Elixir Supplier 633-634
633 หนึ่งคืน มองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง
“เธอเป็นคนดี แต่เราอยู่กันคนละโลก” หลังจากที่คิดอยู่พักหนึ่ง หวังเย้าก็พูดออกมา
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินหยิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“แล้วถ้าเกิดเธอไม่ยอมละคะ?” เฉินหยิงถาม
เธอรู้ว่า ซูเสี่ยวซวีนั้นเป็นคนที่ดูหัวอ่อนและเข้ากับคนได้ง่าย แต่ความจริงแล้วเธอเป็นคนที่แข็งแกร่งและดื้อรั้นอย่างมาก การที่ซูเสี่ยวซวีสามารถรอดจากความทรมานของโรคร้ายมาได้ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงนิสัยที่ดื้อรั้นของเธอได้เป็นอย่างดี มันเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนความคิดของเธอ โดยเฉพาะกับหวังเย้าที่ถือเป็นคนพิเศษสำหรับเธอมาก หวังเย้าช่วยเธอเอาไว้และเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไป เธอได้รีบโอกาสครั้งที่สอง และเธอก็ไม่เคยลืมมันเลย
“จะจริงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันมั่นใจมากว่า เธอไม่มีทางยอมแพ้แน่นอนค่ะ” เฉินหยิงพูด
ซูเสี่ยวซวีได้เริ่มลงมือไปแล้วด้วย
“หมอหวังคะ เธอมาที่นี่ก็เพราะคุณคนเดียวนะคะ” เฉินหยิงพูด “เธออยากจะเจอคุณและอยากจะใช้เวลากับคุณ น้าเหลียนบอกว่า ตั้งแต่ที่เธอมาถึงที่นี่ เธอก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย เธอดูกระตือรือร้นมาก น้าเหลียนพูดว่า เธอไม่เคยเห็นคุณหนูมีความสุขแบบนี้ตอนอยู่ที่ปักกิ่งเลย”
ผู้หญิงจะมีความสุขอย่างมาก เมื่อพวกเธอได้เจอกับคนรักที่ไม่ได้พบหน้ากันเป็นเวลานาน
หวังเย้าไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอะไรดี เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อนเลย ปกติแล้ว ผู้ชายมักจะไม่ค่อยรู้ตัว เมื่อมีหญิงสาวมาแสดงความสนใจในตัวพวกเขา
“ผมไม่เคยคิดเลยว่า ระหว่างเธอกับผมจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้” หวังเย้าพูด
“บางที คุณควรเริ่มคิดตอนนี้เลยก็ดีนะคะ คุณชายกั๋วชอบคุณหนูซูมาก เขายังขอให้แม่ของเขามาสู่ขอคุณหนูที่บ้านแล้วด้วย แต่คุณผู้หญิงก็ปฏิเสธพวกเขาไป” เฉินหยิงพูด
“แล้วเสี่ยวซวีไม่ชอบเขาเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ค่ะ เพราะเธอชอบคุณ” เฉินหยิงพูด
“แล้วเขาจะยอมเลิกเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“คนแบบเขาไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆหรอกค่ะ” เฉินหยิงพูด “การที่ได้แต่งงานกับคุณหนูซู จะทำให้เขาสามารถใช้อำนาจของตระกูลซูเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เขาลุ่มหลงในอำนาจ อำนาจก็เป็นเหมือนเสือ เมื่อขึ้นขี่แล้ว เขาก็ลงไม่ได้”
“พี่กำลังพยายามจะบอกอะไรผมเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ถ้าหมอคิดจะสานสัมพันธ์กับคุณหนูซูต่อ หมอก็ต้องระวังกั๋วเจิ้งเหอเอาไว้ด้วย เขาจะต้องพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณทั้งสองแน่นอนค่ะ” เฉินหยิงพูด
“เขาจะทำยังไงบ้างเหรอครับ?” หวังเย้าถาม เขาเริ่มเข้าใจจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของเฉินหยิงแล้ว
“ตอนนี้ มันก็พูดยากนะคะ คุณอยู่ที่จังหวัดฉี แล้วพ่อของกั๋วเจิ้งเหอก็เป็นผู้นำของจังหวัดฉีอยู่ ดังนั้น เขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่เขาอยากจะทำคในจังหวัดนี้” เฉินหยิงพูด
“ผมเข้าใจแล้ว ผมจะระวังตัว ขอบคุณที่มาเตือนผมนะครับ” หวังเย้าพูด
“ยินดีค่ะ ตอนนี้ ฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ” เฉินหยิงพูด
“ผมก็ต้องไปเหมือนกัน ว่าจะกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานสักหน่อย” หวังเย้าพูด
เขาเดินออกมาส่งเฉินหยิงที่ด้านนอกคลินิก พวกเขาแยกกันเมื่อเดินไปถึงกึ่งกลางหมู่บ้าน แล้วหวังเย้าก็เดินกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเพียงลำพัง
เขาเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เฉินหยิงมาบอก มันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากจริงๆ
ในขณะเดียวกัน ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตเหลียนชาน หนึ่งในคนไข้ของหวังเย้ากำลังเดินอยู่บนถนนของหมู่บ้าน
“อาเฟิง สบายดีไหม?” ชาวบ้านคนหนึ่งทักทายเขา
“ฉันสบายดี ขอบคุณ” อาเฟิงพูด
“นายพูดชัดขึ้นนะ” ชาวบ้านถาม
“การเดินของเขาก็ด้วย” ชาวหนุ่มคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม
“อย่ายุ่ง” อาเฟิงจ้องมองลูกชายของเขาด้วยสายตาดุๆ
เขาลุกขึ้นและก้าวเดิน การเดินของเขาเริ่มดีขึ้น ถึงมันจะยังไม่สมบูรณ์ก็ตามที
“พ่อรู้สึกว่า ยามันได้ผลนะ” อาเฟิงพูด
“ดีแล้วล่ะ เราจะไปฝังเข็มที่คลินิกนั่นอีกครั้ง แล้วก็ซื้อยามาอีกเจ็ดเม็ดด้วย” ลูกชายของเขาพูด
หนึ่งวันผ่านไป ท้องฟ้าเริ่มมืดลง บนเนินเขาหนาชานเงียบสงัด ต้นไม้ที่หวังเย้าเพิ่งปลูกไปได้ไม่นานกำลังเจริญเติบโตขึ้นอย่างน่าพอใจ
ฉันน่าจะเริ่มปลูกต้นไม้ที่ทางทิศตะวันออกได้แล้ว
เขาโทรไปหาหลี่ชื่อหยูในเช้าของวันถัดมา เพื่อสั่งต้นไม้แบบเดิม แต่ครั้งนี้ เขาไม่ได้สั่งมามากเหมือนครั้งก่อน
“เห็นไหม ผมบอกแล้ว ว่าเราไม่จำเป็นต้องมาเช้าขนาดนี้ก็ได้” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูด
ครอบครัวหนึ่งเดินทางมาที่คลินิกของหวังเย้าแต่เช้า พวกเขารอคอยอยู่ด้านนอกคลินิก พวกเขาก็คือคนไข้ที่เป็นเส้นเลือดอุดตันและครอบครัวของเขา ที่เคยมารักษากับหวังเย้าไปเมื่อวันก่อน
“เลิกบ่นได้แล้ว แม่ขอเตือนไว้ก่อนเลยนะ ว่าอย่าพูดมากเวลาอยู่ต่อหน้าหมอ” แม่ของเขาพูด
“ผมรู้น่า แม่ไม่ต้องห่วงหรอก” ชายหนุ่มพูด
พวกเขารออยู่ประมาณ 20 นาที ก่อนที่จะเห็นหวังเย้าเดินลงมาจากเนินเขา
“เขาอยู่บนเขาเหรอ?” ชายหนุ่มถาม
“ขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องรอนะครับ” หวังเย้าพูด
“ไม่เป็นไรค่ะ หมอหวัง” ภรรยาคนไข้พูด
“เขากินยาไปแล้วใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ เขากินยาทั้งสามเม็ดหมดแล้ว” ภรรยาคนไข้พูด
“คุณรู้สึกยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“ผมรู้สึกว่า ขาของผมเบาขึ้นและมีแรงมากขึ้น ดูหน้าผมสิ! มันดีขึ้นเหมือนกัน” คนไข้พูดด้วยรอยยิ้ม เผยให้เห็นฟันสีเหลืองของเขา
ใบหน้าที่เป็นอัมพาตของเขาดีขึ้นแล้ว เขาสามารถหัวเราะ, ร้องไห้, และเคี้ยวอาหารได้ ซึ่งต่างจากเมื่อก่อน ที่เขากินได้แค่อาหารเหลวและพูดไม่ชัด เขามีความสุขในทุกๆพัฒนาการที่เกิดขึ้นแม้จะเพียงแค่เล็กน้อยก็ตาม ใบหน้าของเขาหายจากอาการอัมพาตในเวลาเพียงแค่สามวันเท่านั้น ตอนนี้ เขาจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เช้านี้ เขาทนรอให้ภรรยาและลูกชายพาเขามาหาหวังเย้าแทบไม่ไหว เขาเชื่อว่า หากเขารักษากับหวังเย้าต่อไปเรื่อยๆ เขาก็จะหายกลับมาเป็นปกติได้อย่างแน่นอน
“นั่งลงก่อนนะครับ ขอผมตรวจดูหน่อย” หวังเย้าพูด
หลังจากตรวจคนไข้เสร็จแล้ว หวังเย้าก็เริ่มให้การรักษา เขาเริ่มจากการฝังเข็มเป็นอันดับแรก เขาแทงเข็มไปบนศีรษะ, ลำตัว, และแขนขาของคนไข้ การฝังเข็มดำเนินไปเกือบสองชั่วโมง
หลังจากนั้น หวังเย้าก็เปลี่ยนมาเป็นการนวดรักษา การนวดจบลงเมื่อถึงเวลามื้อเที่ยงพอดี
“โอเค เรียบร้อยแล้วครับ” หวังเย้าพูด
“ผมรู้สึกสบายมากเลย” คนไข้พูด เขารู้สึกอุ่นไปทั่วร่าง ราวกับเขาเพิ่งไปแช่น้ำร้อนมา “หมอหวัง หมอยังมียาเม็ดที่ให้ผมไปเมื่อวันก่อนอีกไหม?”
“มีครับ” หวังเย้าพูด
“ผมอยากได้อีกครับ” คนไข้พูด “หมอคิดว่า ผมต้องกินอีกกี่เม็ดครับ?”
“ปกติการรักษาหนึ่งคอสจะอยู่ที่ 10 วัน คุณกินไปแล้วสามเม็ด คุณก็แค่ต้องกินอีกเจ็ดเม็ดก็พอแล้วครับ” หวังเย้าพูด
“โอเค ผมเอาอีกเจ็ดเม็ดครับ” คนไข้พูด
ครั้งนี้ พวกเขาจ่ายเงินให้กับหวังเย้าโดยไม่มีการลังเลเลยสักนิด
“เอ่อ หมอหวัง ขอถามหน่อยได้ไหมว่าคุณจบจากมหาลัยไหนมาน่ะ?” ชายหนุ่มที่เงียบมาตลอดตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในคลินิก ได้เอ่ยถามขึ้นมา
หวังเย้าบอกชื่อมหาวิทยาลัยที่เขาเรียนมา
“คุณเป็นหมอยาจีน ผมไม่รู้มาก่อนเลยนะว่า ที่มหาลัยนั้นจะสอนแพทย์แผนจีนได้ดีขนาดนี้” ชายหนุ่มพูด
“ความจริง ผมเป็นแพทย์ปรุงยาน่ะ แล้วผมก็ไม่ได้เรียนจากในมหาลัยด้วย ที่มหาลัยผมเรียนชีววิทยามา” หวังเย้าพูด
“อะไรนะ?” ชายหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“อย่าไปสนใจเขาเลยค่ะ หมอหวัง เราคงต้องขอตัวก่อน ขอบคุณมากนะคะ” แม่ของชายหนุ่มพูด
“ยินดีครับ แล้วเจอกันใหม่” หวังเย้าพูด
“แม่บอกแล้ว ว่าให้ลูกตั้งใจเรียน แต่ก็ไม่เชื่อกันสักครั้ง แล้วเป็นยังไง ลูกก็เลยหางานดีดีทำไม่ได้เลย ดูหมอหวังสิ เขาจบจากมหาลัยดีดี แล้วกลายมาเป็นหมอเก่งๆแบบนี้ยังไงล่ะ” แม่ของเขาพูด
“แม่ แม่ไม่ได้ยินที่เขาพูดเหรอ?” ลูกชายของเธอถาม “เขาจบชีววิทยาจากมหาลัย ผมไม่คิดว่า เขาจะได้งานดีดีทำหรอก ถ้าเขามีความสามารถจริง เขาก็คงจะไม่มาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้”
“แม่ว่า ลูกก็แค่ไม่อยากจะยอมรับว่าเขาเก่งกว่าลูกมากกว่านะ ลูกชอบหาข้ออ้างอยู่เรื่อย” แม่ของเขาพูด
“เอ่อ แม่ ตอนนี้ผมต้องตั้งใจขับรถนะ อย่ามาทำให้ผมเขวสิ ผมไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุ” ลูกชายของเธอพูด
“เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว” เธอพูด
การรักษานั้นใช้เวลานานมาก เช้านี้ หวังเย้าจึงมีคนไข้แค่คนเดียวเท่านั้น
ในช่วงเช้าของวันนั้น เมื่อพระอาทิตย์เริ่มทอแสง เจิ้งเหว่ยจวินก็ตื่นขึ้นมาภายในบ้านของซุนหยุนเชิง เขาลืมตามองดูแสงไฟที่อยู่บนเพดาน
อะไรน่ะ? แสงเหรอ?
เขาตัวสั่นสะท้านและกระพริบตาอยู่หลายครั้ง เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเห็น มันเป็นแสงไฟที่งดงามมาก เขาไม่เคยเห็นแสงไฟที่น่าดึงดูดขนาดนี้มาก่อนเลย
เขามองไปรอบๆ ภาพวาดแขวนอยู่ที่กำแพงด้านหนึ่ง เขามองไปที่ผ้าม่านและเฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งอยู่ภายในห้องนี้
“ฮะฮา!” เสียงหัวเราะของเขาฟังดูบ้าคลั่งเล็กน้อย
ปัง! เสียงประตูถูกเปิดออก เจิ้งชื่อฉงและคุณหวูวิ่งเข้ามาในห้องและมองไปที่เจิ้งเหว่ยจวินด้วยความกังวล เจิ้งเหว่ยจวินกำลังหัวเราะและมีน้ำตาไหลพราก
“เหว่ยจวิน เกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน?” เจิ้งชื่อฉงถาม
“คุณลุง ผมมองเห็นแล้วครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“อะไรนะ?” เจิ้งชื่อฉงถามด้วยความไม่เข้าใจ คุณหวูเองก็สับสนเช่นกัน
“ผมมองเห็นทุกอย่างแล้ว” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “ผมมองเห็นแล้วจริงๆ!”
“เดี๋ยวนะ เหว่ยจวิน เธอเห็นทั้งหมดกี่นิ้ว?” คุณหวูชูขึ้นมาสองนิ้ว
“สอง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“แล้วนี่ล่ะ?” คุณหวูถาม
“กำปั้นครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “ตอนนี้ ผมมองเห็นแล้ว!”
“ดี! นี่มันยอดมาก!” เจิ้งชื่อฉงรู้สึกตื่นเต้นจนนึกคำพูดไม่ออก
“ยาของหมอหวังวิเศษจริงๆ” คุณหวูพูด
ยาเพียงแค่สามหยดในหนึ่งวัน กลับสามารถทำให้เจิ้งเหว่ยจวินกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง
“หยอดตาให้เขาอีกรอบเถอะครับ” เจิ้งชื่อฉงเสนอ
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว” คุณหวูพูด
เขาหยอดยาลงไปในตาของเจิ้งเหว่ยจวินอีกสามหยด แล้วทันใด เจิ้งเหว่ยจวินก็รู้สึกเย็นสบายในตาเขา
634 ผมชอบเธอ
เจิ้งเหว่ยจวินหลับตาและกลิ้งลูกตาเพื่อให้ตัวยากระจายไปทุกส่วนของดวงตา นัยน์ตาของเขารู้สึกเย็นสบาย ราวกับมีบางอย่างกำลังซ่อมแซมความเสียหายในดวงตาของเขาอยู่
หลังจากนั้นสักพัก เขาก็ลืมตาขึ้นและสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น “มันเป็นยาที่วิเศษมาก!”
“เราควรไปบอกหมอหวังดีไหม ว่าเหว่ยจวินมองเห็นแล้ว?” เจิ้งชื่อฉงถาม
“อืม ไปบอกหมอหวังเถอะ” คุณหวูพูด
แต่อยู่ๆเจิ้งชื่อฉงก็หยุดชะงัก เพราะเขาเห็นใครบางคนยืนอยู่ที่ด้านนอกนั้น
“นั่นคือ?” เขามองเห็นคนคนนั้นได้จากที่ไกลๆเท่านั้น “ดูเหมือนว่าฉันจะเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อนนะ”
“เสี่ยวซวี วันนี้เธออยากจะไปที่ไหนดีล่ะ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม “ฉันจะไปเป็นเพื่อนเธอเอง”
“วันนี้ ฉันไม่มีแผนจะไปที่ไหนหรอก แล้วพรุ่งนี้ ฉันก็จะกลับบ้านแล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูด
“พรุ่งนี้เหรอ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“ใช่ คุณแม่โทรมาหาเมื่อคืน บอกว่าคิดถึงฉันน่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ฮาฮา เธอไม่ได้ออกมานานขนาดนั้นสักหน่อยนะ” กั๋วเจิ้งเหอพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่กลับบ้านก็ดีแล้ว เดี๋ยวแม่ของเธอจะเป็นห่วงเอา”
“อืม” ซูเสี่ยวซวีตอบในขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ไม่รู้ว่าใจในของเธอกำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากคนไข้คนสุดท้ายกลับไป เจิ้งชื่อฉงก็มาถึงที่คลินิก “สวัสดีครับ หมอหวัง”
“สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ผมมาที่นี่เพื่อขอบคุณคุณหมอน่ะครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด
“ขอบคุณผม? เจิ้งเหว่ยจวินมองเห็นแล้วเหรอครับ?” แล้วหวังเย้าก็นึกเรื่องของเจิ้งเหว่ยจวินขึ้นมาได้
“ครับ เหว่ยจวินมองเห็นแล้ว” เจิ้งชื่อฉงพูด
“ดีครับ งั้นผมจะไปดูเขาหน่อย” หวังเย้าพูด
“โอเคครับ ขอบคุณมาก” เจิ้งชื่อฉงพูด
พวกเขาพากันเดินไปที่บ้านของซุนหยุนเชิง เมื่อไปถึงที่นั่น หวังเย้าก็สังเกตเห็นว่า ดวงตาของเจิ้งเหว่ยจวินเป็นประกายมากขึ้น
“สวัสดีครับ หมอหวัง ขอบคุณมากนะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
เขาได้ยินเจิ้งชื่อฉงและคุณหวูพูดถึงเรื่องของหมอหวังตลอดเวลา ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ได้เห็นหมอหนุ่มที่เป็นผู้รักษาดวงตาของเขาให้กลับมามองเห็นได้สักที
เขาหนุ่มมาก เจิ้งเหว่ยจวินคิด
“คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ? คุณมองเห็นได้ชัดเจนแค่ไหนแล้ว?” หวังเย้าถาม
“ผมเห็นได้ชัดเจนมากเลยครับ ไม่คิดเลยว่า หมอจะหนุ่มขนาดนี้” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“คุณมองเห็นลายเส้นบนฝ่ามือของผมไหมครับ?” หวังเย้ายื่นฝ่ามือให้เจิ้งเหว่ยจวินดู โดยที่เขายังยืนอยู่
“มันดูเบลอหน่อยๆครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ใช่ยาหยอดตาต่อไปอีกสามวันนะครับ แล้วคอยทดสอบการมองเห็นของเขาดู ถ้าการมองเห็นของเขากลับมาเป็นปกติ ก็ให้เขาดื่มยาหยอดตาที่เหลืออยู่ได้เลย” หวังเย้าพูด
“ยาหยอดตากินได้ด้วยเหรอ?” คุณหวูถามด้วยความประหลาดใจ
“ได้สิครับ ยาตัวนี้สามารถใช้รักษาได้ทั้งภายในและภายนอกเลยล่ะครับ” หวังเย้าพูด
“ฉันขอถามหน่อยได้ไหมว่า การรักษาภายในคือยังไงเหรอ?” คุณหวูถาม
“มันจะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่เสียหายภายในร่างกายครับ” หวังเย้าพูด
“ซ่อมแซมอย่างนั้นเหรอ?” คุณหวูอึ้งไปครู่หนึ่ง
“คุณต้องพักผ่อนให้มากๆ แล้วก็อย่าตื่นเต้นมากเกินไปด้วย คุณจะค่อยๆดีขึ้นเองนะครับ” หวังเย้าพูดกับเจิ้งเหว่ยจวิน
“ครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
เจิ้งชื่อฉงเดินออกมาส่งหวังเย้าที่ประตูบ้าน พร้อมทั้งเชิญเขาร่วมทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่หวังเย้าก็ปฏิเสธคำเชิญของเขาไป
“ไว้รอตอนที่เจิ้งเหว่ยจวินหายดีแล้ว เราค่อยมาฉลองด้วยกันก็ได้ครับ” หวังเย้าพูด “เอาแบบนั้นดีไหมครับ?”
“โอเคครับ ฟังดูเข้าท่าดี” เจิ้งชื่อฉงพูด
เมื่อเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน เจิ้งชื่อฉงก็เห็นคุณหวูกำลังจับจ้องอยู่แต่กับยาของหวังเย้า
“มีอะไรรึเปล่าครับ ลุงหวู?” เจิ้งชื่อฉงถาม
“ซ่อมแซมร่างกายที่ได้รับความเสียหาย” คุณหวูพึมพำกับตัวเอง
“หา? แล้วมันสำคัญไหมครับ?” เจิ้งชื่อฉงถาม
“แน่นอนสิ เธอเข้าใจความสำคัญของมันรึเปล่า?” คุณหวูถาม
เจิ้งชื่อฉงส่ายหน้า
“ฉันจะยกตัวอย่างให้ฟัง นิ้วหักหรือโรคหัวใจที่มีมาแต่กำเนิด ล้วนนับว่าเป็นความเสียหายภายในร่างกาย” คุณหวูพูด “แล้วยาตัวนี้ก็สามารถซ่อมแซมอาการทั้งสองอย่างนี้ได้”
“ลุงหมายความว่า มันสามารถทำให้กระดูกนิ้วที่แตกคืนกลับมาเป็นเหมือนเดิม และรักษาโรคหัวใจที่มีมาแต่กำเนิดได้ด้วยเหรอครับ?” เจิ้งชื่อฉงถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้วล่ะ แต่ฉันก็ยังไม่มั่นใจว่า ยาตัวนี้จะมีความมหัศจรรย์มากแค่ไหน” คุณหวูพูด “แต่ถ้าดูจากความสามารถของหมอหวังและสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหว่ยจวินแล้วละก็ เป็นไปได้ว่า ยาตัวนี้จะสามารถซ่อมแซมทุกส่วนที่เสียหายในร่างกายมนุษย์ได้”
“จริงเหรอครับ?” เจิ้งชื่อฉงถาม
“นี่เป็นยาที่ล้ำค่ามาก เรามาดูว่ามันจะทำอะไรได้อีกบ้างกันเถอะ” คุณหวูพูด
“ครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด เขารู้สึกอัศจรรรย์ใจมาก แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกสงสัยด้วยว่า บนโลกใบนี้ จะตัวยาที่สามารถรักษาทุกส่วนของร่างกายได้จริงหรือ
…
“เขากลับไปแล้วเหรอคะ?” ชูเหลียนถาม
“ค่ะ ขอบคุณพระเจ้า” ซูเสี่ยวซวีพูด
ตอนเช้า กั๋วเจิ้งเหอออกจากบ้านเช่าของเฉินหยิงเพื่อเข้าไปซื้อของในเมือง แต่เขาจะกลับมาอีกครั้งในตอนบ่าย
“กลางวันนี้ หนูจะไปบอกลาหมอหวังนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “เราจะกลับปักกิ่งกันพรุ่งนี้”
“ได้ค่ะ” ชูเหลียนพูด
“เฮ้อ!” ซูเสี่ยวซวีถอนหายใจ เธอไม่ได้อยากจะกลับไปเลยสักนิด แต่เธอก็ต้องไป เธอรู้ว่า กั๋วเจิ้งเหอจะไม่ยอมกลับไปไหนจนกว่าเธอจะกลับ เธอไม่ต้องการนำปัญหาใดๆมาให้หวังเย้า โดยเฉพาะถ้าปัญหานั้นเกิดขึ้นเพราะเธอ
“กั๋วเจิ้งเหอเป็นพวกน่ารำคาญจริงๆเลย!” ชูเหลียนสามรถบอกได้ว่า ซูเสี่ยวซวีกำลังคิดอะไรอยู่ เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังไม่พอใจ ดังนั้น เธอจึงพานไปถึงกั๋วเจิ้งเหอด้วย
ตอนกลางวันไม่มีคนไข้มารักษาที่คลินิก
ก๊อก! ก๊อก! มีใครบางคนมาเคาะประตูคลินิก
“เชิญเข้ามาครับ” หวังเย้าพูด
“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” ซูเสี่ยวซวีเดินเข้ามา
“นั่งก่อนสิ” หวังเย้าลุกขึ้นไปชงชาให้กับเธอ “ดื่มชาสักหน่อยนะ”
“ขอบคุณค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
เธอนั่งข้างๆหวังเย้าและมองไปที่เขา
“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอ?” หวังเย้าถาม
หลังจากที่เงียบอยู่นาน ซูเสี่ยวซวีก็เอ่ยถามออกมาว่า “หมอหวังคะ ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ?”
“ได้สิ” หวังเย้าพูด
“คุณชอบฉันไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
ถึงเธอจะพูดคำว่าชอบ แต่ความจริงแล้ว เธอหมายความว่ารัก
หวังเย้าอึ้งไป เขาไม่คิดว่า ซูเสี่ยวซววีจะถามเขาตรงๆแบบนี้ มันจึงทำให้เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
“ผม…” เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อได้เห็นสายตาคาดหวังของซูเสี่ยวซวีที่กำลังมองมา
เขาชอบซูเสี่ยวซวี ที่ทั้งงดงาม, นิสัยดี, และเข้มแข็ง แต่เขาจะพูดอะไรได้ล่ะ? เขาควรบอกเธอไปว่า เราอยู่กันคนละโลกเหรอ? เป็นเพราะเขากลัวหรือกำลังพยายามจะหนีอยู่กันแน่?
ชีวิตของเขานั้นผ่อนคลาย เหมือนกับเวลาที่เขากำลังเด็ดดอกไม้ริมรั้วและมองไปที่เนินเขาหนานชาน นั่นเป็นชีวิตของหวังเย้า แต่ต่อไปเขาก็จะมีใครบางคนมาอยู่ข้างๆ เขาไม่คิดจะใช้ชีวิตเพียงลำพังตลอดไปอยู่แล้ว
ถงเวยได้จากไปแล้ว ไม่มีทางที่พวกเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก ซูเสี่ยวซวีมาหาเขาถึงสองครั้ง เธอมาเพื่อขอบคุณที่เขาช่วยชีวิตของเธอ และเพื่อแสดงความรักของเธอต่อเขา
ทำไมเขาลองดูสักครั้งล่ะ? ทำไมเขาจะต้องสนใจเรื่องสถานะที่แตกต่างกันด้วย? มันสำคัญด้วยเหรอ ที่เขามาจากหมู่บ้านเล็กๆกลางเขา ส่วนเธอมาจากปักกิ่ง? พวกเขามาจากสองโลกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่แล้วยังไงล่ะ? ถ้าเขาและซูเสี่ยวซวีต่างก็ชอบกัน เขาก็น่าจะลองดูสักตั้ง
ซูเสี่ยวซวีรอคอยคำตอบของเขา หวังเย้ายังคงเงียบสนิท ซูเสี่ยวซวีดูเหมือนจะสงบ แต่เธอไม่แตะชาที่วางอยู่บนโต๊ะเลยสักนิด
“ผมยอมรับว่าผมชอบเธอ” หวังเย้าพูดนิ่งๆ เขาได้บอกออกไปแล้วว่าเขารู้สึกยังไงกับเธอ
“จริงเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
รอยยิ้มของเธองดงามราวกับดอกไม้บาน ความจริง เขาคิดว่ามันสวยกว่าดอกไม้ด้วยซ้ำ
หวังเย้าดูเหมือนจะลังเลในตอนแรก แต่สุดท้าย เขาก็ตัดสินใจได้
“หมอหวัง ฉันคงต้องกลับปักกิ่งแล้วล่ะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด ตอนนี้ เธอยิ่งไม่อยากจะกลับเข้าไปใหญ่
“แม่ของเธออยากให้กลับเหรอ?” หวังเย้าถาม
“เปล่าหรอกค่ะ แต่มันเป็นเพราะกั๋วเจิ้งเหอต่างหาก ฉันกลัวว่า ถ้าฉันไม่กลับเขาก็จะไม่ยอมไปไหนสักที ฉันจะบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ของฉันด้วย” ซูเสี่ยวซวีพูด
“โอเค ถ้ามีเวลา เธอค่อยกลับมาที่นี่อีกก็ได้” หวังเย้าพูด
“เธอมีเวลาตลอดเลยล่ะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
หวังเย้าเดินออกไปส่งเธอที่ด้านนอกคลินิก ซูเสี่ยวซวีกลับไปที่บ้านเช่าของเฉินหยิงพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“หืม?” ทั้งชูเหลียนและเฉินหยิงต่างก็สังเกตเห็นอารมณ์ที่ดีผิดปกติของเธอได้ ทั้งหันไปสบตากัน
“คุณหนูได้คุยกับหมอหวังแล้วเหรอคะ?” ชูเหลียนถาม
“ค่ะ ฉันบอกกับเขาแล้วว่า ฉันจะกลับพรุ่งนี้ แต่ฉันจะกลับมาที่นี่อีก” ซูเสี่ยวซวีพูด
คุณหนูจะต้องพูดอย่างอื่นอีกแน่ ชูเหลียนคิดในใจ
หลังจากที่ซูเสี่ยวซวีกลับมาได้ไม่นาน กั๋วเจิ้งเหอก็กลับมาพร้อมกับอาหารท้องถิ่น
“ผมคิดว่า เธอคงจะไม่มีเวลาได้ซื้อของพวกนี้ ผมก็เลยซื้อมาให้เธอเอากลับไปฝากพ่อกับแม่” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม เขามักจะเป็นคนที่รอบคอบอยู่เสมอ
“ไม่เป็นไร ขอบคุณนะ” ซูเสี่ยวซวีตอบกลับไปโดยไม่มีการลังเล
“แต่ผมซื้อของพวกนี้มาแล้วนะ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“ขอบคุณนะ แต่ฉันไม่ต้องการมันหรอก” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ขอบคุณคุณชายกั๋วมากนะคะ เราจะเอาอาหารพวกนี้กลับไปด้วยบางส่วน” ชูเหลียนพูด เธอหยิบอาหารขึ้นมาสองห่อ
“โอเค ผมจะขับรถไปส่งพวกเธอตอนกลางวันเองนะ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“ไม่ต้องหรอก เราจะไปห่ายชิวกันบ่ายนี้เลย แล้วก็จะบินกลับปักกิ่ง” ซูเสี่ยวซวีพูด
“โอเค” กั๋วเจิ้งเหอพูด
บ่ายนั้น กั๋วเจิ้งเหอยังไปบอกลาหวังเย้าด้วย เขาคิดจะพูดบางอย่างออกไป แต่แล้วเขาก็ยั้งเอาไว้
“แล้วเจอกันใหม่นะครับ หมอหวัง” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“เดินทางปลอดภัย แล้วเจอกัน” หวังเย้าพูด
หวังเย้าไปเจอซูเสี่ยวซวีที่สนามบิน ก่อนที่เธอจะขึ้นเครื่อง
“แล้วเจอกันใหม่นะคะ หมอหวัง” ซูเสี่ยวซวีโบกมือให้เขา เธออยากจะอยู่ให้นานกว่านี้ ขอแค่ได้คุยกับเขาหรือแค่นั่งข้างๆเขาโดยไม่ทำอะไรเลยก็ยังดี
“แล้วเจอกัน ว่างเมื่อไหร่ก็กลับมานะ” หวังเย้าพูด
“แน่นอนค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด นี่ถือเป็นคำสัญญาจากเธอ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น