Elixir Supplier 605-612

 605 ทำยังไง


 


แคเรน คาร์เพนเทอร์ นักร้องชื่อดังของทางฝั่งสหรัฐอเมริกาได้เสียชีวิตลงด้วยโรคอะนอเร็กเซีย มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เธอต้องเสียชีวิตลงในวัยแค่ 32 ปีเท่านั้น


 


หวังเย้าอ่านเคสรักษาที่คล้ายกันนี้ในตำราที่ได้จากระบบ “แต่เคสที่อยู่ในตำราไม่ได้หนักเท่ากับคนไข้ที่เขาพบ ผู้ป่วยในตำราเป็นเพศชาย เขาอาเจียนออกมาทุกครั้งที่เขาได้กลิ่นปลา แล้วอาการของเขาก็ค่อยๆพัฒนาจนกลายเป็นโรคอะนอเร็กเซียในภายหลัง วิธีการรักษาก็คือ การให้เขาอยู่ให้ห่างจากปลาและจ่ายยาสมุนไพรที่ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร แล้วในที่สุด เขาก็หายดี แต่เขาก็ไม่สามารถกินปลาได้บ่อยนัก เพราะร่างกายของเขาค่อนข้างอ่อนไหวต่ออาหารทะเล


 


แต่คนไข้รายนี้ของเขาไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น


 


บางที ฉันน่าจะเอาอาหารทุกอย่างไปให้ไกลจากเขาเลย


 


ดวงตาของหวังเย้าเป็นประกายขึ้นมา ในบางครั้ง ก่อนที่จะกินอาหาร คนก็มักจะได้กลิ่นของทะเล


 


“ขอโทษนะครับ ผมลืมถามเรื่องหนึ่งไปว่า กลิ่นของอาหารทำให้คุณรู้สึกมวนท้อง หรือเป็นเพราะคุณไม่อยากอาหารจริงๆ?” หวังเย้าถาม


 


เขาคิดเกี่ยวกับการจ่ายยาสมุนไพรที่มีส่วนช่วยกระตุ้นความอยากอาหารให้กับคนไข้ เขาใช้ความคิดอย่างหนักและเขียนรายการสมุนไพรที่สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้ด้วยลงไป เขาเขียนชื่อสมุนไพรทั้งหมดสำหรับรักษาคนไข้รายนี้


 


หวังเย้ากลับไปที่บ้านในตอนกลางวัน พ่อแม่ของเขากำลังรับแขกอยู่ เขาก็คือน้าชาย ซึ่งเป็นญาติฝั่งแม่ของเขา


 


“สวัสดีครับ น้า” หวังเย้าพูด


 


“สวัสดี เสี่ยวเย้า ทำงานเสร็จแล้วเหรอ?” น้าชายถาม


 


“ครับ” หวังเย้าพูด


 


“วันนี้ เธอมีคนไข้เยอะรึเปล่า?” น้าชายถาม


 


“ก็ไม่เยอะหรอกครับ” หวังเย้าพูด


 


หลังจากที่พูดคุยเรื่อยเปื่อยกันได้สักพัก น้าชายของหวังเย้าก็บอกหวังเย้าและพ่อแม่ของเขา ถึงจุดประสงค์ที่เขามาเยี่ยมในระหว่างมื้อเย็นในวันนี้


 


น้าชายอยากจะเปลี่ยนบ้าน เขาต้องการบ้านที่ใหญ่ขึ้น หวังเย้าไม่แน่ใจว่า น้าชายของเขาไปได้ยินเรื่องการนำบ้านในหมู่บ้านไปแลกเปลี่ยนเป็นอพาร์ทเมนต์ในเมือง หรือเรื่องที่เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับซุนหยุนเชิงมาจากที่ไหน


 


“อพาร์ทเมนต์อยู่ในทำเลที่ดีมาก แล้วยังใกล้กับโรงเรียนด้วย” น้าชายของเขาพูด “เธอช่วยถามเขาให้หน่อยได้ไหม ว่าเขาลดราคาให้สักหน่อยได้รึเปล่า?”


 


“ได้ครับ ผมจะลองถามเขาให้” หวังเย้าพูด


 


นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับหวังเย้าเลย ขอแค่เขาเอ่ยถามออกไป ซุนหยุนเชิงก็คงจะยกอพาร์ทเมนต์ให้เขาทั้งตึก


 


“ไว้ผมจะโทรหานะครับ” หวังเย้าพูด


 


“เยี่ยม ขอบคุณนะ” น้าชายพูด


 


หลังทานอาหารเสร็จ หวังเย้าก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านนานนัก


 


“ขับรถดีดีล่ะ!” จางซิวหยิงไม่ลืมที่จะเอ่ยเตือนน้องชายของเธอ ก่อนที่เขาจะขับรถออกไป เธอยังเอากล่องของขวัญให้เขาไปอีกสองกล่อง ซึ่งเป็นของที่เพื่อนของหวังเย้าให้มา


 


“ได้ ไม่ต้องห่วงผมหรอก” น้องชายของจางซิวหยิงพูด “ผมจะเข้าเมืองพรุ่งนี้”


 


“อืม” จางซิวหยิงพูด


 


หวังเย้าไม่จำเป็นต้องติดต่อไปหาซุนหยุนเชิง เพราะเขาได้ให้พนักงานของเขาอยู่ที่ตัวเมืองเหลียนชานเพื่อจัดการเรื่องอพาร์ทเมนต์ แล้วเขายังให้เบอร์ติดต่อของพนักงานคนนั้นกับหวังเย้าไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว


 


ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในโลกใบนี้ เรื่องบ้านถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับใครหลายๆคน


 


หวังเย้าขับรถเข้าไปในตัวเมืองเหลียนชาน ในเช้าของวันต่อมา


 


อย่างที่คาดเอาไว้ การก่อสร้างอพาร์ทเมนต์ได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าของห้องบางคนได้เริ่มทำการตกแต่งอพาร์ทเมนต์ของพวกเขาแล้ว หวังเย้ายังเจอเข้ากับคนจากหมู่บ้านอยู่หลายคน


 


“สวัสดี เสี่ยวเย้า” หนึ่งในพวกเขาทักทายหวังเย้า


 


“สวัสดีครับ มาทำอะไรที่นี่เหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ฉันกำลังตกแต่งอพาร์ทเมนต์อยู่น่ะ” ชายวัยกลางคนตอบ


 


“แล้วเรื่องเอกสาร เสร็จเรียบร้อยหมดแล้วเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“อืม คนในเมืองทำงานเร็วมากเลยล่ะ” ชายวัยกลางคนยิ้ม


 


“อ่อ ถ้าอย่างนั้น ผมไม่รบกวนแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ไม่เป็นไร ไว้ตอนที่ตกแต่งห้องเสร็จ ฉันจะเชิญเธอกับพ่อแม่ของเธอมานะ” เขาพูด


 


“ได้ครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาพบเจอกับคนคุ้นเคยอีกหลายคน


 


อพาร์ทเมนต์พร้อมที่จะให้คนย้ายเข้ามาอยู่แล้ว ทางเดินเท้าในบริเวณตึกโดยรอบก็ได้สร้างเสร็จแล้วเช่นกัน ผู้รับเหมายังคงปลูกต้นไม้ไม่เสร็จ แต่มันก็ไม่ได้กระทบกับการย้ายเข้าของผู้อยู่อาศัยใหม่


 


หวังเย้าเข้าไปคุยกับผู้ช่วยของซุนหยุนเชิง ซึ่งเขาเคยเจอหน้าแล้วครั้งหนึ่ง


 


“สวัสดีครับ หมอหวัง” ผู้ช่วยจดจำหวังเย้าได้ทันที เพราะซุนหยุนเชิงได้บอกกับเขาเอาไว้แล้วว่า ให้เขาทำตามคำขอทุกอย่างของหวังเย้า ถึงแม้ว่าเขาจะต้องการตึกทั้งหมดก็ยังได้


 


“สวัสดีครับ ขอโทษที่มารบกวนคุณอีกแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ไม่มีปัญหาครับ เชิญเข้ามาก่อนสิครับ” ผู้ช่วยเชิญหวังเย้าเข้าไปในห้องทำงานของเขา เขาชงชาด้วยใบชาที่ดีที่สุด ซึ่งมีไว้สำหรับแขกสุดพิเศษ


 


“แล้ว มีแค่นี้เหรอครับ?” หลังจากได้รู้ถึงความต้องการของหวังเย้า ผู้ช่วยก็ถามออกมาด้วยควาประหลาดใจ


 


“ใช่ครับ คุณพอจะช่วยได้ไหม?” หวังเย้าถาม


 


“อ่อ ได้แน่นอนอยู่แล้วครับ” ผู้ช่วยรีบตอบ


 


มันเป็นเรื่องง่ายมาก ทั้งหมดที่หวังเย้าต้องการ ก็คือส่วนลดสำหรับอพาร์ทเมนต์ห้องหนึ่ง มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขามาก


 


“ความจริง คุณไม่จำเป็นต้องมาที่นี่เองเลยนะครับ” ผู้ช่วยพูด “คุณแค่โทรมาหาผมก็ได้แล้ว นี่เป็นนามบัตรของผมครับ”


 


เขาส่งนามบัตรให้กับหวังเย้า ถึงแม้ว่าหวังเย้าจะมีเบอร์ติดต่อของเขาอยู่แล้วก็ตาม


 


“ได้ครับ ขอบคุณมาก” หวังเย้าพูด


 


“ยินดีครับ” ผู้ช่วยพูด


 


เขาไม่คิดว่า หวังเย้าจะสุภาพได้ขนาดนี้


 


หลังจากที่ได้พบกับผู้ช่วยของซุนหยุนเชิงแล้ว หวังเย้าก็แวะไปเยี่ยมหวังหมิงเปา


 


“หืม วันนี้นายไม่ต้องอยู่เฝ้าคลินิกเหรอไง?” หวังหมิงเปาถามด้วยท่าทีหยอกเย้า


 


“ฉันมาในเมืองเพราะมีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อยน่ะ แล้วก็เลยคิดถึงนายขึ้นมา” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ดื่มชาสักหน่อยสิ” หวังหมิงเปาพูด


 


“ขอบคุณ” หวังเย้าพูด


 


“ฉันเพิ่งจะไปที่อพาร์ทเมนต์ของซุนหยุนเชิงมา แล้วก็เจอกับคนในหมู่บ้านของเราเยอะเลยล่ะ” หวังเย้าพูด


 


“ฉันก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอก มีหลายคนเลยล่ะ ที่มาซื้อของตกแต่งที่นี่” หวังหมิงเปาที่เปิดร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งภายในพูด “พวกเขากลัวเกินกว่าที่จะอยู่ในหมู่บ้านต่อ”


 


คนที่มาซื้อของตกแต่งที่ร้านของหวังหมิงเปา ก็มักจะมาพูดคุยกับเขาอยู่บ่อยๆ ชาวบ้านหลายคนต่างก็แสดงท่าทีกังวล หรือไม่ก็บ่นถึงเรื่องชีวิตของพวกเขาในหมู่บ้านให้หวังหมิงเปาฟัง บางคนยังอยากจะเอาบ้านเก่าสองหลังแลกเปลี่ยนเป็นอพาร์ทเมนต์สองห้องด้วยซ้ำ คนโลภมีอยู่ทุกที่


 


“แล้วนายล่ะ? เอากับเขาด้วยไหม?” หวังหมิงเปาถาม


 


ชาวบ้านสามารถนำบ้านเก่าของพวกเขาไปแลกเป็นอพาร์ทเมนต์ห้องใหม่ หรือไม่ก็ซื้ออพาร์ทเมนต์ในราคาที่ถูกลง เมื่อดูจากความสัมพันธ์ระหว่างหวังเย้ากับซุนหยุนเชิงแล้ว มันคงจะเป็นเรื่องง่ายมาก หากเขาจะต้องการอพาร์ทเมนต์เหมือนกับคนอื่นๆ


 


“ไม่ล่ะ ฉันไม่ได้อยากอยู่ที่นี่” หวังเย้าพูด


 


เขาซื้ออพาร์ทเมนต์ไว้ในตัวเมืองห้องหนึ่ง แต่เขาก็ไม่เคยมาอยู่เลยสักครั้ง


 


“นายต้องกลับไปกินข้าวที่บ้านรึเปล่า?” หวังหมิงเปาถาม


 


“ไม่” หวังเย้าพูด


 


“งั้นเราไปกินข้าวด้วยกันไหม?” หวังหมิงเปาถาม


 


“เอาสิ” หวังเย้าพูด


 


หวังหมิงเปายังชวนเพื่อนอีกสองสามคนมากินข้าวด้วยกัน ทุกคนต่างก็ถามไถ่หวังเย้าเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน


 



 


ในห้องแล็ปที่ปักกิ่ง เจ้าหน้าที่หลายคนกำลังจดจ่ออยู่กับบางอย่าง


 


“คิดว่ายังไง?” ศาสตราจารย์หวูถาม


 


“แมลงพวกนี้มีเชื้อที่ทำให้ถึงตายอยู่ด้วย” ผู้เชี่ยวชาญในห้องแล็ปวัยประมาณ 50 พูดออกมา เขาสวมแว่นตาและมีรูปร่างท้วมเล็กน้อย


 


“จริงเหรอ?” ศาสตราจารย์หวูรู้สึกประหลาดใจ


 


“ศาสตราจารย์ไปเอาแมลงพวกนี้มาจากที่ไหนเหรอ?” ผู้เชี่ยวชาญห้องแล็ปถาม


 


“ถามทำไมเหรอ?” ศาสตราจารย์หวูถาม


 


“แมลงชนิดนี้ต่างไปจากแมงกระชอน ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ผมไม่มีบันทึกเกี่ยวกับแมลงชนิดนี้อยู่เลย” ผู้เชี่ยวชาญห้องแล็ปพูด


 


“เธอไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลยเหรอ?” ศาสตราจารย์หวูถาม


 


“บางทีมันอาจจะถูกค้นพบที่อื่น แต่ไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ก็ได้ครับ” ผู้เชี่ยวชาญห้องแล็ปพูด “แล้วคุณไปเจอพวกมันที่ไหนเหรอครับ?”


 


“ฉันไม่ได้เป็นคนเจอพวกมันหรอก แต่เป็นเพื่อคนหนึ่งของฉันน่ะ เขาพบพวกมันอยู่ในหินก้อนใหญ่” ศาสตราจารย์หวูพูด


 


“ในหินเหรอ?” ผู้เชี่ยวชาญห้องแล็ปถาม


 


“ใช่ แมลงพวกนี้อาศัยอยู่ในก้อนหิน พวกมันทำให้หินทั้งก้อนกลายเป็นโพรงเหมือนกับรังผึ้ง” ศาสตราจารย์หวูพูด


 


“หา!” ผู้เชี่ยวชาญห้องแล็ปขมวดคิ้ว “แมงกระชอนอาศัยอยู่ในดิน ผมรู้ว่า พวกมันสามารถขุดดินได้ แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า พวกมันขุดก้อนหินให้เป็นโพรงได้ด้วย นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว แล้วนอกจากแมลงพวกนี้ เขายังเจออะไรอีกไหม?”


 


“เจอหนูตัวหนึ่ง เธอก็รู้ ว่าหนูกับแมลงชอบอยู่ด้วยกัน” ศาสตราจารย์หวูพูด


 


“นี่มันแปลกมาก หนูชอบกินแมงกระชอน ดังนั้น พวกเขาจะไม่มีทางอยู่ด้วยกัน ผมอธิบายเรื่องนี้ไม่ได้เลย” ผู้เชี่ยวชาญห้องแล็ปพูด


 


“ไว้เธอค่อยคิดเรื่องนี้ทีหลังก็ได้ แต่บอกฉันมาก่อนว่า แมลงพวกเขาเอาเชื้อมาจากที่ไหน” ศาสตราจารย์หวูพูด


 


“มันอธิบายได้ยากนะครับ มันอาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของพันธุกรรมก็ได้” ผู้เชี่ยวชาญห้องแล็ปพูด


 


“แล้วแมงกระชอนชอบกินเนื้อรึเปล่า?” ศาสตราจารย์หวูถาม


 


“ไม่ครับ พวกมันกินพืช” ผู้เชี่ยวชาญห้องแล็ปพูด


 


“แต่แมลงพวกนี้กินเนื้อนะ” ศาสตราจารย์หวูพูด


 


“จริงเหรอครับ?” ผู้เชี่ยวชาญห้องแล็ปถามด้วยความตกใจ “ไปเอาเนื้อมา!”


 


หนึ่งในผู้ช่วยรีบไปหยิบเนื้อชิ้นเล็กๆมาชิ้นหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญห้องแล็ปหย่อนเนื้อลงไปในโถแก้ว แมลงพากันโผเข้าไปหาชิ้นเนื้อ และเริ่มกัดกินเนื้อ


 


“พวกมันกินเนื้อจริงๆด้วย” ผู้เชี่ยวชาญห้องแล็ปรู้สึกประหลาดใจ


 


“เธอแน่ใจนะ ว่าพวกมันเป็นสัตว์ประเภทเดียวกับแมงกระชอนน่ะ?” ศาสตราจารย์หวูถาม


 


“ไม่เชื่อผมเหรอครับ?” ผู้เชี่ยวชาญห้องแล็ปถาม


 


“ศาสตราจารย์หลิน มีคนโทรมาครับ” หนึ่งในผู้ช่วยของเขาพูด


 


“รอก่อนนะครับ อย่าเพิ่งไปไหน ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันนะครับ” ศาสตราจารย์หลินเดินออกไปรับโทรศัพท์ ปล่อยให้ศาสตราจารย์หวูมองดูแมลงกัดกินเนื้ออยู่ในห้องแล็ปเพียงลำพัง มันราวกับว่า พวกมันไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว


 


“แมงกระชอนเหรอ?” ศาสตราจารย์หวูพึมพำ


 


ทั้งแมลงและหนูต่างก็มีเชื้อร้ายอยู่บนร่างกาย นี่เป็นเรื่องร้ายแรงมาก


 


หลังจากเวลาผ่านไปได้ไม่นาน ศาสตราจารย์หลินก็กลับเข้ามาในห้อง “ไปที่ห้องทำงานของผมกันเถอะครับ”


 


“โอเค” ศาสตราจารย์หวูตอบตกลง


 


ทั้งสองเขาไปในห้องทำงานของศาสตราจารย์หลิน และปิดประตูตามหลัง


 


“ทางรัฐบาลประทับใจกับวิธีการที่คุณรับมือกับโรคระบาดในเหลียนชานมากเลยนะครับ” ศาสตราจารย์หลินพูด


 


“ฉันไม่จำเป็นต้องสร้างความประทับใจให้กับพวกเขาหรอก” ศาสตราจารย์หวูพูด


 


“คุณไม่เปลี่ยนไปเลยนะ จริงไหม?” ศาสตราจารย์หลินรู้จักเพื่อนเก่าคนนี้ดี “ปีนี้ มีอะไรที่อยากทำเป็นพิเศษรึเปล่า?”


 


“หมายถึงอะไรเหรอ?” ศาสตราจารย์หวูถาม “ฉันแค่อยากจะรู้ว่า ทำไมแมลงที่เรียกว่า แมงกระชอนถึงได้มีเชื้ออยู่บนตัว แล้วก็หาที่มาของเชื้อตัวนี้ให้เจอ”


606 แบกรับความเจ็บปวดเอาไว้เอง


 


“คุณนี่นะ รู้จักแต่จะทำงานอย่างเดียวตลอดเลย!” ศาสตราจารย์หลินยิ้มและส่ายหน้า “นี่เป็นโอกาสที่หายากมากเลยนะ คุณมีความชอบ แล้วผู้นำก็มีความตั้งใจดี การก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ก็หมายถึงการได้รับการปฏิบัติที่ดีขึ้นไปด้วย รวมถึงสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีขึ้นและทุนวิจัยที่เพิ่มขึ้นด้วย ถึงคุณจะไม่ใส่ใจเรื่องชื่อเสียงเงินทอง แต่คุณก็ต้องคิดถึงคนหนุ่มที่ติดตามคุณอยู่ด้วย ผมได้ยินมาว่า พวกเขาไม่ค่อยจะพอใจคุณสักเท่าไหร่นะ!


 


ศาสตราจารย์หวูเงียบไปพักหนึ่ง เขาพูดว่า “ฉันจะลองคิดดูแล้วกัน”


 


“นั่นแหละถูกแล้ว คุณดูเปลี่ยนไปนะ” ศาสตราจารย์หลินพูด


 


“เปลี่ยนอะไรกัน?” ศาสตราจารย์หวูถาม “ฉันคิดว่า ฉันดีมากอยู่แล้วต่างหาก”


 



 


ในคลินิก หวังเย้ากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับอาการป่วยของชายที่เป็นโรคอะนอเร็กเซีย ในความคิดของเขา เขารู้ว่า โรคนี้จำเป็นต้องให้การรักษาแบบพิเศษ


 


เขาไม่สามารถมองหรือดมกลิ่นอาหาร การรักษายังต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งตัวคนไข้และคนในครอบครัวของเขาด้วย


 


หวังเย้ายังได้เตรียมยาที่มีส่วนช่วยกระตุ้นความอยากของเขาเอาไว้ด้วย


 


ชานเย้า, ชานจา…


 


สิ่งที่เรียกว่ายาสมุนไพรที่ช่วยเพิ่มความอยากอาหาร ก็คืออาหารนั่นเอง สมุนไพรบางตัวสามารถกระตุ้นต่อมรับรส มันคือความหวังที่จะช่วยให้การทานอาหารดีขึ้นได้


 


ในตอนที่เขียนรายละเอียดต่างๆอยู่นั้น หวังเย้าก็คิดขึ้นมาว่า เขาจะพึ่งแต่ยาอย่างเดียวไม่ได้ ไม่อย่างนั้น รสชาติของยาก็อาจจะสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิมได้ ถ้าเขาไม่ใช่แค่ไม่ชอบอาหาร แต่ยังไม่ชอบดื่มเครื่องดื่มและซุปด้วยละก็ มันคงจะยุ่งยากมากขึ้นไปอีก


 


ครั้งก่อนที่เขาได้คุยกับคนไข้ เขาได้บอกกับหวังเย้าว่า เขาสามารถดื่มอาหารแบบเหลวได้ เช่น พวกซุปไก่และโจ๊ก แต่ก็แค่นั้น


 


จากสิ่งที่หวังเย้าได้รู้ หวังเย้าคิด ขั้นแรก เขาจำเป็นต้องดื่มซุปเพื่อกระตุ้นความอยาก โดยที่จะไม่ให้เห็นว่าเขากำลังกินอะไรเข้าไป


 


หวังเย้าค่อยๆคิดแผนการรักษาไปทีละขั้น เขาเตรียมสมุนไพรเอาไว้หลายชนิด พวกมันทั้งหมดเป็นสมุนไพรทั่วไป เพราะมันเป็นแค่ตัวเสริมเพื่อช่วยให้อาการของคนไข้ดีขึ้นเท่านั้น


 


เขาโทรหาคนไข้และขอให้เขาพาคนในครอบครัวมาที่คลินิกในวันพรุ่งนี้เช้า


 


ตะวันใกล้ตกดิน หวังเย้ากำลังจะปิดประตูคลินิกและกลับไปที่บ้าน อยู่ๆหวังเจ๋อเชิงก็โผล่มาที่ทางเข้าคลินิก พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผล


 


“เกิดอะไรขึ้นกันครับ?” หวังเย้ารีบเปิดประตูและให้เขาเข้ามาด้านใน


 


“ตอนที่ขี่มอเตอร์ไซด์บนถนน ฉันขี่เร็วไปหน่อยก็เลยร่วงจากรถน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“แต่แผลดูลึกมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“อ้อ มันไม่ได้หนักขนาดนั้นหรอก!” หวังเจ๋อเชิงกัดฟันพูด


 


ความจริงแล้ว ตอนนี้เขาเจ็บมาก หลังเลิกงาน เขาก็รีบขี่รถกลับเพื่อไปกินข้าวที่บ้าน หลังทานอาหารเสร็จ เขาก็ต้องกลับไปเข้างานกะดึกอีกงานหนึ่ง เพื่อที่จะไปให้ทันเวลา เขาจึงต้องขี่เร็วกว่าปกติ เมื่อขี่ไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน รถของเขาก็แฉลบลงข้างทางเพื่อเลี่ยงแกะตัวหนึ่ง


 


“ผมขอดูหน่อยนะครับ” หวังเย้าตรวจดูแผลของเขาอย่างระมัดระวัง “โชคยังดีที่ไม่ได้ลึกไปถึงกระดูก แล้วหัวล่ะครับ? รู้สึกเจ็บรึเปล่า? พี่ได้ใส่หมวกกันน๊อคด้วยไหมครับ?”


 


“ใส่สิ ฉันไม่ได้เจ็บหัว เจ็บแค่ที่หน้าเท่านั้น” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


ถ้าไม่ใช่เพราะหมวกกันน๊อค ตอนที่รถแฉลบลงไป เขาก็อาจจะเจ็บตัวมากกว่านี้


 


“ผมจะเอายาให้นะครับ” หวับเย้าลุกขึ้นเพื่อไปหยิบยา


 


มันเป็นยาที่เขาทำขึ้นมาตอนอยู่บนเนินเขา มันให้ผลดีในการรักษาบาดแผล เช่น แผลถลอก เขาเคยลองใช้กับคนไข้รายอื่น และมันก็ได้ผลดี


 


“มันอาจจะแสบหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด เขาทายาลงไปที่แผลอย่างเบามือและใช้แผลก๊อซปิดแผล


 


“โอ๊ย อ้าก!” หวังเจ๋อเชิงอุทานออกมา


 


“มาครับ ผมจะนวดให้” หวังเย้าพูด


 


“จริงเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถาม


 


“ครับ มันจะช่วยให้เลือดหยุดไหลเร็วขึ้น” หวังเย้าพูด “มันยังจะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ฟกช้ำหายเร็วขึ้นด้วย”


 


ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้เจ็บไปถึงกระดูก แต่การกระแทกแบบนี้ก็ยังถือว่าแรงอยู่ดี กล้ามเนื้อบางส่วนของเขาจึงเกิดการฟกช้ำขึ้น ร่างกายของเขาจะต้องใช้เวลาสองสามสัปดาห์ในการฟื้นตัว


 


“โอ้ ได้ๆ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“มันอาจจะเจ็บสักหน่อยนะครับ” หวังเย้าเริ่มนวดรักษาด้วยเทคนิคพิเศษของเขา


 


“โอ๊ย มันเจ็บ!” หวังเจ๋อเชิงตะโกนออกมา


 


“ทนหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด เขากดลงไปไม่หนักมากเท่าไหร่


 


หวังเย้านวดหลัง, ขา, และแขนที่มีรอยฟกช้ำของหวังเจ๋อเชิง เขารู้สึกเจ็บจนร่างกายสั่นทำไม่ยอมหยุด ถ้าหวังเย้าไม่เอาผ้าก๊อซอุดปากของเขาเอาไว้ เขาก็คงจะบดฟันของตัวเองจนละเอียดไปแล้ว เขาเหงื่อไหลโชก จนเสื้อผ้าของเขาเปียกไปหมด


 


“ตอนนี้ก็กลับไปพักผ่อนได้แล้วนะครับ ในเจ็ดวันนี้ อย่าทำงานที่ใช้แรงมาก ให้หยุดทำงานไปก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“หา เจ็ดวันเลยเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงตกใจ


 


“ทำไมเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“แต่ฉันต้องไปทำงานน่ะสิ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


ครอบครัวของเขาต้องพึ่งพารายได้ของเขาแค่คนเดียว และโดยเฉพาะพ่อของเขาที่ต้องกินยาราคาแพง แล้วเขาจะไม่รู้สึกร้อนใจได้ยังไง? เขายังอยากจะทำงานสามอย่างเพื่อหาเงินด้วยซ้ำไป


 


“จะเอาเงินมาซื้อยาให้พ่อของพี่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


เพื่อที่จะซื้อยามา เขาต้องไปขอยืมเงินมาจากคนอื่น ในชีวิตของเขา ทุกเรื่องสามารถจัดการได้ง่าย ยกเว้นก็แต่เรื่องการยืมเงิน


 


“พี่เอายาไปก่อนได้เลย” หวังเย้าพูด “ไว้พี่ค่อยทยอยจ่ายก็ได้”


 


“โอ้ ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมากนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด พร้อมกับกัดริมฝีปากของเขา


 


เขาลุกขึ้นเพื่อจะกลับออกไป แต่ก็ถูกหยุดเอาไว้


 


“รอเดี๋ยวครับ” หวังเย้าพูด


 


“มีอะไรอีกเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถาม


 


“ผมอยากจะพูดอะไรอีกสักหน่อย แต่อย่าโกรธผมเลยนะครับ” หวังเย้าพูด เขาลุกขึ้นไปชงชา “ดื่มชาก่อนสิครับ”


 


“โอ้ ขอบคุณนะ” หวังเจ๋อเชิงรับชามา เขายิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาไม่รู้ว่า หวังเย้ากำลังจะบอกอะไรเขา


 


“เรื่องเงิน มันสำคัญก็จริง แต่ร่างกายสำคัญกว่า” หวังเย้าพูด


 


หวังเจ๋อเชิงเงียบไปและจ้องมองหวังเย้าด้วยสายตาว่างเปล่า


 


“ผมหมายถึง สภาพร่างกายของพี่ไม่เหมาะกับการทำงานหนัก” หวังเย้าพูด “ถ้าหากพี่ฝืนเอาร่างกายที่บาดเจ็บแบบที่ไปทำงานได้สักสอสามวัน มันก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าพี่ทำงานหนักเกินไป ร่างกายก็จะได้รับบาดเจ็บ การทำงานในตอนที่ร่างกายยังบาดเจ็บอยู่ สามารถทำให้อาการป่วยที่เล็กน้อยกลายเป็นแย่ลงกว่าเดิมได้ แล้วก็ไม่สามารถแก้ด้วยการพักฟื้นแค่เจ็ดวันได้อีก”


 


“ฉันรู้” หวังเจ๋อเชิงพูด “แต่…”


 


“พี่ไม่รู้หรือว่าพี่ไม่เข้าใจจริงๆกันแน่” หวังเย้าพูดขัดเขา “ช่างเถอะ ลองคิดดูให้ดีดีนะครับ”


 


เดิมหวังเย้าอยากจะพูดอะไรอีก แต่เขาก็หยุดเอาไว้ ถ้าหากเขาเป็นหวังเจ๋อเชิง เขาก็อาจจะเลือกทางเดียวกัน


 


“โอเค ฉันกลับบ้านก่อนนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“ครับ” หวังเย้าพูด


 


หวังเจ๋อเชิงเดินกะโพรกกะเพรกออกไป


 


“ลูกเป็นอะไรไปน่ะ?” หวังยีหลงที่รอลูกชายของเขาอยู่หน้าบ้านถามขึ้นมา


 


“ไม่มีอะไรหรอกพ่อ พ่อกลับเข้าไปในบ้านเถอะ ข้างนอกลมมันแรง” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“พี่เป็นยังไงบ้าง?” ภรรยาของเขาได้ยินเสียงพูด เธอจึงเดินออกมาจากบ้าน


 


“กระดูกไม่ได้หัก แล้วหัวก็ไม่ได้เจ็บอะไรด้วย ฉันได้ยามาแล้ว เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“พรุ่งนี้อย่าไปทำงานเลยนะ พักอยู่ที่บ้านก่อนดีกว่า” ภรรยาของเขาพูด


 


“ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังเถอะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


หลังจบมื้ออาหาร หวังยี่หลงก็ลุกเดินออกไปข้างนอก


 


“พี่จะไปที่ไหนเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถาม


 


“พ่อว่าจะออกไปเดินเล่นแถวนี้หน่อยน่ะ” หวังยี่หลงตอบ


 


“ถ้าอย่างนั้นก็เดินระวังๆ แล้วก็อย่ากลับช้าล่ะ ข้างนอกลมมันแรง พ่อต้องใส่เสื้อคลุมหนาๆ แล้วก็อย่าไปไหนไกลนะ” หวังเจ๋อเชิงไม่ลืมที่จะเอ่ยเตือนพ่อของเขา


 


“อืม พ่อรู้แล้ว” หวังยี่หลงโบกมือและเดินออกไปช้าๆ


 


“พ่อไปแล้ว ตอนนี้บอกความจริงกับฉันมาได้แล้ว” ภรรยาของหวังเจ๋อเชิงพูด “พี่เจ็บมากเลยใช่ไหม?”


 


“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า” หวังเจ๋อเชิงพูด “เขาบอกแค่ให้ฉันพักอยู่ที่บ้านสองวันก็หายแล้ว”


 


“อ่อ ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ไปพักเถอะ อย่าออกไปไหนเลย” ภรรยาของเขาพูด


 


“ไว้ค่อยว่ากันพรุ่งนี้อีกทีก็แล้วกัน” หวังเจ๋อเชิงพูด พร้อมกับถอนหายใจออกมา


 


ในตอนที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น มันเป็นตอนที่ครอบครัวของหวังเย้ากำลังทานอาหารเย็นกันอยู่


 


แกร๊ก!


 


หวังยี่หลงเดินเข้ามา “ขอทาที กินข้าวกันต่อเถอะ”


 


เมื่อมีแขกมาหา จางซิวหยิงและสามีต่างก็วางมือ


 


“อ้าว เข้ามานั่งก่อนสิ” หวังเฟิงฮวาพูด


 


หวังเย้าลุกขึ้นและเดินไปชงชา “คุณลุงดื่มชาสักหน่อยนะครับ”


 


“โอ้ ขอบคุณๆ” หวังยี่หลงพูด


 


“มีเรื่องอะไรเหรอ?” หวังเฟิงฮวาถาม


 


“ฉันมีเรื่องจะมาคุยกับเสี่ยวเย้าสักหน่อยน่ะ” หวังยี่หลงพูด


 


“ได้สิครับ คุณลุง” หวังเย้าพูด


 


“เอ่อ เจ๋อเชิงไปหาเธอเมื่อตอนบ่ายใช่ไหม?” หวังยี่หลงถาม


 


“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด


 


“แล้วเขาเจ็บหนักมาไหม?” หวังยี่หลงถาม “บอกความจริงกับลุงมาเถอะนะ”


 


“เขาไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอกครับ แค่มีแผลถลอกกับฟกช้ำนิดหน่อย แต่กระดูก, อวัยวะภายใน หรือหัวไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอะไรเลย เขาแค่ต้องพักสักสามสี่วันเท่านั้นเองครับ” หวังเย้าพูด


607 ต้องทำยังไง?


 


“โอ้ ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หวังยี่หลงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


เขาพบว่า ช่วงหลังมานี้ลูกชายดูยุ่งมาก เขาไปทำงานในตอนเช้า แล้วยังออกไปทำงานตอนกลางคืนอีก พอกลับมาถึงบ้าน เขาก็เหนื่อยมาจนแทบจะไม่พูดอะไรเลย พอทานอาหารเสร็จ ทั้งสองก็มักจะคุยกันนิดๆหน่อยๆ แล้วลูกชายของเขาก็จะเข้าไปนอนเร็วมาก เขาดูมีเรื่องหนักใจ ถ้าหากหวังยี่หลงถามไป เขาก็จะตอบกลับมาแค่ว่า “ไม่มีอะไร”


 


ตอนนี้ ลูกชายของเขาเป็นคนมีเหตุผลมากขึ้น หากเทียบกับแต่ก่อน เขาได้กลายเป็นอีกคนไปเลย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมาก หวังยี่หลงมีความสุขกับเรื่องนี้มาก แต่เขาก็ไม่อยากให้ลูกชายของเขาต้องเหนื่อยเกินไป มันผ่านมาได้สักพักแล้ว ดังนั้น เขาจึงกังวลว่า ร่างกายของลูกชายจะทนงานหนักไม่ไหว


 


“เขาต้องพักอยู่ที่บ้านกี่วันเหรอ?” หวังยี่หลงถาม


 


“ผมแนะนำให้เขาพักสักเจ็ดวันครับ ถ้าไม่อย่างนั้น มันอาจจะมีอาการบาดเจ็บหลงเหลือ และส่งผลร้ายในอนาคตได้” หวังเย้าพูด


 


“อาการบาดเจ็บหลงเหลือเหรอ?” หวังยี่หลงรู้สึกกังวลขึ้นมา


 


“ขอแค่เขาได้พักและมาตรวจที่คลินิกทุกๆสองวัน เพื่อให้ผมได้ตรวจดูอาการของเขา มันก็จะไม่เกิดปัญหาตามมาทีหลังแน่นอนครับ” หวังเย้าพูด “คุณลุงไม่จำเป็นต้องกังวลมากไปหรอกนะครับ”


 


“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หวังยี่หลงพูด


 


“คุณลุงครับ ช่วงนี้คุณลุงเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ลุงสบายดี” หวังยี่หลงพูด “เดี๋ยวนี้ยังกินเยอะกว่าเมื่อก่อนด้วยล่ะ”


 


“อืม ดีแล้วครับ” หวังเย้าพูด


 


มันเป็นเรื่องดีที่สามารถกินอาหารได้เยอะขึ้น เพราะโดยปกติ คนไข้ที่ป่วยหนักมักจะไม่สามารถกินอะไรได้เลย


 


“ขอโทษที่ต้องมารบกวนเวลากินข้าวของทุกคนนะ” หวังยี่หลงพูด


 


“ไม่เป็นไรครับ” หวังเย้าพูด “จะอยู่กินกับพวกเราก่อนไหมครับ?”


 


“ไม่ล่ะ ลุงกินมาเรียบร้อยแล้ว” หวังยี่หลงพูด แล้วเขาก็ลุกขึ้นและเดินออกไป


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหวังเจ๋อเชิงเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“เขารถแฉลบน่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


“แล้วเจ็บหนักไหม?” จางซิวหยิงถาม


 


“ก็ถือว่าหนักเท่าไหร่ครับ” หวังเย้าพูด


 


“อืม พ่อว่า หวังยี่หลงก็ดูแข็งแรงดีนะ” หวังเฟิงฮวาพูด


 


พวกเขารู้เรื่องอาการป่วยของหวังยี่หลงดี


 


“สีหน้าของเขาถือว่าดีเลยล่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาไม่ได้สังเกตถี่ถ้วนนัก แต่เมื่อดูจากลมหายใจของหวังยี่หลงแล้ว หวังเย้ายังสามารถได้กลิ่นเหม็นจากลมหายใจของเขาได้ ซึ่งก็หมายความได้ว่า ปัญหาในร่างกายของเขายังคงร้ายแรงอยู่ เพราะถึงยังไง มันก็อยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว


 


“ยี่หลงไม่ได้มีชีวิตที่สบาย การที่ลูกชายของเขากลายเป็นคนกตัญญูแบบนี้ได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขาแล้ว” หวังเฟิงฮวาพูด


 


“ลูกที่กลับใจมีค่ายิ่งกว่าทองคำ” หวังเย้าพูด


 


“ใช่ มันมีค่ามากกว่าทองคำ” พ่อของเขาพูด


 


หลังกลับไปถึงบ้านแล้ว หวังยี่หลงก็โล่งใจ ขอแค่ลูกชายของเขาไม่เป็นอะไรมาก ก็ถือว่าดีแล้ว


 


ภายในบ้านหลังหนึ่ง เวินหว่านไอออกมาสองสามครั้ง


 


“การกักตัวถูกยกเลิกแล้วสินะ” ศาสตราจารย์ลู่กำลังสูบบุหรี่อยู่


 


“ใช่ครับ” ฟ่านโย่วเหรินก็กำลังสูบบุหรี่อยู่เหมือนกัน


 


การกักตัวได้ถูกยกเลิกมาได้สักพักแล้ว ซึ่งมันทำให้พวกเขาโล่งอก ในช่วงเวลานั้น แต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก พวกเขาไม่สามารถออกไปไหนได้ พวกเขาเอาแต่หวาดกลัวเรื่องโรคระบาด ที่มีการแพร่กระจายและโอกาสเสียชีวิตสูงมาก


 


พวกเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับตัวเอง แต่พวกเขาเป็นห่วงเวินหว่านที่กำลังป่วยหนักอยู่ เธอเป็นเหมือนกับเปลวไฟดวงน้อยกลางลมฝน เธอสามารถดับลงได้ทุกขณะ ถ้าหากเธอติดโรคระบาดขึ้นมา แม้แต่พระเจ้าก็คงจะรั้งเธอไว้ไม่ได้


 


“ไปกันเถอะครับ คุณลุง” ฟ่านโย่วเหรินพูด


 


“เธอจะไปที่ไหน?” ศาสตราจารย์ลู่เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ “อาการแม่ของเธอเพิ่งจะเริ่มดีขึ้นมา เธอคิดว่า ถ้าเธอพาแม่ของเธอไปรักษาที่อื่น แล้วพวกเขาจะสามารถรักษาแม่ของเธอได้ดีกว่าหมอหวังเหรอ?”


 


“ไม่ครับ ผมแค่กังวลเท่านั้น” ฟ่านโย่วเหรินพูด


 


พวกเขาได้ใช้ยาที่หวังเย้าให้มากับแม่ของเขา แล้วพวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่ตัวยานั้นได้ผล อาการป่วยของแม่เขาดีขึ้น แล้วสีหน้าของเธอก็ยังดีขึ้นตามไปด้วย ร่างกายของเธอเริ่มมีเรี่ยวแรง เธอถึงกับสามารถทำกิจกรรมบางอย่างได้ การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขนาดนี้ มันทำให้เขารู้สึกมีความสุขมาก แต่อยู่ๆโรคระบาดก็เกิดขึ้นและทำให้เขารู้สึกกังวลขึ้นมา


 


มีคน 12 คนที่ต้องจากไป เรื่องแบบนี้ไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้ แล้วเขาก็อาจจะเคยเห็นหน้าหรือพูดคุยกับคนเหล่านั้นมาก่อนด้วย


 


ฟ่านโย่วเหรินอายุยังน้อย เขากังวลถึงเรื่องสุขภาพทั้งของเขาและแม่ เหมือนอย่างที่คนโบราณว่าไว้ สุภาพบุรุษไม่ควรเผชิญหน้ากับอันตราย เขารู้ว่าอันตรายแต่กลับยังอยู่ ไม่ใช่เรื่องฉลาด


 


“เราเอายาไปด้วยก็ได้นี่ครับ พอยาหมด ผมจะกลับมาเอาให้อีกก็ได้” ฟ่านโย่วเหรินเสนอ เขาได้คิดถึงปัญหาที่อาจจะตามมาไว้แล้ว


 


“แล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาล่ะ?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม


 


“นั่น…” ความเป็นจริง เขายังไม่มีทางออกสำหรับปัญหานี้


 


ฟ่านโย่วเหรินยอมรับว่า ฝีมือการรักษาของหวังเย้านั้นยอดเยี่ยม ก่อนการรักษา แม่ของเขามีสภาพร่างกายที่ย่ำแย่มาก และอาการของเธอก็ยังแย่ลงอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากได้รักษากับหวังเย้าแล้ว อาการแม่ของเขาก็อยู่ในการควบคุมได้อย่างรวดเร็ว


 


“โย่วเหริน ถ้าเธอมีเรื่องอะไรที่ต้องไปทำ เธอก็ไปเถอะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด “ลุงจะอยู่กับแม่ของเธอเอง”


 


“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นนะครับ”ฟ่านโย่วเหรินพูด


 


“ส่วนเรื่องโรคระบาดที่เธอกังวล ลุงลองถามหมอหวังดูแล้ว” ศาสตราจารย์ลู่พูด “ไม่ใช่ว่าเธอก็กินยาต้านไปแล้วหรอกเหรอ?”


 


“ผมจะรอดูอีกสองวันก็แล้วกัน” ฟ่านโย่วเหรินพูด


 


ช่วงนี้ เขามีอาการหงุดหงิดง่าย แต่ก็เริ่มดีขึ้นเมื่อการกักตัวถูกยกเลิก


 


ค่ำคืนที่เงียบสงัด หวังเย้าเดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเพียงลำพัง มันมีเพียงแสงริบหรี่เท่านั้น


 


หวังเย้ามองดูหน้าจอระบบที่อยู่ตรงหน้าเขา “ใกล้จะเต็มแล้ว!”


 


แถบค่าประสบการณ์ของเขาเพิ่มขึ้นจนเกือบเต็มแล้ว เมื่อเขาค้นพบเรื่องนี้ เขาก็ต้องแปลกใจ เพราะช่วงนี้เขาแทบจะไม่ได้ทำภารกิจให้สำเร็จเลยสักอย่าง เขาไม่ได้ตรวจคนไข้มากนัก แต่ค่าประสบการณ์ของเขากลับเพิ่มขึ้น หลังจากที่เขาคิดดูแล้ว เขาก็รู้ว่า มันเป็นเพราะความสำเร็จจากการที่เขาพัฒนาตัวยารักษาโรคระบาดขึ้นมาได้ นี่ถือเป็นรางวัลพิเศษสำหรับเขา ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


 


เขาคิด ไม่รู้ว่า หลังจากที่มีการอัพเดทแล้วฉันได้จะได้อะไรเป็นรางวัล?


 


เช้าวันใหม่ ชายที่มีอาการป่วยด้วยโรคอะนอเร็กเซีย เดินทางมาที่คลินิกตอนเกือบ 8.30 น. ดังนั้น หวังเย้าจึงยังไม่ลงมาจากเนินเขาหนานชาน ชายคนนั้นจึงรอหวังเย้าอยู่กับภรรยาของเขา


 


“เขาไม่อยู่เหรอ?” ภรรยาของเขาถาม


 


“เดี๋ยวเขาก็มาแล้วล่ะ” เขาพูด “เมื่อวาน เขาเป็นคนบอกเองว่าให้ฉันมาหาเขา”


 


พวกเขารออยู่ประมาณ 20 นาที แล้วในที่สุด หวังเย้าก็ลงมาจากเขา “คุณมาเช้ามากเลยนะครับ”


 


“ไม่เช้าแล้วล่ะ” ชายคนนั้นพูด


 


“ต้องขอโทษด้วยนะครับ” หวังเย้าเดินไปเปิดประตูคลินิกและเชิญสองสามีภรรยาเข้าไปด้านใน “คุณยังกินอะไรไม่ได้อยู่ใช่ไหมครับ?”


 


“ผมยังกินอะไรไม่ได้เหมือนเดิมนั่นแหละ” ชายคนนั้นพูด “ผมกินได้แค่อาหารเหลวกับพวกซุปเท่านั้น”


 


หวังเย้าเริ่มต้นอธิบายแผนการรักษาที่เขาเตรียมเอาไว้ ให้สองสามีภรรยาฟัง


 


“คุณมีคำถามอะไรไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“อืม ผมจะลองดูก็ได้” เขาพูด


 


เขาไม่อยากกิน นั้นคือเรื่องจริง แต่เขาก็ไม่ชอบที่จะต้องกินอาหารเหลวหรือซุปเหมือนกัน


 


“จำเอาไว้ด้วยนะครับ ว่าในอาหารเหลวจะต้องไม่มีเส้นใยใดๆเลย นี่เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังให้มากนะครับ” หวังเย้าพูดกับภรรยาของคนไข้


 


สาเหตุของโรคเริ่มจากเส้นผม คนไข้ค่อนข้างอ่อนไหวกับอาหารที่มีเส้นใย ดังนั้น จึงต้องระมัดระวังในเรื่องนี้เป็นพิเศษ


 


“อ้อ ฉันจะจำเอาไว้ค่ะ” ภรรยาของคนไข้พูด


 


เธอกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยที่แปลกประหลาดของสามีมาก เพราะอยู่ๆเขาก็เกิดไม่อยากกินอาหารขึ้นมาหน้าตาเฉย ถึงแม้ว่าเขาจะหิว แต่เขาก็ไม่ยอมกิน เขาเคยอยู่โดยไม่กินอะไรเลยสามวัน ดังนั้น เธอจึงกังวลว่า อาการป่วยอาจจะทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมาอีก


 


“นี่เป็นยาที่ผมเตรียมไว้ให้ครับ ทั้งหมดเป็นอาหาร” หวังเย้าพูด “ไม่ต้องคิดมากเรื่องอาการป่วยนะครับ ค่อยๆรักษาไปช้าๆ”


 


“ได้ครับ ขอบคุณมากครับหมอหวัง” คนไข้พูด


 


“ยินดีครับ ผ่อนคลายเข้าไว้ แล้วก็อย่าคิดถึงของพวกนั้นตอนที่กำลังกินอยู่ด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้ ผมจะพยายาม” คนไข้ยิ้ม


 


ตอนนี้ ร่างกายของเขาผ่ายผอมมาก มันดูราวกับว่า เขาสามารถถูกลมพัดปลิวได้เลย


 


เมื่อสองสามีภรรยากลับไปแล้ว ศาสตราจารย์ลู่ก็เข้ามา “สวัสดี หมอหวัง”


 


“สวัสดีครับ เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่ ผมนอนไม่ค่อยหลับน่ะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด


 


เขาอยู่ที่หมู่บ้านกลางเขาแห่งนี้มาเดือนกว่าแล้ว เขาอยากจะออกไปข้างนอก แต่ก็ทำไม่ได้เพราะกฎการกักตัว หลังออกมานานกว่าหนึ่งเดือน เขาก็เริ่มกังวลว่าครอบครัวของเขาจะคิดยังไง แม้แต่คู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันดี ก็อาจจะเกิดความระแวงได้


 


“อาการของเวินหว่านเป็นยังไงบ้าง?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม


 


“อาการของเธอดีขึ้นมากครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาใช้ขี้ผึ้งต้วนชื่อที่เจือจางแล้วในการยื้อชีวิตของเธอเอาไว้ และการรักษาก็ยังได้ผลดีด้วย


608 แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังต้องบิณฑบาต


 


“ดี” ศาสตราจารย์ลู่พูด


 


“มีเรื่องอื่นที่อยากจะบอกผมอีกไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“อืม ฉันคงต้องกลับบ้านแล้วล่ะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด


 


เขาออกจากบ้านมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องดี ที่เขาจะทอดทิ้งครอบครัวและมัวแต่สนใจเรื่องของแฟนเก่าอยู่แบบนี้


 


“แล้วคุณเวินหว่านกับลูกชายล่ะครับ? พวกเขาจะกลับไปด้วยไหม?” หวังเย้าถาม


 


“แล้วเธอคิดว่า อาการของเวินหว่านตอนนี้สามารถเดินทางได้รึเปล่า?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม


 


“คุณถามผมเรื่องนี้หลายครั้งแล้วนะครับ และผมก็บอกไปหลายครั้งแล้วด้วย” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมคิดว่า คุณเวินหว่านยังไม่เหมาะที่จะเดินทางครับ”


 


ถึงแม้ว่าอาการของเวินหว่านจะดีขึ้นแล้ว แต่อาการของเธอก็สามารถทรุดลงได้ทุกเวลา หวังเย้าสามารถยื้อชีวิตของเธอเอาไว้ได้ ก็ต่อเมื่อเธอยังอยู่ที่หมู่บ้านเท่านั้น ถ้าหากเธอยู่ที่ปักกิ่ง หวังเย้าก็คงจะไปช่วยเธอไม่ทัน นอกจากนี้ ร่างกายของเวินหว่านก็ยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะเดินทางไกลได้ด้วย


 


“พวกเขาอยากจะไปเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่ ลูกชายของเธออยากจะกลับไปน่ะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด


 


“มันก็เป็นเรื่องธรรมดานะครับ” หวังเย้าพูด


 


ถึงแม้ว่าที่หมู่บ้านแห่งนี้จะมีอากาศที่สดชื่นและเงียบสงบ แต่มันก็ห่างไกลความเจริญแบบเมืองใหญ่ คนแบบหวังเย้าเลือกที่จะอยู่ในสถานที่แบบนี้ แต่หมู่บ้านก็น่าเบื่อเกินไปสำหรับคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่


 


มันไม่มีแสงสีในยามค่ำคืนหรือสิ่งบันเทิงในหมู่บ้าน เนินเขาเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การเข้าไปเยี่ยมชม แต่อยู่นานเกินไปก็อาจจะกลายเป็นความทรมานสำหรับคนส่วนใหญ่ การตกปลาเป็นกิจกรรมที่ดีในเวลาว่าง แต่ก็คงไม่มีใครทำมันได้ตลอดเวลา ในหมู่บ้านนั้นแทบจะไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำเลยสักอย่าง


 


“ไว้อีกสักพัก ผมจะกลับมาอีกนะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด


 


หวังเย้าไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาเพียงแค่ยิ้มให้เท่านั้น เพราะเรื่องของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาอยู่แล้ว


 


“หมอหวัง โรคระบาดยังจะกลับมาอีกไหม?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม


 


“พูดตามตรงนะครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” หวังเย้าพูด


 


เขาค้นพบวิธีการรักษาและสาเหตุของโรคแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้ว่า เขาจะหาทางป้องกันไม่ให้มันกลับมาอีกครั้งได้ยังไง ไม่มีใครรู้ว่า หนูที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดินจะยังอยู่หรือไม่ แล้วพวกมันมีมากแค่ไหน หรือพวกมันมีเชื้ออยู่บนตัวหรือไม่


 


หนูติดเชื้อเพียงตัวเดียวเปรียบเสมือนระเบิดลูกหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่ามันจะระเบิดขึ้นเมื่อไหร่


 


“แต่ตราบใดที่ผมอยู่ที่นี่ ก็จะไม่มีใครต้องตายจะโรคนี้แน่นอนครับ” หวังเย้าพูด


 


ในตอนนี้ โรงพยาบาลเหลียนชานสามารถรักษาโรคนี้ได้แล้ว ยิ่งรักษาเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ผลดีเท่านั้น


 


“ผมจะลองคุยกับลูกชายของเวินหว่าน ให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อดู” ศาสตราจารย์ลู่พูด


 


หลังจากที่คุยกับหวังเย้าเพียงครู่เดียว ศาสตราจารย์ลู่ก็จากไป


 


หวังเย้าคิดว่า ศาสตราจารย์ลู่นั้นอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขามีครอบครัวของตัวเองอยู่แล้ว แต่เขากลับไม่สามารถลืมรักเก่าของตัวเองได้ เขาจึงทรยศครอบครัวของตัวเอง แล้วมันอาจจะไม่คุ้มค่ากับความพยายามทั้งหมดที่เสียไปของเขาอีกด้วย


 


หวังเย้าสงสัยว่า ภรรยาและลูกๆ หรือพ่อแม่ของเขาจะรู้เรื่องของเขากับเวินหว่านหรือไม่ แต่พวกเขาก็อาจจะไม่รู้อะไรเลย เพราะศาสตราจารย์ลู่ไม่ได้บอกอะไรพวกเขาเลย


 


แต่ก็ช่างมันเถอะ ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว! หวังเย้าส่ายหน้า


 


มีอีกคนมาที่คลินิกของหวังเย้า ซึ่งก็คือ หวังเจ๋อเชิง


 


“สวัสดี หมอหวัง ช่วยตรวจให้ฉันอีกทีได้ไหม?” หวังเจ๋อเชิงถาม


 


“ได้สิครับ พี่เป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม


 


“ฉันเจ็บไปหมดทั้งตัวเลย เมื่อคืนอาการก็แย่มาก ฉันเลยนอนไม่หลับทั้งคืนเลยล่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


ร่างกายบางส่วนของเขาได้รับการกระแทกจากอุบัติเหตุรถล้ม ความเจ็บปวดยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อเขากลับมาจากคลินิกของหวังเย้า มันปวดร้าวไปทั่วร่างของเขา จนทำให้เขาไม่สามารถหลับตานอนได้เลย


 


“ผมขอตรวจหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


หวังเย้าตรวจดูร่างกายของหวังเจ๋อเชิง


 


“มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วครับ ที่จะเจ็บกว่าเดิม” หวังเย้าพูด


 


“จริงเหรอ? ตอนที่รถล้ม ฉันอาจจะรู้สึกชาที่บางส่วน แต่พอหมอนวดให้อาการชาก็หายไปด้วยสินะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“ถูกต้องแล้วครับ” หวังเย้าพูด


 


หวังเจ๋อเชิงตั้งใจจะออกไปทำงานในเช้าของอีกวัน แต่เขากลับเจ็บไปทั่วร่างจนแทบจะเดินไม่ไหว ดังนั้น ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องออกไปทำงานเลย สุดท้ายเขาก็ต้องลางาน เขาหวังว่า ตัวเขาจะหายดีได้เร็วๆ แต่ในตอนเช้า ความเจ็บกลับไม่ลดลงเลยสักนิด เขาจึงรู้สึกกังวลขึ้นมา และตัดสินใจมาหาหวังเย้า


 


“ผมจะนวดให้นะครับ” หวังเย้าพูด


 


“โอเค” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“โอ๊ย! นั่นมันเจ็บมากเลยนะ!” ความเจ็บของเขาเพิ่มขึ้นกว่าตอนที่รถล้มมาก


 


“พยายามอดทนเอาไว้นะครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาไม่ได้ลดแรงที่กดลงไปบนร่างของหวังเจ๋อเชิงเลย เขาควบคุมความแรงให้สม่ำเสมอ และเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า


 


“นายช่วยทำให้ฉันหายดีเร็วๆได้ไหม?” หวังเจ๋อเชิงถามเสียงเบา


 


“ทำไมครับ? อยากจะกลับไปทำงานเร็วๆใช่ไหม?” หวังเย้าถาม


 


“อืม” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“ผมบอกพี่ไปแล้วนี่ครับ ว่าตอนนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ายา ไว้พี่ค่อยจ่ายผมตอนมีเงินก็ได้” หวังเย้าพูด


 


“มันไม่ใช่แค่ค่ายาน่ะสิ ฉันยังมีค่าใช้จ่ายอื่นอีก” หวังเจ๋อเชิงพูด “ตอนนี้ เงินเก็บของฉันก็หมดแล้วด้วย”


 


สถานการณ์การเงินของเขาทำให้เขารู้สึกกังวลอย่างมาก เขาไม่สามารถอยู่บ้านเฉยๆเป็นอาทิตย์ได้


 


หวังเย้าเงียบไป ยาที่ทำขึ้นมาจากสมุนไพรรากของเขานั้นแพงเกินไปสำหรับครอบครัวธรรมดา บางคนไม่สามารถจ่ายค่ายาได้เลยด้วยซ้ำ เขากำลังพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง


 


เขาพยายามช่วยคนให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แต่มันก็ไม่ง่ายเลย เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังต้องบิณฑบาต


 


“ผมจะลองดู ว่าพอจะทำอะไรได้บ้างนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“โอเค ขอบคุณมาก” หวังเจ๋อเชิงแทบจะไม่มีแรงพูดด้วยซ้ำ


 


หลังหวังเจ๋อเชิงกลับไปแล้ว หวังเย้าก็ได้รับสายจากศาสตราจารย์หวูที่อยู่ปักกิ่ง


 


ผลตรวจจากตัวอย่างแมลงที่เขานำกลับไปด้วยได้ออกมาแล้ว ศาสตราจารย์หวูได้ยืนยันมาว่า แมลงเหล่านั้นมีเชื้ออยู่ในตัวและเป็นสาเหตุของโรคระบาดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านของหวังเย้า และศาสตราจารย์หวูก็ยังได้บอกกับหวังเย้า ถึงแผนการที่เขาคิดจะทำเกี่ยวกับแมลงเหล่านี้


 


“ฉันจะส่งเอกสารก๊อปปี้ให้เธอทางอีกเมลล์นะ ถ้ามีคำถามอะไรก็ให้โทรหาฉันได้เลย” ศาสตราจารย์หวูพูด


 


“ได้ครับ ขอบคุณมาก” หวังเย้าพูด


 


“ไม่หรอก ฉันต้องขอบคุณเธอมากกว่า” ศาสตราจารย์หวูตอบ


 


“หา?” หวังเย้าแปลกใจ


 


“เพราะเธอเป็นคนเจอแมลง แล้วยังช่วยคลี่คลายสถานการณ์ทั้งหมดลงได้ เลยทำให้ฉันได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยน่ะสิ” ัศาสตราจารย์หวูพูด “ตอนนี้ ฉันมีออฟฟิสใหญ่ขึ้นแล้วนะ พวกเขายังเพิ่มเงินเดือนกับให้อุปกรณ์การทดลองที่ดีขึ้นให้ฉันด้วย ดังนั้น ก็ควรจะเป็นฉันมากกว่าที่ต้องขอบคุณเธอ”


 


“อ่อ ยินดีด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“คราวหน้า ถ้าเธอมาปักกิ่งละก็ อย่าลืมบอกฉันด้วยล่ะ แล้วถ้ามีเรื่องอะไรที่ฉันช่วยได้ ก็บอกมาได้เลยนะ” ศาสตราจารย์หวูพูด


 


“ได้ครับ ขอบคุณนะครับ” หวังเย้าพูด


 


หลังจากที่วางสายแล้ว หวังเย้าก็ล็อคอินเข้าอีเมลล์ของเขา ในอินบอกซ์มีข้อความใหม่ถูกส่งเข้ามา ภายในนั้นมีเอกสารที่แนบมาด้วย ซึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับรายการผลของแมลงที่เขาส่งไปตรวจ เจ้าหน้าที่ในห้องแล็ปยังทำการตรวจหนูตัวนั้นด้วยเช่นกัน พวกเขาทำการตรวจเลือดและอวัยวะภายใน รวมไปถึงการผ่าศพของมันด้วย พวกเขาทำทุกอย่างเท่าที่พวกเขาจะทำได้


 


หวังเย้าอ่านรายงานทั้งหมดอย่างตั้งใจ


 


จากที่อ่านในรายงาน 70% ของแมลงทั้งหมดมีเชื้ออยู่ ส่วนอีก 30% คือไม่มีเชื้อ หนูเองก็มีเชื้ออยู่เช่นเดียวกัน มันเป็นการค้นพบที่น่าสนใจอย่างมาก


 


หวังเย้าพบแมลงพวกนี้จากบนเนินเขาซีชาน พวกมันอาศัยอยู่ด้วยกันราวกับฝูงผึ้ง ดังนั้น พวกมันจะต้องมีความเชื่อมโยงกันอย่างแน่นอน  แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมพวกมันส่วนหนึ่งมีเชื้อ แต่อีกส่วนหนึ่งกลับไม่มี


 


ส่วนเรื่องที่พบจากหนูก็ยิ่งน่าสนใจมากกว่า ตัวหนูมีเชื้ออยู่ แต่ก็ยังพบแอนติบอดี้ในร่างกายของมันด้วย ตัวแอนติบอดี้สามารถต้านทานเชื้อบนตัวของมันได้ ซึ่งก็หมายความว่า หนูสามารถแพร่เชื้อไปยังสัตว์หรือมนุษย์ได้ แต่ตัวมันจะไม่ติดเชื้อเอง


 


นอกจากเชื้อที่ระบาดในหมู่บ้านแล้ว เจ้าหน้าที่ห้องแล็ปก็ยังพบเชื้อชนิดอื่นในร่างกายของแมลงด้วย หลังจากที่กินเชื้อตัวนี้เข้าไป แมลงก็จะปล่อยมันออกมาจากร่างกาย มันเป็นเชื้อที่รุนแรงมาก เชื้อไวรัสในปริมาณเพียงแค่เล็กน้อย แต่กลับสามารถฆ่าหมูได้เป็นตัว และมันก็ยังเป็นเชื้อไวรัสตัวเดียวกับที่หวังเย้าค้นพบจากดินบนเนินเขาซีชานอีกด้วย


 


หวังเย้าจำได้ว่า หลุมที่มีเชื้อไวรัสตัวเดียวกับแมลงนั้นไม่มีต้นไม้อะไรขึ้นเลย และเขาก็ไม่พบแมลงอยู่ในบริเวณนั้นแม้แต่ตัวเดียว


 


บางที ฉันอาจจะขุดผิดที่ก็ได้ หวังเย้าคิด


 


ศาสตราจารย์หลินรู้สึกสนใจใน เรื่องที่แมลงและหนูสามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข เขาตั้งทฤษฏีขึ้นมาว่า มันเป็นการอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน เพราะพวกมันต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันเพื่อการดำรงชีวิต ของเสียที่ขับออกมาจากแมลงมีเชื้อไวรัสอยู่ในนั้น ซึ่งอาจจะได้รับมาจากหนูก็เป็นได้


 


จากการทดลอง ศาสตราจารย์หลินยังสามารถยืนยันได้ว่า ในตัวหนูมีแอนติบอดี้ที่สามารถต้านทานเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ด้วย


609 ฝันดีที่หาได้ยาก


 


ไม่ใช่หนูทุกตัวจะมีพฤติกรรมแบบนี้ ซึ่งมันอยู่นอกเหนือความคิดของพวกเขา ในระหว่างการทดลองนั้น หนูได้เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับแมลงที่มีเชื้ออยู่ แล้วไม่นาน มันก็ติดเชื้อ ดังนั้น หนูที่หวังเย้าเจอถือว่าเป็นเคสพิเศษ การติดเชื้อพร้อมกับร่างกายที่สร้างแอนติไวรัสขึ้นมานั้น ถือเป็นเรื่องทีเกิดขึ้นโดยบังเอิญมากกว่า


 


หวังเย้ารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย เพราะมันหมาความได้ว่า หนูที่มีเชื้อและสามารถแพร่เชื้อได้นั้นหาได้ยากมาก


 


ความเป็นไปได้หลายๆอย่างของเชื้อตัวนี้ยังคงไม่ชัดเจน แต่อย่างน้อย มันก็พอจะตั้งสมมติฐานขึ้นมาได้บ้างแล้ว ความเป็นไปได้มากที่สุดในตอนนี้ก็คือ การกลายพันธุ์ โดยมีสาเหตุมาจากการกระตุ้นจากสภาพแวดล้อมภายนอก


 


การกลายพันธุ์? แล้วอะไรคือตัวกระตุ้นล่ะ?


 


ข้อสรุปของรายงานนี้ ซึ่งเป็นข้อความที่เขียนเอาไว้โดยศาสตราจารย์หลิน เขาเขียนเอาไว้ว่า เขาอาจจะเดินทางมาที่หมู่บ้านเพื่อดูสถานที่จริง และเขาหวังว่า หวังเย้าจะให้ความช่วยเหลือแก่เขา


 


หลินฉางเฟิงเป็นนักกีฏวิทยา(ผู้ที่ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องแมลง) และนักสัตววิทยา มันคงจะเป็นครั้งแรก ที่หวังเย้าจะได้พบกับผู้ที่ศึกษาในด้านนี้ด้วยตัวเอง


 


หวังเย้าตอบกลับไปว่า [ได้ครับ ผมยินดีกับโอกาสในครั้งนี้อย่างยิ่ง]


 


หวังเย้ากลับไปที่เนินเขาซีชาน เขารู้สึกว่า เขาอาจจะพลาดอะไรบางอย่างไป ในครั้งนี้ เขาจะพลิกหินไม่ให้พลาดแม้แต่ก้อนเดียว


 


เมื่อใกล้เวลาเย็น ลมเริ่มพัดแรงขึ้น


 


“ชาวบ้านกำลังตกแต่งอพาร์ทเมนต์ของพวกเขาที่ในเมืองกันหลายคนเลยล่ะ” จางซิวหยิงพูดขึ้นมาในระหว่างมื้อค่ำ


 


“ก็ปล่อยพวกเขาทำไปสิ” หวังเฟิงฮวาพูด “หรือเธออยากจะไปกับเขาด้วย?”


 


“เปล่าสักหน่อย ก็แค่หลายคนที่จะย้ายไปอยู่ในเมือง เป็นคนที่ฉันสนิทด้วยก็เท่านั้น พอพวกเขาย้ายออกไป ฉันคงจะคิดถึงพวกเขามาก” จางซิวหยิงพูด “คงจะไม่มีใครมาคุยเป็นเพื่อนฉันอีกแล้ว”


 


มนุษย์เป็นสัตว์สังคม พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นๆและติดต่อกับโลกภายนอก เมื่อคนหนึ่งต้องอยู่แต่บ้านเป็นเวลานาน ก็อาจจะป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบัน ในยุคสมัยนี้ มีคนที่ปลีกวิเวกอยู่ไม่มากนัก จะมีคนหนุ่มสาวสักกี่คน ที่สามารถทนอยู่กับความเหงาได้นาน?


 


“ถ้าแม่เบื่อ แล้วอยากไปเที่ยวในเมือง ก็บอกผมได้นะ” หวังเย้าพูด


 


“แม่ก็แค่พูดไปอย่างนั้นแหละ ถ้าเราเข้าเมือง แล้วไปอยู่ในอพาร์ทเมนต์แบบนั้น มันคงจะไม่สะดวกสบายเท่ากับอยู่ในหมู่บ้านแบบนี้หรอก” จางซิวหยิงพูด “วันแต่งงานของพี่สาวลูก กำหนดออกมาแล้วนะ”


 


“เมื่อไหร่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“วันที่ 1 ตุลา จ๊ะ” จางซิวหยิงพูด


 


พวกเขามีเวลาเตรียมตัวประมาณห้าเดือน งานแต่งงานพี่สาวของเขาถือเป็นงานใหญ่ของครอบครัว


 


หวังเย้าเดินขึ้นไปบนเนินเขาภายใต้ลมพัดแรง ถ้าหากเขาเป็นแค่คนธรรมดา มันก็คงจะเป็นเรื่องยากที่จะเดินขึ้นเขาแบบนี้ สายลมถูกแยกออกเป็นสองทาง และอยู่ห่างจากตัวเขาไปประมาณ 1 เมตร ราวกับว่า มันกำลังเผชิญหน้าอยู่กับกำแพงที่มองมาเห็นอยู่ เขาเดินไปทางทิศใต้อย่างไม่เร่งรีบ


 


ในหมู่บ้านกลางเขา เมื่อมีคนอยู่บ้าน พวกเขามักจะเปิดไฟเสมอ ในตอนที่หวังเย้าเดินไปถึงทางใต้สุดของหมู่บ้านและหันกลับไปมองหมู่บ้านนั้น ก็มีแสงไฟส่องลอดออกมาจากบ้านเพียงไม่กี่หลังเท่านั้น หลายคนได้ย้ายออกไปอยู่ในตัวเมืองแล้ว


 


การเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้านเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเกิดโรคระบาดขึ้นก่อนหน้านี้ ถ้าหากใจพวกเขาไม่อยู่ที่นี่แล้ว ไม่ช้าก็เร็ว ยังไงพวกเขาก็ต้องจากไปอยู่ดี


 


ในที่สุด หวังเย้าก็เดินขึ้นมาถึงเนินเขาหนานชาน และเปิดไฟขึ้นในกระท่อม เขาหยิบคัมภีร์เต๋าออกมาอ่าน มีเสียงสวดดังออกมาจากกระท่อม และลอยออกไปยังแปลงสมุนไพรและในป่า


 


ซานเซียนนั่งฟังอยู่เงียบๆพร้อมกับใบหูที่ตั้งตรง บนยอดไม้ ดวงตาของต้าเซี่ยยังคงสว่างสดใสอยู่ในความมืดมิด เสี่ยวเฮยเลื่อยมาอยู่ที่ใต้ชายคากระท่อม แล้วขดตัวเป็นทรงเดียวกับจานใบหนึ่ง ดูเหมือนว่ามันกำลังฟังเสียงสวดอยู่


 


เวลาประมาณห้าทุ่ม แสงไฟในกระท่อมก็ดับลง


 


เช้าวันต่อมา ลมได้หยุดพัด


 


ศาสตราจารย์ลู่ เวินหว่าน และฟ่านโย่วเหรินได้เดินทางมาที่คลินิก อาการของเวินหว่านดีกว่าครั้งก่อนมาก สีหน้าที่เปลี่ยนไปของเธอนั้นเห็นได้ชัดเจนที่สุด ใบหน้าของเธอดูอมชมพูดเล็กน้อยและไม่ได้ซีดเซียวเหมือนอย่างวันที่เธอเดินทางมาถึงหมู่บ้าน แววตาของเธอเริ่มมีประกายคืนกลับมา


 


“ขอโทษที่ต้องมารบกวนอีกแล้วนะคะ” เธอพูด


 


“ไม่เลยครับ เชิญนั่งก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด “คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?”


 


“ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยค่ะ แต่ร่างกายของฉันก็ยังอ่อนแอและรู้สึกหนาวอยู่” เวินหว่านพูด


 


“ไม่ต้องคิดมากนะครับ เรื่องนี้มันไม่สามารถทำให้หายขาด หรือกำจัดออกไปได้ในทันทีอยู่แล้ว” หวังเย้าพูด “แล้วเรื่องการกินล่ะครับ? คุณกินได้เยอะแค่ไหนครับ?”


 


“ฉันกินโจ๊กถ้วยเดียวค่ะ ฉันไม่กล้ากินเยอะ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วฉันจะรู้สึกเหมือนตัวพองขึ้นมาน่ะค่ะ” เวินหว่านพูด


 


“แล้วคุณนอนได้ประมาณกี่ชั่วโมงครับ?” หวังเย้าถาม


 


“หลายวันมานี้ ฉันนอนหลับสนิทดีมากเลยค่ะ ฉันจะนอนประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน” เวินหว่านพูด


 


ตอนแรกที่เธอมาถึง เธอรู้สึกง่วงมาก แต่เพราะสภาพร่างกายที่มีปัญหาหลายอย่าง เลยทำให้เธอไม่สามารถหลับได้ และมันทำให้เธอรู้สึกทรมานอย่างมาก


 


การกินและการนอนคือพื้นฐานสำคัญของมนุษย์ หากไม่สามารถทำสองอย่างนี้ได้ ร่างกายก็จะพังลง


 


“นอกจากปวดเนื้อตัวกับคลื่นไส้แล้ว ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“บางครั้ง ฉันก็รู้สึกเหมือนมีลมอยู่ในกระเพาะค่ะ แล้วฉันก็ท้องเสียด้วย” เวินหว่านพูด


 


“เรื่องนี้น่าจะเป็นเพราะตัวยาที่ผมให้กินนะครับ ตัวยามีความเป็นพิษอยู่เล็กน้อย มันเลยอาจจะไปกัดกระเพาะและทำให้ท้องเสียได้” หวังเย้าพูด


 


ในตอนที่จ่ายยา หวังเย้าได้เลือกยาที่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด หากเป็นสมุนไพรที่มีผลข้างเคียงมาก เขาก็จะหาสมุนไพรตัวอื่นมาทำให้ผลข้างเคียงลดลงไป หากเป็นคนธรรมดากินเข้าไป มันจะไม่มีปัญหาอะไร หรือแม้แต่คนที่ร่างกายอ่อนแออยู่บ้างก็ยังไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่ด้วยสภาพร่างกายของเวินหว่านที่อ่อนแออย่างมาก แม้แต่สิ่งกระตุ้นภายนอกเพียงเล็กน้อย มันก็สามารถส่งผลต่อเธอได้มากกว่าคนธรรมดา


 


“มาครับ ผมขอจับชีพจรดูหน่อย” หวังเย้าพูด ชีพจรของเธอเต้นแรงขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี “อาการของคุณเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่คุณก็ยังไม่ถือว่าพ้นขีดอันตรายนะครับ”


 


“ค่ะ ฉันก็รู้สึกได้” เวินหว่านพูด ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกไม่สบายในหลายๆส่วนของร่างกาย แต่มันก็ดีขึ้นมากแล้ว แค่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว มันก็เกินกว่าที่เธอคาดเอาไว้มากแล้ว


 


“ช่วยถอดเสื้อคลุมและนอนลงด้วยครับ” หวังเย้าพูด


เขารักษาเธอด้วยการฝังเข็ม เขาแทงเข็มลงไปแปดจุดสำคัญของร่างกายและจุดอื่นอีกหลายจุด ในครั้งนี้ เขาใช้เข็มจำนวนมากนี้ในการกระตุ้นการไหลเวียนของพลังฉีและโลหิตในร่างกายของเธอ มันเป็นการกระตุ้นเพียงเล็กน้อย ดังนั้น ทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างเบามือที่สุด


 


อวัยวะภายในนั้นมีข้อจำกัดอยู่ โดยเฉพาะกระเพาะ ส่วนไตที่เป็นส่วนที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดนั้น มันจำเป็นต้องได้รับการรักษาไปทีละขั้น และไม่สามารถรีบร้อนได้ ความวิเศษของขี้ผึ้งต้วนชื่อนั้น สามารถเป็นส่วนเสริมให้กับร่างกายที่อ่อนแอ่ได้อีกด้วย


 


หลังจากฝังเข็มเสร็จแล้ว หวังเย้าก็นวดให้เธอต่อ แล้วเวินหว่านก็ผล่อยหลับไป


 


“อย่ารบกวนเธอเลยครับ ปล่อยให้เธอหลับไปดีแล้ว” หวังเย้าพูด


 


ศาสตราจารย์ลู่นำผ้ามาคลุมให้เธออย่างเบามือ ด้วยกลัวว่าเธอจะรู้สึกหนาว


 


หวังเย้ากดเปิดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งทำให้อากาศแห้งลงเล็กน้อย ความจริงแล้ว ลมที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศจะทำให้ร่างกายรู้สึกไม่สบายได้ เพราะมันไม่ได้อ่อนโยนเหมือนแสงแดดที่ส่องลงมา


 


“ผมจะกลับวันพรุ่งนี้” ศาสตราจารย์ลู่กระซิบ “ส่วนเวินหว่านกับลูกชายจะยังอยู่รักษาที่นี่ต่อ”


 


หลังจากได้คุยกันแล้ว ฟ่านโย่วเหรินก็ล้มเลิกความคิดที่จะพาแม่ของเขาไปจากที่นี่ เขาตัดสินใจที่จะอยู่จนกว่าร่างกายแม่ของเขาจะหายดี แล้วเขาถึงจะไป


 


“โอเคครับ” หวังเย้าพูด


 


คนสามคนนั่งคุยกระซิบกระซาบกันเป็นครั้งคราวอบู่ภายในห้อง


 


เวินหว่านรู้สึกสบายอย่างมาก เธอนอนหลับไปเกือบสองชั่วโมง


 


“ขอโทษนะคะ ฉันเผลอหลับไปอีกแล้ว” เวินหว่านพูด


 


“คุณนอนหลับสบายดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“มันดีมากเลยค่ะ ฉันยังฝันดีอีกด้วย” เวินหว่านยิ้ม


 


เธอฝันว่า ตัวเองได้ย้อนกลับไปในวัยสาว มันเป็นวันที่แสงแดดของฤดูใบไม้ผลิส่งลงมา เขากำลังเล่นว่าวอยู่ มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆเธอ ซึ่งสามารถเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน ว่าวถูกปล่อยให้ลอยขึ้นสูงไปบนท้องฟ้า พวกเขามีความสุขกันมาก


 


“ดีแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


ทั้งสามกลับออกไปตอนเกือบบ่ายโมง หวังเย้ากลับไปทานอาหารกลางวันที่บ้าน ก่อนจะขึ้นไปบนเนินเขาซีชาน


 


“เสี่ยวเย้า เธอจะไปที่ไหนเหรอ?” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม


 


“ผมกำลังจะขึ้นเขาน่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ระวังตัวด้วยล่ะ” ชาวบ้านพูด


 


“อ้อ ครับ ขอบคุณนะครับ คุณลุง” หวังเย้าพูด


 


ตั้งแต่เกิดปัญหาเรื่องโรคระบาดขึ้น ชาวบ้านต่างก็ได้รู้ว่า หลายจุดบนเนินเขาซีชานคือสาเหตุของการแพร่กระจายเชื้อไวรัส พวกเขาต่างกลัวว่า หากพวกเขาเข้าไปใกล้ที่นั่น พวกเขาก็อาจจะติดเชื้อและเสียชีวิตลงได้ ไม่มีใครคิดจะไปที่นั่นอีก


 


ไม่นาน หวังเย้าก็ไปถึงในบริเวณหนึ่งของเนินเขาซีชาน และได้หยิบอุปกรณ์ที่เตรียมเอาไว้ออกมาและเริ่มลงมือทำงาน


 


เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และเคลื่อนจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก เขาพลิกหน้าดินขึ้นมา เขาขุดหลุมลึกลงไปให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้


610 แขก


 


ในเวลาไม่นาน เขาก็ขุดหลุมได้เป็นสิบ เขาพบรูหนู แต่ในนั้นไม่มีแมลงอยู่ แล้วเขาก็พบว่า ดินในรูหนูนั้นมีอุจจาระของแมลงปนอยู่ด้วย


 


ถ้าหากไม่สังเกตให้ดี ก็อาจจะมองผ่านไปได้ แม้แต่คนที่มีความละเอียดรอบคอบก็อาจจะพลาดได้ หากพวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมองหาอะไร


 


ตอนนี้ หวังเย้าแทบจะมั่นใจในข้อสันนิษฐานของศาสตราจารย์หลิน ว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง หนูบางตัวมีความสัมพันธ์พิเศษกับแมลงพวกนั้นอยู่ เขาจึงรู้สึกกระตือรือร้นที่จะขุดค้นรูหนูเหล่านี้ดู


 


เขาขุดไปสี่จุด และพบรูหนูในทุกจุด มันเหมือนเป็นทางเชื่อม ที่เชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ


 


ในตอนที่เขากำลังติดพันกับงานอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนของใครบางคน “เสี่ยวเย้า เธอกำลังทำอะไรน่ะ? ออกมาเร็วเข้า!”


 


เขาหันหน้าไปทางเสียงที่ดังมา และเห็นใครยางคนยืนอยู่ด้านนอกสถานที่แห่งความตาย เขาก็คือ หวังเฟิงหมิง “คุณลุงมาทำอะไรที่นี่ครับ?”


 


“ลุงมาตรวจดูแถวนี้ดูน่ะสิ” หวังเฟิงหมิงพูดด้วยความกังวล “ลุงกลัวว่า จะมีใครมาที่นี่แล้วติดเชื้อขึ้นมา ลุงเห็นว่า หลุมพวกนั้นมันลึกมาก ก็เลยกังวลขึ้นมา ไม่คิดเลยว่า เธอจะอยู่ที่นี่ด้วย ออกมาเถอะ มันอันตรายนะ!”


 


“ครับ” หวังเย้าออกมาจากหลุม


 


“รีบปัดเศษดินออกจากตัวเร็ว แล้วเธอก็ควรจะกลับไปอาบน้ำอาบท่าที่บ้านด้วยล่ะ” หวังเฟิงหมิงพูด


 


“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมไม่เป็นไร” หวังเย้าพูด “ผมไม่กลัวเรื่องพวกนี้หรอก แล้วคุณลุงกินยาต้านเชื้อไวรัสไปแล้วใช่ไหมครับ?”


 


“ใช่” หวังเฟิงหมิงพูด “อย่าอยู่ที่นี่ต่อเลย ไม่ควรมีใครมาที่นี่ เวลาลุงมาที่นี่ ลุงยังรู้สึกกลัวแปลกๆด้วยนะ”


 


“ได้ครับ ไปกันเถอะ” หวังเย้าเดินลงจากเขาไปพร้อมกับหวังเฟิงหมิง


 


“เธอกำลังหาอะไรอยู่เหรอ?” หวังเฟิงหมิงถาม


 


“ผมกำลังหาดูว่า ข้างล่างมันมีอะไรอยู่ แล้วก็คิดหาเหตุผลว่าทำไม แถวนั้นถึงไม่มีหญ้าขึ้นเลยสักต้น” หวังเย้าพูด


 


“แล้วเธอรู้รึยัง?” หวังเฟิงหมิงถาม


 


“รู้แล้วครับ” หวังเย้าพูด


 


“มันคืออะไรเหรอ?” หวังเฟิงหมิงถาม


 


“หนูครับ แล้วยังมีแมลงแปลกๆอยู่ด้วย แต่ผมก็เผาพวกมันไปจนหมดแล้ว ส่วนหนูยังตายไม่หมด” หวังเย้าพูด


 


“เรื่องนี้ง่ายมาก เธอก็เอายาเบื่อหนูไปโรยไว้แถวนั้นก็ได้แล้ว” หวังเฟิงหมิงพูด


 


“โอเคครับ” หวังเย้าพูด


 


ในตอนที่พวกเขาแยกกันกลับบ้าน หวังเฟิงหมิงก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าเธอรู้สึกไม่สบายตรงไหน ก็ให้รีบไปหาหมอด้วยล่ะ”


 


“คุณลุงลืมไปแล้วเหรอครับ ว่าผมก็เป็นหมอน่ะ?” หวังเย้าถาม


 


“ลุงรู้ แต่ก็อย่าประมาทล่ะ” หวังเฟิงหมิงพูด


 


หวังเย้ากลับไปที่บ้านพร้อมกับเสียมในมือ


 


“ลูกเอาเสียมไปทำอะไรเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ผมกำลังขุดหาสมบัติอยู่ครับ” หวังเย้ายิ้ม


 


“แล้วเจอรึเปล่าล่ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“เจอครับ” หวังเย้าพูด


 


หลังจากพูดเล่นกับแม่ของเขาสองสามคำ หวังเย้าก็เข้าไปในห้อง บนตัวเขาไม่ได้มีเศษดินติดอยู่มากเท่าไหร่ ตอนที่เขาอยู่บนเขา ตัวเขามีกำแพงพลังฉีที่มองไม่เห็นปกคลุมเอาไว้ เพื่อเป็นการปกป้องตัวเขาเอง


 


“พี่สาวกับพี่เขยลูกจะมาที่บ้านคืนนี้นะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด


 


“จริงเหรอครับ?” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจ


 


ในระหว่างช่วงกักตัว หวังรุ่ยกังวลเกี่ยวกับทางบ้านเป็นอย่างมาก เธอโทรมาที่บ้านทุกวัน วันละหลายๆครั้ง ด้วยกลัวว่า จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นที่บ้าน เธออยากจะกลับไปที่บ้าน แต่จางซิวหยิงกับหวังเฟิงฮวาก็ไม่ยอมให้เธอกลับ พอรู้ว่าการกักตัวถูกยกเลิก เธอก็กลับมาที่บ้านในทันที พอผ่านไปได้ไม่กี่วัน เธอก็คิดถึงบ้านขึ้นมาอีกแล้ว


 


“อยากให้ผมช่วยอะไรไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ไม่จ๊ะ แม่เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว” จางซิวหยิงพูด


 


“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้น ผมช่วยแม่เตรียมอาหารนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ไม่ต้องหรอกจ๊ะ ลูกไปพักเถอะ” จางซิวหยิงพูด


 


ตู้หมิงหยางและหวังรุ่ยเดินทางมาถึงที่บ้านประมาณ 5 โมงเย็น


 


“คุณลุง คุณป้า เสี่ยวเย้า” ตู้หมิงหยางทักทายทุกคนอย่างยินดี


 


“เข้ามาก่อนสิ เร็วเข้า มากี่ทีก็ชอบเอาของมาให้อยู่เรื่อยเลยนะจ๊ะ อีกไม่นาน เราก็จะเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนี้หรอก” จางซิวหยิงพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“พี่ แม่ สบายดีไหมคะ?” หวังรุ่ยถาม


 


“ผมอยู่ที่นี่ทั้งคน พ่อกับแม่ก็ต้องสบายดีอยู่แล้ว” หวังเย้าพูด


 


“เข้าไปนั่งในห้องก่อนเถอะจ๊ะ เสี่ยวรุ่ย มาช่วยแม่ที” จางซิวหยิงพูด


 


ผู้ชายสามคนเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่นและดื่มชากัน หวังเฟิงฮวาและตู้หมิงหยางต่างก็เป็นนับสูบทั้งคู่ แต่ในครั้งนี้ ตู้หมิงหยางไม่ได้สูบ


 


“เธอไม่สูบเหรอ?” หวังเฟิงฮวารู้สึกสงสัยขึ้นมา


 


“ผมเลิกสูบแล้วครับ เพราะเสียวรุ่ยไม่ชอบกลิ่นบุหรี่” ตู้หมิงหยางพูด


 


หวังเย้ายิ้ม เขารู้สึกมีความสุขแทนพี่สาวของเขา เพราะมันแสดงให้เห็นว่า พี่เขยในอนาคตของเขานั้นรักพี่สาวของเขามากแค่ไหน


 


ผู้หญิงกำลังคุยกันอยู่ภายในห้องครัว ไปพร้อมกับเตรียมอาหาร


 


“เริ่มชินกับการที่ได้อยู่กับเขารึยังจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ก็ดีค่ะ” หวังรุ่ยพูด


 


“แล้วเขาปฏิบัติกับลูกดีไหม?” จางซิวหยิงถาม


 


“ดีค่ะ” หวังรุ่ยพูด


 


“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ดี!” จางซิวหยิงยิ้ม พ่อแม่ต่างก็คาดหวังว่า ลูกๆของพวกเขาจะมีชีวิตการแต่งงานที่ดีและมีความสุข เพราะการแต่งงานนั้นเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตร่วมกันในระยะยาว “แล้วลูกคิดจะมีหลานให้แม่เมื่อไหร่ดีล่ะ?”


 


“นั่นก็ขึ้นอยู่กับท่านเทพแล้วล่ะค่ะ” หวังรุ่ยพูด


 


แล้วอาหารก็เสร็จในเวลาไม่นาน พวกเขานั่งทานอาหารร่วมกันอย่างมีความสุข หวังเย้ายังดื่มไวน์ไปสองสามแก้วด้วย


 


“นายยังขึ้นไปนอนบนเนินเขาอยู่เหรอ?” หวังรุ่ยถาม


 


“อืม” หวังเย้าพูด


 


“พรุ่งนี้ ฉันจะพาพี่เขยของนายขึ้นไปดูข้างบนนะ” หวังรุ่ยพูด


 


“ได้สิ” หวังเย้าพูด


 


คืนนั้น หวังเย้ากลับขึ้นไปบนเนินเขาค่อนข้างดึก เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนแล้ว เขาก็เข้านอนในทันที


 


วันต่อมา ตู้หมิงหยางและหวังรุ่ยไม่ได้ขึ้นไปบนเนินเขา เพราะหวังเย้าลงมาแต่เช้า ด้วยมีเพื่อนคนหนึ่งมาหาเขาที่คลินิก


 


“เหล่าซาง ทำไมถึงได้มาที่นี่ล่ะครับ?” หวังเย้าถาม


 


ซางกู้จื้อมาพร้อมกับชายน่าตาดีที่ดูมีอายุประมาณ 30 และดูเหมือนจะเป็นลูกศิษย์ของเขา


 


“ฉันมาทำธุระที่เมืองจี้น่ะสิ ก็เลยแวะมาหาเธอที่นี่ด้วย” ซางกู้จื้อพูด “ฉันได้ยินมาว่า เมื่อไม่นานมานี้ ที่นี่เกิดโรคระบาดขึ้น ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงกักตัวรึเปล่า?”


 


“อ่อ เขายกเลิกไปแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


“นี่เป็นลูกชายของฉันเอง ซางจี้หมิน” ซางกู้จื้อพูด


 


“สวัสดีครับ!” หวังเย้ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขารู้ว่า ซางกู้จื้ออายุ 70 กว่าปีแล้ว ดังนั้น เขาจึงคิดว่าลูกชายของเขาน่าจะอายุมากกว่านี้


 


“สวัสดีครับ หมอหวัง ผมได้ยินเรื่องของคุณมามาก แล้วคุณก็ยังดังมากด้วย” ซางจี้หมินพูด


 


“ไม่รู้เลยนะครับ ว่าผมจะมีชื่อเสียงกับเขาด้วย” หวังเย้าพูด “แล้วคุณรีบกลับไหมครับ?”


 


“ไม่หรอก” ซางกู้จื้อพูด


 


“อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เอาสิ” ซางกู้จื้อพูด


 


ทั้งสามอยู่คุยกันภายในคลินิก มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดเรื่องการรักษา เพราะทั้งสามล้วนแล้วแต่เป็นหมอเหมือนกันหมด พวกเขาให้ความสนใจในเรื่องเหล่านี้เป็นปกติ โดยเฉพาะ ซางจี้หมิน


 


“เชื้อไวรัสตัวนี้ไม่เคยมีการค้นพบมาก่อนเหรอครับ?” เขาถาม


 


“ใช่ครับ มันเป็นโรคระบาดที่ไม่เคยมีการบันทึกมาก่อน” หวังเย้าพูด


 


“แมลงที่คล้ายกับแมงกับแมงแระชอนอย่างนั้นเหรอ หืม?” ซางจี้หมินรู้สึกอึ้งกับเรื่องนี้


 


“ครับ ผมยังได้ขอให้คนทางปักกิ่งช่วยหาผู้เชี่ยวชาญเรื่องแมลงช่วยดูเรื่องนี้ให้ด้วย แล้วนั่นก็เป็นข้อมูลทั้งหมดที่เขาพบครับ” หวังเย้าพูด


 


ซางจี้หมินมีคำถามมากมาย “แล้วตัวเชื้อแสดงอาการเร็วไหมครับ?”


 


“เร็วมากเลยครับ พิษจะเข้าไปอยู่ตามอวัยวะภายใน จากนั้น ผู้ติดเชื้อก็จะมีอาการสูญเสียสติสัมปชัญญะและคลั่งครับ” หวังเย้าพูด


 


“แล้วใช้ยาอะไรรักษาเหรอครับ?” ซางจี้หมินถาม


 


หวังเย้าบอกรายละเอียดของตัวยาที่ใช้รักษา มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องปิดบังเรื่องนี้อยู่แล้ว


 


“ไม่คิดเลย ว่าหญ้าหางกระรอกจะทำแบบนี้ได้ด้วย” ซางจี้หมินพูด


 


ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก


 


“เชิญเข้ามาได้เลยครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาก็คือ หวูถงชิ่ง ที่เดินทางมาจากปักกิ่ง “สวัสดีครับ หมอหวัง หมอซาง”


 


“สวัสดี เลขาหวู” ซางกู้จื้อพูด


 


“ไม่ต้องทำตัวสุภาพขนาดนั้นก็ได้ครับ เรียกผม ถงชิ่งหรือเสี่ยวหวูก็พอ” หวูถงชิ่งพูด


 


“เชิญนั่งก่อนสิครับ ดื่มชาสักหน่อยนะครับ” หวังเย้าเทชาให้กับเขา “คุณมีเรื่องอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?”


 


“โอ้ เรื่องอาการป่วยของพ่อผมน่ะสิ” หวูถงชิ่งพูด


 


“มันมีปัญหาเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“อาการของพ่อยังดีอยู่ครับ แต่เห็นเขาบอกว่า เขาเจ็บหน้าอกมาก จนนอนหลับไม่ได้เลย” หวูถงชิ่งพูด


 


“เรื่องปกติครับ มันเป็นเพราะโรคที่เขาเป็นอยู่” หวังเย้าพูด “อีกสองวันให้กลับมาอีกทีนะครับ ผมจะทำยาที่ช่วยลดอาการเจ็บหน้าอกให้”


 


“โอเคครับ ขอโทษที่มารบกวนนะครับ” หวูถงชิ่งพูด


 


หวังถงชิ่งอยู่ที่คลินิกประมาณ 20 นาทีและจากไป


 


“คิดไม่ถึงเลยนะ ว่าเขาจะมาถึงที่นี่ได้” ซางกู้จื้อพูด


 


“พ่อ เขาเป็นใครเหรอครับ?” ซางจี้หมินถาม


 


“เขาเป็นคนของตระกูลหวูในปักกิ่งน่ะ ตอนนี้เขามีตำแหน่งใหญ่โตอยู่ในสภาความมั่นคงของชาติ” ซางกู้จื้อพูด


611 ใบชาใหม่และเพื่อนเก่า


 


“หมอหวังเป็นหมอที่สุดยอดมาก ขนาดเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากปักกิ่ง ก็ยังต้องเดินทางมาหาคุณถึงที่นี่” ซางจี้หมินพูด


 


“ผมแค่บังเอิญได้รู้จักพวกเขาก็เท่านั้น” หวังเย้าพูด


 


เขาขับรถพาซางกู้จื้อและซางจี้หมินไปทานอาหารที่ร้านที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน


 


“สวัสดีครับ หมอหวัง เชิญเข้ามาข้างในเลยครับ” เจ้าของร้านยินดีที่ได้เห็นหน้าเขา ช่วงนี้ ที่ร้านของเขาแทบจะไม่มีลูกคาเข้ามาเลย


 


“กิจการยังไม่ดีขึ้นเลยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ไม่เลยครับ มันแย่มาก ทุกวัน จะมีลูกค้ามาแค่สองสามกลุ่มเท่านั้น กิจการคงจะยังไม่ดีขึ้นเร็วๆนี้หรอกครับ” เจ้าของร้านพูด


 


“อย่าคิดมากเลยไปนะครับ เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นเอง” หวังเย้าพยายามพูดปลอบใจเจ้าของร้าน


 


“ผมก็หวังไว้อย่างนั้นเหมือนกัน” เจ้าของร้านพูด


 


“เอาอาหารเหมือนที่สั่งทุกทีนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะไปชงชามาให้ ลองใบชาฤดูใบไม้ผลิของทางร้านดูหน่อยนะครับ” เจ้าของร้านปฏิบัติกับหวังเย้าที่เป็นเหมือนเพื่อนเก่าและลูกค้าเป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้ หวังเย้ายังได้ช่วยร้านของเขาเอาไว้อีกด้วย


 


ในร้านอาหารมีคนอยู่ไม่มากนัก ดังนั้น อาหารจึงถูกนำออกมาเสริฟค่อนข้างเร็ว


 


“มาครับ กินกันเถอะ” หวังเย้าพูด


 


“ครับ” ซางจี้หมินพูด


 


หวังเย้าสั่งอาหารที่ทำจากปลาที่จับจากในแม่น้ำกับเห็ดที่เก็บจากในป่า อาหารจึงดูสดใหม่อย่างมาก


 


“อื้ม อร่อย” ซางจี้หมินพูด


 


“ผมดีใจที่คุณชอบอาหารที่นี่นะครับ คุณกลับมาที่นี่ได้เสนอเลยนะ” หวังเย้าพูด “เหล่าซางครับ ผมขออนุญาตชนแก้วกับคุณนะครับ”


 


“ฮาฮา ขอบคุณๆ” ซางกู้จื้อพูดด้วยรอยยิ้ม เขารู้สึกประทับใจในตัวหวังเย้าอย่างมาก เขายังหนุ่มและเป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถ หวังเย้ายังเป็นหมอที่เก่งกว่าเขาเสียอีก แล้วทัศนคติของเขาก็ยังดีมากด้วย เขาไม่ได้แสดงท่าทางเย่อหยิ่ง เหมือนอย่างชายหนุ่มที่มีความสามารถหลายๆคน


 


ซางกู้จื้อไม่ได้เจอกับคนที่มีความสามารถสูงและยังอารมณ์ดีแบบเขามากนัก “แล้วฉันก็ต้องขอโทษเธอด้วยนะ”


 


“ขอโทษผมทำไมเหรอครับ?” หวังเย้าด้วยความแปลกใจ


 


“เธอยังจำคนไข้ที่ต้าหลี่ คนที่ฉันขอให้เธอไปรักษาได้ไหม?” ซางกู้จื้อถาม


 


“จำได้สิครับ” หวังเย้าพูด เขาจำน้องชายของหานชิ่งได้ดี เขาป่วยด้วยพิษร้อน ซึ่งเป็นอาการป่วยที่คล้ายกับของซูเสี่ยวซวี หวังเย้าได้ทำยาออกมาสามชนิดและทิ้งไว้ให้พวกเขา หานชิ่งบอกว่า เขาจะติดต่อหวังเย้าไป แต่หวังเย้าก็ไม่เคยได้ยินข่าวจากเขาอีกเลย


 


“คนไข้เป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เขาสบายดี ถ้าไม่อย่างนั้น พวกเขาก็คงจะติดต่อฉันแล้วล่ะ” ซางกู้จื้อพูดด้วยน้อเสียงเศร้าใจเล็กน้อย


 


“มีเรื่องอะไรอีกเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“อืม” ซางกู้จื้อพูด “พวกเขาไปหาราชายาที่เขตเมี่ยวน่ะสิ”


 


“จริงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


เขาได้ยินเรื่องของราชายามาบ้าง คนที่ถูกเรียกว่า “ราชา” คงจะต้องเป็นผู้ที่มีฝีมือสูงส่งอย่างแน่นอน แล้วราชายาก็ยังมีชื่อเสียงอยู่ในยูนนานมาหลายปีแล้ว


 


“ฉันเคยเจอกับราชายามาก่อน และพอจะรู้กฎเกณฑ์บางอย่างของเขาอยู่บ้าง ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดี เขาก็จะไม่รักษาใครทั้งนั้น แม้ประธานาธิบดีของจีนจะมาด้วยตัวเองก็ตามที” ซางกู้จื้อพูด


 


“ครับ ผมเคยได้ยินมาเหมือนกัน” หวังเย้าพูด ตอนที่อยู่ต้าหลี่ พี่น้องหานได้เล่าเรื่องของราชายาให้เขาฟังด้วย


 


“เขาอาศัยอยู่ทางใต้ของยูนนาน มีคนจำนวนมากไปที่หมู่บ้านนั้นเพื่อให้ได้รักษากับเขา แต่เพราะนิสัยที่แปลกประหลาดของเขา คนที่มาเลยต้องรอกันนานเป็นเดือนๆ” ซางกู้จื้อพูด


 


“เป็นเดือนเลยเหรอ! ถ้าแบบนั้นการรักษาก็จะล่าช้าออกไปน่ะสิ” หวังเย้าพูดด้วยความแปลกใจ


 


“ใช่ แต่ทุกคนก็ยินดีที่จะรอ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น คนไข้ทุกคนที่ไปล้วนแล้วแต่เป็นโรคที่รักษาได้ยาก พวกเขาไปหาราชายา ก็เพราะไม่มีโรงพยาบาลไหนรักษาพวกเขาได้แล้ว ก่อนจะไปหาเขา พวกเขาก็คงจะไปมาแล้วหลายโรงพยาบาล แถมเขายังมีกฎเกณฑ์ที่แปลกอีกด้วย” ซางกู้จื้อพูดเสร็จแล้วจึงยกขึ้นมาจิบ


 


หวังเย้าฟังซางกู้จื้อพูดอย่างเงียบๆ


 


“ถ้าหากมีคนเอาสมุนไพรที่มีความพิเศษหรือแตกต่างจากทั่วไปไปพบเขา เขาก็จะทำตามคำขอของคนคนนั้นหนึ่งอย่าง” ซางก็จื้อพูด


 


“นี่เป็นกฎที่แปลกมาก” หวังเย้าพูด


 


“แปลกมากเลยล่ะ” ซางกู้จื้อพูด “ปกติแล้ว ทุกคนต้องรอคิวเพื่อให้ได้พบกับเขา ผู้ช่วยของเขาจะให้แผ่นไม้ที่เขียนหมายเลขเอาไว้ให้แต่ละคนถือ แล้วราชายาก็แทบจะไม่ออกไปจากหมู่บ้านเลยด้วย แต่ถ้าหากมีคนเอาสมุนไพรหรือยาที่ทำให้เขาพอใจได้ไปให้ คนคนนั้นก็จะได้รับการรักษาจากเขาในทันที แล้วเขาก็ยินดีที่จะออกไปรักษาให้ถึงที่บ้านเลยด้วย”


 


หวังเย้าพอจะเดาได้บ้างแล้วว่า ซางกู้จื้อจะพูดเรื่องต่อ


 


“ราชายาสั่งสมชื่อเสียงของเขามาเป็นเวลาหลายปี เขาเป็นหมอที่สุดยอดอย่างแท้จริง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้เห็นสมุนไพรและสูตรยามาแล้วนับไม่ถ้วน ดังนั้น จึงมีสมุนไพรไม่มากที่จะดึงดูดความสนใจของเขาได้” ซางกู้จื้อพูด “เท่าที่ฉันรู้มา เขาเกิดความประทับใจสูตรยาตัวหนึ่งก็ตอนห้าปีที่แล้ว ครั้งนี้ เขาถึงกับมาที่บ้านของพี่น้องหานเพื่อรักษาน้องชายคนเล็กของพวกเขา แล้วฉันก็ดันไปเห็นเขาเข้าพอดี ฉันเลยคิดว่า พี่น้องหานน่าจะเอายาของเธอไปให้ราชายาน่ะสิ”


 


ซางกู้จื้อได้เห็นความวิเศษในตัวยาของหวังเย้ามากับตาตัวเอง โจวหวูยี่และโจวหวูคังต่างก็หายได้ด้วยยาของหวังเย้า โจวหวูยี่ที่เกือบจะไม่รอด และโจวหวูคังที่ป่วยด้วยโรคประหลาดมานานหลายปี สำหรับซางกู้จื้อ คนทั้งสองนั้นเกินกว่าที่จะรักษาได้แล้ว แต่หวังเย้ากลับรักษาพวกเขาจนหายได้ด้วยยาวิเศษของเขา


 


“ผมเข้าใจแล้วครับ” หวังเย้าพูด


 


ยาของเขาจะต้องถูกใจราชายาอย่างแน่นอน ยาทั้งสามตัวที่หวังเย้าทิ้งไว้กับพี่น้องหาน ล้วนแล้วแต่เป็นยาที่ทำขึ้นมาจากสมุนไพรราก ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากบนโลกใบนี้ ทั้งหม้อและน้ำที่ใช้ในการต้มยาก็ยังเป็นของพิเศษอีกด้วย มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ที่ราชายาจะสนใจในตัวยาของหวังเย้า


 


“ฉันไม่คิดเลย ว่าพวกเขาจะทำแบบนี้ มันเป็นความผิดของฉันเอง” ซางกู้จื้อพูด


 


“มันไม่เป็นไรเลยครับ คุณอย่าโทษตัวเองเลย” หวังเย้าพูด ซางกู้จื้อเป็นคนดีและเป็นหมอที่ดี ซึ่งมันทำให้หวังเย้าเคารพเขาอย่างมาก “คุณก็บอกแล้วนี่ครับ ว่าคุณก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพวกเขาจะทำแบบนี้น่ะ”


 


“ฉันแค่เป็นห่วงน้องชายคนเล็กของพวกเขาก็เท่านั้น พ่อของพวกเขาเคยช่วยฉันมามากและยังเคยช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ด้วย ก่อนที่เขาจะตาย เขาก็ได้ขอให้ฉันช่วยดูแลลูกๆของเขาให้ด้วย ฉันไม่คิดเลย ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้” ซางกู้จื้อถอนหายใจ


 


คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ


 


“ช่างมันเถอะครับ เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า ชนแก้วครับ” หวังเย้าพูด


 


“ใช่ๆ ขนแก้ว” ซางจี้หมินพูด


 


“แล้วคุณมาทำอะไรที่จังหวัดฉีเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ฉันมาทำธุระส่วนตัวน่ะ” ซางกู้จื้อพูด


 


“ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไร ก็บอกผมได้นะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้เลย” ซางกู้จื้อพูด


 


เขามาที่จังหวัดฉีเพื่อพบกับเพื่อนเก่าของเขา เขาจึงอยู่ที่ตัวจังหวัดหลายวัน พวกเขาทั้งสองต่างก็อยู่ในวัย 70 กันแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงเหลือโอกาสที่จะได้พบกันไม่มากแล้ว


 



 


ขณะเดียวกัน พันจวินกำลังรักษาคนไข้อยู่ในคลินิกของพันเหมย


 


“เยี่ยมมากเลย หมอพัน หมอไปเรียนนวดมาจากที่ไหนเหรอ?” คนไข้วัยชราถาม


 


“จากอาจารย์ท่านหนึ่งครับ” พันจวินพูดด้วยรอยยิ้ม


 


ช่วงนี้ เขามักจะฝึกฝนเทคนิคการนวดกับคนไข้ที่มารักษาที่คลินิกพี่สาวของเขา และผลลัพธ์ที่ได้ก็ค่อนข้างหน้าประทับใจ ไม่นาน ผู้คนที่มารักษาที่คลินิกก็เริ่มขอมารักษากับเขามากขึ้น


 


“ฉันรู้ ว่าหมอไปเรียนกับอาจารย์มา แต่อาจารย์คนไหนล่ะ?” คนไข้ถาม


 


“หมอหวังที่เคยมาทำงานที่นี่ยังไงล่ะครับ” พันจวินพูด


 


“หมอหนุ่มคนนั้นน่ะเหรอ? ไม่ใช่ว่าเขาเด็กกว่าหมอหรอกเหรอ” คนไข้ถาม เขาเป็นคนไข้ประจำของคลินิกแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาการป่วยเล็กน้อยแค่ไหน อย่าง เป็นหวัดหรือปวดศีรษะ เขาก็มักจะมารักษากับที่นี่ตลอด เขาพอจะจำหวังเย้าได้อยู่ลางๆ เขาเป็นอายุน้อยที่ท่าทางดีและยังรักษาเก่งมากด้วย


 


“เขาเด็กกว่าผมก็จริง แต่เขาก็รักษาเก่งกว่าผมด้วย” พันจวินพูด


 


“หมอพูดถูก อายุไม่ใช่เรื่องสำคัญ เราควรจะดูที่ฝีมือของเขามากกว่า” คนไข้พูด


 


“จริงครับ” พันจวินพูด


 


“พอได้นวดกับหมอแล้ว ฉันก็รู้สึกดีขึ้นมากเลยล่ะ ขอบคุณหมอมากนะ” คนไข้พูด


 


“ยินดีครับ” พันจวินพูด


 


คนไข้จ่ายค่ารักษาและออกไปจากคลินิกด้วยความพอใจ


 


“ช่วงนี้ นายได้ไปหาอาจารย์ของนายบ้างรึเปล่า?” พันเหมยถาม


 


“อืม เพิ่งไปมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเอง ผมว่าจะไปหาเขาอีกทีพรุ่งนี้น่ะ” พันจวินพูด


 


“แล้วฉันยังได้ยินมาด้วยนะว่า โรงพยาบาลในเมืองจ้างแพทย์แผนจีนไปทำงานอาทิตย์ละหนึ่งวัน แล้วค่าตัวของเขาก็ยังแพงมากอีกด้วย” พันเหมยพูด


 


พันจวินไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น


 



 


หลังจากที่ทานอาการเสร็จแล้ว ซางกู้จื้อและลูกชายก็ไปนั่งคุยกันที่คลินิกของหวังเย้าต่อ


 


“พ่อ หมอหวังเก่งกว่าตาแก่หวูซานรึเปล่า?” ซางจี้หมินถามตอนที่พวกเขาอยู่กันแค่สองคน


 


“เลิกเรียกเขาว่า หวูซาน ได้แล้ว” ซางกู้จื้อพูดด้วยท่าทีจริงจัง “ยังไงเขาก็แก่กว่าลูก ลูกไม่ควรเสียมารยาท”


 


“เขาเป็นพวกอารมณ์แปรปรวน ไม่ใช่คนที่สมควรได้รับความเคารพจากผมเลยสักนิด” ซางจี้หมินพูด


 


“นิสัยของเขาไม่ใช่ข้ออ้างที่ลูกจะทำตัวเสียมารยาทกับเขาได้นะ ลูกพูดถูก ที่เขาเป็นพวกอารมณ์แปรปรวน แต่เขาก็ไม่ใช่คนไม่ดี” ถึงแม้ว่าซางกู้จื้อจะไม่ได้เห็นนิสัยของราชายากับตาตัวเอง แต่ตัวเขาก็เป็นคนที่มีคุณธรรมมากพอ


612 หญิงสาวจากเจียงหนาน


 


“ก็ได้ ผมผิดเอง พ่อยังไม่ได้ตอบคำถามของผมเลยนะ” ซางจี้หมินยิ้ม


 


“มันก็พูดยากนะ เขามีชื่อเสียงในเขตเมี่ยวมาหลายสิบปีแล้ว ชื่อเสียงขนาดนี้ เขาก็คงต้องมีฝีมืออยู่บ้างล่ะมั้ง” ซางกู้จื้อพูด “แต่ถึงแม้หวังเย้าจะอายุยังน้อยมาก เขาก็เป็นคนที่มีฝีมือเก่งกาจมาก พ่อได้คุยกับเขามาแล้วหลายครั้ง พ่อแทบจะไม่ได้เจอกับคนที่มีความรู้เรื่องยาจีนได้มากเท่าเขามาก่อนเลยล่ะ”


 


“มีชื่อเสียงเหรอ? พูดเกินจริงกันไปเองรึเปล่าครับ?” ซางจี้หมินพูด


 


“ไม่หรอก การรักษาโรคและการช่วยชีวิต ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับความรู้และความสามารถของคนคนหนึ่งมากกว่าเรื่องอื่น ถ้าความสามารถของเขาไม่มากพอ เขาก็คงจะหลอกคนได้แค่ช่วงสั้นๆ แต่ไม่มีทางอยู่มาได้นานขนาดนี้หรอก ถ้าเขาไม่มีความสามารถจริง เขาก็คงจะรักษาชื่อเสียงที่ดีมานานเป็นสิบๆปีไม่ได้ ตรงกันข้าม ระยะเวลาที่ผ่านมา กลับทำให้เขาดังขึ้นเรื่อยๆมากกว่า” ซางกู้จื้อพูด


 


เขาฝึกฝนการรักษามาหลายสิบปี เขาจึงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน การรักษาและช่วยคนล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถที่แท้จริงของแพทย์แผนจีนแต่ละคน


 


“คนหนึ่งเคยได้ยิน ส่วนอีกคนได้เห็นกับตา” ซางจี้หมินพูด “พ่อคิดว่า ถ้ามีวันหนึ่งพวกเขาสองคนได้มาเจอกันจริงๆล่ะครับ? มันจะเกิดอะไรขึ้น?”


 


ซางกู้จื้อเงียบไปครู่หนึ่ง “พวกเขาคงไม่มีทางได้เจอกันหรอก”


 


พวกเขาทั้งสองอาศัยอยู่ในสถานที่เรียบง่ายและแทบจะไม่ออกไปไหนเลย คนหนึ่งอยู่ใต้ ส่วนอีกคนหนึ่งอยู่เหนือ


 


“ถ้าครับ ผมบอกว่าถ้า” ซางจี้หมินพูด


 


“พ่อไม่รู้ แต่มันก็คงจะไม่รักใคร่กลมเกลียวกันได้หรอก” ซางกู้จื้อพูด


 


“การต่อสู้ระหว่างปรมาจารย์สินะ” ซางจี้หมินพูด


 


ซางกู้จื้อไม่ได้ต่อบทสนทนานี้อีก


 


หลังจากส่งคนทั้งสองกลับไปแล้ว หวังเย้าก็ปิดประตูคลินิกและกลับบ้าน


 


“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?” บนหน้าผากของตู้หมิงหยางมีแผ่นกระดาษติดอยู่


 


“เรากำลังเล่นไพ่กันอยู่น่ะ” ตู้หมิงหยางยิ้ม


 


“บ่ายนี้ฉันไม่มีโชคสักนิด เอาแต่แพ้ตลอดเลย” เขาพูดอย่างรื่นเริง


 


“เหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“อยากจะเล่นด้วยกันไหม?” ตู้หมิงหยางถาม


 


“เอ่อ ไม่ล่ะครับ ผมขอดูเฉยๆดีกว่า” หวังเย้ายิ้ม จากนั้น เขาก็เดินไปหยิบกาน้ำชาและเทชาให้กับทุกคน


 


เขามองดูพี่เขยของเขาตั้งใจเล่นแพ้ แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมา การเป็นลูกเขยที่จะทำให้พ่อตามีความสุขได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และยังทำแบบโจ่งแจ้งไม่ได้อีกด้วย


 


“เพื่อนของนายมาเหรอ?” ตู้หมิงหยางถาม


 


“ครับ เหล่าซางมาหาน่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


“อ่อ หมอแก่ๆคนนั้นใช่ไหม?” ตู้หมิงหยางถาม


 


“ใช่ครับ เขาเป็นคนที่น่านับถือมาก” หวังเย้าพูด


 


ตอนบ่าย ทั้งครอบครัวไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย พวกเขาเพียงเล่นไพ่และหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน


 


“โอ้ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ!” จางซิวหยิงมองดูท้องฟ้าด้านนอกที่เริ่มมืดแล้ว


 


“ครับ เวลาดีดีมักผ่านไปเร็วเสมอ!” ตู้หมิงหยางยิ้ม


 


“เอาล่ะ ทุกคนเล่นกันไปก่อนนะ แม่จะไปทำอาหารมาให้กินกัน” จางซิวหยิงพูด


 


“ผมช่วยนะครับ” ตู้หมิงหยางรีบลุกขึ้น


 


“ไม่ต้องหรอกจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด


 


อาหารที่กินไปตอนเช้ายังเหลืออีกมาก และส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้กิน เธอแค่ต้องนำออกมาอุ่นและทำอาหารจานผักสักสองอย่างก็ได้แล้ว


 


“คุณป้าไม่ต้องทำหลายอย่างก็ได้นะครับ” ตู้หมิงหยางพูด


 


“ไม่เยอะหรอกจ๊ะ” จางซิวหยิงยิ้ม ยิ่งเธอมองเขามากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งชอบเธอมากเท่านั้น


 


หลังจบมื้อเย็น ทั้งครอบครัวก็นั่งดูรายการทีวีและพูดคุยกันไปด้วย หวังเย้าขึ้นไปบนเขาตอนประมาณสามทุ่ม เขายังมีเรื่องต้องทำ ก็คือการทำยาให้กับหวูถงชิ่งจากปักกิ่ง


 


เมื่ออาการป่วยอยู่ในจุดหนึ่งแล้ว ก็จะทำได้เพียงบรรเทาความเจ็บปวดให้ลดลงไปเท่านั้น จื่อจินซู่, ป่ายเฉา, กานเฉา, ปาเจียวถง… ยาบรรเทาความเจ็บปวดที่ขั้นตอนไม่ซับซ้อน แต่ให้ผลดี


 


หวังเย้าใช้สูตรยาเดียวกับที่ใช้รักษาโจวหวูคัง


 


ตัวยาที่เขาต้องการล้วนมีอยู่ครบ ส่วนปาเจียวถงก็มีอยู่ในแปลงสมุนไพรของเขา


 


ตัวยาถูกต้มด้วยไฟอ่อนๆ กลิ่นหอมของตัวยาลอยออกไปทั่วทุกทิศ


 


ด้านนอกตัวกระท่อม สายลมพัดโชยมาอ่อนๆ แสงไฟดับลง ราตรีเข้าปกคลุมทั่วทั้งเนินเขา


 


อยู่ๆก็มีเสียงเบาๆดังขึ้น ซานเซียนเดินออกมาจากบ้านสุนัข ต้าเซี่ยกระพือปีกอยู่บนกิ่งไม้และดูคล้ายกับจะโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เสี่ยวเฮยแหวกหน้าออกมาจากกอหญ้า


 


หวังเย้าที่กำลังนอนอยู่บนเตียงได้ลืมตาขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น?


 


เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่พล่าเลือน มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับว่า ภูเขากำลังเคลื่อนไหวอยู่ เมื่อเขาตั้งใจฟัง ทุกอย่างก็เงียบสนิท ภูเขาคืนสู่ความสงบ


 


ในตอนเช้า พระอาทิตย์ขึ้นเหมือนเช่นทุกวัน หวังเย้าลงไปจากเนินเขาแต่เช้า หลังจากทานอาหารที่บ้านแล้ว เขาก็ไปที่คลินิก


 


หวูถงชิ่งยังไม่มา แต่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอก็คือ กู้หยวนหยวน สาวเจียงหนานเมืองน้ำ (เจียงหนานเป็นเมืองเก่า เป็นที่รู้จักในเรื่องของสะพานแม่น้ำและลำคลอง)


 


“สวัสดีค่ะ คุณหมอ” น้ำเสียงของเธออ่อนโยนราวกับสายฝนในเจียงหนาน


 


“ทำไมเป็นเธอที่มาล่ะ?” หวังเย้ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


 


“ท่านเลขาหวูมาไม่ได้ เพราะมีงานเข้ามา ท่านเลยส่งฉันมารับยาแทนค่ะ” กู้หยวนหยวนพูด


 


“อ้อ นี่ครับยา” หวังเย้าหยิบยาออกมา


 


“แล้วราคาละคะ?” เธอถาม


 


“10,000 หยวนครับ” หวังเย้าพูด เป็นราคาที่เหมาะสมสำหรับปาเจียวถงครึ่งต้น


 


กู้หยวนหยวนจ่ายเงินในทันที เธอถามว่า “คุณหมอจะว่างเดินทางไปปักกิ่งได้เมื่อไหร่คะ?”


 


“ตอนนี้ ผมยังไม่มีแผนที่จะไปหรอกครับ” หวังเย้าพูด


 


“โอเคค่ะ หมอหวังมีเรื่องอะไรต้องการให้ฉันทำอีกไหมคะ?” กู้หยวนหยวนถาม


 


เธอเป็นเหมือนกับ เด็กสาวข้างบ้านที่เขินอาย


 


“ผมไม่ต้องการอะไรแล้วครับ ขอบคุณ” หวังเย้าพูด


 


“ถ้าอย่างนั้น ลาก่อนนะคะ” กู้หยวนหยวนพูด


 


จุดประสงค์หลักในการมาที่นี่ของเธอก็คือการมารับยา ส่วนอีกเรื่องก็คือ การถามว่าหวังเย้าจะเดินทางไปปักกิ่งได้เมื่อไหร่ ทั้งหมดล้วนเป็นคำสั่งที่เธอได้รับมาก่อนจะมาที่นี่ แน่นอนว่า หากหวังเย้าต้องการอะไร เธอจะรายงานกลับไปที่ตระกูลหวูทันที


 


“เดินทางปลอดภัยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


ก่อนจะไป เธอยังโค้งคำนับให้เขาด้วย


 


“ทำแบบนั้นทำไมครับ?” หวังเย้ารีบโบกมือ พลังงานที่มองไม่เห็นถูกส่งออกไปเพื่อพยุงตัวเธอขึ้น


 


“ขอบคุณที่พูดให้ฉันครั้งก่อนนะคะ เขาไม่โผล่มาให้เห็นอีกเลย” กู้หยวนหยวนพูด


 


“ไม่เป็นไรเลยครับ แต่เขาไม่มารบกวนคุณอีกก็ดีแล้ว” หวังเย้าพูด


 


“ฉันจะแต่งงานตอนวันที่ 1 พฤษภาคมนะคะ ถ้าคุณมีเวลา เชิญมาร่วมดื่มเหล้ามงคลด้วยนะคะ” กู้หยวนหยวนพูด


 


“ได้ครับ” หวังเย้าพูด “ยินดีด้วยนะครับ”


 


“ขอบคุณค่ะ” เธอพูด


 


ในตอนที่กู้หยวนหยวนกำลังจะกลับ เธอก็บังเอิญเจอเข้ากับหวังรุ่ยที่มาหาหวังเย้าที่คลินิก


 


“สวัสดีค่ะ” เมื่อเห็นว่า หญิงสาวใบหน้าแดงเรื่ออย่างคนสุขภาพดีจับจ้องมาที่ตัวเอง เธอจึงทักทายออกไปด้วยท่าที่ขัดเขิน


 


“อาห์ สวัสดีค่ะ คุณมาหาหมอเหรอคะ?” หวังรุ่ยถาม


 


“เปล่าค่ะ ฉันมาเอายาน่ะค่ะ” กู้หยวนหยวนพูด


 


“คุณมาจากไหนเหรอคะ?” หวังรุ่ยถาม


 


“ปักกิ่งค่ะ” กู้หยวนหยวนพูด


 


“แล้วคุณอายุเท่าไหร่เหรอ?” หวังรุ่ยถาม


 


“หา?” กู้หยวนหยวนอึ้งไป


 


“พี่” เสียงหวังเย้าดังออกมาจากด้านใน เขาได้ยินบทสนทนาของทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงประตู


 


“ไม่มีอะไรๆ” หวังรุ่ยยิ้มและเดินเข้าไปด้านใน


 


“นี่ ผู้หญิงคนนั้นสวยดีนะ ดูท่าจะเป็นเมียที่ดีได้เลยล่ะ” หวังรุ่ยพูด


 


“เธอกำลังจะแต่งงานเดือนพฤษภานี้ ก่อนหน้าพี่แค่ไม่กี่เดือน” หวังเย้าพูด


 


“โถ น่าเสียดายจริงๆ” หวังรุ่ยพูด


 


“น่าเสียดายตรงไหนกัน เธอมีคนรักอยู่แล้ว และเพราะเรื่องนั้น ทำให้เธอถึงกับปฏิเสธความรวยของคนที่เข้ามาจีบเธอ เธอเป็นผู้หญิงหนักแน่นมากเลยนะ” หวังเย้าพูด


 


“ถึงพูดเรื่องนี้ไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี ฉันจะแต่งงานกับพี่เขยของนายตอนตุลานี้แล้วนะ” หวังรุ่ยพูด “แล้วนายล่ะ? นายเลิกกับถงเวยแล้วใช่ไหม?”  ที่คลินิก เมื่อได้อยู่เพียงลำพังกับน้องชาย ก็ดูเหมือนว่าเธอจะกลายเป็นเดิมอีกครั้ง


 


“ใช่” หวังเย้าพยักหน้า


 


หลายเดือนที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้โทรหรือส่งข้อความหากันเลยสักครั้ง พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันเลย มันจะหมายความเป็นอย่างอื่นนอกจากการเลิกกันได้ยังไง?


 


“แล้วนายมีแฟนใหม่รึยัง?” หวังรุ่ยถาม


 


“ยัง” หวังเย้าพูด


 


“นายชอบแบบไหนล่ะ? ผมยาว? ตัวสูง?” หวังรุ่ยถาม


 


“พี่ ผมว่า พี่ควรจะเอาแรงไปลงไปที่เรื่องงานแต่งของพี่กับพี่เขยจะดีกว่านะ ถ้าเป็นไปได้ ก็มีลูกสักคน พ่อแม่ของเราชอบเด็กมาก พี่ก็ทำหลานสักสองสามคนมาให้พวกเขาเลี้ยงก่อนได้เลย” หวังเย้าพูด


 


“ทำหลานสักสองสามคนเหรอ? นายคิดว่าฉันเป็นแม่หมูหรือไงยะ? เด็กสองสามคนงั้นเหรอ!” หวังรุ่ยตะโกน


 


“มีเรื่องอะไรกันเหรอ?” ตู้หมิงหยางเดินเข้ามาจากด้านนอก


 


“ไม่ใช่เรื่องของคุณ” หวังรุ่ยพูด “ที่ทำงานของคุณพอจะมีสาวๆที่ใช้ได้สักคนไหม จะได้แนะนำให้เสี่ยวเย้าได้รู้จัก?”


 


“หา?” ตู้หมิงหยางอึ้งไป “ไม่มีปัญหา ฉันจะลองกลับไปหาดูให้นะ”


 



 


โรงพยาบาลเหลียนชาน


 


“หมอ เกิดอะไรขึ้นกับเขาเหรอ?” หญิงวัยกลางคนถามด้วยความร้อนใจ


 


ตอนเช้า สามีของเธอขึ้นเขาเพื่อพาแกะไปกินหญ้า แต่เขากลับมาเร็วกว่าทุกทีและบอกว่ารู้สึกไม่สบาย เขามีไข้ขึ้นสูงและไม่ยอมกินยาลดไข้ เขาไม่ได้ใส่ใจกับอาการป่วยของตัวเองเลย แล้วอยู่ๆเขาก็หมดสติไป ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกกลัวอย่างมาก เธอจึงรีบพาตัวเขามาที่โรงพยาบาล


 


“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมขอตรวจดูอาการของเขาก่อน” หมอพูด


 


พวกเขาให้ยาลดไข้เป็นอันดับแรก และให้ญาติช่วยเช็ดตัวเพื่อลดไข้ ผลตรวจจะต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะออกมา


 


“ความดันโลหิตสูง 140/180 อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 95 ต่อนาที” หมอพูด “เขาเป็นสามีของคุณใช่ไหม?”


 


“ใช่ค่ะ” เธอพูด


 


“เขาเคยมีประวัติเรื่องโรคหัวใจมาก่อนไหมครับ?” หมอถาม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)