้นอกสถานที่ ขอโทษด้วย” หวังเย้าหันไปรักษาคนไข้ของเขาต่อ


 


“ช่วยอ่านประวัติการรักษาของเขาหน่อยเถอะครับ” ชายคนนั้นพูด “ลองเอาไปอ่านสักหน่อยได้ไหมครับ?


 


“รอคิว” หวังเย้าโดยไม่มีการผ่อนปรน


 


คนขับเริ่มไม่พอใจขึ้นมา แต่ชายอีกคนก็หยุดเขาเอาไว้ “ได้ๆ” เขาเดินไปหยิบบัตรคิวและรอต่อแถว


 


เมื่อเวลาใกล้เที่ยง ในที่สุดมันก็เป็นคิวของพวกเขา ชายคนนั้นนำประวัติการรักษายื่นให้กับหวังเย้า


 


“เขาอายุ 78 ปีเหรอครับ?” เมื่อเห็นอายุของคนไข้ หวังเย้าก็รู้สึกว่า การรักษาอาจจะมีปัญหาได้


 


“ใช่ครับ” ชายคนนั้นพูด


 


อาการของโรคเกิดจากร่างกายที่เสื่อมสภาพและระบบการเผาผลาญไม่ทำงาน


 


“นานแค่ไหนแล้วครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ก็เกือบจะสองปีแล้ว” หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายคนนั้นก็ให้คำตอบ


 


“พาเขามาที่นี่” หวังเย้าส่งประวัติคนไข้คืนกลับไป


 


“แต่พ่อของผมอ่อนแอมาก” ชายคนนั้นพูด “หมอช่วย…”


 


“ขอโทษด้วย” หวังเย้าพูด


 


“หมอหวัง เรายินดีจ่าย เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหาเลย” ชายคนนั้นพูด


 


“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็เชิญกลับไปเถอะครับ” หวังเย้ารู้สึกไม่ชอบใจ พวกหัวสูงมาอีกแล้วสินะ


 


“หมอหวัง…” ชายคนนั้นเริ่มพยายามพูดกับหวังเย้า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์


 


“คนต่อไปครับ” หวังเย้าไม่สนใจเขาและเริ่มตรวจคนไข้คนต่อไป


 


ชายคนนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบใจลงและเดินออกไป


 


ด้านนอก คนขับรถพูด “บอส เขาอวดดีจริงๆเลย!”


 


“เขาอายุยังน้อย ไม่แปลกหรอกที่จะอวดดีแบบนี้ ฉันจะลองโทรถามหมอเฉินดู” ชายคนนั้นพูด


 


เขาโทรหาหมอเฉินและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น


 


“อะไรนะ? ฉันบอกไปตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? ขนาดที่ปักกิ่ง แม้แต่ตระกูลซู ,หวู หรือแม้แต่ฉันก็ยังไม่กล้าพูดกับเขาแบบนั้นเลย ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้หรอก!” หมอเฉินวางสายทันที


 


ชายวัยกลางคนยืนอึ้งอยู่นาน “มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”


 


หากพูดตามตรง เขาคิดว่า ตัวเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด


655 ปัญหาทางการแพทย์ ลูกอกตัญญู


 


อย่างที่โบราณว่าไว้ พวกเขาเคยอยู่สูง ความคิดจึงเปลี่ยนแปลงได้ยาก พวกเขาคิดอยู่เสมอว่า ความคิดของพวกเขาคือสิ่งที่ถูกต้อง สำหรับคนที่อยู่ต่ำกว่า พวกเขาปฏิบัติด้วยแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว


 


“ไปหาที่พักกันก่อนเถอะ” เขาพูด


 


เขตเหลียนชานไม่ได้เป็นเมืองที่ไม่ค่อยเจริญมากนัก ดังนั้น พวกเขาจึงเลือกพักในโรงแรมที่ดีที่สุดของที่นี่


 


“ไปสืบเรื่องหวังเย้ามา” ชายคนนั้นพูด


 


“รับทราบครับ” คนขับพูด เขาและคนของเขาออกไปจัดการทันที


 


ใบโลกใบนี้ แค่มีเงินเรื่องทุกอย่างก็ง่ายขึ้น คำพูดของหวังเย้าและสีหน้าของเขาดูเหมือนจะเป็นคนมีคุณธรรม แต่เขาก็ยังคงคิดว่า มันเป็นเพราะเขายังไม่รู้ถึงความต้องการจริงๆของหวังเย้าต่างหาก เพราะตอนที่ตระกูลซูกับตระกูลหวูมาขอให้เขาไปรักษาคนไข้ที่บ้าน หวังเย้าก็ยังตกลงเลย


 


ไม่มีใครปฏิเสธโอกาสที่พวกเขาจะได้ยกระดับของตัวเองให้สูงขึ้น คุณธรรมที่เขาแสดงออด มันก็เหมือนกับใบมะเดื่อ(?) เขาแค่กำลังหาทางลงเพื่อให้ดูสมเหตุสมผลอยู่ก็เท่านั้น


 


หึ!


 


ในหมู่บ้านกลางเขา หวังเย้ายุ่งอยู่กับการรักษาคนไข้ หลังจากเสร็จงานแล้ว เขาก็ออกไปจากคลินิก


 


เขาก็หันไปเห็นเวินหว่านที่กำลังเดินเล่นอยู่กับลูกชายของเธอ เจิ้งเหว่ยจวินนั่งอยู่ที่ริมแม่น้ำสายเล็กในหมู่บ้าน เขากำลังมองดูต้นหลิวที่โตขึ้นริมแม่น้ำอยู่ คนทั้งสองมองเห็นหวังเย้าและได้เอ่ยทักทายเขาจากที่ไกลๆ เขาจึงยิ้มและโบกมือให้พวกเขา


 


หลังจบมื้อเย็น หวังเย้าก็ออกไปจากบ้านอีกครั้ง เมื่อเขาเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าคลินิก นอกจากบ้านสองสามหลังที่ปลูกอยู่บนเขาแล้ว คลินิกก็คือจุดที่สูงที่สุดในหมู่บ้านกลางเขาแห่งนี้


 


บ้านแต่ละหลังมีแสงไฟส่องลอดออกมาทางหน้าต่าง เมื่อมองไปรอบๆ มีบ้านอยู่ 20 กว่าหลังที่ยังคงมืดสนิท บางหลังเจ้าของอาจจะยังไม่กลับ แต่ส่วนใหญ่เจ้าของได้ย้ายออกไปอยู่ในอพาร์ทเมนต์ที่ตัวเมืองเหลียนชานกันหมดแล้ว บ้านเหล่านั้นจึงถูกปล่อยให้ร้าง


 


ในตอนที่มีการทำสัญญากันนั้น พวกเขาได้ทำการตกลงกันแล้วว่า เมื่ออพาร์ทเมนต์สร้างเสร็จ พวกเขาจะมีเวลาหนึ่งปีในการย้ายออก บางคนแทบจะทนรอที่จะได้ย้ายออกไม่ไหว เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นบนเนินเขาซีชานคือสาเหตุหลักของการย้ายออกของชาวบ้านหลายๆคน ในตอนนี้ มันได้เกิดเรื่องขึ้นอีกครั้งกับคนนอกที่เข้ามาในหมู่บ้าน ซึ่งส่งผลให้ชาวบ้านย้ายออกเร็วยิ่งขึ้นไปอีก


 


“บางที ผ่านไปไม่นาน มันอาจจะกลายเป็นหมู่บ้านร้างไปก็ได้” หวังเย้ากระซิบ


 


เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นสักพัก ก่อนที่จะหมุนตัวเดินขึ้นไปบนเนินเขา


 


ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในค่ำคืนนั้น หวังเย้าลงมาจากเขาในเช้าตรู่ของวันถัดมา


 


มีคนไข้บางรายมารออยู่ที่ด้านนอกคลินิกแล้ว ตอนนี้ หลายๆคนที่มาเริ่มรู้เรื่องกฎของหวังเย้ามาบ้างแล้ว เพราะในหมู่พวกเขาส่วนใหญ่ได้สอบถามเรื่องนี้กันมาก่อน พวกเขารู้เวลาทำการของหวังเย้า หลายคนจึงเลือกที่จะมาแต่เช้าเพื่อรอคิว


 


หวังเย้าเปิดรับคนไข้ตามเวลาปกติ ด้านนอกคลินิก มีกลุ่มคนที่มาพร้อมกับป้ายและตีกลองดังลั่น


 


“พวกเขาทำอะไรน่ะ?” ชาวบ้านที่ได้ยินต่างออกมาจากบ้านของตัวเอง คนในหมู่บ้านต่างก็สงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น


 


“พวกเขาถึงขนาดเอาป้ายมาด้วยล่ะ” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด


 


ป้ายแผ่นหนึ่งได้เขียนเอาไว้ว่า [หวังเย้า หมอต้มตุ๋น ทำคนตาย!]


 


ผู้คนในหมู่บ้านต่างพากันจับจ้องไปที่ตัวหนังสือสีแดงบนป้ายผ้าสีขาว


 


“อะไรกัน? เสี่ยวเย้าทำคนตายงั้นเหรอ?” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม


 


“ก็ลองไปถามเขาดูสิ” ชาวบ้านอีกคนพูด


 


จางซิวหยิงก็รู้สึกสงสัยเช่นเดียวกัน ดังนั้น เธอจึงออกไปดูพร้อมกับชาวบ้านคนอื่นๆ เมื่อได้อ่านตัวหนังสือสีแดงสด หัวใจของเธอก็บีบรัดพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเผือด


 


“เสี่ยวเย้า เกิดเรื่องขึ้นแล้ว” ชาวบ้านคนหนึ่งรีบร้อนวิ่งเข้าไปในคลินิกของหวังเย้า


 


“มีเรื่องอะไรเหรอครับคุณลุง?” หวังเย้าถาม


 


“มีคนมาสร้างเรื่องให้เธอน่ะสิ พวกเขาบอกว่าเธอฆ่าคนตาย” ชาวบ้านพูด


 


“หา?” หวังเย้าตกใจ เขาลุกขึ้นและมองคนไข้ที่อยู่ภายในคลินิก “ต้องขอโทษด้วยนะครับ วันนี้ผมมีเรื่องด่วนต้องไปจัดการ รบกวนทุกท่านมาวันอื่นนะครับ”


 


“โอ้ ได้ๆ” คนไข้แต่ละคนต่างก็มีความคิดต่างกันออกไป บางคนก็รีบลุกออกไปทันที เหลืออยู่สองคนที่ยังไม่ไปไหน


 


“หมอหวัง มีอะไรให้พวกเราช่วยไหม?” คนไข้คนหนึ่งถาม


 


พวกเขาต่างก็เป็นคนจิตใจดี และเข้าใจหวังเย้า ดังนั้น พวกเขาจึงเลือกที่จะอยู่เพื่อดูว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้าง


 


“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากนะครับ” หวังเย้ายิ้ม


 


เขาเดินออกไปด้านนอก แล้วก็เห็นพ่อแม่ของเขารีบร้อนเข้ามาหา


 


“พ่อแม่ ผมรู้เรื่องแล้วครับ ไม่ต้องห่วงนะ” หวังเย้าพูด


 


เขาเดินออกไปจากคลินิกและมุ่งหน้าไปยังกลุ่มคนที่มาสร้างปัญหา


 


“มันเป็นเขา หวังเย้า ไอ้หมอปลอม” ชายคนหนึ่งพูด “เขาทำคนตาย!”


 


“ไอ้หมอต้มตุ๋น!”


 


“ไอ้ฆาตกร!”


 


“หุบปาก!” หวังเย้าตะโกนออกไปเต็มเสียง หึ่ม! เสียงของเขาดังราวกับเสียงฟ้าร้อง


 


“โอ๊ย หูฉัน!” กลุ่มคนที่อยู่บนถนนต่างเอามือกุมหูทั้งสองข้างของตัวเอง


 


“พวกคุณเป็นใคร? แล้วใครที่ผมทำให้ตาย?” หวังเย้าถามในขณะที่มองไปยังผู้นำของคนกลุ่มนี้


 


“แกจะไม่รู้ได้ยังไง?ไ ผู้นำกลุ่มถาม “อย่ามาทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย! แกมันไอ้ฆาตกร!”


 


“เงียบซะ!” พวกเขาอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น หวังเย้าเพียงแค่โบกมือออกไปครั้งหนึ่ง


 


ชายที่เพิ่งจะเปิดปาก กลับไม่มีเสียงพูดออกมาแม้แต่น้อย


 


“คนหลอกลวงไม่มีสิทธิ์มาพูดอะไรที่นี่” หวังเย้าพูด


 


“เขาเป็นอะไรไปน่ะ?” คนที่ยืนอยู่ข้างๆชายที่เป็นผู้นำกลุ่มตกตะลึง


 


เกิดอะไรขึ้นกับฉันกัน? คนที่โดนกับตัวยิ่งรู้สึกกลัวมากกว่าใคร เขารู้สึกว่าลำคอของเขาถูกบางอย่างอุดเอาไว้ คำพูดต่างๆถูกหยุดเอาไว้ในลำคอ และไม่มีทางให้ออก ราวกับมีกำแพงกั้นอยู่ตรงนั้น


 


“ออกมา อย่าคิดจะหลบเลย” หวังเย้าเดินเข้าไปหาฝูงชน


 


สายตาของเขาตกไปอยู่กับชายหนุ่มที่สวมแว่นตากันแดด แขนเสื้อของเขามีสายสีดำคาดอยู่และปักคำว่า “กตัญญู” ติดเอาไว้


 


ชายหนุ่มเดินออกมา


 


“พ่อของเธอตายแล้วเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


ใช่ เขาตายหลังจากที่กินยาของแกยังไงล่ะ” ชายหนุ่มพูด


 


“เขาตายเพราะโมโหนาย เพราะนายมันอกตัญญู” หวังเย้าพูด


 


ครั้งก่อนที่เขาได้เจอคนไข้ เขาก็พอจะเห็นสัญญาณบางอย่างแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดว่า เรื่องในครั้งนั้นจะเป็นการจบชีวิตของชายวัยกลางคนผู้ที่ดูเหมือนจะอดทนมาอย่างยาวนานไปอย่างรวดเร็ว


 


“เชี่ย! ก็เห็นกันชัดๆอยู่แล้ว ว่ามันเป็นเพราะยาของแกน่ะ” ชายหนุ่มพูด


 


“ยาไม่มีปัญหาเลย ถ้านายสงสัย ก็เอายาไปตรวจดูสิ” หวังเย้าพูด “พ่อของนายก็ตายไปแล้ว ก็เอาร่างเขาไปทำการชันสูตรซะสิ”


 


“ผลมันก็เห็นๆกันอยู่แล้ว” ชายหนุ่มพูด


 


“เป็นลูกอกตัญญูจริงๆ! เงียบปากซะ!” หวังเย้าชี้นิ้วออกไป


 


ปากของชายหนุ่มยังคงอยู่ที่เดิม แต่เขากลับไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลย


 


“นายไม่สมควรจะมาพูดไร้สาระอะไรตรงนี้” หวังเย้าพูด


 


เหล่าคนที่ตามมาเพื่อสร้างปัญหาต่างก็พากันอึ้งงัน ถ้าเกิดกับคนแค่คนเดียว มันก็คงจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่นี่เกิดขึ้นถึงสองคน? ผู้ชายคนนี้เป็นพ่อมดหรือยังไง?


 


พวกเขาเตรียมตัวถอยห่างเพื่อจะหนีไป


 


“ทั้งหมด!” หวังเย้ามองไปยังอีกสิบกว่าคนที่เหลือ “คนตายเป็นญาติหรือพ่อของพวกคุณรึเปล่า? บอกมา!”


 


คนในกลุ่มต่างก็คิดในใจ จะมาตะคอกใส่พวกเราทำไม เราไม่ได้รู้จักเขาเลยสักนิดเดียว! แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดออกไป หากพูดออกไป ก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่ามันเป็นการหาเรื่องใส่ตัว


 


“ไปเร็ว!” มีคนกระซิบบอกคนอื่นๆ แล้วพวกเขาก็หมุนตัวจะออกไป


 


เมื่อหมุนตัวไปด้านหลัง พวกเขาก็พบว่าทางเดินของพวกเขาถูกปิดกั้นเอาไว้ มีชายร่างกายใหญ่โตสวมสวมแว่นตากันแดดยืนเรียงกันอยู่ และปิดทางพวกเขาเอาไว้


 


“เชียนเชิง จะเอายังไงดีครับ?”


 


ซุนหยุนเชิงและเจิ้งเหว่ยจวินเข้ามาหา


 


เสียงตะโกนโหวกเหวกของคนเหล่านี้ ทำให้พวกเขาต้องออกมาดู


 


“ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ไปไหนทั้งนั้น” หวังเย้าพูด


 


กลุ่มคนที่มาเพื่อสร้างเรื่องต่างก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา


 


“พ่อหนุ่ม มันเป็นความผิดของพวกเราเอง” หนึ่งในคนกลุ่มนั้นพูด “เขาเป็นคนจ้างพวกเรามา เธอช่วยปล่อยพวกเราไปได้ไหม?”


 


“อืม ดีมาก” หวังเย้าพูด “งั้นก็ไปคุยกับตำรวจแล้วกัน”


 


“หา! พ่อหนุ่ม เธอจำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?” หนึ่งในนั้นพูด


 


หวังเย้าเลิกสนใจพวกเขา และกดโทรหาตำรวจ


 


วี้ว๊อ! เสียงไซเรนตำรวจดังใกล้เข้ามา เจ้าหน้าที่ตำรวจลงมาจากรถและถามออกไปว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”


 


“พวกเขารวมตัวกันมาสร้างเรื่องให้ผมครับ มันเป็นการกล่าวเท็จ” หวังเย้าอธิบายอย่างง่ายๆ


 


“ใช่ พวกเราเป็นพยานได้” ชาวบ้านพูด


 


“พาพวกเขาไป!” เจ้าหน้าที่ตำรวจที่นำทีมมาสั่งการ


 


“ขอบคุณนะครับ คุณหลี่” หวังเย้าพูด


 


“เกรงใจไปแล้ว หมอหวัง” เจ้าหน้าที่หลี่พูด


 


“นี่พวกเขารู้จักกันด้วยเหรอ?” หนึ่งในคนกลุ่มนั้นพูดขึ้นมา “นี่มันรวมหัวกันนี่นา!”


 


“เยี่ยม แจ้งข้อหาป้ายสีเจ้าหน้าที่ไปอีกหนึ่งข้อหา” เจ้าหน้าที่หลี่พูด


 


“หา ผมผิดไปแล้ว” หนึ่งในนั้นพูด


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการทุกสร้างเรียบร้อยในเวลาอันสั้น


 


“ขอบคุณทุกคนมากนะครับ” หวังเย้าประสานมือคำนับขอบคุณ


 


“หมอไปตรวจคนไข้ต่อเถอะ” เจ้าหน้าที่หลี่พูด


 


หวังเย้าเดินกลับไปที่คลินิก “พ่อ แม่ เรื่องจบแล้ว อย่างคิดมากเลยนะครับ”


 


“โอ้ ดีๆ” จางซิวหยิงและหวังเฟิงฮวาต่างก็โล่งใจ


 


เดิมที พวกเขากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่า ลูกชายของพวกเขาจะรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย


 


ภายในสถานีตำรวจ กลุ่มคนกำลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งคำถามอยู่


 


“เกิดอะไรขึ้น?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถามชายหนุ่มที่เป็นผู้นำกลุ่ม เขาไม่ยอมพูดอะไรและทำตัวเหมือนคนบื้อใบ้ “คิดว่าฉันจะโง่เหรอ?”


 


คนที่อยู่ในกลุ่มนั้นพูด “เขาไม่ได้แกล้งโง่ แต่เขาเป็นแบบนั้นเพราะหมอคนนั้นนั่นแหละ!”


 


“คิดว่าเราจะเชื่อคำพูดของพวกนายเหรอไง? เกิดอะไรขึ้น?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม


 


“ไม่ ฉันก็บอกไปแล้ว มันเป็นเรื่องจริงนะ” คนในกลุ่มพูด “ถ้ามันเป็นเรื่องไม่จริง ฉันยอมห้ฟ้าผ่าเลย ฉันสาบานได้”


 


พวกเขาทั้งหมดต่างพากันบอกความจริงออกมาอย่างไม่รอช้า


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจหันไปหาชายหนุ่ม “โอเค ไม่ต้องพยายามทำไม้ทำมือหรอก ยังไงฉันก็ไม่เข้าใจ เดี๋ยวแม่นายก็จะมาแล้ว”


 


เมื่อได้ยินว่าลูกชายของเธอถูกจับ เสวี่ยเหมยลี่ที่ยังไม่หายเศร้าเรื่องการตายของสามี ก็รีบร้อนเดินทางไปที่สถานีตำรวจ


 


“คุณตำรวจ ลูกชายของฉันอยู่ที่ไหนคะ?” เธอถาม


 


“อยู่ตรงนั้น” เจ้าหน้าที่พูด


 


จ้าวชงหยางเห็นแม่ของเขา จึงทำไม้ทำมือเรียกหาเธอ


 


“ชงหยาง เกิดอะไรขึ้นกับลูกกัน?” เมื่อเห็นสภาพของลูกชาย เสวี่เหมยลี่ก็ตกใจ สามีของเธอเพิ่งจะตายไป แล้วลูกชายก็ยังมาเป็นแบบนี้อีก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือพระเจ้ากำลังลงโทษฉันอยู่? “คุณตำรวจ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?”


 


เจ้าหน้าที่จึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง


 


“ชงหยาง มันเป็นเรื่องจริงเหรอ?” เสวี่ยเหมยลี่ไม่อยากจะเชื่อ


 


หลังจากที่นิ่งไปสักพัก จ้าวชงหยางก็พยักหน้า


 


“ทำไมถึงได้โง่แบบนี้!” เธอตบไปที่หน้าของเขา “คุณตำรวจคะ ฉันต้องทำยังไงกับเรื่องนี้ดีคะ?”


 


“ข้อหากล่าวเท็จผู้อื่น จะถูกจำคุกสามปีหรือน้อยกว่านั้น” เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งพูด


 


แน่นอนว่า พวกเขาไม่มีสิทธิตัดสินว่ามันร้ายแรงแค่ไหน เรื่องเหล่านี้จะอยู่ในมือของศาล


656 ปิดล้อมดินแดน


 


“เขาทำไมโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง” เสวี่ยเหมยลี่พูด “เขายังเด็ก ช่วยให้โอกาสเขาสักครั้งจะได้ไหมคะ?”


 


ไม่มีใครอยากให้ลูกของตัวเองต้องติดคุก


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่คิดจะพูดกับเธออีก


 


เสวี่ยเหมยลี่ต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เธอรีบโทรหาเพื่อนที่เมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้เพื่อขอคำปรึกษา และได้รู้ว่า มันสามารถจัดการได้ไม่ยาก


 


ในหมู่บ้านกลางเขา หวังเย้ากำลังทานอาหารอยู่กับพ่อแม่ของเขา


 


“เรื่องวันนี้ มันเป็นมายังไงเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“เขาไม่ใช่ลูกที่ดีสักนิดเลยครับ!” หวังเย้าบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกเขาฟัง


 


“พ่อของเขาเสียแล้วเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ครับ ไม่อย่างนั้น เขาก็คงไม่มาก่อเรื่องขึ้นที่นี่หรอกครับ” หวังเย้าพูด


 


“เฮ้อ!” จางซิวหยิงถอนหายใจ “ทำไมถึงได้เป็นคนแบบนี้นะ?”


 


ในตอนที่หวังเย้ากำลังทานอาหารอยู่นั้น หวังหมิงเปาก็โทรมาและถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เขาได้ยินเรื่องนี้มาจากเพื่อนของเขาที่ทำงานอยู่ในสถานีตำรวจ เมื่อรู้ว่า มีคนมาสร้างปัญหาให้กับเพื่อนรักของเขา หวังหมิงเปาก็ไม่พอใจขึ้นมา


 


“มันไม่มีอะไรหรอก ปล่อยให้พวกเขายุ่งยากกันสักหน่อยก็พอแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด


 


“แล้วไอ้เด็กที่ชื่อ จ้าวชงหยาง นั่นล่ะ?” หวังหมิงเปาถาม


 


หวังเย้าใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดออกไปว่า “ทำให้เขาต้องจดจำไปจนตายก็พอ!”


 


“ไม่มีปัญหา” หวังหมิงเปาพูด


 


ในบางครั้ง โทรศัพท์สายเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หลายอย่าง และมันก็สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของคนคนหนึ่งได้ด้วย


 


ยกตัวอย่างเช่น จ้าวชงหยางที่ไม่เข้าใจว่า ตัวเขาถูกเพิ่มข้อหาไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวนกับขมขู่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตอนไหน เขาคิดอย่างไม่พอใจ ตำรวจพวกนี้ตัดสินใจโดยไม่ได้ดูว่าอันไหนจริงอันไหนไม่จริงเลยสักนิด!


 


เขาไม่เคยโมโหขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต เมื่อคนเราโมโห มันก็ง่ายที่จะสูญเสียความสามารถในการใช้เหตุและผล จ้าวชงหยางถึงขนาดตบโต๊ะต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในสถานี


 


“ไอ้หนุ่ม นายอารมณ์ร้อนจริงๆเลยนะ!” เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่พอใจขึ้นมา


 


“ลูกบ้าไปแล้วเหรอ!” เสวี่ยเหมยลี่ถูดกับพูดไม่ออก หลังจากที่ได้ทราบข่าว เธอพยายามขอความช่วยเหลือเพื่อมาจัดการกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ ลูกชายของเธอกลับโดนตั้งข้อหาเพิ่มเข้าไปอีก ข้อหาร้ายแรงแบบนี้อาจนำไม่สู่ปัญหาที่ใหญ่ขึ้นได้


 


“แม่ ผมก็แค่พูดธรรมดาๆเท่านั้นเองนะ” จ้าวชงหยางพูด


 


“ลูกรู้รึเปล่า ว่าการพูดไม่คิดของลูกมันสร้างปัญหามากแค่ไหน?” เสวี่เหมยลี่พูด


 


จ้าวชงหยางไม่ได้พูดต่ออีก


 


เสวี่ยเหมยลี่ถอนหายใจ ความโชคร้ายหรือปัญหามักจะมาพร้อมกันเสมอ เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้? หรือนี่จะเป็นบทลงโทษจากพระเจ้า? อยู่ๆเธอก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเกินทน


 


“แม่อย่าคิดมากเลยน่า” ในที่สุด จ้าวชงหยางก็พูดออกมา


 


ในหมู่บ้านกลางเขา หวังเย้าเดินไปรอบๆเนินเขาและมองดูต้นไม้สองแถวที่เขาเพิ่งจะปลูกไปได้ไม่นาน เพราะตอนกลางวันมีคนไข้อยู่ไม่เยอะ หวังเย้าจึงตัดสินใจขึ้นมาดูบนเขา


 


ต้นไม้เติบโตเป็นอย่างดี ด้วยการดูแลอย่างสม่ำเสมอโดยฝีมือของซานเซียน ภูเขาดูต่างออกไปและมีหมู่เมฆมารวมตัวกันอยู่ ซึ่งถือเป็นแหล่งสารอาหารที่ดีที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด มันยังทำให้ต้นไม้เติบโตขึ้นได้อย่างมีความสุขด้วย


 


กำแพงต้นไม้สองชั้นได้ก่อตัวขึ้นมา มันใกล้จะเสร็จแล้ว


 


หวังเย้ายืนอยู่บนยอดของเนินเขาหนานชาน


 


ทางใต้ของเนินเขาเป็นกำแพงภูเขาที่สูงชัน มีพื้นที่ที่ใช้สอยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และถนนตรงนั้นก็ถูกหวังเย้าทำลายไปเรียบร้อยแล้วด้วย ทางใต้ยังมีภูเขาอยู่อีกลูกหนึ่ง ทางทิศตะวันออกและตกก็มีกำแพงต้นไม้ถูกสร้างเอาไว้เช่นเดียวกัน


 


ทางเหนือล่ะ? หวังเย้าก้มลงมองดูข้างล่าง


 


ที่ดินผืนนั้นเป็นหลุมเป็นบ่อและมีต้นไม้อยู่ไม่มาก แต่มันก็ไม่ใช่ของเขา เขาคิด จะเปลี่ยนหรือจะซื้อมันดี? การเปลี่ยนนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้และก็ง่ายที่จะทำด้วย


 


เมื่อกลับไปถึงที่บ้าน หวังเย้าก็ถามเรื่องนี้กับพ่อแม่ของเขา


 


“เรื่องนี้ง่ายมาก” หวังเฟิงฮวารับหน้าที่จัดการกับปัญหานี้


 


ในเมื่อพวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะนำที่ดินอุดมสมบูรณ์ไปแลกเปลี่ยนกับที่ดินรกร้าง


 


หวังเย้าต้องการปลูกต้นไม้เพิ่มอีก เขาจึงโทรไปหาหลี่ชื่อหยู ผู้ซึ่งบอกกับหวังเย้าว่า เขาจะเตรียมต้นไม้ทั้งหมดให้พร้อมโดยใช้เวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


ในคืนนั้น มีแสงสว่างปรากฏอยู่บนเขา หวังเย้าที่ยืนอยู่บนยอดเขากำลังมองลงไปข้างล่าง แล้วภูเขาก็จะค่อยๆถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้


 


มันเป็นแผนการใหญ่ที่หวังเย้าคิดเอาไว้นานแล้ว มันเริ่มจากแปลงสมุนไพร ตามมาด้วยค่ายกลรวมวิญญาณ ซึ่งค่อยๆขนายรัศมีของมันออกไป ตอนนี้ เขามีความคิดที่ใหญ่ยิ่งกว่า เขาจะให้เนินเขาหนานชานเป็นจุดศูนย์กลาง เนินเขาซีชาน, ตงชาน, และบริเวณตีนเขาที่เหลือก็จะถูกรวมเข้าไปด้วย


 


ชาวบ้านส่วนใหญ่เลือกที่จะย้ายออกไปจากหมู่บ้าน และปล่อยให้ที่ดินทำการเกษตรรกร้าง เขาจึงเตรียมที่จะซื้อมันมาเป็นของตัวเองแล้ว


 


หวังเย้าลงไปจากยอดเขาและเข้าไปในกระท่อม เขาเริ่มลงมือร่างโครงสร้าง, วาดรูป, และปรับเปลี่ยนหลายๆอย่างไปจนกระทั่งเที่ยงคืน


 


เช้าวันต่อมา รถหรูคันหนึ่งได้ขับเข้ามาในหมู่บ้าน ชายที่ถูกหวังเย้าปฏิเสธไปเมื่อวันก่อนได้มาที่นี่อีกครั้ง ครั้งนี้ เขาทำตามกฎทุกอย่างและเดินไปเข้าแถวพร้อมกับป้ายไม้


 


“สวัสดีครับ หมอหวัง” เขาพูด “ผมขอแนะนำตัวเองสักเล็กน้อยนะครับ ผมมีชื่อว่า หลี่ชูเหริน”


 


“มีอะไรให้ผมช่วยครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เอ่อ ได้โปรดรักษาพ่อของผมด้วยเถอะครับ” หลี่ชูเหรินพูด


 


“ผมบอกไปแล้วนี่ครับ ว่าผมไม่ไปรักษาคนไข้ที่บ้าน” หวังเย้าพูด


 


“ผมมาครั้งนี้ ยังมีของขวัญเล็กๆน้อยๆเพื่อแสดงความจริงใจของผมด้วย” หลี่ชูเหรินหยิบบัตรเครดิตออกมา


 


หวังเย้าอึ้งไป หากพูดตามจริง มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอคนที่มอบของขวัญแบบนี้ให้กับเขา ถึงเขาจะทำแบบเงียบๆ แต่ภายในคลินิกก็ยังมีคนไข้อยู่อีกหลายคน


 


“คุณคิดว่ายังไง?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม


 


“หา?” หลี่ชูเหรินมึนงง


 


“คุณคิดว่ายังไงครับ?” หวังเย้าถามอีกครั้ง “ผมไม่รับตรวจคนไข้นอกบ้าน แล้วนี่ก็จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมพูดแบบนี้”


 


หวังเย้ารู้ ว่าครอบครัวของชายคนนี้มีเงิน หลี่ชูเหรินอาจจะเป็นที่รู้จักในปักกิ่งจากสถานะของเขาเอง แต่วิธีพฤติตัวของเขานั้นค่อนข้างคาดไม่ถึงและเต็มไปด้วยกลิ่นเงินที่เหม็นเน่า


 


“หมอลองคิดดูสักหน่อยไม่ได้เหรอ?” หลี่ชูเหรินถาม “ร่างกายของพ่อผมแย่มากจริงๆนะ”


 


หวังเย้าปัดมือและไม่ต้องการจะพูดกับเขาต่อ ไม่ว่าพ่อของเขาจะสบายดีหรือป่วยอยู่ มันก็ไม่เกี่ยวกับหวังเย้าอยู่แล้ว เขาเป็นแพทย์ปรุงยา ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ เขาไม่ได้อยากจะช่วยเหลือทุกคน สำหรับคนที่เขาไม่ชอบ เขาก็เลือกที่จะไม่รักษา แล้วเขาก็ไม่รักษาคนเลวๆด้วย


 


“แก…” เมื่อคำด่ากำลังจะหลุดออกมาจากริมฝีปากของหลี่ชูเหริน เขาก็กลืนมันกลับลงไปอย่างยากลำบาก เขาเดินออกไปด้วยความโมโห ยังไม่ทันจะเดินพ้นประตูเขาก็เริ่มสบถด่าออกมาแล้ว


 


“บอส” คนขับเรียกเขา


 


“ไป!” หลี่ชูเหรินอัดแน่นไปด้วยความโกรธ


 


“คนคนนั้นโมโหเป็นฟืนเป็นไฟเลย” คนไข้คนหนึ่งพูด “เขาส่งซองแดงให้กับหมอหวังใช่รึเปล่า?”


 


“มันเป็นบัตรเครดิตต่างหากล่ะ” คนไข้อีกคนพูด


 


การพูดจาของคนไข้นั้นเบามาก แต่หวังเย้าก็ยังได้ยินอยู่ดี เขาส่ายหน้าและยิ้มออกมา


 


หลังทานมื้อกลางวันเสร็จ เขาก็เดินไปที่บ้านของหวังเจียนหลี่ ผู้ซึ่งเป็นคนดูแลหมู่บ้านแห่งนี้ และยังนำไวน์ติดมือไปด้วยอีกสองขวด


 


“เสี่ยวเย้า เข้ามาข้างในก่อนสิ” หวังเจียนหลี่พูด


 


“คุณลุง” หวังเย้าพูดอย่างจริงใจ


 


“ดูทำเขา เธอไม่ต้องเอาของขวัญมาให้กันหรอก” หวังเจียนหลี่เป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย เขาจึงรู้ว่า ชายหนุ่มจะต้องมาด้วยเรื่องอะไรสักอย่างแน่นอน


 


“พอดีผมมีเรื่องอยากจะรบกวนคุณลุงสักหน่อยน่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


“งั้นบอกลุงมาสิ ว่าเรื่องอะไร” หวังเจียนหลี่พูด


 


หวังเย้าหยิบกระดาษออกมาและกางกระดาษออกบนโต๊ะ มันคือแผนที่ เขาชี้ไปที่แผนที่และเริ่มอธิบายแผนการของเขา


 


หวังเจียนหลี่รับฟังอยู่เงียบๆ “มันใหญ่มากเลยนะ เธอจะเอามันไปทำอะไรเหรอ?”


 


“ปลูกต้นไม้ครับ” หวังเย้าพูด


 


“ปลูกต้นไม้เหรอ?” หวังเจียนหลี่ถาม


 


“ถูกต้องครับ” หวังเย้าพูด


 


“จะปลูกต้นไม้แล้วเอาไว้ขายเหรอจะ?” ภรรยาของหวังเจียนหลี่ถามด้วยความสงสัย


 


“ไม่ใช่ครับ ผมอยากจะทำให้มันกลายเป็นป่าที่สวยงามและมีอากาศที่บริสุทธิ์ครับ” หวังเย้าพูด


 


“อะไรนะ?” ภรรยาของหวังเจียนหลี่ถาม “โอ้ ล้อเล่นใช่รึเปล่า?”


 


“เอ่อ ลุงขอคิดดูก่อนแล้วกันนะ” หวังเจียนหลี่พูด


 


“ขอบคุณนะครับ” หลังจากพูดอีกสองสามประโยค หวังเย้าก็ขอตัวกลับ


 


“เขาจะเอาที่ดินเยอะขนาดนั้นไปทำอะไรกัน?” ภรรยาของหวังเจียนหลี่ถาม “เขาอยากจะสร้างอะไรรึเปล่า? หรือเขาคิดจะเอาไปทำเงิน?”


 


“ใครมันจะไปสร้างถนนไปถึงที่นั่นกันล่ะ? ที่นี่มีแต่ภูเขาทั้งนั้น!” หวังเจียนหลี่จุดบุหรี่


 


“แล้ว เขาคิดจะทำอะไรกัน?” ภรรยาของเขาถาม


 


“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน?” หวังเจียนหลี่พูด “แต่มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอก”


 


“แล้วจะช่วยเขาไหม?” ภรรยาของเขาถาม


 


“อืม ที่แถวนั้นก็ไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของอยู่แล้ว” เขาเขี่ยขี้บุหรี่ออกและตอบออกไป “มีแต่คนจะย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง แล้วที่พวกนั้นก็คงจะถูกทิ้งเอาไว้เฉยๆ”


 


“ก็ดีนะ ถ้ายกที่พวกนั้นให้หวังเย้าเอาไปทำให้มันมีค่าขึ้นมา แล้วยังได้ช่วยเขาอีกทางด้วย” ภรรยาของเขาพูด


 


เรื่องนี้เป็นไปอย่างราบรื่นเกินกว่าที่หวังเย้าคิดเอาไว้มาก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)