Elixir Supplier 589-592
589 กระโดด ข้าม แทะ
ในคืนนั้น ชาวบ้านหลายๆคนได้พูดถึงเรื่องที่พวกเขาไปตรวจร่างกายกัน
“หมู่บ้านของเรามีคนติดโรคระบาดเหรอ?” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม
“ก็อาจจะเป็นไปได้” ชาวบ้านอีกคนพูด
“แล้วรู้รึเปล่า ว่าทำไมพวกหมอถึงได้ไปอยู่รอบบ้านเฉินเจียกุ้ยแบบนั้นน่ะ?” ชาวบ้านอีกคนหนึ่งถาม “เมื่อตอนกลางวัน พวกเขาก็มีตรวจสุขภาพให้พวกเราโดยที่ไม่ได้แจ้งมาก่อนล่วงหน้า ดูจากที่พวกเขาทำ เป็นไปได้ไหมว่า พวกเขากำลังพยายามจะตรวจดูว่าพวกเราติดเชื้อด้วยรึเปล่าน่ะ?”
“นี่ๆๆ เกิดอะไรขึ้นกับเฉินเจียกุ้ยเหรอ? เขาเป็นบ้าใช่ไหม? แล้วเขาตายรึยัง?” ชาวบ้านอีกคนถาม
คนที่เป็นกังวลมากที่สุดในหมู่บ้านก็คือ หวังอีเชิง แกะที่เป็นบ้าตัวนั้นมาจากบ้านของเขา เฉินเจียกุ้ยกลายเป็นบ้าก็เพราะกินเนื้อของแกะตัวนั้นเข้าไป อาการบ้าคลั่งและการตายของเขาได้ดึงดูดแพทย์เข้ามาจำนวนมาก ในตอนนี้ มีกระทั่งหมอเข้ามาตรวจร่างกายของชาวบ้านทุกคน นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ
“ถ้าเกิดพวกเขารู้ว่า การตายของเฉินเจียกุ้ยเป็นเพราะแกะบ้าตัวนั้น แล้วมาหาพวกเราขึ้นมาล่ะ? เราจะถูกจับไหม?” ภรรยาของหวังอีเชิงถามด้วยความกังวล
“เราไม่รู้นี่ ว่าแกะตัวนั้นมันติดเชื้อน่ะ ไอ้เศษสวะนั่นต่างหากที่ผิด เพราะเอาเนื้อของมันไปกิน” หวังอีเชิงพูด “พวกเขาไม่มีหลักฐานพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า โรคที่เฉินเจียกุ้ยเป็นเกี่ยวข้องกับแกะหรอก ใช่ไหม?”
ภรรยาของเขายังคงรู้สึกไม่สบายใจ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้เธอนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน
ภายในแปลงสมุนไพรบนเนินเขาหนานชาน หวังเย้าก็ยังไม่นอนเช่นกัน เขาจับจ้องไปที่กระต่ายในกรงหิน ที่มีอาการบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง กระต่ายก็เริ่มมีอาการอยู่ไม่สุข มันกัดกินดินและกรงหินที่ขังมันเอาไว้ ฟันของมันแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย รอบริมฝีปากของมันเต็มไปด้วยคราบเลือด มันยังคงกัดกินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่นิดเดียว มันยังชอบกระโดดขึ้นลงและพุ่งชนกรงหินเป็นพิเศษ มันไม่หยุดการกระทะของมันเลย ถึงแม้ว่าศีรษะของมันจะได้รับบาดเจ็บและมีเลือดไหล
“มันบ้าไปแล้ว!” หวังเย้าตกตะลึง
โฮ่ง!
“นายก็คิดแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหม ซานเซียน?” หวังเย้าถาม “ไปกันเถอะ!”
เขายกกรงหินขึ้นมาและวางมันลงที่กลางกอหญ้าพิษ ที่ปลดปล่อยกลิ่นเฉพาะของมันออกมา “มาดูกันซิ! ว่ากลิ่นของมันจะทำอะไรได้บ้างรึเปล่า?”
หนึ่งคนและสุนัขหนึ่งตัว หนึ่งนั่งและหนึ่งนั่งยองๆ พวกเขากำลังเฝ้ามองกระต่ายในกรงหิน ที่กำลังกระโดด ข้าม และกัดแทะไม่หยุด
“ไม่นะ!” หวังเย้าเฝ้ามองอย่างละเอียดอยู่เป็นเวลานาน และพบว่า อาการบ้าคลั่งของกระต่ายไม่ได้ลดลงเลย เขาจึงเฝ้าสังเกตต่อไป
แทนที่จะไปเข้านอน หวังเย้าเลือกที่นั่งอยู่ภายในแปลงสมุนไพร และเฝ้ามองกระต่ายที่บ้าคลั่งอยู่เงียบๆ สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงทุกที
“มันบ้าไปแล้ว ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มติดเชื้อไปจนถึงอาการกำเริบมันสั้นมากๆ และอาการเริ่มแรกยังไม่ชัดเจนอีกด้วย” หวังเย้าสังเกตการณ์และจดบันทึกลงไปด้วย
โฮ่ง!
“ยังปล่อยมันออกมาตอนนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะเอาเชื้อมาติดนายได้นะ” หวังเย้าพูด
โฮ่ง! โฮ่ง!
“นี่ไม่ใช่การทำร้ายสัตว์ แต่มันคือการทดลองทางวิทยาศาสตร์ และมันก็จำเป็นต้องอุทิศตัวของมันให้กับการทดลองด้วย” หวังเย้าพูด
เขานั่งอยู่อย่างนั้นไปจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น
หลังกลับไปถึงตัวจังหวัด ทีมผู้เชี่ยวชาญก็ได้รีบทำการวิเคราะห์ตัวอย่าง เพื่อเป็นการยืนยันผลการวิเคราะห์ที่ได้จากห่ายชิวมาก่อนหน้านี้ เชื้อโรคชนิดนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีการค้นพบมาก่อน มันไม่ได้เป็นที่รู้จัก ดังนั้น ความซับซ้อนจึงมากขึ้นไปด้วย
“รายงานสถานการณ์ที่นี่ให้กับทางเบื้องบนด้วย” หัวหน้าหลิวพูด “เชื้อโรคตัวนี้อันตรายมาก และเราไม่เคยพบมันมาก่อน สิ่งที่เราต้องให้ความสนใจในตอนนี้ก็คือ การแพร่ระบาดและวิธีการรักษา”
พวกเขาเหล่านี้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านชีวการแพทย์ เมื่อหลายปีก่อน พวกเขาได้เผชิญหน้ากับโรคระบาดที่เป็นเหมือนกับพายุลูกใหญ่ มันเกือบจะแพร่ระบาดไปทั่วทั้งประเทศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทางภาครัฐก็มักจะให้ความสำคัญกับสถานการณ์ที่คล้ายกันนี้เป็นการเฉพาะ การหยุดมันตั้งแต่เริ่มต้น คือสิ่งสำคัญที่สุด
ในเขตเหลียนชาน คนที่รู้ข่าวเรื่องนี้ต่างก็พากันนอนไม่หลับ ด้วยความกลัวว่าโรคนี้อาจจะกลายเป็นโรคร้ายที่น่ากลัว
วันต่อมา พระอาทิตย์ขึ้นเหมือนเช่นทุกวัน แสงแดดในตอนเช้านั้นอ่อนโยน อาบไล้ผืนดินและส่องลอดผ่านผืนป่าใหญ่ ภายในแปลงสมุนไพร มีหนึ่งคนกับหนึ่งสุนัข
ภายในกรงหิน กระต่ายกำลังนอนอยู่ภายในนั้นพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง พื้นดินโดยรอบเต็มไปด้วยคราบเลือด ในเวลานี้ ความบ้าคลั่งที่มันแสดงออกมาเมื่อคืน ได้หายไปจนหมดแล้ว พลังงานที่ใช้ไปตลอดทั้งคืนได้หมดลง
กรงหินได้รับความเสียหายอย่างหนัก จากการถูกกัดกินและกระโดดย้ำไปมา ถ้าหากไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง คงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อได้ว่า กระต่ายที่แสนอ่อนโยนและน่ารักน่าเอ็นดูจะแสดงความบ้าคลั่งได้มากมายขนาดนี้ เรื่องของกระต่ายกัดคนอาจจะมีให้ได้ยินอยู่บ้าง แต่กระต่ายกัดหินและพุ่งชนกำแพงนั่น เป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน
แกะบ้า, เฉินเจียกุ้ย, และกระต่ายบ้า…พวกเขาทั้งสามต่างสายพันธุ์กัน แต่มีอาการแบบเดียวกัน ทั้งสามบ้าและต่อมาก็กลายเป็นคลุ้มคลั่ง หวังเย้าจดบันทึกสิ่งที่เขาได้ค้นพบ และพิจารณาว่า อาการของพวกเขาจะสามารถรักษาได้ด้วยสมุนไพรทั่วไปหรือไม่
เมื่อเห็นกระต่ายที่หายใจรวยรินอยู่ภายในกรงแล้ว หวังเย้าก็ตัดสินใจที่จะเฝ้าดูมันต่อไป ร่างกายของกระต่ายซูบผอมลง และขนกำลังมีการหลุดร่วงออกมา ช่วงชีวิตของมันไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“พอ! หยุดได้แล้ว!” หวังเย้ากำหมัดแน่น
เกิดเสียงแตกหักดังขึ้น แล้วศีรษะของกระต่ายที่อยู่ภายในกรงหินก็ถูกบีบจะเละโดยที่ไม่มีอะไรไปแตะต้องมันเลย หวังเย้าเปิดกรงหินและนำร่างกระต่ายที่ตายแล้วออกมา
โฮ่ง!
ฉันรู้ ซานเซียน ฉันจะระวัง” หวังเย้าพูด
เขาเดินเข้าไปในกระท่อมพร้อมกับร่างของกระต่าย และหามีดมาเล่มหนึ่ง เขาจัดการผ่าร่างกายของกระต่าย มันส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา อวัยวะภายในและเนื้อเยื่อกลายเป็นสีม่วงคล้ำ มันดูไม่ต่างจากแมงกะพรุนเลย
หวังเย้าผ่าเปิดกะโหลกของกระต่าย มันดูคล้ายกับแป้งเปียกก้อนหนึ่ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะถูกเขาบีบจนแตก แต่สีม่วงคล้ำที่เห็นไม่ใช่ฝีมือของเขาอย่างแน่นอน สมองของกระต่ายถูกทำลายจนไม่เหลือ
เขาทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนที่สุดท้ายจะนำร่างของกระต่ายไปเผาในกองไฟ ในเมื่อมันเป็นเพียงกระต่ายไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้น มันจึงมีข้อจำกัดในการใช้วิธีการวินิจฉัยทั้งสี่วิธี แต่มันก็ตรงเป้ากว่าวิธีการวินิจฉัยแบบอื่น
หลังจากวุ่นอยู่กับงานได้พักใหญ่ หวังเย้าก็กลับเข้าไปในกระท่อมและทำการบันทึกรายละเอียดทั้งหมดที่เขาค้นพบ อยู่ๆก็มีเสียงประกาศดังขึ้นภายในหมู่บ้าน
“ประกาศ วันนี้ หมอจากโรงพยาบาลเขตจะเข้ามาตรวจสุขภาพฟรีอีกครั้ง คนที่ยังไม่ได้ตรวจให้รีบมาตรวจด้วย ทุกคนจะต้องเข้ารับการตรวจ”
ตรวจร่างกายเหรอ? เสียงประกาศดึงดูดความสนใจจากหวังเย้า เขายังไม่ได้เข้ารับการตรวจเลย
หลังเสร็จธุระบนเนินเขาแล้ว หวังเย้าก็ลงไปข้างล่างและตรงไปที่คลินิก หลี่จูฉ่ายที่ถูกเฉินเจียกุ้ยกัดกำลังรอเขาอยู่ที่นั่น ผ้าพันแผลที่คอของเขาได้แกะออกแล้ว แต่บาดแผลยังไม่หายสนิทดีและดูน่ากลัว
“เสี่ยวเย้า” หลี่จูฉ่านพูด
“มีอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“อาการป่วยของฉันจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?” หลี่จูฉ่ายถาม
ตั้งแต่ที่เขาถูกเฉินเจียกุ้ยกัด เขาก็รู้สึกกังวลมาก หลายวันที่ผ่านมา มีแพทย์จำนวนมากเข้ามาในหมู่บ้าน และเดินไปเดินมารอบๆบ้านของเฉินเจียกุ้ย แม้แต่คนโง่ก็ยังเดาได้ว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เขายังได้ยินมาอีกด้วยว่า สภาพการตายของเฉินเจียกุ้ยนั้นเลวร้ายมาก
เขากลัวว่า ตัวเองจะมีสภาพแบบนั้นเช่นเดียวกัน เขาไม่มีความอยากอาหารและนอนหลับไม่สนิท เขาเอาแต่กังวลว่า ตัวเองจะกลายเป็นแบบนั้นในสักวันหนึ่ง เขาจึงต้องการให้หวังเย้ายืนยันในเรื่องนี้ เพราะเขาไม่กล้าไปตรวจกับหมอที่โรงพยาบาล เขากลัวว่า พวกเขาจะจับตัวเขาเอาไว้และกลายเป็นตัวทดลอง
“พี่รู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม พร้อมกับวินิจฉัยโดยการมองและดมกลิ่นไปด้วย เขาไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลย
“ฉันกินไม่ได้ นอนไม่หลับ แล้วฉันก็ร้อนท้องมาก ปวดหัวด้วย” หลี่จูฉ่ายพูด
“อ่อ มันเป็นเพราะความวิตกกังวลและพักผ่อนไม่เพียงพอน่ะครับ มาครับ ผมขอตรวจดูหน่อย” หวังเย้ายื่นมือออกไปจับชีพจรของเขา
“มันไม่มีอะไรเลยครับ สบายใจได้ กลับบ้านไปพักผ่อนซะนะครับ” หวังเย้าพูด
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็เบาใจ ขอโทษที่มารบกวนนายนะ” ถึงจะพูดออกมาแบบนั้น แต่เขาก็ยังไม่ได้วางใจร้อยเปอร์เซนต์
“แล้วมีอีกเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่ที่ฉันมารักษากับนายครั้งก่อน ฉันยังไม่ได้จ่ายค่ายาเลยนะ! ทั้งหมดเท่าไหร่เหรอ?” ในตอนนั้น หลี่จูฉ่ายกำลังรีบร้อนจนลืมพกเงินติดตัวไปด้วย เขาคิดว่า เขากับหวังเย้าก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ยังไงก็ต้องเจอกันบ่อยอยู่แล้ว
หวังเย้าเงียบไปครู่หนึ่ง เขาได้รักษาโรคไป และใช่สมุนไพรรากไปถึงสองชนิด ถึงเขาจะดื่มยาเข้าไปแล้วก็ตามที
“10,000 หยวนครับ” หวังเย้าพูด
“หา?” หลี่จูฉ่ายตกตะลึง
590 กระต่ายที่เชื่อฟัง
“ยาหนึ่งถ้วยกับผ้าพันแผลเท่านั้น ราคาเป็นหมื่นเลยเหรอ?” หลี่จูฉ่ายตกใจกับราคาที่เขาได้ยิน
ความรู้สึกขอบคุณที่มีให้หวังเย้าก่อนหน้านี้ได้หายไปทันที และทัศนคติที่มีต่อหวังเย้าก็เปลี่ยนไป
โลภเกินไปแล้ว! ทำไมฉันถึงไม่รู้มาก่อน?
“แพงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม “แต่ผมไม่คิดแบบนั้นนะ ยาหนึ่งถ้วยกับชีวิตของพี่ อันไหนแพงกว่ากันครับ? พี่ก็น่าจะคิดได้”
“ฟังนะ เสี่ยวเย้า เราต่างก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน นายช่วยลดให้หน่อยได้ไหม?” หลี่จูฉ่ายถาม
“ขอโทษด้วย ผมลดให้ไม่ได้ครับ” หวังเย้าพูด
“ฟังนะ ตอนนี้ฉันไม่ได้พกเงินติดตัวมาเยอะเท่าไหร่” หลี่จูฉ่ายพูด “ฉันมีแค่ 300 หยวนเท่านั้น ฉันขอจ่ายที่เหลือทีหลังได้ไหม?” ไม่มีใครเค้าพกเงินเป็นหมื่นติดตัวกันหรอก
หวังเย้าไม่ได้พูดอะไร เขามองดูหลี่จูฉ่ายอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้เลย
“ก็ได้” หลังจากที่เงียบไปพักหนึ่ง เขาก็พยักหน้า
เมื่อออกมาจากคลินิก หลี่จูฉ่ายก็มีท่าทางโมโหอย่างมาก แม้กระทั่งกลับไปถึงที่บ้านแล้ว เขาก็ยังโมโหไม่หาย
“เป็นอะไรไปน่ะ?” ภรรยาของเขาถาม
“อย่าให้ฉันพูดเลย! ฉันไปเจอหมอโลภมากมาน่ะสิ คิดไม่ถึงเลย ว่าเขาจะเป็นคนโลภมากขนาดนี้ได้!” เขาเล่าเรื่องที่หวังเย้าคิดเงินค่ายาให้ภรรยาของเขาฟังสั้นๆ
“ทำไมมันถึงได้แพงขนาดนี้?” ภรรยาของเขาถาม
“ตอนที่ฉันปวดหัวแล้วไปหาเขา เขาไม่คิดเงินแม้แต่หยวนเดียว แล้วยังนวดให้ฉันฟรีๆอีกด้วย” พ่อของหลี่จูฉ่ายพูด “บางที ยาที่เขาเอาให้ลูกกินอาจจะมีราคาแพงจริงๆก็ได้นะ”
“แล้วยาอะไรกันที่มีราคาแพงเป็นหมื่นน่ะ?” หลี่จูฉ่ายเชื่อไม่ลง
“ช่างมันเถอะ เลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว แล้วมีหมอจากในเมืองมาตรวจสุขภาพทุกคนอีกรอบแล้วนะ” พ่อของหลี่จูฉ่ายพูด
หลังจากที่เสร็จงานที่คลินิก หวังเย้าก็เดินทางไปที่ที่ทำการหมู่บ้าน แพทย์จากโรงพยาบาลเขตเหลียนชานได้เจาะเลือดของเขาไปและวัดอุณหภูมิร่างกายของเขา หลังจากนั้น หวังเย้าก็กลับไปที่คลินิก
ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่จากศูนย์วิจัยในเมืองก็พบบางอย่างจากในตัวอย่างดินที่เก็บมาจากเนินเขาซีชาน
“หัวหน้าหลิวครับ เราพบไวรัสอยู่ในดินที่หัวหน้าเอากลับมาด้วยครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูด
“ฉันขอดูหน่อยซิ” หัวหน้าหลิวที่เป็นชายวัยประมาณ 50 พูด “ใช่จริงๆด้วย!”
เขารู้สึกตกใจกับผลตรวจมาก ต้นกำเนิดของไวรัสชนิดนี้กลับเกิดจากเนินเขาลูกนั้น
“แจ้งเรื่องนี้ให้กับทางสาธารณสุขของห่ายชิว บอกให้พวกเขากำจัดไวรัสในพื้นที่บริเวณนั้นให้ทั่ว พวกจำเป็นต้องลงมืออย่างเร่งด่วนที่สุด” หัวหน้าหลิวพูด
ผู้ช่วยของเขาติดต่อไปยังสาธารณสุขของห่ายชิว ซึ่งพวกเขาก็ได้ลงมืออย่างรวดเร็ว พวกเขาได้ทำการขนอุปกรณ์ต่างๆเดินทางไปยังหมู่บ้านด้วยรถอย่างเร็วที่สุด
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” หลังจากเห็นรถขับเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านคนหนึ่งก็ตั้งคำถามขึ้นมา
“พวกเขาเอาสารเคมีมาด้วยล่ะ” ชาวบ้านอีกคนพูด
คนเหล่านั้นสวมชุดป้องกันพร้อมกับถือสารเคมีเดินตรงไปยังเนินเขาทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน
“พวกเขากำลังขึ้นไปบนเนินเขาซีชานล่ะ” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด
“มีอะไรอยู่บนนั้นเหรอ?” ชาวบ้านอีกคนถาม
พวกเขาต่างก็สงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“พยายามอย่าให้ชาวบ้านมารวมตัวกันแถวๆนี้ล่ะ” เจ้าหน้าที่ของทางสาธารณสุขที่รับหน้าที่จัดการกับโรคระบาดพูด พวกเขายังคงไม่มั่นใจว่า มีชาวบ้านคนอื่นในหมู่บ้านติดเชื้ออีกไหม หรือไวรัสแพร่กระจายไปสู่คนได้ยังไง
“ได้ครับ ผมจะจัดการให้ดีที่สุด แต่มันคงไม่ง่ายเท่าไหร่” หวังเจียนหลี่พูด
หลังจากที่เห็นว่ามีแพทย์จำนวนมากเดินทางมาที่หมู่บ้าน ชาวบ้านต่างก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา ทุกคนเอาแต่มาถามกับหวังเจียนหลี่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“พยายามอย่าทำให้ชาวบ้านตื่นตระหนก หลังจากพวกเขากำจัดไวรัสบนเขาแล้ว พวกเขาก็จะเข้าไปฆ่าเชื้อในหมู่บ้านด้วย” เจ้าหน้าที่แผนกโรคระบาดพูด
“โอเคครับ” หวังเจียนหลี่พูด
เขาไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ออกไป แต่เขาเลือกที่จะเดินไปบอกตามบ้านแต่ละหลัง และขอให้ชาวบ้านบอกเรื่องนี้กับญาติๆของพวกเขาอีกต่อหนึ่ง
บนเนินเขา เจ้าหน้าที่จากแผนกโรคระบาดได้ทำการฆ่าเชื้อไวรัสด้วยสารเคมีความเข้มข้นสูง พวกเขาจัดการปิดหลุมด้วยปูนขาวในปริมาณมาก สุดท้าย พวกเขายังปิดบริเวณนี้ด้วยเทปเหลืองอีกชั้น
“มันมีมากกว่าหนึ่งที่เหรอ?” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามขึ้นมา เมื่อพวกเขาบังเอิญเจอเข้ากับหวังเจียนหลี่และหวังเย้าในระหว่างทางที่พวกเขากำลังจะกลับ
“ใช่” หวังเจียนหลี่พูด
“ช่วยพาเราไปที” เจ้าหน้าที่พูด
หวังเย้าและหวังเจียนหลี่พาเจ้าหน้าที่ไปที่อีกหลุมหนึ่ง และพื้นดินต่างระดับอีกจุด ทั้งสองที่ล้วนแล้วแต่ปกคลุมด้วยดินสีดำ เจ้าหน้าที่จากแผนกโรคระบาดจึงได้จัดการฆ่าเชื้อเหมือนกับหลุมก่อนหน้าที่ เมื่อสารเคมีที่ใช้ฆ่าเชื้อหมด ก็ได้มีการส่งสารเคมีมาเพิ่มจากในตัวเมือง เมื่อพวกเขาเห็นว่ามีก้อนหินถูกปกคลุมด้วยดินสีดำ พวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไงกันดี
“นี่มันอะไรกันน่ะ?” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูด
“แค่จัดการไปก็พอ” เจ้าหน้าที่อีกคนพูด
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยาก แต่พวกเขาก็พยายามกำจักไวรัสบนก้อนหินและพื้นดินโดยรอบอย่างสุดความสามารถ แล้วพวกเขาก็เปลี่ยนก้อนหินสีดำให้กลายเป็นสีขาวด้วยปูนขาว
พวกเขาทำงานไปจนถึงตอนกลางวัน พวกเขาพักเบรกครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มลงมือกำจัดไวรัสภายในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นงานที่ยากกว่ามาก พวกเขาแบกสารเคมีและเดินพ่นตามท้องถนนในหมู่บ้าน เรื่องนี้ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับชาวบ้านอย่างมาก
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งของหมู่บ้านถาม
“มันจะต้องมีโรคระบาดในหมู่บ้านของเราแน่ๆ ฉันว่า เราคงจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากหมู่บ้านด้วย” หญิงชาวบ้านคนหนึ่งพูด
และก็เป็นอย่างที่ทุกคนคาดเดากันเอาไว้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาที่หมู่บ้านในเวลาต่อมา
“พวกเขามาทำอะไรที่นี่เหรอ?” ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้นมา
“มาดูแลความเรียบร้อยน่ะสิ” ชาวบ้านวัยรุ่นคนหนึ่งพูด
“แต่ฉันว่า หมู่บ้านของเราก็ปลอดภัยและเรียบร้อยดีอยู่แล้วนะ” ชาวบ้านวัยกลางคนพูด
“บางที พวกเขาอาจจะไม่อยากให้เราออกไปจากหมู่บ้านก็ได้” ชาวบ้านวัยรุ่นพูด
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้” ชาวบ้านวัยกลางคนพูด
ทุกคนในหมู่บ้านต่างกำลังพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่หยุด พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ความตื่นตระหนกได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
ในตอนบ่าย หวังเย้านำกระต่ายอีกตัวเข้าไปไว้ในกรง หนึ่งชั่วโมงต่อมา เขาก็นำกระต่ายออกมาจากกรง และนำมันใส่เข้าไปในกรงหินอีกอัน ซึ่งมีก้อนหินวางอยู่แทนที่ดินสีดำ
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนเอาแต่เห่าไม่ยอมหยุด
“นายกำลังพยายามจะบอกอะไรฉันเหรอ ซานเซียน?” หวังเย้าถามออกมาด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่า ซานเซียนสามารถเข้าใจคำถามของเขาได้ “นายจะถามว่า ฉันไปได้กระต่ายตัวนี้จากที่ไหนใช่ไหม? แน่นอนว่าฉันซื้อมันมา” มันเป็นเรื่องง่ายที่จะหาซื้อกระต่ายสักตัวจากในหมู่บ้าน
หวังเย้านั่งอยู่ข้างๆกรง และเฝ้ามองกระต่ายที่อยู่ภายในนั้น เหมือนกับที่เขาทำเมื่อวาน
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป กระต่ายยังคงเงียบอยู่ สองชั่วโมงต่อมา กระต่ายก็ยังคงเงียบ
มันไม่เป็นอะไรเลยเหรอ?
ไม่นาน ตะวันก็ตกดิน แสงตะวันแดงก่ำราวกับสีเลือด
สามชั่วโมงผ่านไป กระต่ายก็เงียบเหมือนเดิม ดูเหมือนมันจะหิวแล้ว
“มานี่สิ ฉันจะเอาอาหารให้แกกิน” หวังเย้าพูด
หวังเย้าเอาแครอทให้กระต่ายหนึ่งหัว และกระต่ายก็รักมัน
หรือจะเป็นเพราะระยะเวลาที่กระต่ายอยู่ในกรงนั้นสั้นเกินไป หรือจะเป็นเพราะไวรัสน้อยไป?
“ช่างมันเถอะ นายกินอาหารไปซะนะ” หวังเย้าพูด
หลังจากที่กระต่ายกินเสร็จแล้ว หวังเย้าก็นำตัวมันใส่กลับเข้าไปในกรงหินที่มีดินดำอยู่ หลังจากผ่านไปได้สองชั่วโมง เขาก็นำกระต่ายออกมาและใส่เข้าไปในอีกกรงหนึ่ง เขาทำการสังเกตกระต่ายต่อไป
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง กระต่ายที่อยู่ภายในกรงยังคงเป็นปกติดี
“นายหิวรึยัง ซานเซียน?” หวังเย้าถาม
โฮ่ง!
“ไปหาอะไรกินกันเถอะ” หวังเย้าพูด
สามชั่วโมงต่อมา ท้องฟ้าก็มืดสนิท หวังเย้ายังคงนั่งสังเกตอาการของกระต่ายอยู่ที่เดิม และมันก็ยังคงเป็นปกติดี
“นายยังปกติดีสินะ” หวังเย้าพูด “ตอนนี้ ได้เวลาอาหารเย็นของฉันแล้ว”
เขาเดินเข้าไปในกระท่อม เพื่อทำบะหมี่และไข่ทอดเป็นอาหารเย็นสำหรับตัวเอง เขาหั่นเนื้อครึ่งหนึ่งให้กับตัวเอง ส่วนอีกครึ่งก็แบ่งให้กับซานเซียน
“เอานี่ไป” หวังเย้าพูด
ด้านนอกเงียบสงบ หวังเย้าสามารถได้ยินเสียงลมพัดโดนใบหญ้า
ชาวบ้านหลายคนไม่สามารถหลับตาลงได้
“มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?” หวังเจียนหลี่ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ และกลับตัวไปมาอยู่บนเตียง
ช่วงหลังมานี้ เกิดเรื่องมากมายขึ้นในหมู่บ้าน กลุ่มแพทย์ทั้งจากเขต, เมือง, และจังหวัดต่างก็เดินทางมาที่หมู่บ้าน แม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐในท้องถิ่นก็ยังมาที่หมู่บ้านเหมือนกัน แพทย์ได้ทำการตรวจสุขภาพของชาวบ้านทุกคน พวกเขาแทบจะปิดทางเข้าออกของหมู่บ้าน เขาไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต
“เลิกกังวลได้แล้ว หลับเถอะนะ” ภรรยาของเขาพูด
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก” หวังเจียนหลี่พูด
ค่ำคืนได้ผ่านพ้นไป
เช้าวันต่อมา ชาวบ้านคนหนึ่งต้องการออกไปจากหมู่บ้าน
“ฉันแค่อยากจะออกไปแค่แปบเดียวเท่านั้น ทำไมฉันจะต้องลงทะเบียนอะไรพวกนี้ด้วย?” ชายชาวบ้านรู้สึกไม่พอใจ
“ถ้าไม่อยากลงทะเบียนก็กลับบ้านไปซะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดอย่างเย็นชา
“ไม่ ฉันต้องออกไป” เขาพูด
หมู่บ้านโดนล้อมเอาไว้เกือบหมด
“พี่ ดูเหมือนจะร้ายแรงอยู่นะ” เฉินโจวพูดในขณะที่กำลังกินแอปเปิ้ลอยู่ เขามองผ่านหน้าต่างไปทางเหนือของหมู่บ้าน
“ดูจากสถานการณ์แล้ว พวกเขาก็ควรจะระวังเอาไว้ก่อนอยู่แล้ว” เฉินหยิงพูด
“หมอหวังจะสามารถรักษาคนที่ติดเชื้อได้ไหม?” เฉินโจวถาม
“พี่คิดว่าน่าจะได้นะ ผู้ชายที่โดนกัดคนนั้นตอนนี้ก็ดูปกติดีนี่” เฉินหยิงพูด
หวังเย้ายังคงเฝ้ามองกระต่ายอยู่บนเนินเขาหนานชาน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตลอดทั้งคืน
“มันปกติดี การแตะต้องทรายไม่ได้ทำให้มันป่วย” หวังเย้าพูด “มันจะต้องมีการแพร่เชื้อทางอื่นแน่”
เขาทิ้งกระต่ายไว้อีกด้านหนึ่ง และบันทึกผลการทดลองของเขา
เมื่อเดินทางมาถึงหมู่บ้าน พันจวินก็มุ่งหน้าไปที่คลินิกของหวังเย้า
“ไม่มีใครอยู่ที่นี่เหรอ?” พันจวินเห็นป้ายแขวนเอาไว้ที่หน้าประตู “เขาไปไหนนะ?”
591 หนู
พันจวินอยู่รอสักพักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเห็นหวังเย้าเดินลงมาจากเนินเขาหนานชาน พันจวินจึงรีบเดินเข้าไปหาหวังเย้า
“สวัสดีครับ อาจารย์” พันจวินพูด
“สวัสดีครับ พี่มาที่นี่ทำไมเหรอ?” หวังเย้าถาม
“เพื่อนที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลพูดเรื่องหมู่บ้านของอาจารย์กัน ฉันก็เลยมาที่นี่ เพื่อดูว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้างรึเปล่า” พันจวินพูด
เขาได้ยินหลายคนพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน เขายังได้ยินมาว่า โรคที่เกิดในหมู่บ้านมีอัตราการแพร่ระบาดที่สูงมาก และมีอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น เขาจึงรู้สึกกังวลถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เดิมที เขาคิดจะโทรหาหวังเย้า แต่คิดอีกที เขาคิดว่าไปคุยต่อหน้าน่าจะดีกว่า
“เชิญครับ” หวังเย้าเชิญพันจวินเข้าไปในคลินิกและชงชาให้กับเขา เขารู้สึกประทับใจในท่าทีของลูกศิษย์ของเขา
“มีข่าวจากทางโรงพยาบาลบ้างไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่มีข่าว มีแต่ข่าวลือทั้งนั้น” พันจวินพูด “พวกเขาพูดกันว่า มีโรคระบาดเกิดแพร่กระจายในหมู่บ้านของอาจารย์ และทำให้คนตายไปเยอะมาก ฉันได้ยินมาว่า มีผู้เชี่ยวชาญทั้งจากห่ายชิวและจังหวัดพากันมาที่หมู่บ้าน และหมู่บ้านก็ถูกปิด ตอนที่ฉันมาถึง ฉันเห็นมีตำรวจเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านด้วย”
“จริงเหรอเนี่ย!” หวังเย้าไม่รู้เรื่องที่มีตำรวจมาที่หมู่บ้านเลย
“โรคนี่มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?” พันจวินถาม “ฉันได้ยินมาว่า มันเกิดจากเชื้อที่ไม่เคยมีการค้นพบมาก่อนด้วย”
“มันเลวร้ายมากจริงๆ” หวังเย้าพูด
ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีการประกาศของทางหมู่บ้านดังขึ้น
“คนที่ยังไม่ได้ตรวจสุขภาพ กรุณามาติดต่อกับที่ทำการหมู่บ้านโดยด่วน”
จากนั้น ก็มีการประกาศรายชื่อของคนที่ยังไม่ได้ตรวจ
พันจวินไม่ได้อยู่นานนัก เขาอาสามาที่หมู่บ้านนี้เพราะไม่มีหมอคนไหนอยากมา ดังนั้น หัวหน้าของเขาจึงชื่นชมเขามาก เขาจำเป็นต้องไปตรวจสุขภาพของชาวบ้าน ดังนั้น เขาจึงอยู่ที่คลินิกของหวังเย้านานมากไม่ได้
หลังพันจวินออกไปแล้ว หวังเย้าก็เริ่มงานของเขา เขาจำเป็นต้องหาสมุนไพรสักอย่างหนึ่ง หรืออาจจะหลายชนิดเพื่อรักษาโรคนี้ สมุนไพรจะต้องสามารถนำมาทดแทนหญ้าพิษหรือสมุนไพรถอนพิษได้ และทั้งหมดจะต้องเป็นสมุนไพรทั่วไป
ป้านจือเหลียน, ขู่ชาน, หลงต๋าน, จินหยินฮวา…
หวังเย้าเขียนรายการสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการลดความร้อนและกำจัดพิษในร่างกายได้ เขายังมีสมุนไพรเหล่านี้เก็บเอาไว้บางส่วนอีกด้วย
เดี๋ยวก่อนนะ! อยู่ๆหวังเย้าก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ ฉันควรจะลองไปดูที่หลุมนั่นดู
หวังเย้าพอจำได้ลางๆว่า มีต้นหญ้าอยู่รอบๆหลุมด้วย ต้นหญ้าเหล่านั้นจะต้องสามารถต่อต้านเชื้อจากในหลุม จึงทำให้มันสามารถเติบโตในบริเวณนั้นได้ ดังนั้น พวกมันก็สามารถนำมาเป็นสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคนี้ได้ด้วย
ใช่แล้ว! หวังเย้ารีบลงมือทันที
เขาเดินออกไปจากคลินิกและมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตก เขาสามารถมองเห็นแพทย์ที่อยู่ด้านนอกตัวบ้านของเฉินเจียกุ้ยได้จากที่ไกลๆ
มันผ่านไปได้หลายวันแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่า พวกเขาจะยังไม่ได้ทำอะไรกับร่างของเฉินเจียกุ้ย
เขามุ่งหน้าสู่เนินเขาซีชาน
รอบๆหลุมถูกกั้นเอาไว้ด้วยเทปเหลือง หวังเย้าได้กลิ่นยาฆ่าเชื้อที่เข้มข้นลอยออกมา ตัวหลุมถูกปกคลุมไปด้วยปูนขาว มีรอยเท้าย้ำอยู่ทั่วบริเวณ
ดูเหมือนจะมีคนมาที่นี่กันหลายคนเลย
หวังเย้าเดินไปรอบๆปากหลุม เขาพบพืชพันธุ์เติบโตอยู่ใกล้ๆกลับปากหลุม
พวกนี้ใช่ดอกแดนดิไลกับหญ้าหางกระรอกรึเปล่านะ?
นี่เป็นต้นพืชที่มีอยู่ทั่วไป พวกเขาเติบโตอยู่ทั่วเนินเขา รวมไปถึงปากหลุมด้วย ทีมแพทย์ยังได้เยียบย้ำพวกมันไปบางส่วนด้วย
ฉันควรจะเก็บพวกมันทั้งหมดกลับไป
หวังเย้าถอนพวกมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วนำพวกมันไปปลูกไว้บนเนินเขาหนานชาน
ภายในบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้าน มีเสียงกรีดร้องของใครคนหนึ่งดังขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้หญิงคนหนึ่งถาม
“อย่าเข้ามา! ฉันเพิ่งจะโดนหนูกัดไปเมื่อกี้!” ชายคนหนึ่งมีเลือดไหลออกมาตรงข้อเท้า
เขาเจอหนูตัวหนึ่งอยู่ภายในบ้านของเขา เขาไม่รู้ว่าหนูตัวนี้โผล่มาจากไหน มันวิ่งขึ้นๆลงๆและกำลังกัดเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านของเขา มันยังไปกัดสุนัขของเขาด้วย แล้วสุดท้าย ก็เป็นเขาที่ถูกหนูบ้าตัวนี้กัด
“ล้างเลือดออกซะ แล้วใส่ยาฆ่าเชื้อที่แผล ฉันไม่อยากให้พี่ติดเชื้อจากมัน” ภรรยาของเขาพูด
เธอเคยได้ยินมาก่อนว่า คนที่โดนหนูกัดสามารถติดโรคจากหนูได้ด้วย และมันก็อาจจะนำไปสู่ความตาย
“ได้” สามีของเธอพูด
เขาจัดการล้างแผลและใส่ยาฆ่าเชื้อ หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับบาดแผลนั้นอีก
“ฉันว่า พี่น่าจะไปตรวจที่โรงพยาบาลสักหน่อยนะ” ภรรยาของเขาเสนอ
“ไม่จำเป็นหรอก” เขาพูด
“ทำไมพี่ถึงเคยฟังคำแนะนำของฉันบ้างเลย?” ภรรยาของเขาถาม “เห็นไหม ว่ามีหมอมาที่หมู่บ้านของเราเต็มไปหมดน่ะ? พวกเขาตรวจร่างกายของชาวบ้านทุกคน แล้วยังใส่ชุดป้องกันตลอดเวลาเลยด้วย แล้วถ้าเกิดพี่ติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง? เฉินเจียกุ้ยก็ติดเชื้อ และตอนนี้เขาก็ตายแล้วด้วย”
“ก็ได้ๆ! เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ฉันจะไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ได้” สามีของเธอพูด
ก่อนที่เขาจะออกไปจากหมู่บ้าน เขาก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจหยุดเอาไว้
“นายชื่ออะไร?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม
“หวังอีเชิง” เขาตอบ
“แล้วกำลังจะไปไหน?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม
“โรงพยาบาล” หวังอีเชิงตอบ
“ทำไมต้องไปโรงพยาบาลด้วย?” เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอาการตื่นตัวขึ้นมา หัวหน้าของเขาได้บอกให้พวกเขาใส่ใจชาวบ้านที่มีอาการป่วยเป็นพิเศษ
“ฉันโดนหนูกัดน่ะ” หวังอีเชิงบอกไปตามตรง
“หนูเหรอ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่เคยเจอใครโดนหนูกัดมาก่อน
“รอเดี๋ยวนะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด เขาไม่ได้ปล่อยให้หวังอีเชิงออกไปได้ทันที
“ขนาดโรงพยาบาลก็ยังไปไม่ได้อีกเหรอเนี่ย!” หวังอีเชิงรู้สึกไม่พอใจ
“ฉันบอกว่า ให้รอเดี๋ยว!” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งมันทำให้หวังอีเชิงรู้สึกกลัว
“ก็ได้” หวังอีเชิงพูด
ครู่ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจก็กลับมา
“ไปตรงนั้นซะ!” เขาชี้ไปที่จุดหนึ่ง “ตามฉันมา”
เจ้าหน้าที่ตำรวจพาหวังอีเชิงไปที่ที่ทำการหมู่บ้าน
“คุณตำรวจ ผมมาตรวจไปเมื่อวานแล้วนะ” หวังอีเชิงพูด
“นี่ไม่ใช่การตรวจสุขภาพ พวกเขาจะตรวจนายอีกแบบหนึ่ง” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด
“เขาเป็นอะไรเหรอ?” แพทย์ถาม
“เขาโดนหนูกัดมา ผมก็เลยพาเขามาที่นี่” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด
“โดนหนูกัดเหรอ? เมื่อไหร่?” แพทย์จัดการให้คนนำตัวหวังอีเชิงเข้ารับการตรวจ
“ประมาณหนึ่งชั่วโมงที่แล้วครับ” หวังอีเชิงพูด
“อุณหภูมิร่างกายของเขาอยู่ที่ 38.2 องศา และอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 82ครั้งต่อนาที” แพทย์อีกคนพูด “ช่วยอ้าปากด้วยครับ”
“อ้า!” หวังอีเชิงอ้าปาก
“ลำคอของเขามีอาการบวม” แพทย์พูด “ทำการตรวจเลือด”
หวังอีเชิงถูกพาไปเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจอย่างรวดเร็ว ทางโรงพยาบาลได้ส่งอุปกรณ์บางส่วนมาที่หมู่บ้าน เพื่อสร้างห้องแล็ปขนาดเล็กเอาไว้ในหมู่บ้านแห่งนี้
“ผมเจอเชื้อครับ” เจ้าหน้าที่ห้องแล็ปที่มีประสบการณ์สูงพูด เขาทำการตรวจถึงสองครั้ง ก่อนที่จะรายงานเรื่องนี้ให้กับแพทย์
“คุณเจอเชื้อเหรอ?” หมอถาม
“หมอหมายความว่ายังไง?” หวังอีเชิงรู้สึกประหลาดใจ เขารู้สึกว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับตัวเอง
“ฉันจะไปรายงานเรื่องนี้กับหัวหน้าเดี๋ยวนี้เลย” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด
“รอเดี๋ยวก่อน” แพทย์ส่งสายตากังวลให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขากลัวว่า หวังอีเชิงจะไม่ยอมให้ความร่วมมือกับพวกเขา
แพทย์เหล่านี้พอจะรู้ว่า เชื้อตัวนี้อันตรายแค่ไหน เพราะพวกเขาบางคนเคยได้เห็นสภาพร่างกายของเฉินเจียกุ้ยและเห็นความร้ายกาจของไวรัสตัวนี้มาแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก หวังอีเชิงเป็นผู้ป่วยรายแรกที่พวกเขาสามารถยืนยันตัวตนได้ ต่อจากเฉินเจียกุ้ย
“เมื่อต้องจัดการกับเรื่องนี้ เราต้องระวังเป็นพิเศษ” แพทย์พูด
“ครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด
ระวังเป็นพิเศษ ก็หมายถึง หวังอีเชิงจะต้องถูกแยกตัว
ไม่นาน หวังอีเชิงก็ถูกพาตัวขึ้นรถฉุกเฉินและถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลเหลียนชาน เขาถูกจับแยกอยู่ในห้องเดี่ยวทันที เขาให้ความร่วมมือตลอดทุกขั้นตอน อย่างน้อยๆ เขาก็ดูเหมือนจะให้ความร่วมมือ
“หมอ บอกหน่อยได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม?” หวังอีเชิงถาม
“อาการของคุณมีความพิเศษ เราเลยจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษด้วย” แพทย์ของทางโรงพยาบาลพูด
“อาการแบบพิเศษเหรอ? หมายความว่าผมป่วยเป็นโรคประหลาดเหรอ?” ตั้งแต่ที่ถูกพาตัวลงมาจากรถฉุกเฉิน หวังอีเชิงก็รู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก เขารู้ว่า อาการของตัวเองค่อนข้างร้ายแรง ถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็คงจะไม่ต้องถูกแยกตัวมาอยู่คนเดียวแบบนี้
ไม่รู้ว่าเมียฉันจะทำยังไงถ้ารู้เรื่องนี้เข้า หวังอีเชิงคิด
ภรรยาของเขารู้เรื่องนี้ก่อนที่เขาจะเดินทางไปถึงโรงพยาบาล แล้วเธอก็โทรหาเขาทันที
“ฉันไม่เป็นไร แค่ต้องอยู่ที่โรงพยาบาลสักพักเท่านั้น เธอไม่ต้องมาหรอก” หวังอีเชิงพยายามกลั้นน้ำตาของเขาเอาไว้
หลังจากที่วางสายแล้ว เขาก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป เขาอยากจะร้องไห้ เขาถูกขังอยู่ห้องผู้ป่วยเพียงลำพัง เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะอาการดีขึ้นหรือไม่ เขาไม่มีใครที่สามารถพึ่งพาได้เลย เขายังไม่สามารถบอกความจริงเรื่องนี้กับที่บ้านได้ด้วย เขาไม่ต้องการให้คนที่บ้านต้องเป็นห่วง แล้วอีกอย่าง คนในครอบครัวของเขาจะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้? เขาถูกแยกตัวออกจากคนอื่น ซึ่งก็หมายความว่า คนในครอบครัวสามารถมองเขาผ่านทางกระจกได้เท่านั้น การได้มาเห็นเขาในสภาพนี้ มีแต่จะทำให้พวกเขาต้องเสียใจ
ในหมู่บ้าน หวังเย้าก็ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับหวังอีเชิงเช่นกัน
592 การทดสอบตอนกลางคืน
“อีกรอบ!”
หวังเย้าพยายามที่จะใช้สมุนไพรทั่วไป เพื่อดูว่า เขาจะสามารถนำมันไปรักษาโรคได้หรือไม่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้กลับเป็นไปได้ยาก
ช่างมันเถอะ!
บนเนินเขาหนานชาน เขาได้ปลูกดอกแดนดิไลกับหญ้าหางกระรอกที่เก็บมาจากปากหลุมไว้ที่แปลงสมุนไพรของเขา ต้นพืชเหล่านี้ค่อนข้างมีชีวิตชีวาและได้รับการรดน้ำด้วยน้ำแร่โบราณ ด้วยหมู่เมฆที่รวมตัวกันอย่างหนาแน่น จึงทำให้พวกเขามันโตได้เร็วกว่าเดิมหลายเท่า
“ในเมื่อฉันลองกับคนไข้ไม่ได้ ฉันก็คงจะต้องรบกวนเจ้ากระต่ายอีกรอบแล้ว!” สายตาของเขาตกลงไปที่กระต่ายตัวน้อย ที่ขุดคู้อยู่ภายในกรงเงียบๆ
มันดูป่วยหนักและไร้เรี่ยวแรง มันมีอาการแบบนี้ตั้งแต่คืนก่อน ทั้งๆที่ในตอนแรก มันก็ยังเป็นปกติดีอยู่
ในตอนแรก หวังเย้าไม่เข้าใจถึงสาเหตุ แต่หลังจากที่เขาสงบสติและคิดดูดีดีแล้ว เขาก็คิดได้ว่า มันอาจจะเป็นเพราะผลจากสมุนไพรรากที่เขาปลูกเอาไว้
หญ้าพิษสามารถปล่อยพลังงานที่ขับไล่แมลงได้ทุกชนิด เซียนชิวหลัวสามารถผลิตกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมันสามารถสร้างภาพลวงตา รวมไปถึงทำให้คนที่ดมกลิ่นของมันเกิดอาการหัวใจเต้นเร็วและคลื่นไส้ แม้แต่มนุษย์ยังได้รับผลกระทบจากมัน ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงกระต่ายที่มีความต้านทานต่ำกว่า มันสามารถอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้ ก็ต้องขอบคุณยาที่หวังเย้าป้อนให้มันกินในตอนแรก
“อดทนไว้ก่อนนะ! เรามีเรื่องสำคัญที่ยังต้องทำอีก” หวังเย้าพูด
อันดันแรก เขาต้องต้มยาสมุนไพร ซึ่งมีป้านจือเหลียน, ขู่ชาน, หลงต๋าน, จินหยินฮวา, และกานเฉา ทั้งหมดนี้เป็นสมุนไพรที่เขาได้เลือกเอาไว้ก่อนแล้ว รวมไปถึงดอกแดนดิไลกับหญ้าหางกระรอกด้วย
ฟืนกำลังลุกไหม้อยู่ภายในกระท่อมเกิดเสียงแตกของไม้ เขาใช้หม้ออเนกประสงค์และเทน้ำแร่โบราณลงไป สมุนไพรถูกใส่ลงไปในหม้อทีละต้นๆ ไม่นาน ยาภายในหม้อก็เริ่มเดือด มันส่งกลิ่นฉุนลอยออกมา ในเวลาไม่นาน ตัวยาก็ได้ที่
ต่อมา หวังเย้าก็ต้องนำยาไปให้กับกระต่ายที่ติดเชื้อ ฉันจะทำอย่างนั้นได้ยังไงกันนะ? จริงด้วย!
เขาได้เก็บเนื้อเยื่อของกระต่ายที่มีอาการบ้าคลั่งในครั้งก่อนเอาไว้ เขาจัดการห่อมันและเก็บเอาไว้ในช่องเก็บของ
เมื่อมีแหล่งเพาะเชื้ออยู่ เขาก็สามารถทำให้กระต่ายขาวตัวน้อยติดเชื้อได้ในที่สุด ไม่นาน มันก็เริ่มแสดงอาการให้เห็น
ในตอนเริ่มแรกของอาการ ที่กระต่ายเริ่มมีอาการบ้าคลั่งเล็กน้อย หวังเย้าก็จัดการบังคับให้มันกินยาที่เขาทำขึ้นมาเข้าไปส่วนหนึ่ง กระต่ายมีอาการต่อต้านอย่างรนแรงและไม่ยอมให้ความร่วมมือเลยแม้แต่น้อย มันพยายามจะกัดหวังเย้า แต่ก็ไม่สำเร็จ และทำให้ฟันของมันแตกแทน
แม้แต่สิงโตคลั่ง หวังเย้าก็สามารถบังคับให้มันกินยาได้ถ้าเขาต้องการ ดังนั้น กระต่ายตัวเล้กแค่นี้ ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลย หลังจากบังคับให้มันกินยาเข้าไปสำเร็จแล้ว เขาก็วางกระต่ายกลับลงไปในกรง
โฮ่ง!
“ไม่ต้องรีบ” หวังเย้าพูด
หนึ่งคนและหนึ่งสุนัขนั่งดูปฏิกิริยาของกระต่ายอยู่เงียบๆ
…
ภายในโรงพยาบาลเหลียนชาน
“อุณหภูมิร่างกายอยู่ที่ 39 องศา อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 90ต่อนาที” แพทย์พูด “มันเริ่มแย่ลงแล้ว!”
ภายในออฟฟิสชั่วคราวที่ทางโรงพยาบาลได้เตรียมเอาไว้ มีทั้งผู้เชี่ยวชาญของเขต, เมือง, และจังหวัดกำลังปรึกษากันอยู่ โดยมีผู้เชี่ยวชาญของทางจังหวัดเป็นผู้นำทีม
“อาการของคนไข้เริ่มทรุดลงอย่างต่อเนื่อง และสภาวะทางอารมณ์ของเขากลายเป็นฉุนเฉียวง่าย” แพทย์คนหนึ่งพูด “จากผลเลือดที่ได้มา เชื้อได้กระจายตัวอย่างรวดเร็วและเข้าสู่กระแสเลือดเรียบร้อยแล้ว ทำให้ตอนนี้ปริมาณของเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวลดลงอย่างรวดเร็ว”
พวกเขามองผ่านกล้องจุลทรรศน์ ที่สามารถมองได้ด้วยตาข้างเดียว ภายในนั้นมีเชื้อแบคทีเรียอยู่เป็นจำนวนมาก เซลล์ภายในร่างกายถูกลดจำนวนลงอย่างรวมดเร็ว
“เพิ่มแอนติไบโอติกเข้าไป” แพทย์คนหนึ่งพูด
ในสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเขายังไม่มีวิธีจัดการที่ดีกว่านี้ แล้วมันยังเป็นเชื้อที่ไม่เคยมีการค้นพบมาก่อนด้วย แล้วอัตราการแพร่กระจายของมันก็ยังรวดเร็วมาก
“ปล่อยฉันออกไป ทำไมต้องขังฉันเอาไว้ด้วย?” หวังอีเชิงส่งเสียงคำรามอยู่ภายในห้องผู้ป่วย เขากัดฟันจนสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน
เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง ดวงตาของเขาแดงก่ำและหายใจถี่รัว ในบางครั้ง เขาก็จะเดินไปที่กระจกและใช้มือทุบ
“ใช้ยาระงับประสาท” แพทย์คนหนึ่งพูด “ระวังด้วย อย่าเผลอไปทำร้ายเขาเข้าล่ะ”
มีคนสวมชุดป้องกันเดินเข้าไปในห้อง
“ปล่อยฉันออกไป!” หวังอีเชิงคำรามออกมาอีกครั้ง
เมื่อเขาเห็นว่ามีคนเดินเข้ามา เขาก็พุ่งตัวเข้าไปคว้าคอของหมอคนหนึ่งเอาไว้ คนอื่นที่เข้ามาพร้อมกันจึงรีบเข้าไปช่วยกันกดเขาลงกับพื้น แรงต่อต้านของเขานั้นรุนแรงมาก
“ยา!” แพทย์คนหนึ่งตะโกน
พยาบาลรีบนำยาระงับประสาทฉีดให้กับเขา เขายังคงพยายามดิ้นรนและอ้าปากเพื่อกัดพวกเขา
“ระวังด้วย” แพทย์พูด
“ยาระงับประสาทไม่ได้ผลค่ะ” พยาบาลพูด
“อะไรนะ?” เจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายในห้องต่างก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
แคว๊ก! ชุดป้องกันของหนึ่งในพวกเขาเกิดฉีกขาด
“มัดเขาเอาไว้!” แพทย์ตะโกน
คนบ้าคนหนึ่งได้สามารถปลดปล่อยพละกำลังและพลังทำลายล้างที่ล้นเหลือจนเกินคาด เจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายในห้องต้องก็พยายามระวังตัวไม่ให้โดนเขากัด ดังนั้น มันจึงเป็นภาพสถานการณ์ที่ดูชุลมุนมาก
เมื่อสถานการณ์ถึงจุดวิกฤต เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่สวมชุดป้องกันได้รีบเข้ามาในห้อง ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา ทุกคนก็สามารถจับคนไข้ที่มีอาการบ้าคลั่งมัดแขนขาติดกับเตียงไว้ได้ และอุดปากของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เขากัดลิ้นตัวเอง
“นายโอเคไหม? ตอนโดนกัดเจ็บรึเปล่า?” แพทย์คนหนึ่งถาม
“ไม่เจ็บ ต้องขอบคุณชุดป้องกันกับชุดที่ใส่ข้างในล่ะนะ” แพทย์อีกคนพูด
ทีมแพทย์ทุกคนที่เข้าไปในห้องขังแยก ตอนนี้ พวกเขาทั้งหมดอยู่ภายในการสังเกตอาการเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ติดเชื้อ
“ทำไมยาระงับประสาทถึงไม่ได้ผลล่ะคะ?” นางพยาบาลคนหนึ่งถาม
“ยาระงับประสาทจะสร้างปฏิกิริยากับระบบประสาทของมนุษย์” แพทย์คนหนึ่งพูด “ที่มันไม่ได้ผล ก็แสดงว่า ระบบประสาทของคนไข้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก”
“ถ้าเป็นแบบนี้ พวกยานอนหลับก็คงจะใช้ไม่ได้ผลเหมือนกันสินะคะ” พยาบาลพูด
“ถูกแล้วล่ะ แต่มันก็มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง บางทีปริมาณยาระงับประสาทที่ใช้อาจจะน้อยเกินไปก็ได้” แพทย์พูด
“เราให้เป็นแบบน้ำเกลือไม่ได้ด้วย” แพทย์อีกคนพูด
“มันจะต้องใช้เข็มฉีดยาเท่านั้น” แพทย์พูด
…
ภายในแปลงสมุนไพรบนเนินเขาหนานชาน กระต่ายที่อยู่ภายในกรงเริ่มมีอาการกระวนกระวายและกระโดดไปมา
“ไม่ได้ผลเหรอ?” หวังเย้าพูด “อีกครั้ง!”
เขานำตัวกระต่ายออกมาจากกรง กระต่ายดีดขาทั้งสองข้างของมันและพยายามจะกัดอะไรบางอย่าง ก่อนที่มันจะทันได้แตะต้องหวังเย้า มันก็โดนกำแพงพลังฉีที่มองไม่เห็นกั้นเอาไว้
“โอ้ เป็นเด็กดีนะ” หวังเย้าบังคับให้มันกินยาเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง ก่อนที่จะใส่มันกลับเข้าไปในกรง
กระต่ายยังคงกระโดดไปมา มันไร้สติอย่างสิ้นเชิง มันทั้งกัดกินก้อนหินและใช้ศีรษะพุ่งชนกรงหิน
“ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล” หวังเย้าพูด
ในตอนที่เขากำลังคิดหาวิธีอื่นอยู่นั้น กระต่ายก็เริ่มแสดงท่าทีสงบลง มันบอกได้ยากว่าเป็นเพราะ มันเหนื่อยหรือเพราะสาเหตุอื่น
เมื่อเห็นภาพนี้ หวังเย้าก็รู้สึกยินดี
กริ๊ง!
เขามองดูหน้าจอมือถือและเห็นว่าเป็นเบอร์แม่ของเขา
“แม่ ผมไม่กลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านนะครับ” หวังเย้าพูด “แม่กับพ่อต้องระวังตัวด้วยนะ”
เขากลับไปดูกระต่ายต่อ ซึ่งตอนนี้มันดูเชื่องช้าลงกว่าเดิมมาก มันยังคงกระโดดไปมาและกัดกินสิ่งต่าง แต่ความถี่ได้ลดลงไป
“ยาแสดงผล หลังจากผ่านไปได้ 5 ชั่วโมง” หวังเย้าถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ดอกแดนดิไลกับหญ้าหางกระรอกคงจะเป็นตัวหลักที่ช่วยเรื่องนี้”
เขาหยิบกระต่ายออกมาจากกรงและเอายาป้อนให้มันกิน
หวังเย้าอยู่บนเขาตลอดทั้งวัน กว่าเขาจะรู้ตัว มันก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว
กระต่ายเริ่มสงบลง แต่ร่างกายของมันซูบผอมลงไปมาก
“ในที่สุด มันก็สงบลงได้” หวังเย้าพูด
โฮ่ง!
หวังเย้าไม่มีความคิดที่จะกลับไปนอน เขายังอยากจะเฝ้าสังเกตอาการของกระต่ายต่อไป
…
ถึงแม้ว่ากระต่ายจะสงบลงแล้ว แต่คนไข้ที่อยู่ภายในห้องผู้ป่วยเดี่ยวของโรงพยาบาลกลับไม่สามารถควบคุมได้เลย
“อุณหภูมิร่างกายอยู่ที่ 39.2 องศา และอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 100 ครั้งต่อนาที” แพทย์พูด “เชื้อมีการเพิ่มจำนวนขึ้น และปริมาณของเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง”
คนไข้ที่ถูกมัดติดกับเตียงได้พยายามดิ้นรนอย่างรุนแรง ผิวบริเวณแขนของเขาเกิดบาดแผลและมีเลือดออก
“ระวังด้วยล่ะ เชื้อสามารถแพร่กระจายผ่านทางของเหลวในร่างกายได้” แพทย์คนหนึ่งพูด
ในตอนนี้ นั่นคือข้อสรุปในขั้นแรกของพวกเขา ที่มากไปกว่านั้นก็คือ การรักษาแต่ละอย่างของพวกเขาไม่ได้ผลเลย พวกเขาไม่รู้เลยว่าควรจะทำยังไงกันต่อ
“ไว้มาคิดเรื่องนี้ตอนประชุมกันพรุ่งนี้อีกทีแล้วกัน” แพทย์คนหนึ่งพูด
มันคงจะดีกว่านี้ ถ้ามันเป็นแค่เนื้อร้าย เพราะอย่างน้อย มันก็ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่โชคร้ายที่เป็นที่ชัดเจนว่า โรคนี้คือโรคติดต่อที่มีอัตราการแพร่กระจายสูงและร้ายแรงมาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น