Elixir Supplier 593-604
593 ทรุด
“เขาโดนหนูกัดไม่ใช่เหรอ? แล้วหนูอยู่ที่ไหนล่ะ?” อยู่ๆแพทย์คนหนึ่งก็ถามขึ้นมา
ทั้งๆที่ไม่มีใครคิดจะถามเรื่องหนูเลยสักคน
“ผมคิดว่า มันน่าจะยังอยู่ที่หมู่บ้านนะ” แพทย์อีกคนพูด
“หนูตัวนั้นอาจจะไปกัดสัตว์หรือคนอื่นอีกก็ได้นะ” แพทย์คนแรกพูด
ทุกคนเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา บางคนได้ติดต่อไปหาหวังเจียนหลี่
หวังเจียนหลี่รีบลงมือในทันที แต่เขาก็ยอมแพ้ในเวลาต่อมา มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหาหนูตัวเล็กๆตัวหนึ่งในหมู่บ้าน
เช้าวันต่อมา ได้มีการประกาศเสียงตามสายภายในหมู่บ้าน หวังเจียนหลี่ได้ขอให้ชาวบ้านทุกคนทำกับดักจับหนู และวางแผ่นกาวดักหนู
“ทำไมถึงได้มีประกาศเช้าขนาดนี้กันนะ?” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม
“ทำไมจะต้องจับหนูด้วย?” ชาวบ้านอีกคนถาม “พวกมันก็มีให้เห็นอยู่เป็นปกตินี่นา”
“ฉันว่า ที่มีประกาศให้เราจับหนูจะต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่” ชาวบ้านวัยชราพูด
ในขณะเดียวกันนั้น หวังเย้าก็ยังคงอยู่บนเนินเขาหนานชาน กระต่ายที่อยู่ในกรงหินยังคงมีชีวิตอยู่ มันยังคงความสงบเสงี่ยมและดูป่วยเล็กน้อย
“มันได้ผล!” หวังเย้ารู้สึกตื่นเต้น ถึงแม้ว่าเมื่อคืนเขาจะไม่ได้นอน แต่เขาก็ยังคงกระฉับกระเฉงดีอยู่ การที่ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขาเลยสักนิด
หืม? เขาหันหน้าไปทางหมู่บ้าน
ลำโพงสำหรับใช้กระจายเสียงตามสายถูกติดตั้งเอาไว้ตรงตีนเขาทางทิศตะวันตก และหันหน้าเข้าหาหมู่บ้าน
หนูกำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่!
หนูมีอยู่ทุกที่ในชนบท มันเป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่ามันทั้งหมด พวกมันเป็นจอมตะกละที่กินได้ทุกอย่าง และมีการแพร่พันธุ์ที่รวดเร็ว มีบางคนพูดเอาไว้ว่า หนูคือผู้รอดชีวิตที่แท้จริงของโลกใบนี้
หนูที่บ้าคลั่งสามารถไปโผล่ได้ทุกที มันมีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะสังเกตเห็นได้
ไม่นาน ก็มีชาวบ้านอีกคนโดนกัด ซึ่งไม่ใช่หนู แต่กลับเป็นแกะที่ปกติมักจะอยู่อย่างสงบ
แพทย์ที่อยู่ภายในหมู่บ้านคิด นี่มันเลวร้ายมาก!
มีสองคนถูกกัดภายในระยะเวลาสองวันติดต่อกัน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย เมื่อรอยร้ายปรากฏบนเขื่อน ไม่ช้าก็เร็ว เขื่อนก็จะแตก ไม่มีใครสามารถหยุดมันได้
และมีอีกคนหนึ่งที่ต้องถูกแยกตัว มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปก็คือ หญิงชาวบ้านคนนี้ไม่ได้ให้ความร่วมมือ เมื่อพวกเขาต้องการพาตัวเธอไป เธอทั้งร้องไห้และกรีดร้องราวกับคนบ้า โชคดีที่ยาระงับประสาทสามารถใช้ได้ผลกับเธอ เจ้าหน้าที่ได้ทำการฉีดยาเพื่อให้เธอสงบลงเป็นการชั่วคราว
ชาวบ้านทุกคนต่างพากันตื่นตระหนก ไม่กี่วันก่อนหน้า พวกเขายังมีชีวิตที่สงบสุข ในเวลาต่อมา กลับมีชาวบ้านถึงสองคนที่ต้องถูกนำตัวไปโรงพยาบาล พวกเขารู้สึกได้ถึงการคุกคาม
ข่าวสารเดินทางรวดเร็วเสมอ
“ฉันได้ยินมาว่า หมู่บ้านของเราเป็นเขตกักกันโรค เราออกไปไหนไม่ได้ แล้วใครก็เข้ามาที่นี่ไม่ได้ด้วย” ชาวบ้านวัยกลางคนพูด
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ? เราจะติดเชื้อด้วยไหม?” ภรรยาของเขาถาม
“ใครจะไปรู้ล่ะ?” ชายวัยกลางคนพูด
ความตื่นกลัวที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านเป็นเหมือนกับเมฆฝน ที่กระจายตัวอย่างรวดเร็ว
“พี่” เฉินโจวพูดขึ้นมา ในขณะที่เขากำลังมองดูท้องฟ้า
“มีอะไร? เธอกังวลเหรอ?” เฉินหยิงถาม
“ฮะ” เฉินโจวพูด “พี่ได้ยินใช่ไหม ว่ามีสองคนที่ถูกกักตัวน่ะ?”
“อืม บ่ายนี้เราไปหาหมอหวังกันเถอะ” เฉินหยิงพูด
“โอเค” เฉินโจวพูด
หวังเย้ากลับมาทานอาหารกลางวันที่บ้าน
“มีคนติดเชื้อแล้วสองคน แล้วตอนนี้พวกเขาก็ถูกกักตัวด้วย” จางซิวหยิงพูด “ในหมู่บ้านวุ่นวายไปหมด ยังมีตำรวจขนกันมาที่หมู่บ้านหลายนายเลยล่ะ”
ทุกอย่างหลุดการควบคุมไวมาก! หวังเย้าคิดอยู่แล้วว่า เรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้นสักวันหนึ่ง แต่เขาไม่คิดว่า มันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้
“แม่กับพ่อไม่ต้องห่วงเรื่องนี้นะครับ มีผมอยู่ตรงนี้ทั้งคน” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
อย่างน้อยๆ เขาก็สามารถรับประกันได้ว่า คนในครอบครัวของเขาจะอยู่รอดปลอดภัยจากโรคร้ายในครั้งนี้
“จ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้ออกไปข้างนอก พวกเขามักออกไปซื้อของใช้ หรือไม่ก็ขายของจากในฟาร์มของตัวเองเป็นครั้งคราวเท่านั้น การกักกันระยะสั้นไม่ได้กระทบชีวิตของพวกเขามากนัก แต่ความรู้สึกที่ต้องถูกแยกตัวจากสังคมไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับพวกเขาเลย พวกเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมูหรือแกะที่สูญเสียอิสรภาพไป
“ไม่รู้ว่า หมอพวกนั้นจะหาทางรักษาโรคนี้ได้เมื่อไหร่” จางซิวหยิงพูด
เฉินโจวก็พูดในเรื่องเดียวกัน
“หมอพวกนั้นทำไม่ได้หรอก” เฉินหยิงพูด
หมอเหล่านั้นไม่เคยเจอเชื้อตัวนี้มาก่อน มันเป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ศูนย์ จากทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติจริงคือหนทางที่ยาวไกล
“ฉันควรจะช่วยพวกเขาดีไหมนะ?” หวังเย้าพึมพำ
“ลูกพูดว่าอะไรนะ?” จางซิวหยิงถาม เมื่อเห็นว่าหวังเย้ากำลังคุยกับตัวเองอยู่
“อ่อ เปล่าหรอกครับ” หวังเย้าพูด “แม่ช่วยซื้อกระต่ายมาให้ผมอีกได้ไหมครับ?”
“จะเอากระต่ายอีกเหรอ?” จางซิวหยิงถาม “ก็ได้จ๊ะ แม่จะไปหาซื้อมาให้นะ”
หลังจากนั้นไม่นาน จางซิวหยิงก็กลับมาพร้อมกระต่ายหลายตัว
“นี่จ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
หวังเย้ากลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน พร้อมกับกระต่ายที่แม่ของเขาซื้อมาให้
ระหว่างทางที่กลับขึ้นไปบนเนินเขา เขาก็ได้เก็บเอาดอกแดนดิไลและหญ้าหางกระรอกที่หาได้ตามเนินเขากลับไปด้วย ไม่นาน เขาก็เก็บได้ตามจำนวนที่ต้องการ เขาต้องการนำมันไปทำการทดลองขั้นต่อไป เขาอยากจะดูว่า หากเขาใช้ดอกแดนดิไลและหญ้าหางกระรอกที่เก็บจากบริเวณอื่นมาทำยา มันจะได้ผลเหมือนกันหรือไม่
เฉินหยิงและเฉินโจวเดินทางไปหาหวังเย้าที่คลินิก
“หมอหวังไม่อยู่ที่นี่” เฉินหยิงพูด
“เราขึ้นไปหาเขาบนเขาดีไหมฮะ?” เฉินโจวถาม
“ไม่ล่ะ เรารอที่นี่ดีกว่า” เฉินหยิงพูด “ตอนนี้ หมอหวังอาจจะยุ่งอยู่ก็ได้” เธอพอจะเดาได้ว่า หวังเย้ากำลังทำอะไรอยู่
ซานเซียนเดินตรวจตรารอบๆเนินเขา ต้าเซี่ยบินออกไปหาอาหาร ส่วนหวังเย้าก็กำลังต้มยาอยู่ภายในกระท่อม ไม่นาน ตัวยาก็พร้อมใช้งาน
สีสันและรสชาติคล้ายกับยาที่เขาทำก่อนหน้านี้
เขาตักยาใส่ปากเล็กน้อย รสชาติเดียวกัน ขอลองดูหน่อยนะ
เขาทำให้กระต่ายตัวหนึ่งติดเชื้อ และจับมันขังเอาไว้ในกรง
ซานเซียนกลับมาจากการเดินตรวจตรา โฮ่ง!โฮ่ง!โฮ่ง! มันเดินไปรอบๆกรงหินด้วยท่าทีตื่นเต้น กระต่ายเป็นเหมือนเพื่อนใหม่ของมัน
“ซานเซียน พวกมันเล่นกับนายไม่ได้หรอก แล้วนายก็กินพวกมันไม่ได้ด้วย” หวังเย้าพูด
โฮ่ง! ซานเซียนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหวังเย้ และมองดูกระต่ายที่อยู่ภายในกรง
“นี่เป็นตัวใหม่” หวังเย้าพูด
หนึ่งคนและหนึ่งสุนัขนั่งเงียบๆอยู่ภายในแปลงสมุนไพร ในกรงหินอีกกรงหนึ่ง กระต่ายที่ได้รับการรักษาจากการติดเชื้อจนหายดี ดูมีท่าทีง่วงงุน
ในขณะเดียวกัน คนไข้ที่ติดเชื้อคนแรกถูกกักตัวอยู่ภายในห้องผู้ป่วยของโรงพยาบาลเหลียนชาน
“อวัยวะภายในล้มเหลว เขาสูญเสียสติสัมปชัญญะ” แพทย์พูด
“ไม่มียาตัวไหนใช้ไห้ผลเลย” แพทย์อีกคนพูด
เฮ้อ! แพทย์ต่างก็หมดหนทาง ความเร็วในการทำลายของเชื้อเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ พวกเขาไม่สามารถหยุดยั้งอาการของคนไข้ไม่ให้เลวร้ายลงไปกว่าเดิมได้เลย
“คนไข้อีกคน ก็มีอาการแย่ลงเหมือนกันค่ะ” พยาบาลพูด
ในตอนนี้ พวกเขาต่างก็กังวลว่า จะมีชาวบ้านติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก
“ผมขอเสนอให้ ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านคนไหนออกไปจากหมู่บ้าน” ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งพูด
มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นที่แน่นอนว่า เจ้าหน้าที่รัฐในท้องถิ่นจะเชื่อคำแนะนำของพวกเขา
ผู้นำเขตเหลียนชานตัดสินใจในทันที หมู่บ้านถูกปิดกั้นทางเข้าออกทั้งหมด รัฐได้ส่งกองกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปควบคุมสถานการณ์
มีเพียงเส้นทางการเข้าออกหมู่บ้านเพียงทางเดียวเท่านั้น พวกเขาได้ปิดถนนได้ แต่ไม่สามารถปิดทางเดินบนเขาได้ รัฐจึงได้ส่งคนเข้าไปมากที่สุดเท่าที่จะส่งไปได้ แต่พวกเขาก็มีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ แล้วการมีตำรวจมากเกินไป ก็อาจจะทำให้ชาวบ้านตื่นกลัวได้
“อะไรนะ? พวกเขาไม่ให้พวกเขาออกไปข้างนอกเหรอเนี่ย?” ชาวบ้านคนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจ
“ทำไมเหรอ?” ภรรยาของเขาถาม
ชาวบ้านไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากหมู่บ้าน มันกลายเป็นเหมือนกรงขังขนาดใหญ่ และทำให้ชาวบ้านตื่นตระหนกมากขึ้นไปอีก มันได้กลายเป็นความโกลาหลอย่างแท้จริง
“เราควรหนีออกไปดีไหม?” ชายวัยกลางคนถามภรรยาของเขา
“พี่จะบ้าเหรอ? เราจะหนีไปไหนได้?” ภรรยาของเขาถาม “ทุกคนในหมู่บ้านต้องลงทะเบียน พี่อยากกลายเป็นอาชญากรที่ทางการต้องการตัวเหรอ?”
“อาชญากรอะไรกัน?” ชายวัยกลางคนถาม “ไร้สาระ เราไม่ใช่คนร้ายนะ”
“อยู่อย่างนี้ไปก่อนเถอะ” ภรรยาของเขาพูด
กระต่ายที่อยู่ภายในกรงเริ่มมีอาการกระวนกระวาย
“แกกินยาไปสองถ้วยแล้วนะ ทำไมแกยังไม่ดีขึ้นอีก?” หวังเย้าถาม
กระต่ายตัวก่อนนั้น มีอาการดีขึ้นหลังจากที่มันกินยาไปสองถ้วย หวังเย้าให้กระต่ายตัวต่อมากินยาถ้วยที่สามเข้าไป เขาอยู่บนเนินเขาไปอีกวันหนึ่ง
การทดลองของเขาล้มเหลว กระต่ายที่อยู่ในกรงมีอาการบ้าคลั่งตลอดทั้งเช้า เขาไม่สามารถทำให้มันสงบลงได้เลย
หวังเย้าจึงต้องยอมแพ้ เขาใช้พลังฉีปลิดชีวิตของมันลง เขานำร่างของมันไปเผาและนำมันไปทำปุ๋ย
เขาตัดสินใจทำการทดลองอีกครั้ง เขาทดลองในตอนเย็น และเป็นอีกครั้งที่ล้มเหลว การทดลองทั้งสองของวันนี้ไม่ประสบความสำเร็จ
สรุปว่า ดอกแดนดิไลกับหญ้าหางกระรอกที่เก็บจากที่อื่นไม่ได้ผลสินะ หวังเย้าทำการสรุป
วันต่อมา มีชาวบ้านอีกคนติดเชื้อ เขาเริ่มมีอาการป่วยอยู่ที่บ้านของเขา ภรรยาของเขาสังเกตเห็นความผิดปกติ และขอให้เขาไปตรวจที่โรงพยาบาล เขาปฏิเสธคำแนะนำของเธอและเริ่มมีอาการบ้าคลั่ง ซึ่งมันทำให้ทุกคนในครอบครัวพากันหวาดกลัว
594 ผมมียาตัวหนึ่ง สามารถจัดการเชื้อร้ายได้
ในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจขอความช่วยเหลือ แพทย์จำนวนมากอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถมาหาได้อย่างรวดเร็ว
ในเมื่อพวกเขาต่างก็กลัวการติดเชื้อ พวกเขาจึงทำทุกอย่างอย่างระมัดระวังที่สุด ยิ่งพวกเขาระวังตัวกันมากเท่าไหร่ การจับตัวเขาก็ยิ่งเป็นไปได้ยากขึ้น ชายคนนั้นกระโดดไปมาและโยนของทุกอย่างที่เขาคว้ามาได้ ทั้งถ้วย, เก้าอี้, และหม้อ
พวกเขาอยู่ในสภาพที่ลำบากอย่างที่สุด มีบางคนได้รับบาดเจ็บจากน้ำร้อนในกาที่ถูกโยนใส่
เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายเข้ามาพร้อมกับที่ช๊อตไฟฟ้า พวกเขาปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมา จนเกิดเสียงดัง เปรี๊ยะๆ
“ทุกคนหลีกไป!” เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งตะโกน
เปรี๊ยะ!
ชายที่ดูคล้ายกับคนบ้าได้ร่วงลงไปที่พื้น ร่างทั้งร่างเกิดการชักกระตุก
“ในที่สุด ก็จัดการเขาได้!” ทุกคนต่างก็โล่งใจ
“เกิดอะไรขึ้น?” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งถาม “เขาดูอย่างกับหมาบ้า!”
“ใช่ เขาเป็นบ้าไปแล้ว” แพทย์คนหนึ่งพูด
“ขอบคุณทุกคนมาก” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด “รีบพาตัวเขาไปได้แล้ว!”
ไม่มีใครอยากอยู่ที่นี่ต่อ เห็นได้ชัดว่าเขาติดเชื้อ เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกสงสัยเกี่ยวกับคนในบ้านของชายคนนี้ด้วย
“พวกคุณทุกคนต้องเข้ารับการตรวจ” แพทย์พูด
ทีมแพทย์ต่างก็รู้สึกเป็นกังวล มีคนติดเชื้อแล้วสามคนภายในเวลาเพียงแค่สองวัน มันเป็นจำนวนที่น่าตกใจมาก การแพร่เชื้อนั้นเกิดขึ้นได้จากการถูกกัดโดยสัตว์หลายชนิด เช่น หนู, แกะ, แมว, สุนัข, กระต่าย… สัตว์ทุกชนิดสามารถเป็นพาหะของโรคนี้ได้
ผู้คนสามารถจดบันทึกรายชื่อและรายละเอียดของพวกเขาเอาไว้ได้ ส่วนแมว, สุนัข, วัว, และแกะก็สามารถทำการบันทึกและทำกับดักเพื่อฆ่าพวกมันได้ ส่วนการจัดการกับหนูหรือกระรอกเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องทำ ไม่ว่ามันจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม
ครอบครัวของคนไข้รายล่าสุด ถูกนำตัวไปเข้ารับการสังเกตการณ์ ด้านนอกหมู่บ้าน มีห้องถูกสร้างขึ้นมาเป็นการชั่วคราว เพื่อกักตัวพวกเขาเอาไว้เป็นการเฉพาะ บ้านที่ถูกทิ้งร้างทางทิศเหนือของหมู่บ้านถูกนำมาใช้งาน ส่วนที่ทำการหมู่บ้านก็ได้กลายเป็นออฟฟิสชั่วคราวของทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้ว
“ฉันละกลัวเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ” แพทย์คนหนึ่งพูด
“ใช่ ถ้าถูกกัดขึ้นมา นายจะต้องซวยมากแน่ๆ” แพทย์อีกคนพูด
“ฉันได้ยินมาว่า คนไข้ที่ถูกพาตัวไปที่โรงพยาบาลกลายเป็นบ้าและไม่ได้สติกันหมด” แพทย์คนแรกพูด “เขาพยายามกัดทุกอย่างที่เห็น ขนาดผู้เชี่ยวชาญจากจังหวัดก็ยังทำอะไรไม่ได้ มันแย่ยิ่งกว่าตายซะอีก”
“ฉันได้ยินพวกเขาคุยกับหมอที่มาจากเขตและอยู่ที่นี่มาด้วย” แพทย์อีกคนพูด “การกำเริบของโรคมันเร็วมาก เขามีโอกาสตายสูงมากด้วย!”
ในสถานการณ์แบบนี้ ทุกคนต่างก็กลัว แต่คนในหมู่บ้านนั้นกลัวยิ่งกว่า
แล้วหนึ่งวันก็ผ่านไปเช่นนี้ วันต่อมา มีคนป่วยเพิ่มขึ้นอีกรายหนึ่ง ครั้งนี้ พวกเขาไม่สามารถหาสาเหตุได้ ซึ่งเป็นอะไรที่เลวร้ายกว่าเดิม
“สาเหตุเพราะอะไร?” แพทย์ถาม
“เรายังหาไม่เจอเลย” แพทย์อีกคนพูด “เขาไม่มีร่องรอยของการถูกกัด แล้วเขาก็ตอบไม่ได้ด้วย”
ในตอนเช้า หวังเย้าลงมาจากเขาและเปิดประตูคลินิก ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ จะทำให้ไม่มีใครมารักษาที่คลินิกของเขาก็ตาม
หลังจากที่เขาเปิดคลินิกได้ไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากใครบางคน “หมอหวัง อยู่รึเปล่าคะ?”
“ครับ เข้ามาได้เลย” หวังเย้าพูด
เฉินหยิงและเฉินโจวเดินเข้าไปในคลินิก
“หลายวันนี้ หมอยุ่งเหรอคะ?” เฉินหยิงถาม
“ผมมัวแต่ยุ่งอยู่บนเนินเขาน่ะครับ” หวังเย้าพูด “เชิญนั่งก่อนสิครับ”
เขาชงชามาให้คนทั้งสอง
“ขอบคุณครับ เชียนเชิงหลายวันมานี้ สถานการณ์ในหมู่บ้านยิ่งเลวร้ายลงไปทุกวันๆเลยล่ะครับ” เฉินโจวพูด
“ฉันรู้” หวังเย้าพูด “อ่อ จริงด้วย” เขาหยิบยาที่เขาทำออกมา และเทใส่ลงไปในถ้วยให้แต่ละคน
“นี่อะไรเหรอคะ?” เฉินหยิงถาม
“ดื่มซะสิ มันสามารถต้านทานโรคนี้ได้น่ะครับ” หวังเย้าพูด
“อะไรนะคะ?” เฉินหยิงถาม “เชียนเชิงหาวิธีรักษาโรคได้แล้วเหรอคะ?”
พี่น้องแซ่เฉินต่างก็มีอาการตกตะลึง สองวันที่ผ่านมานี้ พวกเขาไม่มีอะไรให้ทำ ดังนั้น พวกเขาจึงศึกษาโรคที่อยู่ๆก็โผล่มาอยู่ที่บ้าน ถึงแม้ว่าทางเข้าออกของหมู่บ้านจะถูกควบคุมอย่างหนาแน่น แต่เส้นสายไม่ได้ถูกควบคุมไปด้วย แล้วเส้นสายของเฉินหยิงก็ยังคงมีอยู่ เธอจึงรู้ในเรื่องที่คนอื่นไม่รู้ ยกตัวอย่างเช่น โรคร้ายนี้ทำให้ทีมแพทย์จากจังหวัดต้องหมดหนทาง แต่ชายที่อยู่ตรงหน้าพวกเขากลับสามารถพัฒนาตัวยาที่สามารถรักษาโรคนี้ขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ
พวกเขาพอจะเดาเรื่องนี้ได้บ้างแล้ว เพราะพวกเขาได้เห็นกับตาว่า ชายคนแรกที่ถูกกัดจากคนที่ติดเชื้อ และพวกเขายังได้เห็นภาพนั้นกับตาตัวเองด้วย ซึ่งชายที่ถูกกัดคนนั้นก็ยังเป็นปกติดีจนถึงตอนนี้ นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
“คุณเก่งมากเลยค่ะ” เฉินหยิงพูด
“ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นหรอกครับ!” หวังเย้าโบกมือ เขายังต้องบอกเรื่องนี้กับทีมแพทย์ถึงสิ่งที่เขาได้ค้นพบ และเรื่องนี้ก็จำเป็นต้องใช้อิทธิพลจากภายนอก แล้วเขาก็มองไปที่เฉินหยิง
“เชียนเชิงต้องการให้ฉันทำอะไรคะ?” เฉินหยิงอ่านสายตาของหวังเย้า
“ผมต้องการคนที่จะส่งสูตรยาตัวนี้ออกไปครับ” หวังเย้าพูด “คนที่น่าเชื่อถือและสามารถเก้บความลับได้ดี”
“ได้ค่ะ ปล่อยให้ฉันจัดการเรื่องนี้เอง” เฉินหยิงเข้าใจความต้องการของเขาในทันที
เธอกดโทรออกไปยังเบอร์หนึ่ง ในสถานการณ์แบบนี้ เธอจำเป็นต้องใช้อิทธิพลของตระกูลซู
“หมอหวังปลอดภัยดีไหม?” ซงรุ่ยปิงถาม
“หมอหวังปลอดภัยดีค่ะ” เฉินหยิงพูด
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” ซงรุ่ยปิงพูด
ใกล้ค่ำ มีรถคันหนึ่งขับตรงมาที่หมู่บ้านกลางเขา ทีมที่มีกันอยู่สามคนลงมาจากรถคันนั้น ทีมแพทย์ที่ประจำอยู่ในหมู่บ้านต่างก็รีบออกมาต้อนรับพวกเขา ตามคาด คนเหล่านี้คือผู้เชี่ยวชาญจางปักกิ่ง
ทีมแพทย์ของจังหวัดไม่สามารถพัฒนาการรักษาในระยะเวลาอันสั้นได้ ดังนั้น คนจากปักกิ่งจึงถูกเรียกตัวมา เพราะโรคนี้เป็นโรคที่ร้ายแรงเกินควบคุมจริงๆ
“สวัสดีครับ ศาสตราจารย์หวู” ตัวแทนเขตเหลียนชานพูด
“ผมได้ศึกษาสถานการณ์ในระหว่างที่เดินทางมาที่นี่แล้ว” ถึงแม้ว่าเส้นผมและหนวดของชายวัยประมาณ 60 จะขาวโพลน แต่เขาก็ยังเต็มไปด้วยพลังที่ล้นเหลือ ดวงตาของเขาเป็นประกายและคมกริบ “เข้าไปดูในหมู่บ้านกันเถอะ”
“ศาสตราจารย์หวู มันอันตรายมากนะครับ” ตัวแทนเขตพูด “วันนี้ มีคนป่วยเพิ่มอีกรายแล้ว”
“คุณคิดว่า เราไม่ควรเข้าไปข้างในเพราะมันอันตรายอย่างนั้นเหรอ?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“นี่…” ตัวแทนเขตถึงกับพูดไม่ออก
“ผมรู้ว่าคุณหวังดี แต่เรามาที่นี่ก็เพื่อจะแก้ปัญหา” ศาสตราจารย์หวูพูด
“โอ้ ครับๆ” ตัวแทนเขตพูด
พวกเขาเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ภายใต้การนำทางของหวังเจียนหลี่
เฉินหยิงที่รู้ข่าวอยู่ก่อนแล้ว ก็ได้ออกมารอเช่นกัน “ศาสตราจารย์หวู?”
“เฉินหยิง” ศาสตราจารย์หวูพูด
“เชิญตามฉันมาเลยค่ะ” เฉินหยิงพูด
หวังเจียนหลี่ที่อยู่ด้านข้างมีอาการตกตะลึง เขาไม่คิดว่า ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งจะรู้จักกับผู้หญิงที่มาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านด้วย
“ผู้ใหญ่หวัง พอดีเรามีเรื่องต้องปรึกษากันนิดหน่อยค่ะ” เฉินหยิงพูด
“โอ้ ได้ๆ” หวังเจียนหลี่หลบไปอยู่อีกด้านหนึ่ง
“เขาอยู่ที่ไหนเหรอ?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“เชิญมากับฉันได้เลยค่ะ” เฉินหยิงเดินนำศาสตราจารย์หวูไป ทิ้งอีกสองคนไว้ข้างหลัง
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” หวังเจียนหลี่จุดบุหรี่
เฉินหยิงพาศาสตราจารย์หวูไปที่คลินิกของหวังเย้า “หมอหวัง นี่คือศาสตราจารย์หวูค่ะ”
“สวัสดีครับ ศาสตราจารย์หวู” หวังเย้าพูด
“สวัสดี” ตอนที่พูดอยู่นั้น ศาสตราจารย์หวูก็มองหน้าหวังเย้าด้วย
ตามแผนเดิมของพวกเขาก็เพื่อมาที่คลินิกแห่งนี้ แต่พวกเขาไม่ได้รีบร้อนมาก เพราะเขาได้นำทีมมาพร้อมกับอุปกรณ์การแพทย์จำนวนมากมาด้วย เขาได้รับตัวอย่างเชื้อจากทางจังกวัดมาก่อนล่วงหน้าแล้ว ดังนั้น เขาจึงรู้ถึงความน่ากลัวของเชื้อตัวนี้ดี ก่อนจะมาที่หมู่บ้าน เขาก็ได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เพราะถ้าหากเกิดปัญหาขึ้นมา ทุกอย่างที่เตรียมมาก็จะไร้ประโยชน์
แล้วโทรศัพท์สายหนึ่งก็ได้เปลี่ยนแผนการทั้งหมดของเขา เขาจำเป็นต้องเดินทางมาพร้อมกับผู้ช่วยสองคนด้วยความรีบร้อน เพื่อมาพบกับชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาเป็นใคร และทำไมเขาถึงได้เด็กขนาดนี้?
“คนคนนี้เชื่อถือได้แน่นะครับ?” ริมฝีปากของหวังเย้าขยับ เฉินหยิงได้ยินคำพูดของเขาอย่างชัดเจน แต่ศาสตราจารย์หวูกลับไม่ได้ยินอะไรเลย
“ค่ะ” เฉินหยิงตกตะลึง เขาแอบส่งเสียงให้เธอได้ยินแค่คนเดียว คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ มีแค่ในตำนานเท่านั้น
“ผมมียาตัวหนึ่งที่สามารถฆ่าเชื้อชนิดนี้ได้” หวังเย้าพูด
“อะไรนะ?” ศาสตราจารย์หวูตกใจ “จะเป็นไปได้ยังไงกัน?”
“แล้วทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ล่ะครับ?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม
“เธอเป็นหมอเหรอ?” ศาสตราจารย์หวูมองดูรอบๆห้องและมองเห็นตู้เก็บยาอยู่ด้านใน
“ผมเป็นแพทย์ปรุงยาครับ” หวังเย้าพูด
“แพทย์ปรุงยาเหรอ? แพทย์ปรุงยาโบราณใช่ไหม?” ศาสตราจารย์หวูรู้จักชื่อนี้
“ครับ” หวังเย้าพูด
595 ให้ผมทำ
“เธอคือคนที่รักษาเสี่ยวซวีใช่ไหม?” ศาสตราจารย์หวูถามขึ้นมา หลังจากที่เขาเงียบไปพักหนึ่ง
“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด
“โอเค” ศาสตราจารย์หวูพูด “เธออยากจะให้ฉันทำอะไร?”
“ผมได้ทดสอบยากับกระต่ายดูแล้ว และมันก็ได้ผล ผมขาดแค่การทดสอบคนคนจริงๆเท่านั้น” หวังเย้าหยิบขวดกระเบื้องสีขาวสองขวดที่ใส่ยาเอาไว้ออกมา
“ปล่อยให้ฉันจัดการเรื่องนี้เอง” ศาสตราจารย์หวูรับขวดยาไป ที่เขาต้องมาที่นี่ก็เพราะโรคนี้
หวังเย้าบอกปริมาณและวิธีการใช้ยากับเขา
ศาสตราจารย์หวูไม่ได้พูดอะไรมาก เขาอยู่ที่นี่กับผู้ช่วยของเขาแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น
เขามาเร็วและไปเร็ว
“เขาไปแล้วเหรอ?” หวังเจียนหลี่ถามด้วยความแปลกใจ ทุกคนในที่ทำการหมู่บ้านต่างก็แปลกใจเช่นกัน
“คนจากปักกิ่งนี่หยิ่งยโสจริงๆ” สมาชิกกรรมการหมู่บ้านคนหนึ่งพูด
“ฉันว่า เขาคงจะกลัวซะมากกว่า เสแสร้งจริงๆ” สมาชิกอีกคนพูด
หวังเจียนหลี่มองไปที่ด้านหลังของศาสตราจารย์หวู “เขาไปที่คลินิกของหวังเย้ามา สองพี่น้องที่มาจากปักกิ่งก็มาเพราะหวังเย้า”
หวังเจียนหลี่รู้สึกว่า ตัวเขารู้จักหวังเย้าน้อยลงทุกที”
“คนคนนั้นเชื่อใจได้จริงเหรอครับ?” หวังเย้าที่อยู่ในคลินิกถาม
“แน่นอนค่ะ” เฉินหยิงพูด
เธอรู้จักศาสตราจารย์หวูดี เขามีชื่อเสียงที่ดีในปักกิ่ง และมันไม่ใช่เพราะความสามารถของเขาเท่านั้น แต่เป็นเพราะจรรยาบรรการเป็นแพทย์ของเขาด้วย
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ” หวังเย้าพูด
รถคันหนึ่งได้แล่นไปบนถนนด้วยความเร็วสูง ศาสตราจารย์หวูและผู้ช่วยทั้งสองของเขานั่งอยู่ภายในรถคันนั้น
“เรากำลังจะไปที่ไหนเหรอครับ ศาสตราจารย์?” หนึ่งในผู้ช่วยของเขาถาม ทั้งสองต่างก็รู้สึกสับสน พวกเขามุ่งหน้ามาที่เหลียนชานตามแผนการที่วางไว้ แต่แล้วแผนการทั้งหมดก็เปลี่ยนไป เพียงเพราะโทรศัพท์สายหนึ่ง ทั้งที่พวกเขาต้องมาที่นี่หลังจากนี้อีกหลายวัน
“โรงพยาบาลเหลียนชาน” ศาสตราจารย์หวูพูด
ผู้ช่วยทั้งสองเงียบไป
ศาสตราจารย์หวูไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นเดียวกัน เขาเอาแต่จ้องมองขวดที่อยู่ในมือ ยาที่อยู่ด้านในยังคงอุ่นอยู่
ยาที่อยู่ในขวดสองใบนี้จะสามารถรักษาโรคร้ายนั้นได้จริงๆน่ะเหรอ?
เขารู้สึกสงสัย แต่หวังเย้าคือคนที่สามารถรักษาซูเสี่ยวซวีที่ป่วยหนักให้หายได้ ทั้งๆที่ไม่มีใครในปักกิ่งสามารถทำให้อาการของเธอดีขึ้นได้เลย แม้แต่หมอที่เก่งที่สุดแล้วก็ตามที มันจึงเป็นเรื่องที่แน่นอนว่า หวังเย้าก็คือหมอที่สุดยอดอย่างมาก แต่โรคระบาดเพิ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่นาน และยังเป็นเชื้อที่ได้รับการค้นพบเป็นครั้งแรกอีกด้วย ไม่มีใครที่จะสามารถคิดค้นวัคซีนที่สามารถรักษาโรคนี้ได้ในเวลาอันสั้น แม้แต่ตัวเขาก็เชื่อแบบนั้น
นอกจากว่า! อยู่ๆดวงตาของศาสตราจารย์หวูก็เบิกกว้างขึ้นมา
“ไม่หรอก!” เขาส่ายหน้า “ที่นี่เป็นบ้านเกิดของเขา”
ในไม่ช้ารถก็เดินทางเข้ามาถึงในตัวเมือง คนสำคัญของเขต, เมือง,และจังหวัดต่างก็เดินทางมาถึงกันครบแล้ว เพราะถึงยังไง ศาสตราจารย์หวูก็คือคนจากปักกิ่ง และถูกส่งตัวมาโดยรัฐบาลกลาง
“เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะครับ” ศาสตราจารย์หวูพูด คนที่รู้จักเขาดีจะคุ้นเคยกับนิสัยที่ตรงไปตรงมา, มีเหตุผล, และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพของเขาเป็นอย่างดี “ขอรายละเอียดของคนไข้ด้วย”
“ผมเตรียมไว้ให้ศาสตราจารย์แล้วครับ” เจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลพูด
เมื่อเดินทางมาถึงโรงพยาบาล ศาสตราจารย์หวูและผู้ช่วยสองคนของเขาต่างก็เริ่มทำงานกันในทันที พวกเขาอ่านรายละเอียดอาการ, เข้าพบคนไข้แต่ละคน, และตรวจดูสภาพร่างกายของเฉินเจียกุ้ย
“นี่มันแย่มาก” ศาสตราจารย์หวูพูด
ถึงแม้ว่าเขาจะอ่านข้อมูลมาในระหว่างที่เดินทางมาเหลียนชานไปแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกตกตะลึงเมื่อได้มาเห็นกับตาตัวเอง โดยเฉพาะตอนที่ได้เห็นร่างกายของเฉินเจียกุ้ย เชื้อตัวนี้ร้ายกาจอย่างที่สุด มันทำลายเนื้อเยื่อทั้งหมดของร่างกาย และปลดปล่อยพิษร้ายไปพร้อมกับการแพร่พันธุ์ด้วยความเร็วสูงจนน่าตกใจ
มีคนไข้ติดเชื้ออยู่ทั้งหมด 5 คน สองคนได้เสียชีวิตลงแล้ว และอีกหนึ่งอยู่ในสภาพโคม่า ส่วนอีกคนก็อยู่ในช่วงระยะของการบ้าคลั่ง
“ที่นี่มีคนไข้ที่ติดเชื้ออีกไหม?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“ครับ ตอนเช้า พวกเขาพามาที่นี่อีกคนหนึ่ง” แพทย์คนหนึ่งพูด
“พาผมไปพบเขาที” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ได้ครับ” แพทย์พูด
เขาพาศาสตราจารย์หวูและผู้ช่วยสองคนไปที่ห้องผู้ป่วย ชายวัยประมาณ 30 ได้เริ่มแสดงอาการออกมาแล้ว
เขาเป็นคนหมู่บ้านเดียวกับหวังเย้า ลูกชายคนที่สองของเขาเพิ่งจะคลอด เขาควรจะมีความสุขกับชีวิต ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาอยากจะรอดชีวิตและเอาชนะเชื้อนี้ให้ได้ แต่ในบางครั้ง ชีวิตคนเราก็โหดร้ายเกินกว่าจะรับได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ในสิ่งที่หวัง
“เริ่มที่เขาเลยแล้วกัน” ศาสตราจารย์หวูพูด
“อะไรเหรอครับ?” แพทย์ถาม
“ผมต้องการเข้าไปข้างในนั้น” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ได้ครับ ระวังตัวด้วย เขาเริ่มแสดงอาการแล้ว” แพทย์พูด
“ผมรู้” ศาสตราจารย์หวูพูด
ประตูห้องผู้ป่วยถูกเปิดออก
คนไข้ที่อยู่ภายในห้องเงยหน้าขึ้นมองแพทย์ที่เข้ามาพร้อมกับชุดป้องกัน เขาอยากจะวิ่งหนีไป แต่ก็เลือกที่จะไม่เสี่ยง เขายังพอจะสามารถควบคุมสติสัมปชัญญะของตัวเองได้อยู่บ้าง ดวงตาของเขาแดงก่ำ อัตราการเต้นของหัวใจและอุณหภูมิในร่างกายของเขาผิดไปจากคนปกติ
“สวัสดี” ศาสตราจารย์หวูพูด
“สวัสดี” คนไข้พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความแปลกใจ เขาไม่คิดว่า หนึ่งในแพทย์ที่เข้ามาจะทักทายเขา
“คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“ไม่ค่อยดีเลยครับ” คนไข้พูด
เขารู้สึกสับสนและกระวนกระวาย เขาอยากจะกรีดร้อง, วิ่ง, และทำร้ายคน แต่เขารู้ดีว่า เมื่อไหร่ที่เขาเริ่มแสดงอาการคลั่งออกมา เขาก็จะถูกมัดและเข้าใกล้ความตายมากขึ้นไปอีก
“คุณเชื่อผมไหม?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“ผมยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป” คนไข้พูดออกมาโดยไม่ลังเล
“ดี นี่คือยา ดื่มมันซะ” ศาสตราจารย์หวูเทยาใส่ลงไปในถ้วยใบเล็ก ตัวยามีกลิ่นฉุนและมีสีออกน้ำตาล
คนไข้รับยามา และดื่มเข้าไปโดยไม่ลังเล
“ตราบใดที่เขายังมีสติอยู่ อย่าถอดเครื่องพวกนี้ออกเด็ดขาด” ศาสตราจารย์หวูชี้ไปที่เครื่องวัดอุณหภูมิและอัตราการเต้นหัวใจของคนไข้
“ครับ” แพทย์ของทางโรงพยาบาลพูด
ศาสตราจารย์หวูเดินออกไปจากห้องผู้ป่วย
“แค่นี้เหรอ?” แพทย์อีกคนถาม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ? แล้วเขาเอาอะไรให้คนไข้ดื่มเหรอ?” แพทย์อีกคนถามเสียงเบา
“มันดูเหมือนยาสมุนไพรนะ” แพทย์คนแรกพูด
“นายพูดจริงเหรอ?” แพทย์ที่สวมแว่นตาถาม
แพทย์ที่ได้เห็นขั้นตอนทั้งหมดต่างก็กำลังซุบซิบกันอยู่ พวกเขาเงียบลงทันที เมื่อศาสตราจารย์หวูเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย ศาสตราจารย์หวูยังไม่ได้จากไปไหน เขาเฝ้าสังเกตอาการของผู้ป่วยอยู่ภายในห้องสังเกตการณ์
“มันจะได้ผลรึเปล่า?” แพทย์คนหนึ่งถาม
“ฉันก็สงสัยเหมือนกัน” แพทย์อีกคนพูด
แพทย์หลายคนยังคงพูดถึงเรื่องนี้ไม่หยุด ศาสตราจารย์หวูไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกัน แต่หนึ่งในผู้ช่วยของเขาบังเอิญไปได้ยินเข้า คิ้วของเขาขมวดมุ่น พูดตามตรง เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมอาจารย์ของเขาจะต้องเอายาสมุนไพรไปให้คนไข้ดื่มด้วย
พวกเขาเดินทางออกมาจากปักกิ่งด้วยความเร่งรีบ แต่เขาก็จำของทุกอย่างที่พวกเขานำติดตัวมาด้วยทั้งหมด ศาสตราจารย์หวูมีแค่หนังสือปึกหนึ่งและเอกสารบางส่วนเท่านั้น เขาไม่ได้เอายาสมุนไพรอะไรติดตัวมาด้วยเลย ดังนั้น ยาสมุนไพรนั่นจะต้องมาจากหมู่บ้านกลางเขาที่พวกเขาเพิ่งไปมา เขาเชื่อว่า อาจารย์ของเขาจะต้องไปพบใครบางคนในหมู่บ้านนั้น และคนคนนั้นก็จะต้องเป็นคนที่มอบยาสมุนไพรสองขวดให้กับอาจารย์ของเขาอย่างแน่นอน
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
“อัตราการเต้นของหัวใจและอุณหภูมิร่างกายของคนไข้เริ่มคงที่” แพทย์คนหนึ่งรายงาน
“อะไรนะ?” ศาสตราจารย์หวูถาม “มันได้ผลเหรอ?”
ถึงแม้ว่าอุณหภูมิและอัตราการเต้นของหัวใจของคนไข้จะยังคงไม่ปกติ แต่มันก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเลวร้ายลงไปกว่านี้
“เปิดประตู” ศาสตราจารย์หวูเดินกลับไปที่ห้องผู้ป่วย
“คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” ศาสตราจารย์หวูถามคนไข้
“ผมรู้สึกไม่สบายเลย” คนไข้ตอบ
เขารู้สึกไม่สบายจริงๆ มีบางอย่างขย้อนขึ้นมาที่ลำคอของเขา และเขาก็กำลังพยายามหยุดมันเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“ดื่มนี้ซะ” ศาสตราจารย์หวูพูด
เขาเอายาสมุนไพรให้คนไข้ดื่มเข้าไปอีกถ้วยหนึ่ง จากนั้น เขาก็เดินออกมาจากห้องผู้ป่วย เพื่อกลับไปสังเกตอาการในอีกห้องหนึ่ง
อึก!
ในเวลานั้นเอง คนไข้ก็รู้สึกไม่สบายอย่างหนัก มันคล้ายกับว่า มีกองทัพสองกองกำลังต่อสู้อยู่ภายในร่างกายของเขา มันไม่ได้อยู่แค่ที่ท้องของเขาเท่านั้น แต่เขารู้สึกไม่สบายไปทั้งร่าง เขารู้สึกป่วย
แหวะ! อยู่เขาก็อ้าปากออก ของเหลวสีดำถูกพ่นออกมาจากปากของเขา พร้อมกับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
“ทำความสะอาดห้อง เก็บอ้วกของเขาไปทำการทดสอบ ตรวจสอบการเต้นของหัวใจและอุณหภูมิร่างกายของเขาด้วย” ศาสตราจารย์หวูสั่งการในทันที
“อะไรนะ? ตอนนี้เลยเหรอครับ?” แพทย์คนหนึ่งถาม
ศาสตราจารย์หวูหันไปมองหน้าแพทย์คนนั้นด้วยสายตาเคร่งขรึม
หนึ่งในผู้ช่วยของเขาเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยเป็นคนแรก และตามมาด้วยศาสตราจารย์หวู
“คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” ศาสตราจารย์หวูถาม โดยไม่หันไปมองของเหลวสีดำที่อยู่บนพื้นเลย
“พอได้อ้วกแล้ว ผมก็รู้สึกดีขึ้นมากเลยล่ะ” คนไข้พูด เขายังรู้สึกกระวนกระวายน้อยลงด้วย
ศาสตราจารย์หวูพยักหน้า เขาย่อตัวลงเพื่อตรวจสอบของเหลวสีดำบนพื้น
พยาบาลเข้ามาทำความสะอาดอาเจียนของผู้ป่วยและเก็บตัวอย่างเพื่อนำไปทำการทดสอบ
“นี่มันอะไรน่ะ?” พยาบาลคนหนึ่งพูด “มันเหม็นมากเลย”
หลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมง คนไข้ยังคงปกติดี
ศาสตราจารย์หวูเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย และให้ยากับผู้ป่วยเป็นครั้งที่สาม ผู้ป่วยได้ดื่มยาหมดไปแล้วหนึ่งขวด
ศาสตราจารย์หวูกลับมาที่ห้องสังเกตการณ์
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง
“ศาสตราจารย์หวูครับ เราเตรียมอาหารเย็นเอาไว้ให้คุณแล้ว” แพทย์คนหนึ่งพูด “คุณจะกินตอนนี้เลยไหมครับ?”
“ไว้ผมจะไปกินทีหลัง” ศาสตราจารย์หวูส่ายหน้า
“ได้ครับ” แพทย์พูด
เวลาผ่านไปอีก 2 ชั่วโมง อัตราการเต้นของหัวใจและอุณหภูมิร่างกายของคนไข้ลดลงอย่างเหลือเชื่อ
“โอ้ พระเจ้า! ยามันได้ผลจริงๆด้วย!” ทุกคนที่อยู่ภายในห้องสังเกตการณ์ต่างก็รู้สึกตื่นเต้น
“บางที มันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้” ศาสตราจารย์หวูพูดอย่างสงบ “เอายาให้เขากินต่ออีก”
เขาทานอาหารเย็นในห้องสังเกตการณ์ในเวลาสั้นๆ ภาพนี้ได้สร้างความประทับใจให้กับเจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลอย่างมาก
596 ยาได้ผล
ศาสตราจารย์หวูเป็นผู้มีความสามารถและมีสถานะสูงอยู่ในวงสังคม ทุกเรื่องของเขาทำให้ผู้คนทั้งนับถือและอิจฉา ศาสตราจารย์หวูไม่ได้หนุ่มแน่นอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงอุทิศตัวและมุ่งมั่นกับการทำงานอยู่เสมอ ซึ่งมันได้สร้างความประทับใจให้กับแพทย์ทุกคน
มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย ที่คนอย่างศาสตราจารย์หวูจะสามารถทำสำเร็จได้ เพราะการกลายเป็นศาสตราจารย์ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้เพียงข้ามคืน มันเกิดจากการทำงานหนักของเขาเอง การที่จะขึ้นไปให้สูง คนคนหนึ่งจะต้องมีทั้งพรสวรรค์และทำงานหนัก
ในอีกทางหนึ่ง แพทย์หลายๆคนที่มีงานมั่นคงพร้อมกับเงินเดือนสูงลิ่ว พวกเขาเหล่านี้ค่อยๆสูญเสียแรงจูงใจในการทำงานลงไปทีละน้อย
มันไม่ใช่เรื่องดีที่จะอยู่ในคอมฟอร์ดโซนเป็นเวลานานเกินไป ชีวิตที่ง่ายดายและสะดวกสบายจะทำให้คนสูญเสียแรงจูงใจและความทะเยอทะยาน
มันเป็นค่ำคืนที่หนาวเย็นเล็กน้อย หวังเย้าเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่บนเนินเขาหนานชาน
ไม่รู้ว่า การทดสอบของศาสตราจารย์หวูจะเป็นยังไงบ้าง
ขณะเดียวกัน ภายในโรงพยาบาลเหลียนชาน ศาสตราจารย์หวูยังคงดำเนินการทดสอบของเขาต่อไป
“อาจารย์ พักสักหน่อยเถอะครับ เราจะจัดการเรื่องนี้ให้อาจารย์เอง” ผู้ช่วยที่ดูอายุน้อยพูด
“ใช่ครับ อาจารย์เดินทางมาเหนื่อยๆ ตอนนี้ก็สี่ทุ่มแล้ว อาจารย์น่าจะไปพักสักหน่อยนะครับ” ผู้ช่วยอีกคนพูด
“ฉันไม่เป็นไร” ศาสตราจารย์หวูพูด พร้อมกับโบกมือ
ยาขวดที่สองถูกนำออกมาใช้งาน และประสิทธิภาพของมันก็เห็นได้อย่างชัดเจน
ข้างในนั้นมันคืออะไรกันนะ?
ศาสตราจารย์หวูไม่ใช่คนเดียวที่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมา แพทย์ทุกคนที่อยู่ในโรงพยาบาลต่างก็มีคำถามเดียวกัน แต่พวกเขาคิดกันว่า มันคือยาที่ศาสตราจารย์หวูนำมาจากปักกิ่ง
แพทย์หลายๆคนคิด ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งฝีมือคนละชั้นกันจริงๆ! ความรู้สึกกังขาและต่อต้านที่พวกเขามีต่อศาสตราจารย์หวูก่อนหน้านี้ได้หายไปจนหมดสิ้น โลกใบนี้ ความจริงและความสามารถคือกฎ
ศาสตราจารย์หวูอยู่ที่โรงพยาบาลไปจนถึงเที่ยงคืน
“อีกสี่ชั่วโมง เอายาให้คนไข้กินอีกรอบ จำไว้ว่าต้องจดรายละเอียดทุกอย่างให้ครบด้วย” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ครับ” ผู้ช่วยพูด
เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและลุกขึ้นยืน เพราะขาที่เกิดอาการเหน็บชา ทำให้เขาสะดุดและเกือบจะล้มลงไป
“ศาสตราจารย์!” ผู้ช่วยเข้าไปจับแขนของเขาเอาไว้ “เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
“ฉันไม่เป็นไร ขาสองข้างเป็นเหน็บเท่านั้นเอง” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ผมนวดให้นะครับ” ผู้ช่วยของเขาคุกเข่าลง
“ฉันไม่เป็นไร แค่ต้องเดินยืดเส้นยืดสายสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้วล่ะ” เขาเดินกลับไปกลับมาบนทางเดินของโรงพยาบาลอยู่สองรอบ และหลังจากนั้นก็รู้สึกดีขึ้นมาก เขาเดินทางไปพักในที่พักที่ทางโรงพยาบาลจัดเอาไว้ให้
เขาเหนื่อยมากจริงๆ ถึงยังไงเขาก็อายุเกือบจะ 60 แล้ว การเดินทางจากปักกิ่งมาที่เหลียนชาน เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างนาน เมื่อเดินทางมาถึงโรงพยาบาล เขาก็แทบจะไม่ได้พักเลย เขาเริ่มลงมือสังเกตอาการและรักษาคนไข้ในทันทีที่มาถึง ในที่สุด คนไข้ก็เริ่มอาการดีขึ้น เมื่อเขาหยุดทำงาน ความเหนื่อยล้าก็เกิดขึ้นในทันที
ฉันแก่แล้วจริงๆ! ศาสตราจารย์หวูถอนหายใจ
เมื่อล้มตัวลงนอน เขาไม่ได้หลับไปในทันที แต่เขากำลังคิดไปถึงหวังเย้าและยาของเขา
เขาทำมันได้ยังไงกัน? โรคระบาดที่เกิดขึ้น มันเกี่ยวข้องกับเขาด้วยรึเปล่า? คำถามที่สองทำให้ศาสตราจารย์หวูต้องขมวดคิ้ว ถ้าเป็นแบบนั้นจริง แล้วฉันจะทำยังไง? ชายหนุ่มคนนั้นคงจะเป็นคนที่ร้ายกาจมาก
ในตอนที่คิดอยู่นั้น เขาก็ค่อยๆพล่อยหลับไป
ในขณะเดียวกัน ผู้ช่วยทั้งสองของเขายังคงอยู่ที่ห้องสังเกตการณ์
“นายคิดว่า ยานั้นมาจากที่ไหน?” ผู้ช่วยคนหนึ่งถาม
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะ” ผู้ช่วยอีกคนพูด
ทั้งสองกำลังคุยกันเสียงเบา พวกเขาติดตามศาสตราจารย์หวูมานานหลายปีแล้ว
“ยาได้ผล” หนึ่งในผู้ช่วยพูด “นายคิดว่า ศาสตราจารย์กำลังซ่อนอะไรบางอย่างจากเราอยู่รึเปล่า?”
“แล้วยังไงล่ะ? เขาจำเป็นต้องบอกเราทุกเรื่องเลยหรือไง?” ผู้ช่วยอีกคนตอบ
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นซะหน่อย” ผู้ช่วยคนแรกพูด
พระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าตรู่ มันอยู่ในช่วงของเดือนมีนาคม ต้นไม้เริ่มผลิใบเขียว ดอกไม้เริ่มเปล่งสีสันสดใส
ศาสตราจารย์หวูตื่นขึ้นมา และเดินทางไปถึงที่ห้องสังเกตการณ์ตอน 6 โมงเช้า
ผู้ช่วยสองคนของเขากำลังสังเกตดูอาการของคนไข้อยู่ คนหนึ่งหลับอยู่บนโต๊ะ ส่วนอีกคนอยู่ในสภาพเหนื่อยล้า
“นี่ ศาสตราจารย์มาแล้ว!” ผู้ช่วยคนที่ยังตื่นอยู่ ยื่นมือออกไปผลักอีกคนที่กำลังนอนหลับ
“ปล่อยให้เขาหลับไปเถอะ” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ศาสตราจารย์!” ชายที่นอหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมา
“คนไข้เป็นยังไงบ้าง?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“อาการของเขาคงที่ครับ เราเอายาขวดที่สองให้เขากินไปแล้วเรียบร้อย” หนึ่งในผู้ช่วยของเขาพูด
ศาสตราจารย์หวูอ่านดูบันทึกที่ผู้ช่วยของเขาได้จดเอาไว้ตอนที่เขาไม่อยู่ เขาอ่านดูอย่างละเอียดอยู่หลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จากนั้น เขาก็เดินเขาไปในห้องผู้ป่วย
โรงพยาบาลเหลียนชานเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก ห้องผู้ป่วยที่แยกออกมาจึงไม่ได้เข้มงวดเท่าที่ควร
ผู้ป่วยเป็นชายวัยกลางคนกำลังนอนอยู่บนเตียง ตลอดทั้งคืน เขาได้อาเจียนออกมาหลายครั้ง ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงอ่อนเพลียและไม่สบายตัว
“คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้าง? รู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่า?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“ผมรู้สึกไม่สบายทุกที่เลยครับ” คนไข้พูด
“พอจะบอกรายละเอียดได้ไหม?” ศาสตราจารย์หวูถาม “พยายามอธิบายความรู้สึกของคุณออกมา”
“ผมรู้สึกไม่มีแรง อยากจะอ้วก แล้วก็ปวดหัวด้วย จริงๆแล้ว ผมรู้สึกเจ็บไปหมดทั้งตัวเลย” คนไข้อธิบาย
ใบหน้าของเขาราวกับถูกเคลือบด้วยสีเหลือง
“เขาต้องได้รับสารอาหารเพิ่ม” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ได้ครับ” ผู้ช่วยของเขาตอบรับ
หลังศาสตราจารย์หวูและผู้ช่วยของเขาออกไปจากห้องแล้ว แพทย์จากโรงพยาบาลอื่นก็ค่อยๆทยอยเดินทางมาถึงที่โรงพยาบาล พวกเขาต่างมีความสุขมาก อาการของคนไข้ได้สร้างความหวังให้กับพวกเขาทุกคน
“นี่ ศาสตราจารย์หวูอยู่ที่ไหนเหรอ?” แพทย์คนหนึ่งถาม
“เขาออกไปข้างนอกครับ” หนึ่งในผู้ช่วยของศาสตราจารย์หวูตอบ
“เขาไปกินข้าวเช้าเหรอ?” แพทย์คนนั้นถาม
“เขาบอกว่า เขาจะออกไปหาอะไรกินน่ะครับ” ผู้ช่วยตอบ
ไม่มีใครถามอะไรอีก
ศาสตราจารย์หวูอยู่ระหว่างการเดินทางไปยังหมู่บ้าน เขาดื่มเต้าหู้และกินซาลาเปาตอนอยู่บนรถ เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ในขณะที่กำลังคิดบางอย่างอยู่ ต้นไม้สองข้างทางเริ่มผลิใบใหม่ออกมา
เขาเดินทางไปถึงหมู่บ้านตอนเวลา 7.30 น.
“ทำไมผู้ชายคนนี้มาที่นี่อีกแล้วล่ะ?” เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่เฝ้าหมู่บ้านรู้สึกแปลกใจที่ได้เห็นศาสตราจารย์หวู
“ผมอยากจะเข้าไปข้างในหน่อย” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ได้ครับ” เจ้าหน้าที่พูด
หลังจากกรอกรายละเอียดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ศาสตราจารย์หวูก็เข้าไปในหมู่บ้านพร้อมกับผู้ช่วยคนหนึ่งของเขา
ประตูคลินิกของหวังเย้าถูกล็อกเอาไว้ หวังเย้ายังคงไม่ลงมาจากเนินเขาหนานชาน
“เขายังไม่มา” ศาสตราจารย์หวูรออยู่ประมาณ 20 นาที
“ศาสตราจารย์ครับ?” ผู้ช่วยของเขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย สำหรับเขาแล้ว เวลาของศาสตราจารย์นั้นมีค่าเกินกว่าที่จะต้องมารอคอยใครอยู่แบบนี้ นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ อาการของคนไข้เพิ่งจะเริ่มดีขึ้นได้ไม่นานเท่านั้น
“ใจเย็นไว้” ศาสตราจารย์หวูพูด
ทั้งสองรอต่อไป ครู่ต่อมา พวกเขาก็เห็นเฉินหยิงและเฉินโจวที่ออกมาออกกำลังกายในตอนเช้า
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ศาสตราจารย์หวู” เฉินหยิงพูด
“อรุณสวัสดิ์” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ศาสตราจารย์มารอที่นี่นานรึยังคะ?” เฉินหยิงถาม
“ถ้าว่ากันตามจริง เราก็มารอที่นี่เกือบจะชั่วโมงหนึ่งได้แล้วล่ะ” ผู้ช่วยของศาสตราจารย์หวูพูดด้วยท่าทีหงุดหงิด
“เงียบ!” ศาสตราจารย์หวูดุเขา
“ศาสตราจารย์ตั้งใจมาหาหมอหวังเหรอคะ?” เฉินหยิงถาม
“ใช่ ฉันอยากจะมาขอยาเพิ่มน่ะ” ศาสตราจารย์หวูพูด
“เข้าใจแล้วค่ะ ขอเวลาครู่หนึ่งนะคะ” เฉินหยิงเดินไปอีกด้าน เพื่อโทรไปหาหวังเย้า
“ผมรู้แล้วครับ” หวังเย้าพูด “พี่ช่วยบอกให้เขารออีกสักพักจะได้ไหมครับ?”
ยาสองขวดไม่พอ หวังเย้าเก็บสมุนไพรเพื่อนำมาทำยาเพิ่ม
การต้มยาเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลา อย่างน้อยๆ มันก็ต้องใช้เวลานานกว่าการต้มซุปสำหรับบะหมี่หนึ่งถ้วย
“เขามัวทำอะไรอยู่กันแน่?” ผู้ช่วยของศาสตราจารย์หวูเริ่มไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขารอต่อไปอีกหนึ่งชั่วโมง ในที่สุด พวกเขาก็เห็นหวังเย้าเดินลงมาจากเนินเขา
“เขาอยู่บนเนินเขาอย่างนั้นเหรอเนี่ย?” ผู้ช่วยของศาสตราจารย์หวูรู้สึกสงสัย
“ขอโทษที่ต้องให้รอนะครับ” หวังเย้าพูด
“ไม่เป็นไร” ศาสตราจารย์หวูพูดด้วยรอยยิ้ม
“เชิญเข้ามาข้างในก่อนสิครับ” หวังเย้าปลดล็อกประตูคลินิกและเชิญพวกเขาเข้าไปข้างใน
“ผมจะไปชงชาให้ก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
“ขอบคุณ” ศาสตราจารย์หวูพูด
เมื่อได้มาอยู่ภายในคลินิกของหวังเย้า เขาก็รู้สึกผ่อนคลายมาก ซึ่งต่างจากตอนที่อยู่โรงพยาบาล
“อาการของคนไข้เป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“เขาอาการดีขึ้นแล้ว ยาของเธอได้ผล” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ดีครับ” หวังเย้าพูด
“ตอนอยู่บนเขา ผมได้ต้มยาเพิ่มก็เลยทำให้ลงมาช้าน่ะครับ” หวังเย้าหยิบขวดกระเบื้องออกมาสามขวดและวางพวกมันลงไปบนโต๊ะ “ช่วยนำยาสามขวดนี้กลับไปที่โรงพยาบาล และเอาให้คนไข้กินทีนะครับ”
“ได้สิ” ศาสตราจารย์หวูพูด “ฉันขอถามหน่อยได้ไหม ว่าในยานี้ใส่อะไรลงไปบ้าง?”
“เอ่อ ไว้เรามาคุยกันเรื่องนี้วันอื่นดีกว่านะครับ” หวังเย้าพูด
“ก็ได้” ศาสตราจารย์หวูพูด
เฉินหยิงและเฉินโจวอยู่คุยกับหวังเย้าต่อ หลังจากที่ศาสตราจารย์หวูกลับไปแล้ว
“หมอหวังคะ ยาตัวนี้ราคาแพงมากไหมคะ?” เฉินหยิงถาม
“ก็ไม่มากเท่าไหร่ครับ มันต่างจากยาที่เสี่ยวโจวใช้ มันเป็นตัวยาที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก” หวังเย้าพูด
ตัวยาที่หวังเย้ามอบให้ศาสตราจารย์หวูไป เป็นยาที่ทำขึ้นมาจากสมุนไพรทั่วไปเท่านั้น มีเพียงแค่ดอกแดนดิไลและหญ้าหางกระรอกเท่านั้นที่มีความพิเศษ เพราะพวกมันมีอยู่อย่างจำกัด แต่สมุนไพรทั้งหมดที่ได้จากแปลงสมุนไพรของหวังเย้า ล้วนแล้วแต่ได้รับพลังจากค่ายกลรวมวิญญาณ จึงทำให้การเติบโตของพวกมันเร็วกว่าปกติหลายเท่าตัว
“ยาของหมอจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ใช่ไหมคะ?” เฉินหยิงถาม
“ผมก็หวังไว้ว่าอย่างนั้นเหมือนกันครับ” หวังเย้าพูด แต่เขาไม่คิดว่ามันจะง่ายดายขนาดนั้น
ศาสตราจารย์หวูเดินทางกลับไปที่โรงพยาบาลพร้อมกับตัวยาด้วยความรีบร้อน
“ศาสตราจารย์ครับ ยาที่เราใช้รักษาคนไข้เป็นยาของหมอหนุ่มคนนั้นเหรอครับ?” ผู้ช่วยของศาสตราจารย์หวู รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ
“ใช่ ตอนนี้ อย่าเพิ่งเอาเรื่องนี้ไปบอกใครล่ะ” ศาสตราจารย์หวูพูด
“เข้าใจแล้วครับ!” แววตาของผู้ช่วยเปล่งประกายความประหลาดใจออกมา
597 หลบหนี
ถ้าหากศาสตราจารย์หวูและผู้ช่วยของเขาไม่พูดเรื่องนี้ออกไป ก็คงจะไม่มีใครเชื่อว่ายาตัวนี้เป็นฝีมือของหมออายุน้อยในหมู่บ้านเล็กๆกลางเขา แล้วสุดท้าย ความดีความชอบทั้งหมดก็จะตกเป็นของศาสตราจารย์หวู และเขาในฐานะผู้ช่วยก็จะได้รับผลประโยนช์จากเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย
แต่ผู้ช่วยคนนี้คิดมากเกินไป เพราะเรื่องแบบนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้น
ศาสตราจารย์หวูนำยากลับไปที่โรงพยาบาลเหลียนชาน และเข้าไปในห้องผู้ป่วย เขาได้เอายาของหวังเย้าให้คนไข้กิน
“หมอ พูดตามตรงนะ ผมไม่อยากกินยานี้อีกแล้ว” ถึงแม้น้ำเสียงของคนไข้จะฟังดูลังเล แต่เขาก็ยังคงรับยามาดื่มอยู่ดี
“รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“ครับ แต่ผมก็ยังรู้สึกอยากอ้วกอยู่ดี” คนไข้พูด
“นั่นเป็นเรื่องปกติ” ศาสตราจารย์หวูมองดูสารอาหารแบบเหลวที่ถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายของคนไข้ “ใจเย็นๆ อย่าคิดมาก”
หลังจากคุยกับคนไข้เพียงสั้นๆ เขาก็เดินออกมาจากห้องคนไข้
“ศาสตราจารย์ครับ นี่เป็นผลเลือดคนไข้ของเช้านี้ครับ” ผู้ช่วยอีกคนของเขาที่ถูกทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลได้ส่งผลตรวจเลือดให้กับศาสตราจารย์หวู
“เชื้อในเลือดของเขาลดลงใช่ไหม?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“ใช่ครับ มันลดลงเร็วมาก ตัวอย่างเลือดบางส่วนได้ถูกส่งไปวิเคราะห์ที่ตัวจังหวัดแล้วครับ” ผู้ช่วยของเขาพูด
“ดี เธอทำงานมาทั้งคืน ตอนนี้ก็ไปพักเถอะนะ” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ผมยังสบายดีครับ” ผู้ช่วยของเขาพูด
ผู้ช่วยทั้งสองยังคงอยู่ที่ห้องสังเกตการณ์กับอาจารย์ของพวกเขาต่อ
หลังจากที่ได้รับยาของหวังเยาอย่างต่อเนื่อง อาการของคนไข้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ข่าวได้แพร่กระจายไปยังแพทย์ในโรงพยาบาลเหลียนชานเป็นวงกว้าง
“ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งสุดยอดไปเลยนะ” แพทย์คนหนึ่งพูด
ผู้ช่วยของศาสตราจารย์หวูได้ยินคำพูดแบบนี้อยู่หลายครั้ง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจมากขึ้นทุกขณะ
พวกเขามาจากปักกิ่ง และพวกเขาก็สุดยอดมาก อย่างน้อยๆ นี่ก็เป็นความคิดของผู้ช่วยที่เดินทางไปที่หมู่บ้านพร้อมกับศาสตราจารย์หวู แต่ในครั้งนี้ มันคือแพทย์อายุน้อยจากหมู่บ้านแห่งนั้นและยาที่เขาทำขึ้นมาต่างหาก ที่ทำให้อาการของคนไข้ดีขึ้น
พวกเขาไม่ใช่คนที่สมควรได้รับคำสรรเสริญเยินยอ
หมู่บ้านอยู่ในสถานการณ์ที่สับสนวุ่นวาย สิ่งของจำเป็นในการใช้ชีวิตถูกส่งเข้ามาจากด้านนอก ทุกคนได้ของที่ตัวเองต้องการ แต่กลับไม่มีใครมีความสุขเลยสักคน
หวังเจ๋อเชิงก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาไม่ได้ทำงานมาหลายวันแล้ว มันจึงทำให้เขารู้สึกกังวลขึ้นมา
“พวกเขาจะปล่อยพวกเราออกไปได้เมื่อไหร่กันนะ?” เขาสูบบุหรี่ด้วยความกังวล
“ทำไมถึงได้อยากออกไปข้างนอกมากขนาดนั้นด้วยล่ะ?” พ่อของเขาถาม
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่อยู่ที่บ้านนานๆแล้วมันเบื่อน่ะ” หวังเจ๋อเชิงดับบุหรี่ในมือ
“อย่าคิดมากเลย” พ่อของเขาพูด
“อืม” หวังเจ๋อเชิงพูด
แน่นอนว่าเขาต้องรู้สึกกังวล พ่อของเขากินยาเกือบจะหมดแล้ว เขาจำเป็นต้องซื้อยาจากหวังเย้าเพิ่ม ยาหนึ่งโดสซึ่งมีราคาสูงถึง 10,000 หยวน เขาไม่ได้ทำงานมาสามวันแล้ว เดือนนี้เขาจะไม่ได้รับค่าคอมมิสชันและไม่ได้เงินค่าจ้างจากอีกงานหนึ่งด้วย เขาไม่อยากจะเสียงานไหนไปเลย แต่เขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากหมู่บ้านเพื่อหาเงิน
เขาเข้าใจว่าเงินนั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน มันง่ายที่จะจ่ายออกไป แต่ยากที่จะหามา
ฉันน่าจะลองไปหาหมอหวังดู บางทีเขาอาจจะยอมให้ฉันจ่ายทีหลังได้ พ่อของฉันจะหยุดยาไม่ได้เด็ดขาด หวังเจ๋อเชิงคว้าเสื้อแขนยาวและเดินออกไปข้างนอก
โชคดีที่หวังเย้ายังอยู่ที่คลินิก
“ดีที่หมอยังไม่ไปไหน” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ครับ นั่งก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด
“เอ่อ…” หวังเจ๋อเชิงลังเลที่จะพูดออกมา
“พูดออกมาเถอะครับ” หวังเย้าพูด
“ยาของพ่อฉันใกล้จะหมดแล้วน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด “ตอนนี้ เงินฉันขาดมือ ฉันไม่ได้ค่าจ้าง แล้วก็ไปเบิกเงินจากในธนาคารไม่ได้ด้วย ฉันขอจ่ายนายทีหลังจะได้ไหม? ฉันเซนต์สัญญากู้เงินให้ก็ได้นะ ฉันสัญญา ว่าถ้าฉันได้เงินมาแล้วฉันจะเอามาจ่ายแน่นอน”
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับ พี่กลับมาเอายาตอนบ่ายแล้วกันนะครับ” หวังเย้าพูด
“จริงเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงรู้สึกประหลาดใจ
“ทำไมผมจะต้องโกหกพี่ด้วยล่ะ?” หวังเย้าถาม
คนสุรุ่ยสุร่ายที่กลับใจได้นั้นมีค่ามากกว่าทองคำ หวังเจ๋อเชิงได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เขาได้เก็บคืนสติที่ทิ้งไว้ข้างหลังเมื่อนานมากลับคืนไว้ที่เดิม แล้วอยู่ๆเขาก็ได้รับรู้ถึงความเลวร้ายของตนเอง
“ขอบคุณมากๆนะ” หวังเจ๋อเชิงขอบคุณหวังเย้าซ้ำ ก่อนที่เขาจะเดินออกไป
ในวันเดียวกันนั้น มีชาวบ้านที่คาดว่าจะติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกคน เขาได้ถูกนำตัวออกไปในทันที ตอนนี้มีคนติดเชื้อทั้งหมดหกคนแล้ว พวกเขาทั้งหมดถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในห้องแยกที่โรงพยาบาลจัดเตรียมเอาไว้ และไม่มีใครในหมู่พวกเขาได้กลับมาเลยแม้แต่คนเดียว
“พวกเขาตายกันหมดแล้วแน่ๆ!”
“โรคนี้มันรักษาไม่ได้หรอก!”
ข่าวลือได้แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวความตาย เมื่อเทียบกับโรคที่เป็นอันตรายถึงชีวิตแล้ว การกักตัวก็กลายเป็นเรื่องที่ไร้ความหมายไปในทันที พวกเขาเชื่อไปแล้วว่า หากพวกเขาติดเชื้อ พวกเขาก็มีจะตายเท่านั้น พวกเขาจะไม่ได้กลับมาที่หมู่บ้านอีกต่อไป มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับทุกคน
ชาวบ้านบางคนมีความคิดที่อยากจะหนีออกไป
“พี่คิดจะหนีเหรอ? แล้วพี่จะไปอยู่ที่ไหนล่ะ?” ชาวบ้านคนหนึ่งถามพี่ชายของเขา
“ที่ไหนก็ได้ ฉันแค่ไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว มีคนติดเชื้อไปแล้วหกคน แล้วพวกเขาก็ตายกันหมด” พี่ชายของเขาพูด
“ฉันจะหนีไปด้วยก็ได้ แต่แล้วคนอื่นในบ้านล่ะจะทำยังไง?” เขาถาม
“ก็เรื่องของพวกเขาสิ ก่อนที่จะไปดูแลคนในบ้าน นายก็ต้องเอาตัวให้รอดก่อนถึงจะถูก” พี่ชายของเขาพูด
“แล้วเราจะหนีกันยังไง?” เขาถาม
“เราหนีไปทางเนินเขาได้ พวกเขาปิดทางถนน แต่ไม่ได้ปิดทางขึ้นเขาสักหน่อย ถ้าเราเดินไปตามทางบนเนินเขา เราก็จะออกไปจากที่นี่ได้” พี่ชายของเขาพูด
“ทางเดินบนเขาเหรอ?” เขาถาม
เส้นทางบนเนินเขาสามารถนำไปสู่หลายจุดหมาย
ก่อนหน้านี้ ชาวบ้านมักจะใช้เส้นทางบนเนินเขาในการเดินทางไปไหนมาไหน ก่อนที่จะมีการสร้างถนนเข้ามาในหมู่บ้าน ซึ่งทั้งสะดวกสบายและใช้เวลาน้อยกว่าการเดินบนเขามาก
“ฉันขอคิดดูก่อนนะ” เขาพูด
“เฮ้ย เลิกลังเลได้แล้ว” พี่ชายของเขาพูด
“ฉันบอกว่า ฉันขอคิดดูก่อนไง” เขาพูด
คนไข้ที่ได้รับยาของหวังเย้าเข้าไป ยังคงมีสติดีอยู่ภายในห้องแยกของโรงพยาบาลเหลียนชาน
“คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” ศาสตราจารย์หวูเข้ามาถามอยู่หลายครั้ง
“ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้วครับ” คนไข้พูด
ความรู้สึกไม่สบายต่างๆได้หายไป ถึงแม้ว่าเขาจะยังเจ็บปวดตามร่างกายและอยากอาเจียนอยู่ในบางครั้ง แต่มันก็ดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว อย่างน้อยๆ เขาก็มีความหวังว่าเขาจะหายดี ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว
“ผลเลือดออกมาว่า อาการของคุณกำลังดีขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ขอบคุณครับ” คนไข้พูด
“ฉันไม่ใช่คนที่คุณควรขอบคุณหรอก” ศาสตราจารย์หวูพูดด้วยรอยยิ้ม
“แล้วผมต้องขอบคุณใครเหรอครับ?” คนไข้ถาม
“ตอนนี้ ฉันยังบอกไม่ได้ แต่สักวัน คุณก็จะรู้เอง” ศาสตราจารย์หวูพูด
เขาอยู่ฟังคำอธิบายความรู้สึกเกี่ยวกับอาการของตนเองอย่างละเอียด จากนั้น เขาก็ออกมาจากห้องนั้น
“ผลตรวจมีการอัพเดทแล้วรึยัง?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“รอสักครู่นะครับ” แพทย์คนหนึ่งพูด
ไม่นาน ผลตรวจฉบับล่าสุดก็ถูกส่งมาที่ห้องสังเกตการณ์ ผลเลือด, บันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ, และผลอัลตร้าซาว ทั้งหมดล้วนแสดงให้เห็นว่า อาการของคนไข้กำลังดีขึ้น
“สวัสดีครับ ใครคือศาสตราจารย์หวูเหรอครับ?” หนึ่งในผู้บริหารของโรงพยาบาลได้เดินเข้ามาภายในห้องสังเกตการณ์
“ผมเองครับ” ศาสตราจารย์หวูพูด “คุณต้องการอะไรเหรอครับ?”
“โอ้ ทางเราได้มีการจัดมื้อค่ำเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของคุณน่ะครับ ผมหวังว่าศาสตราจารย์จะสามารถเข้าร่วมได้” ผู้บริหารพูด
“เอ่อ ขอบคุณที่เชิญผม แต่คืนนี้ ผมยังมีงานต้องทำอยู่” ศาสตราจารย์หวูพูด
เขาไม่ได้กระตือรือร้นในเรื่องการเข้าสังคมมากนัก เขาเลือกที่จะอยู่ในโรงพยาบาล และศึกษาเรื่องโรคกับยาที่ได้จากหวังเย้ามากกว่า
“เรายังเชิญผู้นำเขตและเจ้าหน้าที่รัฐอีกหลายคนมาร่วมงานนี้ด้วยนะครับ” ผู้บริหารพูด “ศาสตราจารย์คิดว่ายังไงครับ?”
“ผมไปก็ได้” ศาสตราจารย์หวูพูด
เขามักจะได้รับเชิญไปร่วมทานอาหารค่ำ ในทุกๆครั้งที่เขาเดินทางไปตามโรงพยาบาลในเขตต่างๆ มันได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาไปแล้ว
ในหมู่บ้าน จางซิวหยิงถามเรื่องโรคในระหว่างที่กำลังทานอาหารเย็นกันอยู่
“คนที่ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลตายกันหมดจริงๆเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถามเสียงเบา
“แม่ไปได้ยินเรื่องนี้จากที่ไหนมาครับ?” หวังเย้าถามด้วยความแปลกใจ
“ก็ทุกคนในหมู่บ้านเขาพูดกันน่ะสิ พวกเขายังพูดด้วยว่า ถ้าติดเชื้อขึ้นมาเมื่อไหร่ เราก็จะตายทันทีเลยล่ะ” จางซิวหยิงพูด
เธอได้ยินเรื่องนี้จากปากของชาวบ้านหลายๆคน
“ผมไม่ค่อยแน่ใจเรื่องนั้นหรอกครับ” หวังเย้าพูด “แต่มันก็มีความเป็นไปได้อยู่”
เขารู้ถึงการตายของเฉินเจียกุ้ย ถ้าหากผู้ติดเชื้อไม่ได้รับยาของเขา พวกเขาก็อาจจะจบชีวิตลงเช่นเดียวกับเฉินเจียกุ้ย
“เฮ้อ!” จางซิวหยิงถอนหายใจ “เมื่อไหร่มันจะจบสักทีนะ?”
“เร็วๆนี้ครับ” หวังเย้าพูด
หลังทานอาหารเสร็จ หวังเย้าก็เดินขึ้นไปบนเนินเขาทางทิศตะวันตก เนินเขาในบริวเณนั้นยังคงตั้งอยู่เช่นเดิม พวกมันถูกฆ่าเชื้อจนทั่ว
พลังความตายยังคงอยู่ที่นี่ หวังเย้าสามารถรับรู้ได้ถึงความกดดัน เมื่อเขาไปยืนในบริเวณนั้น วิกฤตยังคงไม่ได้รับการแก้ไข
อะไรคือสาเหตุของพลังความตายพวกนี้กันแน่?
เขาตัดสินใจใช้เวลาไปกับการศึกษาเรื่องนี้ เมื่อไหร่ที่เขาหาสาเหตุพบ เขาก็จะได้รู้ว่า เชื้อร้ายมาจากไหน
ค่ำคืนได้ผ่านพ้นไปอย่างสงบ ศาสตราจารย์หวูเดินทางมาที่หมู่บ้านในเช้าของอีกวัน
“คนไข้เป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“เขาอาการดีขึ้นแล้วล่ะ ยาของเธอได้ผล” ศาสตราจารย์หวูพูด “คราวนี้ เธอจะตอบคำถามของฉันได้รึยัง?”
“คุณรู้ไหม ว่าทั้งหมดนี้มันเริ่มมาจากจุดไหน?” หวังเย้าถาม
“ฉันได้ยินมาว่า มันเริ่มมาจากคนคนหนึ่งในหมู่บ้านนี้” ศาสตราจารย์หวูพูด เขาได้อ่านเกี่ยวกับประวัติของโรคนี้มาบ้างแล้ว
598 รับคำชมเชยด้วยความละอายใจ
“มีแกะตัวหนึ่งตายก่อนหน้าที่คนคนนั้นจะติดเชื้อ แล้วก็อาจจะมีสัตว์ตัวอื่นก่อนหน้านั้นด้วย” หวังเย้าพูดอย่างสงบ
“จริงเหรอ?” ศาสตราจารย์หวูรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่คิดว่า สัตว์ก็มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย “เธอหมายความว่ายังไงกันแน่?”
“คนแรกที่ตายเพราะโรคนี้ก็คือ เฉินเจียกุ้ย เขาเป็นชายโสดที่มีนิสัยอันธพาลอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ก่อนที่เขาจะป่วย เขาได้กินเนื้อแกะที่มีอาการบ้าคลั่งเข้าไป” หวังเย้าพูด
“แกะที่มีอาการบ้าคลั่งเหรอ?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“ครับ แกะตัวนี้ได้เดินไปมาอยู่สองสามที่ ก่อนที่มันจะกลายเป็นบ้า” หวังเย้าพูด
“ใช่ที่ที่เรียกกันว่า สถานที่แห่งความตาย นั่นใช่ไหม” ศาสตราจารย์หวูถาม เขาได้อ่านเรื่องนี้จากในรายงานด้วยเช่นกัน
“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด
“เอ่อ…” ศาสตราจารย์หวูอยากจะเตือนหวังเย้า ในสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่
“ส่วนนี่ก็คือ สูตรยาที่ผมทำขึ้นมาครับ” หวังเย้าหยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง
“ฟังนะ ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่บอกใครเรื่องยาสูตรนี้แน่นอน” ศาสตราจารย์หวูพูด ก่อนที่เขาจะรับกระดาษแผ่นนั้นไป
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณลองอ่านดูก่อนสิ” หวังเย้าพูด
สูตรยามีส่วนผสมของ ป้านจือเหลียน, ขู่ชาน, หลงต๋าน, จินหยินฮวา, กานเฉา, ดอกแดนดิไล, และหญ้าหางกระรอก
ศาสตราจารย์หวูได้จบการศึกษาทางด้านการแพทย์แผนตะวันตก แต่เขาก็พอจะมีความรู้เรื่องแพทย์แผนจีนอยู่บ้าง สมุนไพรเหล่านี้เป็นของที่หาได้ทั่วไป เขาไม่เข้าใจเลยว่า สมุนไพรธรรมดาเหล่านี้สามารถรักษาโรคร้ายนี้ได้ยังไงกัน
“ทั้งหมดเป็นสมุนไพรธรรมดานี่” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ถูกแล้วครับ” หวังเย้าพูด “แต่สมุนไพรสองตัวสุดท้ายออกจะพิเศษอยู่สักหน่อย”
“เธอหมายถึง ดอกแดนดิไลกับหญ้าหางกระรอก น่ะเหรอ?” ศาสตราจารย์หวูภาม
เขารู้ว่า แพทย์แผนจีนบางคนนำดอกแดนดิไลมาทำเป็นยาสมุนไพร แต่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า มีใครใช้หญ้าหางกระรอกมาทำยา
“สมุนไพรสองตัวนี้ ถูกเก็บมาจากสถานที่แห่งความตายครับ” หวังเย้าพูด
“อะไรนะ?” ศาสตราจารย์หวูถามด้วยความประหลาดใจ “ข้างในสถานที่แห่งความตายเหรอ?”
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ พวกมันเติบโตอยู่รอบๆบริเวณนั้น อาจจะห่างออกมาสักประมาณ 1 เมตร แต่พวกมันก็มีอยู่ไม่มากเท่าไหร่” หวังเย้าพูด
“เธอยอดเยี่ยมมาก” หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง ศาสตราจารย์หวูก็พูดขึ้นมา
เขารู้ว่า มีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เดินทางไปจัดการฆ่าเชื้อในสถานที่แห่งนั้นหลายคน พวกเขาก็จะต้องเห็นดอกแดนดิไลและหญ้าหางกระรอกเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่มีใครคิดที่จะนำพวกมันมาทำยารักษาโรคเลยสักคนเดียว
หวังเย้าคือคนที่เห็นมัน คิดเกี่ยวกับมัน และลงมือทำ เขายอดเยี่ยมที่สุด
“เธอพาฉันไปดูที่นั่นหน่อยได้ไหม?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“ได้สิครับ” หวังเย้าพูด
เขาพาศาสตราจารย์หวูไปสถานที่แห่งความตายที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาทางทิศตะวันตก ตัวหลุมถูกปกคลุมไว้ด้วยปูนขาวจนเต็ม มันดูต่างจากบริเวณโดยรอบอย่างมาก
“ผมเก็บดอกแดนดิไลกับหญ้าหางกระรอกจากรอบๆนี้ไปเกือบหมดแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด
“ยังมีอีก” ศาสตราจารย์หวูพูด เขาย่อตัวลงเพื่อดูต้นหญ้าเล็กๆที่อยู่บนพื้นดิน หญ้าพวกนี้เติบโตอยู่ใกล้กับหลุมมาก “ฉันได้ยินมาว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในหลุมเลย”
“ใช่ครับ มีแค่เชื้อร้ายเท่านั้น” หวังเย้าพูด
“มันวิเศษมาก! แม้แต่ในสถานที่แห่งความตายแบบนี้ ก็ยังมีแสงแห่งความหวังอยู่” ศาสตราจารย์หวูพูด “ธรรมชาติได้สร้างทางออกไว้ให้เราแล้ว”
“ใช้แล้วล่ะครับ แต่ตอนนี้เราออกไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า อยู่ที่นี่นานเกินไปไม่ค่อยดีเท่าไหร่” หวังเย้าพูด
เขาไม่มีปัญหาอะไร แต่ศาสตราจารย์หวูเป็นคนธรรมดา และมีสุขภาพร่างกายเหมือนๆกับคนทั่วๆไป แล้วเขาก็ยังอายุเกือบจะ 60 แล้วด้วย หวังเย้าไม่สามารถรับประกันได้ว่า ถ้าพวกเขาอยู่ที่สถานที่แห่งความตายนานเกินไป มันจะไม่ส่งผลเสียอะไรกับศาสตราจารย์หวู
“โอเค” ศาสตราจารย์หวูพูด
ทั้งสองลงมาจากเนินเขาเพื่อกลับไปที่คลินิกของหวังเย้า
“เธอยังมีดอกแดนดิไลกับหญ้าหางกระรอกอยู่อีกรึเปล่า?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“มีครับ รอเดี๋ยวนะครับ” หวังเย้าพูด เขานำดอกแดนดิไลและหญ้าหางกระรอกมาให้ศาสตราจารย์หวูถุงหนึ่ง
“ขอบคุณมาก ฉันขอบคุณในความช่วยเหลือของเธอจริงๆ” ศาสตราจารย์หวูสามารถเพาะเลี้ยงดอกแดนดิไลและหญ้าหางกระรอกที่ได้จากหวังเย้าในปริมาณมากได้ โดยการใช้วิธีการเพาะเลี้ยงแบบพิเศษ ด้วยความช่วยเหลือจากสูตรยาของหวังเย้า เขาและทีมก็จะสามารถควบคุมการแพร่กระจายของโรคนี้ได้
“ยินดีครับ” หวังเย้าพูด หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง
เขาก็อยากให้เรื่องนี้จบเร็วที่สุดเช่นเดียวกัน เพราะถึงยังไง หมู่บ้านแห่งนี้ก็คือบ้านเกิดของเขา
“แล้วดอกแดนดิไลกับหญ้าหางกระรอกทั่วไปใช้ไม่ได้เหรอ?” ศาสตราจารย์หวูภาม
“ไม่ครับ ผมลองดูแล้ว” หวังเย้าพูด “ผมคิดว่า ดอกแดนดิไลกับหญ้าหางกระรอกที่เก็บมาจากที่นั่นมีภูมิต้านทานเชื้อในตัวมันเอง เพราะพวกมันสามารถอยู่รอดในสถานที่อันตรายแบบนั้นได้น่ะครับ”
ศาสตราจารย์หวูไม่ได้อยู่นานนัก เขาเดินทางกลับไปโรงพยาบาลพร้อมกับสมุนไพรสองชนิด รวมไปถึงยาสองขวดที่หวังเย้าทำขึ้นมา
เมื่อเดินทางไปถึงโรงพยาบาล เขาก็รีบติดต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจากตัวจังหวัด และขอให้พวกเขาเพาะเลี้ยงดอกแดนดิไลและหญ้าหางกระรอกในปริมาณมาก ให้เร็วที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้
“ศาสตราจารย์หวู ผมขอถามหน่อยได้ไหม ว่าทำไมต้องให้เราเพาะเลี้ยงสองอย่างนี้ด้วยครับ?” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถาม
“พืชสองชนิดนี้เป็นส่วนผสมหลัก สำหรับการทำยารักษาชาวบ้านที่ติดเชื้อน่ะสิ” ศาสตราจารย์หวูพูด
“อ่อ” เจ้าหน้าที่พูด “ศาสตราจารย์เป็นคนคิดขึ้นมาสินะครับ?”
“ไม่ใช่ผมหรอก คนอื่นน่ะ” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ขอถามหน่อยได้ไหมครับ ว่าเป็นใคร?” เจ้าหน้าที่ถาม
“ต้องขอโทษด้วย ตอนนี้ผมยังบอกไม่ได้” ศาสตราจารย์หวูพูด
ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะรู้สึกข้องใจ แต่เขาก็จัดการให้คนเพาะเลี้ยงพืชทั้งสองชนิดในทันที
คนไข้ที่อยู่ภายในห้องแยกยังคงมีอาการคงที่ เชื้อที่อยู่ภายในร่างกายของเขาสามารถควบคุมได้แล้ว และยังลดจำนวนลงด้วย
“ร่างกายของเขาเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อสู้กับเชื้อชนิดนี้แล้วครับ” หนึ่งในผู้ช่วยของศาสตราจารย์หวูพูด
“ดี” ศาสตราจารย์หวูพูด
พวกเขาเกือบจะสามารถรักษาคนไข้รายนี้ให้หายได้แล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกโล่งใจ พวกเขาสามารถผ่อนคลายได้บ้างแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไป การเพาะปลูกดอกแดนดิไลและหญ้าหางกระรอกก็เป็นไปด้วยความรวดเร็ว
ในระหว่างที่หมู่บ้านถูกปิดทางเข้าออก มีคนจำนวนมากเดินทางมาเพื่อรักษากับหวังเย้า แต่พวกเขาก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจห้ามเอาไว้ ดังนั้น พวกเขาจึงทำได้แค่กลับไปเท่านั้น พวกเขายังได้ยินมาด้วยว่า ภายในหมู่บ้านเกิดโรคระบาดขึ้น หวังเย้าคิดว่า คงจะไม่มีคนไข้มาให้เขามากนัก
“รู้รึยัง ว่ามีหมู่บ้านหนึ่งในเขตของเราถูกปิดการเข้าออกเพราะกาฬโรคล่ะ?” ชายคนหนึ่งจากหมู่บ้านอื่นในเขตเหลียนชานพูด “มีคนตายตั้งหลายคนเลยนะ”
“กาฬโรคอะไร?” เพื่อนในหมู่บ้านของเขาถาม “มันโรคระบาดต่างหาก”
“แกไม่เคยไปเรียนที่โรงเรียนรึยังไง?” ชายคนนั้นพูด “มันก็โรคเดียวกันนั่นแหละ”
“เข้าเรื่องเถอะ” เพื่อนของเขาพูด “แกกำลังพูดถึงหมู่บ้านไหนเหรอ?”
“หมู่บ้านหวังน่ะสิ” ชายคนนั้นพูด
“อ่อ” เพื่อนของเขาพูด
โดยที่ยังไม่ได้รับความชัดเจนในเรื่องนี้ แต่ข่าวลือก็ได้แพร่กระจายออกไปจนไม่สามารถควบคุมได้ ปากคนสามารถกระจายข่าวลือได้รวดเร็วยิ่งกว่าอินเตอร์เนต
ชายหนุ่มจากหมู่บ้านหวังสองคนได้หลบหนีไปตามเส้นทางบนเนินเขา พวกเขาถูกพบว่าหายตัวไปในวันต่อมา
นี่ไม่ดีแล้ว! ทุกคนที่ได้รู้ข่าวต่างก็คิดไปทางเดียวกัน
ไม่มีใครรู้ว่า พวกเขาติดเชื้อหรือไม่ ถ้าหากพวกเขาติดเชื้อ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะเริ่มแสดงอาการเมื่อไหร่ หรือจะมีคนติดเชื้อต่อจากพวกเขาอีกมากแค่ไหน
มีการประกาศจับตัวพวกเขาออกมาเป็นการเฉพาะ คนที่พวกเขาต้องการตัวไม่ใช่อาชญากร พวกเขาเป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาที่หลบหนีออกจากหมู่บ้านเท่านั้น
“เข้าใจเอาไว้ด้วยว่า พวกเขาอันตรายยิ่งกว่าอาชญากรจริงๆซะอีก” ผู้บังคับบัญชาได้สั่งการลงไป
ตั้งแต่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกเรียกตัวมาทั้งเช้าและเย็น กองกำลังของเจ้าหน้าที่ได้เริ่มเดินตรวจตรารอบๆเนินเขา
เฮ้อ!
หวังเย้าไม่ชอบเรื่องแบบนี้เลย กองกำลังของเจ้าหน้าที่สามารถโผล่ไปได้ทุกที่ รวมถึงเนินเขาหนานชานด้วย เขาไม่ต้องการให้ความลับของเขาถูกเปิดเผยออกไป เพราะมันจะสร้างปัญหาให้เขาอย่างมากมาย
เรื่องนี้ดูเหมือนจะมีปัญหา
เขาคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะกดโทรออกไปยังเบอร์หนึ่ง คนที่อยู่ปลายสายจัดการทำตามคำขอของเขาในทันที
เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้เข้าไปใกล้บริเวณเนินเขาหนานชานเลยแม้แต่น้อย พวกเขาพยายามรักษาระยะห่างหรือแค่เดินตรวจตรารอบๆเท่านั้น
“ทำไมเราถึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปใกล้เนินเขาลูกนั้นล่ะ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งถาม
“อย่าถามเลย เนินเขานั่นอาจจะมีอันตรายอยู่ก็ได้” เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนายพูด
“ฉันได้ยินมาว่า ต้นกำเนิดของโรคอาจจะมาจากเนินเขาหนานชานด้วยล่ะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนายที่เดินอยู่ด้วยกันพูด
“จริงเหรอ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจคนแรกถาม “ฉันคิดว่า โรคมันโผล่มาจากเนินเขาทางทิศตะวันตกซะอีก”
“ใครจะไปรู้ล่ะ? ยังไงก็เถอะ แค่อย่าเข้าไปใกล้เพื่อความปลอดภัยของตัวเองจะดีกว่านะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนายพูด
เมื่อมีคนเชื่อเรื่องนี้จริงๆ ข้ออ้างที่ยกขึ้นมาก็ค่อยๆกลายเป็นเรื่องจริงในไม่ช้า
เนินเขาหนานชานยังคงเงียบสงบและเป็นปริศนาต่อไป แม้จะอยู่ในช่วงของความวุ่นวายก็ตามที
ในที่สุด ก็มีคนไข้คนแรกที่หายจากโรคนี้ในโรงพยาบาล
ด้วยความพยายามอย่างหนัก ดอกแดนดิไลและหญ้าหางกระรอกก็มากพอสำหรับนำมาใช้งาน ตัวยาถูกผลิตออกมาตามสูตรยาที่ได้จากศาสตราจารย์หวู จนถึงปัจจุบัน มีคนเสียชีวิตจากโรคนี้ไปแล้วทั้งหมด 9 คน
“เราจะหายแล้ว!” คนไข้ที่ถูกแยกตัวต่างก็ยินดีกับเรื่องนี้
“ขอบคุณมากนะครับ ศาสตราจารย์หวู!” ผู้นำเขตแสดงความขอบคุณต่อศาสตราจารย์หวู ผู้เชี่ยวชาญที่ถูกส่งตัวมาจากปักกิ่ง เขาเชื่อว่า ศาสตราจารย์หวูคือผู้ที่ค้นพบวิธีการแก้ไขวิกฤตในครั้งนี้
ผู้นำจังหวัดฉีก็ได้เรียกตัวศาสตราจารย์หวูมาพบ เพื่อแสดงความขอบคุณเช่นเดียวกัน
“ผมไม่คู่ควร ผมไม่คู่ควร” ศาสตราจารย์หวูพูด
599 บ้านอยู่ที่ไหน?
ศาสตราจารย์หวูเอาแต่พูดแบบนี้อยู่ตลอด
“คุณถ่อมตัวเกินไปแล้ว” ผู้นำจังหวัดฉีพูด
เขารู้ว่า ตัวเองไม่ได้ถ่อมตัว เรื่องนี้ต้องขอบคุณชายหนุ่มที่หมู่บ้านหวัง ที่ทำให้วิกฤตจากโรคร้ายอยู่ในการควบคุมได้อย่างรวดเร็ว หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากหวังเย้า เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบลงได้
ทางกรมสาธารณะสุขได้จัดงานเลี้ยงขึ้น เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จในครั้งนี้ คนสำคัญของทั้งเขต, เมือง, จังหวัดต่างก็เข้าร่วมงานนี้ และผู้ที่โดดเด่นที่สุดในงานก็คือ ศาสตราจารย์หวู ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่ง
ทุกคนที่อยู่บนโต๊ะต่างพูดคุยกันอย่างมีความสุข ทุกคนดูสนุกกับงานในครั้งนี้ แม้แต่ผู้ช่วยทั้งสองคนของศาสตราจารย์หวูก็ยังได้รับคำชื่นชมไปด้วย หลังจากดื่มไปได้สองสามแก้ว ชายหนุ่มทั้งสองก็เริ่มมึนเล็กน้อย จนมีอาการพูดไม่เป็นคำ
พวกเขามักจะได้เข้าร่วมมื้อค่ำและงานเลี้ยงกับอาจารย์ของพวกเขา และได้รับคำชื่นชมจากผู้บริหารของบริษัทใหญ่ๆมากมาย แต่ครั้งนี้ต่างออกไป ในฐานะคนธรรมดา พวกเขากลับได้รับความเคารพอย่างสูงจากเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งมันทำให้พวกเขารู้สึกพอใจมากกว่าการดื่มของมึนเมา
แต่มีอยู่คนหนึ่งที่นิ่งตลอดทั้งงาน เขาก็คือดาวของค่ำคืนนี้ ศาสตราจารย์หวู ฉันจะต้องพูดให้ชายหนุ่มคนนั้น!
เขาไม่ต้องการของที่ไม่ใช่ของเขา ในเย็นวันนั้น เขาคิดอะไรหลายอย่าง
ก้อนเมฆรวมตัวกันอยู่บนท้องฟ้า หวังเย้าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอยู่บนเนินเขาหนานชาน
พรุ่งนี้ ฝนจะตก
เขาหันไปมองทางทิศตะวันตก เนินเขาซีชานอยู่ห่างจากเนินเขาหนานชานไม่มากนัก มันตั้งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ เนินเขาที่สูงที่สุดที่ล้อมหมู่บ้านเอาไว้ ก็คือเนินเขาทางทิศเหนือ และต่อมาก็คือ เนินเขาซีชาน ส่วนเนินเขาหนานชานคือเนินเขาที่เตี้ยที่สุด
ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย
ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเขา ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นความต่างระหว่างเนินเขาซีชานกับเนินเขาอื่นได้ ส่วนสิ่งที่เรียกว่า พลังงานความตายนั้น เขาก็ไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้จากจุดนี้
ช่างมันเถอะ! หวังเย้าปิดไฟเข้านอน เมื่อเป็นเวลาดึกมากแล้ว
ฝนเริ่มโปรยลงมาในเช้าวันใหม่ ด้วยอากาศแบบนี้ แต่ที่คลินิกของหวังเย้ากลับมีแขกมาเยี่ยมเยือน
ถึงแม้ว่าวิธีการรักษาโรคระบาดในครั้งนี้ จะเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากหวังเย้า และยาที่เขาเป็นคนปรุงขึ้นมา แต่หมู่บ้านก็ยังคงถูกปิดอยู่เช่นเดิม สัญญาเตือนภัยยังคงทำงานอยู่
“นี่ๆ นั่นใช่ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งคนนั้นรึเปล่า?” ชาวบ้านคนหนึ่งสามารถจดจำผู้มาเยือนรายนี้ได้
“ใช่แล้วล่ะ เขามาที่นี่ตั้งหลายครั้งแล้วนี่นา” ชาวบ้านอีกคนพูด
“ฉันได้ยินมาว่า เขาก็คือคนที่ค้นพบวิธีการรักษาโรคระบาด คนจากปักกิ่งอยู่คนละระดับกับเราจริงๆ” ชาวบ้านคนแรกพูด
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้วล่ะ เมื่อคืน พวกเขายังจัดงานเลี้ยงให้เขาในเมืองด้วยนะ” ชาวบ้านอีกคนพูด
“แล้วเขามาทำอะไรในวันฝนตกแบบนี้กัน?” ชาวบ้านคนแรกถาม
เมื่อได้รู้ว่า แพทย์ได้ค้นพบวิธีการรักษาโรคระบาดแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขที่อยู่ในหมู่บ้านก็ไม่ได้วิตกกังวลเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป ไม่ว่าโรคจะร้ายแรงแค่ไหน ขอแค่มีวิธีรักษาได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอีกต่อไป
“นี่ ฉันได้ยินบางอย่างมาด้วยล่ะ” ชายวัยกลางคนพูด
“อะไรเหรอ?” เพื่อนบ้านของเขาถาม
“ทางรัฐบาลท้องถิ่นได้ให้เงินรางวัลเขา 1 ล้านหยวนเลยน่ะสิ” ชายวัยกลางคนพูด
“พูดจริงเหรอ?” เพื่อนบ้านของเขาถาม
ศาสตราจารย์หวูไม่ได้ยินบทสนทาของพวกเขา เขาตรงไปที่คลินิกของหวังเย้าและเคาะประตู
“เชิญเข้ามาได้เลยครับ” หวังเย้าพูด
เขาได้รับสายจากศาสตราจารย์หวูในตอนเช้าแล้ว ดังนั้น เขาจึงมารออยู่ที่คลินิก
“สวัสดีครับ ศาสตราจารย์หวู” หวังเย้าพูด
“สวัสดี หมอหวัง” ศาสตราจารย์หวูพูด
หวังเย้าเดินไปชงชาให้กับเขา
“ขอบคุณสำหรับสูตรยากับสมุนไพร ตอนนี้ พวกเขาเริ่มขยายพันธุ์เพิ่มแล้ว” ศาสตราจารย์หวูพูด
“เยี่ยมเลยครับ” หวังเย้าพูด
“เรื่องสำคัญก็คือสูตรยา มีคนมาขอเสนอซื้อสูตรยาตัวนี้จากฉันด้วย” ศาสตราจารย์หวูพูด “แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า เธอคือเจ้าของสูตรยานี้ แต่ฉันจดลิขสิทธิ์ในนามของเธอให้แล้วนะ”
เขาไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก และเขาก็ได้จดลิขสิทธิ์เจ้าของสูตรยาเป็นชื่อของหวังเย้าไปเรียบร้อยแล้ว
“แล้วฉันก็ตั้งใจจะบอกทุกคนว่า เธอคือคนที่คิดค้นยาสูตรนี้ขึ้นมา” ศาสตราจารย์หวูพูด
“แค่ประกาศไปว่า เราสองคนเป็นคนคิดสูตรยานี้ขึ้นมาก็พอแล้วครับ” หวังเย้าพูด
“ไม่ได้ ฉันไม่ใช่คนคิดค้นมันขึ้นมาสักหน่อย” ศาสตราจารย์หวูพูด
“แต่คุณเป็นคนช่วยเรื่องการทดสอบและเสนอสูตรยาตัวนี้นะครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม เขารู้ว่า ศาสตราจารย์หวูเป็นคนที่มีจรรยาบรรณคนหนึ่ง
“นั่นมันไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด” ศาสตราจารย์หวูพูด
“แล้วผมก็ไม่อยากให้คุณพูดชื่อของผมด้วย” หวังเย้าพูด
“ได้” ศาสตราจารย์หวูพูด
“คุณดูไม่ค่อยดีนะครับ ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้พักผ่อนเท่าไหร่ ผมเดาว่า คุณคงจะทำงานหนัก เพราะโรคระบาดครั้งนี้มากเลยสินะครับ” หวังเย้าพูด
ศาสตราจารย์ดูเหนื่อยล้า เมื่อร่างกายเหนื่อยล้า ไวรัส, เชื้อโรค, และทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่ายขึ้น
“เธอพูดถูกแล้วล่ะ” ศาสตราจารย์หวูพูด
“คุณต้องดูแลตัวเองด้วยนะครับ ดื่มชาสักหน่อยสิครับ” หวังเย้าพูด
“ขอบคุณนะ” ศาสตราจารย์หวูพูด
ชามีรสชาติดี ศาสตราจารย์หวูรู้สึกสบายขึ้นมาก หลังจากที่ดื่มชาเข้าไป น้ำชาดูเหมือนจะช่วยขับความเหนื่อยล้าของเขาให้หายไป
“เธอไปเรียนการรักษาจากที่ไหนมาเหรอ?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“จากเทพเจ้าครับ” หวังเย้าชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม
ศาสตราจารย์หวูหัวเราะ
พวกเขาพูดคุยกันอยู่นาน
“ถ้าหมู่บ้านไม่ถูกปิดแบบนี้ ผมก็อยากจะเชิญศาสตราจารย์ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อ” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ไม่เป็นไร” ศาสตราจารย์หวูพูด “เธอค่อยมาพบฉันที่ปักกิ่งก็ได้”
ตอนที่ศาสตราจารย์หวูจากไป ฝนก็ยังคงตกลงมาเรื่อยๆ
พ่อแม่ของหวังเย้าถามเกี่ยวกับเรื่องโรคระบาด ในตอนที่ทานอาหารกลางวันด้วยกัน
“แม่ได้ยินมาว่า ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งทำยารักษาออกมาได้แล้ว” จางซิวหยิงพูด
“ครับ จริงๆแล้วคนที่คิดยารักษาขึ้นมาก็คือ ลูกชายของแม่คนนี้ต่างหากล่ะครับ” หวังเย้าพูด
“จริงเหรอ?” จางซิวหยิงถาม
“จริงสิครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วมันได้ผลรึเปล่า?” หวังเฟิงฮวาถาม
“ครับ” หวังเย้าพูด
“ดี ดีจริงๆ” หวังเฟิงฮวายิ้มและจุดไฟบุหรี่
…
ต้าหลี่ พี่น้องหานกำลังจะเดินทางไปหาราชายาเป็นครั้งที่สี่
“นายรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” หานจื้อเกาถาม
“ฉันเดินทางไหว” น้องชายคนเล็กที่อยู่ภายใต้ผ้าพันแผลสามารถพูดออกมาเป็นคำได้แล้ว
“งั้นเราก็ไปกันเถอะ” หานจื้อเกาพูด
“โอเค” น้องชายคนเล็กพูด
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็เดินทางไปถึงหมู่บ้านขนาดเล็กที่ทางใต้ของยูนนาน และเข้าพบราชายา เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เขาจับจ้องไปที่หานจื้อเกาและน้องชายของเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ฉันไม่อยากจะเจอคนคนนี้อีกแล้ว หานจื้อเกาคิด
“อาเจี้ยน มานี่สิ” ราชายาพูด
“ครับ อาจารย์” อาเจี้ยนพูด
ยังคงเป็นอาเจี้ยน ที่รับหน้าที่ใส่ยาให้กับน้องชายคนเล็กของบ้านหาน เขาค่อยๆแกะผ้าพันแผลออก แล้วผิวหนังก็เผยออกมาให้ทุกคนได้เห็น สะเก็ดแผลหลุดร่วงออกมาจำนวนมาก ทุกคนสามารถมองเห็นผิวใหม่ตามส่วนต่างๆของร่างกายได้
พี่น้องหานต่างรู้สึกตื่นเต้น เมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของน้องชายคนเล็กของพวกเขา
อาเจี้ยนนำยาสามโถทาลงไปตามร่างกายของน้องชายคนเล็กบ้านหานอย่างช้าๆ ต่อมา เขาก็ถูกพันร่างกายด้วยผ้าพันแผลแบบพิเศษ
“อีก 20วันให้กลับมาอีกที” ราชายาพูด
“ได้ครับ ขอบคุณมาก” หานจื้อเกาพูด
“รอเดี๋ยว ฉันมีเรื่องอยากจะถาม” ในตอนที่พวกเขากำลังจะเดินออกไป ราชายาก็เรียกพวกเขาเอาไว้
“ได้สิครับ” หานชิ่งพูด
“คนที่ทำยาสามตัวนี้ขึ้นมา อยู่ที่ไหน?” ราชายาถาม
“เอ่อ เขามาจากทางเหนือของจังหวัดฉีครับ” หานชิ่งพูด
“จังหวัดฉีเหรอ?” ราชายาขมวดคิ้ว เขาอาศัยอยู่ในยูนนานมานานหลายสิบปี ถึงแม้ว่าเขาจะเดินทางไปมาหลายที่ แต่เขาก็ไม่เคยเดินทางไปทางเหนือของจีนมาก่อน “ช่างเถอะ พวกเธอไปได้แล้ว”
“ครับ ลาก่อนครับ” หานชิ่งและพี่น้องของเขารีบเดินออกไปจากตัวอาคาร
“อาจารย์อยากจะไปเจอคนคนนั้นเหรอครับ?” หลังจากที่พี่น้องหานออกไปแล้ว อาเจี้ยนก็ถามขึ้นมา
“ใช่” ราชายาพูด “ฉันศึกษายาสามตัวนี้มาเกือบเดือนแล้ว แต่ฉันก็ยังหาส่วนผสมทั้งหมดของมันไม่ได้”
“ผมสามารถขอให้เพื่อนของผมตามเรื่องนี้ให้ได้นะครับ” อาเจี้ยนพูด
“เอาสิ ฉันไม่ได้เจอเรื่องน่าสนใจแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน” ราชายาพูดด้วยรอยยิ้ม คนที่ไม่มีคู่ต่อสู้ มักจะรู้สึกโดดเดี่ยว
…
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียว จากฤดูหนาวก็เปลี่ยนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ผลิใบเขียวสดและดอกไม้เบ่งบาน ฤดูใบไม้ผลิได้นำพาชีวิตมาสู่ผืนดิน
การทดสอบยาของหวังเย้าในโรงพยาบาลเหลียนชาน ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งอยู่ในอาการเริ่มแรก
ในระหว่างการสัมภาษณ์ ศาสตราจารย์หวูก็ได้พูดบางอย่างที่คาดไม่ถึงออกมา เขาได้พูดว่า สูตรยาที่สามารถรักษาโรคระบาดนี้ได้ ไม่ใช่เขาที่เป็นคนคิดค้นมันขึ้นมา แต่เป็นแพทย์ปรุงยาที่มีแซ่ว่า หวัง
คนที่ฟังการสัมภาษณ์ต่างก็ไม่รู้ว่า อะไรคือแพทย์ปรุงยาหรือคนแซ่หวังคนนี้คือใคร แต่ก็มีบางคนที่รู้ว่า ศาสตราจารย์หวูกำลังพูดเรื่องอะไร เช่นเดียวกับชาวบ้านที่กำลังฟังการสัมภาษณ์นี่อยู่
แพทย์ปรุงยาที่มีแซ่ว่า หวัง อย่างนั้นเหรอ? เขากำลังพูดถึงลูกชายของหวังเฟิงฮวาอยู่รึเปล่า? ชาวบ้านต่างก็สงสัย
เมื่อตัวยาได้ถูกผลิตออกมาแล้ว การกักตัวของหมู่บ้านก็ไม่ได้เข้มงวดเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ก็ยังคงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าอยู่รอบหมู่บ้านเหมือนเดิม มันเป็นคำสั่งของทางเมืองและรัฐบาลท้องถิ่น ถึงแม้จะมีการพัฒนายาต้านออกมาแล้ว แต่มันก็ยังถือว่าเป็นโรคระบาดอยู่ดี อัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ยังคงสูง ดังนั้น ผู้คนจึงยังต้องระวังตัวกันอยู่
ในวันหนึ่ง ศาสตราจารย์หวูได้เดินทางมาที่หมู่บ้าน “ฉันมาเพื่อจะบอกลา”
“คุณจะกลับปักกิ่งแล้วเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ ฉันคิดว่า เรื่องนี้เริ่มดีขึ้นแล้ว แล้วฉันก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ” ศาสตราจารย์หวูพูด
เขาอยู่คุยกับหวังเย้าในคลินิกอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาพูดกันเกี่ยวกับการรักษา รวมไปถึงเรื่องอื่นๆด้วย
“ฉันไม่คิดเลยนะว่า หมออายุน้อยขนาดเธอจะมีความรู้มากขนาดนี้ได้” ศาสตราจารย์หวูพูด
คนเรามักจะมองภาพรวมทั้งหมดได้จากการมองเพียงจุดเดียว ศาสตราจารย์หวูได้รับรู้ว่า หวังเย้าเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีฝีมือการแพทย์สูงส่งได้จากการพูดคุยเรื่องการรักษากับหวังเย้าเท่านั้น
“ที่นี่จะยกเลิกการกักตัวเมื่อไหร่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“อย่างน้อยก็อาจจะอีกสักเดือนหนึ่ง ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ผมไม่ได้ออกไปที่ไหนอยู่แล้ว ผมก็แค่ไม่อยากให้ชาวบ้านคิดมากกันเท่านั้นเองครับ” หวังเย้าพูด
เขากลัวว่า หลังจากที่การกักตัวจบลง จะมีชาวบ้านย้ายออกไปจากหมู่บ้านมากกว่าเดิม เขารู้ว่า อพาร์ทเมนต์ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัทของซุนเจิ้งหรงใกล้จะเสร็จแล้ว ชาวบ้านหลายคนต่างก็ต้องการจะย้ายออกไป แล้วโรคระบาดในครั้งนี้ยังได้คร่าชีวิตชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ไปแล้ว 10 คน หวังเย้าไม่คิดว่า จะมีใครอยากอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ต่อไปอีก
หมู่บ้านที่เคยเป็นสถานที่สงบสุขและปลอดภัย ไม่สามารถเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยสำหรับผู้อยู่อาศัยอีกต่อไป มันไม่ใช่บ้านของพวกเขาอีกแล้ว แล้วพวกเขาก็ยังไม่มีความผูกพันธ์กับหมู่บ้านมากเหมือนแต่ก่อนแล้ว
ผู้คนจะมารวมตัวกันมากขึ้น เมื่อพวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านเกิด เพราะพวกเขาไม่ต้องอยู่ไกลจากคนในครอบครัวของตนเอง แต่สำหรับคนหนุ่มสาวในปัจจุบัน พวกเขาไม่ได้ผูกพันธ์กับครอบครัวของตัวเองเหมือนคนสมัยก่อนอีกต่อไป
ยิ่งเวลาผ่านไปมากแค่ไหน ชาวบ้านก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะเดียวกัน มีคนถูกพบว่าติดเชื้อเพิ่มขึ้น และถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเหลียนชาน สุดท้าย ทั้งมนุษย์, กระต่าย, แกะ, และสุนัขล้วนแล้วแต่ติด มันดูเหมือนว่า ทั้งหมู่บ้านจะติดเชื้อกันหมด
“เราย้ายชาวบ้านออกไปจากหมู่บ้านได้ไหม?” หนึ่งในผู้นำเขตถาม “แน่นอน ผมกำลังพูดถึงคนที่ยังไม่ติดเชื้อ”
“แต่มันจะเป็นงานใหญ่มากเลยนะ” ผู้นำอีกคนหนึ่งพูด
พวกเขาต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน และพวกเขาก็จำเป็นต้องสร้างที่พักขึ้นมาเป็นหารชั่วคราวสำหรับคนจำนวนมาก กว่างานจะเสร็จ ก็ต้องใช้เวลาอีกนาน
“เราจำเป็นต้องคิดเรื่องนี้เผื่อเอาไว้ด้วย” ผู้นำพูด
พวกเขาจำเป็นต้องปรึกษาเรื่องนี้กันอีกมาก แต่ชาวบ้านกลับเป็นฝ่ายที่เริ่มลงมือก่อน โดยการฆ่าและเผาสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของพวกเขา พวกเขาคงจะไม่มีทางทำแบบนี้ในอดีต สัตว์เหล่านี้หมายถึงเงินที่พวกเขาควรจะได้ แต่ตอนนี้ พวกเขาต่างก็ไม่อยากเสี่ยง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าหากพวกเขาถูกสัตว์กัด พวกเขาก็ต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล สถานการณ์ที่แย่ที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นกับพวกเขาก็คือ ความตาย เงินเทียบกับชีวิตของพวกเขาไม่ได้
“เฮ้อ!” ชาวบ้านต่างรู้สึกหมดหวังและเศร้าเสียใจ
มีเรื่องไม่แน่นอนเกิดขึ้นมากมาย พวกเขาต่างก็รู้สึกกดดัน หลายคนมีอาการปวดศีรษะหรือไม่ก็ท้องเสีย ส่วนบางคนก็กลายเป็นโรคนอนไม่หลับในเวลากลางคืน
พวกเขาไม่สามารถออกไปจากหมู่บ้านได้ ดังนั้น พวกเขาต่างก็พากันไปหาหวังเย้า
เขาอดทนอย่างมาก เขาตรวจชาวบ้านไปทีละคนและให้การรักษาที่เห็นผลกับพวกเขาแต่ละคน เขารู้ดีว่า อาการป่วยเหล่านี้ล้วนเกิดมากจากความกดดันของสถานการณ์ในปัจจุบัน
600 หมู่บ้านที่เกือบร้าง
“ไม่เป็นไร เสี่ยวเย้า บอกฉันมาเถอะ” หลังจากที่ได้ฟังคำวินิจฉัยของหวังเย้าแล้ว ชายวัยกลางคนก็พูดออกมา
“คุณลุงสามารถกิน, ดื่ม, และนอนหลับได้เป็นปกติครับ แต่อย่าดื่มเหล้าเยอะเกินไปเท่านั้น” หวังเย้าพูด “เพราะความกดดัน เลยทำให้คุณลุงคิดมากน่ะครับ”
ชายวัยกลางคนยังคงสงสัย มันไม่ใช่แค่เขาที่มีความคิดแบบนั้น ตลอดหลายวันมานี่ ชาวบ้านหลายคนต่างก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวกันทั้งนั้น
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น มันยากที่พวกเขาจะทำใจยอมรับได้ คนที่พวกเขารู้จักมาหลายปี คนที่มักจะเจอกันตามถนนและทักทายพูดคุยกัน อยู่ๆคนเหล่านั้นก็ป่วยขึ้นมา และถูกพาไปกักตัวที่โรงพยาบาล จากนั้นก็ตาย แล้วโรคร้ายนี้ก็ยังเป็นโรคระบาดอีกด้วย
หลายวันมานี้ หวังเย้าได้รับสายจากทั้งเทียนหยวนถู, หลี่เม่าชวง, เว่ยห่าย, และเพื่อนอีกหลายคน ที่โทรมาสอบถามความเป็นไปของสถานการณ์ แม้แต่ซุนหยุนเชิงก็ยังโทรมาเพื่อถามว่าเขาต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้กระทบกับชีวิตของหวังเย้ามากนัก เพียงแค่มีคนไข้มารักษากับเขาน้อยกว่าแต่ก่อนก็เท่านั้น
…
ปักกิ่ง ดอกไม้ผลิบานอยู่ทั่วทุกแห่งหน ซูเสี่ยวซวีมองท้องฟ้าอยู่ที่สวนเพียงลำพัง พร้อมกับความคิดที่ล่องลอยออกไปไกล
“กำลังคิดอะไรอยู่เหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถามจากด้านหลัง
“หนูอยากจะออกไปข้างนอกค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ที่ไหนเหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“เอ่อ หนูอยากจะไปหาหมอหวังค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ลูกยังไปตอนนี้ไม่ได้ ที่หมู่บ้านของเขาเกิดโรคระบาดอยู่นะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด เธอรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว แต่เธอไม่เคยพูดให้ลูกสาวของเธอได้รู้
“โรคระบาดเหรอคะ? แล้วหมอหวังเจอปัญหาอะไรไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีรีบถามขึ้นมาทันที
“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วจ๊ะ ยาที่ใช้รักษาโรคได้ถูกพัฒนาขึ้นมาแล้ว” ซงรุ่ยปิงพูด
“ดีจริงๆ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“แล้วหมอหวังก็เป็นคนที่คิดค้นยาตัวนี้ขึ้นมาด้วยนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“หมอหวังเก่งจังเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ใช่จ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
ในตอนที่พวกเธอกำลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีคนเดินเข้ามาหา
“คุณผู้หญิงคะ คุณชายกั๋วมารออยู่ข้างนอกค่ะ” เมดพูด
“ช่วยไปบอกให้เขาเข้ามาทีนะ” ซงรุ่ยปิงพูด
หลังจากนั้นไม่นาน กั๋วเจิ้งเหอก็เดินเข้ามา พร้อมกับรอยยิ้มอันแสนเจิดจ้าที่ราวกับแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลิ ในมือของเขาถือกล่องชาเอาไว้สองกล่อง “คุณน้า เสี่ยวซวี”
“มานั่งก่อนสิจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
พวกเขานั่งอยู่ภายในสวน
“นี่เป็นชาฤดูใบไม้ผลิจากเขตที่ผมทำงานอยู่ครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ถึงมันจะไม่ใช่ชาที่มีชื่อเสียง แต่รสชาติของมันมีความพิเศษมากเลยนะครับ ผมก็เลยเอามาให้คุณน้าลองดื่มดูน่ะครับ”
“ขอบใจนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
ใบชาฤดูใบไม้ผลิควรเก็บก่อนและหลังเทศกาลเช็งเม้ง ในบางที่ที่ทางใต้ อาจจะเก็บเร็วกว่านี้เล็กน้อย
“เสี่ยวซวี ช่วงนี้เธอได้ออกไปเที่ยวข้างนอกบ้างไหม?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“ฉันเพิ่งจะไปเขาเซียงชานมาน่ะ” ซูเสี่ยวซวียิ้ม
“แล้วเธออยากจะไปที่ไหนอีกรึเปล่า?” กั๋วเจิ้งเหอถาม “หลายวันนี้ฉันว่าง เราออกไปเที่ยวด้วยกันเถอะ”
“เอ่อ ตอนนี้ ยังไม่มีที่ที่ฉันอยากจะไปเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ถ้าเธอเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ ก็บอกฉันได้เลยนะ ฉันจะพาเธอไปเอง” กั๋วเจิ้งเหอพูด
ซูเสี่ยวซวียิ้ม ในตอนที่กำลังคุยกันอยู่นั้น พี่ชายของเธอก็มาถึง
“พี่ชาย! เมื่อได้เห็นหน้าพี่ชายของเธอ ก็ดูเหมือนว่า ซูเสี่ยวซวีจะมีความสุขมากเป็นพิเศษ
“ว่าไง เธอเป็นยังไงบ้าง?” ซูจือฉิงให้ความเอ็นดูน้องสาวของตัวเองมาก
“หนูสบายดีค่ะ เมื่อไม่กี่วันก่อน หนูออกไปเที่ยวเขาเซียงชานมาด้วยล่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“แม่ เจิ้งเหอ” ซูจือฉิงพูด
“พี่จือฉิง” กั๋วเจิ้งเหอพยักหน้า
“ทำไมถึงได้กลับมาล่ะจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“มาทำธุระนิดหน่อยน่ะครับ” ซูจือฉิงพูด
กั๋วเจิ้งเหอขอตัวกลับอย่างรู้มารยาท
“เขามาทำอะไรที่นี่เหรอครับ?” ซูจือฉิงถาม
“ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“เรื่องอะไรเหรอครับ?” ซูจือฉิงถาม
“มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้องสาวของลูกยังไงล่ะจ๊ะ!” ซงรุ่ยปิงยิ้ม
“คุณแม่!” ซูเสี่ยวซวีรู้สึกอาย
“เราต้องพิจารณาอย่างดีอยู่แล้ววจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
ซูจือฉิงไม่ได้พูดอะไร เขาพอจะรู้ว่า กั๋วเจิ้งเหอสนใจในตัวน้องสาวของเขา แล้วเขาก็ยังได้ให้คนให้สืบเรื่องของกั๋วเจิ้งเหอมาอย่างลับๆแล้วด้วย และเขาก็ได้ข้อมูลน่าสนใจมาสองอย่าง เรื่องแรก การทำงานของเขายอดเยี่ยมมาก และเขาก็เป็นคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์จับตัวยาก เรื่องที่สอง เขาเชี่ยวชาญในเรื่องของความเจ้าแผนการและคว้าอำนาจไว้ในมือ เล่ห์เหลี่ยมของเขามีมากเกินวัย การมีเล่ห์เหลี่ยมถือเป็นได้ทั้งเรื่องดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน สิ่งสำคัญคือการนำไปใช้
“แล้วน้องคิดว่ายังไง?” เขาถาม
“หนูไม่ชอบเขาค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบโดยไม่ต้องคิด
“ถ้าน้องไม่ชอบเขา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปสนใจ” ซูจือฉิงพูดในทันที เขามีความคิดแบบเดียวกับน้องสาว ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของเธอ
“สมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆนะ!” ซงรุ่ยปิงยิ้มและชี้ไปที่สองพี่น้อง
“เอาล่ะ แม่ยังมีเรื่องที่ต้องไปทำ สองคนก็คุยกันไปแล้วกันนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“พี่ชาย คราวนี้พี่มาทำอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“พี่จะมาคุยเรื่องบางอย่างกับเพื่อนเก่าของพี่สักหน่อยน่ะ โอ้ แล้วพี่ก็จะแวะไปหาหมอหวังด้วย” ซูจือฉิงพูด
“พี่จะไปที่นั่นทำไมเหรอคะ?” เมื่อเขาพูดชื่อหวังเย้าอออกมา ดวงตาของซูเสี่ยวซวีก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
“แน่นอนว่าพี่ก็ต้องไปขอคำปรึกษากับเขาน่ะสิ ทักษะการต่อสู้ของเขาอยู่ในจุดสูงสุด แล้วเขาก็เก่งมากๆเลยด้วย!” ซูจือฉิงที่ได้มีโอกาสได้เห็นความสามารถส่วนหนึ่งของหวังเย้า รู้สึกชื่นชมในความสำเร็จของหวังเย้าอย่างมาก
“แล้วพี่จะไปเมื่อไหร่เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“น้องอยากจะไปด้วยล่ะสิ ใช่ไหม?” ซูจือฉิงรู้ว่า น้องสาวของเขากำลังคิดอะไรอยู่
“แล้วไปได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” ซูจือฉิงพูด “แต่เราต้องรอให้พี่ทำธุระที่ปักกิ่งให้เสร็จก่อนนะ”
กองทัพมีกฎที่เข้มงวดอย่างมาก ทุกคนไม่สามารถเข้าๆออกๆตามใจตัวเองได้
“ถึงเราจะอยากจะไปแค่ไหน แต่หนูกลัวว่าเราจะไปไม่ได้น่ะสิคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“น้องหมายความว่ายังไงเหรอ?” ซูจือฉิงถาม
“หมู่บ้านที่หมอหวังอยู่เกิดโรคระบาดขึ้นค่ะ แต่ตอนนี้ก็อยู่ในการควบคุมแล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูด
ซูจือฉิงตกใจ “แล้วเขาเป็นอะไรไหม?”
“เขาสบายดีค่ะ แล้วเขาก็ยังเป็นคนที่คิดค้นยารักษาขึ้นมาด้วย” ซูเสี่ยวซวีตอบ “พวกผลิตยาออกมาล็อตใหญ่ แต่หมู่บ้านก็ยังต้องอยู่ในการควบคุมอยู่ดี”
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงกัน?” ซูจือฉิงขมวดคิ้ว
ธุระของเขาในครั้งนี้ ก็คือการเดินทางไปที่หมู่บ้านกลางเขา เพื่อเชิญหวังเย้าไปเป็นครูฝึกและสอนการต่อสู้ให้กับทหารในกองทัพ นี่เป็นเรื่องของงานราชและงานหลวงอย่างละครึ่ง แต่เขาไม่คิดเลยว่า มันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้
“เราคงจะต้องยกเลิกแผนนี่ไปก่อนแล้วล่ะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ถ้าครั้งนี้พี่ไปไม่ได้ ยังไงมันก็ต้องมีครั้งหน้าอยู่ดี” ซูจือฉิงพูด
“โอเคค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ถ้าพี่ไปที่นั่นไม่ได้ งั้นพี่ก็จะอยู่กับน้องสาวตัวน้อยที่บ้านก็แล้วกันนะ” เขาพูด “บอกมาสิ ว่าน้องอยากจะไปเที่ยวที่ไหน?”
“ทิวเขาอู่ตัง(บู๊ตึ๊ง)ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“อะไรนะ?” ซูจือฉิงถาม “น้องอยากจะไปที่ไหนนะ?”
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋าค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ความต้องการของเธอทำให้เขารู้สึกมึนงงอย่างมาก “เอาล่ะ ถ้าน้องอยากจะไป พี่ก็จะพาไป”
…
ภายในหมู่บ้านกลางเขา ชาวบ้านยังคงตื่นตระหนก และมีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกคน
หวังเย้าจึงได้โทรหาศาสตราจารย์หวู ในวันเดียวกันนั้นเอง เมื่อตะวันใกล้ตกดิน ยาปริมาณมากก็ถูกส่งมายังหมู่บ้าน เมื่อดูจากจำนวนยาแล้ว มันมากพอที่จะแจกจ่ายให้กับทุกบ้าน ไม่ว่าจะติดเชื้อหรือไม่ ทุกคนต้องรับยาเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน เรื่องนี้ยังทำให้ชาวบ้านรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยอีกด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน เวลาก็ผ่านไปอีกเจ็ดวัน และไม่มีใครในหมู่บ้านติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก
การควบคุมเริ่มผ่อนคลายลง ชาวบ้านได้รับอนุญาตให้เข้าออกหมู่บ้านได้ แต่พวกเขายังต้องลงชื่อเข้าออกอยู่ พวกเขาต้องตอบคำถามถึงสถานที่ที่พวกเขาไปมา เพื่อให้เจ้าหน้าที่จดบันทึกเอาไว้
“เราไม่ได้ไปหาตายายของลูกหลายวันแล้ว แม่เลยอยากจะให้ลูกพาไปหน่อย พวกเขาคงจะกังวลเรื่องพวกเรามากแล้ว” จางซิวหยิงพูด
หวังเย้าขับรถพาพ่อแม่ของเขาไปที่บ้านตายายของเขา คนชราทั้งสองรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าทุกคนยังคงสบายดี
ในตอนเย็น หวังเจียนหลี่ กรรมการหมู่บ้านได้มาที่บ้านของพวกเขา เขาดูท่าทางเศร้าใจอย่างมาก
พวกเขาดื่มชาไปพร้อมกับพูดคุยกันไปด้วย
“ตอนนี้ มีชาวบ้านมาหาฉันกันหลายคนเลยล่ะ” หวังเจียนหลี่จุดบุหรี่
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” หวังเฟิงฮวาถาม
“พวกเขาอยากจะย้ายออกจากหมู่บ้านน่ะสิ” หวังเจียนหลี่พูด
บรรยากาศนิ่งไปครู่หนึ่ง หวังเฟิงฮวาสูดบุหรี่เข้าไปเฮือกใหญ่และพ่นควันออกมา “พวกเขาคงจะกลัวสินะ!”
“ใช่ พวกเขากลัวกันมาก” หวังเจียนหลี่พูด “อพาร์ทเมนต์ของตระกูลซุนก็สร้างขึ้นมาแล้ว คนที่แต่เดิมคิดจะอยู่ที่หมู่บ้านต่อ ตอนนี้ก็มีแผนที่จะย้ายออกกันไปหมด!”
“แล้วจะเหลืออยู่กี่บ้านเหรอ?” หวังเฟิงฮวาถาม
“ก็ประมาณ 30 แต่ก็อาจจะน้อยกว่านั้นก็ได้” หวังเจียนหลี่พูด
“น้อยขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจ
“ใช่น่ะสิ ถ้ามีคนอยู่น้อยขนาดนี้ มันยังจะเรียกว่าหมู่บ้านได้อยู่อีกเหรอ?” หวังเจียนหลี่พูด
เมื่อจำนวนประชากรลดน้อยลง มันก็ไม่สามารถนับเป็นหมู่บ้านได้อีก แล้วหมู่บ้านก็จะค่อยๆถูกลบหายไป นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
601 ต้นสน
หมู่บ้านหลายแห่งในเหลียนชาน มีชาวบ้านส่วนใหญ่อยู่ในวัยประมาณ 50 ปีขึ้นไป มีคนหนุ่มสาวไม่มากนักที่ยินดีจะอาศัยอยู่ในเขตชนบทแบบนี้
“พูดตามตรงนะ ฉันก็คิดเรื่องย้ายออกเหมือนกัน” หลังจากที่เงียบไปสักพัก หวังเจียนหลี่ก็พูดขึ้นมา
“ถ้าพี่ย้ายออกไป แล้วหมู่บ้านจะเป็นยังไง?” จางซิวหยิงถาม
หวังเจียนหลี่เป็นผู้ใหญ่บ้านมา 10 กว่าปี เขาได้รับความไว้วางใจจากทั้งชาวบ้านและหัวหน้า
“ฉันคุยเรื่องนี้กับเมียฉันแล้วล่ะ เราตัดสินใจจะอยู่ที่หมู่บ้านนี้ต่อไป จนกว่าจะมีการสั่งการลงมาว่าให้ทุกคนในหมู่บ้านย้ายออก” หวังเจียนหลี่พูด “แล้วพวกนายล่ะ?”
“เราจะอยู่ที่นี่เหมือนกัน” หวังเฟิงฮวาพูด
เขาได้คุยเรื่องนี้กับจางซิวหยิงแล้ว พวกเขาจะไม่ไปไหน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นครอบครัวเดียวที่เหลืออยู่ในหมู่บ้านนี้ก็ตาม
“ดี” หวังเจียนหลี่พูดด้วยรอยยิ้ม
เขาพยายามดึงชาวบ้านให้อยู่ต่อให้มากที่สุดเท่าที่เขาพอจะทำได้ เพราะถึงยังไง หมู่บ้านก็ยังคงอยู่ พวกเขาอยู่ที่นี่มานานหลายสิบปี และพวกเขาก็ไม่อยากจากไปไหน
หวังเจียนหลี่อยู่คุยกับหวังเฟิงฮวาและจางซิวหยิงเป็นเวลานาน
สองสามวันมานี้ เขาไปเยี่ยมมาแล้วหลายบ้าน และเขาได้เริ่มจากบ้านที่มีอิทธิพลกับชาวบ้านมากที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก
“หลังผ่านเรื่องนี้ไป คงจะมีชาวบ้านไม่กี่คนที่จะอยู่ที่นี่ต่อ” จางซิวหยิงพูด
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้น” หวังเฟิงฮวาพูด
หวังเย้าเอาแต่เงียบ ความจริงแล้ว เขาชอบที่จะมีคนอยู่รอบๆน้อยลงมากกว่า เพราะมันหมายถึงปัญหาที่น้อยลงไปด้วย แต่แน่นอนว่า เขาไม่สามารถปล่อยให้พ่อแม่ของเขารู้เรื่องนี้ได้
เขาออกจากบ้านไปตอนสามทุ่ม และเดินกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน ภายในหมู่บ้านเงียบสงัด เขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเห่าของสุนัข ชาวบ้านหลายคนจัดการกับสุนัขที่พวกเขาเลี้ยงเอาไว้ เพราะไม่มีใครอยากติดเชื้อ
เฮ้อ! เมื่อเดินไปถึงใต้สุดของหมู่บ้าน หวังเย้าก็หันกลับไปดูหมู่บ้านที่อยู่เบื้องหลังของเขา
บรรยากาศภายในหมู่บ้านได้เปลี่ยนไป ทั้งหมดให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
เช้าวันต่อมา มีแขกมาที่คลินิกของหวังเย้า เมื่อการกักบริเวณหมู่บ้านผ่อนคลายลง พันจวินก็ตัดสินใจมาเยี่ยมเขา
“สวัสดี อาจารย์” พันจวินพูด
“วันนี้ ไม่ทำงานเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ได้ทำ” พันจวินตอบ “วันนี้ อาจารย์ว่างไหม?”
“ว่างครับ นั่งก่อนสิ” หวังเย้าพูด
“ฉันได้ยินมาว่า อาจารย์คือคนที่คิดค้นยารักษาโรคระบาดขึ้นมา” พันจวินพูด
ทุกคนที่อยู่ในโรงพยาบาลต่างก็พากันพูดถึงเรื่องโรคระบาดที่เกิดขึ้น ตัวหลักของเรื่องนี้ก็คือ ศาสตราจารย์หวูจากปักกิ่ง แต่สิ่งที่คนมุ่งเป้าความสนใจมากที่สุดก็คือเรื่องของการรักษา
“ใช่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“อาจารย์สุดยอดไปเลย” พันจวินพูดออกมาจากใจจริง
“ไม่ขนาดนั้นหรอก ผมก็แค่โชคดีเท่านั้นเอง” หวังเย้าพูด
พันจวินบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลเหลียนชาน มีหมอสองสามคนที่ติดเชื้อจากโรคระบาดในครั้งนี้ โชคดีที่สามารถรักษาให้หายได้ ถึงแม้พวกเขาจะหายดีแล้ว แต่หมอเหล่านั้นก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่หาย
หวังหมิงเปาเดินทางมาถึง ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่
“ว่าไง ทั้งสองคน! ในที่สุดฉันก็มาที่นี่ได้สักที” หวังหมิงเปาพูด
พักหลังมานี้ เขาโทรหาหวังเย้าเกือบทุกวัน เพราะเขารู้สึกเป็นห่วงหมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดของเขาเอง
“นายยังโอเคอยู่ไหม?” หวังหมิงเปาถาม
“ฉันสบายดี เราทุกคนสบายดี” หวังเย้าพูด
“ตอนมาที่นี่ ฉันเจอชาวบ้านตั้งหลายคนแน่ะ พวกเขาบอกฉันมาว่า มีชาวบ้านหลายคนที่กำลังจะย้ายออกด้วยล่ะ” หวังหมิงเปาพูด
“ที่พวกเขาบอกเป็นเรื่องจริง” หวังเย้าพูด
“ทำไมพวกเขาจะต้องย้ายออกด้วยล่ะ?” หวังหมิงเปาถาม “ฉันว่า หมู่บ้านของเราน่าอยู่มากเลยนะ”
หวังเย้าไม่ได้เล่าลงรายละเอียดมากนัก แล้วเขาก็ไม่ได้ชวนพันจวินและหวังหมิงเปาทานอาหารกลางวันด้วยกัน หวังหมิงเปาจึงแวะไปที่บ้านปู่ย่าของเขา
ในตอนกลางวัน หวังเย้าขึ้นไปบนเนินเขาซีชานเพียงลำพัง บรรยากาศโดยรอบหลุมยังคงความกดดันเอาไว้อยู่ ซึ่งมันก็ไม่ได้มากเท่าแต่ก่อนแล้ว แต่ความอันตรายยังคงซ่อนตัวอยู่ที่นี่
ฉันต้องหาคำตอบของเรื่องนี้ให้ได้
ภายในบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้าน เฉินโจวรู้สึกไม่ค่อยสบายขึ้นมา
“โอ๊ย!” เขาเอามือสองข้างกุมศีรษะเอาไว้ อยู่ๆเขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา “พี่!”
“มีอะไร?” เฉินหยิงถาม
“ผมปวดหัว” เฉินโจวพูด
“ปวดมากไหม?” เฉินหยิงถาม
“ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย” เฉินโจวพูด “พี่บอกให้หมอหวังมาที่นี่หน่อยได้ไหม?”
หวังเย้ากำลังเดินอยู่บนเนินเขาซีชาน เขากำลังคิดวางแผนที่จะทำอะไรบางอย่างกับสถานที่แห่งความตายนี้ เขาคิดหาวิธีการมากมายหลายอย่างเพื่อแก้ไขความผิดปกติของมัน แล้วอยู่ๆมือถือของเขาก็ส่งเสียงดังขึ้นมา
“ฮัลโหล พี่เฉินหยิง” หวังเย้าพูด
“น้องชายของฉันมีอาการปวดหัวค่ะ เขาบอกว่า เขากลัวว่าอาการของเขาจะกำเริบขึ้นมาอีก” เฉินหยิงพูด
“โอเค ผมจะไปเดี๋ยวนี้เลยครับ” หวังเย้าพูด
เขาลงไปจากเนินเขาซีชานด้วยความรีบร้อน เพียงกระโดดแค่ไม่กี่ครั้ง เขาก็ไปถึงที่ตีนเขาแล้ว และไม่นาน เขาก็มาถึงบ้านที่เฉินหยิงและเฉินโจวเช่าอยู่
“เธอรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม
“ผมปวดหัวครับ” เฉินโจวพูด
“ฉันขอตรวจดูหน่อยนะ” หวังเย้าจับชีพจรของเฉินโจว “หืม?”
หวังเย้าถอนหายใจออกมา
“เขาเป็นอะไรไปเหรอคะ?” เฉินหยิงถามด้วยความกังวล
“ไม่ต้องห่วงครับ” หวังเย้าพูด
เส้นเลือดของเฉินโจวเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง เขาค้นพบปัญหานี้ตั้งแต่ที่พวกเขาทั้งหมดอยู่ที่ปักกิ่งแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถหาสาเหตุของเรื่องนี้พบ แล้วในตอนนี้ ปัญหานี้ก็กลับมาอีกครั้ง
หวังเย้าเฝ้าสังเกตเส้นเลือดในบริเวณศีรษะของเฉินโจว มันยังคงเคลื่อนย้ายตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา
“เจ็บรึเปล่า?” หวังเย้าถาม
“ครับ” เฉินโจวพูด
“อดทนหน่อยนะ” หวังเย้าพูด
“โอเคครับ” เฉินโจวพูด เขากัดฟันเอาไว้ และมีเหงื่อไหลซึมออกมา
เวลาเลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า เฉินหยิงรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก
การเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือดยังคงดำเนินต่อไป มันเป็นเหมือนกันกระดาษที่ถูกตัดด้วยกรรไกร แล้วอยู่ๆการเคลื่อนย้ายก็หยุดลง เหมือนกับคนที่กำลังไถนาแต่ต้องสะดุดเพราะก้อนหินที่ฝังอยู่ในดิน
บางอย่างแปลกๆได้เกิดขึ้น เมื่อการเคลื่อนย้ายไม่ประสบผลสำเร็จ เส้นเลือดเหล่านั้นก็เริ่มมีการเคลื่อนย้ายกลับไปยังจดเดิมของมัน ขั้นตอนนี้ได้สร้างความเจ็บปวดอย่างมาก มันคล้ายกับมีไส้เดือนกำลังชอนไชอยู่ภายในศีรษะของเฉินโจว
เฉินโจวพยายามอดทนกับความเจ็บปวดอย่างสุดความสามารถ เขากัดฟันแน่น
หลังจากเส้นเลือดกลับสู่จุดเดิมแล้ว ความเจ็บปวดก็จางหายไป
“เฮ้อ!” เฉินโจวพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เสื้อผ้าของเขาเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
“หายเจ็บแล้วใช่ไหม?” หวังเย้าถาม
“ใช่ครับ” เฉินโจวพูด
“ตอนนี้ เธอน่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว” หวังเย้าพูด
“เมื่อกี้ เกิดอะไรขึ้นกับเขาเหรอคะ?” เฉินหยิงถามด้วยความเป็นห่วง
“เส้นเลือดในหัวของเขาพยายามจะย้ายที่ด้วยตัวของมันเองครับ ผมคิดว่า นี่น่าจะเป็นสาเหตุของอาการน้องชายของพี่” หวังเย้าพูด “พี่ไม่ต้องกังวลจนเกินไปหรอกนะครับ ตอนนี้ เส้นเลือดได้เคลื่อนกลับไปที่จุดเดิมแล้ว”
“หมอหมายถึง มันเคลื่อนไหวด้วยตัวของมันเองเหรอคะ?” เฉินหยิงถาม
“ใช่แล้วครับ” หวังเย้าพูด เขาก็รู้สึกประหลาดใจกับอาการของเฉินโจวเช่นเดียวกัน
“มันจะเกิดขึ้นกับเสี่ยวโจวอีกไหมคะ?” เฉินหยิงถาม เธอคิดว่า น้องชายของเธอหายดีแล้ว ดังนั้น เธอจึงไม่คิดว่าอาการจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง
“เรื่องนี้ก็พูดยากนะครับ” หวังเย้าพูด “ผมคิดว่า การที่เส้นเลือดสามารถเคลื่อนกลับไปที่จุดเดิมของมันได้ เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งนะครับ”
“พี่อย่าคิดมากเลย” เฉินโจวพยายามปลอบพี่สาวของเขา “ตอนนี้ ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะ”
“จริงครับ อย่าคิดมากเลย ระยะห่างของเวลาที่อาการของเขากำเริบขึ้นมาก็เพิ่มขึ้นมากแล้ว” หวังเย้าพูด
“ก็ได้ค่ะ ยังไงเราก็ยังอยู่ที่นี่อีกสักพัก ขอโทษที่รบกวนนะคะ” เฉินหยิงพูด
“ยินดีที่ทั้งสองมาอยู่ที่นี่นะครับ” หวังเย้าพูด
เขาอยู่ที่บ้านเช่าของเฉินหยิงและเฉินโจวต่ออีกหลายชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่าเฉินโจวปลอดภัยดีแล้ว ก่อนที่เขาจะกลับไปที่เนินเขาซีชาน เขามองดูสถานที่แห่งนี้อย่างถี่ถ้วน ก่อนที่เขาจะกลับไปที่บ้าน
หลังมื้อเย็น หวังเย้าก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน กว่าเขาจะเข้านอนก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว
หวังเย้าตื่นขึ้นมาในเช้าตรู่ของวันถัดไป
“ซานเซียน มากับฉัน” หวังเย้าพูด
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนมีความสุขที่เจ้านายต้องการตัวมัน
หนึ่งคนและสุนัขหนึ่งตัวเดินไปตามเส้นทางจากทิศตะวันตกไปยังทิศเหนือ หวังเย้าเดินอย่างรวดเร็ว ทางเดินที่ขรุขระไม่ได้ทำให้ความเร็วของเขาลดลงเลย ซานเซียนก็ตามเขาไปติดๆ การกระโดดเพียงครั้งเดียว ซานเซียนและหวังเย้าก็พุ่งไปได้ไกลหลายเมตร ซานเซียนดูมีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งดูคล้ายสิงโตเข้าไปทุกที
ไม่นาน ชายหนุ่มและสุนัขของเขาก็เดินทางไปถึงหนึ่งในหลุมที่ปกคลุมไปด้วยปูนขาว
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!
เห็นได้ชัดว่า ซานเซียนไม่คิดว่า เจ้านายของมันจะพามันมาที่นี่อีกครั้ง สถานที่แห่งนี้ทำให้มันรู้สึกไม่ดี
“ไม่ต้องห่วงนะ ซานเซียน” หวังเย้าลูบศีรษะของมันอย่างอ่อนโยน “นายคิดว่า ที่นี่มีปัญหาอยู่ใช่ไหม?”
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนแสดงท่าทีบอกกับหวังเย้าว่า เขาถามมันในสิ่งที่ไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว
“เราไปดูอีกหลุมกันดีกว่า” หวังเย้าพูด
สุนัขหนึ่งตัวและชายหนุ่มหนึ่งคนพากันเดินไปตามพื้นที่แห่งความตายทั่วเนินเขาซีชาน แล้วหวังเย้าก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงเห่าออกมาอย่างดุร้าย มันรู้สึกกระวนกระวายและเริ่มเดินวนเป็นวงกลม
“มีบางอย่างผิดปกติเหรอ?” หวังเย้าถาม “หินก้อนนี้ใช่ไหมที่มีปัญหาน่ะ?”
เขาเดินตรงไปที่ก้อนหิน
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงเห่าดังขึ้นกว่าเดิม ราวกับว่า มันกำลังพยายามเตือนไม่ให้หวังเย้าเดินเข้าไปใกล้หินก้อนนั้น ซึ่งอาจจะมีอันตรายพอๆกับระเบิดลูกใหญ่
602 อาศัยอยู่ร่วมกับหนู
เขามองดูก้อนหินและยื่นมือออกไปผลักมันดู เขากลั้นหายใจและจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำอยู่
หืม?
หวังเย้ารู้สึกว่า หินก้อนนี้คล้ายกับกำลังสั่นไหวอยู่เบาๆ
มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?
มีบางอย่างอยู่ข้างในนี้! มันคืออะไรกัน? หรือจะลองทำลายมันดู?
ในตอนนี้ แม้แต่เหล็ก หวังเย้าก็สามารถทำลายจนแหลกละเอียดได้ ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงหินก้อนนี้เลย
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนที่อยู่ด้านหลังเขา เอาแต่เห่าด้วยอาการอยู่ไม่เป็นสุข
เดี๋ยวนะ! อะไรที่อาจจะอยู่ในหินก้อนนี้กันล่ะ? กบ, งู, หนู, หรือสัตว์อะไรที่กำลังจำศีลอยู่ในนั้น? ถ้าเกิดหินแตกออก แล้วฉันจะทำยังไง ถ้าพวกมันพากันออกมาเป็นฝูง?
หวังเย้าตัดสินใจจากไป ซานเซียนเดินตามหลังเขาไป หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับมาพร้อมกับถังน้ำที่ใส่แอลกอฮอลอยู่จนเต็ม
“ซานเซียน ถอยออกไป” หวังเย้าพูด
ซานเซียนเห็นท่าทางของหวังเย้า แล้วมันก็ได้ถอยออกไป
หวังเย้ายื่นมือออกไปกดก้อนหิน แล้วปลดปล่อยพลังออกมาบางเบา แคร๊ก! มีเสียงปริแตกดังออกมาจาก้อนหิน มันแตกออกและล้มลงไปนอนกับพื้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาส่งพลังเข้าไปอีก แล้วหินก็แตกออกอย่างช้าๆ
อยู่ๆเขาก็หยุดมือ เขามองเห็นไส้เดือนที่มีขนาดพอๆกับตั๊กแตน ร่างทั้งร่างของมันถูกปกคลุมด้วยกระดองสีดำและมีขาที่แหลมคม มันมีกรงเล็บขนาดใหญ่ที่ยืนออกมาจากร่างกายอยู่หนึ่งคู่ และมีเดือยแหลมที่ดูคล้ายกับเหล็กในของผึ้ง เขาไม่รู้เลยว่ามันคือตัวอะไรกันแน่
หวังเย้ารู้สึกตกใจ เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านกลางเขาแห่งนี้มานานหลายปี และไปมาแทบทุกซอกมุมของเนินเขาในแถบนี้ แต่เขาก็ไม่เคยพบเห็นแมลงแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
ไส้เดือนดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอก และสิ่งมีชีวิตแปลกที่อยู่ไม่ไกลจากตัวมัน มันคลานตรงไปหาหวังเย้าด้วยความรวดเร็ว และพยายามจะต่อยเขา
“น่าสนใจจริงๆ!” หวังเย้าบีบร่างของมัน แล้วไส้เดือนก็แหลกเหลว
เขาลงมือทำลายก้อนหินต่อไป โครงสร้างภายในหินดูคล้ายกับรังผึ้ง มีแมลงจำนวนมากไต่ออกมาจากรูพวกนั้น
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนเห่าไม่หยุดและวิ่งเข้ามา
“กลับไป ซานเซียน!” หวังเย้าตะโกน
เขาสะบัดมือ แล้วแมลงส่วนหนึ่งก็เข้าไปอยู่ในขวดกระเบื้อง เขาเปิดฝาถังที่ใส่แอลกอฮอลเอาไว้ แล้วเทมันลงไปในสิ่งที่ดูคล้ายกับรังผึ้ง จากนั้น เขาก็จุดไฟเผา
ฟูม! เปลวไฟลุกลามอย่างรวดเร็วและเกิดเสียงดังคล้ายกับเสียงไข่ที่กำลังถูกทอดอยู่ มีกลิ่นเหม็นฉุนลอยออก
พวกมันเป็นแมลงชนิดไหนกัน? ทำไมพวกมันถึงมาอยู่ในก้อนหิน แล้วพวกมันมาจากไหน?
ในเวลานี้เอง มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของหวังเย้า เขาสามารถบอกได้แค่ว่า แมลงพวกนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคระบาดที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เขาจำเป็นต้องถอนรากถอนโคนแมลงร้ายเหล่านี้ให้หมดไป
เปรี้ยง!
หวังเย้าชกไปที่ก้อนหินที่กำลังถูกไฟเผาอยู่ แคร๊ก! หินแตกออกราวกับน้ำตาลก้อน มีแมลงร่วงหล่นออกมาจากด้านในอีกเป็นจำนวนมาก เปลวไฟยังคงลุกไหม้ต่อไป เขานำแอลกอฮอลเทลงไปอีก เสียงปริแตกยังคงดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
แล้วอยู่ๆก็มีหนูตัวหนึ่งวิ่งออกมา เขายื่นมือออกไปจับหนูตัวนั้นขึ้นมา เขาจับมันเอาไว้ในมือ ขนทั่วร่างของมันเป็นสีดำ มันพยายามกัดมือหวังเย้า แต่กลับกลายเป็นฟันหน้าสองซี่ของมันที่ได้รับความเสียหายแทน
ลอย! หวังเย้างอนิ้วมือของเขาเพื่อกดไปที่ตัวหนู
แคร๊ก! แคร๊ก! ขาทั้งสองข้างของมันถูกหัก
“ซานเซียน เฝ้ามันเอาไว้ ถ้ามันคิดจะหนี ก็ฆ่ามันซะ!” หวังเย้าโยนตัวหนูลงไปที่พื้น แล้วหันไปสนใจกับไส้เดือนต่อ
ดูเหมือนแอลกอฮอลจะไม่พอ เขาจึงไปเก็บฟืนจากในป่าที่อยู่ไม่ไกลและดึงต้นสนต้นหนึ่งมาด้วย ในที่สุด เขาก็จัดการทำลายก้อนหินทั้งก้อนและฆ่าไส้เดือนไปจนนับไม่ถ้วน
ใต้หินก้อนนี้ มีรูไส้เดือนและรูหนูซ่อนตัวอยู่ หวังเย้าไม่เข้าใจว่า ทำไมหนูถึงมาอาศัยอยู่กับแมลงพวกนี้ได้ ไว้เขาค่อยคิดเรื่องนี้ทีหลัง สำหรับตอนนี้ เขาต้องรู้จำนวนของแมลงที่อยู่ในรูและขนาดของโพรงที่พวกมันอาศัยอยู่ เขาเริ่มลงมือขุดรูไส้เดือน เขาทำอย่างช้าๆ ถึงแม้ว่าเขาจะทำได้เร็วกว่านี้ก็ตาม
หลังจากที่ขุดไปได้ประมาณ 1 เมตร เขาก็พอจะกะขนาดของโพรงได้แล้ว ถึงเขาจะจัดการๆไส้เดือนไปจนหมดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่วางใจ ความกังวลของเขายังเพิ่มขึ้นอีกด้วย
แล้วที่อื่นล่ะ?
แล้วเขาก็ตัดสินใจในทันที เขามุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งความตายที่ใกล้ที่สุดและลงมือขุดหลุมลงไป มันไม่มีรูไส้เดือนอยู่ในบริเวณนี้ แต่มีรูหนูอยู่หลายรู เขาไปตามจุดอื่นๆและพบเรื่องแบบเดียวกัน
หนู? โรคระบาด? ตัวแปร! แล้วแมลงพวกนั้นล่ะ? พวกมันกินอะไร?
หวังเย้าเดินออกมาจากเนินเขาซีชานพร้อมกับความสงสัย
“ซานเซียนกลับไปก่อนนะ ระวังตัวด้วยล่ะ” หวังเย้าพูด
ซานเซียนกลับไปที่เนินเขาหนานชาน
“ลูกกังวลเรื่องอะไรอยู่เหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงสังเกตเห็นลูกชายที่ดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในระหว่างที่พวกเขากำลังทานอาหารเย็นกันอยู่
“ครับ มีเรื่องที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนิดหน่อยน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“กินข้าวก่อนแล้วค่อยคิดดีกว่านะ” จางซิวหยิงพูด
ในตอนที่กำลังทานอาหารอยู่นั้น หวังเย้าก็ยังคงคิดถึงแต่เรื่องนี้ เขารีบกินอย่างรวดเร็ว จากนั้น เขากลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานในทันที
“ลูกเราเป็นอะไรไปน่ะ?” จางซิวหยิงถาม “เขาดูกังวลมากเลยนะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ปล่อยเขาไปเถอะ” หวังเฟิงฮวาพูด
“นี่ ไม่คิดจะถามเขาสักหน่อยเลยเหรอไง” จางซิวหยิงพูด
หวังเย้ารีบร้อนกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน แมลงที่เขาจับมาจากเนินเขาซีชานถูกใส่ลงไปในขวดแก้วเพื่อให้สามารถมองเห็นการกระทำของมันได้อย่างชัดเจน แมลงมีท่าทีปั่นป่วนและคลั่ง
“พวกมันกินอะไร?” หวังเย้าโยนใบของต้นพืชชนิดหนึ่งลงไปในขวด แมลงไม่มีปฏิกิริยาใดๆกับใบไม้เลยสักนิด พวกเขาทำเพียงพยายามปีนขึ้นลงอยู่ภายในขวดแก้วเท่านั้น
จากนั้น หวังเย้าก็นำเนื้อชิ้นเล็กๆใส่ลงไป แมลงทั้งหมดก็พุ่งตัวเข้าหาชิ้นเนื้อและกินเข้าไปทันที
หวังเย้าขมวดคิ้ว กินเนื้อเหรอ? แล้วทำไมฉันไม่เห็นอะไรในโพรงสักอย่างเลยล่ะ?
พวกมันกินหมดอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาสั้นๆ ชิ้นเนื้อก็หายไปจนหมด
หวังเย้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาหยิบหญ้าพิษออกมาจากช่องเก็บของของระบบและใส่มันลงไปในขวดแก้ว แมลงทั้งหมดเริ่มมีอาการตื่นตระหนก ราวกับว่า พวกมันได้พบกับศัตรูทางธรรมชาติของพวกมัน
พวกมันกลัวสิ่งนี้!
จากนั้น หวังเย้าก็หากระดูกมาชิ้นหนึ่งและใส่ลงไปในขวดแก้ว แมลงเข้าไปกัดกินกระดูกด้วยความเร็วสูง
ในที่สุด เขาก็โยนร่างของหนูที่กำลังจะตายลงไป แล้วเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น แมลงกลับไม่เข้าไปกินหนูตัวนั้น
ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ? หวังเย้ารู้สึกแปลกใจ พวกมันไม่กินสิ่งมีชีวิตเหรอ? นั่นมันไม่ถูกต้อง จะต้องมีบางอย่างในตัวหนูที่ทำให้แมลงพวกนี้ไม่กล้ากินมันอยู่แน่ๆ!
เพื่อเป็นการยืนยันเรื่องนี้ หวังเย้าจึงรีบลงไปจากเขาและกลับไปที่บ้าน
“อะไรนะ? กระต่ายเหรอ?” หลังจากที่ได้ยินความต้องการของลูกชาย จางซิวหยิงก็รู้สึกงุนงง ลูกจะเอาไปทำอะไรเหรอจ๊ะ?”
“ผมจะเอาไปทำการทดลองน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“ทดลองเหรอ?” ถึงเธอจะไม่รู้ว่าการทดลองคืออะไร แต่จางซิวหยิงก็ยังคงสนับสนุนลูกชายของเธอ “งั้นรอเดี๋ยวนะ แม่จะลองไปถามดูก่อน”
“จะกระต่ายหรือไก่ก็ได้ทั้งนั้นครับ” หวังเย้าพูด
“ตอนนี้ ชาวบ้านพากันฆ่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขาไปก็เยอะ” จางซิวหยิงพูด
“แม่ไม่ต้องรีบมากก็ได้ครับ ผมจะลองออกไปหาซื้อข้างนอกดู” หวังเย้าพูด
เขาขับรถเข้าไปในตัวเมืองและซื้อไก่กับกระต่ายมาหลายตัว จากนั้น ก็ขับรถกลับมาที่บ้าน
“แม่ครับ ตอนนี้ แม่ช่วยเลี้ยงพวกมันไว้ก่อนได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ลูก ทำไมถึงซื้อพวกมันมาเยอะขนาดนี้ล่ะ? ดูสิ ตัวนี้ก็ดูป่วย ตัวนี้ก็ด้วย ลูกไม่ดูให้ดีดีตอนซื้อล่ะสิ พวกมันอยู่ได้ไม่นานหรอกนะ” จางซิวหยิงบ่น
หวังเย้าซื้อพวกมันมาแบบสุ่มๆ แต่เขาก็ซื้อพวกมันมาเพื่อทำการทดลองเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะนำพวกมันมาเลี้ยงเพื่อเอาไข่หรือกินเนื้อ
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน เขาวางไก่ตัวหนึ่งลงไปในขวดแก้วที่มีแมลงอยู่ในนั้น ซึ่งท่าทางของพวกมันดูตื่นเต้นอย่างมาก ราวกับได้พบเพื่อนใหม่ พวกเขาพุ่งตัวเข้าไปหาไก่ ซึ่งต่างจากตอนพวกมันเห็นหนูที่ใกล้ตายตัวนั้นมาก
หนูตัวนั้นมีบางอย่างอยู่จริงๆด้วย!
ต่อมา เขาก็ต้องมาดูว่า แมลงและหนูมีโรคระบาดอยู่ในตัวหรือไม่ หวังเย้าไม่สามารถทำที่ไหนก็ได้ เพราะเรื่องนี้มันค่อนข้างเสี่ยง
603 ยืมมือคนนอก
เขาไม่มีเครื่องมือที่สามารถทดสอบได้ว่า แมลงเหล่านี้มีเชื้อร้ายที่เป็นสาเหตุของโรคระบาดเขาจำเป็นต้องหาวิธีอื่นในการทดสอบ
ใช่แล้ว!
เขาปล่อยให้แมลงกัดไก่ตัวตัวนั้น จากนั้น เขาก็แยกตัวไก่ออกมาไว้ในกรงเพื่อทำการสังเกต หลังจากนั้นสักพัก ไก่ก็ตายลง หวังเย้าไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะไก่ตัวนี้ป่วยอยู่แล้วหรือว่ามันกลัวเกินไป ดังนั้น เขาจึงจับไก่มาอีกตัวหนึ่ง
หลังจากที่ถูกแมลงกัด ไก่ที่ถูกแยกออกมาไว้อีกรงก็เริ่มมีอาการสั่นเทา สภาพของมันดูน่าสงสารมาก
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนเริ่มส่งเสียงเห่าออกมา
“โอเค โอเค ฉันรู้แล้ว” หวังเย้าลูบศีรษะของมันด้วยรอยยิ้ม
ซานเซียนดูเหมือนจะห่วงใยสัตว์ตัวเล็กๆเหล่านี้อย่างมาก
ในคืนนั้น อยู่ๆซานเซียนก็ส่งเสียงเห่าขึ้นมา หวังเย้าจึงเดินออกมาดู แล้วเขาก็พบว่า ไก่ที่อยู่ในกรงได้ตายลง
โอ้ ไม่นะ! เขาล้มเหลวอีกแล้ว
หวังเย้ากลับเข้าไปในกระท่อมเพื่อคิดถึงสิ่งที่จะทำต่อไป ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจยืมมือคนนอก
ในเช้าของอีกวัน เขาก็โทรไปหาศาสตราจารย์หวูเพื่อบอกความคิดของเขา
“โอเค รอก่อนนะ ฉันจะเดินทางไปที่หมู่บ้านของเธอให้เร็วที่สุด” หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง ศาสตราจารย์หวูก็พูดออกมา
เขาหยุดงานที่เขากำลังทำอยู่และมุ่งหน้าสู่เหลียนชาน พร้อมกับผู้ช่วยหนึ่งคนด้วยความเร่งรีบ
หวังเย้ายืนมองเนินเขาซีชานจากยอดเขาหนานชาน
อันตรายยังคงอยู่ มันสามารถเป็นอันตรายกับหมู่บ้านได้ตลอดเวลา หวังเย้าถึงขั้นคิดที่จะทำลายเนินเขาซีชานทั้งหมดลง หรือฉันจะเผามันดี?
การกักตัวได้สิ้นสุดลง แล้วชีวิตของชาวบ้านก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ชาวบ้านดูจะโล่งใจกับเรื่องนี้
ในเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ชาวบ้านถูกบังคับในอยู่ในหมู่บ้านและเฝ้ารอความตายที่คืบคลานเข้ามา ความกดดันของพวกเขาเข้าใกล้จุดแตกหัก แล้วอยู่ๆทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง มันทำให้พวกเขาได้รู้ว่า พวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างคนปกติมานานมากแล้ว
ดังนั้น ชาวบ้านหลายๆคนจึงพากันออกไปนอกหมู่บ้าน พวกเขาเข้าไปในตัวเมืองหรือไม่ก็ไปที่ห่ายชิว ไม่ใช่เพราะพวกเขามีธุระต้องไปจัดการ แต่เป็นเพราะพวกเขาอยากจะออกไปจากหมู่บ้านเพื่อสนุกไปกับอิสรภาพที่ได้รับ
ซุนหยุนเชิงเดินทางมาที่หมู่บ้านในตอนกลางวัน เขาน้ำหนักลดลงไปหลายกิโล
“พอน้ำหนักลดลง นายก็ดูกระฉับกระเฉงขึ้นนะ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณ ช่วงนี้ผมงานยุ่งมากเลยน่ะ” ซุนหยุนเชิงพูด
เขามีปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อนให้ต้องจัดการ และยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังแก้ไขไม่ได้ เขาเจียดเวลาไม่กี่ชั่วโมงเพื่อเดินทางมาที่หมู่บ้าน เพราะเรื่องโรคระบาดที่เพิ่งจบไป เขาโทรหาหวังเย้าแล้วเมื่อหลายวันก่อน และหวังเย้าก็ได้บอกกับเขาว่า การกักตัวได้สิ้นสุดลงแล้ว
“ไม่ว่าจะงานยุ่งแค่ไหน ก็ต้องดูแลสุขภาพของตัวเองด้วยนะ” หวังเย้าพูด
เขาดูออกว่า ซุนหยุนเชิงไม่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ
“อืม” ซุนหยุนเชิงพูด
“ดื่มชาสักหน่อยนะ” หวังเย้าพูด เขาชงชาอย่างดีมาให้ซุนหยุนเชิงดื่ม
ทันทีที่เขาได้เข้ามานั่งในคลินิกของหวังเย้า ซุนหยุนเชิงก็รู้สึกผ่อนคลายและสงบลงมาก เขาหยุดคิดเรื่องงานที่สร้างความปวดหัวให้กับเขาไปชั่วครู่ เขามีความสุขไปกับการได้พูดคุยและดื่มชากับหวังเย้า
“ผมอิจฉาชีวิตของคุณจริงๆ” ซุนหยุนเชิงพูด
“เป้าหมายในชีวิตของเราไม่เหมือนกันยังไงล่ะ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
บางคนอยากจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสัน ได้สวมใส่เสื้อผ้าหรูหราและกินอาหารชั้นเลิศ ส่วนบางคนก็ชอบที่ใช้ชีวิตที่เงียบและสงบสุข ต่างคนต่างวิถีชีวิต และนำไปสู่ระดับความกดดันที่ต่างกันด้วย
“ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะทำได้ ก็บอกได้เลยนะ ผมยินดีช่วย” หวังเย้าพูด
“โอเค” ซุนหยุนเชิงพูด เขารู้ว่า หวังเย้าเป็นคนรักษาคำพูด
เขาอยู่ที่คลินิกไปจนกระทั่งบ่ายแก่ๆ เขาไม่อยากจะออกไปจากหมู่บ้าน และอยากจะอยู่ที่นี่ต่ออีกหลายวัน
“แล้วเรื่องการก่อสร้างอพาร์ทเมนต์ในตัวเมืองเหลียนชานเสร็จเรียบร้อยแล้วนะครับ” ซุนหยุนเชิงพูดขึ้นมา ก่อนที่เขาจะกลับไป
“อ่อ ขอบคุณที่บอกนะ” หวังเย้าพูด
“ผมเดาว่า หลังจากนี้คงจะมีคนอยู่ที่นี่ไม่มากแล้ว” ซุนหยุนเชิงพูด
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้น” หวังเย้าพูด
ซุนหยุนเชิงบอกกับหวังเย้าว่า บ้านที่ถูกนำมาแลกเปลี่ยนกับอพาร์ทเมนต์ใหม่นั้นแทบจะไร้ประโยชน์ เขายินดีที่หวังเย้าจะเป็นคนดูแลจัดการบ้านเหล่านั้นทั้งหมด
หวังเย้าทำแค่ยิ้มให้เท่านั้น เขาจะเอาบ้านเก่าๆพวกนี้ไปทำอะไรได้? เขาแค่ต้องการบ้านเพียงหลังเดียวเท่านั้น มูลค่าของบ้านเก่าในหมู่บ้านจะไม่มีการเพิ่มขึ้น และเขาก็ไม่ได้ขาดเงินด้วย
“ขอบคุณ แต่ผมไม่ต้องการบ้านพวกนั้นหรอก” หวังเย้าพูด
“เฮ้อ!” ซุนหยุนเชิงถอนหายใจ
ทันทีที่เขากลับขึ้นไปนั่งบนรถเพื่อจะขับออกไป ซุนหยุนเชิงก็รู้สึกถึงความกดดันที่ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง มันหล่นทับลงบนไหล่ทั้งสองของเขา เขายังต้องทำงานต่อไป และเขาก็เลือกไม่ได้ด้วย
ในตอนเย็น จางซิวหยิงถามหวังเย้าเกี่ยวกับอพาร์ทเมนต์ในตัวเมือง “แม่ได้ยินว่า เขาสร้างอพาร์ทเมนต์เสร็จแล้ว”
“ใช่ครับ ซุนหยุนเชิงแวะมาเยี่ยมผมตอนเช้า ตอนนี้ พวกเขาเริ่มส่งมอบกุญแจให้กับผู้อยู่ศัยแล้ว” หวังเย้าพูด
“ตอนที่แม่ออกไปนอกบ้านตอนเช้า แม่ได้ยินคนพูดเรื่องนี้กันเยอะเลยล่ะ บางคนก็ทำเรื่องเอกสารเสร็จแล้วด้วย” จางซิวหยิงพูด
“พวกเขาคงจะรอกันไม่ไหวแล้วละมั้งครับ” หวังเย้าพูด
ถ้าหากไม่เกิดเรื่องโรคระบาดขึ้น ชาวบ้านก็คงจะไม่รีบร้อนย้ายออกกันแบบนี้
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น” จางซิวหยิงพูด
“ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราอยู่แล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด
เนินเขาหนานชานยังคงเงียบสงบเหมือนเช่นทุกคืน
กระต๊าก! ไก่ส่งเสียงร้องอย่างไม่เป็นสุข ซานเซียนออกมาจากบ้านสุนัขเพื่อไปดูพวกมัน เขาส่งเสียงเห่าเบาๆ ราวกับว่า มันกำลังปลอบโยนไก่อยู่
ตลอดทั้งคืน ซานเซียนออกมาจากบ้านสุนัขที่แสนสบายอยู่หลายครั้ง เพื่อออกไปดูแลไก่เหล่านั้น
เช้าต่อมา อุณหภูมิลดลงไป 10 องศา สายลมให้ความรู้สึกหนาว ความหนาวในฤดูใบไม้ผลินั้นหนาวกวาฤดูใบไม้ร่วง เพราะความหนาวที่มาอย่างฉับพลัน
รถคันหนึ่งขับทะยานไปบนทางหลวง
“ศาสตราจารย์พักสักหน่อยไหมครับ?” ชายวัยประมาณ 30 พูด “ถ้าถึงแล้วผมจะบอก”
“ไม่เป็นไร” ศาสตราจารย์หวูที่มองวิวนอกหน้าต่างรถพูด
เขารู้สึกเหนื่อย ตั้งแต่ที่เขาได้รับสายจากหวังเย้าเมื่อวาน เขาก็เอาแต่คิดถึงเรื่องที่หวังเย้าบอก มันฟังดูเหลือเชื่อมากสำหรับเขา ดังนั้น เขาจึงทิ้งทุกอย่างและรีบเดินทางมาที่เหลียนชาน
รถขับเคลื่อนไปบนถนนอย่างนุ่มนวล ผู้ช่วยที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับไม่ได้พูดอะไรออกมา
ศาสตราจารย์หวูมองออกไปนอกหน้าต่าง
ต้นไม้เริ่มมีสีเขียว และดอกไม้กำลังเบ่งบาน
เขามีงานให้ทำเยอะเกินไปแล้ว
“เฮ้อ…” เขาถอนหายใจออกมา
รถขับเข้าไปในหมู่บ้าน
“หมู่บ้านยกเลิกการกักตัวแล้วเหรอ?” ศาสตราจารย์หวูพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย
รถหยุดลงที่ด้านนอกคลินิก
“เธอรอที่นี่นะ” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ได้ครับ” ผู้ช่วยของเขาพูด
ศาสตราจารย์หวูลงมาจากตัวรถพร้อมกับตะกร้าสองใบ ด้านในเป็นของฝากที่เขานำมาจากปักกิ่ง
“วันนี้ ศาสตราจารย์มาพบใครกันนะ?” ผู้ช่วยของเขาถาม “ถึงกับเอาของฝากติดไม้ติดมือมาด้วย”
หวังเย้ากำลังตรวจคนไข้อยู่ “คุณลุงแค่ต้องกลับไปพักผ่อนให้เพียงพอเท่านั้น แล้วคุณก็ลุงหายดีได้เองนะครับ”
“โอเค ขอบคุณนะ เสี่ยวเย้า” คนไข้พูด
“แล้วเจอกันครับ” หวังเย้าพูด
หลังจากส่งคนไข้กลับแล้ว หวังเย้าก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย “สวัสดีครับ คุณมาเร็วมากเลย เชิญเข้ามาข้างในก่อนสิครับ”
“ตอนที่เธอโทรมา ฉันอยากจะมีปีกบินมาที่นี่เลยด้วยซ้ำ” ศาสตราจารย์หวูพูดด้วยรอยยิ้ม
“ดื่มชาก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
“ขอบคุณ” ศาสตราจารย์หวูพูด
เขาดื่มด่ำกับชาอยู่ภายในคลินิกของหวังเย้า ชามีกลิ่นหอมและรสดี แม้แต่คนติดกาแฟแบบเขา ก็ยังหลงรักชาของที่นี่
“ชารสชาติดีมาก” ศาสตราจารย์หวูพูด
“มันเป็นใบชาที่ผมปลูกเองน่ะครับ แล้วก็ขอให้คนที่เชี่ยวชาญด้านใบชาช่วยแปรรูปให้อีกที” หวังเย้าพูด
หลังจากพูดคุยกันไปพอสมควร พวกเขาก็เริ่มเข้าสู่ประเด็นสำคัญ
“ผมจะเอาแมลงมาให้ศาสตราจารย์ดูนะครับ” หวังเย้าพูด
เขาหยิบโถแก้วที่ใส่แมลงที่เขาพบบนเนินเขาซีชานออกมา
“นี่น่ะเหรอ?” ศาสตราจารย์หวูยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ
“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด
ศาสตราจารย์หวูศึกษาทางด้านการแพทย์แผนตะวันตกมา เขาศึกษาด้านชีววิทยาในมหาวิทยาลัย แต่เขาเน้นไปที่เรื่องของจุลชีววิทยา ความรู้ในเรื่องของแมลงจึงมีอยู่อย่างจำกัด แต่เขาพอจะรู้จักผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ในเรื่องแมลงเป็นอย่างดีอยู่หลายคน
“ฉันเอาแมลงพวกนี้กลับไปด้วยได้ไหม?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“ได้สิครับ แล้วผมยังมีเรื่องอื่นอีกด้วยครับ” หวังเย้าหยิบโถแก้วอีกใบหนึ่งที่มีหนูตัวเล็กอยู่หนึ่งตัว หนูยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งมันทำให้หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจมาก
“มันเป็นหนูจากที่เดียวกันใช่ไหม?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“ใช่ครับ มันอยู่กับแมลงพวกนี้ พูดตามตรงนะครับ ตอนที่เห็น ผมก็ตกใจมาก” หวังเย้าพูด
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอไปดูเนินเขาซีชานอีกสักครั้งจะได้ไหม?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“ได้แน่นอนครับ” หวังเย้าพูด
604 อะนอเร็กเซีย
เขาดื่มชาในถ้วยจนหมด กลิ่นชายังคงติดอยู่ภายในปากและฟันของเขา
“ชาดี!” เขาถอนหายใจ
ทั้งสองเดินออกมาจากคลินิกและเดินขึ้นไปบนเนินเขาซีชาน
“เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นคราวก่อน ชาวบ้านคงจะกังวลกันมากเลยสินะ” ศาสตราจารย์หวูพูด
“ครับ มีหลายคนที่อยากจะย้ายออกไปจากที่นี่” หวังเย้าพูด
“หมู่บ้านกลางเขาออกจะดีมากแท้ๆ” ศาสตราจารย์หวูพูด “มันเงียบสงบมาก ตั้งแต่ที่ฉันมาถึงที่นี่ และอยู่ที่นี่ได้สักพัก หัวใจของฉันก็รู้สึกสงบ แล้วเธอล่ะ?”
“ผมจะอยู่ที่นี่ต่อไปครับ” หวังเย้าพูด
ทั้งสองเดินไปถึงหลุมแรก ที่พวกเขาเคยมาครั้งก่อน ด้านในมีหลุมอยู่มากมาย ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของหวังเย้า “ลงไปดูข้างล่างกันเถอะครับ”
พวกเขาลงไปที่ก้นหลุม ด้านใน พวกเขาเห็นรูหนูและหนูตายอยู่ภายใน
“นี่มันอะไรน่ะ?” ศาสตราจารย์หวูถาม
“ผมวางยาหนูเอาไว้ครับ ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลดีซะด้วย” หวังเย้าพูด
ศาสตราจารย์หวูรู้ว่า หนุสามรถก่อปัญหาได้มากมายแค่ไหน พวกมันมีความสามารถในการผลิตลูกหลายในปริมาณมากและความสามารถเอาชีวิตรอดสูง รวมถึง การเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมด้วย พวกมันสามารถไปได้ทั่วเนินเขา ถ้าหากหนูเหล่านี้นำพาเชื้อร้ายไปด้วยทุกที มันก็คงจะกลายเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างมาก
ทั้งสองเดินไปที่หลุมอื่น และสุดท้ายก็มาจบที่หลุมที่มีก้อนหินที่ถูกทำลายอยู่
“ฉันเข้าใจเรื่องจุลชีววิทยา แต่ฉันไม่รู้เรื่องแมลงเลย!” ศาสตราจารย์หวูคุกเข่าลงและมองดูหินอย่างละเอียด เขาถ่ายรูปไปหลายรูป “เขาน่าจะสนใจเรื่องนี้”
พวกเขาเดินไปรอบๆอย่างระมัดระวัง หลังจากถ่ายรูปได้พอสมควรแล้ว พวกเขาก็ลงไปจากเขา
“ศาสตราจารย์หวูครับ งานของคุณยุ่งมากเลยเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ช่วงนี้ ฉันงานยุ่งมากจริงๆ” ศาสตราจารย์หวูพูด
“อยู่กินข้าวกลางวันด้วยกันก่อนดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“เอาสิ” ศาสตราจารย์หวูพูด
พวกเขาพากันไปทานอาหารที่ร้านอาหารไม่ไกลจากหมู่บ้าน แต่ก่อน มักจะมีลูกค้าอยู่กันเต็มร้าน ทำให้แทบจะไม่เหลือที่ให้นั่ง แต่ตอนนี้กลับว่างเปล่า
“อ้าว หมอหวัง เชิญๆ เข้ามานั่งข้างในเลยครับ!” เมื่อเห็นว่ามีลูกค้ามา เจ้าของร้านก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับในทันที
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม “วันหยุดก็น่าจะมีคนเยอะๆสิ”
“เฮ้อ ก็เพราะโรคระบาดนั่นแหละครับ” เจ้าของร้ายพูด “เขาพูดกันว่า โรคระบาดเกิดขึ้นในหมู่บ้านของหมอ แล้วก็มีคนตายไปเป็นสิบ ร้านของผมก็ดันอยู่มาใกล้กับหมู่บ้านพอดี แล้วใครมันจะกล้ามากินที่นี่กันล่ะครับ? สี่วันมานี้ มีลูกค้ามาแค่สองกลุ่มเท่านั้นเอง”
หวังเย้ารู้สึกแย่แทนเจ้าของร้าน ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ร้านอาหารก็อาจจะต้องปิดตัวลง
“เราขออาหารสักสองสามจาน กับไวน์ขวดหนึ่งได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ได้สิครับ รอสักครู่” เจ้าของร้านพูด
ในเมื่อพวกเขาเป็นแขกเพียงกลุ่มเดียวในร้าน อาหารจึงถูกนำออกมาเสริฟอย่างรวดเร็ว อาหารทุกจานล้วนเต็มไปด้วยความงดงามจากผืนดินและลำธาร
“ศาสตราจารย์หวู ถึงร้านนี้จะเล็ก แต่อาหารรสชาติใช้ได้เลยนะครับ” หวังเย้าพูด
เดิมที หวังเย้าอยากจะเชิญคนขับรถแลผู้ช่วยของศาสตราจารย์มากินด้วยกัน แต่ผู้ช่วยก็ได้ปฏิเสธคำชวนของเขา เพราะคิดว่า ศาสตราจารย์น่าจะมีเรื่องที่ต้องการคุยกับชายหนุ่มเพียงลำพัง
“อืม ใช้ได้เลย” ศาสตราจารย์หวูใช้ตะเกียบคีบอาหารขึ้นมาชิม “ไม่เลว”
“อยากจะดื่มสักหน่อยไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“เอาสิ”
ทั้งสอง กิน ดื่ม และพูดคุยกันอย่างมีความสุข
“เธอเคยคิดที่จะย้ายไปอยู่ที่อื่นบ้างรึเปล่า?” หลังจากที่ดื่มไปแล้วสามแก้ว ศาสตราจารย์ก็ถามขึ้นมา พวกเขาทานอาหารกันเกือบจะเสร็จแล้ว
“ผมชอบชีวิตแบบนี้ครับ สถานที่แบบปักกิ่งไม่เหมาะสำหรับคนอย่างผมหรอก” หวังเย้ายิ้ม
ถึงมันจะเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง แต่มันก็ซับซ้อนเกินไป แล้วอากาศก็ไม่ดีด้วย ผู้คนที่ทำงานและอาศัยอยู่ในปักกิ่ง มักจะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง มันไม่ใช่แค่เพราะอากาศที่เป็นพิษเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงความกดดันต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องค่าที่อยู่อาศัยราคาหลายล้านหยวน การอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่อย่าง ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, และกวางโจว ได้สร้างความกดดันให้กับคนชนชั้นกรรมมาชีพอย่างมาก
“ด้วยความรู้ที่เธอมี, จากการคาดการณ์ของคนรุ่นหลังอย่างฉัน, เธอสามารถเทียบชั้นได้กับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยได้ง่ายๆเลยนะ” ศาสตราจารย์หวูพูด “ฉัน…ช่างมันดีกว่า” เขายิ้มและโบกมือ
ถ้าหวังเย้าต้องการจะสอนหนังสือจริงๆ ก็คงจะมีคนจากมหาวิทยาลัยออกตัวเชิญเขาไปนานแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องไกลตัว เพราะหลายๆคนที่ได้มีโอกาสพบกับเขา ต่างก็ต้องการเรียนการแพทย์และกังฟูจากเขากันทั้งนั้น
หลังจากดื่มไวน์เข้าไปแล้ว ใบหน้าของศาสตราจารย์หวูก็แดงเล็กน้อย ในวันธรรมดา เขาแทบจะไม่ดื่มเลย เมื่อจบมื้ออาหาร เขาก็หอบกล่องปิดผนึกที่หวังเย้ามอบให้กับเขากลับไปด้วยความระมัดระวัง
“เดินทางปลอดภัยนะครับ” หวังเย้าพูด
“ขอบคุณมาก ถ้าไปปักกิ่ง ก็อย่าลืมบอกฉันด้วยล่ะ” ศาสตราจารย์หวูพูด
หวังเย้าไม่ลืมบอกกับผู้ช่วยของศาสตราจารย์หวู “ถ้าศาสตราจารย์รู้สึกไม่สบาย ช่วยบอกผมด้วยนะครับ”
การเดินขึ้นไปบนเนินเขาซีชานในครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้สวมชุดป้องกันเลย ในสภาพการเดินทางแบบนี้ ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาเลย แต่ไม่ใช่กับศาสตราจารย์หวู และเขาก็อาจจะติดเชื้อได้
“ได้ครับ” ผู้ช่วยพูด
เขาติดตามศาสตราจารย์หวูมานานพอสมควร และพอจะรู้นิสัยของเขาอยู่บ้าง เขาแทบจะไม่ดื่มเลย ถ้าหากต้องดื่ม เขาก็จะไม่ดื่มเยอะจนเกินพอดี แต่ตอนนี้ เขากลับมีสภาพเมาเล็กน้อย ทั้งที่โดยปกติ เขาจะดื่มแบบนี้กับคนที่เขาคุ้นเคยด้วยเท่านั้น
หลังจากที่ส่งพวกเขาแล้ว หวังเย้าก็กลับไปที่คลินิก ในตอนบ่าย มีชายวัย 40 เข้ามาที่คลินิก เขาดูผอม ใบหน้าของเขาซีดเซียวและพูดอย่างอ่อนแรง
“สวัสดีครับ หมอหวัง การกักตัวของที่นี่ถูกยกเลิกซักทีนะครับ” เขาพูด เขาเคยมาที่นี่แล้วสองครั้ง ทุกครั้งที่เขามา เขาก็ต้องเจอกับเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่หน้าหมู่บ้านเพื่อไม่ให้คนนอกเข้าไปด้านใน
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ แล้วคุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ผมไม่อยากกินข้าว พอกินไปได้นิดหน่อย ผมก็จะรู้สึกไม่สบายขึ้นมาทันทีเลย” ชายคนนั้นพูด
“มันเป็นเพราะคุณไม่อยากจะกินอะไรเลย หรือคุณแค่ไม่อยากกินอาหารบางอย่างเข้าไปหรือครับ?” หวังเย้าถาม
“ผมไม่อยากจะกินอะไรเลยครับ” เขาพูด
“มาครับ ผมขอตรวจดูหน่อย” หวังเย้าพูด
เมื่อดูจากสีหน้าของเขาแล้ว หวังเย้าก็สามารถบอกได้ว่า การไหลเวียนของโลหิตและพลังฉีไม่เพียงพอ ร่างกายของเขาขาดพลัง ร่างกายของเขาไม่ได้มีกลิ่นแปลกปลอม มีเพียงลมหายใจที่ร้อนกว่าปกติเท่านั้น
หลังจากจับดูชีพจรของเขาแล้ว หวังเย้าก็รู้สึกแปลกใจ “ร่างกายของคุณยังค่อนข้างแข็งแรงดีอยู่นะครับ”
ส่วนการเต้นของชีพจรนั้น มันไม่มีปัญหาใหญ่อะไร นอกจากร่างกายที่อ่อนแรงและโลหิตกับพลังฉีไม่เพียงพอ
“จริงเหรอ? แล้วทำไมผมถึงไม่อยากอาหารเลยล่ะ?” เขาถาม
“นั้นเป็นอาการของโรคอะนอเร็กเซียครับ” หวังเย้าพูด “คุณเริ่มมีอาการแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
“ก็ประมาณเดือนหนึ่งได้” เขาพูด
“มีเรื่องอะไรที่อาจจะเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดอาการนี้บ้างไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“โอ้ มีสิ มันเป็นเรื่องเมื่อเดือนที่แล้ว” เขาพูด “ภรรยาของผมนึ่งซาลาเปาเอาไว้ ตอนที่ผมกินมันเข้าไป ผมก็เจอเส้นผมอยู่ในซาลาเปาด้วย ตอนนี้ ผมรู้สึกขยะแขยงมาก จนแทบจะอ้วกออกมาเลยล่ะ”
“หลังจากนั้นอีกสองสามวัน ภรรยาของผมก็ทำลูกชิ้นเนื้อ ตอนที่กินเข้าไป ผมก็เจอเส้นผมอีก แล้วก็อ้วกออกมา จากนั้น ผมก็ไม่กินอะไรไปสามวัน เพราะพอกินเข้าไปทีไร ผมก็รู้สึกอยากจะอ้วกขึ้นมาทุกที พอผ่านไปได้สักสองสามวัน อาการก็เหมือนจะดีขึ้นมาหน่อย ผมเลยออกไปดื่มข้างนอก ผมสั่งไส้ใหญ่หมูมากิน มันรู้สึกเหมือนกับกำลังกินขี้หมูเข้าไป แล้วผมก็เลยอ้วกออกมา”
อยู่ๆสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป คล้ายกับว่า เขากำลังจะอาเจียนออกมา
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเย้าเจอกับอาการป่วยแบบนี้ ซึ่งเป็นอาการป่วยทางด้านจิตใจ “แล้วเวลาหิว คุณทำยังไงเหรอครับ?”
“ถึงผมจะรู้สึกหิว แต่ผมก็ไม่อยากกินอะไรอยู่ดี ทุกๆวัน ผมต้องบังคับให้ตัวเองกินอยู่ตลอดเวลา” เขาพูด “แต่มันก็ต้องเป็นของกินที่ผมชอบกินเป็นประจำด้วย”
“ดูเหมือนจะมีปัญหาซะแล้ว” หวังเย้าพูดกับตัวเอง
สำหรับในเวลานี้ เขาไม่สามารถหาทางออกที่เหมาะสมได้
“เอาเบอร์ติดต่อของคุณให้ผมไว้ก่อนนะครับ ถ้าผมคิดหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้แล้ว ผมจะโทรหา แต่ผมแนะนำให้ลองไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ๆดูนะครับ บางที พวกเขาอาจจะมีทางรักษาได้” หวังเย้าพูด
“อ้อ ได้ๆ” ชายคนนั้นทิ้งเบอร์ติดต่อเอาไว้ ก่อนที่เขาจะจากไป
อะนอเร็กเซีย?
โรคนี้มักจะมีให้เห็นในภาพยนตร์, รายการโทรทัศน์, หรือไม่ก็ในนิยาย มันสามารถหาดูได้จากในข่าวเช่นกัน คนไข้มีอาการป่วยแลไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น ดังนั้น ร่างกายจึงผอมบางมากๆ ในเคสพิเศษ พวกเขาถึงขนาดต้องฉีดยาเพื่อให้การทำงานภายในร่างกายเป็นปกติ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น