Elixir Supplier 625-628
625 สายฝนบนเนินเขาที่ว่างเปล่า
“มีอย่างอื่นอีกไหมครับ?” เจิ้งชื่อฉงถาม
“ไม่มีแล้วล่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“ผมจะจำเอาไว้ ขอบคุณมากนะครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด สำหรับเขาแล้ว กฎของหวังเย้าซับซ้อนและแปลกประหลาดน้อยกว่าราชายามาก
“พวกคุณอยู่ที่นี่ก็ตามสบายได้เลยนะครับ ผมขอตัวกลับไปหาหมอหวังก่อน” ซุนหยุนเชิงพูด
หลังจากช่วยเหลือเจิ้งชื่อฉงและคนทั้งหมดที่เขาพามาด้วยเรียบร้อยแล้ว ซุนหยุนเชิงก็กลับไปที่คลินิกของหวังเย้า “หมอหวัง”
“คนพวกนั้นเป็นใครกันเหรอ?” หวังเย้าถาม
“คุณเคยได้ยินชื่อ บริษัทยาซวนหวงไหมครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“ครับ มันเป็นบริษัทใหญ่ของทางใต้” หวังเย้าพูด
“บริษัทนี้เป็นของตระกูลเจิ้งครับ คนไข้เป็นลูกชายคนที่สองของเจ้าของบริษัทคุณเจิ้งชื่ออัน ชื่อว่า เจิ้งเหว่ยจวิน” ซุนหยุนเชิงพูด
“ผมเข้าใจแล้ว ดื่มชาสักหน่อยนะ” หวังเย้าชงชาให้กับซุนหยุนเชิง
“ขอบคุณครับ หมอหวัง” ซุนหยุนเชิงลุกขึ้นยืน
“นั่งเถอะครับ อาการของคุณเจิ้งหนักมาก ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถ อย่างที่ผมได้อธิบายกับครอบครัวของเขาไปก่อนหน้านั้นแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด
“ครับ แล้วผมก็บอกเรื่องกฎของคุณกับพวกเขาไปแล้วด้วย” ซุนหยุนเชิงพูดอย่างสงบ
“ดีครับ พวกเขาดูเป็นคนฉลาดดีนะครับ” หวังเย้าพูดนิ่งๆ
“ใช่ครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
เขาได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจิ้งชื่อฉงและเจิ้งชื่อจวินให้หวังเย้าฟัง เจิ้งชื่อฉงนั้นเป็นหลานของเจิ้งชื่ออัน ถือว่าเป็นญาติสนิทกันมาก ซุนหยุนเชิงไม่ได้อยู่ที่คลินิกนานนัก เขาได้กลับไปคุยกับเจิ้งชื่อฉงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเดินทางออกไปจากหมู่บ้าน
เจิ้งชื่อฉงและคนของเขาอาศัยอยู่ในบ้านที่ดีที่สุดของหมู่บ้านแห่งนี้
“ลุงหวู ลุงคิดว่า หมอหวังคนนี้เป็นยังไง?” เจิ้งชื่อฉงถาม เขาคุยอยู่กับชายวัยประมาณ 50 อยู่ภายในห้องทำงาน
“ฉันเคยเห็นซุนหยุนเชิงตอนที่ยังป่วยหนักมากมาก่อน ตอนนั้น อาการของเขาแย่มาก ฉันคิดไม่ถึงด้วยซ้ำ ว่าเขาจะรอดมาได้ ถ้าหมอคนนี้สามารถรักษาซุนหยุนเชิงได้จริง เขาก็จะต้องเป็นหมอที่เก่งมากๆ และก็อาจจะสามารถรักษาเหว่ยจวินได้ด้วย” ชายวัยประมาณ 50 พูด “มีเรื่องเดียวก็คือ เราคงต้องอยู่ที่นี่กันไปสักพัก แม้แต่ราชายาก็ไม่สามารถรักษาเหว่ยจวินให้หายได้ในเวลาสั้นๆ”
“ไม่เป็นไรครับ ขอแค่เหว่ยจวินอาการดีขึ้น จะอยู่เป็นปีปีผมก็อยู่ได้ แต่ลุงคงต้องอยู่กับพวกเราไปอีกสักพักนะครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด
“ไม่เป็นไรหรอก ชื่อฉง” ชายวัย 50 พูด
พ่อแม่ของหวังเย้า ถามเขาเรื่องของเจิ้งเหว่ยจวินในตอนที่ทานมื้อกลางวันด้วยกัน ทุกคนในหมู่บ้านต่างกำลังพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่ เขาจึงบอกรายละเอียดให้พ่อแม่ของเขาได้รู้อย่างคร่าวๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป
เขาไม่ได้กลับไปที่คลินิกในตอนบ่าย แต่กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเพื่อทำยาสำหรับรักษาเจิ้งเหว่ยจวิน ซึ่งเป็นยาที่ใช้สำหรับฟื้นฟูความแข็งแรงของร่างกาย
หวังเย้ายังทำซุปเป่ยหยวนด้วย เพราะตัวของเจิ้งเหว่ยจวินนั้นป่วยหนักมาก เขาจึงจำเป็นต้องได้รับยาที่ช่วยบำรุงสุขภาพของเขาโดยเร็วที่สุด สมุนไพรทั่วไปไม่สามารถใช้กับเขาได้ ในเมื่อตระกูลเจิ้งมีกำลังทรัพย์มากพอ หวังเย้าจึงเลือกใส่สมุนไพรรากเพิ่มลงไปในตัวยาด้วย
เขาใส่ทั้งโสม, โก๋วฉี่, หวงจิง, เชี่ยนฉือ, หลินจือ, ชานจิง, และกุยหยวนลงไปในหม้อต้มยา สมุนไพรรวมตัวกันอยู่ภายในหม้อ ด้วยคุณสมบัติของกุยหยวน จึงทำให้ตัวยาทั้งหมดผสานเข้าด้วยกันได้อย่างดี แล้วกลิ่นสมุนไพรก็ลอยออกมาจากหม้อ
นี่เป็นสมุนไพรที่เขาทำขึ้นมาบ่อยมากที่สุด หวังเย้าไม่มีทางทำผิดพลาดในแต่ละขั้นตอน ไม่นาน เขาก็ต้มยาเสร็จ
เขาไม่ได้รีบลงไปจากเนินเขาหนานชานในทันที แต่เลือกที่จะจดบันทึกอาการของเจิ้งเหว่ยจวินลงไปในสมุดอย่างละเอียด ซึ่งมันเป็นเคสรักษาที่หาได้ยากมาก
ภายในบ้านของซุนหยุนเชิง เจิ้งชื่อฉงหันหน้าไปหาชายวัย 50 และถามออกไปว่า “ลุงหวู อยากจะออกไปเดินเล่นสักหน่อยไหมครับ?”
ชายชราตอบตกลง
ด้านนอกฝนยังคงโปรยลงมาบางๆอยู่ ชายทั้งสองใช้ร่มตัวเดียวกัน และเดินไปตามถนนสายหลักของหมู่บ้านอย่างช้าๆ
ภายในหมู่บ้านเงียบสงบ พวกเขาได้ยินเพียงเสียงของสุนัขและไก่เป็นครั้งคราวเท่านั้น ตั้งแต่เกิดเรื่องโรคระบาดขึ้นคราวนั้น ก็มีชาวบ้านแค่ไม่กี่คนที่ยังคงเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเอาไว้ในบ้าน รายได้หลักของชาวบ้านนั้นได้จากการทำไร่และขายสัตว์ หลายๆหลายจึงมีรายได้ลดลงไปด้วย
“หมู่บ้านเงียบมากจริงๆ” คุณหวูพูด
“ใช่ครับ เทียบกับทางใต้แล้วต่างกันมาก” เจิ้งชื่อฉงพูด
“ใช่” คุณหวูพูด
ทางใต้อากาศค่อนข้างชื่นกว่า เขตชนบทที่ตั้งอยู่ทางใต้ของแม่น้ำแยงซีนั้นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับทางเหนือของแม่น้ำแยงซี ที่มีลำธารและแม่น้ำสายเล็กอยู่ทั่วที่ในทิศใต้
เจิ้งชื่อฉงและคุณหวูแทบไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาและท่องเที่ยวมาทางเหนือเลย
“นี่เป็นโอกาสพักผ่อนที่หาได้ยากสำหรับพวกเรามาก” เจิ้งชื่อฉงพูด พร้อมกับถอนหายใจออกมา
“ช่วงนี้ เธอต้องวิ่งรอกไปทั่วเพราะเรื่องคุณชายเหว่ยจวินตลอดสินะ” คุณหวูพูด “ทั้งยูนนาน, ตะวันตกเฉียงเหนือ, ตะวันออกเฉียงเหนือ… เธอไปทั่วทุกที่ ฉันว่า เธอคงจะเหนื่อยมากเลยสินะ”
“เลิกเรียกเขาว่าคุณชายเถอะครับ เขาเป็นเด็กรุ่นหลัง คุณสามารถเป็นปู่ของเขาได้เลยด้วยซ้ำ การเรียกเขาว่าคุณชายมันดูจะมากเกินไปนะครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด
ในตอนที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็เดินมาถึงใต้สุดของหมู่บ้าน และเห็นหญิงสาวกับเด็กหนุ่มหน้าตาดีเดินลงมาจากเขาเข้าพอดี
“พี่ ต้นไม้พวกนั้นดูใหม่มากเลย หมอหวังจะต้องใช้พวกมันปิดทางเข้าไปในค่ายกลของเขาแน่ๆ” เด็กหนุ่มพูด
เขาและพี่สาวเพิ่งจะขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานมา และเห็นต้นไม้ชุดใหม่ที่หวังเย้าเพิ่งปลูกไปได้ไม่นาน
“พี่ว่า หมอหวังคงมีเหตุผลของเขาที่ต้องทำแบบนั้น” เฉินหยิงพูด
อยู่ๆเธอก็ชะงักไป “ผู้ชายที่อยู่ตรงนั้นดูร้ายกาจมาก!” เธอสังเกตเห็นเจิ้งชื่อฉงที่อยู่ห่างจากเธอกับฉินโจวไปไม่ไกล
“ไม่คิดเลยว่า จะได้มาเจอกับหญิงสาวที่โดดเด่นในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้” ชายวัย 50 พูด
“ลุงหวู พวกเขาไม่ใช่คนหมู่บ้านนี้หรอกครับ ผมเคยเจอผู้หญิงคนนั้นมาครั้งหนึ่ง ผมจำเธอได้ แต่เธออาจจะจำผมไม่ได้” เจิ้งชื่อฉงพูด
“จริงเหรอ?” คุณหวูถามด้วยความสงสัย
“ช่างมันเถอะครับ เราไปกันดีกว่า” เจิ้งชื่อฉงพูด
ทั้งสองฝ่ายต่างเดินสวนกันไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พวกเขามาจากปักกิ่งครับ ผมไม่แน่ใจว่า พวกเขาจะมาที่นี่เพื่อรับการรักษาเหมือนกันรึเปล่า” เจิ้งชื่อฉงพูดขึ้นมา หลังจากที่เฉินหยิงและเฉินโจวเดินไปไกลแล้ว
“ปักกิ่งหรอ?” คุณหวูรู้สึกประหลาดใจ
“ใช่ครับ ตระกูลซูจากปักกิ่ง” เจิ้งชื่อฉงพูด
“ตระกูลซูไหนเหรอ?” คุณหวูถาม
“ก็ตระกูลซูที่ทุกคนรู้จักนั่นแหละครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด
“จริงเหรอเนี่ย?” คุณหวูประหลาดใจอย่างมาก
ฝนตกลงมาเรื่อยๆไปจนกระทั่งถึงเวลาเย็นจึงหยุดลง หวังเย้ายังคงอยู่บนเนินเขาหนานชาน
แกร๊ก! เขาเปิดประตูกระท่อมและเดินออกมา
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนเห่า
หวังเย้าได้ยินเสียงดังครืน “หืม?”
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและจากนั้น ก็ก้มลงมองที่พื้นดิน มันเป็นเสียงากท้องฟ้าหรือพื้นดินกันนะ? หรือว่าจากทั้งสอง?
เขาชูแขนข้างหนึ่งขึ้น โดยหันฝ่ามือไปหาท้องฟ้า “สายลม!” เขาสะบัดมือเพื่อนำพาสายลมเข้ามา
“สายฝน!” หวังเย้าตะโกน แล้วอยู่ๆฝนก็เริ่มตกหนักขึ้น
หวังเย้าหัวเราะออกมา พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เขาไม่ไปโดยไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนเห่าออกมาราวกับกำลังจะพูดว่า “นายบ้าไปแล้วเหรอ?”
“กลับเข้าไปพักในบ้านหมาของนายเถอะ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วยื่นมือไปลูบศีรษะของซานเซียน
ฝนหยุดตกในตอนกลางดึกของคืนนั้น พระอาทิตย์ขึ้นในเช้าตรู่ของอีกวัน
หลังจากที่ฝนหยุดตก อากาศก็เริ่มเย็นลงเล็กน้อย อากาศหลังฝนตกก็ให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างมาก
หวังเย้าเดินไปที่คลินิกของเขา หลังจากนั้นไม่นาน เจิ้งชื่อฉงก็มาหาเขาที่คลินิก
“อรุณสวัสดิ์ครับ หมอหวัง” เจิ้งชื่อฉงพูด
“อรุณสวัสดิ์ครับ เชิญนั่งก่อนสิครับ ยาพร้อมแล้ว ผมจะเอายาไปให้หลานชายของคุณพร้อมกันกับคุณเลย” หวังเย้าพูด
พวกเขาเดินไปที่บ้านของซุนหยุนเชิงพร้อมกับตัวยา เจิ้งเหว่ยจวินยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง
“เอายาให้เขากินทีครับ” หวังเย้าแนะนำปริมาณที่ควรใช้ไว้ก่อนแล้ว
คุณหวูนำยาป้อนให้กับเจิ้งเหว่ยจวินหนึ่งถ้วยเล็ก
หวังเย้านั่งลงที่ข้างเตียงและจับดูชีพจรของเจิ้งชื่อฉงทุกๆ 30 นาที ในเมื่อชายหนุ่มยังคงหลับอยู่ หวังเย้าก็ไม่สามารถถามอาการอะไรจากเขาได้
“หมอคิดว่า เขาจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่เหรอครับ?” เจิ้งชื่อฉงถาม
“พรุ่งนี้เช้าครับ” หวังเย้าพูด “ถ้าเขาตื่นแล้ว ช่วยแจ้งผมด้วยนะครับ”
“ได้ครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด
หลังจากมั่นใจแล้วว่า ร่างกายของเจิ้งเหว่ยจวินไม่มีปัญหาอะไรแล้ว หวังเย้าก็กลับไปที่บ้าน
ทันทีที่หวังเย้าจากไป คุณหวูก็เดินเข้าไปดูอาการของเจิ้งเหว่ยจวินอีกครั้ง
“ลุงหวู เขาเป็นยังไงบ้างครับ?” เจิ้งชื่อฉงถาม
“ยาได้ผลดีมาก! มันวิเศษมากเลยล่ะ” คุณหวูพูด
ในฐานะที่เป็นแพทย์คนหนึ่ง เขาจะรู้ได้ทันทีว่าตัวยานั้นได้ผลหรือไม่ แล้วเขาก็ยังเป็นหมอจีนอีกด้วย ทันทีที่เขาจับดูชีพจรของเจิ้งเหว่ยจวิน เขาจึงรู้ได้ในทันทีว่า ตัวยานั้นมีผลอย่างไร
“ยาอยู่ไหนเหรอ?” คุณหวูถาม
“นี่ครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด
คุณหวูเทยาออกมาจิบดูเล็กน้อย “มันมีโสม, เชี่ยนฉือ, โก๋วฉี่, หวงจิง, และหลินจือ ไม่สิ! ถ้ามีสมุนไพรอยู่แค่นี้ มันไม่มีทางมีประสิทธิภาพดีขนาดนี้ได้หรอก มีอะไรใส่อยู่ในนี้อีกนะ?” เขาขมวดคิ้ว เพราะไม่สามารถจำแนกสมุนไพรที่อยู่ในตัวยาได้
“ลุงหวู อย่าสนใจเรื่องส่วนผสมในยามากเลยนะครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด
“อืม ฉันแค่สนใจเรื่องพวกนี้มากไปหน่อยน่ะ” คุณหวูพูดด้วยรอยยิ้ม
เขาเคยลองพยายามวิเคราะห์สูตรยาของลูกศิษย์ราชายามาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง เขาต้องใช้เวลาศึกษาอยู่นานมาก เขาบอกกับตัวเองว่า เขาจะต้องรู้ส่วนผสมของมันให้ได้ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องล้มเหลว และตอนนี้ เขาก็กำลังอยู่ในสถานการณ์เดียวกันอีกครั้ง
“เขาเป็นหมอที่เก่งกาจมาก ฉันนับถือเขาจริงๆ” คุณหวูพูด
“เราเลิกพูดเรื่องของเขาและมาดื่มชากันดีกว่านะครับ” เจิ้งชื่อฉงชงชามาให้คุณหวู “เมื่อคืน ผมได้ค้นดูอินเตอร์เรื่องของหมู่บ้านนี้ คุณรู้อะไรไหมครับ ว่าหมู่บ้านแห่งนี้เคยเกิดเรื่องร้ายขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง”
626 มีความสุขราวกับนกน้อยที่กำลังขับขาน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นในหมู่บ้านนี้เหรอ?” คุณหวูถาม
“ลองอ่านดูสิครับ” เจิ้งชื่อฉงส่งมือถือให้กับคุณหวู “เมื่อไม่นานมานี้ หมู่บ้านถูกปิดทางเข้าออก เพราะเกิดโรคระบาดขึ้นครับ มีคนตายเพราะโรคนี้มากกว่า 10 คน”
โรคระบาดที่เกิดขึ้นได้มีการรับมือเป็นอย่างดี ตัวยาที่ใช้รักษาถูกผลิตออกมาเพื่อหยุดการระบาดได้ทันเวลา ดังนั้น ข่าวจึงยังกระจายไปได้ไม่ไกล แม้แต่คนจังหวัดฉีในบางพื้นที่ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ อย่าว่าแต่คนที่อยู่ทางใต้ของจีนอย่างพวกเขาเลย
“อืม ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย” คุณหวูพูด
“อ่านดูตรงนี้สิครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด
“หวูชิงหยุน?” คุณหวูพูดออกมาด้วยความสงสัย
“เขากับคุณอาจจะมีบรรพบุรุษเดียวกันก็ได้นะครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด
แน่นอนว่า มันเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น
คุณหวูหัวเราะออกมา “ฉันรู้จักเขา เขาเป็นหมอที่มีชื่อเสียงพอตัวเลยล่ะ”
“อ่านดูตรงนี้สิครับ ตัวยาที่ใช้รักษาถูกพัฒนาขึ้นมาโดยศาสตราจารย์หวูและหมอหวัง” เจิ้งชื่อฉงพูด
“ฉันเข้าใจแล้ว มันอาจจะเป็นหมอหวังคนเดียวกันก็ได้สินะ” คุณหวูพูด
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด
“แล้วเชื้อไวรัสมันมาจากไหนเหรอ?” คุณหวูถาม
“ผมลองถามคนแถวนี้ดูแล้วครับ พวกเขาบอกมาว่า มันเป็นเชื้อไวรัสที่อยู่บนเนินเขาหนานชาน” เจิ้งชื่อฉงชี้ไปทางทิศตะวันตก
“ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องระวังตัวและอยู่ให้ห่างจากเนินเขานั่น ถึงจะมีการผลิตยารักษาออกมาแล้ว แต่เราจะให้เชื้อไวรัสส่งต่อไปถึงตัวเหว่ยจวินไม่ได้เด็ดขาด” คุณหวูพูด
“ครับ ผมบอกกับพวกเขาทุกคนแล้วว่า ไม่ให้ไปใกล้แถวเนินเขาซีชาน” เจิ้งชื่อฉงพูด
หลังจากกลับมาที่คลินิกแล้ว หวังเย้าก็หยิบสมุดบันทึกเล่มพิเศษของเขาออกมา เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงของเจิ้งเหว่ยจวิน
เจิ้งเหว่ยจวินเป็นเหมือนกับดินแดนรกร้าง ร่างกายของเขาไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ที่แย่ที่สุดก็คือ มีศัตรูพืชอาศัยอยู่ในดินแดนรกร้างแห่งนี้อยู่เต็มไปหมด
ในตอนที่หวังเย้ากำลังคิดวิธีรักษาเจิ้งเหว่ยจวินและฆ่าแมลงร้ายเหล่านั้นอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น “เชิญเข้ามาข้างในได้เลยครับ”
เสียงของเขาลอยล่องผ่านประตูและส่งไปถึงคนที่อยู่ด้านนอก
หืม?
หวังเย้าถอนหายใจออกมาเบาๆ
“หมอหวังคะ?” น้ำเสียงน่ารักน่าเอ็นดูดังเข้ามาในห้อง มันราวกับเสียงของนกน้อยที่ขับร้อง หรือเสียงของสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ
“สวัสดี เสี่ยวซวี เธอมาที่นี่ได้ยังไงกัน?” หวังเย้าถามออกมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อได้เห็นหญิงสาวที่งดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์
“ฉันคิดถึงคุณค่ะ ดังนั้น ฉันก็เลยมาที่นี่” คำตอบของซูเสี่ยวซวีนั้นชัดเจนและซื่อตรง เธอไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง
“อะไรนะ?” หวังเย้าไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปว่ายังไง
เธอคิดถึงเขา ดังนั้น เธอก็เลยมาที่นี่ เป็นคำตอบที่ดีจริงๆ
“หมอหวัง ฉันขอแนะนำน้าเหลียนให้คุณรู้จักค่ะ” เธอผายมือไปทางผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอดูมีอายุอยู่ราวๆ 30
“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” น้าเหลียนพูด
“สวัสดีครับ เชิญเข้ามานั่งข้างในกันก่อนสิครับ” หวังเย้าเชิญพวกเขาเข้ามาในคลินิกและชงชาให้ “ดื่มชาหน่อยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
คุณหนูซูดูมีความสุขมาก ชูเหลียนคิดในตอนที่หันไปมองดูซูเสี่ยวซวีที่มีรอยยิ้มกว้าง ตอนที่อยู่ปักกิ่ง ฉันไม่เคยเห็นเธอมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย
“ช่วงนี้ คุณยุ่งมากไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ก็ไม่ยุ่งมากเท่าไหร่หรอก” หวังเย้าพูด
“โรคระบาดที่เกิดขึ้นคราวที่แล้ว ทำคุณลำบากมากไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ก็นิดหน่อย แต่ตอนนี้ ทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยหมดแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด
ซูเสี่ยวซวีเป็นเหมือนนกน้อยที่กระโดดโลดเต้นไปมา เธอเอาแต่ถามคำถามหวังเย้าไม่หยุด
ตอนอยู่ที่ปักกิ่ง คุณหนูซูไม่เคยมีท่าทีแบบนี้เลยสักครั้ง ชูเหลียนคิด
ตอนที่อยู่ปักกิ่ง ซูเสี่ยวมักจะนั่งมองท้องฟ้าอยู่ภายในสวนเพียงลำพัง เธอไม่พูดอะไรมากมาย น้ำเสียงของเธอมักอ่อนหวานอยู่เสมอ แต่เธอไม่เคยพูดจาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูตื่นเต้นเลยสักครั้ง แต่เมื่อพวกเธอมาถึงที่คลินิก เธอก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคนในทันที
คุณหนูซูดูจะเชื่อใจหมอหวังมาก ชูเหลียนคิด เธอไม่ตั้งกำแพงเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา สิ่งที่คุณซงกังวลอยู่กลายเป็นเรื่องจริงไปแล้วสินะ
มีน้อยคนที่จะเชื่อใจและอยากอยู่ใกล้ๆกับใครบางคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัว นอกจากว่า พวกเขาจะชอบและต้องการทำทุกอย่างเพื่อคนคนนั้นจริงๆ
“หมอหวังคะ ฉันคิดว่า การฝึกฝนของฉันพัฒนาขึ้นด้วยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีเป็นเหมือนกับเด็กนักเรียนชั้นประถมที่กำลังต้องการความมั่นใจจากครูผู้สอน
“ใช่ ฉันรับรู้ได้ ยินดีด้วยนะ พยายามทำต่อทำต่อไปล่ะ” หวังเย้าพูด
ในเมื่อเขาเองที่เป็นคนสอนวิธีการฝึกฝนให้กับซูเสี่ยวซวี หลังจากที่ได้คุยกับเธอสักพัก เขาจึงรับรู้ได้ถึงการพัฒนาของเธอ
“แน่นอนค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดพร้อมกับชูหมัดชึ้นมา
…
ภายในแผนกโรคหลอดเลือดของโรงพยาบาลเหลียนชาน แพทย์กำลังรุมล้อมคนไข้รายหนึ่งอยู่
“หมอครับ หมอคิดว่า พ่อของผมจะกลับมาเป็นปกติได้ไหมครับ?” ลูกชายของคนไข้รายนี้ถาม
“พูดตามตรงนะครับ มันเป็นไปได้ยากมากที่พ่อของเขาจะกลับมาเป็นปกติได้ แค่เขาสามารถใช้ชีวิตโดยที่ไม่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น ผมก็ยินดีมากแล้ว” แพทย์พูด “อย่ายอมแพ้นะครับ พยายามช่วยเขาทำกายภาพให้มากที่สุด คอยดูแลให้ร่างกายของเขาอุ่นอยู่เสมอและอย่าให้เขาล้มอีก การเคลื่อนไหวของแขนและขาของเขาไม่สอดคล้องกัน ถ้าหากเขาล้มไปอีก แขนหรือขาของเขาก็อาจจะตอบสนองได้ช้า และเป็นไปได้ที่ศีรษะของเขาจะลงไปก่อน แล้วนั่นก็จะเป็นเรื่องหายนะเลยล่ะครับ”
แพทย์ไม่ได้ต้องการพูดเพื่อให้คนไข้และลูกชายของเขารู้สึกกลัว แต่เป็นเพราะมีคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคนี้หลายคนหกล้ม ซึ่งเกิดจะความไม่ระมัดระวัง และเป็นผลให้อาการของผู้ป่วยแย่ลง บางคนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย
“หมอคะ ฉันเห็นว่า ที่โรงพยาบาลมีแผนกฝังเข็มอยู่ด้วยนี่คะ” ภรรยาของคนไข้อีกคนพูดขึ้นมา “คุณหมอว่า มันพอจะช่วยรักษาสามีของฉันได้บ้างไหมคะ?”
“การฝังเข็มนั้นมีข้อจำกัดอยู่ แต่มีคนไข้บางที่คนอาการดีขึ้น เพราะเข้ารับการรักษาในแผนกฟื้นฟูของโรงพยาบาลเรา คุณจะลองส่งตัวสามีของคุณไปรักษาที่แผนกนั้นดูได้นะครับ” แพทย์พูด
“แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายละคะ?” ภรรยาของคนไข้ถาม
“ครั้งละ 60 หยวนครับ คุณสามารถขอส่วนลดจากรัฐบาลหรือประกันสุขภาพได้ด้วย ลองดูขั้นตอนก่อนก็ได้นะครับ” แพทย์ชี้ไปที่กระดาษที่มีข้อความอธิบายเกี่ยวกับขั้นตอนการรักษาติดอยู่บนผนัง
ทางกรมสาธารณสุขได้พัฒนาเรื่องประกันสุขภาพให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นประโยชน์สำหรับประชาชนอย่างมาก
“โอเคค่ะ ฉันจะลองคิดดู” ภรรยาของคนไข้พูด
นี่เป็นการเข้าโรงพยาบาลครั้งที่สองของสามีเธอ เธอกลับไปที่ห้องคนไข้เพื่อปรึกษาเรื่องนี้กับสามี ในเรื่องของการฟื้นฟูสรรถภาพร่างกาย
“โอเค ฉันเห็นด้วย” สามีของเธอพูด น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นฟังได้ไม่ชัดเจน ราวกับมีบางอย่างติดอยู่ในปากของเขา ใบหน้าของเขาเป็นอัมพาตครึ่งซีก ซึ่งเป็นผลพวงจากโรคหลอดเลือดในสมองอุดตัน
“โอเค” ภรรยาของเขาพูด
หลังจากที่เธอเดินออกมาจากห้องคนไข้ เธอก็บังเอิญ ไปได้ยินบทสนทนาหนึ่งเข้า
“เพื่อนบ้านคนหนึ่งของฉันต้องเข้าโรงพยาบาลเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาเดินก็ไม่ตรง แถมมือก็ยังขยับได้ไม่คล่องอีก แต่พอไปนวดมาสองสามครั้ง เขาก็กลับมาเป็นปกติเลยล่ะ” มีคนยืนพูดอยู่ที่ระเบียงทางเดิน
“ขอโทษนะคะ คุณผู้หญิง ฉันขอถามหน่อยได้ไหมคะ ว่าคนคนนั้นเขาไปนวดที่ไหน?” ภรรยาของชายที่ป่วยโรคเส้นเลือดในสมองอุดตันถาม
“เอ่อ เรื่องนั้นฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ” หญิงคนนั้นตอบ
“แล้วคุณมาจากหมู่บ้านไหนเหรอคะ?” เธอถาม
“ฉันมาจากหมู่บ้านตงเตี้ยนจื้อ ผู้ชายคนที่ว่า เขาอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่บ้าน บ้านของเขาอยู่ซอยที่สอง เขาชื่อว่า เหอชื่อหลี่ คุณไปถามเขาเรื่องนั้นเขาได้เลย หาเขาไม่ยากหรอก” หญิงคนนั้นพูด
“ขอบคุณมากนะคะ” เธอพูด
“ยินดีค่ะ” หญิงคนนั้นพูด
จากนั้น เมื่อกลับไปที่ห้องคนไข้อีกครั้ง เธอก็นำเรื่องที่ได้ยินไปบอกกับสามีและลูกชายของเธอ
“แม่ เธออาจจะพูดเกินจริงไปก็ได้” ลูกชายของเธอพูด “แม่ไปเชื่อเรื่องไร้สาระแบบนั้นได้ยังไงกัน?”
“แต่แม่ไม่คิดแบบนั้นนะ” ผู้เป็นแม่พูด “เราน่าจะลองพาพ่อของลูกไปที่นั่นดู ถ้าเกิดมันได้ผลขึ้นมาจริงๆล่ะ?”
“แม่ ทำไมแม่ไม่ฟังผมบ้างเลย?” ลูกชายของเธอถาม “ผมจะบอกให้นะ เดี๋ยวนี้พวกต้มตุ๋นมีวิธีเป็นร้อยเป็นพันเอาไว้มาหลอกเรา แล้วผู้หญิงวัยกลางคนที่มีความรู้น้อยแบบแม่ก็เป็นเป้าหมายของพวกมันด้วย”
“เลิกพูดได้แล้ว เฝ้าพ่อของลูกให้ดีล่ะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ให้เรียกหมอ และโทรบอกแม่ด้วย แล้วก็อย่ามัวแต่เล่นมือถือล่ะ แล้วแม่จะรีบกลับมา” ภรรยาของคนไข้พูด
“ดูสิ แม่ไม่เข้าใจที่ผมบอกเลยสักนิด” ลูกชายของเธอพูด “ถ้าอย่างนั้นก็ระวังด้วยล่ะ อย่าให้คนอื่นมาหลอกได้ง่ายๆ อย่าไปซื้อยาจากคนที่แม่ไม่รู้จัก แล้วแม่จะไปหมู่บ้านไหนเหรอ?”
“ตงเตี้ยนจื้อ มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่” เธอตอบ
เธอเดินทางไปที่หมู่บ้านตงเตี้ยนจื้อและลองถามชาวบ้านแถวนั้นดู ไม่นาน เธอก็หาบ้านของเหอชื่อหลี่เจอ ตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขากำลังให้อาหารไก่อยู่ เขาจึงเดินไปเปิดประตูและเห็นหญิงแปลกหน้าคนหนึ่งยืนอยู่ด้านนอก
“สวัสค่ะ ฉันมาหาคนที่ชื่อ เหอชื่อหลี่ ค่ะ” เธอพูด
“ผมคือ เหอชื่อหลี่ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” เหอชื่อหลี่ตอบหญิงแปลกหน้าคนนั้นกลับไป
“ฟังนะคะ พอดีว่า ฉันไปได้ยินเรื่องที่คุณป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมองมาน่ะค่ะ” เธอพูด
“ใช้แล้วล่ะครับ” เหอชื่อหลี่พูด
“แล้วคุณหายดีแล้วเหรอคะ?” เธอถามและมองเขาขึ้นๆลงๆ
627 หมู่เมฆรวมตัว
“ครับ ดูที่มือกับขาซ้ายของผมสิครับ ตอนนี้มันใกล้จะหายเป็นปกติแล้ว แค่ไม่ค่อยมีแรงนิดหน่อยเท่านั้น” เขาขยับแขนและขาด้านซ้ายของเขาให้เธอดู
“สามีของฉันก็ป่วยเป็นโรคนี้เหมือนกันค่ะ” เธอพูด “ตอนนี้ เขายังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วฉันไปบังเอิญได้ยินเรื่องที่คุณไปนวดมาไม่กี่ครั้งและกลับมาเป็นปกติได้ ฉันก็เลยสงสัยขึ้นมาว่า คุณไปรักษากับหมอคนไหนมาน่ะค่ะ”
“ผมไปรักษากับหมอที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหวังมาครับ ผมไม่ได้แค่นวดเท่านั้น แต่ผมยังฝังเข็มกับเขาด้วย ผมรักษากับเขาทั้งหมด 10 วัน แล้วจ่ายไปทั้งหมด 1,000 หยวนครับ ตอนนี้ ร่างกายของผมดีเหมือนใหม่เลยล่ะ” เหอชื่อหลี่พูด
“หมอที่คุณไปรักษาด้วย เขาชื่ออะไรเหรอคะ?” เธอถาม
“เขามีแซ่ว่า หวัง ครับ เขาเป็นหมอเพียงคนเดียวในหมู่บ้านนั้น คุณหาเขาได้ไม่ยากหรอก” เหอชื่อหลี่พูด
“เยี่ยมไปเลย ขอบคุณมากๆเลยนะคะ” เธอพูด
เธอจากไปพร้อมกับข้อมูลที่ต้องการและกลับไปที่โรงพยาบาล เธอได้เล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้สามีและลูกชายของเธอฟัง
“ผมว่า แม่โดนหลอกแล้วล่ะ” ลูกชายของเธอยังคงไม่เชื่อเรื่องนี้
“ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เราจะไปหาหมอคนนั้นกันนะคะ” เธอพูด
“โอเค” สามีของเธอพูด
…
ซูเสี่ยวซวียังคงคุยกับหวังเย้าอยู่ภายในคลินิก เธอไม่มีความคิดที่จะกลับไปเลยสักนิด “หมอหวังคะ ฉันอยากจะฝึกฝนพร้อมกับคุณค่ะ”
หวังเย้าตกใจ “กับผม? แต่ที่นี่มันคลินิกนะ”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันเรียนวิชาแพทย์กับคุณก่อนได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“อะไรนะ?” หวังเย้าไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปว่ายังไง “แล้วที่บ้านของเธอจะยอมเหรอ?”
เขารู้ว่า ครอบครัวของซูเสี่ยวซวีนั้นเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในปักกิ่ง ในความเป็นจริง เธอถือเป็นคนหนึ่งที่มาจากหนึ่งในตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุด แล้วตระกูลใหญ่ขนาดนั้นจะยอมให้ลูกสาวที่ล้ำค่าของพวกเขามาอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลแบบนี้ได้ยังไงกัน?
“ฉันไม่จำเป็นต้องขอคำอนุญาตจากที่บ้านหรอกค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
เจ้าหญิง ตอนที่ออกมา คุณไม่ได้พูดแบบนี้เลยนะคะ ชูเหลียนคิด เธอเริ่มรู้สึกกังวลมากขึ้น
ในตอนที่หวังเย้ากำลังคิดหาคำพูดที่ควรจะพูดกับซูเสี่ยวซวีอยู่นั้น เจิ้งชื่อฉงก็เดินเข้ามาในคลินิก
“ขอโทษที่ต้องมารบกวนนะครับ หมอหวัง” เจิ้งชื่อฉงเหลือบมองซูเสี่ยวซวีและชูเหลียน
น่าตกตะลึงจริงๆ! หญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดาในภาพวาด ส่วนอีกคนก็ดูดีมากเช่นกัน
“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“มื้อเที่ยงนี้คุณมีนัดที่ไหนไหมครับ?” เจิ้งชื่อฉงถาม “ผมอยากจะเลี้ยงข้าวคุณหมอสักมื้อน่ะครับ”
“ขอบคุณนะครับ แต่มีเพื่อนของผมมาเยี่ยมพอดี แล้วผมก็รับปากว่าจะไปกินข้าวกับพวกเขาแล้วด้วย” หวังเย้าพูด
“งั้นไม่เป็นไรครับ ไว้เราค่อยไปกินด้วยกันวันอื่นก็ได้” เจิ้งชื่อฉงพูด
เขาพยักหน้ายิ้มให้กับซูเสี่ยวซวีและชูเหลียน ก่อนที่จะเดินออกไป ด้านนอกคลินิก เขาสังเกตเห็นรถของพวกเธอที่จอดอยู่ด้านนอก พวกเขามาจากปักกิ่ง! พวกเขามาเพื่อรักษากับหมอหวังอย่างนั้นเหรอ?
หวังเย้าเชิญซูเสี่ยวซวี, ชูเหลียน, เฉินหยิง, และเฉินโจวไปทานอาหารกลางวันด้วยกันที่ร้านอาหารไม่ไกลจากหมู่บ้าน
ตอนบ่าย ซูเสี่ยวซวีก็ยังไม่ได้กลับไปไหน เธอกลับไปที่คลินิกพร้อมกับหวังเย้าและถามคำถามมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝน หวังเย้าดูเหมือนจะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถช่วยเธอในเรื่องนี้ได้
หลังจากได้เห็นพัฒนาการของซูเสี่ยวซวีแล้ว หวังเย้าก็ต้องยอมรับว่า เธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในเรื่องของการฝึกฝนอย่างมาก เพราะถ้าหากไม่มีความช่วยเหลือจากระบบ หวังเย้าก็อาจจะแพ้ให้กับความเร็วของซูเสี่ยวซวีก็เป็นได้
ชูเหลียนนั่งฟังพวกเขาทั้งสองคุยกันเงียบๆอยู่ที่มุมมุมหนึ่ง
คำอธิบายของหวังเย้าไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับซูเสี่ยวซวี เพราะตัวเธอนั้นพอจะมีความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องกำลังภายในอยู่แล้ว แต่เธอไม่คิดว่ามันมีอยู่จริงๆ เพราะในปัจจุบัน ใช่ว่าจะมีคนหลงใหลในการฝึกฝนกังฟูกันมากเหมือนแต่ก่อน คนส่วนใหญ่ฝึกไปเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น ไม่มีใครยอมเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกการหายใจ แม้แต่คนที่มีเวลาก็ไม่คิดจะเข้าถึงในเรื่องของการฝึกการหายใจ แล้วเรื่องการฝึกกำลังภายในก็ค่อยๆเลือนหายไปจากความคิดของคนทั่วไป
ชูเหลียนไม่รู้ระดับกำลังภายในของหวังเย้า แต่การที่เขาสามารถส่งเสียงจากในห้องออกไปถึงหน้าประตู ซึ่งมีระยะทางเกือบ 10 เมตรได้นั้น ก็ทำให้เธอรู้สึกประทับใจกับเรื่องนี้มาก เธอที่ยืนอยู่ด้านนอกสามารถได้ยินเสียงของเขาอย่างชัดเจน มันเป็นเสียงที่สร้างขึ้นมาจากกำลังภายในเหมือนอย่างที่มีเขียนบรรยายเอาไว้ในนิยายกังฟู
หวังเย้าไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว เขาไม่สามารถสัมผัสถึงกำลังภายในจากตัวของชูเหลียน ซึ่งไม่เข้าใจเรื่องที่เขากำลังพูดกับซูเสี่ยวซวีได้เลย เขานำบทความจากในคัมภีร์เต๋ามาพูดให้ซูเสี่ยวซวีฟัง ความจริงแล้ว เนื้อหาในคัมภีร์จื้อหรานจิงไม่ได้มีอยู่จริง พวกมันเป็นแค่ทฤษฎีเท่านั้น
ซูเสี่ยวซวีตั้งใจฟังทุกคำพูดของหวังเย้า เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นาน ก็เป็นเวลาบ่าย 4 โมง
“คุณหนูซูคะ เราควรกลับกันได้แล้วนะคะ” ชูเหลียนพูด
“จริงด้วย ขอโทษที่มารบกวนคุณนานนะคะ” ซูเสี่ยวซวีไม่อยากแยกจากเขาเลย
“ไม่เป็นไร” หวังเย้าพูด
“แล้วพรุ่งนี้ คุณว่างไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“พรุ่งนี้ ผมก็อยู่ที่นี่เหมือนทุกวันนั่นแหละ” หวังเย้าพูด
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ ฉันมาหาคุณอีกได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ได้สิ” หวังเย้าพูด
“เราต้องไปแล้วจริงๆค่ะ ขอโทษที่มารบกวนนะคะ” ชูเหลียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรครับ” หวังเย้าพูด
ซูเสี่ยวซวีและชูเหลียนเดินออกไปจากคลินิก
“วันนี้ คุณหนูมีความสุขไหมคะ?” หลังจากที่พวกเธอเดินออกมาจากคลินิกแล้ว ชูเหลียนก็ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“ค่ะ วันนี้หนูมีความสุขมากเลย” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม ความรู้สึกของเธอได้แสดงผ่านทางสีหน้าอย่างชัดเจน ความฝันของเธอกลายเป็นจริงแล้ว เธอได้พบกับคนที่เธอคิดถึงมาเนิ่นนาน ดังนั้น มันแน่นอนอยู่แล้วที่เธอจะมีความสุข
“คุณหนูคะ เราจะมาหาหมอหวังทุกวันไม่ได้หรอกนะคะ เขายังมีคนไข้ที่ต้องรักษาอยู่” ชูเหลียนพูด
“หนูรู้ค่ะ แต่หนูอยากเรียนจากเขาจริงๆนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ฉันไม่แน่ใจว่า เขาจะยอมให้คุณหนูติดตามเขารึเปล่านะคะ แต่พ่อแม่ของคุณหนูอาจจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็ได้นะคะ” ชูเหลียนพูด
“น้าชูไม่มีวันรู้หรอกค่ะ” ซูเสี่ยวซวีขยิบตา
…
ปักกิ่ง
กั๋วเจิ้งเหอมาเยี่ยมบ้านของซูเสี่ยวซวี
“เธอไม่อยู่เหรอครับ? แล้วเธอไปไหนเหรอครับ?” เขาถาม
“ไปเที่ยวข้างนอกน่ะจ๊ะ ชูเหลียนก็ไปกับเธอด้วย” ซงรุ่ยปิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“อ่อ เข้าใจแล้วครับ ไว้ผมจะแวะมาเยี่ยมใหม่นะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“ได้จ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
กั๋วเจิ้งเหอบอกลาซงรุ่ยปิงอย่างสุภาพ โดยที่ไม่ได้แสดงท่าทีผิดหวังออกมาให้เห็นเลย
“น่าเสียดาย เด็กคนนี้เปลี่ยนไปมากจริงๆ” ซงรุ่ยปิงพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา
“เธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เหรอ?” น้ำเสียงทุ่มต่ำ แต่แฝงไปด้วยอำนาจดังมาจากในห้อง
“อ้าว ทำไมถึงกลับมาที่บ้านเวลานี้ได้ล่ะคะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“เมื่อเช้า ฉันลืมเอกสารเอาไว้ที่บ้านน่ะ แล้วฉันก็ต้องลงใต้ด้วย” ซูเซี่ยงฮวาพูด
“คุณจะไปที่ไหนเหรอคะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ซูเซี่ยงฮวาพูด “แล้วเสี่ยวซวีไปที่ไหนเหรอ?”
“คุณคิดว่าที่ไหนล่ะคะ? ก็ต้องหมู่บ้านนั่นอยู่แล้ว” ซงรุ่ยปิงพูด
“เมื่อกี้ กั๋วเจิ้งเหอมาหาเสี่ยวซวีเหรอ?” ซูเซี่ยงฮวาถาม
“ใช่ค่ะ เขาดูจะสนในลูกของเรามากจริงๆ” ซงรุ่ยปิงพูด
“เมื่อไม่นานมานี้ พ่อของเขาก็มาคุยกับฉันเรื่องนี้เหมือนกัน” ซูเซี่ยงฮวาพูด
“คุณต้องคิดเรื่องนี้ให้ดีนะคะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“แน่นอน เธอเป็นลูกสาวของพวกเรานะ” ซูเซี่ยงฮวาพูด “ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ”
“ดูแลตัวเองด้วยนะคะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“อืม” ซูเซี่ยงฮวาพูด
…
แสงไฟยามราตรีเริ่มส่องสว่างไปทั่วทั้งเขต ม่านหมอกและแสงจันทร์ที่หนาวเย็นราวกับผ้าม่าน ภายในหมู่บ้านเงียบสงัด
“ขอบคุณที่ให้เราพักด้วยนะคะ พี่เฉินหยิง” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม
เธอไม่ได้ไปพักที่โรงแรม แต่เลือกที่จะพักในบ้านที่เฉินหยิงเช่าเอาไว้ ตัวบ้านมีอยู่ทั้งหมดสี่ห้อง มีหนึ่งห้องนั่งเล่น, หนึ่งห้องครัว, และสองห้องนอน
เดิมที ชูเหลียนไม่ต้องการจะพักที่นี่ เพราะพวกเขายังมีคนขับรถตามมาด้วยอีกคน แต่ซูเสี่ยวซวีกลับดึงดันที่จะพักกับเฉินหยิงและเฉินโจวให้ได้ ชูเหลียนจึงไม่มีทางเลือก
“หมอหวังกลับขึ้นไปบนเนินเขาตอนกลางคืนเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ฉันคิดว่า น่าจะเป็นแบบนั้นนะคะ” เฉินหยิงพูด
“เขานอนค้างบนเนินเขาเหรอ?” ชูเหลียนถามด้วยความงุนงง
“หมอหวังมีแปลงสมุนไพรอยู่ที่บนเนินเขาหนานชานค่ะ เขามักจะนอนค้างบนนั้นอยู่บ่อยๆ” ซูเสี่ยวซวีพูด “น่าเสียดายที่ฉันไม่เคยได้ขึ้นไปบนนั้นมาก่อน พี่เฉินหยิงเคยขึ้นไปบนนั้นมารึยังคะ?”
“ค่ะ” เฉินหยิงพูด
“มันเป็นยังไงบ้างคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“มันวิเศษมากเลยค่ะ” หลังจากที่เงียบไปนาน เฉินหยิงก็ให้คำตอบ
“จริงเหรอคะ? ฉันอยากขึ้นไปดูบนนั้นบ้างจัง พรุ่งนี้เช้า เราขึ้นไปดูด้วยกันดีไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีเสนอขึ้นมา
“เอ่อ ดูเหมือนว่า หมอหวังจะปิดทางเข้าแปลงสมุนไพรของเขาเอาไว้น่ะค่ะ” เฉินหยิงพูด
“พี่หมายความว่ายังไงเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เขาใช้ต้นไม้สร้างเป็นรั้วเอาไว้ เพื่อหยุดไม่ให้คนเดินเข้าไปในแปลงสมุนไพรของเขาน่ะค่ะ” เฉินหยิงพูด
“ทำไมละคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เมื่อไม่กี่วันก่อน มีคนตายอยู่บนเนินเขาหนานชาน แล้วคนก็ลือกันว่า การตายของชายคนนั้นเกี่ยวข้องกับหมอหวังน่ะค่ะ” เฉินหยิงพูด
“ไร้สาระที่สุด” ซูเสี่ยวซวีพูด เธอยืนอยู่ข้างหวังเย้า ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง
“ฉันคิดว่า หมอหวังคงไม่อยากให้คนขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน” เฉินหยิงพูด “แล้วไม่นานมานี้ ก็ยังมีเรื่องของโรคระบาดเกิดขึ้นในหมู่บ้านด้วย และต้นกำเนิดของโรคก็มาจากเนินซีชาน มันก็พูดยากว่า บนเนินเขาหนานชานจะไม่มีเชื้อไวรัสนี้อยู่ด้วย การที่ปล่อยให้คนขึ้นไปบนนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องดีก็ได้”
“ฉันไม่กลัวเชื้อไวรัสหรอก เรามีหมอหวังอยู่ทั้งคน พรุ่งนี้เราไปกันเถอะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะไปกับคุณหนู” เฉินหยิงพูด
ภายในบ้านของซุนหยุนเชิง คุณหวูกำลังจับดูชีพจรของเจิ้งเหว่ยจวินอยู่ เจิ้งเหว่ยจวินยังคงหลับลึกไม่ตื่น
“เขาเป็นยังไงบ้างครับ ลุงหวู?” เจิ้งชื่อฉงถาม
“ดูจากชีพจรของเขาแล้ว อาการของเขาถือว่าคงที่ และดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยด้วย” คุณหวูพูด
628 ยาครอบจักรวาล
“เขาอาจจะตื่นขึ้นมาได้ทุกเวลา” คุณหวูพูด
“ครับ คุณคงต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน” เจิ้งชื่อฉงพูด
“อืม” คุณหวูพูด
…
บนเนินเขาหนานชาน หวังเย้านั่งอยู่ในแปลงสมุนไพรและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พร้อมทั้งมีซานเซียนคอยนั่งอยู่ข้างๆเขา “ซานเซียน มีสาวสวยตัวน้อยคนหนึ่งมาชอบฉันด้วยล่ะ นายว่า ฉันควรจะทำยังไงดี?”
ความจริง ซูเสี่ยวซวีไม่ได้ตัวน้อยเลยสักนิด เพราะตอนนี้ เธออายุได้ 20 กว่าปีแล้ว
โฮ่ง! โฮ่ง!
“นายจะถามว่า ฉันรู้สึกยังไงน่ะเหรอ?” หวังเย้าถาม “ฉันจะอธิบายถึงเธอแบบไหนดีล่ะ? เธอเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง ถ้าจะพูดว่า ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเลย ก็คงจะเป็นเรื่องโกหก แต่เราสองคนอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน ฉันอยู่ในป่า ส่วนเธอเป็นเหมือนไข่มุกที่ส่องประกายอยู่ในเมืองใหญ่ เราต่างกันมาก”
โฮ่ง!
“อะไรนะ? นายอยากมีคู่งั้นเหรอ?” หวังเย้าถาม “มีหมาที่ตีนเขาอยู่หลายตัว นายลองลงไปเลือกดูสิ ว่านายชอบตัวไหน”
โฮ่ง! โฮ่ง!
“นายมองมาแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน?” หวังเย้าถาม
ซานเซียนลุกขึ้น มันหันก้นให้กับหวังเย้าและเดินกลับเข้าไปในบ้านสุนัขของมัน โดยไม่หันกลับมามองหวังเย้าอีกเลย เมื่อเข้าไปนั่งอยู่ในบ้านของมันแล้ว มันก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
วันต่อมา ท้องฟ้าสดใส อากาศในหมู่บ้านกลางเขาให้ความรู้สึกสดชื่นและเย็นเล็กน้อย
ซูเสี่ยวซวีตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ เฉินหยิงเตรียมอาหารเช้าไว้พร้อมแล้ว หลังจากทานอาหารเสร็จ ทั้งสี่ก็พากันเดินออกไปจากบ้าน และมุ่งหน้าไปตามเส้นทางสู่เนินเขาหนานชาน
บนเขาให้ความรู้สึกสงบมากขึ้น
กรู๊ว! กรู๊ว! มีเสียงนกดังมาจากทั่วทุกทิศทาง
“ฮู้ว! อากาศสดชื่นดีจริงๆ!” ซูเสี่ยวซวีเหยียดแขนและสูดลมหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด
คนทั้งสี่ใช้เวลาเดินข้ามเขาไปไม่นาน แล้วเนินเขาหนานชานก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคน ในเวลานี้ ตัวเนินเขาถูกล้อมไปด้วยก้อนเมฆ และสามารถมองเห็นต้นไม้กับก้อนหินได้รางๆ มันเป็นเหมือนกับเมืองที่ลอยอยู่เหนือก้อนเมฆ
“มันสวยมากเลย!” ซูเสี่ยวซวีอุทาน
“เขาลูกนี้ดูพิเศษกว่าลูกอื่นจริงๆ” ชูเหลียนถอนหายใจออกมาเบาๆ เธอไม่สามารถบอกได้ว่ามันพิเศษยังไง แต่มันดูต่างจากที่ควรจะเป็นมาก
“เดินกันต่อเถอะค่ะ” เฉินหยิงพูด
ทั้งหมดพากันเดินมุ่งหน้าไปข้างหน้า ถึงแม้เนินเขาหนานชานจะดูเหมือนอยู่ไม่ไกล แต่การเดินทางก็ต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร ทั้งหมดเดินมาถึงตีนเขาและเงยหน้าขึ้นมองด้านบน พวกเขาสามารถมองเห็นบรรยากาศของเนินเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ได้อย่างชัดเจน
กรู๊ว! กรู๊ว! เสียงนกร้องดูเหมือนจะคึกครื้นเป็นพิเศษ
แม้จะอยู่แค่ตีนเขา แต่การหายใจก็ดูเหมือนจะดีกว่าเดิมมาก
“เราขึ้นไปข้างบนได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เราอย่าขึ้นไปจะดีกว่านะคะ” เฉินหยิงพูด
เธอและน้องชายเคยมาที่นี่แล้วหลายครั้ง แต่ทั้งสองเดินมาหยุดอยู่แค่ตีนเขา และไม่เคยเดินขึ้นไปด้านบนเลย
“หมอหวังไม่ชอบให้คนขึ้นไป ใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ถูกต้องค่ะ” เฉินหยิงพูด
“โอเค งั้นเราก็อย่าขึ้นไปดีกว่า” ซูเสี่ยวซวีพูด
พวกเขาทั้งหมดยืนอยู่ที่ตีนเขาสักพัก ก่อนที่จะหันหลังและเดินกลับ
หวังเย้ายืนมองพวกเขาอยู่บนก้อนหินบนยอดเขา เขาเห็นคนทั้งสี่เดินตรงมาที่เนินเขาหนานชานได้จากที่ไกลๆ เขายังเห็นทั้งหมดยืนนิ่งอยู่ตรงตีนเขาครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครเดินต่ออีก
“วันนี้ คุณหนูมีแผนจะทำอะไรคะ?” เฉินหยิงถาม
“อืม แค่เดินไปรอบๆก็พอค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “ในเมืองมีอะไรน่าสนใจให้ทำบ้างไหมคะ?”
“ที่นี่น่าไปของที่นี่…ครั้งที่แล้วคุณหนูก็ไปมาหมดแล้วนี่คะ” หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินหยิงก็พูดออกมา ช่วงนี้ เธอและน้องชายก็ออกไปเที่ยวมาเหมือนกัน แต่ก็มีไม่กี่ที่ที่น่าไป ที่นี่ไม่มีสถานที่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ หรือทิวทัศน์ภูเขาแม่น้ำที่งดงามเลย แล้วที่นี่ก็ไม่ใช่เมืองเก่า หรือปักกิ่งที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกด้วย
“ในเมื่อเราขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานไม่ได้ งั้นเราไปเนินเขาที่อยู่ใกล้ๆกันดีกว่านะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“คุณหนูจะขึ้นไปบนเนินเขาซีชานไม่ได้เหมือนกันค่ะ” เฉินหยิงพูด “หมอหวังพูดไว้ว่า โรคระบาดครั้งก่อนมีต้นกำเนิดมาจากเนินเขาซีชาน ตอนนี้ คนในหมู่บ้านเลยไม่มีใครขึ้นไปบนนั้นกันแล้วล่ะค่ะ”
“งั้นเราไปทางตะวันออกได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ได้ค่ะ เราไปทางนั้นได้” เฉินหยิงพูด
ทั้งสี่จึงมุ่งหน้าไปทางเนินเขาทิศตะวันออก ถึงแม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าเขา แต่ความจริง มันเป็นแค่เนินดินที่มีป่าขนาดเล็กตั้งอยู่เพียงเท่านั้น และพื้นที่ส่วนใหญ่ก็ถูกใช้เป็นแปลงเกษตร ทั้งหมดเดินมุ่งสู่ทิศใต้ ไม่นาน พวกเขาก็เห็นเนินเขาหนานชานอยู่ตรงหน้า เนินเขาหนานชานนั้นต่างไปจากเนินเขาลูกอื่นๆ ต้นไม้และพืชพรรณส่วนใหญ่นั้เขียวขจีและให้ความรู้สึกพึงพอใจ
หวังเย้าเตรียมจะเดินลงไปจากเขาแล้ว
“เราเดินเข้าไปใกล้อีกนิดได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เอ่อ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” เฉินหยิงพูด
“งั้นเราเดินเข้าไปใกล้อีกนิดกันเถอะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
พวกเขาเดินไปยั่งจุดเชื่อมระหว่างเนินเขาหนานชานและเนินเขาตงชาน
โฮ่ง! โฮ่ง!
“นั่นตัวอะไรน่ะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
สุนัขขนาดใหญ่เดินออกมาจากป่าที่อยู่ด้านหลังพวกเขา และจับจ้องมาที่คนทั้งสี่
“มันตัวใหญ่มากเลย!” ซูเสี่ยวซวีอุทานออกมา “มันเป็นหมาของหมอหวังใช่ไหมคะ?”
“ใช่ค่ะ” เฉินหยิงพูด สุนัขตัวนี้ดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าครั้งก่อนที่เธอได้เจอมัน
“มันมีชื่อว่าอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“มันชื่อว่า ซานเซียน ค่ะ” เฉินหยิงพูด
“ซานเซียน เป็นชื่อที่แปลกจัง” ซูเสี่ยวซวีพูด
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงคำรามใส่พวกเธอ เสียงที่มันส่งออกมาทั้งหนักแน่นและเต็มไปด้วยพลัง
“มันอยากให้เราออกไปเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ใช่ค่ะ” เฉินหยิงพูด “เราไปกันดีกว่านะคะ”
เฉินหยิงเดินนำทุกคนกลับไปยังทางที่พวกเธอเดินมาในตอนแรก
ซูเสี่ยวซวีหันไปพูดกับเฉินหยิงว่า “พี่คงจะอยู่ที่นี่ได้เดือนกว่าแล้ว พี่ไม่เบื่อบ้างเหรอคะ?”
“โชคดี ที่ฉันชอบที่นี่น่ะค่ะ” เฉินหยิงตอบ
ในระหว่างการกักตัวจากโรคระบาด เธอจึงเหมือนถูกบังคับให้อยู่แต่ในหมู่บ้านไปโดยปริยาย เธอใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในหมู่บ้าน เธอได้ออกไปเดินเล่น, อ่านหนังสือ, และฟังเพลง ซึ่งมันทำให้เธอหายจากความเบื่อได้
หลังจากที่หวังเย้าเข้าไปนั่งในคลินิกได้ไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงคนรีบร้อนเดินเข้ามาในคลินิก
“หมอหวัง เหว่ยจวินตื่นขึ้นมาแล้วครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด
“โอเค ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยครับ” หวังเย้าพูด
ภายในบ้านของซุนหยุนเชิง คุณซุนยั่งอยู่บนเตียงและกระชิบอะไรบางอย่างกับคนไข้ที่เพิ่งตื่น “คุณชาย รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?”
“ลุงหวู ผมบอกกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าเรียกผมแบบนั้น” เสียงของชายหนุ่มแผ่วเบาราวกับควัน มันดูเหมือนจะถูกลมพัดหายไปในทันที
“ผมชินที่จะเรียกแบบนี้ไปแล้วล่ะ” คุณหวูพูด
“เราอยู่ที่ไหนกันเหรอครับ?” ชายหนุ่มถาม
“เราอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆกลางเขาครับ” คุณหวูพูด “มีหมอที่มีฝีมือมากคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ แล้วเขาก็เป็นคนที่รักษาซุนหยุนเชิงให้หายด้วย”
“ผมจำเขาได้ ผมเคยรู้สึกสงสารเขา แต่ตอนนี้ กลับเป็นผมที่ต้องได้รับความสงสารจากคนอื่นแทน” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรง
“อย่าพูดเยอะเลยครับ” คุณหวูพูด “คุณต้องเก็บแรงเอาไว้ให้มาก”
“ครับ” ชายหนุ่มตอบ
หลังจากนั้นสักพัก เจิ้งชื่อฉงก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับหวังเย้า ซึ่งเดินตรงเข้าไปหาตัวคนไข้ในทันที ดวงตาของคนไข้หม่นแสงและไม่โฟกัส
หวังเย้ายื่นมือออกไป และส่ายมือตรงหน้าของชายหนุ่ม “คุณเห็นไหมครับ?”
“มันเป็นเงามัวๆครับ” ชายหนุ่มพูด
“กินยาก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
ซุปเป่ยหยวนถูกยกมาให้ชายหนุ่มดื่ม
“ช่วยถอดผ้าของเขาทีนะครับ” หวังเย้าพูด
เจิ้งชื่อฉงดึงผ้าห่มออกและถอดเสื้อเผยให้เห็นร่างกายที่ผอมแห้งของชายหนุ่ม ซึ่งแถบมองไม่เห็นกล้ามเนื้อเลย ผิวหนังของเขามีออกฟ้าเข้มแปลกๆและยังแห้งผากราวกับเปลือกไม้ด้วย
หวังเย้ายื่นมือออกไปกดผิวของเขาเบาๆ ผิวหนังไม่มีความยืดหยุนอยู่เลย “คุณรู้สึกถึงมือของผมไหมครับ?”
“ครับ ผมรู้สึกได้นิดหน่อย” ชายหนุ่มพูด
หวังเย้าหยิบเข็มเงินออกมาและแทงเข็มลงไปบนตัวเขา “คุณรู้สึกอะไรบ้างไหมครับ?”
“ไม่ครับ” ชายหนุ่มพูด
หวังเย้าแทงเข็มลงไปเพิ่มอีกสองจุด
คนไข้ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก เขารู้สึกรู้สึกชา, คัน, และเจ็บน้อยมาก เขารู้สึกได้ถึงการสัมผัสเพียงเบาบาง ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขา มีเพียงการได้ยินเท่านั้นที่ยังคงปกติ
ตั้งแต่ภายนอกจนถึงภายในร่างกาย ทั้งผิวหนัง, กระดูก, อวัยวะ หรือไขกระดูกไม่มีส่วนไหนที่เป็นปกติเลย สภาพของเขาไม่ได้ต่างไปจากครั้งแรกที่หวังเย้าได้เห็นซูเสี่ยวซวีเลยสักนิด
“แล้วเรื่องการขับถ่ายล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
“ถ่ายทุกๆสองถึงสามวัน และฉี่หนึ่งถึงสองครั้งต่อวัน” คุณหวูพูด
จากสถานการณ์ในปัจจุบันของชายหนุ่มนั้น พิษจำนวนมากที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเขานั้นไม่สามารถขับออกได้อย่างราบรื่นหรือทันเวลา มันจึงทำให้เนื้อเยื่อและอวัยวะภายในเริ่มติดพิษไปด้วย
“นี่เป็นยาขับพิษครับ ช่วยป้อนให้เขากินที” หวังเย้าพูด “ให้เขากินพร้อมกับซุปเป้ยหยวนได้เลยนะครับ”
หวังเย้าหยิบยาที่ทำขึ้นมาจากสมุนไพรแก้พิษออกมาอีกหนึ่งโดส พร้อมกับน้ำแร่โบราณ มันเป็นยาแก้พิษที่สามารถเข้าไปจัดการได้ทั้งพิษภายในและภายนอกร่างกาย
“ได้ ขอบคุณมาก” คุณหวูพูด
หลังจากชายหนุ่มดื่มยาเข้าไปสองอย่าง หวังเย้าก็รอดูอาการเข้าต่อ หวังเย้าจะตรวจดูอาการของเขาเป็นครั้งคราว ในระหว่างนี้ คุณหวูก็ป้อนซุปให้ชายหนุ่มกินไปด้วย กลิ่นของซุปให้ความรู้สึกสดชื่น
จากกลิ่นที่โชยออกมาจากซุป หวังเย้าพอจะเดาได้ว่า ในนั้นมีสมุนไพรล้ำค่าผสมอยู่ด้วย เขาได้กลิ่นของโสม, ตังกุย, โก๋วฉี่, ลู่หรง, หลินจือ ตัวซุปเหมือนเป็นยาบำรุงแบบครอบจักรวาล
คนไข้ดื่มซุปเข้าไปไม่ถึงสองในสามของทั้งหมด
“ซุปนี้ทำขึ้นมาเป็นพิเศษเลยใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ มันมีปลิงทะเล, ปลาชื่อหลินตุ๋นรวมกับโสม, ลู่หรง, หลินจือและสมุนไพรอีกหลายอย่าง” คุณหวูพูด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น