Elixir Supplier 629-632

 629  สงบแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจ


 


หลังจากที่หวังเย้าได้ยินชื่อส่วนผสม หวังเย้าก็ไม่เห็นด้วยกับส่วนผสมเหล่านี้ ทั้งหมดล้วนมีสารอาหารที่อุดมสมบูรณ์ แต่การมีมากเกินไปก็ไม่ได้ดีเสมอไป


 


แม้แต่คนสุขภาพแข็งแรงก็อาจจะไม่สามารถกินของบำรุงดีขนาดนี้ได้ ดังนั้น ไม่ต้องไปพูดถึงคนที่ป่วยหนักเลย มันก็เหมือนกับคนที่ไม่ได้ดื่มน้ำเปล่ามาเป็นเวลาสิงถึงสามวัน และรู้สึกกระหายน้ำอย่างมาก แต่กลับกินน้ำเข้าไปได้แค่จิบเล็กเท่านั้น เพราะการดื่มมากเกินไป อาจจะกลายเป็นส่งผลร้ายต่อร่างกายได้


 


ส่วนคนไข้ที่มีสุขภาพแย่นั้น ก็จะเกิดปัญหาจากระบบการย่อยและดูดซึมของกระเพาะกับลำไส้ที่อ่อนแอ สารอาหารที่เหลือก็จะคั่งค้างอยู่ภายในร่างกายและกลายเป็นพิษในไม่ช้า


 


“เวลาที่เขาตื่นขึ้นมา เขาจะกินยาบำรุงแบบนี้ทุกครั้งเลยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่ เขาจะกินยาบำรุงไปถ้วยเล็กๆทุกครั้งที่เขาตื่นขึ้นมา” คุณหวูพูด


 


“แล้วใครเป็นคนให้สูตรยานี้มาเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“จี๋หลายเทียนจากปักกิ่ง” คุณหวูพูด


 


หืม? เป็นชื่อแปลกๆที่หวังเย้าไม่เคยได้ยินมาก่อน “แล้วเขากินยาบำรุงมานานรึยังครับ?”


 


“ประมาณเดือนกว่าได้” คุณหวูพูด “ตัวซุปมีปัญหาอย่างนั้นเหรอ?”


 


“มันแค่ช่วยชะลออาการได้ชั่วคราวเท่านั้นครับ” หวังเย้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง


 


“จี๋หลายเทียนก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน แต่มันก็ไม่มีทางที่ดีกว่านี้แล้ว” คุณหวูพูด


 


เมื่อคนเราเข้าใกล้ความตาย พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะกินยาที่สามารถทำให้พวกเขามีชีวิตต่อไปได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามันเป็นพิษร้ายที่นำพาพวกเขาไปสู่ความตายก็ตามที


 


“หยุดกินยาบำรุงตัวนี้ได้แล้วนะครับ” หวังเย้าพูดนิ่งๆ


 


“หยุดกิน แต่คุณชาย…” คุณหวูรู้สึกสับสน


 


“มีผมดูแลอยู่ เขาจะไม่มีทางตายจากโรคนี้เด็ดขาดครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาสงบนิ่งและชัดเจน ซึ่งแฝงไปด้วยอำนาจที่มองไม่เห็น คุณหวูและเจิ้งชื่อฉงต่างก็อึ้งกันไปพักหนึ่ง


 


“โอเค เราจะไม่เอายาตัวนี้ให้เขากินอีกแล้ว” คุณหวูยิ้มเป็นการตกลงกับความเห็นของหวังเย้า “แล้วยาอีกตัวหนึ่งล่ะ?”


 


“คุณหมายถึงยาที่ทำให้เขาหลับใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่ เรายังจำเป็นต้องเอายาตัวนั้นให้เขากินอีกไหม?” คุณหวูถาม


 


“ครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาอยากจะรู้ว่ายาตัวนี้เป็นแบบนั้นและทำงานยังไง มันไม่ใช่ทั้งซุปและขี้ผึ้ง มันเป็นยาเม็ดสีดำที่มีขนาดพอๆกับผลเชอร์รี่ พร้อมทั้งมีกลิ่นพิเศษลอยออกมา


 


เมื่อดมจากกลิ่นของเม็ดยาแล้ว หวังเย้าก็พอจะบอกชื่อสมุนไพรบางตัวได้ ซึ่งมีโชวู, หลินจือ, และเจียวกู่หลาน แต่ยังมีบางส่วนที่เขาไม่สามารถระบุได้ มันไม่ใช่มีแค่พืช แต่ยังมีอย่างอื่นอยู่ด้วย


 


เมื่อเจิ้งเหว่ยจวินผล่อยหลับไป เขาก็จะอยู่ในสภาวะหลับลึก ในสภาวะนี้ การเผาผลาญภายในร่างกายก็จะช้าลงมาก จนเหลือเพียงแค่หนึ่งในห้าของคนทั่วไปเท่านั้น และอาจจะน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ สภาวะแบบนี้คล้ายกับงูหรือหมีที่กำลังจำศีลอยู่


 


ร่างกายของเขาชะลอการเสื่อมสภาพ แต่มันไม่ได้ส่งผลกับพิษที่อยู่ในร่างกายของเขามากนัก พวกมันยังคงทำลายร่างกายของเขาอยู่ ฤทธิ์ของตัวยาทำให้เพียงทำให้มันช้าลงก็เท่านั้น


 


ตัวยานั้นมีประโยชน์ของมันอยู่ ซึ่งได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับหวังเย้าด้วยเช่นกัน “มันเป็นการชะลออายุไขของร่างกาย ซึ่งเป็นความคิดที่ดี”


 


“หมอหวัง คุณคิดยังไง?” คุณหวูถาม


 


“อืม ให้เขากินยาก่อน แล้วครั้งหน้าที่เขาตื่นก็มาบอกผมด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ตกลง” คุณหวูพูด


 


เมื่อหวังเย้าเดินออกมาจากบ้าน มันก็เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ตัวเขายังคงคิดถึงเรื่องอาการป่วยของเจิ้งเหว่นจวินไม่หยุด เขาไม่เคยเจอคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคที่รักษาได้ยาก ซึ่งเกิดจากการกินยามากเกินไปมาก่อน หลังกลับมาถึงที่คลินิกแล้ว เขาก็บันทึกรายละเอียดการรักษาทุกอย่างลงไป โดยเฉพาะตัวยาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน


 


พอใกล้เวลาเย็น เฉินหยิงก็มาเชิญหวังเย้าไปทานอาหารเย็นด้วยกันที่บ้านเช่าของเธอ มันยากที่เขาจะปฏิเสธคำเชิญที่อบอุ่นจากเธอ ชูเหลียนและเฉินหยิงรับหน้าที่เป็นคนทำอาหาร มันเป็นอาหารของทางใต้ ซึ่งมีรสชาติค่อนข้างอ่อน


 


“หมอหวังคะ คุณชอบรสชาติแบบนี้ไหมคะ?” เฉินหยิงถาม


 


“มันอร่อยดีครับ” หวังเย้าตอบ


 


ในระหว่างที่ทานอาหารกันอยู่นั้น ทั้งเจ้าบ้านและแขกต่างก็พอใจกับอาหารมื้อนี้


 


หลังจบมื้ออาหาร ซูเสี่ยวซวีก็พูดขึ้นมาว่า “เรามาเล่นไพ่กันดีไหมคะ?”


 


“อืม เอาสิ”


 


หวังเย้าอยู่เล่นไพ่กับทุกคนพักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับบ้าน


 


ที่บ้าน จางซิวหยิงได้เอ่ยถึงเรื่องของซูเสี่ยวซวีขึ้นมา “แม่ได้ยินมาว่า ที่สาวสวยมาหาลูกด้วย เธอมาจากปักกิ่งเหรอจ๊ะ?”


 


เรื่องที่มีมีสาวสวยราวกับนางฟ้ามาหาหวังเย้า ได้กลายเป็นกระจายไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว


 


“ลูกชายของเฟิงฮวาโชคดีเรื่องผู้หญิงจังเลยนะ” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด


 


“ใช่ๆๆ แฟนคนก่อนหน้านั้นก็สวยมาก แล้วไม่กี่วันก่อน ก็ยังมีสาวสวยอีกคนมาหาเขาอีก ตอนนี้เธอก็ยังอยู่ที่หมู่บ้าน และยังสวยสุดๆเลยล่ะ” ชาวบ้านอีกคนพูด


 


“คนหนุ่มนี่ดูจะเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆมากเลยนะ”


 


คนที่ทุกคนพูดถึงก็คือ ซูเสี่ยวซวี ในระหว่างที่เธออยู่ในหมู่บ้าน มีชาวบ้านเกือบครึ่งที่ได้เห็นความงดงามโดดเด่นของเธอเข้า


 


“เธอเป็นคนเดียวกับคนที่ผมเคยเล่าให้ฟังยังไงละครับ คนที่ผมต้องเดินทางไปรักษาให้ถึงที่ปักกิ่งน่ะ” หวังเย้าพูด


 


“อ่อ” จางซิวหยิงยิ้ม “เธอเคยมาก่อนหน้านั้นแล้วครั้งหนึ่งใช่ไหมจ๊ะ?”


 


“เอ่อ ใช่ครับ” หวังเย้าพูด


 


“แม่เห็นเธอแล้ว เธอสวยมากเลยล่ะ” จางซิวหยิงพูด


 


หวังเย้ารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของแม่เขา


 


“พี่สาวของลูกกำลังจะแต่งงานตอนเดือนตุลานี้แล้ว ลูกก็ต้องรีบๆเข้าล่ะ” จางซิวหยิงพูด


 


อย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด “โอ ผมรู้แล้วครับแม่”


 



 


ในโรงพยาบาลเหลียนชาน


 


“หมอคะ เขาจำเป็นต้องนอนที่โรงพยาบาลต่ออีกสองวันไหมคะ?” หญิงคนหนึ่งถาม


 


“ไม่จำเป็นหรอกครับ เขาอยู่โรงพยาบาลมาครึ่งเดือนแล้ว” แพทย์พูด “อาการของเขาไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แล้วการรักษาก็ไม่ได้เห็นผลอะไรชัดเจนนัก ตอนนี้ เขาสามารถออกจากโรงพยาบาลได้เลยครับ”


 


อาการของคนไข้ไม่มีปัญหานั้นแปลได้สองความหมาย หนึ่งคือ เขาอาการของเขาไม่แย่ลง และสองคือ เขาไม่มีทางดีขึ้นกว่านี้อีกแล้ว การที่เขานอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ทำให้เสียเตียงไปแล้วหนึ่งเตียง แล้วเมื่อคืน เพ่งจะมีคนไข้เข้ามาเพิ่มอีกสองราย ดังนั้น ทางโรงพยาบาลจึงต้องการเตียงเพิ่ม


 


“โอเคค่ะ ขอบคุณสำหรับการรักษานะคะ” เธอพูด


 


“ยินดีครับ” แพทย์ตอบ


 


“อีกรายแล้วสินะ” หลังจากที่หญิงคนนั้นเดินจากไปแล้ว แพทย์ก็ถอนหายใจออกมา


 


“ผู้ชายคนนั้นมาที่นี่สองครั้งแล้วใช่ไหม?” แพทย์อีกคนถาม


 


“ใช่ ฉันจ่ายยานำเข้าให้เขาไปแล้วล่ะ” เขาตอบ


 


เพื่อนร่วมงานของเขาหยุดชะงักมือที่กำลังเขียนอยู่และพูดกลับไปว่า “ค่ายาคงจะแพงมากเลยสินะ”


 


“แต่มันก็ได้ผลดีนี่” เขาพูด “ถ้าเกิดเป็นเส้นเลือดอุดตันขึ้นมาอีก คงจะกลายเป็นปัญหามากเลยล่ะ”


 


หญิงคนนั้นและลูกชายจัดการเรื่องออกจากโรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาพากันเดินไปที่ลิฟต์ พร้อมทั้งช่วยกันพยุงผู้เป็นสามีของเธอไปด้วย


 


“ขอโทษนะคะ” เธอพูด


 


ที่บริเวณหน้าลิฟต์มีผู้คนรออยู่กันจนเต็ม ทุกคนจึงพากันหลีกทางให้พวกเขา


 


ติ้ง! ต่อง! เสียงลิฟต์แสดงว่าได้ไปถึงชั้นล่างสุดแล้ว ประตูลิฟต์เปิดออก ทั้งครอบครัวพากันเดินออกไปอย่างช้าๆ


 


“เฮ้อ เดี๋ยวนี้ มีคนเป็นโรคนี้กันเยอะเลยนะ” ผู้โดยสารลิฟต์คนหนึ่งพูดขึ้นมา


 


“ใช่ มีเด็กหนุ่มที่ทำงานที่เดียวกับผมก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เขาเพิ่งจะอายุ 20 ต้นๆเท่านั้นเอง” ผู้โดยสารอีกคนพูด “ตอนนี้ เขาก็เดินแบบนั้นเหมือนกัน เดินไปแต่ละก้าวเป็นวงกลมตลอดเลยล่ะ”


 


การเดินเป็นวงกลมคือ สภาพของขาที่อ่อนแรง เมื่อก้าวไปหนึ่งก้าว ขาอีกข้างที่ไม่มีแรงก็จะขยับไปแบบไร้ทิศทาง และกลายเป็นการเดินเป็นวงกลม เพราะไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของขาได้


 


หลังจากขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นภรรยาก็พูดขึ้นมาว่า “ไปที่หมู่บ้านหวังกันเถอะ”


 


“แม่ยังโอเคอยู่ไหมเนี่ย?” ลูกชายของเธอถาม “แม่ต้องล้อเล่นอยู่แน่ๆ ผมบอกแม่แล้วนี่ ว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวงน่ะ”


 


“ก็แล้วถ้ามันได้ผลขึ้นมาจริงๆล่ะ?” เธอถาม “แม่ลองถามคนในหมู่บ้านนั้นดูแล้ว ผู้ชายที่ชื่อ หลี่ชื่อเหอ คนนั้นป่วยเป็นโรคอุดตันตอนหน้าหนาวปีที่แล้ว แต่ตอนนี้เขากลับหายเป็นปกติดี ราวกลับเขาไม่เคยป่วยมาก่อน แม่ฟังมาว่า เขาไม่ได้กินยาอะไรเป็นพิเศษเลยสักอย่าง เขาแค่ไปรักษากับหมอหวัง แล้วจากนั้นเขาก็หายดี”


 


เธอกันไปหาสามีและถามว่า “คุณโอเคกับเรื่องนี้ไหมคะ?”


 


“ไปปปป…” เขาพูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ มุมปากข้างหนึ่งของเขาเอียงลง มีน้ำลายไหลยู่ตลอดเวลา และเขาก็ต้องใช้มือถือผ้าขึ้นมาเช็ดด้วยมือถือสั่นเทา นอกจากปากที่บิดเบี้ยวของเขาแล้ว แขนและขาของเขาก็ไม่สามารถควบคุมได้ดีเช่นกัน


 


“ไปกันได้แล้ว” เธอพูดกับลูกชาย “หรือลูกอยากให้พ่ออยู่ในสภาพแบบนี้ตลอดไป?”


 


“ก็ได้ ไปกัน หวังว่ามันจะได้ผลนะ” ชายหนุ่มขับรถไปยังหมู่บ้านหวัง ซึ่งเขาต้องแวะถามคนข้างทางเพื่อตามหาหมู่บ้านเล็กๆกลางเขาแห่งนี้ “อยู่ไกลจังเลย”


 


ทันทีที่เขาขับเข้าไปในหมู่บ้าน เขาก็พบว่ามีบางอย่างสะดุดตาเข้า ที่ข้างถนนมีรถหรูหลายคันจอดอยู่


 


“โว้ว! หมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ กลับมีคนรวยเยอะจริงๆ” ชายหนุ่มพูด “นี่มันรถนำเข้าทั้งนั้น แต่ละคันก็แพงมากด้วย!”


 


ชายหนุ่มถอนหายใจและขับรถมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ของหมู่บ้าน จากนั้น เขาก็เลี้ยวรถเข้าจอดข้างทาง เขามองเห็นบ้านขนาดเล็กที่ดูเหมือนจะเป็นสไตล์ฮุยโจว


 


“โอ้โห บ้านหลังนี้สวยจังแฮะ” ชายหนุ่มพูด


 


“แม่จะลงไปถามดู” แม่ของเขาพูด


 


เธอเดินไปเคาะประตูและผลักเปิดเข้าไปด้านใน เมื่อเห็นว่า มีชายหนุ่มที่ดูจะอายุพอๆกับลูกชายของเธอ เธอก็ถามออกไปด้วยความลังเลว่า “หมอหวังอยู่ที่นี่ไหมคะ?”


 


“ครับ ผมเอง” หวังเย้าพูด “มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ?”


 


“เอ่อ สามีของฉันป่วยเป็นโรคเส้นเลือดอุดตันน่ะค่ะ เขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาลวันนี้เอง” เธอพูด “ฉันได้ยินมาว่า คุณสามารถรักษาโรคนี้ได้ เราเลยมาที่นี่ด้วยหวังว่า คุณจะช่วยดูอาการของเขาสักหน่อยน่ะค่ะ”


630 โหยหาความเจ็บปวด


 


“ผมคงต้องขอได้ดูเขาก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด “แล้วเขาอยู่ที่ไหนครับ?”


 


“เขาอยู่ข้างนอกค่ะ ฉันจะไปพาเขามาเดี๋ยวนี้” เธอพูด


 


เธอเดินออกไปพาสามีของเธอเข้ามาในคลินิก โดยมีลูกชายของเธอคอยช่วยด้วย


 


“แม่ นี่คือหมอที่แม่พูดถึงคนนั้นน่ะเหรอ?” ลูกชายของเธอถามด้วยความประหลาดใจ


 


“ใช่ พูดเบาๆสิ ลูกพูดดังเกินไปแล้วนะ” เธอพูด


 


สีหน้าที่ลูกชายของเธอแสดงออกมานั้น บอกให้หวังเย้าได้รู้ว่า เขาไม่คิดว่า หวังเย้าที่อายุพอๆกับเขาจะเป็นหมอที่มีฝีมือเก่งกาจได้เลยสักนิด


 


“นี่เป็นครั้งแรกที่เขาป่วยแบบนี้รึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม


 


ลักษณะของคนไข้มีการเดินที่ไม่ปกติและเป็นอัมพาตครึ่งซีก รวมไปถึงใบหน้าที่เป็นอัมพาตครึ่งซีกด้วยเช่นกัน น้ำลายไหลลงมาจากมุมปากของเขาไม่หยุด


 


“ไม่ค่ะ นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนค่ะ” เธอพูด


 


“ใช่” คนไข้พูด


 


“ช่วยเอาเขานั่งทีนะครับ” หวังเย้าพูด


 


ปัญหาของอาการทั้งหมดนั้นอยู่ที่ส่วนสมอง เส้นเลือดเกิดการอุดตันขึ้นภายในสมอง และทำให้การไหลเวียนของโลหิตต้องหยุดชะงักไป ในทางแพทย์แผนจีนนั้น อาการนี้มีสาเหตุมาจากการหยุดนิ่งของพลังฉีและโลหิต


 


“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเขาอย่างนั้นเหรอครับ?” หวังเย้าถามอีกครั้ง


 


“ไม่ค่ะ นี่เป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกเป็นได้ปีกว่าแล้ว” เธอพูด


 


หวังเย้าตรวจดูร่างกายของคนไข้ โดยเฉพาะส่วนศีรษะของเขา “คุณต้องการให้เขารับการรักษาที่นี่เหรอครับ?”


 


“ใช่ค่ะ” เธอพูด


 


ลูกชายของเธอทำสีหน้าไม่เห็นด้วย เขาคิดในใจ ก็ใช่น่ะสิ เราก็ต้องมาที่นี่เพื่อรักษาอยู่แล้ว คิดว่าเราจะมาซื้อแพนเค้กหรือไง?


 


แม่ของเขาส่งสายตาดุมาให้ ในตอนที่เขากำลังจะพูดบางอย่างออกไป


 


“โอเค ถ้าอย่างนั้น ช่วยนั่งนิ่งๆด้วยนะครับ” หวังเย้าหยิบเข็มออกมา “อย่าขยับนะครับ”


 


เขาแทงเข็มลงไปที่ศีรษะของคนไข้ อาการของคนไข้นั้นต่างไปจากคนไข้รายก่อนที่เขาเคยรักษาไป พูดตรงๆก็คือ คนไข้รายนี้อาการหนักกว่ามาก ดังนั้น หวังเย้าจึงทำการกระตุ้นการไหลเวียนของพลังฉีและโลหิตในศีรษะของเขา ซึ่งก็คือจุดที่มีปัญหาอยู่นั่นเอง


 


“ทำแบบนี้มันจะได้ผลเหรอ? แทงเข็มลงไปบนหัวพ่อเนี่ยนะ?” ลูกชายของคนไข้รู้สึกกังวลเกี่ยวกับพ่อของเขา เขาเอาแต่จับจ้องไปที่มือของหวังเย้าไม่ให้คลาดสายตา


 


แม่ของเขาก็รู้สึกกังวลเช่นเดียวกัน เธอกำเสื้อแน่นและมีเหงื่อซึม “คุณรู้สึกยังไงบ้าง? ถ้ารู้สึกไม่ดีขึ้นมา ก็บอกเราเลยนะ”


 


“อืม” คนไข้พูด


 


หวังเย้าเพียงแค่ยิ้มออกมาเท่านั้น หลังจากฝังเข็มเสร็จแล้ว เขาก็นวดให้กับคนไข้ต่อ หวังเย้าเริ่มจากบริเวณใบหน้าของคนไข้เป็นที่แรก เขาลงแรงเบาๆในตอนเริ่มแรก จากนั้น ก็ค่อยๆเพิ่มแรงเข้าไป เขากดไปตามจุดฝังเข็มและใช้มือทั้งสองข้างไล่ไปตามเส้นเลือด


 


จุดประสงค์ในการนวดก็เพื่อเป็นการจัดการกับเลือดที่คั่งค้างอยู่ หวังเย้าใช้แรงจากภายนอกในการบังคับให้เลือดที่อุดตันเส้นเลือดให้หลุดออกไป พลังฉีและโลหิตมีการไหลเวียนเหมือนกับสายน้ำ ถ้าหากการไหลเวียนเป็นปกติ น้ำก็จะไปบำรุงพืชพรรณที่อยู่ตามริมน้ำได้ แต่ถ้าหากการไหลเวียนเกิดการติดขัด มันก็อาจจะทำให้น้ำเอ่อล้นได้


 


“คุณรู้สึกยังไงบ้าง?” ผู้เป็นภรรยาถาม


 


“ฉันรู้สึกสบายมากเลย” คนไข้พูด


 


การนวดของหวังเย้าทำให้ตลอดทั้งศีรษะของเขารู้สึกอุ่นขึ้นมา อาการช้าและบวมก็หายไปด้วย เขารู้สึกสบายขึ้นมาก


 


“คุณช่วยยกแขนหน่อยได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม “ลองทำตามผมดูนะครับ”


 


หวังเย้าหยุดนวด “คุณลองบีบมือผมให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ดูนะครับ”


 


กำลังและแรงในการเคลื่อนไหวในส่วนแขนของคนไข้รายนี้ดีกว่าคนไข้รายก่อน แต่อาการที่ขาของเขานั้นแย่กว่า


 


หลังจากที่ให้คนไข้ขยับแขนขาดูแล้ว หวังเย้าก็เริ่มการรักษาต่อ


 


“ดูเป็นมืออาชีพดีนี่นา” ลูกชายของคนไข้พูด “พ่อรู้สึกยังไงบ้าง?”


 


“พ่อรู้สึกสบายดี” คนไข้พูด


 


“ฉันว่า คุณดูเหมือนจะพูดติดขัดน้อยลงนะ” ผู้เป็นภรรยาพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “คุณลองพูดอะไรหน่อยสิ”


 


“เธออยากจะให้ฉันพูดอะไรล่ะ?” คนไข้ถาม


 


“การพูดของเขาดีขึ้นมาก ลูกคิดเหมือนแม่ไหม?” เธอหันไปถามลูกชาย


 


“ครับ ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” ถึงในตอนแรก ผู้เป็นลูกชายจะรู้สึกสงสัยในความสามารถของหวังเย้า แต่ตอนนี้ เขาก็ต้องยอมรับว่าหวังเย้านั้นเป็นหมอที่มีฝีมือจริงๆ การพูดของพ่อเขาดีขึ้นภายในเวลาสั้นๆ และใบหน้าพ่อของเขาก็ยังดูเป็นปกติมากขึ้นด้วย “หมอเก่งจริงๆ” มุมมองที่เขามีต่อหวังเย้าเริ่มเปลี่ยนไป


 


“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ แล้วเอายาเม็ดนี้กลับไปกินด้วยนะครับ” หวังเย้าหยิบเม็ดยาที่เขาทำเมื่อไม่กี่วันก่อนยื่นให้คนไข้ “ส่วนค่ารักษา ฝังเข็มกับนวดอยู่ที่ 200 หยวน ส่วนยาก็ราคา 200 หยวนเหมือนกันครับ”


 


“อะไรนะ? นั่นมันแพงมากเลยนะ” ลูกชายของคนไข้พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ ความรู้สึกประทับใจที่มีต่อหวังเย้าก่อนหน้านี้ได้หายไปจนหมด


 


“แต่ผมไม่คิดแบบนั้นนะครับ” หวังเย้าพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉย


 


สมุนไพรทั้งหมดเป็นสมุนไพรป่า และส่วนใหญ่ก็ถูกเก็บมาจากแปลงสมุนไพรของเขาเอง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้รับการบำรุงจากค่ายกลรวมวิญญาณ สมุนไพรได้ดูดซับเอาพลังโดยรอบเข้าไป ดังนั้น พวกมันจึงมีคุณภาพสูงกว่าสมุนไพรที่เติบโตในป่าเขามาก เม็ดยายังมีน้ำสกัดจากจื้อหยู ซึ่งเป็นสมุนไพรรากที่หาซื้อไม่ได้ด้วยเงินผสมอยู่ด้วย


 


“เราจะจ่ายค่ะ” ภรรยาคนไข้พูด “เขาต้องกินยานานแค่ไหนคะ?”


 


“กินวันละหนึ่งเม็ดพอครับ ลองเอาไปสัก 10 เม็ดก่อนดีกว่า” หวังเย้าพูด


 


“10 เม็ดสำหรับ 10 วัน รวมเป็น 2,000 หยวนนะคะ” เธอพูด


 


ครอบครัวของเธอจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้กับโรงพยาบาลไปหมื่นกว่าแล้ว เมื่อหักกับเงินชดเชยจากรัฐแล้ว เธอจึงจ่ายไปแล้วทั้งหมดประมาณ 8,000 กว่าหยวน ตราบใดที่หวังเย้าสามารถรักษาสามีของเธอได้ เธอก็ยินดีที่จะจ่ายเงิน 2,000 หยวน


 


“แม่!” ลูกชายของเธอติดสินใจหยุดแม่ไม่ให้แม่ของเขาต้องถูกหลอก ไม่อย่างนั้นแล้ว แม่ของเขาก็จะถูกคนอื่นจูงจมูกโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว


 


“หมอหวัง เราขอเริ่มซื้อไปสามเม็ดก่อนได้ไหม?” ลูกชายคนไข้ถาม


 


“ได้สิ” หวังเย้าพูด เขามั่นใจในยาที่เขาทำขึ้นมามาก ดังนั้น ยาสามเม็ดก็ไม่ได้แตกต่างอะไรสำหรับเขาเลย


 


“เราแค่อยากจะดูก่อนว่า ถ้ากินยาเข้าไปแล้วจะเป็นยังไงบ้างน่ะ” ลูกชายคนไข้พูด นายคิดจะคว้าเอาทุกอย่างที่คิดจะคว้าได้ใช่ไหม?


 


หวังเย้าไม่ได้สนใจเรื่องเงินอยู่แล้ว แต่ในเมื่อ เขาต้องเสียเวลาและลงแรงกับการทำยาขึ้นมาแล้ว เขาก็จำเป็นต้องคิดเงินให้คุ้มกับสิ่งที่เขาเสียไปด้วย เม็ดยาเหล่านี้ล้วนมีค่า


 


ภรรยาคนไข้จ่ายเงินซื้อยาไปทั้งหมดสามเม็ด เธอนำเม็ดยาห่อเอาไว้อย่างดี “ขอบคุณนะคะ หมอหวัง”


 


“ยินดีครับ เอานี่ไปด้วยนะครับ ผมเขียนข้อควรระวังเอาไว้ให้คุณ ผมคิดว่า เขาเป็นความดันสูงและคอลเลสเตอรอลสูงด้วย” หวังเย้าพูด


 


“ค่ะ” ภรรยาคนไข้พูด


 


“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เขาต้องระมัดระวังในเรื่องการใช้ชีวิตให้มากขึ้น การอุดตันของเส้นเลือดมีความเกี่ยวข้องกับคอลเลสเตอรอลสูง, ความดันสูง, และน้ำตาลในเลือดสูง เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เขาควรกินอาหารเบาๆและออกกำลังกายเป็นประจำด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว” หลังจากที่แสดงความขอบคุณเสร็จแล้ว เธอ, ลูกชายและสามีก็พากันเดินออกไปจากคลินิก


 


“แม่ เขามันเป็นพวกต้มตุ๋น” เมื่อพวกเขาเดินออกมา ผู้เป็นลูกชายก็พูดขึ้นมาทันที


 


“ลูกหมายความว่ายังไง?” เธอถาม “แล้วก็เงียบเสียงลงด้วย แม่ไม่อยากให้หมอหวังมาได้บิน ลูกไม่เห็นเหรอ ว่าหน้าของพ่อเขาดีขึ้นกว่าเดิมน่ะ? แล้วพ่อก็ยังพูดชัดขึ้นด้วย หมอคนนี้มีฝีมือจริงๆ”


 


“ผมเห็น แต่ยาเม็ดละ 200 หยวนมันแพงเกินไป บางทีเขาอาจจะแค่นวดถูกจุดก็ได้นี่” ลูกชายพูด


 


“พอได้แล้ว! ขนาดโสมป่ายังมีราคาเป็นหมื่นได้เลย” เธอพูด “แล้วยาพวกนี้จะมีราคาแพงบ้างไม่ได้เหรอ? ยานำเข้าที่โรงพยาบาลจ่ายมาให้เรายังราคาเม็ดละ 75 หยวนเลย แล้วทำไมลูกถึงไม่คิดว่ามันแพงบ้างล่ะ?”


 


“ก็นั่นมันเป็นยาของโรงพยาบาลนี่” ลูกชายพูด


 


“เลิกบ่นได้แล้ว กลับบ้านกันเถอะ” คนไข้พูด การพูดของเขายังคงติดขัดอยู่ แต่มันก็ดีกว่าเดิมมากแล้ว


 


“โอเค กลับบ้านกัน” ภรรยาของเขาพูด


 


ขณะเดียวกัน ภายในบ้านของซุนหยุนเชิง เจิ้งเหว่ยจวินได้ตื่นขึ้นมา


 


“หืมมม แปลกจริง คราวนี้เหว่ยจวินดูเหมือนจะตื่นเร็วกว่าเดิม” คุณหวูพูด “เหว่ยจวิน เธอรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”


 


การที่ชายหนุ่มตื่นขึ้นหลังจากนอนไปได้สองวัน ซึ่งเร็วกว่าปกติ คุณหวูจึงได้แต่หวังว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับเขา


 


“ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษนะครับ แต่ผมรู้สึกดีกว่าตอนตื่นขึ้นมาครั้งก่อน ครั้งนี้ ผมรู้สึกเจ็บด้วย” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“เจ็บตรงไหนเหรอ?” คุณหวูถามด้วยความกังวล


 


“ทุกที่เลยครับ แต่มันไม่แย่ขนาดนั้น อย่ากังวลไปเลยครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“รอฉันเดี๋ยวนะ” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


เขาไปที่คลินิกของหวังเย้า เพื่อเชิญให้ไปดูอาการของเจิ้งเหว่ยจวินที่บ้าน


 


“เขาตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เพิ่งตื่นตอนนี้เลยครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


หวังเย้ารีบไปที่บ้านของซุนหยุนเชิงพร้อมกับเจิ้งชื่อฉง เขาเข้าไปตรวจดูอาการของเจิ้งเหว่ยจวินอย่างละเอียด


 


“ผมคิดว่า ที่เขาตื่นขึ้นมาเร็วกว่าปกติน่าจะเป็นเพราะยาขับพิษครับ” หวังเย้าพูด


 


ยาขับพิษที่หวังเย้าให้เขากินเข้าไป มีปฏิกิริยาต่อต้านตัวยาที่ทำให้เจิ้งเหว่ยจวินต้องหลับลึก มันจึงทำให้ตัวยาหมดประสิทธิภาพเร็วกว่าปกติ


 


“แล้วเราควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดีครับ?” เจิ้งชื่อฉงถาม


 


“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องเอายาตัวนั้นให้เขากินแล้ว ให้เขากินแค่ยาสองตัวของผมก็พอ” หวังเย้าพูด


 


“ได้” คุณหวูพูด


 


หวังเย้าหันออกไปมองดูท้องฟ้าด้านนอก “ผมจะกลับมาฝังเข็มให้เขาพรุ่งนี้ ตอนประมาณ 9 โมงนะครับ แล้วพวกคุณก็เอายาให้เขากินตอนประมาณ 8 โมงครึ่ง”


 


“โอเค” คุณหวูพูด


 


“ตั้งแต่นี้ไป เขาอาจจะต้องลำบากหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ทำไมเหรอ?” คุณหวูถาม


 


“ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมา แล้วเขาก็จะเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวด เตรียมใจเอาไว้หน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด


631 บังเอิญจริงๆ!


 


“ผมคิดถึงวันที่ผมต้องทรมานเพราะความเจ็บปวดจริงๆ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “อย่างน้อยในตอนนั้น ผมก็ยังรู้สึกว่าร่างกายเป็นของผม แต่ตอนนี้ มันราวกับว่า ผมเป็นแค่ไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้น”


 


“แต่แล้ว ที่คุณคิดแบบนั้นได้” หวังเย้าพูด


 


“หมอหวัง ตอนเที่ยงคุณว่างไหม? คุณอยู่ทานข้าวเที่ยงกับเราได้ไหมครับ?” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


“ไม่ดีกว่า ขอบคุณนะครับ ผมบอกที่บ้านไปแล้ว ว่าจะกลับไปกินข้าวด้วย” หวังเย้าพูด


 


“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นไว้คราวหน้านะครับ” เจิ้งชื่อฉงพูดในตอนที่เขาเดินไปส่งหวังเย้าที่ประตู หลังจากกลับเข้ามาด้านในเขา เขาก็ถามออกมาว่า “ลุงหวู เหว่ยจวินเป็นยังไงบ้างครับ?”


 


“ฉันยังไม่เห็นว่ามีปัญหาอะไรนะ” คุณหวูที่ตรวจดูอาการของเจิ้งเหว่ยจวินอย่างละเอียดแล้วพูดขึ้นมา


 


“หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไรนะ” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


เจิ้งเหว่ยจวินที่ใบหน้ายังคงซีดเซียว เขานอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสายตาที่พล่ามัว เขารู้สึกราวกับว่า เขากำลังลอยอยู่ท่ามกลามหมอกหนา เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ชัดเจนนอกจากแสงและเงาเท่านั้น สีสันที่สดใสและความงดงามของทิวทัศน์ล้วนถูกบดบังไปจนหมด


 


เขายังไม่ถึงกับตาบอด แต่ก็เกือบแล้ว เขาอยู่ในความฝันไร้ที่สิ้นสุดด้วยอาการเซื่องซึม บางครั้งเขาก็ฝันว่า เขาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ทุกอย่างล้วนพล่ามัวและไม่มีอะไรเลย แม้แต่เสียง เขายืนอยู่เงียบๆ ราวกับติดอยู่ในความสับสน เขาอยากมองเห็น, อยากพูด, และอยากฟัง แต่เขากลับทำไม่ได้ มันเป็นความทรมานที่เจ็บปวดสำหรับเขา


 


เจิ้งเหว่ยจวินไม่ต้องการนอนหลับอีกแล้ว บางครั้ง เขายังถึงขั้นอยากจะตายๆไปซะ การมีชีวิตอยู่ไปแบบนี้เป็นสิ่งที่ทรมานเกินไปสำหรับเขา แต่ตอนนี้ เขาตื่นขึ้นมาแล้ว เขานอนนิ่งๆและเอ่ยถามออกไปว่า “ลุงหวูครับ?”


 


“เหว่ยจวิน ลุงหวูออกไปข้างนอก แต่ลุงอยู่นี่” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


“ลุงสามเหรอครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม


 


“ใช่ ลุงเอง” เจิ้งชื่อฉงพูด “เธอรู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่า?”


 


“ไม่ครับ ผมแค่อยากจะคุยกับใครสักคนเท่านั้นเอง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“เธอจะพูดก็ได้ แต่อย่าพูดมากนักล่ะ ลุงหวูบอกเอาไว้ว่า ตอนนี้เธอต้องพักผ่อนให้มากๆ” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


“ลุงสามครับ ผมไม่ได้เห็นลุงมานานแล้ว ไม่คิดเลยว่าลุงจะอ้วนขึ้นด้วย” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“ลุงน้ำหนักขึ้นแค่ไม่กี่โลเอง” เจิ้งชื่อฉงมองดูหลานชายของเขาที่กำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก


 


“เสี่ยวรุ่ยยังซนเหมือนเดิมไหมครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม


 


“เขายังซนเหมือนเคยนั่นแหละ แต่ลุงก็ไม่ได้เจอเขามาพักหนึ่งแล้ว” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


“มันเป็นความผิดของผมเอง ที่ทำให้ลุงต้องมาอยู่แต่กับผมแบบนี้ ผมมันก็แค่คนที่กำลังจะตายเท่านั้นเอง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “ความจริง ผมไม่ได้อยากจะมีชีวิตอยู่แบบนี้เลย”


 


“เหว่ยจวิน อย่าพูดแบบนั้นสิ” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


“ผมอยากจะมองดูโลก และดูญาติพี่น้องที่ผมรักอีกครั้ง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


แกร๊ก! ประตูค่อยๆเปิดออก


 


“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” คุณหวูที่เดินเข้ามาในห้อง พบว่าชายหนุ่มกำลังนอนร้องไห้อยู่บนเตียง “เธอรู้สึกไม่สบายตรงไหนเหรอ?”


 


“เปล่าหรอกครับ ลุงหวู ผมแค่คิดถึงเรื่องบางอย่าง แล้วเกิดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อยน่ะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“อาการของเธอตอนนี้ เธอจะปล่อยให้อารมณ์ขึ้นๆลงๆมากไม่ได้นะ” คุณหวูพูด


 


“ลุงหวูช่วยพูดกับหมอหวังเรื่องอาการของผมได้ไหมครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม “ผมอยากจะเห็นหน้าลุงกับลุงสามเร็วๆน่ะครับ”


 


“ลุงจะลองถามเขาดูให้นะ” คุณหวูพูด


 


บ้านหลังเล็กๆในหมู่บ้านกลางเขาอีกหลังหนึ่ง ซูเสี่ยวซวีกำลังนั่งมองท้องฟ้าอยู่เงียบๆ “ท้องฟ้าที่นี่ฟ้ามากเลย!”


 


“ใช่ค่ะ มันยังสูงกว่าและกว้างกว่าที่ปักกิ่งด้วย” ชูเหลียนพูด


 


“น้าคิดว่ายังไงคะ ถ้าเราจะลองเช่าบ้านเหมือนพี่เฉินหยิง หรือจะซื้อเอาไว้หลังหนึ่งไปเลย เวลาเราว่างก็จะได้มีที่อยู่?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


คำถามทำให้ชูเหลียนรู้สึกอึดอัด “การจะซื้อบ้านที่นี่ มันไม่มีปัญหาหรอกค่ะ จะให้ฉันจัดการตอนนี้เลยก็ยังได้ แต่เรื่องจะอยู่ที่นี่ ฉันคงจะตัดสินใจไม่ได้”


 


“พอเรากลับไป หนูจะไปคุยกับคุณแม่เองค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


ชูเหลียนไปหาเฉินหยิงเพื่อปรึกษาเรื่องนี้


 


“จะซื้อบ้านที่นี่เหรอคะ?” เฉินหยิงถาม


 


“ใช่ มันเป็นความคิดของเธอน่ะ” ชูเหลียนพูด


 


“เรื่องนี้ง่ายมากค่ะ ปล่อยให้ฉันจัดการเอง” เฉินหยิงพูด


 


ตอนกลางวัน หวังเจ๋อเชิงมาที่คลินิก สีหน้าของเขาดีขึ้นกว่าครั้งก่อนมาก


 


“ขอโทษที่ต้องมารบกวนหมออีกแล้วนะ” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“มีเรื่องด่วนอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม เขาเห็นความกังวลฉายชัดอยู่บนใบหน้าของหวังเจ๋อเชิง ที่มุมปากของเขายังมีแผลเปื่อยจากโรคปากนกกระจอกติดอยู่ด้วย


 


“ใช่ เป็นเรื่องด่วนมากด้วย” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


เขาไม่ได้ทำงานมาหลายวันแล้ว ซึ่งหมายถึงการไม่มีรายได้เข้ามา โชคดี ที่ภรรยาของเขามีงานทำอยู่ในเมืองงานหนึ่ง ชายที่ร่างกายแข็งแรงต้องมาเลี้ยงลูกและทำความสะอาดบ้าน ในขณะที่ภรรยาของเขาต้องมากลายเป็นเสาหลักของบ้านแทน เขาไม่รู้ว่า มันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน


 


“ผมขอตรวจหน่อยนะครับ” หวังเย้าตรวจดูร่างกายของเขาอย่างละเอียด “ไม่ต้องกังวลไปนะครับ”


 


“ทุกอย่างปกติดีใช่ไหม?” หวังเจ๋อเชิงถาม


 


“ให้พักอยู่ที่บ้านต่ออีกหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“เฮ้อ!” หวังเจ๋อเชิงมองมาด้วยสายตาว่างเปล่า “พอจะมี…มียาที่ทำให้ฉันดีขึ้นบ้างไหม? ฉันรอต่อไปไม่ไหวแล้ว”


 


“ไม่มีครับ แต่ตอนนี้ จิตใจของพี่กำลังมีปัญหา” หวังเย้าพูด “ผมมีหนังสืออยู่ ลองเอาไปอ่านดูนะครับ”


 


“หนังสืออะไรเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถาม


 


“รับไปสิครับ” หวังเย้าหยิบหนังสือมาจากโต๊ะและส่งให้เขาไป


 


“มันคือ…หื้ม คัมภีร์หวงจิง?” หวังเจ๋อเชิงพูด อารมณ์ของเขาไม่ค่อยดีนัก เขาคิดในใจ ใครจะไปมีเวลาอ่านคัมภีร์เต๋าที่บ้านกัน? แล้วฉันยิ่งไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้วด้วย


 


“เชื่อผมนะครับ อย่าเพิ่งรีบร้อนไปทำงานเลย” หวังเย้าพูด “ปีนี้ พี่อายุเท่าไหร่เหรอครับ?”


 


“34” หวังเจ๋อเชิงตอบ


 


“กลับบ้านไปเถอะครับ” หวังเย้าพูด


 


หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปอย่างฉับไว มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย หวังเจ๋อเชิงทำให้เพียงแค่ถอนหายใจและเดินกลับออกไป


 


ไม่นาน เฉินหยิงก็มาถึงที่คลินิก


 


“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“คุณหนูซูอยากจะซื้อบ้านที่นี่สักหลังน่ะค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


“ซื้อบ้านเหรอครับ?” หวังเย้ารู้สึกแปลกใจ ที่มีคนคิดอยากจะซื้อบ้านในหมู่บ้านขึ้นมาอีกคนแล้ว “เอ่อ ผมจะถามดูให้นะครับ”


 


เขารู้ดีว่า การหาซื้อบ้านสักหลังไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย


 


“ขอบคุณค่ะ” เฉินหยิงพูด


 



 


ปักกิ่ง…


 


“แน่ใจนะ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม


 


“เธอไปที่นั่นแน่นอนครับ” ชายคนหนึ่งพูด


 


“จริงเหรอ? ไปเพื่อแสดงความขอบคุณที่เขาช่วยชีวิตไว้หรือไงกัน?” กั๋วเจิ้งเหอจิบไวน์และมองท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอก ดวงจันทร์ดูคล้ายกับตะขออันหนึ่ง


 



 


วันต่อมา หวังเย้ามีแขกมาเยี่ยม ซึ่งมันทำให้เขาต้องประหลาดใจมาก


 


“หมอหวัง ผมขอเรียกคุณหว่าพี่หวังได้ไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม


 


“ได้สิ เอาตามที่นายชอบได้เลย” หวังเย้ายิ้ม เขานั้นมีอายุมากกว่าทายาทตระกูลกั๋วอยู่หลายปี


 


“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้นะครับ ผมจะไม่เรียกพี่ว่าหมอแล้ว นี่เป็นชาที่ผมนำมาจากหูหนานครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ถึงจะไม่ใช้ชาที่มีชื่อเสียง แต่มันรสชาติดีมากเลยล่ะครับ”


 


“ขอบคุณนะ” หวังเย้ามองกั๋วเจิ้งเหอ ที่ยิ้มแย้มราวกับแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลิ “แล้วนายมาที่นี่เพราะเรื่องงานเหรอ?”


 


“ถึงจะไม่มีงาน ผมก็อยากจะมาที่นี่อยู่ดีครับ เพราะพี่คือคนที่ช่วยชีวิตของผมเอาไว้” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“เลิกพูดถึงเรื่องนั้นได้แล้ว ผมได้รับเงินจากการช่วยชีวิตนายมา ก็ถือว่าเราไม่ได้ติดค้างอะไรกันอีก” หวังเย้าพูด


 


“มันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“เชียนเชิงคะ” น้ำเสียงสดใสดังมาจากด้านนอก ซูเสี่ยวซวีเดินเข้ามาในคลินิกพร้อมกับรอยยิ้ม “อ้าว เจิ้งเหอก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกันเหรอเนี่ย”


 


“สวัสดี เสี่ยวซวี บังเอิญจริงๆเลยนะ” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“อืม บังเอิญจริงๆ” เธอตอบ


 


“ผมไม่คิดเลย ว่าเธอจะมาอยู่ที่นี่ได้” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“อยู่แต่ปักกิ่งมันน่าเบื่อเกินไปน่ะ ฉันก็เลยมาเยี่ยมหมอหวังที่นี่ แล้วก็ได้ออกมาเที่ยวข้างนอกด้วย” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ผมก็แวะมาหาหมอหวังเหมือนกัน” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“เจิ้งเหอ ช่วงนี้งานของคุณไม่ยุ่งเหรอ?” ซูเสี่ยวซวีถาม “ฉันได้ยินมาว่า ตอนนี้คุณเป็นรองของเขตแล้วนี่”


 


“อ้อ ไม่ใช่หรอก ผมแค่ได้รับการเสนอชื่อเท่านั้นเอง” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


หวังเย้าถอนหายใจ มันแน่นอนอยู่แล้ว เรื่องการเลื่อนตำแหน่งจะง่ายขึ้นมาก ถ้ามีเรื่องของความสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แม้ว่าเขาอายุยังน้อย แต่เขาก็ได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงๆได้แล้ว อนาคตของเขาสดใสไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง


 


“ไหนๆเราก็บังเอิญมาเจอกันที่นี่แล้ว งั้นเราก็ไปกินข้าวด้วยกันดีกว่า ผมเลี้ยงเอง” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“ทั้งสองเป็นแขก ดังนั้น คนเลี้ยงก็ควรจะเป็นฉันสิ” หวังเย้าพูด


 


ไม่นาน ชูเหลียนก็ตามมา เธอรู้สึกประหลาดใจที่เห็นกั๋วเจิ้งเหออยู่ที่นี่ด้วย “คุณก็อยู่ที่นี่เหมือนกันเหรอคะเนี่ย คุณเจิ้งเหอ บังเอิญจริงๆ!”


 


“ครับ มันเป็นเรื่องบังเอิญมากเลยล่ะ” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


ในตอนเที่ยง พวกเขาพากันไปที่ร้านอาหารที่ตั้งไม่ไกลจากหมู่บ้าน พวกเขานั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งพร้อมสั่งไวน์มาสองขวดและอาหารอีกหลายอย่าง


 


“โอ้โห มันอร่อยมากเลยนะครับ!” กั๋วเจิ้งเหอเอ่ยชมรสชาติอาหาร


 


“ที่นี่เป็นแค่ร้านอาหารเล็กๆในหมู่บ้านกลางเขาเท่านั้น รสชาติคงเทียบกับร้านอาหารใหญ่ๆในเมืองไม่ได้หรอก แค่อาหารของที่ร้านเป็นของสดใหม่ทุกอย่างเลยนะ” หวังเย้าพูด


 


“พี่หวัง ช่วงนี้พี่ยุ่งมากไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม


 


“ช่วงนี้ไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่” หวังเย้าพูด


 


“ด้วยฝีมือของพี่ตอนนี้ หมู่บ้านในภูเขาแบบนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะกับพรสวรรค์ของพี่เท่าไหร่นะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “พี่ควรจะไปที่เมืองใหญ่เพื่อพัฒนาฝีมือของพี่ให้ดีขึ้นไปอีก พี่สนใจอยากจะไปทำงานที่ปักกิ่งบ้างไหมครับ?”


 


“ฉันชอบอยู่ที่นี่” หวังเย้าพูด เขาให้คำตอบเดิมกับคำถามเดิมที่กั๋วเจิ้งเหอเคยถามเขามามากกว่าหนึ่งครั้ง


 


หลังมืออาหาร กั๋วเจิ้งเหอยังไม่ได้กลับไป เขายังอยู่คุยเป็นเพื่อนซูเสี่ยวซวีอีกพักหนึ่ง


 


“เธอคิดจะอยู่ที่นี่เหรอ?” เขาถาม


 


“ใช่ ฉันอยากจะอยู่ที่นี่” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ในหมู่บ้านน่ะนะ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม


 


“ใช่ บ้านที่พี่เฉินหยิงเช่าอยู่มีห้องว่างมากพอ ที่จะให้เรายืมใช้ได้” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“เอ้อ ช่วงสองสามวันนี้ ผมไม่มีอะไรทำพอดี ผมอยู่เป็นเพื่อนเธอที่นี่ได้นะ” คำพูดของกั๋วเจิ้งเหอ ได้แสดงเจตนาของเขาออกมาอย่างชัดเจน


632 ความดีจากการช่วยชีวิต อาจจะไม่ได้รับการจดจำเสมอไป


 


“งานของนายยุ่งมาก ไม่จำเป็นต้องมาอยู่เป็นเพื่อนฉันหรอก” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“มันไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด” กั๋วเจิ้งเหอยิ้มและโบกไม้โบกมือ เดิมที เขาอยากจะเช่าบ้านอยู่ในหมู่บ้านสักหลัง แต่เวลานี้กลับไม่มีบ้านว่างให้เช่าเลยสักหลัง


 


การได้งีบหลับหลังมื้อเที่ยง เป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย เฉินโจวก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มักจะนอนกลางวัน ซูเสี่ยวซวีก็งีบไปครู่หนึ่งเช่นเดียวกัน


 


หลังจากตื่นนอน เฉินหยิงก็เดินออกไปที่บริเวณลานบ้านและคุยกับชูเหลียนเสียงเบา


 


“ที่กั๋วเจิ้งเหอมาที่นี่ มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงเหรอ?” เฉินหยิงถาม


 


ความบังเอิญแบบนี้มันดูน่าสงสัยมากกว่า


 


ดวงตาของชูเหลียนสว่างวาบ มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ถ้าไม่ใช่ ก็แสดงว่ามีปัญหาแล้ว มีแค่ไม่กี่คนที่จะรู้ว่า เธอและซูเสี่ยวซวีเดินทางมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ปล่อยให้ข่าวนี้หลุดออกไป จะต้องโดนสอบสวน


 


“กั๋วเจิ้งเหอดูเหมือนจะติดตามเธออย่างใกล้ชิดมาก” เฉินหยิงพูด


 


“ใช่” ชูเหลียนพูด


 


เธอและเฉินหยิงต่างก็ซื่อสัตย์ต่อตระกูลซู พวกเธอรู้จักกันมาเป็นเวลานานมากแล้ว ดังนั้น พวกเธอจึงสามารถพูดเรื่องบางเรื่องกันได้อย่างอิสระ


 


“ฉันไม่คิดว่าเขาจะเป็นตัวเลือกที่ดีเท่าไหร่เลย” เฉินหยิงพูด


 


“ฉันเห็นด้วย นายท่านซูกับภรรยาคงจะมีแผนของพวกเขาอยู่แล้ว” ชูเหลียนพูด


 


“ฉันก็ได้แต่หวังว่า มันจะไม่เป็นการดึงเอาปัญหามาให้หมอหวังนะคะ” เฉินหยิงพูด


 


“หมอหวังก็น่าจะพอรู้ตัวอยู่แล้วล่ะ” ชูเหลียนพูด “เธอไม่เห็นเหรอ? ว่าเจ้าหญิงของเราหลงเขาขนาดไหนน่ะ!”


 


ใครก็ตามที่คิดจะลองสังเกตดูสักหน่อย ก็จะมองเห็นถึงสายตาที่ซูเสี่ยวซวีใช้มองหวังเย้าได้ และชูเหลียนก็ยิ่งมองเห็นได้ชัดกว่าใครๆ


 


“ฉันกลัวว่า มันจะเป็นรักที่ไม่ได้รับการตอบรับน่ะสิ” เฉินหยิงพูด


 


“ฉันได้ยินมาว่า หมอหวังมีแฟนอยู่แล้วคนหนึ่ง” ชูเหลียนพูด


 


“ใช่ ฉันเคยเจอเธอที่ปักกิ่งครั้งหนึ่ง เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งเลยล่ะ” เฉินหยิงพูด “แต่…”


 


“แต่อะไร?” ชูเหลียนถาม


 


“ฉันไม่เคยพบเธอตอนอยู่ที่นี่เลยสักครั้ง แล้วก็ไม่เคยเห็นหมอหวังพูดถึงเธอเลยด้วย” เฉินหยิงพูด


 


“หรือพวกเขาจะเลิกกันไปแล้ว?” ชูเหลียนถาม


 


“เอ่อ…ฉันไม่กล้าถามเขาหรอก” เฉินหยิงพูด


 


“ถ้าคุณชายกั๋วรู้ว่าคุณหนูชอบหมอหวังอยู่ เธอคิดว่า เขาจะทำอะไรบางอย่างไหม?” ชูเหลียนถาม


 


“ถ้าดูจากนิสัยของเขาแล้วละก็ เขาคงจะต้องทำอะไรบางอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องการแอบเล่นงาน” เฉินหยิงพูด


 


สำหรับกั๋วเจิ้งเหอนั้น เมื่อเฉินหยิงมั่นใจเรื่องข่าวของเขาแล้ว ตั้งแต่นั้นมา เธอก็พยายามอยู่ห่างเขาให้มากที่สุด ในความคิดของเธอนั้น เขาเป็นคนที่มีใบหน้าอบอุ่นราวกับแสงตะวัน แต่กลับกลายเป็นเหมือนปีศาจร้าย เมื่อมีใครไปแหย่เขาเข้า เธอจึงหลีกเลี่ยงที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับเขาเป็นการดีที่สุด


 


เฉินหยิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วงหวังเย้าขึ้นมา เธอกำลังคิดอยู่ว่า เธอควรจะไปเตือนเขาเรื่องนี้ดีหรือไม่


 


“คนสองคนมีจุดยืนที่ต่างกัน ถ้ากั๋วเจิ้งเหอคิดจะสร้างปัญหาให้กับใครบางคน มันก็คงจะกลายเป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ” ชูเหลียนพูด “แต่ในสายตาของฉัน เส้นสายของหมอหวังก็ค่อนข้างกว้างมากอยู่ แม้แต่ตระกูลหวูในปักกิ่งก็ยังติดหนี้บุญคุณเขาอยู่”


 


“ตระกูลกั๋วก็เป็นหนี้บุญคุณเขาเหมือนกัน” เฉินหยิงพูด “เขาเคยช่วยชีวิตกั๋วเจิ้งเหอ และยังสามารถยืดชีวิตของนายท่ายกั๋วได้อีกด้วย”


 


“ความสัมพันธ์ของมนุษย์ไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆนะ” ชูเหลียนพูด “คนเดี๋ยวนี้ไม่ได้มีศีลธรรมมากเหมือนแต่ก่อน แล้วเขาก็อาจจะไม่ได้เก็บเรื่องบุญคุณมาใส่ใจสักนิดเลยด้วย”


 


ในตอนกลางวัน เจิ้งชื่อฉงก็ไปที่คลินิก


 


“”เขาอยากจะฟื้นฟูการมองเห็นเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่ครับ หมอช่วยลองคิดวิธีรักษา และบอกพวกเรามาว่าต้องทำอะไรบ้างได้ไหมครับ?” เจิ้งชื่อฉงพูด “เราจะพยายามอย่างสุดความสามารถเลย”


 


“ผมคงต้องคิดดูก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด “ไว้ผมจะบอกคุณอีกทีนะครับ”


 


“ได้ครับ ผมจะรอคำตอบของหมอนะครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด เมื่อเห็นว่าหวังเย้าไม่ได้ปฏิเสธ เจิ้งชื่อฉงจึงรู้สึกว่า มันอาจจะมีทางรักษาอยู่ก็เป็นได้


 


เมื่อเจิ้งชื่อฉงเดินออกไปแล้ว หวังเย้าก็คิดเกี่ยวกับคำขอของเขา แล้วเขาก็คิดวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ ซึ่งมันเรียบง่ายแต่อาจจะได้ผลดีก็ได้ มันก็คือการใช้ขี้ผึ้งต้วนชื่อ เขาเคยใช้ยาตัวนี้ครั้งหนึ่ง ในตอนที่เวินหว่านอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เขาไม่สามารถคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ได้แล้ว


 


ความมหัศจรรย์ของยาตัวนี้ไม่เคยทำให้เขาต้องผิดหวัง ในเมื่อมันสามารถรักษาไตที่สูญเสียความสามารถในการทำงานให้ฟื้นคืนกลับมาได้ มันก็อาจจะสามารถรักษาดวงตาได้เช่นกัน แล้วยาตัวนี้ก็สามารถกินและทาภายนอกได้


 


เมื่อคิดวิธีนี้ขึ้นมาได้ หวังเย้าก็หยิบเอากระปุกที่ใส่ชี้ผึ้งต้วนชื่อเอาไว้ออกมาจากช่องเก็บของระบบ หนึ่งในสี่ของตัวยาได้ถูกนำไปใช้รักษาเวินหว่านแล้ว


 


ตัวยานั้นมีราคาแพงมาก การทำขึ้นมาโดสหนึ่งนั้นต้องใช้เงินจำนวนมาก ดังนั้น เขาจึงไม่อยากจะนำมันออกมาใช้งานมากนัก


 


เขาใช้ช้อนไม้ตักตัวยาออกมาส่วนหนึ่ง และนำตัวยาไปละลายกับน้ำแร่โบราณ น้ำแร่ได้กลายเป็นสีเขียวเข้มและส่งกลิ่นหอมเฉพาะออกมา เขาคิดว่า มันอาจจะเป็นยาหยอดตาที่ดีที่สุดในโลกก็เป็นได้


 


เมื่อใกล้ค่ำ หวังเย้าก็ปิดประตูคลินิกและเดินไปที่บ้านตระกูลซุน


 


“หมอหวังมา” คุณหวูพูด


 


“ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทมากหรอกครับ เขาเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าชี้ไปที่อีกห้องหนึ่ง


 


“สำหรับตอนนี้ อาการของเขาถือว่าไม่เลวเลย แต่เขามักจะมองเพดานอยู่ตลอดเลย” คุณหวูพูด


 


ถึงจะพูดว่า ชายหนุ่มกำลังจ้องมองเพดาน แต่จริงๆแล้วเขานั้นมองไม่เห็นอะไรเลย


 


“เข้าไปดูข้างในกันเถอะ” คุณหวูพูด


 


หวังเย้าผลักประตูให้เปิดออกเบาๆ และมองเห็นชายหนุ่มกำลังมองไปที่หลอดไฟที่ติดอยู่บนเพดาน


 


เจิ้งเหว่ยจวินไม่สามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน เขาเห็นแค่แสงสว่างและความมืดที่พล่ามัว หลอดไฟที่ติดอยู่บนเพดานคือจุดที่สว่างที่สุดในของห้องนี้ ดังนั้น เขาจึงมองไปที่นั่นและจับจ้องไม่วางตา


 


“เหว่ยจวิน หมอหวังมา” คุณหวูพูด


 


“สวัสดีครับ หมอหวัง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“สวัสดี ร่างกายของคุณมีอาการอะไรบ้างไหม เช่น เย็น, เจ็บ, ชา, หรือคัน?” หวังเย้าถาม


 


“ผมเจ็บท้องครับ แต่มันไม่ได้เจ็บมาก ร่างกายของผมก็ยังไม่มีแรงเหมือนเดิม” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“นี่เป็นยาที่ผมทำมาเพื่อรักษาดวงตาของคุณนะ” หวังเย้าพูด “ใช้แค่สามหยดพอ”


 


“โอเค ขอบคุณครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


คุณหวูรับยาไป เขาเปิดฝาและค่อยๆหยดยาลงไปในดวงตาของเจิ้งเหว่ยจวิน ในเมื่อเขาเป็นหมอที่รับผิดชอบดูแลเรื่องสุขภาพของเจิ้งเหว่ยจวิน อุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็นจึงมีอยู่อย่างครบถ้วน


 


“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” คุณหวูถาม


 


“ผมรู้สึกเย็นๆครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


การหยดยาลงไปในดวงตาเหมือนมีสิ่งกระตุ้นจากภายนอก ดังนั้น เขาจึงเริ่มกระพริบตาอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นสักพัก เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความสบายในดวงตา ตัวยาแทรกซึมเข้าไปในตาและเริ่มทำการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ได้รับความเสียหาย


 


“มันคันนิดหน่อยด้วยครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด


 


“ถ้าอย่างนั้นก็นอนสักหน่อยนะ ตอนที่ตื่นขึ้นมา คุณก็จะรู้สึกดีขึ้นเอง” หวังเย้าสังเกตดูดวงตาของเขาอย่างละเอียด เพราะตัวยาที่ถูกหยดลงไป มันจึงทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกายเล็กน้อย “มันไม่มีปัญหาอะไร”


 


หวังเย้าลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้อง


 


“หมอหวัง อยู่ทานข้าวกับพวกเราไหม?” คุณหวูถาม


 


“คงไม่ล่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


“แล้วเรื่องค่ายาล่ะ?” คุณหวูถาม


 


หลายวันที่ผ่านมา ทุกครั้งที่หวังเย้านำยามาให้ พวกเขาก็จะจ่ายเงินในตอนนั้นทันที ถึงแม้ราคาซุปเป่ยหยวนจะแพงจนน่าตกใจ แต่เมื่อเทียบกับความร่ำรวยของพวกเขาแล้ว ราคาถือว่ารับได้


 


“ราคาอยู่ที่ 10,000 หยวนครับ” หวังเย้าพูด


 


พวกเขาจัดการจ่ายเงินโดยไม่มีการลังเลแม้แต่น้อย


 


“ให้เขาหลับตาและพักผ่อนให้มากๆนะครับ” หวังเย้าพูด


 


หลังจากออกจากบ้านของซุนหยุนเชิงมาแล้ว หวังเย้าก็กลับไปที่บ้าน เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน แม่ของเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ผู้ชายคนที่ดูเหมือนจะมีแซ่ว่า กั๋ว วันนี้ เขาแวะเอาของมาให้ที่บ้านด้วยจ๊ะ”


 


“กั๋ว เขาชื่อ กั๋วเจิ้งเหอ ครับแม่” หวังเย้าพูด


 


เขาไม่ชอบที่จะไปสนิทกับกั๋วเจิ้งเหอมากเกินไป ภายใต้ภาพลักษณ์ที่เจิดจ้าของเขานั้น มันมีแผนการร้ายซ่อนอยู่มากมาย วิธีการวินิจฉัยพื้นฐานทั้งสี่ที่หวังเย้ามีนั้น มันยังรวมเรื่องการมองเอาไว้ด้วย เขาสามารถบอกสภาพจิตใจและสภาพร่างกายของคนคนหนึ่งด้วยได้จากมอง แล้วเฉินหยิงก็ยังเคยพูดกับเขามาก่อนว่า กั๋วเจิ้งเหอเป็นพวกแผนสูง


 


“ถ้าเขาเอาของมาให้อีก อย่ารับไว้นะครับ” หวังเย้าพูด


 


“แม่ก็ไม่ได้อยากจะรับไว้หรอก แต่เขาดึงดันจะเอาให้ให้ได้น่ะสิ” แม่ของเขาพูด “ลูกเคยรักษาเขามาก่อนเหรอจ๊ะ?”


 


“ครับ แต่เขาก็จ่ายค่ารักษาผมแล้ว ในเมื่อแม่รับของเขามาแล้ว ก็ช่างมันเถอะครับ” หวังเย้าพูด


 


หลังจบมื้อค่ำ เขาก็อยู่คุยกับพ่อแม่ของเขาที่บ้าน แล้วอยู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น


 


“เชิญเข้ามาได้เลยครับ” หวังเย้าพูด


 


เฉินหยิงเดินเข้ามาในบ้าน “หมอหวังคะ”


 


“มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เปล่าหรอกค่ะ มีเรื่องที่ฉันอยากจะคุยกับคุณตามลำพังสักหน่อยน่ะค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


“อ่อ งั้นไปที่ห้องผมกันดีกว่าครับ” หวังเย้าพูด เขาเดินนำไปที่ห้องของเขาและชงชาไปด้วย “มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”


 


“คือ กั๋วเจิ้งเหอชอบคุณหนูซูค่ะ ฉันคิดว่า คุณก็น่าจะพอรู้อยู่บ้างแล้ว” เฉินหยิงพูด


 


“ผมรู้ตั้งแต่ตอนอยู่ที่ปักกิ่งแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


“แล้วคุณรู้รึเปล่าคะ ว่าเธอชอบคุณ?” เฉินหยิงถาม


 


หวังเย้าเงียบไปครู่หนึ่ง “ผมรู้ครับ ผมรู้สึกได้”


 


“แล้วคุณคิดยังไงกับเรื่องนี้คะ? ฉันจำได้ว่า คุณมีแฟนอยู่แล้ว ใช่ไหมคะ?” เฉินหยิงถาม


 


“เขาไม่ได้ติดต่อกันนานแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ขอโทษที่ฉันต้องก้าวก่ายเรื่องนี้นะคะ แต่คุณชอบคุณหนูซูบ้างไหมคะ?” หลังจากที่ถามออกไป เฉินหยิงก็จ้องไปที่ตาของหวังเย้า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)