Elixir Supplier 641-644
641 ย้ายออก
ซูเสี่ยวซวีทำหน้าบึ้งด้วยความไม่พอใจ แต่ซงรุ่ยปิงก็ยอมในเรื่องนี้เช่นกัน
การทำเรื่องเข้าเรียนของเธอเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ในวันแรกที่ไปเรียน การปรากฏตัวของเธอได้สร้างความฮือฮาในมหาวิทยาลัยอย่างมาก
นักศึกษาจำนวนมากได้พูดถึงสาวสวยคนหนึ่ง ที่งดงามราวกับออกมาจากภาพวาด บางคนได้พยายามค้นหาตัวตนของเธอด้วยหลากหลายวิธีการ แล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ
ภูมิหลังของเธอกลายเป็นเหมือนกับคูกำแพงเมืองที่ปิดกั้นคนจำนวนมากเอาไว้ แต่แน่นอนว่า ยังมีบางคนที่ยังคงหวังว่า พวกเขาจะสามารถสานสัมพันธ์กับเธอเพื่อสร้างตำนานความรักขึ้นมา
ซูเสี่ยวซวีได้รับจดหมายรักจำนวนมาก คลื่นของกลุ่มคนที่คลั่งไคล้เธอกำลังเพิ่มมากขึ้น แต่แล้วพวกเขาก็ได้รับข่าวร้าย เธอมีชายในดวงใจอยู่แล้ว
น่าสงสัย เขาเป็นใครกัน? ใครที่สามารถครอบครองหญิงสาวคนนี้ได้?
พวกเขาต่างพากันคาดเดา แต่ก็ไม่มีใครที่ได้คำตอบจากคำถามนี้
“ชูเหลียน เสี่ยวซวีอยู่ที่มหาลัยเป็นยังไงบ้าง?” ซงรุ่ยปิงรู้สึกกังวลเกี่ยวกับลูกสาวของเธอ เพราะถึงยังไง ซูเสี่ยวซวีก็ห่างหายจากการพบปะผู้คนมากว่าสองปี ถึงเธอจะบอกว่า การสร้างความสัมพันธ์กับคนในมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องธรรมดา แต่เธอก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี เธอจึงจัดให้คนคอยตามไปเฝ้าดูแลซูเสี่ยวซวีที่มหาวิทยาลัยด้วย
ลูกสาวของเธอเปล่งประกายซะขนาดนั้น แล้วเธอจะไม่กังวลได้ยังไงกัน?
“ตอนที่คุณหนูเข้าไปในมหาลัย ก็ได้สร้างความฮือฮาอย่างมากค่ะ ในวันแรก เธอก็ได้รับจดหมายรักมาฉบับหนึ่งด้วย” ชูเหลียนพูด “แต่คุณหนูก็บอกไปว่า เธอมีคนที่ชอบอยู่แล้วค่ะ”
“เธอพูดให้ทุกคนได้ยินเลยเหรอ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ใช่ค่ะ” ชูเหลียนพูด
“เฮ้อ เด็กคนนี้นี่ แต่ก็ดี ปัญหาหลายๆอย่างก็จะได้ลดลงไปด้วย” ซงรุ่ยปิงพูด
“คุณผู้หญิงคะ ที่คุณหนูพูดไปเป็นเรื่องจริงนะคะ” ชูเหลียนพูด
“ฉันรู้ เขาก็คือหวังเย้าที่อยู่หมู่บ้านกลางเขาคนนั้น” ซงรุ่ยปิงพูด
“เป็นเขาแน่นอนค่ะ” ชูเหลียนพูด
ซงรุ่ยปิงไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเพียงแค่มองท้องฟ้าด้านนอกเงียบๆเท่านั้น
…
บนเนินเขาหนานชาน มีต้นไม้อยู่สองแถว ทั้งยังมีสิ่งกีดขวางทางเข้าสู่ค่ายกลรวมวิญญาณอีกหลายอย่าง
“เป็นยังไงบ้าง ซานเซียน?” หวังเย้าถาม
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงเห่าออกมาสองครั้ง แสดงให้รู้ว่า มันทำส่วนของมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“หน้าที่รดน้ำต้นไม้ขอยกให้นายนะ” หวังเย้าพูด
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงเห่า แล้วเริ่มคาบถังน้ำเพื่อนำไปรดน้ำต้นไม้
หวังเย้าเดินกลับไปที่แปลงสมุนไพร ด้านหนึ่งของกระท่อม มีต้นชาหลายต้นเติบโตเป็นอย่างดีอยู่
เมื่อเวลาผ่านไป หวังเย้าก็แทบจะลืมพวกมันไปเลย ความจริงแล้ว ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเก็บชาคือใกล้กับวันเทศกาลเช็งเม้ง
“เก็บส่วนนี้ก่อนแล้วกัน” หวังเย้าทำตามวิธีการเก็บใบชาที่ได้เรียนมาจากอาจารย์ซวี รวมไปถึงขั้นตอนการแปรรูป ซึ่งเขาพอจะรู้จุดสำคัญในการทำอยู่บ้างแล้ว
เขาจัดการเก็บใบชาอย่างรวดเร็ว หลังเวลาผ่านไปสักพัก เขาก็เก็บชาได้จนเต็มถุง ใบชาสดหนึ่งถึงสองกิโลสามารถแปรรูปออกมาเป็นใบชาแห้งได้แค่ครึ่งกิโลเท่านั้น หลังจากปลูกเอาไว้จนผ่านไปแล้วปีหนึ่ง ต้นชาก็ดูเหมือนจะมีกิ่งก้านสาขาเพิ่มขึ้นมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มันมีการเจริญเติบโตที่ดี
หวังเย้าพยายามแปรรูปใบชาด้วยตัวเอง เขาต้องการหม้อเพื่อทำการอบ, ผัด, และทอดใบชา เขาไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ตามจริงแล้ว เขายังไม่ถือว่าเป็นผู้เริ่มต้นด้วยซ้ำ อย่างมาก เขาก็เป็นได้แค่เด็กใหม่เท่านั้น
เขาแค่รู้ขั้นตอนของการทำ แต่การลงมือทำจริงๆนั้น จำเป็นต้องมรประสบการณ์ในจุดสำคัญของการลงมือและการควบคุมอุณหภูมิ หวังเย้าลองพยายามดูด้วยตัวเอง แต่แล้วเขาก็ค่อยๆยอมแพ้ไปเอง เขาจึงนำผลงานที่ทำครึ่งๆกลางๆไปที่หมู่บ้านริมน้ำ เพื่อไปหาอาจารย์ซวี
“ขอโทษที่ต้องมารบกวนอาจารย์อีกแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด
“หืม นี่อะไรน่ะ?” ซวีเม่าเชิงถาม เขาเห็นว่า ใบชานั้นมีคุณภาพดีกว่าปีที่แล้วมาก “บอกตามตรงนะ การที่ในไร่ของฉันสามารถผลิตใบชาในระดับนี้ได้ จะถือว่าเป็นเกียตริอย่างมากเลยล่ะ!”
“ลองดูสิครับ ผมลองผัดใบชาดูแล้ว แต่ผมยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ผมก็เลยหยุดทำน่ะครับ” หวังเย้าพูด ใบมือของเขาถือใบชาที่เพิ่งจะถูกผัดไปได้ไม่นานอยู่ด้วย
“ขอฉันดูหน่อยซิ” ซวีเม่าเชิงหยิบใบชาขึ้นมาดูอย่างละเอียด “ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรหรอก”
“ปีนี้ อาจารย์ยุ่งไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ค่อยยุ่งหรอก งานในไร่ก็ยกให้พวกคนหนุ่มๆไปหมดแล้ว ส่วนฉันก็แค่คอยให้คำแนะนำเท่านั้น ตอนนี้ ฉันก็เลยมีเวลาว่างเยอะเลยล่ะ” ซวีเม่าเชิงพูด
ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ภรรยาของเขาก็นำชาออกมาเสริฟให้
“ลองชิมดูสิ นี่เป็นชาที่เพิ่งเก็บปีนี้เอง” ซวีเม่าเชิงพูด
น้ำชามีสีเขียวอ่อนและส่งกลิ่นหอมออกมา
“อืม มันรสชาติดีมากครับ” หวังเย้าพูด
“อืม เรามาผัดใบชากันเถอะ” ซวีเม่าเชิงพูด
“ผมจะขอตามไปเรียนรู้ด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด
พวกเขาจุดไฟเพื่อให้กระทะร้อนพอสำหรับการผัดใบชา ซวีเม่าเชิงอธิบายขั้นตอนต่างๆในตอนที่มือของเขากำลังทำงานไปด้วย
“ผมขอลองหน่อยนะครับ” หวังเย้าพยายามทำดูอยู่หลายครั้ง “ดูต้องสีของมันสินะครับ”
“อืม ดูสี แล้วก็รูปทรงของใบชาด้วย” ซวีเม่าเชิงพูด
เพียงแค่มองดู เขาก็บอกระดับของใบชาได้แล้วเขาจึงยื่นมือออกไปหยิบใบชาขึ้นมาดู
หลังจากการทำงานตลอดทั้งเช้า พวกเขาก็ได้ใบชาแห้งมาทั้งหมดครึ่งกิโล
“เรามาลองกันเถอะ” ซวีเม่าเชิงพูด
การดื่มชาเข้าไปหนึ่งถ้วย ทำให้ภายในปากของพวกเขาเต็มไปด้วยรสชาติที่สดชื่น
“ชาดี!” ซวีเม่าเชิงชม
“นี่สำหรับอาจารย์ครับ” หวังเย้าพูด
ใบชาแห้งถูกแบ่งใส่ในกล่องสี่ใบ หวังเย้าแบ่งให้ซวีเม่าเชิงไปหนึ่งกล่อง
“อืม ฉันชอบมันมากเลย” ซวีเม่าเชิงพูด
“ถ้าเอาไปขาย ก็คงจะได้อย่างน้อยๆก็ 5,000 หยวนต่อครึ่งกิโลนะครับ” หวังเย้าพูด “แต่เก็บเอาไว้ดื่มเองดีกว่า”
“เที่ยงนี้จะอยู่กินข้าวด้วยกันไหม?” ซวีเม่าเชิงถาม
“ไม่ล่ะครับ กลางวันนี้ ผมยังมีเรื่องที่ต้องไปทำต่ออีก” หวังเย้าพูด
หวังเย้ากลับออกมาในเวลาเที่ยงกว่าแล้ว
“เช้านี้ ลูกไปที่ไหนมาเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม “มีคนมารอรักษากับลูกเยอะเลยล่ะ”
“ผมไปหาคนแปรรูปใบชาให้น่ะครับ พ่อกับแม่ลองเอาไปชอมดูนะครับ” หวังเย้าหยิบชาออกมาหนึ่งกล่อง พ่อของเขาชอบดื่มชา แต่ที่บ้านมีชาอยู่เยอะมาก ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถกินชาทั้งหมดได้
ใบชาใหม่ของปีที่แล้วก็กลายมาเป็นชาเก่าในปีนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก
“จ๊ะ พ่อเขาชอบดื่มชาพวกนี้อยู่แล้ว แต่แม่คงดื่มเยอะไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะนอนไม่หลับ” จางซิวหยิงพูด
“ดื่มน้อยๆก็ได้ครับ” หวังเย้าพูด น้ำชาควรใส ไม่ข้น
หลังจากหาอะไรกินแล้ว หวังเย้าก็เดินไปที่คลินิก
ตอนกลางวัน มีคนไข้ที่มาในตอนเช้ากลับมาที่คลินิกอีกครั้ง หวังเย้าจึงยุ่งไปตลอดทั้งบ่าย เขาตรวจคนไข้คนสุดท้ายก็เป็นตอนที่ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว
เมื่อเขากลับไปที่บ้าน เขาก็พบกับเฉินหยิงและเฉินโจว ทั้งสองเพิ่งทานอาหารเย็นเสร็จและพากันออกมาเดินเล่น
“หมอหวัง” เฉินหยิงพูด
“ออกมาเดินเล่นเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ เชียนเชิงคะ ฉันมีเรื่องจะบอกด้วยค่ะ” เฉินหยิงพูด
“เรื่องอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“อาการป่วยของเฉินโจวเป็นยังไงบ้างคะ?” เฉินหยิงถาม
“ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด
“โอเคค่ะ เราวางแผนกันว่า เราจะไปจากที่นี่ในอีกสองวันค่ะ” เฉินหยิงพูด “ที่นี่ยังมีบ้านว่างอยู่ไหมคะ?”
“เอ่อ ครับ ยังมีอยู่” หวังเย้าพูด
ทันทีที่หวังเย้าถามซุนหยุนเชิงเกี่ยวกับเรื่องบ้านเก่า เขาก็รับปากอย่างรวดเร็ว ถ้าหากหวังเย้าต้องการจะสร้างบ้านขึ้นมาแทนหลังเก่า ซุนหยุนเชิงก็ไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน
“ดีครับ” หวังเย้าพูด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทุกคนจะทันได้รู้ตัว มันก็เข้าสู่เดือนพฤษภาคมที่ร้อนระอุแล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างเริ่มพากันขนย้ายข้าวของเพื่อย้ายเข้าไปอยู่ในตัวเมือง
แต่เดิม พวกเขาไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร เพราะบ้านที่ได้รับการตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะสามารถเข้าอยู่ได้ทันที ในระหว่างนี้ กลิ่นที่เป็นพิษและส่งผลเสียต่อสุขภาพจากการตกแต่งใหม่ก็ได้หายไปหมดแล้ว
มีชาวบ้านบางคนติดเชื้อที่เคยระบาดอีกครั้ง ซึ่งได้สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านอย่างมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรอดพ้นจากอันตรายด้วยการรักษาที่ทันเวลาก็ตามที แต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องจริง ที่มีคนป่วยอีกครั้ง พวกเขาคิดว่า เรื่องได้จบไปนานแล้ว แต่มันก็ยังกลับมาอีกครั้งในขณะที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว ไม่มีใครอยากจะมีชีวิตที่ต้องคอยกังวลอยู่ตลอดเวลา
หลังจากที่ครอบครัวแรกย้ายออกไปจากหมู่บ้าน ก็เริ่มมีครอบครัวสอง ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ มีเกือบ 20 ครอบครัวที่ได้ย้ายออกไปจากหมู่บ้าน ทั้งหมู่บ้านจึงดูเหมือนถูกทิ้งร้าง
“เสี่ยวเย้า ทำไมแมลงพวกนั้นถึงโผล่มาอีกแล้วล่ะ?” จางซิวหยิงถามในระหว่างที่ทานอาหารกันอยู่
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ บางทีมันอาจจะไม่ใช่เพราะแมลงก็ได้ แต่อาจจะเป็นอย่างอื่นแทน” หวังเย้าพูด
“มันทำให้คนอื่นเป็นกังวล แล้วคนก็เริ่มย้ายออกกันแล้ว” จางซิวหยิงพูด
หวังเย้าก้มหน้าทานอาหารไปเงียบๆ ในความคิดของเขา การย้ายออกถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
มันยังมีแมลงอยู่ หรือแค่อาจจะมี เขาไม่แน่ใจว่าพวกมันยังมีอยู่หรือไม่ และนั่นก็หมายถึงอันตรายที่ยังคงอยู่ ถ้าหากชาวบ้านยังอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไป มันก็อาจจะเป็นอันตรายสำหรับพวกเขาได้ ดังนั้น การย้ายออกจึงถือเป็นเรื่องที่ฉลาด
ในตอนเย็น ภายในหมู่บ้านเงียบสงัด หวังเย้ายืนอยู่บนยอดเขาและมองดูท้องฟ้ง เขากำลังมองดูพลังฉีของเนินเขาหนานชานอยู่
ฉันมองไม่เห็นมัน!
เขาไม่ใช่อาจารย์ดูฮวงจุ้ย ดังนั้น เขาจึงมองไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่า “พลังฉีแห่งความตาย” เขารู้สึกสงสัยว่าคนเหล่านั้นมองเห็นมันได้ยังไง หรือจะเป็นแค่จินตนาการของพวกเขาเท่านั้น?
642 เสี่ยวเวย
หากหวังเย้าได้พบกับเมี่ยวซานติ้งอีกครั้ง เขาจะลองขอคำปรึกษาจากอาจารย์ดูฮวงจุ้ยคนนั้นดู
คืนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช้าของวันถัดมา ท้องฟ้าในหมู่บ้านเป็นสีฟ้าสดใส แต่ในปักกิ่งที่ไกลออกไปหลายพันไมล์ มีน้อยครั้งที่ท้องฟ้าจะสูงและเป็นสีฟ้าสดใสแบบที่นี่
ภายในมหาวิทยาลัยเยียนจิง ซูเสี่ยวซวีเดินอยู่บนถนนที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้เพียงลำพัง ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน ก็มักจะมีสายตามากมายคอยตามติดเธออยู่เสมอ ตอนนี้ เธอได้กลายเป็นคนดังที่สุดของมหาวิทยาลัยไปแล้ว
อิจฉา, ชื่นชม,และเกลียดชัง…หลากหลายอารมณ์ความรู้สึกเริ่มเกิดขึ้นเพราะเธอ เธองดงามราวกับรูปภาพ และครอบครัวของเธอก็ยังเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ในปักกิ่ง ด้วยรัศมีที่เปล่งประกายเช่นนี้ แล้วจะไม่ให้เธอกลายเป็นที่ชื่นชอบของคนมากมายได้ยังไงกัน?
“เสี่ยวซวี ทำไมไม่บอกผมล่ะ ว่าเธอกลับมาเรียนที่มหาลัยแล้ว?”
ซูเสี่ยวซวีมองชายหนุ่มที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
กั๋วเจิ้งเหอมอบรอยยิ้มที่แสนเจิดจ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาให้กับเธอ
“ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะคะ พี่เจิ้งเหอ?” เธอถาม
“ก็มาหาเธอน่ะสิ” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา “ฉันเป็นของเธอยังไงล่ะ!”
ซูเสี่ยวซวีเพียงยิ้มให้เท่านั้น
“ผู้ชายหน้าตาดีคนนั้นเป็นใครกันน่ะ?” คนที่มองดูอยู่ถามขึ้นมา
“เขาจะเป็นคนที่ซูเสี่ยวซวีเคยพูดเอาไว้รึเปล่า?” อีกคนถาม
“พวกเขาเหมาะสมกันมากเลย! ผู้ชายก็มีความสามารถ ส่วนผู้หญิงก็หน้าตาดี” คนแรกพูดขึ้นมา
“ฉันเหมือนจะจำได้ว่าเขาจบจากมหาลัยนี้นะ” อีกคนพูด “ดูเหมือนว่าเขาจะมีแซ่ว่า กั๋ว”
“ใช่ เขายังเป็นหนุ่มฮอตของมหาลัยด้วย” คนแรกพูด
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่สองคนนี้จะคบกันอยู่” คนที่สองพูด “เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก”
คำพูดของคนรอบข้างดังไปถึงหูของซูเสี่ยวซวีไม่มากก็น้อย
“เสี่ยวซวี มีคำพูดที่ผมอยากจะบอกกับเธอมานานแล้ว” กั๋วเจิ้งเหอพูดในตอนที่พวกเขาเดินมาถึงทะเลสาบ
“อะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เสี่ยวซวี ผมอยากจะแต่งงานกับเธอ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“อะไรนะคะ?” ซูเสี่ยวซวีตกใจ เธอไม่ได้เตรียมใจหรือคาดคิดว่าจะมาได้ยินคำพูดนี้จากกั๋วเจิ้งเหอ เธอจึงรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก
หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง เธอก็พูดออกมาว่า “ขอโทษนะคะพี่เจิ้งเหอ ฉันคิดกับพี่เป็นพี่ชายมาตลอด”
กั๋วเจิ้งเหอไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว “เสี่ยวซวี พี่ชอบเธอ เธอไม่จำเป็นต้องรีบตอบก็ได้ ลองกลับไปคิดดูก่อน”
“ฉันไม่จำเป็นต้องคิดอีกแล้วค่ะ พี่เจิ้งเหอ เพราะฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูด
เธอรู้ว่า กั๋วเจิ้งเหอชอบเธอ เมื่อก่อน เธอพยายามบอกเป็นนัยให้เขารู้ด้วยหลายๆวิธี แต่กั๋วเจิ้งเหอผู้เฉลียวฉลาด ก็ทำเป็นไม่เข้าใจเรื่อยมา มันทำให้เธอหงุดหงิดอย่างมาก เพราะตัวเธอไม่เคยต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้มาก่อน ดังนั้น เธอจึงอธิบายออกไปอย่างง่ายๆและชัดเจน เพื่อให้เขาเลิกมาวุ่นวายกับเธอในอนาคต
“เป็นหมอหวังใช่ไหม?” เขาถาม
“ใช่ค่ะ” ซูเสี่ยวซวียอมรับ
“อืม พี่เข้าใจแล้ว” เขาพูด “คืนนี้ เธอว่างไหม? พี่อยากจะเลี้ยงข้าวเย็นเธอ”
“ไม่ว่างค่ะ ฉันรับปากกับคุณแม่ไว้แล้ว ว่าจะกลับไปกินข้าวที่บ้าน” ซูเสี่ยวซวีพูด
“อ่อ งั้นก็ไม่เป็นไร” เขาพูด
กั๋วเจิ้งเหอจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม และไม่มีความผิดหวังอยู่บนใบหน้าของเขาเลย เมื่อเขาเลี้ยวไปตรงมมุมหนึ่งของตึก อยู่ๆใบหน้าของเขาก็กลายเป็นมืดมน ดวงตาของเขาฉายแววเย็นชา “หมอหวัง!”
ไม่ไกลจากตรงนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งได้บังเอิญมาเห็นและก็ต้องตกใจกับภาพนี้
“น้าเหลียน?” ใบหน้าของกั๋วเจิ้งเหอกลับกลายเป็นสดใสดังเดิม
“เจิ้งเหอ เธอมาหาคุณหนูซูทำไมเหรอ?” ชูเหลียนถาม
“อ่อ ผมแค่แวะมาพูดอะไรกับเธอนิดหน่อยน่ะครับ” เขาพูด “เธออยู่ตรงนั้นนะครับ”
“จ๊ะ น้ารู้แล้ว”เหลียนพูด
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เขาพูด
กั๋วเจิ้งเหอจากไป ในขณะที่ชูเหลียนก็เดินไปหาซูเสี่ยวซวี
“น้าเหลียน ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“น้ามาทำธุระน่ะค่ะ” ชูเหลียนพูด “เมื่อกี้น้าเพิ่งเจอกับกั๋วเจิ้งเหอ เขาบอกว่าคุณหนูอยู่ที่นี่ เขามาหาคุณหนูเหรอคะ?”
“ค่ะ แต่หนูก็บอกเขาไปชัดเจนแล้วนะคะ ว่าหนูไม่ได้สนใจเขาเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด
“อืม ดีแล้วล่ะค่ะ อย่าลืมว่า เวลาเรียนเสร็จแล้วก็ให้รีบกลับบ้านนะคะ” ชูเหลียนพูด
ซงรุ่ยปิงยังคงรู้สึกกังวลเรื่องลูกสาวของเธออยู่ ดังนั้น เธอจึงให้ชูเหลียนตามมาดูแลด้วย เธอจึงเหมือนได้รับการปกป้องอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รู้ตัวเลยก็ตาม
…
ภายในหมู่บ้านกลางเขา ด้วยความช่วยเหลือของหวังเย้า ทำให้เฉินหยิงสามารถซื้อบ้านในหมู่บ้านไปสองหลัง
“ขอโทษที่ต้องรบกวนนะคะ เชียนเชิง” เฉินหยิงพูด
“พี่ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมจัดการเรื่องนี้ได้สบายอยู่แล้ว” หวังเย้าพูด
ภายในบ้านอีกหลังในหมู่บ้าน เจิ้งเหว่ยจวินนั่งอยู่บนรถเข็นและมองดินที่อยู่ภายในสวน
เนินเขาสองแถวที่ปกคลุมไปด้วยสีเขียวตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆที่เคลื่อนตัวอย่างเอื่อยเฉื่อย เขาสามารถมองดูท้องฟ้าแบบนี้ได้ตลอดทั้งวัน
การมองดูแสงสว่าง ทำให้เขารู้สึกว่าโลกนี้ช่างงดงาม
“เหว่ยจวิน ได้เวลากลับเข้าห้องแล้ว” เจิ้งชื่อฉงพูด
“ลุงครับ ผมอยากจะมองดูมันให้นานกว่านี้อีกหน่อยน่ะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ก็ได้ อยู่ดูต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน” เจิ้งชื่อฉงอยู่ดูเป็นเพื่อนเขา
“คุณลุงพักบ้างเถอะครับ ผมอยู่ตรงนี้ไม่เป็นอะไรหรอก” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ลุงไม่เป็นไร” เจิ้งชื่อฉงพูด
“ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าท้องฟ้ามันจะสวยได้ขนาดนี้” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ตอนนี้ การมองเห็นของเธอก็กลับมาเป็นปกติแล้ว และพิษในร่างกายก็ค่อยๆลดลงไป ต่อไปก็คือ การฟื้นฟูอวัยวะภายในที่เสียหาย” เจิ้งชื่อฉงพูด “หมอหวังบอกว่า ภายในหนึ่งเดือน เธอก็ยืนได้แล้วนะ”
“ขอบคุณมากนะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“อืม” เจิ้งชื่อฉงพูด
“ไม่รู้ว่าหมอชอบอะไรบ้างนะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ลุงถามเรื่องนี้จากซุนหยุนเชิงแล้วล่ะ” เจิ้งชื่อเฉิงพูด “เขาชอบของที่เกี่ยบกับแพทย์แผนจีน อย่างพวกตำราแพทย์โบราณ และของใช้ของหมอจีนในสมัยโบราณ ลุงได้ให้คนไปหามาแล้วล่ะ”
“ดีเลยครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
ภายในคลินิก พันจวินได้พาคนไข้มาคนหนึ่ง เขามีอาการเส้นเลือดอุดตันเช่นเดียวกัน แต่อาการไม่ถือว่าหนักมากนัก แค่หนักกว่าเหอชื่อหลี่เล็กน้อยเท่านั้น
หวังเย้ารักษาเขาด้วยการฝังเข็มและการนวด แม้จะไม่ได้ใช้ยา แต่การรักษาก็เห็นผลอย่างรวดเร็ว
“มันวิเศษมากเลย” หลังจากจบการรักษาครั้งแรก ชายวัย 40 ก็พูดขึ้นมา
เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาได้ ขาและแขนทั้งสองข้างของเขาสามารถควบคุมได้ดีขึ้น มันราวกับว่า พวกมันยืดหยุนและมีพละกำลังมากขึ้น
“อาพัน เขาเป็นหมอที่เก่งมากเลยนะ ทำไมเธอไม่บอกกันให้เร็วกว่านี้ล่ะ?” หลังจบการรักษาแล้ว เขาก็หันไปว่าให้พันจวิน
“ก็ตอนที่ผมเห็นลุงคราวก่อน ลุงก็ยังดูแข็งแรงอยู่นี่นา” พันจวินพูด
ชายคนนี้เป็นญาติห่างๆของพันจวิน เขาได้รู้เรื่องอาการของชาติชายคนนี้เมื่อเจอกันที่โรงพยาบาล พันจวินจึงได้พาเขามารักษากับหวังเย้า
“อาจารย์ อาการของเขาเป็นยังไงบ้าง?” พันจวินถาม
“อีกสองวัน ให้กลับมาอีกรอบนะครับ” หวังเย้าพูด
“ผมต้องกินยาอะไรไหมครับ?” เขาถาม เขาต้องกินยาเพราะอาการป่วยมามากมายนับไม่ถ้วนแล้ว
“ไม่จำเป็นครับ คุณคงจะกินยามากแล้ว เพราะกระเพาะของคุณก็ดูเหมือนจะมีปัญหาด้วย” หวังเย้าพูด
“โอ้ ใช่แล้วล่ะครับ ผมกินยาไปเยอะมาก” เขาพูด
เมื่อการรักษาเสร็จเรียบร้อย ลูกชายของคนไข้ก็มาถึง “พ่อ เป็นยังไงบ้าง?”
“ดีเลยล่ะ หมอรักษาเสร็จแล้วด้วย” เขาพูด
“โอเค งั้นกลับกันเลยนะ” ลูกชายของเขาพูด
“ลุงกลับไปเถอะ ผมจะอยู่ที่นี่ต่ออีกหน่อย” พันจวินพูด
“อืม ถ้าว่างก็แวะมาหากันบ้างนะ” เขาพูด
เมื่อเดินออกมาด้านนอกคลินิกแล้ว เขาก็พูดออกมาว่า “หืม ทำไมอาพันถึงได้เรียกเขาว่าอาจารย์ด้วยล่ะ?”
“พี่จวินเรียกผู้ชายคนนั้นว่าอาจารย์เหรอ?” ลูกชายของเขาตกใจ
“ใช่” เขาพูด
“เป็นไปไม่ได้หรอก พี่จวินเป็นถึงรองผู้อำนวยการแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลประจำเขตเลยนะ แล้วหมอคนนั้นก็ดูแก่กว่าผมแค่ไม่กี่ปีเอง” ลูกชายของเขาพูด
“พันจวินถามคำถามหวังเย้าอยู่หลายคำถาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ผมคิดได้ในขณะที่นวดรักษาคนไข้ในคลินิกพี่สาวของเขา เขาไม่ค่อยเข้าใจในบางเรื่อง ดังนั้น หวังเย้าจึงอธิบายให้เขาฟังทีละอย่าง
“ธุรกิจรับคนไข้นอกเวลาถือว่าไม่เลวเลย ใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“มันก็ดีอยู่นะ” พันจวินพูด
ความจริงแล้ว เพราะเขาใช้เทคนิคการนวดที่ได้เรียนจากหวังเย้า จึงทำให้เขาได้รับคำชื่นชมจากคนไข้ในเวลาอันสั้น ในทุกๆวัน จะมีคนมานวดกับเขาอยู่ไม่ขาด กระทั่งคนไข้ต้องต่อแถวกันเลยด้วยซ้ำ ยิ่งเขารับคนไข้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่า ตัวเองยังต้องเรียนรู้อีกมาก ดังนั้น เขาจึงมาหาปรึกษากับหวังเย้าอีกครั้ง
“อาจารย์ ถ้ามีเวลา อาจารย์อยากจะไปให้คำปรึกษาที่คลินิกพี่สาวของฉันดูหน่อยไหม?” พันจวินถาม
“ไว้คุยเรื่องนี้กันทีหลังเถอะครับ” หวังเย้าพูด “ที่คลินิกตอนนี้ก็ยุ่งอยู่เหมือนกัน”
ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีคนไข้เข้ามาอีกคนหนึ่ง
…
ริมชายหาดในเมืองเต๋า หญิงสาวหน้าตาดีกำลังยืนมองคลืนที่ซัดเข้ามา
มีชายสวมฮูดเดินมายืนอยู่ด้านหลังของเธอ เขาสวมฮูดไว้บนศีรษะเพื่อปิดบังใบหน้าของตัวเอง
“เสี่ยวเวย” น้ำเสียงของเขาแหบเล็กน้อย มันเป็นเสียงที่คล้ายกับว่า เขากำลังเป็นหวัดอยู่
“นายต้องการจะทำอะไร?” เธอถาม
“ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ฉันแค่อยากจะมาหาเธอ” เขาพูด
“มาหาฉัน? นายจากไปแล้ว แต่ตอนนี้นายก็กลับมาอีก มันทำให้ชีวิตสงบสุขที่ฉันได้มาอย่างยากลำบากต้องถูกรบกวน” เธอตอบ
643 ชุดดำในคืนที่มืดมิด
ชายหนุ่มในชุดสีดำเงียบไป เขามองหญิงสาวตรงหน้าอยู่เงียบๆ เธอคือหญิงสาวที่สวยที่สุดในหัวใจเขา ในเวลานี้ เขาอยากจะกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน แต่เขาก็ทำไม่ได้
“ฉันขอให้เธอมีชีวิตที่มีความสุขนะ” เขาพูด
“รอเดี๋ยว หน้าของนายไปโดนอะไรมาเหรอ?” เธอเห็นผิวหนังที่ติดกับไรผมของเขาเป็นสีดำอ่อนๆ ซึ่งถือเป็นลางร้าย
“ไม่มีอะไรหรอก” เขารีบถอยหลังออกไปเล็กน้อย ใบหน้าของเขามีสีเลือดที่แปลกประประหลาด “ดูแลตัวเองดีดีนะ”
เขาหันหน้าและเดินจากไป
“จ้าวหยุนหาว หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เธอตะโกน
ชายหนุ่มหยุดเดิน เขาอยากจะหันหลังกลับไป แต่เขาก็ฝืนตัวเองเอาไว้ เขากัดริมฝีปากและเดินต่อไป
“มันเกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่?” ดวงตาของเธอคลอไปด้วยน้ำตา
รักครั้งแรกยากที่จะลืม สำหรับบางคน แม้ว่าพวกเขาจะแต่งงานและมีคู่ชีวิตไปแล้ว แต่ลึกในใจของพวกเขาก็ยังความรู้สึกที่ซ่อนเร้นเอาไว้ ซึ่งอาจจะโผล่มาให้นึกถึงเป็นครั้งคราว มันเป็นความทรงจำเมื่อครั้งพวกเขายังเยาว์วัย และเป็นช่วงเวลาที่อารมณ์ความรู้สึกอยู่เหนือทุกอย่าง มันอาจจะเป็นความคิดของคนเพียงคนเดียว หรือการแยกจากแม้ว่าจะยังรักกันอยู่ และความรู้สึกเหล่านั้นก็ยังคงถูกเก็บซ่อนเอาไว้และเป็นความลับของพวกเขา
ถงเวยยืนมองไปที่ทะเล เธอนึกย้อนไปถึงเด็กชายที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แสนเจิดจ้า เขาคือคนที่เป็นเกราะกำบังลมฝนให้กับเธอ เขาคือคนที่ยอมสู้เพื่อเธอ แม้ว่าเขาจะเขียวช้ำไปทั้งตัวก็ตาม
มันลืมไม่ได้ แต่ฝังอยู่ในใจของเธอตลอดไป
หลายคนได้แต่ทอดถอนใจ มันจะดีสักแค่ไหน ถ้าหากเราได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน?
ในเมืองเต๋า ลมทะเลเริ่มพัดแรงขึ้น
ตื๊ด! ตื๊ด! มือถือเครื่องหนึ่งสั่นขึ้นมา
มันเป็นข้อความจากเบอร์แปลกเบอร์หนึ่ง [รีบกลับได้แล้ว ลมทะเลมันแรง ยัยโง่!]
สิ่งที่เอื้อมไม่ถึงมักจะวิเศษเสมอ แต่มันก็สายเกินที่จะได้ทันชื่นชมมัน
บนท้องถนนที่คึกคักของเมืองเต๋า ชายสวมฮูดวิ่งไปที่รถคันหนึ่ง “ไปเลย”
“นายเจอเธอแล้วเหรอ?” ชายอีกคนถาม
“ฮืม” ชายสวมฮูดพูด
“แล้วเธอสบายดีไหม?” ชายอีกคนถาม
“เธอสบายดี ดีมากด้วย” ชายสวมฮูดพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง มันเป็นเสียงที่เหมือนกับว่า ลำคอของเขาได้รับความเสียหายมา
“นายอยากจะเลิกตอนนี้ก็ยังทันนะ” ชายอีกคนพูด
“มันเลิกไม่ได้แล้วล่ะ” ชายสวมฮูดมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาของเขาฉายแววแน่วแน่
“นี่ นายจะแก้แค้นก็ได้ แต่ตัวนายก็จะพังไปด้วยนะ” ชายอีกคนพูด
“อาจารย์คือผู้มีพระคุณและเป็นเหมือนพ่อแม่ของผม ความรักที่อาจารย์มอบให้มันไม่มีอะไรเทียบได้เลย” ชายสวมฮูดพูด
…
บนยอดตึกสูงในเมืองเต๋า ซุนเจิ้งหรงยืนอยู่หน้าหน้าต่างบานกระจกใสและมองออกไปด้านนอก
มันสามารถมองเห็นเมืองเต๋าได้ทั้งหมด ท้องฟ้าราวกับตั้งอยู่ตรงหน้าของเขา มันให้ความรู้สึกชิดใกล้อย่างมาก เขาดูราวกับจักรพรรดิผู้เฝ้ามองเมืองที่อยู่ภายใต้เขา
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา” ซุนเจิ้งหรงพูด
ชายหนุ่มคนหนึ่งได้เดินเข้ามาจากด้านนอก เขาสวมชุดสูทและดูเป็นผู้มีความสามารถ “ท่านประธารครับ นี่เป็นข้อมูลที่ท่านต้องการครับ”
“วางไว้บนโต๊ะได้เลย” ซุนเจิ้งหรงพูด
ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ออกไป ก็มีชายอีกคนเดินเข้ามาจากด้านนอก เขาดูแข็งแกร่ง, หัวล้าน, และสีหน้าไร้อารมณ์
หลังจากที่ชายหนุ่มคนแรกออกไปจากห้องแล้ว ชายอีกคนก็พูดขึ้นมาว่า “นายท่าน”
“นั่งลงสิ อาหาว” ซุนเจิ้งหรงพูด
“ผมไปสืบมาแล้วครับ” อาหาวพูด
“เป็นยังไงบ้าง?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“มันเกี่ยวข้องกับพวกเขาครับ” อาหาวพูด “คนพวกนั้นตายเพราะยาพิษ ถ้าผมอยู่ที่นั่นด้วย ผมก็คงจะหนีไม่พ้นเหมือนกัน”
“แล้วคนพวกนั้นอยู่ที่ไหน? คนที่หนีไปคือ จ้าวหยิงหาวใช่ไหม?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“เป็นไปได้มากครัย ลุงหลินสั่งให้คนไปสืบดูแล้ว ต่อจากนี้ นายท่านคงจะต้องระวังตัวขึ้นหน่อยนะครับ” อาหาวพูด
“อืม ฉันรู้ดี ปัญหาก็เหมือนกับ หญ้าที่ลงรากแล้ว มันก็ยากจะถอนออก” ซุนเจิ้งหรงพูด “จริงสิ แล้วช่วงนี้ หยุนเชิงเป็นยังไงบ้าง?”
“นายท่าน เขาจัดการธุรกิจที่นายท่านมอบให้ได้เป็นอย่างดีครับ” อาหาวพูด
“เขายังมีทางต้องเดินอีกไกล” ซุนเจิ้งหรงพูด
“เขาทำงานหนักมากครับ” อาหาวพูด
“อืม เขาคงจะเหนื่อยมาก เขาเป็นลูกชายคนเดียวของฉัน แล้วเขาก็อาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เหมือนกับฉัน” ซุนเจิ้งหรงพูด “จัดคนไปคุ้มครองเขาด้วย ห้ามให้อะไรเกิดขึ้นกับเขาเด็ดขาด”
“ครับ” อาหาวพูด
ความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุม ในโลกใบนี้ มันคือสิ่งที่มีอำนาจ
สายลมโชยมา
“คุณชาย เรากลับกันเถอะครับ” อาหาวพูด
“ผมรู้ครับ” ซุนหยุนเชิงขยับตัว กระดูกของเขาลั่นเปรี๊ยะ เขานั่งอยู่ที่เดิมนานเกินไป “หา นี่สองทุ่มแล้วเหรอเนี่ย?”
“ครับ ผมจะพาคุณชายกลับนะครับ” อาหาวพูด
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมกลับเองได้” ซุนหยุนเชิงพูด
“นี่เป็นคำสั่งจากคุณพ่อของคุณชายครับ ดังนั้น ช่วยทำตามด้วยนะครับ” อาหาวพูด
“ก็ได้ ไปกันเถอะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
รถจอดรออยู่ด้านนอก มันเป็นรถนำเข้าจากต่างประเทศ มีบอดี้การ์ดหลายคนยืนอยู่รอบตัวรถ พวกเขาต่างก็ดูมีความสามารถกันทุกคน เพื่อปกป้องลูกชายของเขาจากอันตราย ซุนเจิ้งหรงได้ใช้ความพยายามและเงินไปจำนวนมาก
ในความมืด ดูเหมือนจะปรากฏแสงวูบหนึ่ง
“เสียงอะไรน่ะ?” บอดี้การ์ดคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ฉันไม่ได้ยินนะ” บอดี้การ์ดอีกคนพูด
“บางทีฉันอาจจะหูฝาดไปก็ได้” บอดี้การ์ดคนแรกพูด
ตุบ! มีคนล้มลงไปที่พื้นเงียบๆ
“ระวัง!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งตะโกน
ตุบ! มีอีกคนที่ล้มลงไป
อยู่ๆก็มีแสงลุกวาบขึ้น ซึ่งได้ดึงดูดคนรอบๆให้มองมาทางพวกเขา
บอดี้การ์ดทั้งหกทรุดลงไปกองกับพื้น เหลือแค่ซุนหยุนเชิงที่ยืนอยู่เพียงลำพัง ตัวเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น
บอดี้การ์ดทั้งหมดถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดี พวกเขาส่วนใหญ่เป็นทหารที่เกษียณแล้ว บางคนยังเป็นถึงหน่วยรบพิเศษที่เคยฆ่าคนมาแล้วด้วย แต่พวกเขากลับไม่มีใครเทียบฝีมือกับศัตรูได้เลย
ใครกัน? ซุนหยุนเชิงยืนนิ่งอยู่กับที่ คนมากมายมองมาที่เขา
มีน้ำเสียงแหบแห้งดังขึ้น “อยู่นี่”
ซุนหยุนเชิงหันไปตามเสียง และเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ข้างถนน “แกเป็นใคร?”
“อีกไม่นานแกก็จะได้รู้เอง” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยออกมา
เพียงพริบตาเดียว ชายคนนั้นก็หายไปจากสายตา มันราวกับว่า เขาไม่เคยยืนอยู่ตรงนั้นมาก่อน
ตำรวจเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว บอดี้การ์ดทั้งหกที่นอนอยู่บนพื้นต่างถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล
หลังจากที่ได้ทราบข่าว ซุนเจิ้งหรงก็รีบไปหาลูกชายของเขาพร้อมกับมือดีที่สุดอีกสองคนด้วยความเร็วสูงสุด “เกิดอะไรขึ้น?”
“พวกเขาถูกพิษครับ มีคนต้องการจะทำร้ายผม” ซุนหยุนเชิงพูด
“มันเป็นใคร?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“ผมมองเห็นเขาไม่ชัดครับ มันเหมือนเป็นเงา แล้วเขาก็เร็วมากด้วย” ซุนหยุนเชิงพูด
ต่อหน้าสายตาคนจำนวนมาก แต่กลับไม่มีใครมองเห็นคนคนนั้นเลย มันเป็นความสามารถที่น่าทึ่งมาก
“อาหาว ไปดูกล้องวงจรปิดที่สถานีตำรวจ ฉันต้องการจะรู้ให้ได้ว่ามันเป็นใคร” ซุนเจิ้งหรงพูด
“ครับ” อาหาวพูด
พวกเขาลงมืออย่างว่องไว แต่กลับพบเพียงภาพของชายในชุดกีฬาสีดำคนหนึ่งเท่านั้น ศีรษะของเขาถูกคลุมเอาไว้ด้วยฮูด ไม่มีใครเห็นใบหน้าของเขา ดังนั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสืยต่อ
“บ้าจริง!” ซุนเจิ้งหรงแค้นใจ
“นายท่านก็ต้องระวังตัวเหมือนกันนะครับ พวกมันจะต้องมาหานายท่านแน่ แล้วมันก็ป้องกันได้ยากด้วย” อาหาวพูด
เขาเคยประมือกับ “พวกมือดีผิดวิสัย” มากก่อนแล้ว ดังนั้น เขาจึงรู้ความต้องการของคนเหล่านี้ดี มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้ หากประมาทแม้แต่นิดเดียว ก็อาจจะกลายเป็นเป้าโดยไม่คาดคิด และหมดลมหายใจโดยที่ยังไม่ทันได้รู้ตัว
เรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเมื่อครั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะความสามารถที่สุดยอดของหมอหวังล่ะก็ พวกเขาก็อาจจะไม่รอดแล้วก็ได้
“แล้วอาจารย์กู่ล่ะ?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“อาจารย์กำลังเดินทางมาอยู่ครับ เขาน่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า” อาหาวพูด
“โอเค” ซุนเจิ้งหรงพูด
“นายท่านอยากจะขอความช่วยเหลือจากหมอหวังดูไหมครับ?” อาหาวถาม
“รอก่อน” ซุนเจิ้งหรงพูด เขารู้นิสัยของหวังเย้า มันเป็นเรื่องยากที่จะให้เขามาที่นี่ ที่ทำได้ก็คือการไปหาเขาที่นั่นเท่านั้น
คืนนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองเต๋าต่างยุ่งกับการสืบคดีกันตลอดทั้งคืน
ซุนเจิ้งหรงตัดสินใจไปที่โรงพยาบาล เพื่อไปหาเหล่าบอดี้การ์ดที่เขาจ้างมาเพื่อปกป้องลูกชายของเขา
“นายท่าน มันอันตรายนะครับ” อาหาวพูด
“ถ้าพวกเขารู้ตัวก่อน มันก็คงจะไม่แย่ขนาดนี้” ซุนเจิ้งหรงพูด
“พวกเขาถูกพิษ มันป้องกันได้ยากอยู่แล้วล่ะครับ” อาหาวพูด
“ไปเถอะ” ซุนเจิ้งหรงพูด
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เดินทางไปถึงโรงพยาบาล ชายทั้งหกที่แข็งแรงพอจะสู้กับคน 10 คนได้ในเวลาเดียวกัน กลับต้องมานอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล แต่ละคนอยู่ในอาการโคม่า ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียวและไม่กำลัง
“หมอ พวกเขาเป็นยังไงบ้าง?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“มันก็ไม่ถึงกับชีวิตหรอกครับ แต่พวกเขาก็อ่อนแอมาก” แพทย์พูด
“พิษตัวนี้มันส่งผลอะไรบ้างเหรอ?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“มันจะทำให้คนไร้เรี่ยวแรง เหมือนกับตอนเสพยา แต่ส่วนผสมของพิษตัวนี้มันซับซ้อนมาก คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พรุ่งนี้พวกเขาก็น่าจะฟื้นแล้ว” แพทย์พูด
“ผมฝากด้วยนะ หมอ” ซุนเจิ้งหรงพูด
“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ” แพทย์พูด
เขารู้ฐานะของคนตรงหน้าดี เขาก็คือชายที่รวยที่สุดในเมืองเต๋า มันจึงยากที่จะไม่สนใจเขา
644 ความสัมพันธ์
“ใช้ยาที่ดีที่สุดได้เลยนะ” ซุนเจิ้งหรงพูด
“แน่นอนครับ” แพทย์พูด
ผู้อำนวยการใหญ่ของโรงพยาบาลเดินเข้ามาหาพวกเขา ซุนเจิ้งหรงคุยกับพวกเขาต่อสักพัก ก่อนที่จะกลับไป
ระหว่างทางกลับ เขามองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ และไม่พูดอะไรเลยเป็นเวลานาน แล้วในที่สุดเขาก็พูดขึ้นมาว่า “เพิ่มคนให้หยุนเชิงอีกสอง”
“ครับ” อาหาวพูด “นายท่าน เราพานายน้อยออกไปจากเมืองเพื่อเลี่ยงอันตรายดีไหมครับ?”
“ที่ไหนล่ะ? ที่หมู่บ้านกลางเขาน่ะเหรอ?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“ครับ” อาหาวพูด “เมื่อมีหมอหวังอยู่ที่นั่น เขาก็จะปลอดภัย”
“ฉันก็คงจะต้องรบกวนเขาอีกแล้วสินะ” ซุนเจิ้งหรงพูด
เขาตัดสินใจให้ลูกชายของเขาหลบภัยไปก่อน ในเมืองเต๋า ซุนเจิ้งหรงไม่เคยกลัวใครทั้งนั้น แต่ตอนนี้ เขากลับต้องให้คนในครอบครัวของเขาลี้ภัยไปที่อื่น หากเรื่องนี้กระจายออกไป เขาอาจจะถูกหัวเราะเยาะเอาได้ แต่เมื่อคิดถึงประสบการณ์ที่เลวร้ายในครั้งก่อนแล้ว หน้าตาหรือศักดิ์ศรีก็เทียบไม่ได้กับความปลอดภัยของคนในครอบครัว
…
ในตอนเช้า พระอาทิตย์ทอแสงจ้า อากาศยามเช้าในเดือนพฤษภาคมร้อนเล็กน้อย
หลายวันที่ผ่านมา มีคนมาหาหมอกันอย่างต่อเนื่อง ชื่อเสียงของหวังเย้าก็ค่อยๆแพร่กระจายออกไป แม้แต่คนจากเมืองอื่นก็ยังเดินทางมาเพื่อให้ได้รักษากับเขา
ปวดหัว, เจ็บขา, และเส้นเลือดอุดตัน เป็นสิ่งที่คนทั่วไปคิดว่าหวังเย้าทำได้ดีที่สุด คนไข้ส่วนใหญ่จึงมาเพื่อรักษาอาการเหล่านี้กัน
ในช่วงเวลานี้ หวังเย้าได้ข้อมูลใหม่ๆจากประสบการณ์ตรงมาจำนวนมาก และได้จดบันทึกทั้งหมดเอาไว้ในสมุดของเขา
ในตอนเช้า มีคนไข้สองรายเดินทางมาที่คลินิก ทั้งสองมาด้วยอาการปวดกระดูกต้นคอและขา อาการปวดของทั้งสองเกิดจากการทำงานและสะสมมาเป็นเวลาหลายปี
หวังเย้ารักษาพวกเขาด้วยการฝังเข็ม, การนวด, และจ่ายยาให้ไป ด้วยคนไข้จำนวนมากที่มาด้วยอาการคล้ายๆกัน หวังเย้าจึงได้ทำยาชุดเอาไว้โดยเฉพาะ ซึ่งตัวยามีหน้าที่ในการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและบรรเทาอาการเจ็บปวด
“โอ้ หมอหวัง ความสามารถของหมอสมกับชื่อเสียงที่มีจริงๆ” คนไข้รายหนึ่งพูด
“คุณชมเกินไปแล้ว เดินทางปลอดภัยครับ” หวังเย้าพูด
การรักษาคนไข้ทั้งสองรายเห็นผลได้ในทันที
เช้านี้ มีอีกคนเข้ามาที่คลินิก
“คุณชายซุน” หวังเย้าพูด
“สวัสดีครับ เชียนเชิง” ซุนหยุนเชิงพูด
“มีอะไรรึเปล่า?” หวังเย้าถาม
“เอ่อ ผมวางแผนจะอยู่ที่หมู่บ้านสักระยะหนึ่งน่ะครับ หวังว่าคงจะไม่รบกวนคุณเข้านะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“ไม่เลย” หวังเย้าพูด
“เอ่อ คือ…” ซุนหยุนเชิงดูลังเล แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจพูดเรื่องที่เกิดขึ้นในนคืนนั้นกับหวังเย้า
คืนก่อนนั้น เขาได้เจอกับการข่มขู่ที่น่าตื่นตระหนก ชายฉกรรจ์หกคนถูกน๊อคจนหมดสติในทีเดียว และไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย พวกเขาเป็นทหารปลดประจำการชั้นยอด แต่กลับถูกล้มโดยศัตรูที่มองไม่เห็นแม้แต่เงา เขาได้เห็นมันมากับตาตัวเอง พ่อของเขาจึงบอกให้เขาลี้ภัยมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ไปก่อน
ถึงแม้ว่ามันจะปลอดภัยกว่า แต่มันก็เหมือนกับเขาชักจูงอันตรายเข้ามาในหมู่บ้านด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่หวังเย้าไม่ต้องการจะเห็น
“ถ้าคุณไม่ยินดีให้ผมอยู่ ผมก็จะรีบไปทันทีเลยครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
ในเมื่อเขาได้พูดออกมาแล้ว หวังเย้าจึงไม่ได้พูดอะไรมากนัก “มาเถอะ คุณอยู่ที่นี่ได้”
“ขอโทษที่ต้องรบกวนนะครับ หมอหวัง” ซุนหยุนเชิงพูด
การกลับมาของซุนหยุนเชิง ทำให้ชาวบ้านบางคนมีความคิดดีดีขึ้นมา การขายอพาร์ทเมนต์ในเมืองได้รับความสนใจอย่างน่าเหลือเชื่อ ตัวอพาร์ทเมนต์ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีอย่างมาก และยังสร้างขึ้นโดยบริษัทยักษ์ใหญ่อีกด้วย ดังนั้น ในเรื่องของการควบคุมอุปกรณ์การก่อสร้างจึงค่อนข้างเข้มงวด และการออกแบบยังเป็นฝีมือของนักออกแบบชื่อดังของบริษัทด้วย
นี่เป็นเรื่องที่รับรู้กันไปทั่ว และทำให้อพาร์ทเมนต์แห่งนี้กลายเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก ส่วนหนึ่งของอพาร์ทเมนต์ๆได้มีการแลกเปลี่ยนกับบ้านหลายหลังในหมู่บ้าน ดังนั้น มันจึงขายหมดไปอย่างรวดเร็ว
แต่เรื่องหนึ่งที่ชาวบ้านต่างก็รู้กันดี ยังเหลืออพาร์ทเมนต์อยู่ตึกหนึ่ง มันเป็นตึกที่มีไว้สำหรับหวังเย้าและญาติหรือเพื่อนๆของเขา
ชาวบ้านหลายคนจึงคิดกันว่า หากพวกเขาไปคุยกับหวังเย้าเพื่อขอซื้ออพาร์ทเมนต์ในราคาถูกและนำไปขายต่อ พวกเขาก็จะสามารถทำเงินได้มากกว่า 100,000 หยวน!
ในเขตเล็กๆที่ดำรงชีวิตด้วยการทำไร่ และค่าแรงที่ไม่เคยเพิ่มขึ้น ชาวบ้านจึงไม่สามารถทำเงินได้เกินกว่า 100,000 หยวนเลย การหาเงินได้ 40,000 หรือ 50,000 หยวนต่อปีก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
เมื่อคิดถึงกำไรที่จะได้ จึงทำให้ชาวบ้านหลายคนเริ่มคิดที่จะไปขอความช่วยเหลือจากหวังเย้า
ในตอนเย็น มีชาวบ้านบางคนมาที่บ้านของหวังเย้า
“ไม่เห็นต้องเอาของมาให้เลย” จางซิวหยิงพูด
คนคนนี้เป็นญาติห่างๆในหมู่บ้าน ในช่วงวันหยุด พวกเขามักจะทักทายกันเมื่อเจอหน้า แต่ก็แทบจะไม่ได้ไปมาหาสู่กันเลย เธอจึงรู้ว่าทำไมอยู่ๆเขาถึงได้มาที่บ้านของเธอ มันจะต้องมีจุดประสงค์บางอย่างอย่างแน่นอน
“เสี่ยวเย้าอยู่บ้านรึเปล่า?” เขาถาม
“อยู่สิ เขาอยู่ในบ้าน” จางซิวหยิงพูด
จางซิวหยิงร้องเรียกหวังเย้า
“พวกเขาจะมาให้เสี่ยวเย้ารักษาให้เหรอ?” หวังเฟิงฮวาถาม
“ไม่หรอก น่าจะเป็นเรื่องอื่นมากกว่า” จางซิวหยิงพูด
เมื่อหวังเย้าเดินออกมา ชายคนนั้นก็ยิ้มแย้มและพูดเข้าประเด็นในทันที
ฉันต้องการจะซื้อห้องเพิ่ม!
นี่เป็นจุดประสงค์หลักของการมาที่นี่ เขาพบว่า หวังเย้ากับซุนหยุนเชิงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ดังนั้น เขาจึงหวังว่า หวังเย้าจะช่วยให้เขาสามารถซื้อบ้านได้ในราคาที่ถูกลง
“ผมจะลองหาเวลาไปถามเขาดูให้นะครับ” หวังเย้าพูด
“โอ้ ได้ๆ ขอบคุณนะ เสี่ยงเย้า” เขาพูด
ในตอนที่เขายังอยู่ที่นั่น ก็มีชาวบ้านอีกคนมาที่บ้านของหวังเย้า และยังมาด้วยจุดประสงค์เดียวกัน แขกทุกคนถูกส่งออกไปจากบ้าน
ในเย็นวันนั้น มีแขกมาที่บ้านสามคน ซึ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันเลย
“พวกเขารีบร้อนจะซื้อบ้านกันหมด ไม่ใช่ว่าซื้อกันไปคนละห้องแล้วเหรอ?” จางซิวหยิงคิดหาสาเหตุในเรื่องนี้ไม่ออก แต่หวังเย้ารู้ถึงจุดประสงค์ของคนเหล่านี้ดี
“แม่ พวกเขาแค่อยากจะทำเงินจากการเอาไปขายต่อเท่านั้นแหละครับ” หวังเย้าพูด
“ทำเงิน? ยังไงเหรอ?” จางซิวหยิงถาม
“ก็จากค่าส่วนต่างยังไงละครับ” หวังเย้าพูด “ผมไปดูอพาร์ทเมนต์มาแล้ว มันตั้งอยู่ใกล้กับห้างและโรงเรียนหลายที่เลย ถ้าดูจากราคาตอนนี้ มันก็จะอยู่ที่ห้องตารางเมตรละ 4,500-4,600 หยวน ถ้าสามารถซื้อได้ถูกกว่านี้อีกซัก 400-500 หยวน แม่คิดว่า พวกเขาจะเอาห้อง 100 ตารางวาไปขายต่อได้เงินเท่าไหร่ล่ะครับ? ที่พวกเขามาหาผม ก็เพื่อจะให้ผมช่วยเรื่องลดราคาต่อตารางเมตรลงไป พวกเขาก็จะขายบ้านได้กำไรมากกว่า 100,000 หยวนเลยล่ะ!”
“หา คนพวกนี้มันเจ้าเล่ห์จริงๆ” จางซิวหยิงพูด “แล้วลูกจะช่วยพวกเขาไหม?”
“ผมคงจะชะลอเรื่องนี้ไปก่อน” หวังเย้าพูด “ยังไงเราก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน แต่ว่าจะลดฝห้ได้สักเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้หรอกครับ”
มันมีคนมากกว่าสามคนที่มาเพื่อขอความช่วยเหลือจากหวังเย้า
วันต่อมา หวังเย้าไปหาซุนหยุนเชิงและบอกเรื่องทั้งหมดกับเขา
“ไม่มีปัญหาหรอกครับ เดิมทีเราก็ติดหนี้ชาวบ้านที่นี่อยู่แล้ว ถ้าพวกเขาอยากจะซื้อบ้านอีกห้อง ผมก็จะขายให้” ซุนหยุนเชิงยินดีให้ความช่วยเหลือ
“แต่พวกเขาจะเอาไปขายต่อเพื่อเอากำไรนะ” หวังเย้าพูด
“ผมเข้าใจเรื่องนี้ดีครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าพวกเขาจะซื้อห้อง ผมก็จะลดให้โดยเทียบกับราคาตลาด ส่วนถ้าจะซื้อห้องที่สาม ผมก็จะขายในราคาตลาด ทุกคนจะได้ส่วนลดแค่หนึ่งห้องต่อคนเท่านั้น”
“อืม ผมเห็นด้วย” หวังเย้าพูด
“ยังมีเรื่องอะไรอีกไหมครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“ไม่มีแล้ว ขอบคุณมากนะ” หวังเย้าพูด
“เกรงใจเกินไปแล้วครับ นี่เป็นเรื่องที่ผมควรทำอยู่แล้ว” ซุนหยุนเชิงรีบพูด “เชียนเชิง ตอนเที่ยงมีเวลาไหมครับ?”
“มีสิ” หวังเย้าพูด
“วันนี้เจิงชื่อฉงมาหาผม แล้วผมก็อยากจะเลี้ยงข้าวคุณด้วย” ซุนหยุนเชิงพูด “ขอบคุณมากนะครับ ผมไม่ได้มีโอกาสขอบคุณคุณเลย เที่ยงนี้ช่วยอยู่กินข้าวที่บ้านผมด้วยนะครับ?”
“ได้สิ” หวังเย้าพูด
ตอนเที่ยง หวังเย้าบอกกับที่บ้านว่าเขาจะไปที่บ้านตระกูลซุน
“ยินต้อนรับครับ หมอหวัง” ซุนหยุนเชิงพูด “เชิญนั่งก่อนครับ”
“คุณดูสบายดีนะ” หวังเย้ายิ้มและพูดกับเจิ้งเหว่ยจวินที่นั่งอยู่บนรถเข็น
“ครับ หลายวันมานี้ ร่างกายของผมแข็งแรงขึ้นมาก” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
มื้ออาหารมีรสชาติของทั้งทางเหนือและทางใต้ผสมผสานกัน ซึ่งก็คืออาหารฮวยหยางและลู่
หวังเย้าคิด พวกเขามีเชฟฝีมือดีจริงๆ!
“ชอบรสชาติอาหารไหมครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“มันอร่อยมากครับ” หวังเย้าพูด
เขาคิดว่า รสชาติอาหารยังดีกว่าเชฟในโรงแรมห้าดาวด้วยซ้ำ อาหารรสชาติยอดเยี่ยมมาก หวังเย้าไม่ได้ดื่มไวน์ แต่เลือกดื่มน้ำผลไม้แทน
…
ภายในบ้านในเมืองเต๋า
“ในเมืองเต๋ามันอันตรายมาก ฉันว่า นายน่าจะหนีไปก่อนที่จะโดนจับได้นะ” ชาวคนหนึ่งพูด
“พี่จะไม่ถูกโยงไปถึงหรอก” ชายในชุดคลุมสีดำและสวมฮูดเอาไว้พูด
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย” ชายคนแรกพูด
“ผมจะอยู่ที่นี่อีก 20 วัน” ชายสวมฮูดพูด “ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ผมก็จะไปทันที”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น