Elixir Supplier 617-624

 617 รู้สึกเบื่อ


 


จิ๊บๆ! เสียงนกร้อง


 


เมี๊ยว! เสียงแมวร้อง


 


อยู่ๆเจ้าหน้าที่ทั้งสองก็มองเห็นดาวอยู่เต็มไปหมด ในหูของเขาสั่นสะเทือนจากเสียงที่ดังก้อง เขารู้สึกปวดร้าวไปทั้งศีรษะ


 


คำพูดไม่สามารถอธิบายความรู้สึกที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเขาได้ มันเจ็บปวดจนแทบทนไม่ได้


 


เขารู้สึกว่า ศีรษะของเขาด้านชาและบวมเป่ง เขาได้ยินแค่เสียงฮึ่มๆอยู่ในหูเท่านั้น ไม่นาน เขาก็เริ่มมองเห็นภาพหลอน


 


“โอ๊ย! อ้า!” เขาอ้าปากกว้าง เพื่อสูดลมหายใจ เขาแทบจะหยุดหายใจไปแล้ว


 


เขาไม่ใช่แค่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ เพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆก็มีอาการไม่ต่างกัน ถึงแม้ว่าเพื่อนร่วมงานของเขาจะไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าเขา แต่เขาก็รู้สึกทรมานมากเช่นกัน


 


“นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย? เสียงสิงโตคำรามเหรอ?” เขาถาม


 


เจ้าหน้าที่ทั้งสองรู้สึกตกตะลึง พวกเขามองไปที่หวังเย้าด้วยความหวาดกลัว พวกเขาไม่คิดว่า หวังเย้าจะมีความสามารถแบบนี้อยู่ด้วย และมันทำให้พวกเขาเชื่อว่า หวังเย้าเป็นปรมาจารย์กังฟูไปแล้ว


 


ชายทั้งสองหันมามองหน้ากัน พวกเขาเห็นความกลัวในแววตาของกันและกัน พวกเขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากและรีบวิ่งออกไปทันที


 


นี่ไม่ใช่เรื่องตลก มันน่ากลัวมาก การตะโกนเพียงครั้งเดียวของหวังเย้า กลับทำให้หูของพวกเขาแทบระเบิด หากหวังเย้าตะโกนอีกเป็นครั้งที่สอง หัวของพวกเขาก็คงจะระเบิดอย่างแน่นอน ดังนั้น พวกเขาจึงรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว


 


“พวกโง่” หวังเย้าพูดอย่างดูถูก


 


ชายทั้งสองรีบหนีออกไปจากคลินิกและวิ่งกลับขึ้นรถของพวกเขา จากนั้น พวกเขาก็ขับรถออกไปอย่างเร่งรีบ เมื่อขับพ้นหมู่บ้านมาแล้ว พวกเขาจึงผ่อนคลายลงได้บ้าง เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคลินิกของหวังเย้า พวกเขาก็ยังรู้สึกกลัวไม่หาย


 


“หยุดรถก่อน ขอฉันพักสักเดี๋ยว” หนึ่งในสองคนพูดขึ้นมา


 


ชายอีกคนขับรถเข้าจอดที่ข้างทาง พวกเขาทั้งสองยังคงคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดไปเมื่อกี้อยู่


 


“เขาเป็นใครกันแน่?” หนึ่งในสองคนถามขึ้นมา


 


“กังฟู ฉันคิดว่าน่าจะเป็นกังฟู ฉันเคยเห็นในทีวีมาก่อน มันเรียกว่า สิงโตคำราม” ชายอีกคนพูด


 


“ที่เห็นในทีวีน่ะไม่ใช่ของจริงหรอก” ชายที่สูงกว่าพูด “ที่เราเจอน่ะของจริง ฉันยังปวดหัวอยู่เลย อย่างกับมีคนเอาไม้มาทุบหัวฉันเลยล่ะ”


 


“ฉันก็ปวดหัวเหมือนกัน ฉันว่า เราเจอปรมาจารย์กังฟูเข้าให้แล้วล่ะ” ชายอีกคนพูด “ฉันบอกแกไปตั้งกี่ครั้งแล้ว? ว่าให้ระวังคำพูดของตัวเองหน่อย ฉันได้รับรายงานเรื่องของนายมาเยอะมากเลยนะ ทำไมถึงยังทำตัวไร้มารยาทแบบนี้อยู่ได้? เห็นแล้วใช่ไหม ว่าคราวนี้เราต้องเจอกับอะไรน่ะ?!”


 


“ใครมันจะไปรู้ ว่าจะต้องมาเจอกับสัตว์ประหลาดแบบนี้กันล่ะ?” ชายร่างสูงพูด “แล้วฉันก็เป็นแค่คนส่งสาร ฉันไม่เกี่ยวสักหน่อย”


 


“แล้วแกไม่กลัวเขาใช่ไหม? ทำไมไม่ลองกลับไปเถียงกับเขาดูอีกสักรอบล่ะ?” ชายอีกคนพูด


 


“ฉันไม่ได้โง่นะ” ชายร่างสูงพูด “ฉันไม่กลับไปหรอก ให้หลี่เชาหยางส่งคนอื่นมาจัดการหวังเย้าแทนก็แล้วกัน”


 


“ก็ได้ ไปกันเถอะ” ชายอีกคนพูด “ฉันก็ไม่กลับไปเหมือนกัน เราก็แค่บอกไปว่า หวังเย้าไม่ยอมให้ความร่วมมือก็พอแล้ว”


 


พวกเขากลับไปและรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น


 


ในขณะเดียวกัน หวังเย้าก็กดโทรออกไปที่เบอร์หนึ่ง บางคนกำลังพยายามจะสร้างปัญหาให้กับเขา เขาเชื่อว่า เป็นหลี่เชาหยางที่สร้างปัญหาทั้งหมดให้กับเขา ลูกศรอยู่ในที่ลับนั้นยากที่จะป้องกัน เขาจำเป็นต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน


 


เขาโทรไปหาเทียนหยวนถู เพื่อบอกเรื่องที่เกิดขึ้น เขาได้ถามเทียนหยวนถู ว่าพอจะรู้จักใครที่จะสามารถช่วยเขาในเรื่องนี้ได้บ้าง


 


“ไว้ฉันจะนายนะ” เทียนหยวนถูพูด


 


หลังจากวางสายไปแล้ว หวังเย้าก็คิดได้ว่า ตัวเขานั้นขาดอะไรไป ถ้าหากเขาต้องการจะเปิดคลินิกและส่งต่อความรู้จากรุ่นสู่รุ่นแล้วละก็ เขาก็ต้องพบเจอกับคนหลากหลายรูปแบบ เขาจำเป็นต้องสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ในสังคมนี้ เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆนั้นจำเป็นที่จะต้องรู้จักกับคนมากหน้าหลายตา เส้นสายที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ


 


ฉันควรจะขยายเครือข่ายของคนที่รู้จักเอาไว้


 


หากเขามีสายสัมพันธ์ที่กว้างขึ้น หวังเย้าก็คือคนที่จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ เขาเป็นแพทย์ปรุงยา ดังนั้น หน้าที่ของเขาก็คือการรักษาคน ไม่ว่าใครก็สามารถป่วยได้ และเมื่อคนเราป่วยก็ต้องไปหาหมอ หมอเก่งๆล้วนมีชื่อเสียง ในบางครั้ง มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รักษากับผู้เชี่ยวชาญสักคน


 


หวังเย้าเป็นหมอที่มีฝีมือดีกว่าผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ แต่เขากลับไม่คิดพยายามที่จะโฆษณาคลินิกของตัวเองเลย


 



 


ในห่ายชิว เจ้าหน้าที่ทั้งสองที่ต้องตกตะลึงเพราะสิงโตคำรามของหวังเย้า ได้เข้าไปรายงานการทำงานของพวกเขากับหัวหน้า


 


“นี่มันแปลกมาก เขาอวดดีจริงๆ” ชายผู้เป็นหัวหน้าพูด “เราต้องลงโทษเขา”


 


พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่ปล่อยหวังเย้าไป แต่แล้วโทรศัพท์สายหนึ่งก็หยุดความคิดที่จะลงโทษหวังเย้าลง


 


“หวังเย้าคนนี้เป็นใครกัน?” เจ้าหน้าที่อาวุโสถาม “ฉันได้รับสายจากปักกิ่ง ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะไม่สนใจใยดีพวกเราสักนิด”


 



 


ในตัวเมืองของจังหวัดฉี หลี่เชาหยางกำลังทักทายเพื่อนร่วมงานของเขาอย่างยิ้มแย้ม เขาสวมเสื้อผ้าลำลองและดูเหมือนจะอยู่ในอารมณ์ที่ดี


 


“คืนนี้ พวกเราไปกินข้าวด้วยกันดีไหม?” หลี่เชาหยางถามเพื่อนร่วมงานของเขา “ฉันเลี้ยงเอง”


 


“เอาสิ” เพื่อนร่วมงานของเขาพูด


 


พวกเขารู้พื้นหลังของหลี่เชาหยางดี พ่อของเขาเป็นหัวหน้ากรม แล้วหลี่เชาหยางก็ไม่ใช่คนนิสับเสียหรือไร้มารยาท เขายังค่อนข้างใจกว้างกับเหล่าเพื่อนร่วมงานด้วยซ้ำ ปัญหาเดียวของเขาก็คือ เขามักจะลางานบ่อย แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเขามีพ่อของเขาอยู่ทั้งคน


 


หลี่เชาหยางกลับไปที่ห้องทำงานของเขา มีสายโทรเข้ามาทันทีที่เข้านั่งลง


 


“อะไรนะ? ไม่สำเร็จอย่างงั้นเหรอ? คุณได้รับสายจากกรรมการเมืองอย่างนั้นเหรอ? คุณแน่ใจนะ?” หลี่เชาหยางไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก เพราะตั้งแต่ที่เขาจัดการกับหวังเย้าล้มเหลวไปครั้งก่อน เขาก็พอจะเดาได้บ้างแล้วว่าหวังเย้านั้นไม่ใช่คนธรรมดา แต่เขาก็คาดไม่ถึงเลยว่า หวังเย้าจะรู้จักกับคนที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญของรัฐบาลด้วย


 


มันไม่มีเส้นทางที่เรียบง่ายให้คนเดินอยู่แล้ว


 


พ่อของหลี่เชาหยางมีตำแหน่งสูงอยู่ในกรมสาธารณสุขของจังหวัด แต่เขาก็ไม่ได้มีอำนาจในทุกพื้นที่ของจังหวัด โดยเฉพาะกับคนที่ทำงานอยู่ตามเมืองหรือเขตต่างๆ เจ้าหน้าที่พวกนั้นไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งจากเขา


 


ฉันจะคอยดู ว่าคนพวกนั้นจะปกป้องแกได้อีกนานแค่ไหน!


 


เพียงพริบตาเดียว หลี่เชาหยางก็คิดหาไอเดียใหม่ขึ้นมาได้ ฉันดึงแกลงมาไม่ได้ แต่ฉันสามารถทำลายชื่อเสียงของแกได้


 


ไม่นาน ก็มีบทความเกี่ยวกับคลินิกในหมู่บ้านแห่งหนึ่งถูกโพสท์ลงในอินเตอร์เนต เนื้อหาต่างๆดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง แต่แน่นอนว่า มันไม่ได้เป็นข่าวที่ได้รับความสนใจมากนัก ในตอนเริ่มแรก มีคนสนใจข่าวนี้เพียงแค่ไม่กี่คน แต่เมื่อมีคนสุมไฟเข้าไป คนที่รู้เกี่ยวกับเหลียนชานและคลินิกของหวังเย้าก็เข้ามาอ่านมากขึ้นเรื่อยๆ


 


หมอคนนี้โลภมากเกินไปแล้ว! คลินิกควรถูกปิดโดยเร็วที่สุด และหมอก็ไม่ควรเป็นหมออีกต่อไป


 


มีข้อความเขียนลงในอินเตอร์เนตจำนวนมาก


 


นี้คือความเป็นไปของโลกอินเตอร์เนต ผู้คนตัดสินเรื่องราวต่างๆโดยไม่คิดที่จะหาความจริง บทความมากมายกระจายไปทั่วอินเตอร์เนตโดยที่ไม่ได้มีการยืนยันความจริงใดๆ ในบางครั้ง ความคิดของคนจำนวนมาก ก็สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจของศาลได้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้น ความคิดของคนหมู่มากจึงเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนคนที่ใช้อินเตอร์เนตในการสร้างข่าวปลอม ก็สมควรได้รับโทษเช่นกัน


 


เมื่อมีการกระตุ้นเล็กน้อย ผู้ใช้อินเตอร์เนตก็คลิกเข้าไปอ่านบทความมากยิ่งขึ้น ไม่นาน บทความนี้ก็ได้ดึงดูดความสนใจจากเจ้าหน้าที่รัฐเข้า


 


“ไปตรวจสอบเขาเดี๋ยวนี้!” เจ้าหน้าที่บางคนได้สั่งการลงไป


 


หวังเย้ามีแขกมาเยี่ยมเยือนที่คลินิกจำนวนมาก พวกเขามาจากองค์อาหารและยา, กรมสาธารณสุข, และกรมการค้าและอุตสาหกรรม แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเขา ที่มาที่คลินิกเพื่อรับการรักษาจากหวังเย้า


 


หวังเย้ามีเอกสารและใบอนุญาตอยู่ครบ เขาไม่ได้กลัวการตรวจสอบในเรื่องนี้เลย ตอนนี้ เขาได้แต่คิดในใจว่า “นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน?”


 


แขกทั้งหลายล้วนต้องประหลาดใจเมื่อได้เห็นเอกสารที่หวังเย้ามี โดยเฉพาะตราปั้มที่อยู่บนใบประกาศของเขา


 


“เขาเป็นอัจฉริยะเหรอ?” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามขึ้นมา


 


“ฉันคิดว่า น่าจะใช่นะ” เจ้าหน้าที่อีกคนพูด


 


มีคนไม่กลัวการทำผิดกฎหมายอยู่มากมาย แต่คงไม่มีใครคิดจะปลอมเอกสารแบบนี้ขึ้นมา ในเมื่อมันสามารถตรวจสอบความจริงได้ง่ายมาก


 


และเพราะเอกสารทั้งหมดที่แสดงต่อหน้าพวกเขา การตรวจสอบทั้งหมดจึงหยุดลง เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากแต่ละส่วนยังได้โทรเรียกให้พวกเขายกเลิกการตรวจสอบอีกด้วย


 


บทความในอินเตอร์เนตเหรอ?


 


หวังเย้าเข้าไปอ่านบทความในอินเตอร์เนต


 


แกงค์ที่ทำเรื่องนี้ในอินเตอร์เนตได้ ถือว่ามีกำลังอยู่พอตัว


 


ตัวเขาแค่เคยได้ยินเรื่องกลุ่มคนที่รับว่าจ้าง ให้สร้างข้อความเท็จในอินเตอร์มาบ้าง แต่ในเวลานี้ กลับเป็นเขาเองที่โดนเล่นงาน


 


หลังจากที่คิดอยู่สักพัก หวังเย้าก็กดโทรหาซุนหยุนเชิง


 


“ไม่มีปัญหา” ซุนหยุนเชิงพูด


 


เขาลงมืออย่างรวดเร็ว ไม่นาน คนที่เผยแพร่บทความในอินเตอร์เนตก็ถูกพบตัว


 


เทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นพัฒนาไปมาก มีหลายคนที่มีความสามารถในด้านเทคโนโลยีสูง แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกไม่รู้ความ และนำอินเตอร์มาใช้ในทางที่ผิด คนกลุ่มนี้สร้างรายได้จากการรับจ้างกดไลท์บทความต่างๆให้กลายเป็นที่สนใจขึ้นมา พวกเขาทำเรื่องแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่โชคร้าย ที่ครั้งนี้พวกเขาดันไปหาเรื่องหวังเย้าเข้า เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และส่งพวกเขาไปขึ้นศาล ตอนนี้ พวกเขาต่างก็เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่สอบสวน ได้แนะนำให้พวกเขาสารภาพเพื่อลดโทษลง คนเหล่านั้นจึงรีบรับสารภาพและคายทุกอย่างออกไป แล้วในที่สุด หัวหน้าของพวกเขาก็ถูกจับ


 


“แม่งเอ้ย!” หลี่เชาหยางปาแก้วในมือทิ้ง


 


เขาไม่กลัวศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่ไม่อยากมีผู้ร่วมงานที่โง่เหมือนหมูมากกว่า ถ้าเขาไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน คนพวกนั้นก็คงจะทรยศเขาไปแล้ว


 


“เอาล่ะ หวังเย้า ดูเหมือนแกจะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ฉันก็ใจเย็นมากพอ” หลี่เชาหยางเก็บกวาดเศษแก้วที่กระจายอยู่บนพื้น แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา


 


เขาเรียนรู้หลายๆอย่างมาจากที่ทำงาน เขารู้วิธีที่จะทำให้คนอื่นทำงานให้เขา และวางแผนเล่นงานศัตรูของเขา


618 มีคนหนุนหลัง? แล้วยังไง?


 


ในตอนเย็น หวังเย้ายังคงอยู่ที่บ้าน สุนัขตัวหนึ่งวิ่งลงมาจากเขาและเข้าสู่หมู่บ้านด้วยความเร็วสูง มันดูไม่ต่างจากเสือตัวหนึ่งเลย


 


“พระเจ้า หมาตัวใหญ่มาก” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด


 


“หมาใครกันน่ะ?” ชาวบ้านอีกคนถาม


 


ชาวบ้านหลายคนไม่เคยได้เห็นสุนัขตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อน แล้วมันก็ยังเป็นสุนัขที่อยู่แต่บนเขาและแทบจะไม่ลงมาด้านล่างนี้เลย


 


โฮ่ง! โฮ่ง! มันส่งเสียงเห่าที่คล้ายกับเสียงคำรามของสิงโตหรือเสือออกมา


 


“พระเจ้า หวังว่ามันจะไม่ไปกัดใครเข้านะ?” ชาวบ้านที่ต้องเข้าไปดูใกล้ๆก็รีบวิ่งหลบไปด้วยกลัวว่าจะโดนมันกัดเข้า


 


“ซานเซียน?” หวังเย้าที่กลับมาถึงบ้านแล้วได้รีบวิ่งออกมาจากตัวบ้าน และเห็นว่า ซานเซียนกำลังวิ่งมาทางเขา “เกิดอะไรขึ้น?”


 


โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนเห่าออกมา


 


“เกิดเรื่องขึ้นเหรอ? พาฉันไปที!” หวังเย้าวิ่งตามซานเซียนไปและพวกเขาก็พากันวิ่งออกไปจากหมู่บ้าน “เร็วเข้า”


 


อยู่ๆความเร็วของซานเซียนก็เพิ่มขึ้น หวังเย้าติดตามมันไปด้วยความเร็วพอๆกัน ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที เขากลับสามารถพุ่งตัวราวกับลูกศรไปได้ไกลกว่า 10 เมตร


 


ซานเซียนไม่ได้มุ่งหน้าขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน แต่มันได้พาหวังเย้าไปที่จุดเชื่อมระหว่างเนินเขาซีชานและเนินเขาหนานชาน


 


ไม่นะ! ทันทีที่หวังเย้าเข้าไปยังค่ายกลก้อนหินที่เขาเป็นคนวางเอาไว้ เขาก็ต้องตกตะลึง เขาเห็นชายชราคุกเข่าอยู่ที่พื้น เขาจึงรีบคุกเข่าลงไปเพื่อตรวจดูอาการของเขา เขาแทบจะไม่หายใจแล้ว


 


ไม่ดีแล้ว! สิ่งที่เขากังวลที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว เขารีบแบกร่างของชายชราขึ้นหลังและพาเขาลงไปจากเขา


 


“อ้าว เสี่ยวเย้า?” เมื่อเห็นว่าหวังเย้ากำลังแบกชายชราลงมาจากเขา ชาวบ้านก็รีบวิ่งเข้ามา


 


“คุณลุงตายแล้วครับ” หวังเย้าพูด


 


“นี่มัน เจี้ยนกั๋ว นี้!” ชาวบ้านคนหนึ่งอุทานออกมา


 


มีคนในหมู่บ้านจากไปอีกคนแล้ว มันต้องเป็นข่าวใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย


 


ชายชราที่เสียชีวิตมีอายุได้ 70 ปี เขาต้องการขึ้นไปเก็บผักที่ขึ้นในป่า ไว้ให้ลูกๆของเขาที่อยู่ในตัวเมือง เดี๋ยวนี้ คนในเมืองชื่นชอบการกินผักกาดหอมกับเชพเพิร์ดพายกันมา แต่แล้วอยู่ๆเขาก็หมดสติไปบนเขา


 


“พ่อ!” เมื่อได้ยินข่าว ลูกๆของชายชราก็รีบมาหาชายชรา “มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?”


 


“ตอนที่ฉันกลับมาเมื่ออาทิตย์ก่อน เขาก็ยังดีดีอยู่เลย” หนึ่งในลูกๆของชายชราพูด


 


พวกเขาจึงพากันหันไปถามหวังเย้า เขาเพียงบอกไปว่า พ่อของพวกเขาหมดสติอยู่บนเขาและถูกพบโดบสุนัขของเขา


 


เขากังวลว่า การตายของชายชราอาจจะเกี่ยวข้องกับเขา ตอนที่กำลังเก็บผักอยู่ในป่า ชายชราคงจะเผลอเดินเข้าไปในค่ายกลหินโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาเสียชีวิตจากความหวาดกลัวและหวาดวิตก รวมไปถึงสาเหตุอื่นๆด้วย


 


“หรือจะเป็นเพราะเชื้อไวรัสที่อยู่บนเขานั่น?” ชาวบ้านที่ไม่รู้ความจริง คิดว่าการตายของชายชราเกิดจากโรคระบาดที่เคยเกิดขึ้นในหมู่บ้านเมื่อไม่นานมานี้


 


“มันก็เป็นไปได้นะ” ชาวบ้านอีกคนพูด


 


“นี่ ตอนนี้ ใครมันจะกล้าขึ้นไปบนเนินเขาซีชานกัน?” ชาวบ้านอีกคนถามขึ้นมา


 


“เสี่ยวเย้า เขาตายเพราะอะไรเหรอ?” หวังเฟิงฮวาถาม


 


เขาได้ยินมาว่า มีสุนัขวิ่งลงมาจากเขา แล้วลูกชายของเขาก็รีบวิ่งขึ้นไปบนเขาในทันที จากนั้น เขาก็แบกร่างชายชรากลับลงมาด้วย


 


“มันไม่ใช่เพราะโรคระบาดหรอกครับ” หวังเย้าพูด “ถ้าดูจากสภาพร่างกายของเขา ผมคิดว่า น่าจะเป็นอาการหัวใจวายนะครับ”


 


“ใช่ พ่อของฉันเป็นโรคหัวใจ แต่ช่วงนี้ เขาแข็งแรงดีมากเลยนะ” หนึ่งในลูกของชายชราพูดขึ้นมา


 


“เขาอาจจะเจอบางอย่างน่ากลัวบนเขาก็ได้ครับ” หวังเย้าพูด


 


ค่ายกลหินถือเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับคนส่วนใหญ่ เมื่อใดที่เข้าไปด้านในแล้ว พวกเขาก็จะเกิดความรู้สึกหวาดวิตกและพบกับความยากลำบากในการค้นหาทางออก


 


“บางอย่างน่ากลัวเหรอ? อย่างงูแบบนั้นใช่ไหม?” หนึ่งในลูกของชายชราถาม


 


“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ” หวังเย้าพูด


 


เขารู้สึกว่า ตัวเองกลายเป็นพวกตีสองหน้า ถึงเขาจะรู้สาเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ ถ้าหากเขาพูดออกไป เขาและเนินเขาหนานชานก็จะกลายเป็นเป้าของการโจมตีจากคนอื่น


 


“ฉันว่า เราควรปิดทางเข้าออกเนินเขาซีชานไปเลยดีกว่านะ ห้ามไม่ให้ใครไปที่นั่นเลยก็ดี” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นมา


 


“ใช่ๆๆ! แล้วที่เพาะปลูกบนนั้นก็ไม่ได้มากมายอะไรด้วย” ชาวบ้านอีกคนพูดสนับสนุน


 


ในตอนเย็น หวังเย้ากลับขึ้นไปบนเขา เขาไม่สามารถข่มตาหลับได้ เขาเดินไปยังจุดที่ชายชราเสียชีวิตลง ซานเซียนยืนอยู่ข้างๆเขา


 


“ซานเซียน มันเป็นความผิดของฉันเอง” หวังเย้าพูดเสียงเบา


 


โฮ่ง! โฮ่ง!


 


หวังเย้าผลักก้อนหินบางส่วนในค่ายกลให้ล้มลง จากนั้น เขาก็เดินออกมาด้านนอกค่ายกลและยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก


 


ด้านนอกค่ายกลหินนั้นมีต้นไม้อยู่สองแถว ซึ่งใช้ขัดขวางเส้นทางการเดินขึ้นเขาอยู่แล้ว หวังเย้าปลูกต้นไม้เหล่านั้นเอาไว้ เพราะกลัวว่า จะมีคนเดินขึ้นมาบนเขาและเผลอเดินเข้าไปในค่ายกลหินเข้า แต่ก็ยังคงมีคนขึ้นมาอยู่ดี


 


เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง และคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เขาตัดสินใจว่า เขาควรจะทำลายค่ายกลนี้ซะ เขาไม่จำเป็นต้องทำลายหินทุกก้อน แค่ทำลายหินบางส่วนก็สามารถทำลายความสามารถของค่ายกลได้แล้ว


 


ฉันจะปลูกต้นไม้ล้อมเขาเอาไว้ เพื่อไม่ให้ใครเข้ามาแทน!


 


ภายในบ้านของชายชราที่เพิ่งเสียชีวิตไป ลูกๆของเขาทั้งหมดได้มารวมตัวกัน


 


“นี่ เราจะปล่อยให้พ่อตายไปเฉยๆแบบนี้ไมได้นะ” หนึ่งในลูกชายของชายชราพูดขึ้นมา


 


“ใช่ ตอนที่เรากลับมาบ้านเมื่ออาทิตย์ก่อน พ่อก็ยังดีดีอยู่เลย วันนี้ แค่เขาขึ้นไปบนเขา กลับต้องมาตายไปง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง” ลูกชายคนที่สองของชายชราพูด “หวังเย้าเป็นคนไปพบพ่อ มันจะเป็นเรื่องบังเอิญได้ยังไงกัน?”


 


“นายคิดว่า การตายของพ่ออาจจะเป็นเพราะหมาตัวนั้นใช่ไหม?” ลูกชายคนแรกของชายชราพูด “ฉันได้ยินมาว่า หมาตัวนั้นน่ากลัวมากเลยล่ะ มันตัวใหญ่กว่าลูกวัว อาจจะขนาดพอๆกับสิงโตตัวหนึ่งเลยด้วยซ้ำ แล้วพ่อของพวกเราก็ยังเป็นโรคหัวใจอยู่แล้วด้วย”


 


“ก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้” ลูกชายอีกคนของชายชราพูดขึ้นมา


 


“หวังเฟิงฮวาจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้” ลูกชายคนแรกของชายชราพูด


 


“แต่เราไม่มีหลักฐานนะ” ลูกชายคนที่สองพูด


 


“หลักฐานเหรอ? พรุ่งนี้ เราจะขึ้นไปบนเขา” ลูกชายคนแรกพูด


 


“พี่ควรระวังไว้หน่อยก็ดีนะ ฉันได้ยินมาว่า หวังเย้ามีคนหนุนหลังอยู่ด้วย” ลูกชายคนที่สองพูด


 


“มีคนหนุนหลัง? แล้วยังไง?” ลูกชายคนแรกพูด


 


เช้าวันต่อมา หวังเย้าตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่


 


“ซานเซียน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายมีหน้าที่ลาดตระเวนเนินเขาแถวนี้นะ ถ้ามีใครเข้ามาใกล้ นายก็เห่าไล่คนคนนั้นให้ออกไปซะ” หวังเย้าพูด


 


โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนเห่าตอบรับคำพูดของหวังเย้า


 


“เสี่ยวเฮย นายก็ลาดตระเวนแถวเนินเขาบ่อยๆด้วยนะ” หวังเย้าพูด


 


เสี่ยวเฮยแลบลิ้นของมันออกมา ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะหนาขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย


 


หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าก็กลับไปยังจุดที่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อวาน ก่อนที่จะลงไปจากเขา


 


อีกด้านหนึ่งของเนินเขา หนึ่งในลูกชายของชายชราที่เสียชีวิตได้เดินออกมาจากบ้าน


 


“นี่ พี่ อย่าไปเลย! ชาวบ้านพูดกันว่า มีโรคระบาดในหมู่บ้านมันมาจากเนินเขาซีชาน ตอนนี้ แทบจะไม่มีใครขึ้นไปบนนั้นกันแล้ว” ลูกชายอีกคนของชายชราพูด


 


“ฉันไม่กลัวหรอก” ลูกชายคนที่สี่มุ่งหน้าออกจากบ้านและตรงขึ้นไปบนเนินเขาซีชาน


 


พี่ชายของเขาอดที่จะส่ายหน้าไม่ได้ “เขายังดื้อเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องไม่ดีกับเขาเข้านะ!”


 


ลูกชายคนที่สี่เดินขึ้นไปบนเขาเพียงลำพัง เขาคิดในใจ เมื่อวาน พ่อตายที่ตรงไหนนะ?


 


เขาไม่รู้ว่า พ่อของเขาเสียชีวิตที่ตรงไหน และในหมู่พี่น้องทั้งหมดก็ไม่มีใครรู้เช่นเดียวกัน พวกเขารู้แค่เพียงคร่าวๆเท่านั้น


 


บนเนินเขาซีชาน เขาเดินไปตามทางเดินบนเขาและมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ ไม่นาน เขาก็เดินมาถึงจุดที่มีกองหินอยู่


 


ที่นี่เหรอ? เขาสงสัย


 


เขาชะลอฝีเท้าและค้นหารอบๆ หวังว่าจะสามารถค้นหาอะไรได้บ้าง เขาพบถุงยาสูบตกอยู่และหยิบมันขึ้นมาดู มันเป็นของที่พ่อของเขาใช้


 


มันคือที่นี่


 


โฮ่ง! โฮ่ง!


 


อยู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงเห่าดังขึ้น ซึ่งมันทำให้เขากลัวมาก เขารีบลุกขึ้นยืนและมองไปยังที่มาของเสียง เขาเห็นสุนัขขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง เขาไม่เคยเห็นสุนัขใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย เขาเคยเห็นสุนัขทิเบตันมาก่อน แต่หัวของสุนัขตัวนี้ยังใหญ่กว่าสุนัขทิเบตันมาก มันเหมือนกับหัวของสิงโต


 


เขาหันหลังกลับโดยไม่ลังเล แต่เขาไม่ได้วิ่งหนี เขาก้าวเดินไปสองสามก้าว แล้วหันหลังกลับไปมอง สุนัขยืนนิ่งอยู่กับที่และไม่ได้ไล่ตามเขามา


 


“พระเจ้า มันไม่ได้คิดจะไล่สินะ” เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และพบว่า ตัวเขามีเหงื่อไหลออกมาจำนวนมาก เพราะความหวาดกลัวที่เกิดขึ้น


 


แล้วเขาก็รีบเดินลงไปจากเขา


 


“เป็นยังไงบ้าง?” หลังจากกลับไปถึงที่บ้านแล้ว พี่น้องของเขาก็เข้ามาถามไถ่


 


“นายโอเคไหม?” เมื่อมองดูสีหน้าของเขาดีดีแล้ว พี่สาวคนโตก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา


 


“ไม่เป็นไร ฉันไปเจอหมาตัวใหญ่ตัวหนึ่งเข้าน่ะ” น้องชายคนที่สี่พูด แล้วกลืนน้ำลายลงคอ


 


“มันกัดนายเหรอ?” พี่สาวของเขาถาม


 


“เปล่า แต่ฉันกลัวมากไปน่ะ หมาตัวนั้นมันใหญ่มาก” ถ้าหากสุนัขตัวนั้นพุ่งเข้ามาและทำร้ายเขา เขาก็คงจะไม่มีทางได้กลับลงมาจากเขาอีกตลอดไป “พ่อจะต้องกลัวหมาตัวนั้นจนตายแน่ๆ!”


 


“นายแน่ใจเหรอ?” พี่สาวของเขาถาม


 


“พี่ไม่ได้เห็นหมาตัวนั้นกับตาตัวเอง ฉันตกใจจนหัวใจแทบหลุดออกมา ขนาดฉันยังกลัวขนาดนี้ แล้วลองคิดดูสิ ว่าพ่อจะกลัวขนาดไหน” เขาพูด


 


“ถึงนายจะพูดแบบนั้น แต่เราก็ไม่มีหลักฐานอยู่ดีนะ” พี่สาวของเขาพูด


 


“หลักฐานเหรอ? ฉันได้มาว่าเมื่อวานว่า มันเป็นหมาตัวนั้นนั่นแหละที่ลงมาจากเขา แล้วเรียกให้หวังเย้าขึ้นไปบนเขาน่ะ มันจะต้องเป็นหมาตัวนั้นที่เจอพ่อของเรา จนทำให้พ่อต้องตกใจกลัว แล้วมันก็ค่อยลงมาเรียกหวังเย้าขึ้นไป” น้องชายคนที่สี่พูด


 


“มันดูเหลือเชื่อเกินไปนะ” พี่สาวของเขาพูด


619 เสียงคำรามเขย่าขวัญ


 


“มันไม่ได้เป็นเรื่องเหลือเชื่อเลยสักนิด ถ้าหมาตัวนั้นมันจะเข้าใจภาษามนุษย์น่ะ” หวังเฟิงยี่พูด(ลูกชายคนที่สี่)


 


“พอได้แล้ว” ในที่สุด พี่ชายคนโตของบ้านก็พูดขึ้นมา “ถึงนายจะพูดความจริงไป ยังไงเราก็ไม่มีหลักฐานอยู่ดีว่า หมาตัวนั้นเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อ มันไม่มีทั้งวิดีโอหรือพยานอะไรเลยสักอย่าง”


 


“พี่หมายความว่ายังไง? จะปล่อยไปแบบนี้น่ะเหรอ?” หวังเฟิงยี่ถาม


 


“แล้วนายต้องการอะไร?” พี่ชายคนโตถาม


 


“หวังเฟิงฮวากับครอบครัวจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมด” หวังเฟิงยี่พูด


 


“รับผิดชอบอะไร? จ่ายค่าทำขวัญเหรอ?” พี่ชายคนโตถาม


 


“ใช่ เราจะปล่อยให้พ่อตายโดยที่เราไม่ได้อะไรเลยได้ยังไงกันล่ะ” หวังเฟิงยี่พูด


 


พี่ๆของเขาต่างก็ถอนหายใจออกมา เธอรู้ดีว่า น้องชายคนนี้ของเธอกำลังคิดอะไรและเป็นคนแบบไหน “นายอย่าคิดจะทำเรื่องแบบนี้ดีกว่านะ”


 


“อะไรนะ?” หวังเฟิงยี่เริ่มโมโหขึ้นมา


 


“เราไม่มีหลักฐานอะไรเลย” พี่สาวของเขาพูด


 


“ฉันจะไปคุยกับพวกเอง” หวังเฟิงยี่พูด


 


“เฟิงยี่!” พี่น้องคนอื่นๆทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องปล่อยเขาไป


 


ในตอนที่หวังเย้ายังคงอยู่ที่คลินิก ที่บ้านของเขาก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมา


 


“เฟิงยี่ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?” หวังเฟิงฮวาถาม


 


“ฉันขอพูดตรงๆเลยแล้วกันและไม่ปิดบังอะไรทั้งนั้น” หวังเฟิงยี่พูด “พ่อของฉันตายเพราะกลัวหมาของบ้านนาย”


 


หวังเฟิงฮวาและจางซิวหยิงต่างตกใจ


 


“นายกำลังจะบอกว่า เจี้ยนกั๋วตกใจกลัวจนตายเพราะหมาของเราเหรอ?” หวังเฟิงฮวาถาม


 


“ใช่!” หวังเฟิงยี่ยกข้ออ้างนี้ขึ้นมา


 


“เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” หวังเฟิงฮวาพูด “ฉันจะโทรบอกให้เสี่ยวเย้ากลับมาคุยแทนแล้วกันนะ”


 


หลังจาได้รับสายจากที่บ้าน หวังเย้าก็รีบกลับบ้านเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ? คุณคิดว่า หมาที่ผมเลี้ยงทำให้พ่อของคุณต้องตกใจกลัวจนตายอย่างนั้นเหรอ?” หวังเย้าถามออกด้วยท่าทีเฉยเมย


 


ถึงเขาจะรู้สึกว่า ตัวเขาควรรับผิดชอบเรื่องการตายของชายชราอยู่บ้าง แต่เขาก็คิดว่า การที่หวังเฟิงยี่มาถามหาความเป็นธรรมถึงที่บ้านของเขาด้วยท่าทีอวดดี เป็นเรื่องที่เขายอมรับไม่ได้


 


“แน่นอนว่าฉันมีหลักฐาน ฉันเพิ่งจะขึ้นไปบนเขามา แล้วฉันก็เห็นหมาตัวนั้นยืนอยู่ตรงที่ที่พ่อของฉันตายยังไงล่ะ” หวังเฟิงยี่พูด


 


“เพราะเรื่องแค่นั้นน่ะเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


หวังเฟิงฮวาและจางซิวหยิงต่างก็อึ้งไปกับคำตอบของหวังเฟิงยี่ มันเป็นข้ออ้างที่ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด และมันไม่ต่างจากการขู่กรรโชกกันหน้าด้านๆเลย


 


“มีชาวบ้านหลายๆคนขึ้นไปบนเขาและเห็นหมาตัวนั้นเหมือนกัน แต่พวกเขาก็ยังสบายดีกันทุกคน ข้ออ้างของคุณมันไร้สาระเกินไป” ต่อหน้าพ่อแม่ของเขา หวังเย้าควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี แล้วชายคนนี้และครอบครัวของเขาก็ยังอาศัยอยู่หมู่บ้านเดียวกันกับพวกเขาด้วย ถ้าไม่อย่างนั้น หวังเย้าก็คงจะจัดการลงโทษเขาไปนานแล้ว


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะหมาของนาย แล้วทำไมถึงเป็นนายที่เป็นคนแบกพ่อฉันลงมาจากเขาล่ะ?” หวังเฟิงยี่ถาม


 


คำถามของเขานั้นคลาสสิคมาก เหมือนกับคำถามที่ว่า “ถ้านายไม่ได้ต่อยเขา แล้วนายช่วยเขาทำไม?”


 


“เขาเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของหมู่บ้าน ที่ซื่อสัตย์และจริงใจ” หวังเย้าพูด “นั้นคือเหตุผลที่ผมช่วยเขา ถ้าเป็นคนอื่น ผมก็คงไม่ช่วย”


 


“ที่ช่วย มันเป็นเพราะนายรู้สึกผิดต่างหากล่ะ!” หวังเฟิงยี่พูดไม่รู้จบ


 


“ผมไม่อยากพูดอะไรกับคุณแล้ว ออกไปจากบ้านผมซะ” หวังเย้าพูด


 


เพราะเรื่องดังเอะอะ ทำให้ชาวบ้านหลายๆคนที่อยู่ใกล้เดินมาที่บ้านของหวังเย้า


 


“ซิวหยิง เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?” เพื่อนบ้านคนหนึ่งถาม “นั่นใช่เฟิงยี่รึเปล่า? ทำไมเขาไม่อยู่ไว้ทุกข์ที่บ้านล่ะ? เขามาทำอะไรที่นี่กัน?”


 


“มีคนมาเยอะก็ดี ชาวบ้านทุกคน! ฉันมาที่นี่ เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่า พ่อของฉันตายเพราะคนพวกนี้” หวังเฟิงยี่พูดเสียงดัง


 


“อะไรนะ?” ชาวบ้านต่างตกใจกับคำพูดของเขา “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน?”


 


ใบหน้าของหวังเฟิงฮวาและจางซิวหยิงเปลี่ยนสีในทันที พวกเขาต่างตัวสั่นเทาเพราะความโกรธ


 


“ออกไป!” หวังเย้าคำรามและส่งพลังฉีออกไป


 


เสียงคำรามผสมกับพลังฉีที่อัดแน่นไปด้วยความโกรธของเขา และยังถูกควบคุมทิศทางไว้เป็นอย่างดี มันเป็นเหมือนกับการระเบิดที่กำหนดเป้าหมายเอาไว้เรียบร้อย


 


บึ้ม! มันคล้ายกับเสียงระเบิดที่ดังขึ้นบนท้องฟ้า


 


หวังเฟิงยี่กรีดร้องออกมาและกุมศีรษะเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด ในหูของเขาเต็มไปด้วยเสียงดังกระหึ่ม “โอ๊ยๆๆ! ฉันปวดหัว”


“ช่วยหลีกทางให้หน่อย”


 


ในเวลานั้นเอง พี่ชายและพี่สาวของหวังเฟิงยี่ก็มาถึงที่บ้านของหวังเย้า เมื่อพวกเขาเห็นหวังเฟิงยี่กุมศีรษะอยู่ที่ลานบ้าน พวกเขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปหาเขา


 


“เฟิงยี่ เป็นอะไรไปน่ะ?”


 


“ปวดมาก! ฉันปวดหัว!” หวังเฟิงยี่ตะโกน ทั้งหูและจมูกของเขามีเลือดไหลออกมา


 


“นายเป็นอะไรไป?” เมื่อเห็นสภาพของเขา พี่น้องของหวังเฟิงยี่ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา


 


เกิดเสียงสั่นสะเทือนภายในหูของหวังเฟิงยี่ จึงทำให้เขาไม่ได้ยินคำพูดของพี่ชายและพี่สาวของเขา


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?” พี่ชายของหวังเฟิงยี่ถาม “เป็นเพราะเสียงตะโกนของหวังเย้าเหรอ?”


 


“เป็นไปไม่ได้หรอก เราทุกคนก็อยู่ไม่ไกลจากเขา แต่ก็ไม่เห็นจะมีใครเป็นอะไรเลยสักคน” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด “เสียงของเขาแค่ดังกว่าปกตินิดหน่อยเท่านั้น”


 


“เสี่ยวเย้า เกิดอะไรขึ้นกับเขาเหรอ?” จางซิวหยิงถามลูกชายของเธอ


 


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” หวังเย้าตอบน่าตาเฉย


 


ชายคนนี้มาที่บ้านของด้วยเจตนาไม่ดี และเป็นไปได้ว่า เขาคิดจะข่มขู่เอาเงิน การตายของชายชรานั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับหวังเย้าจริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หวังเย้าไม่สามารถปฏิเสธได้ ถึงเขาไม่คิดจะยอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ถ้าทำได้ เขาก็ยินดีที่จะจ่ายค่าชดเชยให้กับการสูญเสียของพวกเขา แต่ข้ออ้างที่ชายคนนี้ยกขึ้นมานั้นไร้เหตุผลเกินไป และยังมาป่วนถึงที่บ้านของเขาอีกด้วย ดังนั้น หวังเย้าจึงต้องลงโทษเขา


 


หวังเฟิงยี่จากไปโดยมีพี่ชายและพี่สาวของเขาช่วยกันแบก ชาวบ้านที่มามุงดูต่างก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น


 


“ซิวหยิง ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็บอกฉันได้นะ” หนึ่งในเพื่อนบ้านพูด


 


“เฟิงฮวา ถ้ามีเรื่องอีก บอกฉันเลยนะ” เพื่อนบ้านอีกคนพูด


 


หวังเฟิงฮวาและจางซิวหยิงมีชื่อเสียงที่ดีในหมู่บ้าน พวกเขาเป็นคนกระตือรือร้น, ซื่อสัตย์, และใจดี ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนบ้าน


 


หวังเย้าก็มีชื่อเสียงที่ดีในหมู่บ้านเช่นเดียวกัน ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ด้วยความสามารถในด้านการรักษาของเขา ทำให้เขารักษาชาวบ้านหายแล้วหลายคน แล้วในบางครั้ง เขายังไม่คิดเงินอีกด้วย และเพราะเรื่องนี้ เลยทำให้ชาวบ้านหลายๆคนรู้สึกขอบคุณเขาอย่างมาก ยิ่งเมื่อเห็น คนจากเมืองใหญ่มารักษากับเขาด้วย ก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านรู้สึกชื่นชมและนับถือในตัวเขามากขึ้นไปอีก ชาวบ้านบางคนยังคิดที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาเอาไว้ และยังมีบางคน ที่คิดจะสร้างปัญหาและหาเรื่องเขา แต่สุดท้าย ทุกคนก็ถูกส่งไปนอนในคุกจนหมด ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายๆคนต้องการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกเขาเพื่อสร้างบุญคุณ


 


“ขอบคุณนะ” จางซิวหยิงยิ้ม


 


หลังจากส่งชาวบ้านทุกคนกลับไปแล้ว ก็เหลือพวกเขาแค่สามคนพ่อแม่ลูก


 


“เสี่ยวเย้า บอกพ่อมา การตายของเจี้ยนกั๋วเกี่ยวข้องกับลูกรึเปล่า?” หวังเฟิงฮวาถาม


 


“พ่อ เขาตายอยู่บนเขา ในตอนนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ผมลองถามซานเซียนดูแล้ว ตอนที่เขาตาย ซานเซียนไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย” หวังเย้าพูด


 


สำหรับเรื่องนี้ เขาคิดไว้แล้วว่าจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้ไม่บอกใคร เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อแม่ของเขาต้องโทษตัวเอง


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หวังเฟิงฮวาพูด


 


“พ่ออย่าไปสนใจเรื่องนี้อีกเลย ปล่อยไปเถอะ” หวังเย้าพูด


 


“แม่กับพ่อรู้อยู่แล้วว่า หวังเฟิงยี่เป็นพวกตัวปัญหาในหมู่บ้าน” แม่ของเขาพูด “เขาออกไปอยู่ข้างนอกตั้งนานแล้ว แม่ก็ยังคิดว่า เขาจะเปลี่ยนนิสัยให้ดีขึ้นบ้าง แต่เขาก็ไม่เปลี่ยนเลยสักนิด”


 


ในเวลานี้ ตัวปัญหาที่พวกเขากำลังพูดถึง กำลังนอนอยู่บนเตียงและพูดเพ้อไปต่างๆนาๆ


 


“ฉันบอกเขาแล้วว่าอย่าไปที่นั่น แต่เขาก็ไม่ฟัง ที่ต้องกลายเป็นแบบนี้ก็สมควรแล้ว” พี่ชายคนโจพูด


 


“ตอนนี้ อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย” หวังเฟิงยี่พูด “เราต้องคิดก่อนว่า เราจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงกันดี มันเป็นฝีมือของหวังเย้าใช่รึเปล่า?”


 


“คนอยู่ที่นั่นตั้งมากมาย เขาจะไปทำอะไรได้กันล่ะ?” พี่สาวของเขาถาม


 


“แล้วเราควรทำยังไงกันดี?” พี่ชายคนโตถาม


 


“พาเขาไปหาหมอ” พี่สาวของหวังเฟิงยี่พูด


 


แทนที่จะได้เอาเวลาไปจัดงานศพให้พ่อของพวกเขา พี่น้องทั้งหมดกลับต้องมาพาน้องชายคนเล็กของพวกเขาไปโรงพยาบาลแทน


 


งานศพถูกจัดขึ้นในวันถัดมา ในหมู่บ้าน ทุกคนที่รู้จักคนในครอบครัวนี้ต่างก็เข้าร่วมพิธีเผากระดาษเงินกระดาษทอง เพื่อแสดงความไว้อาลัยแต่คนตาย ชาวบ้านล้วนให้ความสำคัญกับงานศพและงานแต่ง พ่อของหวังเย้ายังไปเข้าร่วมงานและใส่ซองไป 100 หยวนก่อนที่จะกลับบ้านไป


 


“ดูเฟิงฮวาสิ เขาใจกว้างจริงๆ” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด “ตอนที่หวังเฟิงยี่อยู่ในหมู่บ้าน เขาเป็นพวกขี้เกียจสันหลังยาว ไปอยู่ข้างนอกมากลับไม่เรียนรู้อะไรดีดี นอกจากเรื่องข่มขู่เอาเงินจากคนอื่นเขา”


 


ในระหว่างงานศพ หวังเฟิงยี่กำลังนอนโอดครวญอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล “ทรมานจริงๆเลย…ฉันปวดหัวไปหมดแล้ว”


 


เขามีอาการปวดศีรษะมาตลอดทั้งวัน เขารู้สึกว่าศีรษะของเขาด้านชาและบวมเป่ง เหมือนกับเอาศีรษะไปแช่อยู่ในน้ำทะเลจนพองออกและใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้ว


 


ไม่ว่าจะนั่งหรือนอน เขาก็ไม่สามารถสลัดอาการปวดหัวนี้ได้เลย เขาไม่สามารถนอนหลับได้และรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะกลายเป็นบ้าเข้าไปทุกทีแล้ว


 


“ไม่ได้แล้ว ฉันต้องออกจากโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!” เขาไม่สนใจ ว่าคนในครอบครัวของเขาจะได้ยินสิ่งที่เขาพูดหรือไม่


 


“พี่บ้าไปแล้วเหรอไง” ภรรยาของเขาพูด “หมอบอกว่า อาการของพี่ค่อนข้างพิเศษและยังอยู่ในอันตราย พี่ต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไปก่อน”


620 ไม่พอก็ต้องพอ


 


“ก็เพราะวันนี้เป็นงานศพพ่อของฉันน่ะสิ” หวังเฟิงยี่พยายามหาข้ออ้าง


 


“ช่างเป็นลูกชายที่กตัญญูจริงๆนะ” ครอบครัวของคนไข้เตียงข้างๆพูดขึ้นมา


 


“ไปกันเถอะ!” หวังเฟิงยี่ลุกออกจากเตียงโรงพยาบาล และพยายามอดทนกับความเจ็บปวดที่ยังคงอยู่


 


ภรรยาของเขารู้สึกมึนงงกับท่าทีของเขา เธอคิดในใจว่า บางทีสามีของเธออาจจะเปลี่ยนไปแล้ว หวังเฟิงยี่ไม่เคยกลับไปเยี่ยมพ่อของเขาเลย ยกเว้นแค่วันตรุษจีนเท่านั้น เขาไม่เคยเอาของอะไรไปให้พ่อของเขาเลยสักครั้ง แถมยังหยิบเอาไข่กับบะหมี่จากบ้านพ่อของกลับไปบ้านของตัวเองอีกด้วย แล้วอยู่ดีดีเขาจะเปลี่ยนกลายเป็นลูกกตัญญูขึ้นมาดื้อๆแบบนี้ได้ยังไงกัน?


 


หวังเฟิงยี่เดินโซเซออกจากโรงพยาบาลด้วยอาการมึนศีรษะ และกลับไปที่หมู่บ้าน


 


ในขณะเดียวกัน พี่น้องของเขาก็ยังคงอยู่บนเนินเขาตงชาน


 


ชาวบ้านทุกคนล้วนนำร่างของคนที่พวกเขารักไปฝังไว้บนเนินเขาตงชาน อาจารย์ดูฮวงจุ้ยมากกว่าหนึ่งคน ที่แนะนำว่าเนินเขาตงชานเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการฝังร่างของผู้เป้นที่รักของคนในครอบครัว


 


กระดาษเงินกระดาษทองถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน และเสียงประทัดที่ดังอย่างต่อเนื่อง พี่น้องของหวังเฟิงยี่ต่างร่ำไห้กับการจากไปของพ่อของพวกเขา


 


หวังเย้ามองดูเนินเขาตงชานจากยอดเนินเขาหนานชาน


 


“ผมขอโทษ ขอให้คุณจากไปอย่างสงบ” หวังเย้าพูดเสียงเบา


 


เขาเริ่มต้นสวดบทในคัมภีร์เต๋า


 


ทุกคนค่อยๆหยุดร้องไห้และลงมาจากเนินเขาตงชาน ทิ้งไว้เพียงร่างของชายชราที่ถูกฝังอยู่ใต้ผืนดิน


 


เมื่อหวังเฟิงยี่กลับไปถึงที่บ้าน พี่น้องของเขาก็กลับลงมาจาเขาพอดี พวกเขาต่างรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นเขา


 


“เฟิงยี่ ทำไมถึงได้กลับมาตอนนี้ล่ะ?” หวังเฟิงจี้ถาม “นายไม่เป็นไรแล้วเหรอ?”


 


“ไม่ยังไม่ดีเท่าไหร่หรอก” หวังเฟิงยี่พูด “แล้วร่างของพ่ออยู่ไหนล่ะ?”


 


“เราฝังเขาแล้วล่ะ?” หวังเฟิงจี้พูด


 


“อะไรนะ!” ตาของหวังเฟิงยี่แทบจะหลุดออกมาจากเบ้า พร้อมกับสะดุดล้มลงไปที่พื้น


 


“ฉันได้ยินมาว่า หวังเฟิงยี่ไม่เคยสนใจอะไรเลย แม้แต่พ่อแม่ของตัวเอง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด


 


“ใช่ ทั้งๆที่เขายังป่วยอยู่ แต่ก็ยังออกจากโรงพยาบาลกลับมางานศพของพ่อตัวเอง” ชาวบ้านอีกคนพูด


 


อยู่ๆชาวบ้านก็เปลี่ยนความคิดที่มีต่อหวังเฟิงยี่


 


“เฟิงยี่ เข้าไปพักข้างในบ้านก่อนเถอะนะ” หวังเฟิงจี้พูด


 


หวังเฟิงจี้และพี่น้องคนอื่นๆได้เตรียมอาหารเอาไว้สำหรับญาติที่มาร่วมงานศพ ส่วนหวังเฟิงยี่ก็เข้าไปนอนอยู่ในห้อง เขารู้สึกมึนหัวและไม่สบาย


 


“เฟิงยี่ อยากกินอะไรสักหน่อยไหม?” หวังเฟิงจี้ถาม “ฉันจะไปเอาของกินมาให้”


 


“ฉันไม่หิว ไม่ต้องห่วง” หวังเฟิงยี่ส่ายหน้า


 


เขาไม่ได้กลับมาที่บ้านเพื่อมางานศพพ่อของตัวเอง หรือเพราะเขาสำนึกได้จึงกลับมาที่บ้าน แต่ที่เขากลับมา เพราะอาการป่วยของเขาเอง เขารู้ดีว่า อาการป่วยที่เขาเป็นอยู่นั้นเกิดจากฝีมือของหวังเย้า เขาได้ยินมาว่า หวังเย้าเป็นหมอที่รักษาเก่ง และคนมากมายต่างก็เดินทางมาเพื่อรักษากับเขา


 


หวังเฟิงยี่กลับมาเพื่อจะให้หวังเย้ารักษาเขา แต่เขาเพิ่งจะไปที่บ้านของหวังเย้าและสร้างปัญหาขึ้นที่นั่นไปเมื่อวาน ตอนนี้ เขายังไม่กล้าพอที่จะไปเจอหน้าหวังเย้า


 


มีคนไม่มากที่จะหน้าด้านหน้าทนได้ขนาดนั้น และหวังเฟิงยี่ก็เช่นเดียวกัน แต่เขารู้สึกทรมานมาตลอดทั้งวันแล้ว เขาไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เขายินดีจะทำทุกอย่าง จะให้เขาขอโทษหรือก้มหัวให้หวังเย้าเพื่อให้เขารักษาก็ยังได้ ศักดิ์ศรีของเขาเทียบกับความทรมานที่เป็นอยู่ไม่ได้เลยสักนิด เขาอยากจะตายๆไปซะ เขาไม่อยากจะสนใจอะไรทั้งนั้นในตอนนี้


 


แน่นอนว่า สำหรับหวังเฟิงยี่แล้ว ทั้งศักดิ์ศรีและสุขภาพล้วนสำคัญเท่าๆกัน


 


“อะไรนะ? นายจะไปขอโทษหวังเย้าอย่างนั้นเหรอ?” หวังเฟิงจี้รู้สึกประหลาดใจ เขารู้ว่า น้องชายของเขาเป็นคนดื้อรั้น ดังนั้น เขาจึงไม่คิดว่า หวังเฟิงยี่จะยอมรับผิดง่ายๆแบบนี้ได้ “ทำไมล่ะ?”


 


“พี่พูดว่าอะไรนะ? ฉันไม่ได้ยินเลย” หวังเฟิงยี่ถามกลับเสียงดัง


 


นอกจากจะรู้สึกปวดหัวและมึนหัวแล้ว การได้ยินของหวังเฟิงยี่ก็ยังมีปัญหาด้วยเช่นกัน แม้จะมีคนพูดเสียงดังๆหรือยืนพูดอยู่ข้างหูของเขา เขาก็ยังได้ยินชัดอยู่ดี


 


“ฉันถามว่า ทำไม” หวังเฟิงจี้พูด


 


“เพราะสิ่งที่ฉันลงไปมันผิดน่ะสิ” หวังเฟิงยี่พูดเสียงดัง


 


แม้แต่แขกที่อยู่ในห้องทานอาหารก็ยังได้ยินเขาพูด


 


“เขาไปทำอะไรผิดมาเหรอ?” แขกคนหนึ่งถามขึ้นมาด้วยความสงสัย


 


“นั่นเสียงพูดของหวังเฟิงยี่ใช่ไหม? เขารู้สึกผิดเรื่องอะไรเหรอ?” แขกอีกคนถาม


 


แขกที่มางานต่างรู้สึกสงสัยในคำพูดของเขา หลังจากที่พวกเขาพากันกลับไปแล้ว หวังเฟิงจี้พาหวังเฟิงยี่ไปที่บ้านของหวังเย้าเพื่อขอโทษ


 


หวังเฟิงฮวาและจางซิวหยิงต่างก็ประหลาดใจที่ได้เห็นหวังเฟิงยี่ พวกเขาไม่คิดว่า วันต่อมา หวังเฟิงยี่จะมาที่บ้านของพวกเขาเพื่อขอโทษ เมื่อดูจากท่าทีไร้มารยาทของเขาเมื่อวานแล้ว การเปลี่ยนแปลงในวันนี้จึงดูกะทันหันเกินไป


 


“เสี่ยวเย้าไม่อยู่บ้านหรอก ช่วยรอสักเดี๋ยวได้ไหม?” จางซิวหยิงพูด


 


พวกเขารออยู่ประมาณ 30 นาที ก่อนที่หวังเย้าจะลงมาจากเนินเขาหนานชาน


 


“ผมรักษาคุณไม่ได้หรอก” หวังเย้าพูด เมื่อเขาเหลือบไปมองหน้าหวังเฟิงยี่


 


“เสี่ยวเย้า ได้โปรดเถอะนะ” หวังเฟิงจี้พูด


 


“ลุงเฟิงจี้ ก็อย่างที่ผมบอกไป ผมรักษาเขาไม่ได้จริงๆ” หวังเย้าพูด


 


เขาต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้หวังเฟิงยี่จดจำให้ขึ้นใจว่า เขาไม่ควรมายุ่งกับคนในครอบครัวของเขา ถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็จะไม่หยุดสร้างปัญหา


 


“ฉันขอโทษจริงๆนะ เฟิงฮวา, ซิวหยิง, เสี่ยวเย้า ที่ฉันทำไปเมื่อวานมันเกินที่จะให้อภัย ฉันรู้ว่าพวกเธอเป็นคนจิตใจดี ได้โปรดให้อภัยฉันเถอะนะ!” หวังเฟิงยี่แทบจะหลั่งน้ำตาออกมา เขารู้สึกทรมานจนอยากจะตายไปให้พ้นๆ เขากำลังจะคุกเข่าลงไปที่พื้น


 


“อย่าทำแบบนี้เลย!” หวังเฟิงฮวาหยุดเขาเอาไว้ “เสี่ยวเย้า?”


 


“พ่อ ผมรักษาเขาไม่ได้จริงๆ” หวังเย้าพูด


 


พ่อแม่ของเขามักจะใจอ่อนกับคนในหมู่บ้านเสมอ แต่เขาไม่ใช่ เขาต้องการให้หวังเฟิงยี่ทรมานไปอีกสักสองสามวัน เพื่อที่เขาจะได้จดจำมันไปตลอดทั้งชีวิตของเขา


 


สุดท้าย หวังเฟิงจี้และหวังเฟิงยี่ก็กลับไปโดยไม่ได้อะไรเลย


 


“แม่งเอ้ย! ไอ้เด็กสวะเอ้ย!” หวังเฟิงยี่รู้สึกโมโหอย่างมาก ทันทีที่เดินพ้นประตูบ้านของหวังเย้ามา เขาก็เริ่มสบถคำหยาบออกมาอย่างไม่รอช้า


 


แน่นอนว่า หวังเย้าได้ยินมันทั้งหมด ฉันคิดถูกจริงๆด้วยสินะ เขายังทรมานไม่พอ


 


“โอ๊ย!” อยู่ๆหวังเฟิงยี่ก็ยกมือขึ้นกุมหัวตัวเอง


 


“ตอนนี้ นายเป็นอะไรไปอีกล่ะ?” หวังเฟิงจี้ถาม


 


“ฉันรู้สึกปวดหัวมากๆเลย” หวังเฟิงยี่พูด


 


อยู่ๆเขาก็รู้สึกเจ็บแปล๊บเข้ากลางกระหม่อม อาการปวดหัวของเขาเกิดจากสิงโตคำรามของหวังเย้า โชคดีที่หวังเย้าไม่ได้ใส่กำลังทั้งหมดของเขาลงไปด้วย หวังเฟิงยี่แค่ต้องพักผ่อนและทำใจให้สงบ ความโกรธมีแต่จะไปกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและทำให้อาการของเขาแย่ลง การโมโหหวังเย้า ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาเลยสักนิด


 


“ฉันขอนั่งหน่อยนะ” หวังเฟิงยี่พูด


 


เสียงกระหึ่มกลับมาดังในหูของเขาอีกครั้ง


 


หลังหวังเฟิงยี่และหวังเฟิงจี้กลับไปแล้ว หวังเย้าก็กลับไปที่คลินิกของเขา ไม่นาน คลินิกของเขาก็เริ่มคึกคัก คนไข้ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่มีอาการป่วยเล็กๆน้อยๆ


 


หวังเย้าได้อัพเกรดระบบอย่างที่ตั้งใจไว้ รางวัลที่ได้รับในครั้งนี้คือ ทักษะหนึ่งอย่างและเมล็ดพันธุ์สมุนไพรรากหนึ่งถุง


 


สมุนไพรรากที่เขาได้ก็คือ จื๋อตาน เมล็ดของมันดูคล้ายกับดอกกล้วยไม้ขนาดเล็ก ก้านของมันเป็นสีแดงและมีลำต้นเป็นสีเขียว มันมีดอกสีขาวและม่วง


 


มันสามารถกำจัดตัวก่อโรคในหัวใจและช่องท้องได้ รวมไปถึงรักษาโรคดีซ่าน, ลดพิษในเลือด, และช่วยให้ปัสสาวะดีขึ้น มันเป็นสมุนไพรรากระดับกลาง


 


หวังเย้าได้รับทักษะการสกัดยา อยู่ๆความรู้จำนวนมากก็ไหลทะลักเข้าสู่สมองของเขา ซึ่งมีทั้งความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร เช่น ธรรมชาติของสมุนไพรแต่ละชนิด และการนำพวกมันมาผสมกัน รวมไปถึง ความสัมพันธ์ระหว่าหยินหยาง และธาตุทั้งห้า เขารู้สึกได้ถึงความรู้ที่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด เขามีความเข้าใจในสมุนไพรแต่ละชนิดมากขึ้นไปอีก


 


มันเหมือนกับการพุ่งตัวไปตามเส้นทางลม หรือขึ้นไปอยู่บนยอดเขา หวังเย้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ การก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าวนั้นไม่ง่ายเลย มันจะเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆสำหรับการอัพเกรดในครั้งต่อๆไป


 


ด้านนอกเริ่มมืดลง ภายในร้านอาหารสไตล์ตะวันตกร้านหนึ่งในตัวเมืองเหลียนชาน คู่รักคู่หนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะติดริมหน้าต่าง และกำลังพูดคุยกันกระหนุงกระหนิง พวกเขาดูกำลังตกหลุมรักกันและกัน


 


อาหารและเครื่องดื่มภายในร้านล้วนมีราคาแพง และรสชาติก็ยังไม่ได้ดีมากด้วย ภายในร้านเต็มไปด้วยคู่รักหนุ่มสาว


 


“ทำไมนายไม่กินล่ะ?” หญิงสาวถามด้วยรอยยิ้ม


 


 


“ฉันแค่อยากจะมองดูหน้าเธอน่ะสิ เธอสวยพอจะเป็นอาหารสำหรับฉันได้เลย” ชายหนุ่มพูด


 


“หยุดพูดได้แล้ว!” ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำ หญิงสาวล้วนชอบคำหวานจากคนที่พวกเธอชอบพอ


 


“กินข้าวเสร็จแล้ว เราไปดูหนังกันดีไหม?” ชายหนุ่มถาม


 


“อืม” หญิงสาวพูด


 


คู่รักหลายคู่ต่างพากันไปดูหนังหลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จ หลังจากนั้น พวกเขาก็มักจะนั่งคุยกันในร้านคาเฟ่ต่อ มันแทบจะกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว


 


หนังที่ฉายอยู่ไม่ได้น่าสนใจมากนัก โรงหนังมีขนาดเล็ก และมีคนอยู่ในโรงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น มีคู่รักนั่งอยู่ในโรงทั้งหมดสามคู่ สองคู่ต่างกำลังกอดจูบและไม่ได้หันไปสนใจหนังที่กำลังฉายอยู่เลย


 


ชายหนุ่มค่อยๆยื่นมือออกไปโอบไหล่แฟนสาวของเขา มือของเขาเริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายของหญิงสาว


 


“คนนิสัยไม่ดี!” แฟนสาวของเขาหัวเราะคิกคัก


 


“ฮะฮา!” ชายหนุ่มหัวเราะออกมา


 


หลังดูหนังจบ พวกเขาก็กลับไปที่อพาร์ทเมนต์ของชายหนุ่มและใช้เวลาอยู่ร่วมกัน พวกเขามอบความรักให้แก่กัน ไม่ว่าเท่าไหร่ก็ไม่พอสำหรับคนทั้งคู่


 


แต่แล้ว หลังร่วมรักเสร็จ อยู่ๆชายหนุ่มก็รู้สึกปวดร้าวขึ้นที่ท้องน้อยของเขา


 


“โอ๊ย!” ชายกรีดร้องออกมา


 


“เป็นอะไรไปเหรอ?” หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วง


 


“ไม่มีอะไร แค่ปวดท้องน่ะ บางที อาจจะเป็นเพราะเมื่อกี้ฉันดื่มเหล้าไปก็ได้” ชายหนุ่มพูด


 


“อ่อ” หญิงสาวพูด “ฉันเหนื่อยแล้ว เรานอนกันดีไหม?”


 


“โอเค” ชายหนุ่มโอบแฟนสาวเอาไว้ในอ้อมกอด เขาไม่สามารถหลับลงได้ และคิดไปถึงคำแนะนำของหวังเย้า


 


บางที ฉันไม่ควรจะมีเซ็กซ์มากเกินไป


 



 


ภายในโรงพยาบาลเหลียนชาน หวังเฟิงยี่กำลังนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล และอาเจียนออกมาไม่หยุด


 


“ดูสิ! ฉันบอกแล้วว่าอย่าไป แต่พี่ก็ไม่ฟัง เห็นแล้วรึยัง? ตอนนี้อาการก็มาแย่ลงไปอีก!” ภรรยาของเขาโมโห


 


หวังเฟิงยี่ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ เขาไม่มีแม้แต่แรงที่จะไปเถียงภรรยาของเขา เขาปวดหัวอย่างหนักและรู้สึกทรมานอย่างมาก เขาเพิ่งจะอาเจียนไปและรู้สึกอ่อนแรงอย่างมาก แค่ขยับนิดเดียว ก็ไปกระตุ้นอาการป่วยของเขาได้แล้ว


621 ปลูกต้นไม้ให้เป็นกำแพงธรรมชาติ


 


“ฉันย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นดีไหม?” หวังเฟิงยี่ถาม


 


“ย้ายโรงพยาบาลเหรอ? แล้วจะย้ายไปที่ไหนล่ะ?” ภรรยาของเขารู้สึกกังวล เขารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลโดยไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยสักนิด และอาการของเขายังดูเหมือนจะแย่ลงอีกด้วย ถึงแม้ว่าสามีของเธอจะเป็นตัวปัญหา แต่เขาก็ดีกับเธอและลูกๆมาก ทั้งบ้านต้องพึ่งพาแค่เขาคนเดียว เธอจึงได้แต่หวังว่า เขาจะไม่ป่วยหนักหรือเป็นโรคที่ต้องใช้เวลารักษาตัวนาน


 


“ไปที่ห่ายชิวหรือไม่ก็โรงพยาบาลในตัวจังหวัด” หวังเฟิงยี่พูด “หมอที่นี่ไม่เห็นจะเก่งเลยสักนิด”


 


ตอนที่เขาพูดออกมานั้น หมอคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพอดี สีหน้าของหมอจึงเข้มขึ้นเล็กน้อย “ใครบอกว่าเรารักษาใครไม่ได้กัน?”


 


หมอทำหน้าบึ้งตึงและเมินใส่หวังเฟิงยี่ จากนั้น เขาก็เดินเข้าไปหาคนไข้สองคนที่นอนอยู่เตียงข้างๆเพื่อถามอาการ แล้วจึงเดินออกไปจากห้อง


 


ภรรยาของหวังเฟิงยี่รีบวิ่งตามออกไป และกลับมาในเวลาไม่นาน


 


“เป็นยังไงบ้าง?” หวังเฟิงยี่ถาม


 


“พูดเสียงเบากว่านี้มันจะตายหรือยังไง?” ภรรยาของเขาพูด “หมอไม่พอใจมาก แต่เขาก็จะทำเรื่องย้ายโรงพยาบาลให้”


 


“แค่ขอตกลงก็พอแล้ว ฉันไม่สนหรอกว่าเขาจะพอใจหรือไม่พอใจ” หวังเฟิงยี่พูด เขาไม่ได้มีความประทับใจอะไรกับหมอพวกนี้อยู่แล้ว


 


ในวันเดียวกันนั้น หวังเฟิงยี่ถูกส่งตัวไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลห่ายชิว


 


“อาการของเขาหาได้ยากมาก!” หลังจากทำการตรวจดูอาการของเขาแล้ว แพทย์ของโรงพยาบาลห่ายชิวก็พูดขึ้นมา จากนั้นไม่นาน เขาก็โทรหาผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำและปรึกษาแผนการรักษาคนไข้รายนี้


 


“โอ้ ในที่สุด ก็เจอหมอที่น่าเชื่อถือได้สักที” หวังเฟิงยี่รู้สึกโล่งใจ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกปวดหัวอยู่ไม่หาย


 


ในหมู่บ้านกลางเขา หวังเย้าปลูกเมล็ดจื๋อตานที่ได้มาใหม่ลงไปในจุดที่เหมาะสมในแปลงสมุนไพรของเขา หลังจากนั้น เขาก็โทรไปเพื่อสั่งต้นไม้และต้นไม้ทรงพุ่มจำนวนหนึ่ง เขาต้องการใช้ต้นไม้เป็นกำแพงธรรมชาติ เพื่อปิดทางเข้าออกทั้งทางทิศตะวันตก, ทิศตะวันออก, และทิศใต้ เหลือเพียงทางเข้าเล็กๆที่ทางทิศเหนือเท่านั้น


 


ในคืนนั้น เขาใช้เวลาศึกษาอยู่นาน เขาหยิบเอากระดาษที่เขียนกราฟเอาไว้ออกมา จากนั้น เขาก็วาดเขียนไปจนกระทั่งเที่ยงคืน


 


เช้าของวันต่อมา หวังเย้าเดินลงไปจากเขา เขาเจอเข้ากับเวินหว่านและลูกชายของเธออยู่ที่ริมน้ำ ลูกชายของเวินหว่านจับมือเพื่อพยุงตัวเธอเอาไว้ และพากันเดินไปอย่างช้าๆ


 


“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” เวินหว่านพูด


 


“สวัสดีครับ หลายวันมานี้ คุณเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ดีค่ะ” เวินหว่านพูด “ฉันสามารถนอนหลับได้ดี และมีแรงขึ้นเยอะเลยล่ะค่ะ ตอนนี้ ฉันยังกินได้เยอะขึ้นด้วยนะคะ แล้วอากาศในหมู่บ้านนี้ก็ดีมาก ฉันเลยชอบออกมาเดินเล่นตอนเช้าๆแบบนี้น่ะค่ะ”


 


“ดีครับ ดูจากอาการของคุณตอนนี้ คงจะทำได้แค่ออกแรงเบาๆเท่านั้น” หวังเย้าพูด “คุณควรใส่ใจเรื่องการพักผ่อนและการบำรุงเป็นสิ่งแรกนะครับ”


 


“โอ้ ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณนะคะ” เวินหว่านพูด


 


เธอเชื่อว่า ตัวเธอสามารถกลับมาหายดีได้ เธอยังคงมีชีวิตอยู่ เธอจึงรู้สึกขอบคุณชายหนุ่มคนที่ ที่ทั้งอายุน้อยและเป็นหมอมากฝีมือ


 


“ยินดีครับ” หวังเย้าพูด


 


ระหว่างทาง ทั้งสามก็พบกับชาวบ้านอยู่ประปราย เวินหว่านและลูกชายเคยพบชาวบ้านเหล่านี้มาแล้วหลายครั้ง พวกเขาจึงค่อนข้างคุ้นหน้าค่าตากันพอสมควร ในตอนแรก ชาวบ้านเพียงทักทายพวกเขาอย่างเป็นมิตรเท่านั้น ตอนนี้ พวกเขาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ชาวบ้านหลายคนจึงเริ่มนำของมาให้พวกเขาด้วย มีทั้งไข่, ไก่และเป็ด รวมไปถึงผักและแพ่นแป้งทอดด้วย


 


ชาวบ้านหลายคนรู้ว่า มีคนนอกห้าคนที่เข้ามาเช่าบ้านอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ในหมู่พวกเขานั้นมาเพื่อรับการรักษาจากหวังเย้า ก่อนหน้านี้ ซุนหยุนเชิงก็มาที่หมู่บ้านเพื่อรักษากับหวังเย้าอยู่ช่วงหนึ่งเช่นเดียวกัน พวกเขารู้สึกทึ่งที่ได้เห็นว่า มีแต่คนรวยๆที่มาเป็นคนไข้ของหวังเย้า ตอนนี้ พวกเขาจึงได้รู้แล้วว่า ชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยหัวเราะเยาะได้กลายเป็นผู้มากความสามารถไปแล้ว


 


“สองพี่น้องคู่นั้นไปไหนแล้วล่ะ?” เวินหว่านกำลังพูดถึงเฉินหยิงและเฉินโจวกับลูกชายของเธอ เพราะพวกเขาเคยเจอหน้ากันอยู่หลายครั้ง


 


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” ฟ่านโยวเหรินพูด


 


แสงแดดให้ความรู้สึกอบอุ่น เวินหว่านและลูกชายพากันเดินเรียบแม่น้ำไปทางทิศใต้ของหมู่บ้าน และเดินกลับ


 


หวังเย้าแวะไปที่บ้าน ก่อนที่จะเดินไปที่คลินิก เขาได้เตรียมยาตัวใหม่เอาไว้ เพราะเมื่อระบบอัพเกรด เขาก็ได้รับความเข้าใจใหม่ๆเกี่ยวกับตัวยามากขึ้น


 


ในตอนเช้า มีชายวัยประมาณ 50 มาที่คลินิก เขามีร่างกายที่ผอมแห้งและแก้มตอบ เขามีอาการเส้นเลือดในสมองอุดตัน แขนและขาข้างซ้ายของเขาได้รับผลกระทบจากอาการป่วย ทำให้เขาขยับแขกซ้ายได้เพียงเล็กน้อย แต่ไม่สามารถกำหมัดแน่น หรือใช้ขาขวาได้อย่างเต็มที่ มันจึงทำให้เขาต้องเดินขาเป๋


 


“คุณเป็นมานานแค่ไหนแล้วครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ตั้งแต่พฤศจิกาหรือไม่ก็ธันวาปีที่แล้วค่ะ เขาต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเกือบ 20 วัน” ผู้หญิงที่มาพร้อมกับเขาพูด


 


“คุณเป็นโรคเบาหวานใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่ ผมป่วยเป็นเบาหวาน” ชายคนนั้นพูด


 


“ตอนนี้ คุณกินยาอยู่รึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ไม่ได้กิน แต่ฉีดอินซูลิน” ชายคนนั้นพูด


 


“มาครับ ผมขอตรวจดูหน่อย” หวังเย้าตรวจดูอาการของคนไข้อย่างละเอียด เขาแทบจะไม่มีฟันเหลืออยู่ในปากแล้ว “คุณยังสูบบุหรี่อยู่ไหมครับ?”


 


“ไม่สูบ ผมเลิกแล้ว” ชายคนนั้นพูด


 


“คุณพอจะขยับได้บ้างไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


คนไข้ขยับแขนของเขา เขาสามารถขยับแขนได้ แต่ก็ไม่สามารถงอได้ตามต้องการ และนิ้วมือของเขาก็ยังไม่ยืดหยุ่นด้วย มือซ้ายของเขาเย็นกว่ามือขวา มันเป็นสัญญาณที่เห็นได้จากภายนอกว่าเกิดจากอาการของเส้นเลือดอุดตัน


 


“นั่งลงครับ” หวังเย้านวดรักษาตามจุดฝังเข็มบนร่างกายของเขา เพื่อขับเลือดที่อุดตันอยู่ในแขนซ้าย, ร่างกายด้านซ้ายท่อนบน, ขาซ้าย, และศีรษะ “คุณรู้สึกยังไงบ้างครับ?”


 


“มันเย็นนิดหน่อย แต่ตอนนี้ ผมรู้สึกอุ่นและร้อนด้วย” คนไข้พูด


 


เดิมเขาเป็นไม่ชอบความเย็นอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อร่างกายด้านซ้ายของเขาที่เย็นลง หลังจากการนวดนานกว่าหนึ่งชั่วโมง เขาก็รู้สึกได้ว่า ร่างกายของเขาอุ่นขึ้น


 


หวังเย้าหยิบเข็มออกมาสามเล่ม และฝังลงไปบนจุดฝังเข็มบริเวณศีรษะของเขา เขาหมุนและกดอยู่สองสามครั้ง ก่อนที่จะดึงเข็มออก


 


“อย่าเพิ่งรีบกลับนะครับ” หวังเย้าพูด “คุณต้องนั่งพักสักครู่ก่อน แล้วค่อยกลับ อีกสองสามวันให้กลับมาอีกทีนะครับ ประมาณเจ็ดวันก็น่าจะเห็นผลแล้ว”


 


อาการของคนไข้ยังถือว่าค่อนข้างดี ระยะเวลาที่เขาป่วยนั้นค่อนข้างสั้น ยิ่งเขาระมัดระวังในการใช้ชีวิตมากขึ้น อาการป่วยของเขาจึงไม่ได้แย่ลง


 


“ได้ครับ” คนไข้นั่งอยู่กับที่และลองขยับนิ้วมือของตัวเองดู


 


“ไม่ต้องกังวลนะครับ คุณต้องค่อยๆรักษาตัวเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวกลับมา” หวังเย้าพูด


 


“หมอคะ แค่นวดจะพอเหรอคะ? ไม่ต้องให้เขากินยาด้วยเหรอคะ?” ภรรยาของคนไข้ถาม


 


“ตอนพวกคุณมารอบหน้า ผมจะให้ยาไปกินตามอาการนะครับ” หวังเย้าพูด


 


เขารู้สึกว่า คนไข้รายนี้สามารถรักษาหายได้ด้วยการนวดและการฝังเข็ม โดยที่ไม่จำเป็นต้องกินยาเลย


 


“ได้ครับ” คนไข้พูด “ค่ารักษาเท่าไหร่ครับ?”


 


“200 หยวนครับ” หวังเย้าพูด


 


ภรรยาของคนไข้คิดในใจ แพงมาก! คลินิกรักษาคนไข้ข้างนอกคิดเงินค่านวดแค่ 50 หยวนต่อครั้งเท่านั้น ถึงเธอจะคิดแบบนั้น แต่เธอก็ยังหยิบเงินออกมาจ่ายอยู่ดี


 


“มีเรื่องอะไรที่ฉันต้องระวังไว้บ้างไหมคะ?” ภรรยาของคนไข้ถาม


 


“ผมเขียนไว้ในนี้แล้วครับ” หวังเย้าเขียนข้อควรระวังและส่งมันให้กับเธอ “อีกสองวันให้กลับมาอีกรอบนะครับ”


 


ผู้เป็นภรรยาพยุงตัวสามีของเธอเดินออกไปจากคลินิก


 


“ค่ารักษาแพงมากเลย อย่ามาที่นี่อีกเลยดีกว่านะ” คนไข้พูด


 


“ขอแค่เขาสามารถรักษาคุณได้ เราก็จะมา ถึงจะต้องจ่าย 2,000 หรือ 20,000 ก็ตาม” ภรรยาของเขาพูด “ฉันได้ฟังจากเพื่อนมาว่า หมอคนนี้รักษาเก่งมาก”


 


“ก็ได้ เราจะลองดูอีกสักครั้งก็แล้วกัน” สามีของเธอพูด


 


ตอนกลางวัน หลี่ชื่อหยูขับรถบรรทุกมาพร้อมกับต้นไม้และต้นทรงพุ่ม ซึ่งเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่หวังเย้าสั่งไปเท่านั้น


 


“มาเร็วมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“เรามีของอยู่ในร้านส่วนหนึ่งน่ะครับ ผมก็เลยอยากจะเอาทั้งหมดนี่มาส่งให้คุณก่อน” หลี่ชื่อหยูพูด


 


“ขอบคุณนะครับ เราขึ้นไปบนเขากันเถอะ” หวังเย้าพูด


 


และเหมือนเช่นเคย ต้นกล้าต้นไม้ทั้งหมดถูกขนลงไว้ที่ตีนเขา


 


“พวกนี้มันเยอะมากเลยนะครับ” หลี่ชื่อหยูพูด “คุณจัดการทั้งหมดคนเดียวไหวเหรอ?”


 


“ไม่อยู่แล้วครับ” หวังเย้าพูด


 


“ผมจะเอามาส่งพรุ่งนี้อีกชุดหนึ่งนะครับ” หลี่ชื่อหยูพูด


 


หลังจากที่เขาขับรถจากไปแล้ว หวังเย้าก็ยุ่งกับงานตรงหน้า ต้นกล้าเหล่านี้ไม่ได้หนักมาก แต่การขนย้ายก็ค่อนข้างลำบาก เขาขึ้นลงเขาอย่างรวดเร็ว ไม่นาน เขาก็จัดการขนย้ายต้นกล้าททั้งหมดเสร็จ


 


หลังกินข้าวที่บ้านเสร็จ หวังเย้าก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน เพื่อปักจุดที่เขาจะลงต้นกล้า ซึ่งมีต้นไม้ปลูกอยู่ก่อนแล้วชุดหนึ่ง ต้นไม้เหล่านั้นไม่ได้ปลูกเรียงกันเป็นระเบียบ แต่พวกมันถูกปลูกเอาไว้ในจุดที่ใช้สำหรับปิดกั้นทางเดินเข้าออกของถนน ในครั้งนี้ หวังเย้าต้องการจะเชื่อมต้นไม้ทั้งหมด เพื่อปิดตายเส้นทางนี้


 


เช้าวันต่อมา คลินิกเปิดทำการ ไม่มีคนไข้มารักษา แต่เป็นเฉินหยิงและเฉินโจวที่มาเยี่ยมเขา


 


ในตอนกลางวัน หวังเย้าแขวนป้ายเอาไว้หน้าประตูและเดินขึ้นไปบนเขา เขาลงมือขุดหลุมและปลูกต้นไม้ลงไป โดยมีซานเซียนคอยช่วยเหลือตลอดทั้งบ่าย จากนั้นไม่นาน ต้นไม้ชุดใหม่ก็ปรากฏขึ้นมาตามแนวเนินเขาซีชาน


 


“ซานเซียน ไปเอาน้ำมาที”


622 ความพิการที่เกิดจากปัญหาการเคลื่อนไหวระยะยาว


 


โฮ่ง!โฮ่ง!


 


ซานเซียนคาบถังน้ำและวิ่งไปที่แปลงสมุนไพร มันใช้ปากคาบถังน้ำ และตักน้ำจนเต็มถัง จากนั้น มันก็วิ่งกลับมาที่ต้นไม้ที่เพิ่งปลูกเสร็จ ถึงแม้ว่า ซานเซียนจะวิ่งเร็วราวกับสายลมและสายฟ้า แต่น้ำในถังกลับไปกระเด็นออกมาเลย


 


“ฉันยกหน้าที่รดน้ำต้นไม้ให้นายแล้วกันนะ” หวังเย้าพูด “นายมีปัญหาไหม?”


 


โฮ่ง! ซานเซียนดูเหมือนจะพอใจกับงานที่มันได้รับ มันชอบที่จะไปนั่นมานี่ วิ่งไปกลับระหว่างแปลงสมุนไพรและต้นไม้เหล่านี้ มันไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด


 


“โอ้ นายดูจะมีความสุขมากเลยนะ!” หวังเย้าลูบหัวซานเซียน


 


ในตอนที่เขาเดินลงไปจากเขา หวังเย้าก็ยังคงเห็นซานเซียนวิ่งรดน้ำต้นไม้อย่างมีความสุข


 



 


ที่ชานเมืองของเขตเหลียนชาน ชายวัย 50 คนหนึ่งนั่งอยู่ที่ม้านั่งและกำลังขยับนิ้วมือของตัวเองอยู่ เขาใช้มือซ้ายถือลูกวอลนัทเอาไว้สองลูก เขาบังคับนิ้วมือให้ขยับลูกวอลนัทอย่างช้าๆ แต่นิ้วมือกลับไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขา เขาไม่สามารถถือลูกวอลนัทได้ถนัดมือ จนทำให้ลูกวอลนัทหล่นลงไปที่พื้น เขาก้มตัวลงเพื่อใช้มือข้างขวาเก็บเก็บลูกวอลนัทขึ้นมา แล้ววางกลับลงไปที่มือข้างซ้าย เขาเริ่มหมุนลูกวอลนัทอีกครั้งอย่างช้าๆ


 


อยู่ๆประตูก็ถูกเปิดออกมา หญิงสาววัย 20 เดินเข้ามา “พ่อ รู้สึกดีขึ้นบ้างรึยังคะ?”


 


“อืม พ่อรู้สึกดีกว่าเมื่อวานมาก” เขาพูด “การรักษาของหมอดูเหมือนจะได้ผลดี”


 


เขารู้สึกได้ว่า นิ้วมือของเขาสามารถควบคุมได้ดีกว่าเมื่อวาน แขนของเขาก็ดูเหมือนจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้ชัดเจนมากนัก ดังนั้น เขาจึงไม่แน่ใจว่ามันไม่ใช่แค่ภาพลวงตา


 


“ไว้พรุ่งนี้ ลองพยายามดูอีกทีแล้วกัน” เขาพูด


 



 


หลังจากที่หวังเย้าทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขึ้นไปบนเนินเขาซีชานและมองหาจุดที่มีปัญหา เขาพบว่า ดอกแดนดิไลและหญ้าหางกระรอกยังคงยืนต้นอยู่ ดังนั้น เขาจึงนำน้ำแร่โบราณรดลงไป


 


หลังกลับมาที่เนินเขาหนานชานแล้ว เขาก็เริ่มทำการทดลองยาตัวใหม่ เขาตั้งใจที่จะเน้นไปที่ตัวยาที่สามารถรักษาโรคทั่วไปได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูงแลเบาหวาน หลังจากที่ได้รักษาคนไข้ที่เป็นเส้นเลือดอุดตัน เขาก็ตัดสินใจทดลองตัวยาที่สามารถขับลิ่มเลือดที่อุดตันเส้นเลือดไปด้วย


 


เขารู้ว่า เขาไม่สามารถใช้ยาผงละลายลิ่มเลือด ซึ่งเป็นสูตรยาที่ได้จากระบบมาใช้รักษาคนไข้ได้ เพราะมันจำเป็นต้องมีสมุนไพรรากเป็นสมุนไพรตัวหลัก ซึ่งมีราคาสูงมาก คนไข้ทั่วไปนั้นไม่สามารถจ่ายราคาของตัวยานี้ได้


 


การเคลื่อนไหวของแขนและขาที่มีปัญหา สามารถสร้างความกดดันให้กับตัวคนไข้ได้มากกว่าโรคเบาหวาน เพราะไม่มีใครอยากเป็นคนพิการ


 


หวังเย้าเคยพบเจอกับคนที่การเคลื่อนไหวมีปัญหามามากกว่าหนึ่งคน ซึ่งเกิดจากอาการเส้นเลือดอุดตันในสมอง ในแววตาของพวกเขานั้น หวังเย้าสามารถมองเห็นได้ถึงความไม่ยินยอม, ความรู้สึกหมดหนทาง, และจิตใจที่ย่ำแย่


 


หากปัญหาเกิดขึ้นในระยะยาว มันยังจะส่งผลต่อจิตใจของพวกเขาด้วย ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่หวังเย้าคิดจะเริ่มจากตรงนี้ ด้านหนึ่ง เขาสามารถรักษาอาการป่วย อีกด้าน เขาก็สามารถกระจายชื่อเสียงของเขาให้มากขึ้นได้ ซึ่งอันหลัง ถือเป็นภารกิจที่เขาต้องทำ


 


หม่าฮวาง, ป่ายจื๋อ, ป่ายเฉา, ตู่ฮัว, ฟางเฟิง, กานเฉา…เขาเลือกสมุนไพรมาบางส่วนและบดสมุนไพรทั้งหมดให้กลายเป็นผงละเอียด เขาใช้ตระแกรงกรองและนำมาบดอีกรอบ จนกระทั่ง ทั้งหมดกลายเป็นผงละเอียด แล้วเขาจึงเก็บพวกมันเอาไว้ในถุง


 


สำหรับประสิทธิภาพของตัวยานนั้น ยาน้ำถือว่าให้ผลเร็วที่สุด แต่น่าเสียดาย ที่การเก็บรักษาค่อนข้างยาก เขาจึงตัดสินใจทำเป็นยาเม็ด ซึ่งง่ายต่อการเก็บรักษาและให้ผลที่แน่นอน


 


เช้าวันต่อมา คนไข้ที่มีอาการเส้นเลือดอุดตันในสมองก็กลับมาที่คลินิกพร้อมกับลูกสาวของเขา


 


“คุณรู้สึกดีขึ้นบ้างรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม


 


“อืม มันดีขึ้นมานิดหน่อย” คนไข้พูด


 


“คุณฝึกแบบไหนอยู่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


เพราะอาการที่เขาเป็นอยู่ ทำให้เขาไม่สามารถทำงานอย่างคนปกติได้ บ้านของเขาตั้งอยู่ใกล้กับตัวเมือง เขาเป็นเจ้าของบ้านหลังหนึ่งและที่ดินอีก 4-5 ไร่ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถทำงานได้ เขาจึงปลูกพืชผักและเลี้ยงไก่กับกระต่าย ในเวลาว่าง เขาก็มักจะเดินช้าๆไปรอบหมู่บ้าน


 


“อืม โอเค นั่งลงด้วยครับ” หวังเย้าตรวจดูร่างกายของเขาอีกครั้ง “จับมือผมแน่นๆนะครับ”


 


ผิวที่ฝ่ามือของคนไข้ค่อนข้างหยาบกระด้าง และนิ้วมือของเขาก็ค่อนข้างหน้า สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เขาทำงานที่ให้แรงงาน ตอนนี้ มือที่ถูกยกขึ้นมาแทบจะไม่มีแรงเลย


 


หวังเย้าฝังเข็มลงไปที่ศีรษะ, ไหล่, และแขนของคนไข้ ในระหว่างการรักษา ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก


 


พันจวินเดินเข้ามาในคลินิก “อาจารย์”


 


“วันนี้ พี่ไม่ไปทำงานเหรอครับ?” หวังเย้าถาม “นั่งก่อนสิครับ ถ้าอยากดื่มชาก็จัดการเองได้เลยนะครับ”


 


“อ้าว อาจารย์ยุ่งอยู่เหรอ” พันจวินนั่งลงและมองดูหวังเย้าฝังเข็ม การลงมือของเขานิ่งเรียบและแม่นยำ


 


ในเมื่อพันจวินตั้งใจที่จะเรียนเรื่องการนวดรักษา เขาก็จำเป็นที่จะต้องจดจำจุดฝังเข็มทั้งหมดในร่างกายของมนุษย์ให้ได้ มันจำเป็นต้องใช้ทั้งความจำและความแม่นยำ


 


การนวดนั้น หากทำผิดพลาด มันก็อาจจะไม่กลายเป็นปัญหา หากกดลงไปในจุดที่ใกล้ๆกันก็ถือว่าไม่ผิด แต่การฝังเข็มนั้นต่างออกไป การฝังเข็มจำเป็นต้องใช้ความแม่นยำที่แน่นอน การฝังเข็มลงไปผิดจุด ก็สามารถทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้ และอาจจะนำไปสู่ความตายได้เลย มีเรื่องเล่าว่า ฮวาถัว(หมอยาจีน)รับคนไข้คนหนึ่งมารักษาด้วยการฝังเข็ม และเกิดความผิดพลาดขึ้น คนไข้รายนั้นไม่หายจากอาการป่วย และเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมา


 


หลังจากที่ฝังเข็มลงไปแล้ว หวังเย้าก็รออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะดึงเข็มออก การดึงเข้มนั้นเต็มไปด้วยทักษะขั้นสูง พันจวินไม่เข้าใจเรื่องการฝังเข็มเลย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี ดังนั้น เขาจึงทำได้แค่มองเท่านั้น


 


ประมาณ 20 นาทีต่อมา การฝังเข็มก็จบลง หวังเย้าเริ่มการนวดรักษาให้กับคนไข้ โดยการไปกระตุ้นให้เกิดการขับเลือดที่คั่งค้างในเส้นเลือดให้หลุดออกไป


 


เมื่อเห็นแบบนี้ ดวงตาของพันจวินก็เป็นประกายขึ้นมา เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่เขาได้ใช้เทคนิคการนวดกับคนไข้ที่คลินิกพี่สาวของเขาเท่านั้น ผลตอบรับจากเรื่องนี้ดีมาก และเขาก็ยังได้รับคำชื่นชมจากคนไข้อยู่หลายคน ยิ่งเขาได้นวดรักษาคนไข้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองยังเรียนรู้ได้ไม่พอมากเท่านั้น ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถรักษาบางโรคได้ ถ้าหากเป็นอาจารย์ของเขา เขาก็คงจะสามารถรักษาได้ในทันที


 


“มาครับ ลองจับแน่นๆดู” หวังเย้านวดให้กับคนไข้ พร้อมทั้งบอกให้เขาลองขยับแขนและนิ้วมือดู “ค่อยๆออกแรงช้าๆ ไม่ต้องกังวลนะครับ”


 


พันจวินถาม “อาจารย์ นี่คือโรคอะไรเหรอ?”


 


“ปัญหาการเคลื่อนไหวที่เกิดจากเว้นเลือดอุดตัน” หวังเย้าพูด


 


เป็นธรรมดาที่พันจวินจะรู้จักโรคนี้ มันเป็นโรคที่เห็นได้บ่อยมาก ซึ่งมักจะเกิดได้จาก ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, หรือโรคที่คล้ายกันนี้ อาการของมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในตอนเริ่มแรก คนอาจจะไม่รู้ตัวและคิดว่า แค่รู้สึกเหนื่อยหรือเพราะพักผ่อนน้อยเกินไป แต่หลังจากที่ได้หลับแล้ว ก็จะพบว่า พวกเขาไม่สามารถขยับปากไม่ให้เบี้ยว หรือขยับแขนขาได้ สำหรับนั้น หากรักษาช้าไปเพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็อาจจะส่งผลร้ายแรงได้เลย


 


“โรคนี้สามารถรักษาด้วยการนวดอย่างเดียวได้ไหม?” พันจวินถาม


 


“มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์อีกทีครับ” หวังเย้าพูดในขณะที่รักษาคนไข้ไปด้วย “ถ้าอาการหนัก การนวดอย่างเดียวคงไม่พอ มันจำเป็นต้องใช้ยาและการฝังเข็มเข้าช่วยด้วย แต่ถ้าอาการไม่หนักมาก การนวดอย่างเดียวก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”


 


“อาจารย์ช่วยอธิบายมากกว่านี้ได้ไหม?” พันจวินถาม


 


“ได้สิ” หวังเย้านวดรักษาคนไข้ และอธิบายเรื่องการรักษาไปด้วย เขาไม่ได้พูดถึงการรักษาด้วยการนวดอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงข้อควรระวังในการใช้ชีวิตด้วย แบบนี้ ก็จะทำให้คนไข้และลูกสาวของเขาไม่รู้สึกเบื่อด้วย พวกเขายังรับฟังอย่างตั้งใจไปพร้อมกับพันจวิน


 


“การฟื้นตัวของคนไข้ที่ป่วยหนัก ยังต้องให้ความสำคัญในเรื่องของการใช้ชีวิตและการออกกำลังกายด้วย” หวังเย้าพูด “และยังต้องควบคุมน้ำตาลในเลือดให้ดี”


 


ถ้าหากเกิดการอุดตันของเส้นเลือดขึ้นมาอีก และไม่ได้รับการรักษาที่ดีหรือทันเวลา มันก็อาจจะทำให้สถานการณแย่ลงได้ คนไข้อาจจะต้องนั่งรถเข็นหรือเคลื่อนไหวไม่ได้อีกตลอดชีวิต


 


หวังเย้านวดแขน, ขา และร่างกายท่อนบนของคนไข้ เมื่อไปถึงส่วนหัว พันจวินก็มองดูไม่ให้คลาดสายตา และถามคำถามมากขึ้น ในตอนนี้ เขายังไม่ได้นวดรักษาในส่วนศีรษะของคนไข้ที่คลินิกพี่สาวของเขา เพราะเขายังมีความกังวลอยู่ ศีรษะนั้นต่างไปจากส่วนอื่นๆในร่างกาย


 


“จำที่ผมบอกเอาไว้ให้ดี บางโรคสามารถใช้วิธีนี้รักษาได้ แต่บางโรคก็ไม่ได้” หวังเย้าพูด


 


“อืม ฉันจะจำเอาไว้” พันจวินพูด


 


“คุณก็มีคลินิกเหมือนกันเหรอ?” คนไข้ยิ้มและถาม หลังจากได้รับการฝังเข็มและนวดรักษาจากหวังเย้าแล้ว เขาก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก และการอยู่นิ่งนานๆก็ทำให้เขารู้สึกเบื่อ


 


“เปล่าหรอกครับ ผมไม่มีคลินิก แต่ผมเป็นหมออยู่ในโรงพยาบาล” พันจวินพูด


 


“หมอ? อยู่โรงพยาบาลไหนเหรอ?” คนไข้ถาม


 


“โรงพยาบาลเหลียนชาน แผนกฉุกเฉินครับ” พันจวินตอบ


 


สองพ่อลูกต่างพากันอยู่ในอาการตกตะลึง หมอจากโรงพยาบาลประจำเขตกลับมาเรียนรู้การรักษาที่คลินิกเล็กๆแบบนี้ แล้วยังเรียกชายหนุ่มว่า “อาจารย์” อีกด้วย นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว


 


หวังเย้าไม่ได้พูดอะไรมากในเรื่องนี้


 


หลังจบการรักษา สองพ่อลูกก็จ่ายค่ารักษาและจากไป


623 อาการดีขึ้นภายในสามวัน โดยที่ไม่ต้องกินยาหรือฉีดยา


 


“ด้วยการรักษาของอาจารย์ เขาจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะหายได้เหรอ?” พันจวินถาม


 


การเคลื่อนไหวของคนไข้มีปัญหา พันจวินพอจะเข้าใจอาการของโรคนี้ดี เพราะเขาเคยเจอคนไข้ที่อาการคล้ายกันในแผนกฉุกเฉินอยู่บ่อยๆ คนไข้ส่วนใหญ่ที่เป็นเส้นเลือดอุดตันและได้รับการรักษาทั่วไปจากโรงพยาบาล มักจะไม่สามารถกลับไปเป็นปกติได้อีก ความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นไปอย่างถาวร หากคนไข้รักษากับทางโรงพยาบาล เขาก็อาจจะไม่ได้อาการดีขึ้น และอาจจะแย่ลงด้วยซ้ำ


 


“10 วัน” หวังเย้าพูด


 


“แค่ 10 วันเองเหรอ? แล้วเขาไม่จำเป็นต้องกินยาอะไรเลยเหรอ?” พันจวินถาม


 


“บางทีอาจจะน้อยกว่า 10 วันด้วย เพราะอาการของเขาไม่ได้แย่มาก ผมสามารถรักษาเขาให้กายได้ด้วยการนวดและฝังเข็มเท่านั้นก็พอแล้ว” หวังเย้าพูด


 


“อาจารย์มียาอะไรที่สามารถใช้รักษาอาการเส้นเลือดอุดตันไหม?” พันจวินถาม


 


“ตอนนี้กำลังทำอยู่” หวังเย้าพูด


 


“ช่วงก่อน มีคนไข้ที่เป็นเส้นเลือดอุดตันมาที่คลินิกพี่สาวของฉันเยอะเลยล่ะ” พันจวินพูด “ฉันช่วยให้พวกเขาอาการดีขึ้นไม่ได้ ถ้าพวกเขามาอีก ฉันแนะนำให้พวกเขามาที่นี่ได้ไหม?”


 


“ได้สิ แต่อย่ายัดเหยียดให้พวกเขาล่ะ ถ้าพวกเขาไม่อยากมาก็ไม่เป็นไร” หวังเย้าพูด “บ่ายนี้ ผมไม่รับคนไข้เพิ่มแล้ว ผมว่าจะอยู่ที่คลินิกแค่ช่วงเช้าสักสองสามวันน่ะ พี่ถามทำไมเหรอ? หรือมีเรื่องอะไรอยากให้ผมทำ?”


 


“ไม่มีอะไรหรอก” พันจวินพูด


 


เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาแค่อยากจะเรียนรู้จากหวังเย้าเท่านั้น แต่เขาก็ไม่อยากจะดึงดันจนเกินไป เขาชวนหวังเย้าไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน หลังจากนั้น เขาก็กลับไป


 


หลี่ชื่อหยูเดินทางมาถึงตามเวลาในตอนบ่าย เขามาพร้อมกับรถบรรทุกที่เต็มไปด้วยต้นไม้ หวังเย้าขนต้นไม้ทั้งหมดขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน และเริ่มลงมือปลูกพวกมันทั้งหมด


 


หวังเย้าตรวจคนไข้ในตอนเช้าและปลูกต้นไม้ตอนกลางวัน ทั้งหมดใช้เวลา 7 วัน หลี่ชื่อหยูทำการขนส่งต้นไม้ทั้งหมดสี่รอบ


 


หวังเย้าปลูกต้นไม้รอบเนินเขาหนานชานเป็นสองแนว ต้นไม้แบบทรงพุ่มถูกปลูกเป็นแนวโค้ง ด้านหนึ่งของต้นไม้ทรงพุ่มเป็นหน้าผาที่สูงประมาณ 8 เมตร มันเป็นหน้าผาที่ค่อนข้างชันและเป็นแนวตั้งเกือบ 90 องศา อีกด้านหนึ่งเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ตัวหินมีความสูงเกือบ 10 เมตร อีกด้านของก้อนหินคือทิศใต้ของเนินเขาหนานชาน ก็เป็นหน้าผาสูงชันเกือบ 15 เมตร ต้นไม้ทั้งสองแถวดูเหมือนยังขาดอะไรไป แต่เมื่อพวกมันเติบโตเต็มที่แล้ว พวกมันก็จะกลายเป็นกำแพงธรรมชาติที่ปิดทางเข้าออกทางทิศตะวันตกไป


 


ซานเซียนมีความสุขที่ได้ช่วยรดน้ำต้นไม้ มันไม่มีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ๆกับต้นไม้เหล่านี้ โชคดีที่หวังเย้ามีซานเซียนคอยช่วย


 


หวังเย้าวางแผนที่จะปลูกต้นไม้แบบเดียวกันนี้ที่ทางทิศตะวันออกของเนินเขา เขาจึงสั่งต้นไม้กับหลี่ชื่อหยูเพิ่ม ทันทีที่เขาโทรไป หลี่ชื่อหยูก็จัดการขนส่งต้นไม้มาให้ในทันที


 


หวังเย้าเก็บใบของจื้อหยูมาหลายใบเพื่อนำไปทำเป็นยา หลังจากที่ตัวยาเย็นลงแล้ว เขาก็เทมันใส่ลงไปในขวดกระเบื้อง นี่เป็นส่วนสุดท้าย ที่เขาจะนำไปทำเป็นยาเม็ดต่อไป


 


หวังเย้าจัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว เขาวางแผนที่จะทำยาในวันถัดไป หลังเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินออกมาจากกระท่อมพร้อมกับเก้าอี้ตัวหนึ่ง เขาวางเก้าอี้ไว้ติดกับกกำแพงและนั่งลง


 


เมื่อได้ยินเสียงเจ้านายของมันเดินออกมาจากกระท่อม ซานเซียนเดินออกมาจากบ้านสุนัข


 


“ขอบคุณที่หลายวันมานี้นายคอยช่วยฉันนะ” หวังเย้าพูด


 


โฮ่ง! ซานเซียนเห่าตอบอย่างมีความสุข


 


“เด็กดี” หวังเย้าตบหัวซานเซียนเบาๆ “พรุ่งนี้จะเป็นวันที่สดใส”


 


การทำยาจำเป็นต้องทำในเวลาที่ดี รวมถึงสถานที่และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมด้วย ทั้งสามอย่างนี้ไม่ควรขาดสิ่งใดไป


 


เช้าวันต่อมา หวังเย้ามีคนไข้แค่คนเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือ เหอชื่อหลี่ การเดินของเขาดีขึ้นมาก ในตอนที่เดินเข้ามา เขากำลังหมุนลูกวอลนัทด้วยมือซ้าย และมีสีหน้าที่ดีขึ้นมาก


 


“อรุณสวัสดิ์ค่ะ หมอหวัง” หญิงสาวที่มาพร้อมกับเหอชื่อหลี่พูด


 


“อรุณสวัสดิ์ครับ เชิญนั่งก่อนครับ ผมคิดว่า อาการของคุณดีขึ้นมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูดกับคนไข้


 


“ใช่แล้ว ขาซ้ายของผมมีแรงขึ้นมาก และแขนกับมือซ้ายก็เคลื่อนไหวได้ดีกว่าเดิมด้วย ดูสิ!” เหอชื่อหลี่ยืดแขนของเขา ซึ่งดูเป็นธรรมชาติมากกว่าแต่ก่อนมาก “ผมยังรู้สึกว่ามันหนักน้อยลงด้วยล่ะ”


 


“ดีมากครับ ผมขอตรวจดูหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด เขาตรวจดูอาการของเหอชื่อหลี่อย่างละเอียด “อาการของคุณเริ่มดีขึ้นแล้ว ผมคิดว่า ถ้ารักษาไปอีกครั้ง คุณก็น่าจะหายดี แล้วอีกสักเดือนค่อยกลับมาดูอาการกันอีกทีนะครับ”


 


“ได้ครับ” เหอชื่อหลี่พูด


 


หวังเย้ารักษาเขาด้วยการฝังเข็ม ตามด้วยการนวดรักษา เหอชื่อหลี่อยู่ในอารมณ์ที่ดีมาก แถมยังเล่นมุกกับหวังเย้าด้วย


 


“พ่ออย่าพูดมากสิ” ลูกสาวของเขาพูด


 


“ทำไมล่ะ? ตอนนี้ ผมพูดไม่ได้เหรอครับ?” เหอชื่อหลี่ถาม


 


“พูดได้ครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมดีใจที่คุณอารมณ์ดี การมีอารมณ์ที่ดีก็มีส่วนช่วยในการรักษาเหมือนกันนะครับ”


 


หวังเย้ารักษาเหอชื่อหลี่เสร็จตอนประมาณ 10 โมง เมื่อเห็นว่าไม่มีคนไข้มาแล้ว เขาจึงปิดคลินิกเร็วกว่าปกติ เขาแขวนป้ายเอาไว้ที่หน้าประตู และบอกกับคนที่บ้านว่าเขาจะขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน


 


“เขามัวยุ่งเรื่องอะไรอยู่? ถึงขนาดกลับมากินข้าวกลางวันที่บ้านไม่ได้” จางซิวหยิงบ่น


 


“ปล่อยให้เขาทำตามใจเถอะ” หวังเฟิงฮวาพูด “เธอไม่เห็นเหรอ ว่ามีรถขนต้นไม่ไปที่เนินเขาน่ะ?”


 


เขาและภรรยาอยากจะช่วยลูกชายปลูกต้นไม้ด้วย แต่หวังเย้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา หวังเฟิงฮวาเคยขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานอยู่สองสามครั้ง เพื่อไปดูการทำงานของหวังเย้า เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เขาจึงตัดสินใจปล่อยให้ลูกชายของเขาทำงานไป


 


หวังเย้าเตรียมผงสมุนไพรทั้งหมดที่จะใช้ทำยาเม็ดอยู่บนเนินเขาหนานชาน เขายังมีถาดใส่สมุนไพรและน้ำสกัดจากจื้อหยูที่พร้อมนำมาใช้งานเรียบร้อยแล้ว


 


จากนั้น เขาก็เริ่มลงมือทำยาเม็ด เขาโรยผงสมุนไพรลงไปในถาด ฉีดน้ำสกัดจื้อหยูลงไปบนผงสมุนไพร และเขย่าถาดเพื่อให้ผงสมุนไพรกับน้ำจื้อหยูผสมกัน เขาทำขั้นตอนนี้ซ้ำๆไปเรื่อยๆ


 


แล้วผงสมุนไพรก็ค่อยๆรวมตัวกลายเป็นเม็ดกลมๆ ในตอนแรก มันมีขนาดเท่าเมล็ดข้าวเท่านั้น และต่อมา มันก็ค่อยๆใหญ่ขึ้น


 


การทำยาเม็ดจำเป็นต้องใช้ทั้งกำลังและแรงที่เหมาะสม หวังเย้าทำไปอย่างไม่รีบร้อน เขาทำงานไปจนกระทั่งถึงเวลาเที่ยง แต่ก็ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะทำอาหารกลางวันกิน และในที่สุด เม็ดยาชุดแรกก็เสร็จเรียบร้อย พวกมันไม่ได้ใหญ่มาก และมีขนาดประมาณเม็ดถั่ว ยาแต่ละเม็ดยังมีกลิ่นสมุนไพรโชยออกมาอีกด้วย


 


ได้เวลาทดลองยาแล้ว หวังเย้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ฉันว่า ยาเม็ดพวกนี้คงไม่เหมาะกับซานเซียนหรอก


 


ในตอนที่เขากำลังลังเลอยู่นั้น เสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้นมา เขาก็คือซุนหยุนเชิง ซึ่งต้องการให้เขารักษาคนไข้รายหนึ่ง เขาถามหวังเย้าว่า หวังเย้าสะดวกที่จะพบคนไข้ได้ตอนไหน


 


“ช่วยส่งเอกสารการรักษาของเขามาให้ผมได้ไหม?” หวังเย้าถาม “ผมอยากดูรายละเอียดก่อน แล้วค่อยบอกคุณว่าจะรักษาเขาได้ไหม”


 


“โอเค ขอบคุณนะ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


เขาส่งข้อมูลทั้งหมดไปให้หวังเย้าผ่านทางอีเมลล์ คนไข้รายนี้เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่มีร่างกายผอมแห้งราวกับมัมมี่ อาการของเขาค่อนข้างพิเศษ ทันทีที่เขาป่วย เขาก็จะรีบหายามากินทันที โดยที่ไม่สนว่า อาการที่เป็นอยู่นั้นจำเป็นต้องกินยาหรือไม่ เขากินยาปฏิชีวนะและโคโรค(ก้อนนิ่วในถุงน้ำดีของวัว แพทย์จีนนำมาทำเป็นยาสมุนไพรและมีราคาสูง) เข้าไปเป็นจำนวนมาก ด้วยความคิดที่ว่า เขาจะสามารถขับพิษทั้งหมดออกไปจากร่างกายของเขาได้ด้วยยาเหล่านี้


 


สุดท้าย เพราะการที่เขากินยาเข้าไปมากเกินความจำเป็น จึงทำให้เขามีอาการดื้อยา มีอยู่วันหนึ่ง เขาได้ไปฉีดยาปฏิชีวนะ แต่ยาเหล่านั้นกลับไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย ครอบครัวของเขาจึงต้องสั่งยาปฏิชีวนะจากต่างประเทศเพื่อรักษาชีวิตของเขา แพทย์ต้องใช้เวลาในการรักษาเขานานมาก ไม่นาน อวัยวะภายในของเขาก็ค่อยๆล้มเหลวไปทีละอย่าง เขาต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลและอยู่ในอาการโคม่า


 


“ช่วงนี้ผมคงไม่ออกไปจากหมู่บ้าน ให้เขามาหาผมที่คลินิกแล้วกันนะ” หวังเย้าพูด


 


“คุณช่วยมาดูอาการของเขาที่โรงพยาบาลไม่ได้เหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม


 


“ต้องขอโทษด้วย หลายวันต่อจากนี้ ผมคงยังออกไปไหนไม่ได้” หวังเย้าพูด


 


“งั้นผมจะลองบอกเขาดู” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“โอเค” หวังเย้าพูด


 


เขาหาอะไรทานง่ายๆตอนสี่โมงเย็นที่บนเนินเขา ก่อนที่เขาจะไปดูต้นไม้ที่เพิ่งปลูกไปได้ไม่นาน ต้นไม้ทุกต้นมีการเจริญเติบโตเป็นที่น่าพอใจ


 


“เยี่ยม” หวังเย้าพูด


 



 


บ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองเหลียนชาน ชายวัย 50 กำลังใช้มือซ้ายหมุนลูกวอลนัทในมือ และเขาก็ทำได้ดีมากด้วย


 


“คุณเริ่มดีขึ้นมาแล้วนะ” ภรรยาของเขาพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ใช่ ดีขึ้นมากเลยล่ะ” เขาพูด


 


“ลุงของเหอหลิงจะมากินข้าวเย็นกับเรานะ” ภรรยาของเขาพูด


 


“ดีเลย” เขาพูดออกมาอย่างยินดี


 


แขกที่นัดไว้ได้เดินทางมาถึงในตอนเย็น


 


“มือของพี่เขยขยับได้ดีขึ้นมากแล้วนะเนี่ย” แขกพูด


 


“ใช่ ฉันไปเจอหมอเก่งๆมา แล้วเขาก็นวดกับฝังเข็มรักษาให้ฉันน่ะ ฉันรักษากับเขามาได้ห้าวัน แล้วการรักษาก็ได้ผลดีมากด้วย จะบอกว่า แขนซ้ายของฉันกลับมาเป็นปกติแล้วก็ไม่ถูก แต่ฉันก็สามารถขยับทำอะไรต่างๆได้ไม่มีปัญหาล่ะนะ” ชายวัย 50 พูดด้วยรอยยิ้ม


 


“งั้นเรามาดื่มไวน์ฉลองกันเถอะ” แขกพูด


 


“อย่าดื่มเยอะล่ะ” ภรรยาของเขาพูด


 


หลังทานอาหารเสร็จ ทุกคนในครอบครัวก็มานั่งรวมตัวเพื่อพูดคุยกัน


 


“สนใจจะเล่นไพ่กันไหม?” แขกถาม


 


“เอาสิ” ชายเจ้าของบ้านพูด


 


มีหลายคนที่ร่วมเล่นไพ่ และเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เป็นเพราะอาการเส้นเลือดอุดตัน เลยทำให้เขาไม่สามารถจับไพ่ได้ แต่จะให้เขาใช้ปากคาบไพ่ก็คงจะไม่เหมาะ ดังนั้น เขาจึงไม่ได้เล่นไพ่มาเป็นเวลานาน และทำได้เพียงแค่นั่งมองเท่านั้น


624 ชายที่หลับใหล ตื่นขึ้นมาในทุกๆสามวัน


 


“โอ้โห พี่เขยถือไพ่ได้แล้วด้วย” น้องเขยของเหอชื่อหลี่พูด “พี่เขยดูไม่มีปัญหาเลยสักนิด”


 


การเล่นไพ่จำเป็นต้องใช้สองมือทำงานประสานกัน ซึ่งจะขาดข้างใดข้างหนึ่งไปไม่ได้


 


“อืม ใช่แล้วล่ะ หมอก็บอกมาแบบนั้นเหมือนกัน เขายังบอกให้กลับไปเช็คอีกรอบตอนผ่านไปได้เดือนหนึ่งแล้วด้วย” เหอชื่อหลี่ยิ้ม นิ้วมือของเขายังไม่ได้หายดีร้อยเปอร์เซ็นต์ และยังคงขยับติดๆขัดๆอยู่บ้าง แต่หากฝึกบ่อยๆ เขาก็จะสามารถใช้งานนิ้วมือได้เป็นปกติอีกครั้ง


 


“ค่ารักษาเท่าไหร่เหรอ?” น้องเขยของเขาถาม


 


“ค่ารักษาครั้งละ 200 หยวน ทั้งหมดเป็น 1,000 หยวน” เหอชื่อหลี่พูด


 


“นั่นไม่ถือว่าแพงเลยนะ ขอแค่รักษาหายได้ จะต้องจ่ายเป็นหมื่นก็ไม่ใช่ปัญหา แค่พันเดียวไม่ถือว่าแพงเลยสักนิด” น้องเขยของเขาพูด


 


“ใช่ หนูก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ” ลูกสาวของเหอชื่อหลี่พูด


 


“แสดงว่าหมอคนนี้ต้องเก่งมากแน่ๆ” น้องเขยพูด “เขาอยู่ที่ไหนเหรอ?”


 


“อยู่ที่หมู่บ้านหวังเจีย เป็นหมู่บ้านเล็กๆกลางเขาน่ะ” เหอชื่อหลี่พูด


 


“ดีล่ะ ฉันจะจดที่อยู่เอาไว้” น้องเขยพูด “อาการป่วยแบบนี้เป็นหันหลายคนมาก เมื่อไม่กี่วันก่อน จ้าวหงหยิงล้ม แล้วหล่อนก็ลุกขึ้นไม่ได้อีกเลย พี่เขยต้องใส่ใจตัวเองให้มากๆนะ ถ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนก็ต้องรีบบอกพวกเรา ครั้งก่อนที่พี่หมดสติไป เลยทำให้การรักษาล่าช้าไปด้วย”


 


“อืม ได้เลย ฉันจะใส่ใจตัวเองให้มากกว่านี้” เหอชื่อหลี่พูด


 


ทั้งครอบครัวต่างใช้เวลาอย่างมีความสุข โดยเฉพาะเหอชื่อหลี่ สุขภาพคือสิ่งสำคัญที่สุด และคุ้มค่ากับความสุขที่ได้รับ


 



 


ปักกิ่ง


 


“เจ้าหญิงของแม่ ลูกอยากจะไปที่ไหนจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงพบว่า ช่วงหลังมานี้ ลูกสาวของเธอไม่ค่อยอยากอาหารหรือเครื่องดื่มเลย เธอดูเบื่อและอยากจะออกไปเที่ยว


 


“หนูอยากไปเหลียนชานค่ะ คุณแม่” ซูเสี่ยวซวีพูดออกมาโดยไม่ลังเล


 


“ที่ไหนนะจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงอึ้ง “ลูกจะไปที่นั่นทำไมกัน? จะไปหาหมอหวังเหรอจ๊ะ?”


 


“ใช่ค่ะ หนูมีปัญหาเรื่องการฝึก หนูจำเป็นต้องปรึกษาเรื่องนี้กับหมอหวังค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ปัญหา? ปัญหาอะไรจ๊ะ? มันร้ายแรงมากไหม?” ซงรุ่ยปิงถามอย่างร้อนรน


 


เธอไม่ได้ชอบเลย ที่ลูกสาวของเธอฝึกกำลังภายในแบบนี้ ถึงแม้ว่าหมออาวุโสทั้งสองคนจะบอกว่า มันเป็นสิ่งที่คนนับไม่ถ้วนต่างไขว่คว้า แต่เธอก็ยังกลัวว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับลูกสาวของเธออยู่ดี เธอยังเคยเปรยเรื่องนี้อยู่สองสามครั้ง แต่ลูกสาวของเธอกลับมีความแน่วแน่อย่างมาก ดังนั้น เธอจึงเลิกพูดเรื่องนี้ไป และดูเหมือนว่า ตอนนี้จะเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นแล้ว


 


“มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรเลยค่ะ อย่ากังวลไปเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวียิ้ม


 


“ลูกกำลังแกล้งหลอกให้แม่กลัวอยู่ใช่ไหม?” ซงรุ่ยปิงมองดูลูกสาวที่กำลังหัวเราะอยู่ และเข้าใจว่าซูเสี่ยวซวีกำลังคิดอะไร “พรุ่งนี้ ลูกไปกับชูเหลียนก็แล้วกันนะ”


 


“ได้ค่ะ คุณแม่ คุณแม่รักหนูมากที่สุดเลย!” ซูเสี่ยวซวีมีความสุข เธอเดินเขาไปกอดแม่ของเธอเอาไว้


 


“ปากหวานจริงนะ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ต้องจำเอาไว้ ตอนที่ออกไปข้างนอก ลูกต้องเชื่อฟังชูเหลียนนะ” ซงรุ่ยปิงพูด


 


“ได้ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


เฮ้อ! ซงรุ่ยปิงได้แต่แอบถอนหายใจเบาๆ


 



 


ในหมู่บ้านกลางเขา สายฝนของฤดูใบไม้ผลิโปรยลงไปบางเบา


 


มีรถหลายคันขับเข้ามาภายในหมู่บ้าน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นรถหรูราคาแพง พร้อมทั้งมีรถทัวร์คันหนึ่งตามมาด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบไม่เคยได้เห็นในหมู่บ้านแห่งนี้ ชาวบ้านหลายคนเดินกางร่มออกมาดูด้วยความสนใจ


 


“พวกเขามาจากที่ไหนกันน่ะ?” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นมา “พวกเขาจะต้องรวยมากแน่ๆ”


 


“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาหาลูกชายของหวังเฟิงฮวานะ” ชาวบ้านอีกคนพูด


 


“เฮ้อ พวกคนรวยนี่ต่างกับเราจริงๆเลยนะ” ชาวบ้านอีกคนพูด “นั่นใช่รถบ้านรึเปล่า?”


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ได้เห็นรถบ้าน


 


ซุนหยุนเชิงลงมาจากรถและเดินเข้าไปในคลินิก และเขาก็ได้บอกกับหวังเย้าเอาไว้แล้ว ว่าเขาจะเดินทางมาที่นี่ “เชียนเชิง ขอโทษที่ต้องรบกวนคุณอีกแล้วนะครับ”


 


“เขามาด้วยเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“เขาอยู่ข้างนอกครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“พาเขาเข้ามาได้เลยครับ” หวังเย้าพูด


 


ซุนหยุนเชิงเดินออกไปด้านนอกและพูดบางอย่างกับคนเหล่านั้น ประตูรถถูกเปิดออก ชายร่างกายกำยำหลายคนได้แบกเตียงที่มีคนคนหนึ่งนอนอยู่ออกมาจากรถ พร้อมกับกางร่มกันฝนเอาไว้ ทั่วทั้งร่างของคนไข้มีผ้าห่มคลุมอยู่จนแทบมิดหัว


 


“โอ้ นั่นใครกันน่ะ?” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นมา


 


“เขาจะต้องเป็นคนที่รวยมากแน่ๆ” ชาวบ้านอีกคนพูด


 


มีชาวบ้านเดินเข้ามามุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ


 


เหล่าชายที่กำลังแบกเตียงอยู่ทำงานอย่างคล่องแคล่วและว่องไว ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำแบบนี้ คนไข้ถูกพาตัวเข้าไปด้านในคลินิกของหวังเย้า


 


แก้มของคนไข้ซูบตอบ ราวกับว่า ตัวเขาเหลือแค่กระดูกกับผิวหนังเท่านั้น ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ เขาอยู่ในอาการเซื่องซึมและแทบจะไม่เหลือลมหายใจ


 


“หมอหวัง นี่คือ เจิ้งชื่อฉง หรือคุณเจิ้งครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“สวัสดีครับ หมอหวัง” ผู้นำของกลุ่มคนที่พาตัวคนไข้มา เป็นชายวัยประมาณ 40 เขามีใบหน้าเหลี่ยมและคิ้วเข้ม บนใบหน้าของเขาไร้รอยยิ้มและอารมณ์


 


อาจจะพูดได้ว่า ชายคนนี้มีพลังชั่วร้ายอยู่รอบตัวอย่างหนาแน่น และพลังแบบนี้ หวังเย้าเคยเห็นจากคนคนหนึ่ง ซึ่งก็คือ อาหาว


 


“สวัสดีครับ เชิญนั่ง แล้ววางคนไข้เอาไว้ตรงนี้ได้เลยครับ” หวังเย้าเดินเข้าไปดูคนไข้ใกล้ๆ


 


ชีพจรของชายหนุ่มเต้นอ่อนมาก และการเต้นของหัวใจก็อ่อนด้วยเช่นกัน อัตราการเต้นหัวใจของคนปกติอยู่ที่ 70ครั้งต่อนาที แต่ของชายคนนี้เต้นไม่ถึง 40 ครั้งต่อนาทีด้วยซ้ำ ในสถานการณ์ทั่วไป มันจะเกิดขึ้นได้กับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำเท่านั้น


 


ยา!


 


หวังเย้าเดาได้ในทันทีว่า จะต้องมีคนใช้ยาบางอย่างเพื่อคงสภาพของเขาเอาไว้ “คนไข้อยู่ในสภาพนี้นานแค่ไหนแล้วครับ?”


 


“เขามีอาการเซื่องซึมแบบนี้ได้ครึ่งปี และป่วยมาได้ปีหนึ่งแล้วครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


“ตอนนี้ เขากินยาอะไรบ้างครับ?” หวังเย้าถาม


 


เจิ้งชื่อฉงมีอาการลังเล “เขากินยาของชาวเมี่ยวครับ”


 


“ยาของชาวเมี่ยว? มันมาจากเขตเมี่ยวใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


“เป็นยาของราชายาเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“คุณรู้เรื่องของเขาด้วยเหรอครับ?” ดวงตาของเจิ้งชื่อฉงเป็นประกาย


 


“ผมพอจะได้ยินเรื่องของเขามานิดหน่อยน่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


“อ่อ” มีเสียงพึมพำดังลอดผ่านลมหายใจของเจิ้งชื่อฉง คนหนึ่งอยู่ทางใต้ ส่วนอีกคนก็อยู่ทางเหนือ


 


“แล้วยา เป็นยาจากราชายาเหรอครับ?” หวังเย้าถามอีกครั้ง “คุณได้พบกับเขาไหม?”


 


“ไม่ใช่เขาหรอกครับ แต่เป็นลูกศิษย์ของเขา” เจิ้งชื่อฉงพูด “เราพยายามจะเข้าพบราชายาแล้ว แต่เขาก็ปฏิเสธ เราไปเจอกับลูกศิษย์ของเขา แต่มันก็ไม่ใช่ยาจากราชาอยู่ดี มันสามารถชะลอการเสื่อมสภาพของร่างกายและคงสภาพให้อยู่ในสภาวะนอนหลับตลอดเวลาน่ะครับ”


 


“แล้วเขาตื่นบ่อยแค่ไหนครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ทุกๆสามวันครับ” เจิ้งชื่อฉงตอบ


 


เขาตื่นขึ้นมาในทุกๆสามวัน และจะได้รับอาหารที่ทำมาเป็นการเฉพาะ เขาจะกินยาที่ทำให้เขาอยู่ในสภาวะหลับใหลอย่างต่อเนื่อง


 


หลังจากตรวจดูคนไข้แล้ว หวังเย้าก็พอจะเข้าใจอาการของเขาได้พอสมควร อวัยวะภายในของเขาล้มเหลว มีพิษไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขาในปริมาณมาก และไม่สามารถลดทอนลงหรือกำจัดออกไปได้ โดยสรุป เขานั้นสิ้นหวังแล้ว


 


“หมอหวัง พอจะมีทางช่วยเขาได้ไหมครับ?” เจิ้งชื่อฉงถาม


 


“ผมลองรักษาเขาดูได้ แต่คุณก็ต้องฟังผมในระหว่างที่ทำการรักษาอยู่ด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด “ต้องจำเอาไว้ด้วยว่า ผมไม่มั่นใจว่าจะสามารถรักษาเขาให้หายได้รึเปล่า”


 


“ไม่มีปัญหาครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


“ผมจะเอายาให้เขากินก่อนนะครับ” หวังเย้าหยิบเอาเม็ดยาจิ่วเฉาออกมา และป้อนมันให้กับคนไข้


 


สภาพร่างกายของชายหนุ่มเป็นเหมือนกับเรือที่อยู่ในสภาพผุพังเต็มไปด้วยรูพรุน และสามารถอับปางลงท่ามกลางพายุได้ทุกเมื่อ ร่างกายของเขานั้นไม่ต่างจากคนป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายเลย เพราะโรคที่อยู่ภายในร่างกายของเขาไม่สามารถกำจัดออกไปได้ด้วยยาทั่วๆไป ซึ่งเป็นเรื่องที่เลวร้ายและเป็นปัญหาอย่างมาก


 


“หมอหวัง คุณพอจะบอกแผนการรักษาให้ผมฟังหน่อยไห้ไหมครับ?” เจิ้งชื่อฉงถาม


 


“เราจำเป็นต้องทำให้ร่างกายของเขากลับแข็งแรง กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและขับพิษออกจากร่างกายครับ” หวังเย้าพูดสรุปแบบคร่าวๆ “สุดท้ายก็คือ การฟื้นฟูกำลัง”


 


“แล้วการรักษาจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนครับ?” เจิ้งชื่อฉงถาม


 


“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ” หวังเย้าพูด


 


“เข้าใจแล้วครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


เขาจัดการสั่งงานคนของเขาในทันที จากนั้น เขาก็หันไปถามซุนหยุนเชิง “ผมขอยืมบ้านพักของคุณจะได้ไหมครับ?”


 


“ได้สิครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะจดจำความช่วยเหลือของคุณเสมอครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด


 


“เกรงใจเกินไปแล้วล่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“หมอหวัง มีอะไรที่ผมต้องทำอีกไหมครับ?” เจิ้งชื่อฉงถาม


 


“เอายาให้เขากินพรุ่งนี้เช้าทีนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้ครับ ขอบคุณมาก” เจิ้งชื่อฉงสั่งให้คนแบกร่างคนไข้ออกไปจากคลินิก


 


“หมอหวัง ผมขอตัวกลับไปกับพวกเขาก่อนนะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


เขาเดินออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ และนำทุกคนไปที่บ้านพักของเขา


 


“หมอหวังมีข้อห้าม หรือกฎเกณฑ์อะไรที่เราต้องปฏิบัติตามไหมครับ?” เจิ้งชื่อฉงกระซิบถาม


 


ตอที่พวกเขาอยู่ที่เขตเมี่ยว พวกเขาเผลอทำผิดกฎของราชายาเข้า เรื่องนี้ได้ทำให้ราชายาไม่พอใจจนไล่พวกเขาออกไปและปฏิเสธที่จะให้การรักษา ถ้าหากไม่ใช่เพราะ พวกเขาจ่ายเงินไปก้อนใหญ่และใช้เส้นสายละก็ พวกเขาก็คงจะไม่ได้เจอกับลูกศิษย์ของราชายาด้วยซ้ำ


 


“กฎเหรอครับ? คุณห้ามไปที่บ้านของเขา หรือรบกวนคนในครอบครัวของเขา พยายามอย่าทำตัวเด่น เวลาอยู่ในหมู่บ้าน” ซุนหยุนเชิงตอบ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)