Elixir Supplier 573-584

 573 เหลือเชื่อ!


 


“พยายามเรียนรู้จากเขาให้มากที่สุดล่ะ” พันเหมยพูด “ให้ตั้งใจเวลาเรียนกับเขา ถึงเขาจะยังเด็กมากก็ตามที!”


 


“แน่นอนอยู่แล้ว ผมตั้งใจเรียนกับเขาตลอด” พันจวินพูด


 


“พูดตามตรงนะ เดิมที ผมไม่ได้คิดว่าเขาจะเป็นหมอที่เก่งอะไรเลย เพราะเขายังเด็กอยู่มาก ผมไม่ควรตัดสินคนจากอายุของเขาเลย ตอนนี้ ผมเชื่อแล้วว่า เขาเป็นหมอที่สุดยอดมาก เขาเป็นอัจฉริยะของแท้เลยล่ะ”


 


“ดี ในเมื่อเขายินดีที่จะสอนนาย นายก็ต้องใช้โอกาสนี้เก็บเกี่ยวให้มากที่สุด ฉันคิดว่า เขาเก่งเรื่องจับชีพจรมากเลยนะ” พันเหมยพูด


 


“เขาเก่งทั้งเรื่องจับชีพจร, จ่ายยา, นวดรักษา, และฝังเข็ม เขาเก่งไปหมดทุกอย่างนั่นแหละ” พันจวินพูด “แต่ตอนนี้ ผมอยากเรียนการนวดจากเขาเท่านั้น เรียนให้ดีไปทีละอย่างดีกว่า”


 


“เมื่อมีโอกาสในอนาคต นายก็ค่อยเรียนรู้ทักษะอย่างอื่นจากเขาเพิ่ม” พันเหมยพูด


 


“แน่นอน” พันจวินพูด เขามีความคิดแบบนั้นเช่นกัน


 


ในตอนแรก เขาเพียงแค่อยากจะเรียนการนวดเท่านั้น จากนั้น เขาก็ค่อยๆเปลี่ยนความคิดและอยากจะเรียนทักษะอื่นๆด้วย ดีที่เขาไม่ใช่คนโลภมากหรือไม่จริงจังกับการเรียน แล้วเขาก็มีเวลาจำกัดและพลังงานที่จะเรียนรู้ทักษะจากหวังเย้าได้เพียงแค่หนึ่งอย่างเท่านั้น ในเมื่อหวังเย้ายินดีที่จะสอนเขา เขาก็อยากจะพยายามอย่างเต็มที่


 


ภายในหมู่บ้าน หวังเย้ากำลังทานอาหารอยู่ที่บ้าน


 


“คนไข้ไปกันหมดแล้วเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ครับ” หวังเย้าพูด


 


“พวกเขาดูร้อนใจกันมากเลยนะ” จางซิวหยิงพูด “เด็กคนนั้นคงจะป่วยหนักมากสินะ?”


 


“ตอนนี้ ทุกคนปลอดภัยดีแล้วครับ” หวังเย้าพูด เขาไม่อยากจะพูดถึงคนพวกนั้นอีก เขาไม่ต้องการให้แม่ของเขาต้องมากังวลเรื่องของคนอื่น “ทุกอย่างเรียบร้อยดี”


 


หวังเย้าไม่ได้กลับไปที่คลินิกหลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จ แต่เขากลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน เพื่อที่จะปลูกต้นไม้ต่อ ขั้นต่อไปก็คือการรดน้ำต้นไม้


 


เขาใช้น้ำแร่โบราณเจือจางกับน้ำเปล่าในการรดน้ำต้นไม้เหล่านี้ เขาไม่ได้มีน้ำแร่โบราณจำนวนมาก ดังนั้น เขาจึงต่อท่อเพื่อนำส่งน้ำแร่จากบนยอดเขาลงมารดน้ำต้นไม้ทั้งหมด


 


ซานเซียนเฝ้ามองหวังเย้าทำงานอย่างมีความสุข


 


“ซานเซียน นายคิดว่า เนินเขาหนานชานสูงขึ้นรึเปล่า?” หวังเย้ามองดูเนินเขาทางทิศตะวันตก ซึ่งดูเหมือนจะเตี้ยกว่าทุกที


 


โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนยกขาหน้าของมันขึ้นมา


 


“นายหมายความว่ายังไง?” หวังเย้าถามด้วยความประหลาดใจ


 


โฮ่ง! โฮ่ง!


 


“นายจะบอกว่า เนินเขากำลังเคลื่อนตัวอยู่อย่างนั้นเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


โฮ่ง!


 


“โฮ้!” หวังเย้าสูดลมหายใจเข้าลึก


 


เขานั่งลงกับพื้นเพื่อทำใจให้สงบ แล้วปลดปล่อยพลังฉีออกมาเพื่อสื่อสารกับจักรวาล พลังโดยรอบถูกกระตุ้นขึ้นมา


 


อะไรกัน?


 


หวังเย้ารับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวข้างใต้ พลังรอบๆตัวเขายังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นการแสดงให้เห็นว่าพื้นโลกข้างใต้เขากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เพื่อเป็นการพิสูจน์ความคิดของเขา เขาจึงเดินไปที่เนินเขาทางทิศตะวันออก แต่กลับไม่รู้สึกถึงอะไรเป็นพิเศษเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน เมื่อเขาเดินไปอยู่บนเนินเขาทางทิศตะวันตก เรื่องนี้ทำให้เขามั่นใจว่า เนินเขาหนานชานกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอยู่


 


เนินเขาสามารถสูงขึ้นเหมือนมนุษย์ได้ด้วยเหรอ? นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!


 


หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจมาก เขาเดินไปรอบๆเนินเขา เพื่อหาของบางอย่างเป็นการยืนยัน ว่าเนินเขากำลังเติบโตขึ้นจริงหรือไม่ แต่เขาก็หาอะไรไม่เจอเลย เขาทำได้แค่คาดเดาการเปลี่ยนแปลงของเนินเขาหนานชาน ด้วยการเปรียบเทียบกับเนินเขาทางทิศตะวันตกและออกเท่านั้น


 


มันอยู่ในช่วงของเดือนมีนาคม ดังนั้น อากาศจึงอบอุ่นขึ้น เวลากลางวันก็นานขึ้นตามไปด้วย


 


ชาวบ้านหลายคนออกมาจากบ้านเพื่อพูดคุยกับคนอื่นๆ หลังจากที่ทานอาหารเย็นกันเสร็จแล้ว หัวข้อสนทนาที่กำลังเป็นที่นิยมในตอนนี้ก็คือ เรื่องอพาร์ทเมนต์ที่กำลังก่อสร้างในตัวเมืองเหลียนชาน


 


“ฉันได้ยินมาว่า พวกเขาจะสร้างเสร็จตอนวันที่ 1 เดือนพฤษภาคมนะ” ชาวบ้านวัยกลางคนพูด “ตอนนั้น เราก็จะเข้าไปเลือกห้องกันได้แล้ว”


 


“ใช่ๆ แฟนของลูกชายฉันก็เพิ่งจะถามเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน” เพื่อนบ้านของเขาพูด “เมื่อปีที่แล้ว ฉันกังวลเรื่องนี้มาก รู้อะไรไหม เดี๋ยวนี้น่ะ เราต้องเตรียมอพาร์ทเมนต์เอาไว้ให้ลูกๆตอนแต่งงาน โชคดีที่เราได้โอกาสดีแบบนี้”


 


“ทำไมคุณซุนถึงไม่ได้มาที่นี่นานแล้วล่ะ?” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม


 


“ใช่ หวังว่า เรื่องอพาร์ทเมนต์คงจะไม่มีปัญหาอะไรนะ” ชาวบ้านอีกคนพูด


 


“ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก แล้วพวกเราก็เซนต์สัญญากันเรียบร้อยแล้วด้วย” ชาวบ้านที่ยืนอยู่ด้วยกันพูด


 


ชาวบ้านเกือบครึ่ง ต่างยินดีที่จะนำบ้านในหมู่บ้านของพวกเขาแลกเปลี่ยนกับอพาร์ทเมนต์ในตัวเมืองเหลียนชาน นี่เป็นเรื่องที่เห็นกันได้ชัดเจนอยู่แล้ว ซึ่งก็หมายความว่า เมื่อการก่อสร้างเสร็จสิ้น ชาวบ้านครึ่งหนึ่งก็จะย้ายออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้ บ้านเกือบครึ่งหนึ่งมีสภาพที่เก่ามากแล้ว ชาวบ้านอีกหลายคนที่มีบ้านสองหลัง บ้านที่ใหม่กว่ามักจะมีไว้สำหรับลูกชายที่แต่งงานแล้ว


 


“เสี่ยวเย้าอยู่นั่นไง ลองถามเขาดูสิ” ชาวบ้านคนหนึ่งเสนอขึ้นมา


 


ชาวบ้านเรียกหวังเย้าที่กำลังเดินลงมาจากเนินเขาหนานชาน เพื่อถามเรื่องอพาร์ทเมนต์


 


“เอ่อ ทุกคนก็ได้เซนต์สัญญากันแล้วนี่ครับ แล้วมันก็เป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย ผมคิดว่า คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ” หวังเย้าพูด


 


“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ดี” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด


 


เมื่อหวังเย้าเดินเข้าสู่ถนนเส่นที่มุ่งสู่บ้านของเขานั้น เขาก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังขี่มอเตอร์ไซด์มาจากทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ชายคนนั้นดูเหน็ดเหนื่อยและเนื้อตัวสกปรกมาก


 


หืม!


 


หวังเจ๋อเชิงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เขาทำงานมาตลอดทั้งวัน แล้วในตอนเย็น เขายังทำงานกะพิเศษในโรงงานเล็กๆอีกสามชั่วโมงด้วย เขาทำแบบนี้มาได้เดือนกว่าแล้ว เขาไม่เคยทำงานหลายชั่วโมงหรือเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนเลย แต่เขาคิดว่าที่เขาทำมันคุ้มค่ามาก


 


“สวัสดีครับ เพิ่งจะกลับมาเดี๋ยวนี้เองเหรอครับ?” หวังเย้าทักทายหวังเจ๋อเชิง


 


หวังเจ๋อเชิงเปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคนไปเลย เขาเปลี่ยนทั้งความคิดและจิตใจ ดังนั้น ทัศนคติที่หวังเย้ามีต่อเขาก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน


 


“สวัสดี ใช่ ฉันเพิ่งจะกลับมานี่แหละ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ อย่าทำงานหักโหมจนเกินไป” หวังเย้าพูด


 


ทุกคนสามารถมองออกได้ว่า หวังเจ๋อเชิงเหนื่อยขนาดไหน


 


เหมือนอย่างที่คนสมัยก่อนพูดเอาไว้ว่า การทำงานหนักเกินไป จะส่งผลในร่างกายทรุดโทรม เมื่อคนเราเหนื่อยล้าเกินไป ร่างกายก็จะไม่สามารถต้านทานแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสได้


 


“ฉันรู้แล้ว” หวังเจ๋อเชิงพูด แล้วเขาก็ขี่มอเตอร์ไซด์กลับไปที่บ้าน


 


หวังเย้าออกมาจากบ้านตอนสามทุ่มครึ่ง แล้วเขาก็เห็นหวังเจ๋อเชิงอีกครั้ง


 


“หืม?”


 


“ว่าไง กำลังจะกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงหยุดรถและทักทายหวังเย้า


 


“ครับ” หวังเย้าพูด “แล้วพี่กำลังจะไปที่ไหนเหรอ?”


 


“ฉันได้งานหนึ่งที่ในเมืองน่ะ พวกเขาให้ฉันทำงาน 2-3 ชั่วโมงทุกคืน” หวังเจ๋อเชิงพูดด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเหนื่อย แต่เขาก็รู้สึกว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้น


 


หลังจากที่เงียบไปพักหนึ่ง หวังเย้าก็พูดออกมาว่า “กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะครับ”


 


“โอเค ไว้เจอกันนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


หวังเย้าคิดในใจ เขาเปลี่ยนไปมากเลย!


 


มันเป็นเรื่องธรรมดาและปกติสำหรับผู้ชายคนหนึ่ง ที่ตะทำงานหนักเพื่อครอบครัวของเขา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด


 


บนเนินเขาหนานชานเงียบสงัด หวังเย้ากำลังเตรียมสมุนไพรเพื่อทำยา เขาหยิบเอาหวงฉี, ตานเซิน, โท่วกู่เฉา, หลินจือ, ป่ายเฉา, หญ้าลี่, จื้อชาน, ชางหยาง, และกุยหยวนออกมา


 


นี่เป็นสูตรยาที่จะใช้สำหรับรักษาพ่อของหวังเจ๋อเชิง มันมีสมุนไพรรากอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 ชนิด คุณค่าของตัวยาด้อยกว่าเม็ดยาอายุวัฒนะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้น ประสิทธิภาพและสรรพคุณของตัวยาจึงสูงมาก ชายชราจำเป็นต้องได้รับตัวยาที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อยืดเวลาชีวิตของเขาให้ยาวนานขึ้น


 


ฉันสามารถปรับสูตรยาได้นิดหน่อย หวังเย้าพูด


 


เขาวางแผนที่จะใช้สูตรยานี้รักษาชายหนุ่มที่มาให้เขาตรวจในตอนเช้า เขามีเนื้องอกอยู่ในร่างกาย


 


ฉันจะเอาจื้อชานออกและเปลี่ยนกุยหยวนเป็นกานเฉา


 


หวังเย้าปรับเปลี่ยนสูตรยาไปเล็กน้อย


 


ฉันไม่รู้ว่ามันจะได้ผลไหม จนกว่าเขาจะกินมันเข้าไป


 


เขามีสมุนไพรอยู่ครบทุกตัวแล้ว รวมไปถึง จื้อชานด้วย


 


หวังเย้าตัดสินใจต้มยาในคืนนี้เลย ในช่วงแรก เขาจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องเวลาในการต้มยาด้วย แต่เมื่อมีค่ายกลรวมวิญญาณแล้ว เวลาก็กลายเป็นเรื่องไม่สำคัญในทันที


 


สิ่งเดียวที่เขาขาดตอนนี้ก็คือฟืน


 


หลังจากที่หวังเย้าสร้างค่ายกลรวมวิญญาณขึ้นมา พลังรอบๆเนินเขาหนานชานก็มารวมตัวกันที่แปลงสมุนไพรของเขา มันไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อเนินเขาหนานชานเท่านั้น แต่มันยังส่งผลต่อพื้นที่โดยรอบอีกด้วย ต้นไม้และดอกไม้บนเนินเขามีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และแทบจะไม่มีต้นไม้ตายอยู่ในบริเวณนี้เลย มันจึงต้องใช้เวลาพักหนึ่ง กว่าที่หวังเย้าจะเก็บฟืนได้ตามจำนวน


 


ฉันน่าจะซื้อฟืนมาไว้ใช้สักหน่อย หวังเย้าคิด


 


ตัวยากำลังเดือดอยู่ภายในหม้ออเนกประสงค์  หวังเย้าใส่สมุนไพรลงไปในหม้อทีละต้นๆ สมุนไพรกลืนเข้ากับตัวยา และทำให้สีของน้ำเข้มขึ้นเรื่อยๆ


 


“เรียบร้อย!”


 


ตัวยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ตัวยาเย็นลง หวังเย้าก็เทยาใส่ลงไปในขวดกระเบื้องสีขาว จากนั้น เขาก็ปิดไฟและเข้านอน


 


มันเป็นค่ำคืนที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมพัดให้ได้ยินเท่านั้น


 


โฮ่ง!


 


อยู่ๆซานเซียนก็ลุกขึ้นยืนจากในบ้านสุนัขของมัน


 


พรึ่บ! ต้าเซี่ยกระพือปีกของมัน


 


ซี่ๆๆ! ซี่ๆๆ! เสี่ยวเฮยชูคอขึ้นเหนือหญ้า


 


หืม? หวังเย้าผุดลุกขึ้นจากเตียงนอน


 


เกิดอะไรขึ้นกัน?


 


เขาเพิ่งจะรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังโดยรอบ จากความสามรถในตอนนี้ของเขา เขาสามารถรับรู้เหตุการณ์โดยรอบ ถึงแม้ว่าเขาจะหลับอยู่ก็ตามที


574 เหงื่อออกเป็นน้ำมัน


 


เมื่อเขาตื่นขึ้นมา ความรู้สึกนั้นก็หายไป มันมาและไปอย่างรวดเร็ว


 


“หรือฉันจะแค่คิดไปเอง?” หวังเย้าพูด


 


เขาเดินออกไปที่แปลงสมุนไพร ซานเซียนเดินออกมาจากบ้านสุนัขและตรงมาหาเขา


 


“ซานเซียน นายพบความผิดปกติอะไรไหม?” หวังเย้าถาม


 


โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนใช้ขาของมันครูดไปที่พื้น


 


“ภูเขาเหรอ?” หวังเย้าหลับตาลงและปลดปล่อยกำลังภายในออกมา


 


พลังฟ้าดินภายในค่ายกลรวมวิญญาณนั้นเข้มข้นมาก มันจึงไม่สามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เขาจำเป็นต้องกลับขึ้นไปบนยอดเขา


 


ไม่มีอะไรผิดปกติเลย “แปลกจริงๆ”


 


ตอนนี้ ไหนๆหวังเย้าก็ตื่นเต็มตาแล้ว เขาจึงไม่รีบกลับไปนอน และเลือกที่จะเดินดูรอบๆเนินเขาแทน เขาไม่พบอะไรที่ผิดปกติเลย ดังนั้น เขาจึงได้แต่ต้องกลับไปนอนเหมือนเดิม


 


วันต่อมา ท้องฟ้าอึมครึม เวลา 9 โมงเช้า มีฝนโปรยลงมาบางๆพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง


 


หวังเย้าอยู่ภายในคลินิกเพียงลำพัง เมื่อไม่มีคนไข้ หวังเย้าก็นั่งอ่านตำราแพทย์และดื่มชาไปด้วย


 


เวลาประมาณ 10 โมง ก็มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาในหมู่บ้านและจอดที่หน้าคลินิก ชายหนุ่มสองคนลงมาจากรถคันนั้น


 


“ฝนตก” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูด


 


“ฝนตกก็ดีแล้ว” ชายหนุ่มอีกคนพูด “ฝนฤดูใบไม้ผลมีค่าพอๆกับน้ำมัน”


 


“บ้าสิ” ชายหนุ่มคนแรกพูด “ฉันสงสัยจริงๆ ว่าหมอจะหลอกฉันรึเปล่า”


 


ชายหนุ่มทั้งสองเดินตรงไปที่คลินิกและเคาะประตู


 


“เชิญครับ” มีเสียงดังมาจากด้านใน


 


“พระเจ้า!” คนทั้งสองรู้สึกตกใจ พวกเขารู้สึกราวกับว่า เสียงนั้นดังขึ้นในหูของพวกเขาเอง เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปด้านใน พวกเขาก็พบว่า หวังเย้ากำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งและมีถ้วยชาวางอยู่หนึ่งใบ


 


“หมอ คุณนั่งอยู่ตรงนี้ตลอดเลยเหรอ?” หนึ่งในชายหนุ่มสองคนถาม


 


“ครับ มีอะไรเหรอ?” หวังเย้าพูด


 


“เอ่อ ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มพูด


 


“นี่ครับยา” หวังเย้าวางยาที่เตรียมเอาไว้ลงบนโต๊ะ รวมถึงวิธีการกินและข้อควรระวังด้วย “กลับมาหลังจากนี้อีกสามวันนะครับ”


 


“เท่าไหร่ครับ?” ชายหนุ่มถาม


 


“100,000 หยวนครับ” หวังเย้าพูด


 


“อะไรนะ?” ถึงพวกเขาจะเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่ชายร่างสูงและเพื่อนของเขาก็รู้สึกตกใจอยู่ดี “มันคืออะไรกัน?”


 


“ก็แค่ยาขวดเดียวเท่านั้นไม่ใช่เหรอไง?” ชายหนุ่มถาม “นี่มันแพงเกินไปแล้ว!”


 


“แพงงั้นเหรอ? แล้วคุณคิดว่า โสมอายุ 100 ปีราคาอยู่ที่เท่าไหร่ล่ะครับ?” หวังเย้าถาม


 


“มันใส่โสมอายุมากขนาดนั้นไว้ด้วย!” ชายหนุ่มร่างสูงตกตะลึง ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริง ยาตัวนี้ถือว่าไม่แพงเลย “ผมจะจ่าย”


 


หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็จัดการโอนเงินผ่านทางมือถือให้หวังเย้า ซึ่งเป็นเรื่องที่สะดวกมาก


 


“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกคุณก็กลับได้เลยครับ” หวังเย้าพูด


 


“โอเค ขอบคุณ” ชายหนุ่มทั้งสองออกไปจากคลินิก


 


“พระเจ้า! ยาขวดเดียวราคาเป็นแสนเลยเหรอเนี่ย” ชายหนุ่มที่เตี้ยกว่าพูด “ขนาดทองยังไม่แพงเท่านี้เลยด้วยซ้ำ!”


 


“ถ้ามันเป็นอย่างที่เขาพูดและมีโสมร้อยปีอยู่ในตัวยาจริง ฉันก็คิดว่ามันคุ้มค่านะ” ชายหนุ่มที่สูงกว่าพูด


 


“เขาหาเงินง่ายจริงๆนะ” ชายอีกคนพูด “แล้วนายจะรู้ได้ยังไง ว่าที่เขาพูดมาเป็นเรื่องจริงรึเปล่า?”


 


“เรื่องนี้ง่ายมาก ลองกินยานี่ดูก็รู้แล้ว” ชายหนุ่มร่างสูงพูด “ถ้าเขาโกหกฉัน ฉันจะทำให้แน่ใจ ว่าเขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตเลยล่ะ!”


 


“นี่ แล้วเสียงที่เราได้ยินก่อนหน้านี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงเหรอ?” เพื่อนของเขาถาม


 


“ถ้าไม่ใช่เขาแกล้งทำเป็นผี ก็เป็นเพราะความสามารถจริงๆของเขาเอง” ชายหนุ่มร่างสูงพูด


 


เสียงฟ้าร้องดังอย่างต่อเนื่อง ฝนตกลงมาตลอดทั้งวัน นอกจากชายหนุ่มสองคนนี้แล้ว ก็ไม่มีใครมาที่คลินิกอีก หวังเย้านั่งอ่านตำราแพทย์อยู่เงียบๆไปจนถึงเวลากลางวัน เพราะเมฆฝนและฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ท้องฟ้าวันนี้มืดกว่าปกติ


 



 


ที่ต้าหลี่ก็มีฝนตกด้วยเช่นกัน ฝนฤดูใบไม้ร่วงที่นี่ยังตกหนักกว่าอีกด้วย


 


“ฉันหิว” ชายที่ถูกพันผ้าพันแผลจนทั่วตัวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง


 


เขาคือลูกชายคนที่สี่ของบ้านหาน ตั้งแต่ที่เขาได้รับการรักษาจากราชายา อาการของเขาก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อย ตอนนี้เขาก็พอจะพูดได้บ้างแล้ว ความทรมานที่เขาต้องเผชิญก่อนหน้านี้ ไม่ต่างอะไรจากการอยู่ในนรกเลย


 


“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะให้คนเอาข้าวมาให้นาย” หานชิ่งพูด “นายรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”


 


“ฉันยังคันไปหมดทั้งตัวอยู่เลย” น้องคนเล็กพูด


 


“คันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ มันถือว่าเป็นสัญญาณว่าอาการของนายกำลังดีขึ้น” หานชิ่งพูด เขาพยายามปลอบน้องชายของเขา


 


“ฉันคงจะทำให้พี่ต้องเป็นกังวลมากเลยสินะ” น้องชายของเขาพูด


 


“นายอย่าพูดแบบนี้สิ” หานชิ่งพูด


 


ในตอนที่สองพี่น้องกำลังคุยกันอยู่นั้น หานจื้อหยูก็เดินเข้ามาจากด้านนอก


 


“แขนของนายดีขึ้นบ้างรึยัง?” หานชิ่งถาม


 


“มันยังเจ็บอยู่นิดหน่อยน่ะ” หานจื้อหยูพูด


 


แผลที่แขนของเขาเกือบจะหายดีแล้ว ตอนนี้ ผิวของเขาเริ่มมีการหลุดหลอกออก เขาไม่ได้ฉีดยาหรือกินยาอะไรเลย เขาพบว่า หลังจากที่แขนของเขาดีขึ้น รอยแผลเป็นก่อนหน้านี้ก็หายไปด้วย


 


“ยาของราชายาสุดยอดจริงๆ” หานจื้อหยูพูด


 


“แน่นอนสิ ไม่อย่างนั้น เขาจะมีชื่อเสียงมานานหลายสิบปีแบบนี้ได้ยังไงกันล่ะ” หานชิ่งพูด “เขาหิวแล้ว ฉันจะให้คนเอาข้าวมาให้เขากิน นายก็อยู่เป็นเพื่อนเขาไปก่อนนะ ฉันต้องออกไปทำธุระหน่อย”


 


“โอเค” หานจื้อหยูพูด


 


เมื่อเห็นอาการของน้องชายที่ดีขึ้น ทุกคนในครอบครัวหานต่างก็พากันยินดี


 


“น้องเล็ก ทำไมอยู่ๆนายถึงป่วยด้วยโรคประหลาดแบบนี้ได้ล่ะ?” หานจื้อหยูถาม


 


“ฉันถูกหลอก!” คำพูดของน้องชายคนเล็กเป็นอะไรที่น่าตกใจมาก


 



 


แค่ก! แค่ก! เวินหว่านที่ตอนอยู่บนเตียงได้ไอออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


“แม่?” ลูกชายของเขาถามด้วยความกังวล


 


“แม่ไม่เป็นไร!” เธอแทบจะไม่มีแรงพูดออกมา


 


“ยาใกล้จะหมดแล้ว ผมจะไปขอให้หมอหวังมาดูอาการของแม่ที่นี่” ลูกชายของเธอพูด


 


“มันจะมืดแล้วนะ” เวินหว่านพูด “ช่างมันเถอะ แม่ยังเหลือเม็ดยาจิ่วเฉาอยู่อีกเม็ด”


 


“ถ้ารู้สึกไม่สบายขึ้นมา แม่ต้องรีบบอกผมนะ” ลูกชายของเธอพูด


 


“ไม่ต้องห่วง แม่ผ่านคืนนี้ไปได้แน่!” เวินหว่านยิ้ม ถึงแม้ว่าเธอแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วก็ตาม


 


ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรอีก แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล


 


ในคืนที่ฝนตก แสงไฟบนเนินเขาหนานชานดับลงในเวลาไม่นาน มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระยะๆ


 


เช้าตรู่ของวันถัดมา ลูกชายของเวินหว่านเข้ามาดูอาการแม่ของเขา


 


“แม่ แม่เป็นอะไรไป? แม่?” เขาพบว่า แม่ของเขาหมดสติ ไม่ว่าเขาจะร้องเรียกกี่ครั้ง เธอก็ไม่มีการตอบสนองกลับมา


 


“เกิดอะไรขึ้น?” ศาสตราจารย์ลู่ได้ยินเสียงร้องและรีบร้อนเข้ามา


 


เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า เขาก็แบกเวินหว่านเอาไว้บนหลังและออกไปหาหวังเย้า


 


หวังเย้ายังคงอยู่บนเนินเขา หลังจากที่ได้รับสายจากศาสตราจารย์ลู่ เขาก็รีบลงมาทันที


 


“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน?” เมื่อได้เห็นเวินหว่านที่หมดสติและสีหน้าของเธอแล้ว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหน


 


บนใบหน้าของเธอมีเหงื่อไหลออกมาคล้ายกับน้ำมัน และชีพจรของเธอก็หยุดเต้นไป


 


หวังเย้ารีบส่งพลังฉีเข้าสู่ร่างกายขอองเธอ แต่มันก็ยังไม่พอ เขาหยิบขวดกระเบื้องขนาดเล็กออกมา ยาเม็ดหนึ่งกลิ้งออกมาจากปากขวด กลิ่นตัวยาที่เป็นเอกลักษณ์ส่งกลิ่นกระจายออกมาจากเม็ดยาอายุวัฒนะในทันที


 


“เอาให้เธอกินทีครับ!” หวังเย้าเร่ง


 


หลังจากที่กินยาเข้าไป ยาก็ออกฤทธิ์ในทันที แล้วเวินหว่านก็ได้สติ


 


“แม่!” ชายหนุ่มร้องไห้ออกมา


 


ดวงตาของศาสตราจารย์ลู่คลอไปด้วยน้ำตา “หมอหวัง?”


 


“วางเธอลงทีครับ” หวังเย้าพูด


 


พวกเขาวางตัวเวินหว่านลงบนเตียง หวังเย้าหยิบเอาขี้ผึ้งต้วนชื่อออกมา เขาตักแบ่งออกมาเพียงเล็กน้อยและละลายตัวยาเข้ากับน้ำแร่โบราณ “เอาให้เธอดื่มด้วยครับ!”


 


เดิมที เขาตั้งใจที่จะรอนานกว่านี้อีกหน่อย ก่อนที่จะเอามันออกมาใช้ แต่เขาไม่คิดเลยว่า อยู่ๆอาการของเวินหว่านจะทรุดลงกะทันหัน


 


‘หนึ่งช้อน ราคา 200,000 หยวน!’ นั่นคือราคาที่ระบบตั้งขึ้นมา


 


หลังจากที่ให้เธอกินยาเข้าไปแล้ว พวกเขาก็รอ หวังเย้าจับชีพจรของเธอทุกๆ 30 นาที


 


ตัวยาทั้งสอง ทำงานร่วมกันได้เหนือกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก พวกมันไม่เพียงแต่จะช่วยชีวิตของเธอเอาไว้ได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ชีพจรของเธอกลับมาเต้นอีกครั้งและแข็งแรงกว่าเก่าด้วย


 


“โอเค พาเธอกลับได้เลยครับ” หวังเย้าพูด


 


“หมอหวัง นี่คือยาอะไรเหรอ?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม


 


“ผมไม่ขายครับ ไม่ว่าคุณจะมีเงินมากแค่ไหนก็ตาม” หวังเย้าพูด “แล้วผมก็ไม่ลดราคาด้วย”


 


เขารู้ความต้องการของศาสตราจารย์ลู่ดี แต่ยาสองตัวนี้ล้ำค่ามาก เขาไม่ยินดีที่จะส่งมันให้กับใครทั้งนั้น


 


“โอ้ ผมรู้แล้ว ขอบคุณ” ศาสตราจารย์ลู่พูด


 


ลูกชายของเวินหว่านแบกเธอเอาไว้บนหลัง โดยมีศาตราจารย์ลู่คอยช่วย


 


“ลุงลู่ ถ้าเราได้ยาที่เขาเพิ่งใช้ไปมาละก็…” ลูกชายของเวินหว่านพูด


 


“แต่เธอก็ได้ยินที่หมอหวังพูดแล้วนี่” ศาสตราจารย์ลู่พูดอย่างไร้หนทาง


 


หากหวังเย้าได้พูดอะไรไว้แล้ว ไม่ว่าเขาจะพยายามเพิ่มเงินเข้าไปมากเท่าไหร่ หวังเย้าก็คงไม่มีทางขายมันออกไป


575 เนินเขามีวิญญาณ


 


“เฮ้อ!” เวินหว่านถอนหายใจออกมา ฉันหวังว่าฉันจะตายๆไปสักที! เธออยากจะยอมแพ้แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด


 


ปักกิ่งที่ไกลออกไปหลายพันไมล์ หมอเฉินได้แวะไปเยี่ยมเฉินหยิงและน้องชายของเธอ


 


“อาการของเสี่ยวเฉินเป็นยังไงบ้างคะ?” เฉินหยิงถาม


 


“เขาสบายดีและอาการปกติดี” เฉินโจวฉวนพูดด้วยรอยยิ้ม “เธอจะไปพรุ่งนี้เหรอ?”


 


“ค่ะ ฉันบอกกับคุณซงไว้แล้ว” เฉินหยิงพูด


 


พรุ่งนี้ เธอจะพาเฉินโจวไปที่หมู่บ้านของหวังเย้า เธอต้องการให้หวังเย้ารักษาน้องชายของเธอ และได้ลางานกับซงรุ่ยปิงในระยะยาว


 


“ช่วงนี้ ฉันก็ไม่ค่อยมีอะไรทำ แล้วก็อยากจะออกไปเที่ยวด้วย” หมอเฉินพูด “ให้ฉันไปกับพวกเธอสองคนดีไหม?”


 


เฉินหยิงคิด ฉันว่าแล้ว ว่าเขาจะต้องมาที่นี่เพราะเรื่องนี้!


 


ปกติแล้ว เฉินโจวฉวนจะไม่มาเยี่ยมเธอโดยไม่มีสาเหตุ แถมเขายังเสนอตัวตรวจเฉินโจวให้อีกด้วย


 


“ได้สิคะ” เฉินหยิงพูด


 


“เยี่ยม งั้นพรุ่งนี้ฉันจะไปพร้อมกับพวกเธอนะ” หมอเฉินพูด “เราเป็นเพื่อนเก่ากัน! วันนี้เรามีความสุข!” เฉินโจวฉวนเดินฮัมเพลงจากไป


 


“พี่ หมอเฉินเป็นใครเหรอ?” เฉินโจวถาม


 


“จิ้งจอกเฒ่าน่ะ” เฉินหยิงพูดด้วยรอยยิ้ม “เก็บของกันเถอะ เราจะไปกันพรุ่งนี้แล้วนะ”


 


“โอเค” เฉินโจวพูด


 


เฉินโจวฉวนฮัมเพลงเป็นทำนองสนุกสนาน ในขณะที่กำลังเดินกลับไปที่บ้านของเขา


 


“ทำไมถึงได้ดูมีความสุขขนาดนั้นกันล่ะ?” หลี่เชิงหรงเดินมาพร้อมกับถือกรงนกเอาไว้ในมือ


 


“มันไม่เกี่ยวกับแก คุยกับนกของแกไปเถอะ” เฉินโจวฉวนพูด


 


“แกเป็นอะไรไป?” หลี่เชิงหรงถาม “ทำไมถึงได้อารมณ์ร้ายแบบนี้กัน”


 


“แกไปเลยนะ!” เฉินโจวฉวนเดินหนี เขาดูไม่สนใจที่จะคุยกับหลี่เชิงหรงเลยสักนิด


 


“ไอ้เฒ่าดื้อด้าน!” หลี่เชิงหรงถอนหายใจและส่ายหน้า เขารู้ว่า เฉินโจวฉวนยังคงไม่พอใจเรื่องที่ทะเลาะที่บ้านของเขาเมื่อวันนั้น


 


ไม่เป็นไร!


 


วันต่อมา มันเป็นวันที่อากาศดีและแดดจ้า


 


เฉินหยิงและเฉินโจวเดินทางไปถึงห่ายชิวในตอนกลางวัน พวกเขาไม่ได้พักที่ห่ายชิว แต่เลือกที่จะต่อรถบัสไปที่หมู่บ้านของหวังเย้าในทันที


 


เฉินโจวฉวนไม่ได้มากับพวกเขา เพราะติดปัญหาที่บ้าน เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่พลาดโอกาสนี้ไป


 


เฉินหยิงกลับดีใจที่เฉินโจวฉวนพลาดทริปนี้ เมื่อเฉินหยิงและเฉินโจวเดินทางไปถึงที่หมู่บ้าน ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว


 


“มีโรงแรมอยู่ในหมู่บ้านรึเปล่าฮะ?” เฉินโจวถาม


 


“เราไปหาหมอหวังกันก่อนเถอะ” เฉินหยิงพูด


 


“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” เมื่อเฉินหยิงและน้องชายของเธอไปถึงที่คลินิก เธอก็เข้าไปทักทายหวังเย้า


 


“สวัสดีครับ เข้ามานั่งข้างในกันก่อนสิครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม เขาชงชาให้กับคนทั้งสอง


 


“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ? งานยุ่งไหม?” หวังเย้าถาม


 


“ก็ไม่ยุ่งเท่าไหร่หรอกค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


“แล้วเสี่ยวโจวอาการกำเริบบ้างไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ไม่มีค่ะ เขาปกติดี” เฉินหยิงพูด


 


“แล้วตอนกลางคืนยังฝันอยู่ไหม?” หวังเย้าถาม


 


“เขาไม่ค่อยฝันบ่อยเท่ากับเมื่อก่อนแล้วค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


ตั้งแต่ที่เฉินโจวเริ่มกินยาของหวังเย้าอย่างต่อเนื่อง เขาก็ฝันน้อยลงไปมาก


 


“ดีครับ” หวังเย้าพูด เขาตรวจดูอาการของเฉินโจวอย่างละเอียด “เขาปกติดี”


 


“หมอหวังคะ เรามีแผนที่จะพักอยู่ที่นี่จนกว่าเสี่ยวโจวจะหายดีน่ะค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


“นั่นเป็นความคิดที่ดีนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“แล้วที่นี่ พอจะมีบ้านว่างให้เช่าบ้างไหมคะ?” เฉินหยิงถาม


 


มีคนต้องการเช่าบ้านเพิ่มมาอีกคนแล้ว! “ผมจะลองถามดูให้นะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้ค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


หวังเย้ากดโทรหาพ่อของเขาในทันที เพื่อถามเรื่องบ้านเช่าภายในหมู่บ้าน


 


“มีบ้านอยู่หลังหนึ่งที่ว่างให้เช่าน่ะ” หวังเฟิงฮวาพูด


 


“ดีเลยครับ” หวังเย้าพูด


 


ไม่นาน เจ้าของบ้านหลังนั้นก็มาที่คลินิกของหวังเย้า เขามีบ้านปล่อยให้เช่าอยู่สองหลัง แต่หลังหนึ่ง เขาได้เอาไปแลกแปลี่ยนกับอพาร์ทเมนต์ในตัวเมืองไปแล้ว เมื่อการก่อสร้างเสร็จสิ้น บ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ก็จะไม่ใช่พวกเขาเป็นเจ้าของอีกต่อไป ในตอนนี้ พวกเขายังพอจะสามารถปล่อยเช่าบ้านได้ เพื่อจะได้มีเงินสดเล็กๆน้อยๆเอาไว้ใช้


 


ตัวบ้านเป็นระเบียบดี เฉินหยิงและเฉินโจวได้เตรียมตัวก่อนจะมาที่หมู่บ้านเอาไว้เป็นอย่างดี พวกเขาซื้อทั้งผ้าปูและผ้าห่มมาพร้อม กระเป๋าเดินทางของพวกเขาจึงมีถึงสามใบใหญ่ พวกเขาเตรียมที่จะพักอยู่ที่หมู่บ้านระยะหนึ่ง พวกเขาได้จัดการจ่ายค่าเช่าสำหรับสองเดือน


 


“นานแล้วนะ ที่พวกเราไม่ได้มาเที่ยวไกลๆแบบนี้น่ะ” เฉินโจวพูด เขาดูมีความสุขที่ได้เดินทางออกมาจากปักกิ่ง มันเป็นการเดินทางที่ดีสำหรับเขา


 


“แค่เธอมีความสุขก็พอแล้ว” เฉินหยิงพูด


 


“พวกเขามาอยู่ที่นี่เพื่อรับการรักษาเหรอ?” หวังเฟิงฮวาถาม ในตอนที่พวกเขากำลังทานอาหารเย็นกัน


 


“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด


 


“เขาป่วยเป็นอะไรเหรอ?” หวังเฟิงฮวาถาม


 


“เด็กนั้นมีปัญหาที่ตรงนี้ครับ” หวังเย้าชี้ไปที่ศีรษะของเขา


 


“เนื้องอกเหรอ?” หวังเฟิงฮวาถาม


 


“ไม่ใช่ครับ เขาป่วยทางจิต” หวังเย้าพูด


 


“อ่อ แต่เขาก็ดูปกติดีนะ” หวังเฟิงฮวาพูดด้วยความประหลาดใจ


 


“ตอนนี้เขาปกติดีครับ อาการของเขาไม่ได้กำเริบมาได้เดือนหนึ่งแล้ว ไม่สิ เดือนกว่าแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด


 


“อาการของเขาจะกำเริบเป็นช่วงๆเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ก็ประมาณนั้นครับ” หวังเย้าพูด


 


เวลากลางคืนในหมู่บ้านค่อนข้างเงียบ เฉินโจวนั่งมองท้องฟ้าอยู่ที่ลานบ้าน ท้องฟ้าในหมู่บ้านดูสูงกว่าที่ปักกิ่งมาก


 


“พี่ พี่เคยพูดเอาไว้ว่า หมอหวังเลือกจะอยู่ที่นี่สินะฮะ” เฉินโจวพูด “เป็นเพราะที่นี่เงียบสงบใช่ไหม?”


 


“นั่นก็ส่วนหนึ่งจ๊ะ” เฉินหยิงพูด


 


“ยังมีอย่างอื่นอีกเหรอฮะ?” เฉินโจวถาม


 


“เขามีเนินเขาที่ต้องดูแลอยู่ที่นี่ด้วย” เฉินหยิงพูด


 


เธอเคยขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานมาแล้ว เธอไม่เคยเห็นเนินเขาแบบนั้นมาก่อนเลยในชีวิต เมื่อลองคิดดูแล้ว เนินเขาหนานชานดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณเป็นของมันเองด้วย


 


“พรุ่งนี้ พี่พาผมไปดูเนินเขาลูกนั้นหน่อยได้ไหม?” เฉินโจวถาม


 


“เธอมองดูมันได้แค่ไกลๆเท่านั้นนะ” เฉินหยิงพูด


 


“ได้ครับ” เฉินโจวพูด


 


เฉินหยิงและน้องชายของเธอต่างก็นอนหลับสนิทในคืนนั้น มันอาจจะเป็นเพราะพวกเขาเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง หรืออาจจะเป็นเพราะบรรยากาศที่ผ่อนคลายก็เป็นได้ มันอาจจะเป็นเพราะความเงียบสงบภายในหมู่บ้านด้วยเช่นกัน


 


ในบ้านอีกหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน มีใครบางคนที่นอนไม่หลับอยู่ด้วย พวกเขาก็คือศาสตราจารย์ลู่และลูกชายของเวินหว่าน


 


เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกกลัวอย่างมาก เวินหว่านเกือบจะไม่รอดแล้ว ถึงหวังเย้าจะใช้ยาวิเศษสองตัวนั้นช่วยเธอเอาไว้ได้ แต่เธอก็สามารถจากไปได้ตลอดเวลา เธออาจจะนอนหลับไปและไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยก็ได้ ดังนั้น ศาสตราจารย์ลู่และลูกชายของเวินหว่าน จึงไม่มีใครในพวกเขาหลับตาลงนอนได้เลย


 


“ทั้งสองคนไปนอนกันได้แล้ว” เวินหว่านมองชายทั้งสองอย่างไร้เรี่ยวแรง และพูดออกมา “คืนนี้ ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ”


 


“ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอกครับแม่ เดี๋ยวเราก็จะนอนแล้ว” ลูกชายของเวินหว่านพูด


 


“ใช่” ศาสตราจารย์ลู่พยักหน้า


 


“ฉันไม่เป็นอะไร พอได้กินยา ฉันก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะ” เวินหว่านพูด


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่เธอก็ต้องพักผ่อนให้มากๆนะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด


 


เวินหว่านหลับตาลง ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สามารถไล่ให้คนทั้งสองไปนอนได้ เธอรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน วันนี้เธอเกือบจะไม่รอดแล้ว มันคล้ายกับเธอกำลังฝันแปลกประหลาด และตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้า ยาสองตัวที่เธอกินเข้าไปมีฤทธิ์ที่น่าอัศจรรย์มาก นอกจากความเหน็ดเหนื่อยแล้ว อาการอื่นๆก็ดูเหมือนจะลดลงไป เธอรู้สึกอบอุ่นและสบายตัวมากขึ้น ความอบอุ่นถูกส่งมาจากศูนย์กลางร่างกายของเธอ และกระจายไปยังทุกส่วนในร่างกาย


 


แล้วเวินหว่านก็ค่อยๆหลับลึกลงไป เธอหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ


 


“ลุงลู่ ผมจะอยู่ที่นี่เอง ลุงไปนอนก่อนเถอะครับ” ลูกชายของเวินหว่านพูด


 


“เธอแน่ใจนะ?” ศาสตราจารย์ลู่ยังคงเป็นห่วงอยู่


 


“แน่ใจครับ ถ้ามีอะไร ผมจะบอกลุงทันทีเลย” ลูกชายของเวินหว่านพูด


 


“โอเค ลุงจะไปหลับสักหน่อย แล้วเราค่อยมาเปลี่ยนกัน” ศาสตราจารย์ลู่พูด


 


“ผมสบายมาก ไม่ต้องห่วงนะครับ” ลูกชายของเวินหว่านพูด


 


ศาสตราจารย์ลู่เดินไปนอนในอีกห้องหนึ่ง ลูกชายของเวินหว่านยังคงนั่งอยู่ข้างๆแม่ของเขา สองชั่วโมงหลังจากนั้น ศาสตราจารย์ลู่ก็กลับเข้ามาอีกครั้ง


 


“ไปเถอะ เธอไปพักได้แล้ว ลุงจะเฝ้าแม่ของเธอให้เอง” ศาสตราจารย์ลู่พูด


 


“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องห่วงผมหรอก” ลูกชายของเวินหว่านพูด “ลุงเพิ่งจะหลับไปแค่สองชั่วโมงเอง”


 


“เอาเถอะน่า” ศาสตราจารย์ลู่พูด


 


“ก็ได้ครับ” ลูกชายของเวินหว่านเลิกดึงดันและกลับไปพักผ่อน


 


พวกเขาเปลี่ยนกันเฝ้าดูเวินหว่านตลอดทั้งคืน เวินหว่านนอนหลับสนิทไปทั้งคืน เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า อาการของเธอก็ดีขึ้นมาก


 


“โอ้ ไม่นะ ทั้งสองคนไม่ได้หลับกันทั้งคืนเลยเหรอเนี่ย!” เวินหว่านรู้สึกเป็นห่วงพวกเขาทั้งสองคน


 


“เราไม่เป็นไรหรอกครับ” ลูกชายของเธอพูด


 


“ทั้งสองควรไปพักได้แล้วนะ” เวินหว่านพูด


 


“ได้ครับ” ลูกชายของเธอพูด


 


ในเมื่อเธอดูปลอดภัยดีแล้ว ชายทั้งสองจึงไปพักผ่อน


 


ศาสตราจารย์ลู่หลับทันทีที่หัวถึงหมอน เขารู้สึกเหนื่อยล้า ทั้งยังอายุมากแล้วด้วย พลังงานของเขามีอย่างจำกัด ซึ่งต่างจากผู้เป็นลูกชายของเวินหว่าน


 


ในบ้านอีกหลังหนึ่ง เฉินหยิงและเฉินโจวหาอะไรทานด้วยกันง่ายๆ ก่อนที่พวกเขาจะออกไปข้างนอก พวกเขาวางแผนจะเดินไปรอบๆหมู่บ้าน อากาศภายในหมู่บ้านในตอนเช้านั้นสดชื่น ทั้งเฉินหยิงและเฉินโจวต่างก็รู้สึกพอใจกับบรรยากาศโดยรอบ


 


“อากาศดีมากเลย” เฉินโจวพูด


 


พวกเขาเดินไปตามเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่เนินเขาหนานชาน


 


“พี่จะพาไปดูเนินเขาของหมอหวังนะ” เฉินหยิงพูด


 


“ครับ” เฉินโจวพูด


 


ถึงจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ เนินเขาโดยรอบก็ยังคงแห้งแล้งราวกับทะเลทรายอยู่ หลังเดินผ่านเนินเขาเหล่านั้นไปแล้ว เนินเขาหนานชานก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกเขา มันถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้มากมายและเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา


576 หลอกลวง


 


“นี่?”


 


เฉินโจวไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง


 


“มันเป็นไปได้ยังไงกัน? นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ!”


 


เฉินหยิงยิ้ม “เราดูได้แค่รอบๆเท่านั้นนะ เราเข้าไปในนั้นไม่ได้”


 


“ครับ” เฉินโจวพูด


 


สองพี่น้องยืนมองเนินเขาหนานชานที่ตั้งอยู่อย่างสงบตรงตีนเขา


 


“ภูเขาลูกนี้ ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนกับหอคอย” เฉินโจวพูด “ทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้นะ? หรือจะเป็นภาพลวงตากัน?”


 


“ไม่หรอก พี่ก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน” เฉินหยิงพูด


 


“พี่ ทำไมเราไม่ซื้อบ้านอยู่ที่นี่ซักหลังล่ะ?” อยู่ๆเฉินโจวก็ถามขึ้นมา


 


“หืมมม…” เฉินหยิงรู้สึกประหลาดใจ “เธอชอบที่นี่เหรอ?”


 


“ครับ” เฉินโจวตอบ


 


“อืม พี่ขอคิดดูก่อนแล้วกัน” เฉินหยิงพูด


 


หลังกลับมาถึงหมู่บ้านแล้ว เฉินหยิงก็เริ่มมองหาบ้านเพื่อจะซื้อเอาไว้สักหลัง


 


มีคนอยากจะซื้อบ้านที่นี่อีกคนแล้ว? หวังเจียนหลี่รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องที่ได้ยิน โดยเฉพาะคนที่ต้องการซื้อเป็นคนที่มาจากเมืองใหญ่อย่างปักกิ่งด้วยแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับคนพวกนี้กัน? หมู่บ้านนี้มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ?


 


“ขอโทษที่ต้องรบกวนคุณนะคะ” เฉินหยิงส่งซองแดงให้กับเขา


 


“ขอบคุณ ช่วยรอเดี๋ยวนะครับ” หวังเจียนหลี่พูด


 


เขาไม่สามารถรีบร้อนรับปากในทันทีได้ ถ้าหากคำขอนี้เกิดขึ้นในอดีต มันง่ายที่จะจัดการมาก แต่ในเวลานี้ บ้านหลายๆหลังในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่สามารถขายได้ ตอนนี้ บ้านหลายหลังไม่สามารถปล่อยขายได้ เพราะชาวบ้านได้นำบ้านของพวกเขาไปแลกเปลี่ยนกับอพาร์ทเมนต์ในเมืองแล้ว


 


“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ” หวังเจียนหลี่พูด


 


เฉินหยิงรู้สึกแปลกในเล็กน้อย “ฉันสามารถเพิ่มเงินให้ได้นะคะ”


 


“มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก” หวังเจียนหลี่ได้อธิบายเรื่องราวทั้งไหมดให้เฉินหยิงฟัง


 


“คนที่มีแซ่ว่า ซุน เป็นเจ้าของบ้านหลายหลังเหรอคะ?” เฉินหยิงถาม


 


“ถูกแล้วล่ะ” หวังเจียนหลี่พูด


 


“ใช่ ซุนหยุนเชิง รึเปล่าคะ?” เฉินหยิงถาม


 


“ใช่ นั่นเป็นชื่อของเขา” หวังเจียนหลี่ตอบ


 


เฉินหยิงรู้จักเขา “ขอบคุณนะคะ”


 


ภายในคลินิก หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินว่า เฉินหยิงต้องการจะซื้อบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้


 


“ผมสามารถจัดการเรื่องนี้ให้ได้นะครับ” หวังเย้ารู้ว่า บ้านเปล่าในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สินของตระกูลซุน


 


ซุนหยุนเชิงรู้สึกยินดีที่ได้รับสายจากหวังเย้า ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านแล้ว แต่เขาก็ยังคงติดต่อหวังเย้าอยู่เป็นประจำ


 


“บ้านเหรอ? มีคนอยากจะซื้อบ้านเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม “ไม่มีปัญหาครับ”


 


ตระกูลซุนนั้นร่ำรวยมหาศาล ธุรกิจในมือของพวกเขานั้นมีเยอะแยะมากมาย บ้านไม่กี่สิบหลังคาในหมู่บ้านกลางเขาเทียบกับธุรกิจเหล่านั้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เป้าหมายหลักของพวกเขา มีเพียงแค่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหวังเย้าเท่านั้น


 


“ขอบคุณครับ” หวังเย้าพูด


 


“เกรงใจเกินไปแล้วครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


หลังจากวางสายเสร็จแล้ว หวังเย้าก็หันไปคุยกับเฉินหยิง


 


“เขาจะกลับมาที่นี่ในอีกสองสามวันข้างหน้า ตอนนั้น พี่ก็ลองคุยกับเขาดูนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เฉินหยิงพูด


 


เมื่อใกล้เที่ยง หลี่ชื่อหยูก็ขับรถบรรทุกมาพร้อมกับต้นไม้เต็มคันรถ จากนั้น เขาก็ขนต้นไม้เอาไว้ที่ตรงตีนเขาเหมือนครั้งก่อน


 


ในตอนกลางวัน หวังเย้าปิดคลินิกและจัดการขนต้นไม้ทั้งหมดขึ้นไปไว้บนเขา เขาเริ่มขุดหลุมเพื่อปลูกต้นไม้ ทุกอย่างเป็นไปด้วยความรวดเร็ว แต่ในตอนที่เขาหยุดมือ ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว


 


เช้าตรู่ของวันถัดมา หวังเย้าและซานเซียนก็เริ่มยุ่งอยู่กับการปลูกต้นไม้บนเขา ไม่นาน ก็ปรากฏต้นหลายสิบต้นขึ้นบนเขาลูกนั้น


 


ในเวลานี้ ต้นไม้ที่เขาใช้มีอายุมากกว่า 3 ปี พวกมันส่วนใหญ่ถูกนำมาจากทางใต้ของประเทศจีน เมื่อรวมเข้ากับสภาพอากาศและน้ำแร่ที่รดลงไป ต้นไม้ใหม่เหล่านี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแทบจะทุกวัน


 



 


“พ่อไม่ได้อยากจะพูดแรงหรอกนะ แต่ทำไมถึงเชื่อเรื่องแบบนี้ได้กัน?” ชายวัยกลางคนถาม


 


ชายหนุ่มที่จ่ายเงินเพื่อซื้อยาจากหวังเย้า 100,000 หยวน กลับไปที่บ้านและบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ของเขา และดูเหมือนพ่อแม่ของเขาจะไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้นัก


 


“ยาขวดเดียวราคาเป็นแสนเลยเหรอ?” แม่ของเขาถาม “ลูกคิดว่ามันเป็นอะไร ยาวิเศษอย่างนั้นเหรอ?”


 


“แม่ เครื่องสำอางที่แม่ซื้อก็แพงมากเหมือนกัน แค่เซ็ตเดียวก็ปาไปหลายหมื่นแล้วนะครับ” ชายหนุ่มพูด


 


“นั่นมันไม่เหมือนกัน พวกมันคุ้มกับราคาที่แม่จ่ายไป” เธอตอบ


 


“แล้วแม่รู้ได้ยังไง ว่ายาตัวนี้ไม่คุ้มค่ากับราคา?” ชายหนุ่มถาม


 


“นี่ อย่ามาเถียงแม่นะ!” แม่ของเขาพูดด้วยความไม่พอใจ


 


“เอาล่ะ ในเมื่อลูกซื้อมาแล้ว ก็ลองกินดูเผื่อว่ามันจะได้ผลจริงๆ” พ่อของเขาพูด


 


“ถ้ามันได้ผลจริง ก็แปลกแล้ว” แม่ของชายหนุ่มพูด


 


ชายหนุ่มร่างสูงไม่คิดจะเถียงกับแม่ของเขาอีก แล้วเขาก็ถือขวดยากลับเข้าไปในห้องของเขา


 


ตอนที่ออกมาจากคลินิกของหวังเย้าและขึ้นไปนั่งบนรถ เขาก็ได้ดื่มยาเข้าไปส่วนหนึ่งแล้ว หลังจากที่ดื่มเข้าไป เขาก็รู้สึกได้ว่า ส่วนท้องของเขาอุ่นขึ้น ความร้อนค่อยๆกระจายไปทั่วร่างของเขา และมันทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมาก มันยังทำให้เขาเกิดความคาดหวังกับยาตัวนี้ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่เขาทะเลาะกับแม่ของเขา


 


ฉันหวังว่ามันจะได้ผลนะ!


 


เขาทรมานกับโรคนี้มามากพอแล้ว เขาปวดท้องทุกครั้งที่อาการกำเริบ มันคล้ายกับมีหนูวิ่งพล่านไปทั่วท้องของเขา เขาได้รับการบอกกล่าวจากหมอแล้วว่า อาการของเขาไม่สามารถรักษาให้หายได้ ดังนั้น เขาจึงได้แต่หวังว่า ยาตัวนี้จะสามารถรักษาเขาได้


 



 


 


 


“พ่อครับ ผมคิดว่า ผมมีเรื่องบางอย่างต้องรบกวนพ่อแล้ว” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“เรื่องอะไรเหรอ?” กั๋วซงจ้าวถาม


 


“เรื่องของ ซูเสี่ยวซวีครับ” กั๋วเจิ้งเหอยกชามาให้พ่อของเขาหนึ่งถ้วย


 


“พ่อจะกลับปักกิ่งอาทิตย์หน้า” กั๋วซงจ้าวพูด แล้วยกชาขึ้นมาจิบ เขาเข้าใจความต้องการของลูกชายดี เพราะภรรยาของเขาได้เปรยเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว


 


“ครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“ลูกควรสนใจเรื่องงานของลูกด้วยนะ” กั๋วซงจ้าวพูด “แรงผลักดันภายนอกก็เป็นแค่ได้อุปกรณ์เสริมเท่านั้น ถ้าลูกต้องการตีเหล็ก ลูกก็ต้องกลายเป็นช่างตีเหล็กให้ได้”


 


เขาคาดหวังกับลูกชายคนนี้เอาไว้สูง พัฒนาการในตอนนี้ของลูกชายทำให้เขารู้สึกกังวลเล็กน้อย ในวงการนี้ การรวมเอาแผนการและการวางแผนเข้าด้วยกันถือเป็นเรื่องดี แต่ควรให้ความสำคัญไปที่การวางแผนมากกว่า แต่ลูกชายของเขา ดูเหมือนจะสนใจเล่นเรื่องแผนการแทน


 


“ผมยังอยากจะไปที่อื่นด้วยครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“ที่ไหนเหรอ?” กั๋วซงจ้าวถาม


 


“เมืองเต๋า” กั๋วเจิ้งเหอพูดด้วยรอยยิ้ม


 


วันต่อมา กั๋วเจิ้งเหอเดินทางไปถึงเมื่อเต๋า และเข้าไปพูดกับซุนเจิ้งหรง


 


“คุณชายกั๋ว ดูเหมือนจะไม่ได้มาที่นี่นานแล้วนะ เชิญนั่งก่อนสิ” ซุนเจิ้งหรงให้ค่ากับกั๋วเจิ้งเหออย่างมาก แล้วพ่อของชายหนุ่มก็ยังมีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้นำของจังหวัดด้วย


 


“ลุงซุน เกรงว่า ผมจะมีเรื่องให้ต้องรบกวนคุณลุงแล้วล่ะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“เรื่องอะไรเหรอ?” ซุนเจิ้งหรงถาม


 


“เขตที่ผมอยู่ยากจนมาก” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ผมอยากจะดึงดูดพวกนักลงทุนเข้าไปที่นั่นน่ะครับ”


 


“อ่อ” ซุนเจิ้งหรงพูด “ทำไมคุณชายไม่เอา รายละเอียดเขตที่คุณชายอยู่มาให้ลุงล่ะ? หลังจากที่ลุงอ่านแล้ว ลุงจะเอาเรื่องนี้ไปประชุมกับบอร์ดให้เร็วที่สุด”


 


“โอ้ นั่นเป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ” ซุนเจิ้งหรงพูด “ผมหวังว่า คงจะไม่เป็นการรบกวนคุณลุงมากเกินไปนะครับ”


 


“ไม่ต้องกังวลไปหรอก” ซุนเจิ้งหรงพูด


 


“แล้วหยุนเชิงสบายดีไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม


 


“เขาสบายดี” ซุนเจิ้งหรงตอบ “พอดีเขาออกไปทำธุระข้างนอกน่ะ”


 


หลังกั่วเจิ้งเหอจากไปแล้ว ซุนเจิ้งหรงก็ขมวดคิ้วมุ่น เขาตั้งใจจะทำอะไรกัน?


 


เท่าที่เขารู้ ตั้งแต่ที่กั๋วเจิ้งเหอเข้าสู่วงการข้าราชการ เขาก็แทบจะไม่มาเหยียบจังหวัดฉีเลย เพราะพ่อของเขา ทำงานเป็นข้าราชการระดับสูงอยู่ที่นั่น ดังนั้น เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองกลายเป็นที่ครหาได้ ตอนนี้ เขากลับมาที่เมืองเต๋า หากดูจากสถานะของเขาแล้ว เขาไม่น่าจะมีโครงการอะไรจริงจังเลย


 


หลังเดินทางออกมาจากเมืองเต๋าแล้ว กั๋วเจิ้งเหอก็ยังไม่ได้รีบร้อนกลับบ้าน แต่เขากลับเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านเล็กๆกลางเขา ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเหลียนชาน


 


เมื่อได้มาเห็นอาคารที่งดงามตั้งอยู่ภายในหมู่บ้าน เขาก็ต้องตกใจกับความงามของมัน “มีบ้านสวยขนาดนี้อยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? มันสวยมากเลย”


 


เขามองดูด้านนอกของคลินิกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินไปเคาะประตู


 


“เชิญเข้ามา” มีเสียงดังออกมาจากด้านใน


 


เมื่อเดินเข้าไปด้านใน กั๋วเจิ้งเหอก็เห็นสวนสวยขนาดเล็ก ซึ่งเต็มไปด้วยความงามของฤดูใบไม้ผลิตั้งอยู่ด้านนอกตัวอาคาร มันให้ความรู้สึกสบาย เมื่อเขาย้ำเท้าเข้ามาด้านในนี้


 


“สวัสดีครับ หมอหวัง” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“สวัสดี สบายดีไหมครับ?” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจแขกรายนี้มาเยี่ยมถึงที่นี่


 


“ผมมาที่นี่เพื่อพบพี่ครับ” กั๋วเจิ้งเหอวางของในมือลง


 


“คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่เห้นจะต้องเอาอะไรมาเลย” หวังเย้าพูด


 


“อ่อ ผมแค่อยากจะขอบคุณพี่บ้างน่ะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ถึงยังไง พี่ก็ช่วยชีวิตของผมเอาไว้ แล้วบ้านของพี่ก็สวยมากเลยนะครับ!”


 


“ขอบคุณ” หวังเย้าพูด


 


ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่สักพัก


 


“พี่แต่งงานรึยังครับ?” อยู่ๆกั๋วเจิ้งเหอก็ถามขึ้นมา


 


“ยังหรอก” หวังเย้ายิ้ม


 


“แล้วพี่จะแต่งงานเมื่อไหร่เหรอครับ อย่าลืมชวนผมมาดื่มเหล้ามงคลด้วยล่ะ” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“ได้เลย” หวังเย้าพูด


 


บทสนทนาต่อๆ ล้วนเป็นเรื่องสัพเพเหระ หลังจากผ่านไปได้ 10 นาที กั๋วเจิ้งเหอก็บอกลาและขอตัวกลับ


 


หวังเย้ารู้สึกสงสัยขึ้นมา เขาตั้งใจจะทำอะไรกัน? ทุกอย่างที่เขาพูดดูไม่สัมพันธ์กันเลยสักนิด เขาแค่แวะมาที่นี่เฉยๆจริงๆน่ะเหรอ?


577 ล้อเล่นรึเปล่า? ฉันไม่กลัวใครทั้งนั้น!


 


ตั้งแต่ที่หวังเย้าได้เรียนรู้วิธีการวินิจฉัยโรคจากการดูสีหน้าแล้ว เขายังได้เรียนรู้เรื่องการดูโหงวเฮ้งของคนอีกด้วย ยิ่งเขาเป็นหมอที่เก่งขึ้นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งดูโหงวเฮ้งเก่งตามไปด้วย


 


กั๋วเจิ้งเหอที่มักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ ดูเป็นคนน่าคบหาและนิสัยดี ผู้คนส่วนใหญ่จะคิดว่า เขาเป็นคนที่มีคุณธรรม แต่จริงๆแล้ว เขากลับเป็นคนที่ร้ายกาจอย่างมาก คนแบบเขามักจะคิดคำนวนอยู่ในหัวเสมอและมีด้านมืดที่คนอื่นไม่รู้


 


บางที ฉันอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้ หวังเย้าคิด


 


กั๋วเจิ้งเหอเดินไปรอบๆหมู่บ้านอย่างไม่เร่งรีบ เขาสังเกตดูรอบๆหมู่บ้านด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขา รอยยิ้มของเขานั้นน่ามองอย่างมาก เขาพยักหน้าและทักทายชาวบ้านที่เขาพบเห็น


 


“ชายหนุ่มคนนั้นเป็นใครกันน่ะ?” ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้นมา “เขาทั้งสุภาพและดูดีมาก”


 


ชาวบ้านทุกคนที่ได้พบเห็นกั๋วเจิ้งเหอต่างก็เกิดความประทับใจในตัวเขา ดูเหมือนว่า การมีหน้าตาที่ดีเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก


 


หืม? เฉินหยิงมองเห็น กั๋วเจิ้งเหอที่กำลังเดินอยู่บนถนน แต่เขาไม่เห็นเธอ เขามาทำอะไรที่นี่กัน?


 


เธอมองดูเขาเดินไปขึ้นรถและขับออกไป เฉินหยิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่คลินิกของหวังเย้า


 


“สวัสดีครับ” หวังเย้าพูด


 


“สวัสดีค่ะ หมอหวัง กั๋วเจิ้งเหอมาที่นี่เหรอคะ?” เฉินหยิงถาม


 


“ครับ พี่เห็นเขาด้วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ค่ะ แล้วเขามาทำอะไรที่นี่เหรอคะ?” เฉินหยิงถาม “ฉันไม่ได้อยากจะยุ่งเรื่องของคนอื่นหรอกนะคะ แค่สงสัยเฉยๆ”


 


“ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม “เขาบอกว่า เขาแค่ผ่านมาทางนี้เฉยๆ แล้วก็คิดถึงผมขึ้นมาน่ะครับ”


 


“เขาพูดแบบนั้นจริงๆเหรอคะ?” เฉินหยิงถาม


 


“ครับ มีอะไรเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“เปล่าหรอกค่ะ หมอหวัง ฉันแค่อยากจะเตือนคุณเอาไว้หน่อยน่ะค่ะ ฉันได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับกั๋วเจิ้งเหอมาว่า เขาเป็นคนที่มีแผนการอยู่ในหัวตลอดเวลา” เฉินหยิงพูด


 


“จริงเหรอครับ?” หวังเย้าถามด้วยความแปลกใจ เขาไม่คิดว่า เฉินหยิงจะมาหาเขาถึงที่นี่เพื่อบอกเรื่องนี้กับเขา บางที เฉินหยิงอาจจะอยากเตือนให้เขาระวังกั๋วเจิ้งเหอเอาไว้ก็ได้ ตอนนี้ เขาก็นึกถึงเรื่องที่กั๋วเจิ้งเหอไปที่กระท่อมของเฉินหยิงตอนที่เขาอยู่ปักกิ่งขึ้นมาได้ ในตอนนั้น เฉินหยิงดูจะกลัวกั๋วเจิ้งเหออยู่เล็กน้อย


 


แต่หวังเย้าก็ไม่คิดว่า บนเส้นทางเดินของเขาจะต้องมาเจอกับกั๋วเจิ้งเหออีกครั้ง แต่ครั้งหนึ่ง เขาก็เคยช่วยชีวิตกั๋วเจิ้งเหอเอาไว้


 


“ผมเข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมาก” หวังเย้าพูด “แล้วคืนนี้ พี่กับเฉินโจวว่างไหมครับ?”


 


“ว่างสิคะ” เฉินหยิงพูดด้วยรอยยิ้ม เธอพาเฉินโจวมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ก็เพื่อมารักษากับหวังเย้า และไม่มีแผนที่จะทำอย่างอื่นอยู่เลย


 


“งั้นคืนนี้ เราไปกินข้าวเย็นด้วยกันดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม “ผมเลี้ยงเอง”


 


“ค่ะ แต่หมอไม่จำเป็นต้องเลี้ยงเราหรอกค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


“ก็ได้ครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“โอเคค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


หวังเย้าบอกกับพ่อแม่ของเขา ก่อนที่เขาจะขับรถพาเฉินหยิงและเฉินโจวไปที่ร้านอาหารไม่ไกลจากหมู่บ้าน


 


พวกเขาสั่งอาหารจานพิเศษของร้านมาสองสามจาน รวมไปถึงอาหารที่ทำมาจากเห็ดที่เก็บมาจากในป่าด้วย เจ้าของร้านเก็บเห็ดมาในช่วงฤดูร้อน จากนั้นก็นำเห็ดไปตากแห้งและเก็บเอาไว้ในที่มืดและแห้ง เขายังได้สั่งไก่เลี้ยงแบบปล่อยและปลาที่จับจากในแม่น้ำมาทำอาหารด้วย ไม่มีวัตถุดิบที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเลย


 


“อร่อย!” เฉินหยิงและน้องชายของเธอต่างก็พอใจกับอาหาร


 


อาหารบางอย่างไม่มีให้พวกเขาซื้อกินในปักกิ่ง ปักกิ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย และที่หมู่บ้านแห่งนี้ก็เช่นกัน


 


ภายในร้านอาหารค่อนข้างวุ่นวาย ลานจอดรอถของร้านก็เต็มไปด้วยรถ


 


“กิจการดีมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ใช่ น้ำพุร้อนทำให้คนมาที่นี่กันเยอะมากเลยล่ะ” เจ้าของร้านพูด


 


หวังเย้าเป็นลูกค้าประจำของที่ร้าน ดังนั้น เจ้าของร้านจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับเขา


 


“น้ำพุร้อนมีลูกค้าเยอะจริงๆ” หวังเย้าพูด


 


“อาจจะเพราะเพิ่งเปิดใหม่ก็ได้ อีกสองเดือนต่อจากนี้ คนก็คงจะไม่ได้เยอะขนาดนี้แล้วล่ะ” เจ้าของร้านพูด “ผมต้องเอาอาหารไปเสริฟลูกค้าแล้ว ไว้คุยกันทีหลังนะ ถ้าต้องการอะไรก็เรียกได้เลยนะครับ”


 


“ได้ครับ” หวังเย้าพูด


 


“แถวนี้มีน้ำพุร้อนด้วยเหรอคะ?” เฉินหยิงถาม


 


“ครับ พวกเขาเพิ่งจะขุดเจอเมื่อปีที่แล้วนี้เอง มันตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ห่างจากนี้ไปประมาณ 10 กิโลเท่านั้นเองครับ” หวังเย้าพูด


 


“แล้วแถวนี้มีที่ไหนน่าเที่ยวบ้างไหมคะ?” เฉินหยิงถาม เธอเคยไปเที่ยวแค่เนินเขาจิ่วเหลียน ตอนที่มาพร้อมกับซงรุ่ยปิงและซูเสี่ยวซวีเท่านั้น แล้ววันนั้นก็มีหิมะตกลงมาด้วย ดังนั้น มันจึงเป็นภาพที่ดูต่างออกไปจากปกติ


 


“พูดตามตรงเลยนะครับ ในเหลียนชานไม่ค่อยจะมีที่ให้ไปเท่าไหร่หรอกครับ มันเป็นแค่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง ไม่เหมือนกับที่ปักกิ่ง ที่มีที่เที่ยวอยู่ทั่วไปหมด” หวังเย้าพูด “เนินเขาจิ่วเหลียนถือว่า เป็นที่ที่น่าเที่ยวที่สุดในเหลียนชานแล้ว และชื่อของเนินเขาก็มีชื่อเมืองอยู่ท้ายชื่อด้วย


 


“แล้วห่ายชิวล่ะคะ?” เฉินหยิงถาม


 


“มันเป็นเมืองติดชายทะเลครับ พวกพี่ลองไปเที่ยวดูทะเลที่นั่นก็ได้ เพราะผมก็คิดที่เที่ยวที่อื่นไม่ได้แล้วจริงๆ” หวังเย้าพูด


 


สิ่งที่เห็นในอินเตอร์เนตล้วนน่าสนใจทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น เนินเขาและถ้ำในห่ายชิวที่ดูงดงามมากจากภาพที่โพสออนไลน์ แต่เนินเขาที่ว่า กลับกลายเป็นเพียงแค่ดินกองหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังเล็กกว่าเนินเขาในเหลียนชานด้วยซ้ำ ส่วนถ้ำที่พูดถึง ก็ถูกสร้างขึ้นมาจากก้อนหินหลายๆก้อน ซึ่งอาจจะเกิดจากฝีมือมนุษย์ด้วย จุดท่องเที่ยวที่ว่าน่าไป กลับกลายเป็นน่าเบื่อและน่าผิดหวังแทน


 


“เราคิดกันว่า สองสามวันหลังจากนี้จะลองไปเที่ยวรอบๆดูน่ะค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


“ก็ดีนะครับ ตอนนี้ อาการของเสี่ยวโจวก็คงที่ดีแล้ว การได้เที่ยวบ้างถือเป็นเรื่องดี” หวังเย้าพูด


 


“เฮ้ย เอาอะไรใส่ลงไปในจานนี้กันเนี้ย?” อยู่ๆพวกเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้น


 


“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?” เจ้าของร้านรีบเข้าไปที่โต๊ะของลูกค้าที่มีปัญหา


 


หวังเย้า เฉินหยิง และเฉินโจวเพิ่งทานอาหารเสร็จและเตรียมจะออกไปจากร้าน


 


“ก็ดูสิ! พอกินอาหารของที่ร้านไป ลูกชายของฉันก็อ้วกออกมา” ชายวัยประมาณ 40 พูดตะคอก


 


พวกเขาเพิ่งจะไปรีสอร์ทน้ำพุร้อนมา เพราะพวกเขาไม่อยากจะทำอาหารกินกันเอง และเห็นว่า มีร้านอาหารแนะนำในอินเตอร์เนต ซึ่งก็คือร้านนี้ ที่อาหารและราคาน่าพอใจ พวกเขาจึงเลือกมาทานอาหารกันที่นี่ แต่หลังจากที่กินอาหารเข้าไป ลูกชายของพวกเขาก็เริ่มบ่นว่าปวดท้อง ไม่นานจากนั้น เขาก็อาเจียนออกมา และทำให้ชายวัยกลางคนผู้เป็นพ่อรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา


 


ทุกคนที่อยู่ในร้านต่างก็ได้ยินเสียงตะโกนของเขา และเข้ามามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


 


ผู้เป็นภรรยาคว้าแขนของเขาเอาไว้ เธอไม่ต้องการให้เขาทำเป็นเรื่องใหญ่ แต่ผู้เป็นสามีก็ไม่สนใจ แล้วเขาก็ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้นด้วย


 


เจ้าของร้านทำอะไรไม่ถูก เขาไม่อยากให้ชื่อเสียงของร้านต้องมาเสียหายเพราะเรื่องนี้ ถ้าหากคนอื่นๆคิดว่า อาหารในร้านของเขาไม่สะอาด ก็จะไม่มีใครมาทานที่ร้านอีก


 


“ผม…” เจ้าของร้านไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี


 


ในความเป็นจริง ถ้าไม่รวมเห็ดตากแห้งที่เขาเก็บเอาไว้เมื่อปีที่แล้ว อาหารทุกอย่างในร้านของเขาก็ล้วนสดใหม่ทั้งนั้น แล้วช่วงหลังมานี้ ร้านของเขาก็ขายดีมาก วัตถุดิบที่ตุนเอาไว้จึงหมดเร็วตามไปด้วย เขาจึงไม่คิดว่า จะมีวัตถุดิบตัวไหนที่หมดอายุถูกเก็บเอาไว้


 


“อาหารที่นี่เป็นของสดทั้งหมด แล้วก็ไม่เคยมีลูกค้าบ่นเรื่องนี้เลยด้วย” เจ้าของร้านพูด “ที่เขาอ้วกอาจจะเป็นเพราะสาเหตุอื่นรึเปล่าครับ?”


 


“จะสาเหตุอะไรล่ะ? เขาเป็นปกติดีทุกอย่างและมีความสุขดี จนถึงเมื่อกี้นี่แหละ!” ผู้เป็นพ่อลุกขึ้นยืน เขามีส่วนสูงเกือบ 180 เซนและดูบึกบึน “ฉันจะบอกให้นะ ฉันค่อนข้างจะมั่นใจเลยล่ะว่า อาหารของที่ร้านที่แหละที่ทำให้ลูกชายของฉันป่วยน่ะ!”


 


“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?” หวังเย้าเดินเข้ามา เขาเตรียมจะกลับแล้ว แต่บังเอิญเห็นเจ้าของร้านมีปัญหาอยู่


 


“แกเป็นใคร?” ชายคนนั้นถามอย่างไร้มารยาท


 


“ผมเป็นหมอครับ” หวังเย้าพูด


 


ชายคนนั้นหยุดสบถในทันที เขาหลีกทางให้หวังเย้าเพื่อเข้าไปตรวจดูอาการของลูกชายเขา ที่กำลังร้องโอดโอยเพราะปวดท้อง


 


หวังเย้าคุกเข่าลงเพื่อดูเศษอาหารที่อยู่บนพื้นและจับดูชีพจรของเด็ก แล้วเขาก็หันไปมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะ แล้วเขาก็รู้ถึงสาเหตุได้ในทันที


 


ชายคนนั้นสั่งเห็ดป่า, ปลา, ไข่เจียว, ไก่ผัดเผ็ด, และเนื้อแพะ


 


“อาหารไม่ได้มีปัญหาหรอกครับ แต่ปัญหาอยู่ที่ลูกชายของคุณต่างหาก” หวังเย้าพูด


 


“อะไรนะ?” ผู้เป็นพ่อถามด้วยความไม่พอใจ “ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ลูกชายของฉัน! แกเป็นเพื่อนกับเจ้าของร้านใช่ไหม?”


 


“ให้ผมพูดจบก่อนสิครับ” หวังเย้าพูดอย่างใจเย็น


 


“ตอนที่อยู่รีสอร์ทน้ำพุร้อน ลูกชายของคุณกินไอศกรีมไปเยอะมาก” หวังเย้าพูด “ผมพูดถูกไหมครับ?”


 


ผู้เป็นพ่อรู้สึกประหลาดใจ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมา


 


หวังเย้าเห็นไอศกรีมบางส่วนปนอยู่ในอ้วกของเด็ก


 


“หมอพูดถูกแล้วค่ะ เขาคิดไอศกรีมไปสองแท่งกับโค้กอีกหนึ่งขวด” แม่ของเด็กพูด


 


“การกินอาหารที่เย็นมากเกินไปจะทำให้กระเพาะมีปัญหาได้ ถึงจะไม่ได้มากินข้าวที่นี่ เขาก็อาจจะอ้วกออกมาได้เหมือนกัน แล้วอาหารที่พวกคุณสั่งไปก็ยังเป็นพวกเห็ด, ไก่ผัดพริกและแพะด้วย พริกก็เป็นตัวที่ไปกระตุ้นกระเพาะด้วยเหมือนกัน แล้วนั่นก็คือสาเหตุที่ลูกชายของคุณเป็นแบบนี้ครับ” หวังเย้าพูด


 


“อ่อ” แม่ของเด็กพูด


 


“คุณเก่งมากเลยนะ” ลูกค้าคนหนึ่งพูด


 


ลูกค้าคนอื่นๆดูเหมือนจะเห็นด้วยกับหวังเย้า


 


“อะไรกัน? พวกแกคงจะรู้จักกันหมดเลยสินะ!” พ่อของเด็กตะคอกออกมา


 


“สิ่งที่คุณควรทำในตอนนี้ก็คือ การพาลูกของคุณไปตรวจที่โรงพยาบาล ให้เขาได้รับการรักษาที่เหมาะสม แทนที่จะมามัวตะโกนโหวกเหวกที่นี่ดีกว่านะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ค่ะๆ เราควรไปกันได้แล้ว!” แม่เด็กอุ้มลูกของเธอขึ้นมาและเดินตรงไปที่ประตู


 


ผู้เป็นสามีคว้าเสื้อคลุมของตัวเองและเดินตามพวกเขาออกไป


 


“หลีกไป!” หวังเย้ายืนขวางทางเขาอยู่


 


ชายคนนั้นผลักหวังเย้า แต่กลับเป็นเขาที่เด้งจนไปชนเข้ากับกำแพงแทน “นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย!”


 


“จริงเหรอเนี่ย? นี่เขาแกล้งล้มเองใช่ไหม?” คนที่ยืนมุงดูอยู่พูดออกมาด้วยความตกใจ


578 คนตาย


 


“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?”


 


ศีรษะของชายคนนั้นเอียงไปข้างหนึ่ง ศีรษะด้านหลังของเขากระแทกเข้ากับกำแพงของร้าน แล้วเขาก็หมดสติไป เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็มองเห็นเดือนดาวและนกน้อยบินวนอยู่ตรงหน้า รวมทั้งยังได้ยินเสียงแปลกๆที่ข้างหูด้วย


 


เขาหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าแปลกๆ


 


ดวงตาของเฉินหยิงเป็นประกายขึ้นมา เขาปลดปล่อยพลังฉีที่รุนแรงเหมือนลมพายุออกมา!


 


นี่มันบ้าอะไรกัน? แค่เพราะฉันไปแตะใส่ตัวเขาเนี่ยนะ?


 


ไม่มีคนฉลาดที่ไหน พยายามที่จะทำเรื่องโง่ๆต่อหน้าหวังเย้า แล้วทำให้ตัวเองต้องขายหน้าแทน ชายคนนี้เป็นคนโมโหร้ายก็จริง แต่เขาไม่ได้โง่ เขาเดินเลี่ยงหวังเย้าออกไปต่อหน้าคนมากมาย


 


“พวกแกรอก่อนเถอะ” ชายคนนั้นพูด มันเป็นเหมือนคำพูดคลาสสิคที่มีอยู่ในหนังหลายๆเรื่อง


 


“รอก่อน คุณต้องจ่ายค่าอาหารด้วย” เจ้าของร้านพูด


 


ชายคนนั้นโยนเงินจำนวนหนึ่งลงไปบนโต๊ะ ก่อนที่จะจากไป ในตอนที่เดินออกไปนั้น เขายังคงพูดสบถไปตลอดทาง


 


“ผมขอโทษที่รบกวนคุณลูกค้านะครับ ผมขอรับประกันว่า อาหารแต่ละจานของทางร้านเป็นของคุณภาพดีอย่างแน่นอน สำหรับวันนี้ ผมจะลดราคาค่าอาหารให้ลูกค้า 20% ทกโต๊ะเลยนะครับ” เจ้าของร้านพูด


 


“เยี่ยม” ลูกค้าคนหนึ่งพูด


 


“เจ้าของร้านทำธุรกิจได้เก่งจริงๆ” ลูกค้าอีกคนพูด


 


คนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ต่างก็พอใจกับเรื่องนี้ แล้วกิจการก็ดำเนินไปตามปกติ


 


“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือในวันนี้มากเลยนะครับ” เจ้าของร้านเดินออกไปส่งหวังเย้าที่ด้านนอกตัวร้าน เพื่อขอบคุณหวังเย้า ที่ช่วยไม่ให้ร้านต้องเสียชื่อเสียง


 


“ยินดีครับ ผมไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย” หวังเย้าพูด


 


“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หมอไม่ต้องจ่ายเงินค่าอาหารที่ร้านนี้อีกต่อไป” เจ้าของร้านพูดอย่างใจกว้าง


 


“ไม่มีทางครับ! ถ้าไม่อย่างนั้น ผมจะไม่มาทานที่นี่อีก” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ไปกันเถอะครับ” หวังเย้าพูดกับเฉินหยิง


 


พวกเขากลับไปถึงหมู่บ้านก็เป็นตอนที่ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว แสงไฟข้างทางเปิดส่องสว่างเพื่อให้เห็นทาง ชาวบ้านบางส่วนยืนคุยกันอยู่ตามข้างถนน


 


“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะคะ” เฉินหยิงพูด


 


“อย่าเกรงใจกันเลยครับ ก็แค่มื้ออาหารธรรมดาๆเท่านั้น ผมไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของพวกคุณทั้งสองแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด


 


หลังจากที่จอดรถเสร็จแล้ว หวังเย้าก็เดินเข้าไปในตัวบ้าน เฉินหยิงและเฉินโจวก็เดินกลับไปที่บ้านเช่าของพวกเขา มันเป็นเวลาเกือบจะสองทุ่มแล้ว


 


“พี่ ตอนที่อยู่ที่ร้านอาหาร หมอหวังทำอะไรเหรอ?” เฉินโจวถาม เขารู้สึกทึ่งกับการกระทำของหวังเย้ามาก


 


“หมอหวังเป็นสุดยอดปรมาจารย์กังฟูจ๊ะ แล้วเขาก็ได้ปล่อยพลังฉีออกมาตอนอยู่ที่ร้านอาหาร” เฉินหยิงพูด


 


“สุดยอดไปเลย!” เฉินโจวเคยได้ยินพี่สาวของเขามาว่า ทักษะกังฟูของหวังเย้านั้นดีพอๆกับทักษะการรักษาของเขา เฉินโจวรู้ดีว่า หวังเย้าเป็นหมอที่เก่งมาก เพราะหวังเย้าสามารถทำให้เขาที่ป่วยมานานหลายปีกลับมาเป็นปกติได้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นทักษะกังฟูของหวังเย้าด้วยตาตัวเอง เขารู้สึกอัศจรรย์ใจมาก มันเหมือนกับเขากำลังดูหนังที่น่าตื่นตาตื่นใจอยู่ยังไงยังงั้น


 


“แล้วปรมาจารย์กังฟูมีอยู่บนโลกใบนี้จริงๆสินะ” เฉินโจวพูด


 


“เขายังดีกว่าที่เธอเห็นวันนี้ด้วยนะ” เฉินหยิงพูด


 


เธอได้เห็นความสามารถของหวังเย้าในการควบคุมสายลมและสายฝน ในคืนวันฝนตกที่กำแพงเมืองจีนมาแล้ว ถ้าเธอไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เธอก็คงจะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด


 


“แล้วหมอหวังมีศิษย์ไหม?” เฉินโจวถาม


 


“หา?” เฉินหยิงถามด้วยความแปลกใจ


 


“ผมอยากจะเรียนกังฟู พี่ก็รู้นี่ ว่าผมอยากเรียนกังฟูมาตลอด” เฉินโจวพูด


 


เธอรู้เรื่องงานอดิเรกของน้องชายเธอดี เขาหลงใหลในกังฟูตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายตัวน้อย เขาชื่นชอบการดูหนังกังฟู อ่านนิยายกังฟู และจมอยู่กับโลกของกังฟู เขาฝันว่าตัวเองจะกลายเป็นฮีโร่เหมือนอย่างในหนังและนิยาย ตอนที่ยังเป็นเด็ก เขาเคยขอให้เฉินหยิงสอนกังฟูให้กับเขา เฉินโจวเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เขาถือเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในด้านนี้มาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะอาการป่วยทางจิตของเขา เขาก็อาจจะกลายเป็นนักต่อสู้ที่เก่งกาจคนหนึ่งไปแล้ว


 


“ไว้พรุ่งนี้ พี่จะลองถามเขาดูให้นะ” เฉินหยิงพูด “แต่เธอต้องรู้ไว้นะว่า หมอหวังไม่ใช่จะยอมรับลูกศิษย์กันง่ายๆ แล้วพี่ก็สอนให้เธอได้ด้วย”


 


“เยี่ยมไปเลยครับพี่ ผมยังจำตอนที่พี่สอนผมตอนเป็นเด็กได้อยู่เลย” เฉินโจวพูด


 



 


เวินหว่านกำลังคุยอยู่กับศาสตราจารย์ลู่และลูกชายของเธอ


 


“ฉันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ทั้งสองคนไปนอนเถอะ” เวินหว่านพูดอย่างอ่อนแรง


 


คืนก่อนหน้านั้น ศาสตราจารย์ลู่และลูกชายของเวินหว่านไม่ได้นอนหลับกันอย่างเต็มที่ เพราะพวกเขาจำเป็นต้องเฝ้าดูอาการของเวินหว่านตลอดทั้งคืน ตอนนี้อาการของเธอดีขึ้นแล้วจริงๆ เธอไม่คิดว่า ทั้งสองคนจะยังเฝ้าเธอต่อในคืนนี้อีก แล้วทั้งสองก็ไม่ยอมทำตามที่เธอขอด้วย


 


“แม่ไม่ต้องห่วงเราหรอกครับ อีกเดี๋ยวลุงลู่กับผมก็จะไปนอนแล้ว” ลูกชายของเธอพูด


 


“ใช่แล้วล่ะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด


 


“ก็ได้จ๊ะ ถ้าอย่างนั้นก็ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะ” เวินหว่านเอาผ้ามาห่มและค่อยๆหลับไป


 


ศาสตราจารย์ลูและลูกชายของเวินหว่านนั่งอยู่ข้างเตียงเงียบๆ  ไม่มีใครเริ่มพูดขึ้นมาก่อน หลังจากมั่นใจแล้วว่า เวินหว่านหลับไปแล้วจริงๆ พวกเขาก็เริ่มพูดกันด้วยเสียงเบาๆ


 


“ลุงคิดว่า อาการแม่ของเธอดีขึ้นกว่าสองวันที่แล้วมากนะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด


 


“ใช่ครับ เธอดูอาการดีขึ้นมาก เสียงพูดก็ดังกว่าเดิม แล้วยังกินได้เยอะขึ้นด้วย” ลูกชายของเวินหว่านที่มีชื่อว่า ฟ่านโยวเหริน พูด


 


การที่คนป่วยไม่มีความอยากอาหาร ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดี คนเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่กินอะไรเลย เมื่อหยุดกิน เขาหรือเธอก็จะหมดแรง เมื่อไม่นานมานี้ เวินหว่านก็เคยอยู่ในสภาพนั้น ตอนนี้ เธอเริ่มกลับมากินได้อีกครั้ง ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี


 


“เราพาแม่ของเธอไปหาหมอหวังพรุ่งนี้กันดีไหม?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม


 


“ดีครับ” ฟ่านโยวเหรินพูด


 


ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น


 



 


เฉินโจวตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น เขากำลังฝึกฝนในท่านั่งกับพี่สาวของเขา


 


“ทำได้ดีนิ” เฉินหยิงพูดด้วยรอยยิ้ม


 


ตราบใดที่เฉินโจวมีพื้นฐานทักษะที่ดี ต่อไป เขาก็จะสามารถเลือกเรียนทักษะอื่นๆได้ง่ายขึ้น เธอไม่รู้เลยว่า เฉินโจวไม่เคยหยุดฝึกกังฟูเลย แม้แต่ตอนที่เขารักษาอยู่ในโรงพยาบาลก็เช่นกัน แต่แน่นอนว่า เฉินโจวไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ตัวเองได้ฝึกกังฟูเป็นครั้งคราว เพราะมันเป็นตอนที่อาการทางจิตของเขากำเริบนั่นเอง


 


หลังจบการฝึกในช่วงเช้า พวกเขาก็ทานอาหารเช้า ก่อนที่จะไปคลินิกของหวังเย้า ซึ่งมีบางคนมารออยู่ก่อนแล้ว


 


ทันทีที่ตะวันโผล่พ้นขึ้นมา ฟ่านโยวเหรินก็ออกมาจากบ้าน เขาหันหน้าไปทางเนินเขาหนานชานเพื่อมองหาหวังเย้า เมื่อเห็นหวังเย้าเดินตรงไปที่คลินิก เขาและศาสตราจารย์ลู่ก็พาเวินหว่านมาที่คลินิกของหวังเย้าทันที


 


หวังเย้าตรวจดูอาการของเวินหว่าน อาการของเธอดีขึ้นมาก ชีพจรของเธอไม่เต้นอ่อนแรงเหมือนตอนนั้นแล้ว และยังเต้นแรงขึ้นด้วย อวัยวะภายในที่ได้รับความเสียหาย ก็เริ่มมีการฟื้นตัวขึ้น


 


“ยาได้ผล” หวังเย้าพูด ขี้ผึ้งต้วนชื่อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ “ให้เธอกินยาต่อได้เลยนะครับ”


 


เขานำขี้ผึ้งต้วนชื่อหนึ่งช้อนโต๊ะไปเจือจาง และใส่ลงไปในขวดยา


 


“เอาไว้สำหรับกินนะครับ” หวังเย้าเขียนปริมาณยาที่ต้องกินในแต่ละครั้งและวิธีการกิน


 


หลังจากเอายาให้เธอกินไปถ้วยหนึ่ง หวังเย้าก็รอต่อไปอีก 30 นาที ก่อนที่จะทำการรักษาต่อ


 


“ช่วยถอดเสื้อคลุมของเธอด้วยครับ” หวังเย้าพูด


 


ฟ่านโยวเหรินช่วยถอดเสื้อคลุมตัวหน้าให้แม่ของเขา


 


“ช่วยนอนลงด้วยครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาเริ่มทำการฝังเข็มลงไป มือของเขานิ่งและเคลื่อนไหวไปอย่างช้าๆ หวังเย้าพยายามหลีกเลี่ยงจุดฝังเข็มที่ค่อนข้างไวต่อสู้กระตุ้น การฝังเข็มเป็นการช่วยให้ร่างกายดูดซึมตัวยาได้ดีขึ้นและกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต


 


“เรียบร้อยครับ ช่วยพยุงเธอลุกขึ้นที” หวังเย้าพูด “อีกสองวัน ให้กลับมาอีกทีนะครับ”


 


“ได้ครับ” ศาสตราจารย์ลู่พูด หลังจากที่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เขาและฟ่านโยวเหรินก็จากไปพร้อมกับเวินหว่าน


 


“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าถามเฉินหยิงที่รออยู่


 


เฉินหยิงจึงได้พูดจุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่


 


“เธออยากจะเรียนกังฟูเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ครับ หมอสอนผมได้ไหม?” เฉินโจวถาม


 


“เธอยังไม่ทิ้งความฝันที่จะได้เป็นจอมยุทธ์สินะ” หวังเย้าพูด


 


เขาจำวันแรกที่เขาเจอกับเฉินโจวได้ ซึ่งมันเป็นตอนที่เฉินโจวอาการกำเริบพอดี ในตอนนั้น เฉินโจวได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับดาบและวิถีดาบ 42วิถี


 


“ไม่ครับ ไม่เคยเลยสักครั้ง” เฉินโจวพูด


 


“ขอโทษด้วยที่ฉันต้องทำให้เธอผิดหวังซะแล้วล่ะ ตอนนี้ ฉันยังไม่มีแผนการที่จะรับลูกศิษย์หรอก” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


เฉินโจวดูผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่แปลกใจกับคำตอบของหวังเย้ามากนัก “ผมเข้าใจแล้วครับ ผมไม่น่าถามเลย”


 


“ไม่เป็นไร ความจริง พี่สาวของเธอก็เก่งเรื่องกังฟูมากเลยนะ เธอเรียนจากเธอก็ได้นี่นา” หวังเย้าพูด


 


“ได้ครับ” เฉินโจวพูด


 


“อย่าเสียใจไปเลยนะ” หลังพวกเขาออกมาจากคลินิกแล้ว เฉินหยิงก็พูดออกมา


 


“ไม่เป็นไรหรอกพี่” เฉินโจวยิ้ม “ผมเรียนกับพี่เหมือนเมื่อก่อนก็ได้”


 


“โอเค” เฉินหยิงพูด


 


มันเป็นเช้าที่สดใสและอบอุ่น และเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการเดินเล่น


 


มีคนไข้มาอีกคนในตอน 10.30 คนไข้เป็นชาวบ้านที่อยู่หมู่บ้านใกล้ๆ ซึ่งมาด้วยอาการปวดศีรษะ หวังเย้าจึงนวดรักษาให้กับเขา


 


ในตอนที่หวังเย้ากำลังจะหยุดพักและดื่มน้ำอยู่นั้น ก็มีคนผลักเปิดประตูคลินิกและรีบร้อนเข้ามาในคลินิก


 


“สวัสดีครับ ลุงเฟิงหมิง มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าลุกขึ้นยืน


 


“เสี่ยวเย้า มีคนตายบนเนินเขาหนานชาน!” หวังเฟิงหมิงพูด


 


“อะไรนะ?” หวังเย้ารู้สึกตกใจ


579 ผู้พิทักษ์ขุนเขา


 


“นั่งก่อนครับ แล้วค่อยๆเล่าให้ผมฟัง” หวังเย้าชงชามาให้เขาดื่ม “มีใครตาย แล้วอะไรที่ทำให้คนคนนั้นตายครับ?”


 


“หลี่จูหลายที่อยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้าน คือคนที่ตายอยู่ตรงทางเชื่อมระหว่างเนินเขาหนานชานและตงชาน” หวังเฟิงหมิงพูด “ลุงก็ไม่รู้ว่าเขาตายยังไง บางทีอาจจะเป็นเพราะตกใจกลัวจนตายก็ได้ เพราะเขาป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่ด้วย”


 


“กลัวเหรอ?” หวังเย้ารู้สึกสับสน


 


“อากาศช่วงนี้เริ่มอุ่นขึ้น คนในหมู่บ้านก็เลยขึ้นเขากันเยอะขึ้นน่ะสิ” หวังเฟิงหมิงพูด “มีหลายคนเห็นงูอยู่บนเนินเขาหนานชานด้วย มีตัวหนึ่งเป็นงูสีดำตัวใหญ่ยาวเป็นเมตรเลยล่ะ! เธออยู่บนนั้นมาตั้งนาน เธอได้เห็นมันบ้างรึเปล่า?”


 


เสี่ยวเฮย!


 


“ผมเคยเห็นมันครับ” หวังเย้าพูด “ความจริง ผมเคยช่วยมันไว้ด้วย” หวังเย้าไม่ต้องการปิดบังเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ที่เขารู้จัก


 


“นั่นน่าจะเป็นปัญหาแล้วล่ะ” หวังเฟิงหมิงพูด


 


“ทำไมเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ก็มีคนในหมู่บ้านพูดว่า เธอเลี้ยงงูเอาไว้บนเนินเขาหนานชานน่ะสิ และที่หลี่จูหลายตาย ก็เพราะงูตัวนั้นทำให้เขาตกใจกลัวจนตาย” หวังเฟิงหมิงพูด


 


มันดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องยุ่งซะแล้ว ฟังจากคำพูดของหวังเฟิงหมิงแล้ว การตายของหลี่จูหลายมีความเกี่ยวข้องกับหวังเย้าอย่างมาก ถ้าหากมีคนโดนสุนัขกัด สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการตามหาเจ้าของสุนัข ไม่ใช่กัดหมาคืน


 


“บนเนินเขาหนานชาน อาจจะมีงูมากกว่าหนึ่งตัวก็ได้” หวังเฟิงหมิงพูด


 


“มากกว่าหนึ่งตัวเหรอครับ?” หวังเย้าถาม “ผมเคยเห็นแค่ตัวสีดำตัวเดียวเองนะครับ”


 


หวังเย้าได้ค้นพบว่า เสี่ยวเฮยมีสติปัญญาและเข้าใจคำพูดของเขา มันได้กลายมาเป็นผู้คุ้มครองเนินเขาหนานชาน ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้าหรือเวลากลางคืน มันก็จะตรวจตราทั่วเนินเขาราวกับสุนัขเฝ้ายาม โชคร้ายที่คนมักจะรู้สึกหวาดกลัวงูกัน โดยเฉพาะงูตัวใหญ่


 


“ขอบคุณ ที่อุตส่าห์มาบอกผมถึงที่นี่นะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ไม่เป็นไรๆ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมาขอบคุณกันหรอก” หวังเฟิงหมิงพูด หวังเย้าปฏิบัติต่อเขาด้วยดีเสมอมา “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ลุงไปก่อนนะ”


 


“ลุงครับ คุณลุงได้ขายบ้านกับเขารึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ขายเฉพาะที่จะซื้อบ้านสำหรับให้ลูกชายของลูกแต่งงานเท่านั้นแหละ ส่วนลุงกับป้าก็คงจะอยู่ที่หมู่บ้านของเราเหมือนเดิม” หวังเฟิงหมิงพูด


 


“ดีแล้วล่ะครับ” หวังเย้าเดินไปส่งเขาที่ประตู แล้วเขาก็เดินกลับไปที่คลินิก


 


ในหมู่บ้านกลางเขา เรื่องการเสียชีวิตถือเป็นเรื่องใหญ่ ในหมู่บ้านแห่งนี้ แซ่หวังถือเป็นแซ่ที่ใช้กันมากที่สุด ที่เหลือก็จะมี แซ่เฉินกับแซ่หลี่ คนที่มีแซ่เดียวกันมักจะเป็นญาติกัน


 


ไม่นาน เรื่องการตายของชายชราก็กระจายไปทั่วหมู่บ้าน


 


ในระหว่างมื้ออาหาร จางซิวหยิงก็ได้พูดเรื่องนี้กับหวังเย้า


 


“ทั้งๆที่เขาก็แก่แล้วยังป่วยเป็นโรคหัวใจอีก ทำไมถึงได้ปล่อยให้เขาขึ้นไปเก็บหญ้าบนเขาคนเดียวได้กัน?” เธอถาม “เขาจะไปเก็บหญ้าที่ไหนก็ได้ แต่ทำไมจะต้องไปที่เนินเขาหนานชานด้วยนะ?”


 


ข่าวลือเรื่องนี้ดังมาถึงหูของเธอ เธอจึงอยากจะพูดปลอบใจลูกชายของเธอ “เสี่ยวเย้า บนเขามีงูอยู่จริงเหรอ?”


 


“ครับ แล้วก็มีอยู่ตัวหนึ่งที่ผมค่อนข้างคุ้นเคยด้วย” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม คำตอบของเขาได้สะกิดความสงสัยของเธอเข้า


 


“มันคุ้นเคยกับลูกด้วยเหรอ? มากแค่ไหนล่ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ผมเคยช่วยมันเอาไว้ครับ แล้วมันก็ฟังผมเข้าใจด้วย” หวังเย้าพูด


 


“มันอยู่ที่นั่นจริงๆสินะ” จางซิวหยิงพูด


 


หวังเฟิงฮวาไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ก้มหน้าทานอาหารต่อไปเท่านั้น หลังจากที่ทานอาหารอิ่มแล้ว เขาก็พูดขึ้นมาในที่สุด “มันกัดคนรึเปล่า?”


 


“ตราบใดที่เราไม่ไปทำร้ายมัน มันก็จะไม่กัดเราครับ” หวังเย้าพูด “มันก็เหมือนกับซานเซียนนั่นแหละครับ”


 


“แล้วถ้ามันไปทำให้คนกลัวขึ้นมาอีกล่ะ?” จางซิวหยิงถามด้วยความกังวล


 


“นั่นเป็นเรื่องที่ผมต้องการอยู่แล้วครับ” หวังเย้าพูดเสียงเบา


 


“อะไรนะ?” พ่อกับแม่ของเขาต่างก็ตกใจ


 


“พ่อ แม่ ผมไม่ต้องการให้คนนอกเข้าไปใกล้เนินเขาหนานชาน พ่อกับแม่ก็รู้ ว่าบนนั้นมีเรื่องบางอย่างที่ไม่ควรให้คนนอกรู้อยู่ด้วย” หวังเย้าพูด


 


บนเนินเขาหนานชานมีเรื่องน่าตกใจอยู่หลายเรื่อง เช่น เรื่องของค่ายกลรวมวิญญาณ, สมุนไพรรากที่ปลูกอยู่ในแปลงสมุนไพร, และความรู้สึกสบายที่น่าประหลาด


 


“แต่แน่นอนว่า ผมไม่ได้อยากให้ใครตาย นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ” หวังเย้าพูดอย่างใจเย็น หวังเฟิงฮวาและจางซิวหยิงมองมาที่เขาด้วยความตกใจและกังวลใจ “ทั้งหมา, อินทรีย์, และงำล้วนแล้วแต่เป็นผู้พิทักษ์เนินเขา”


 


บรรยากาศภายในห้องหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง จางซิวหยิงมองหน้าลูกชายของเธอ หวังเฟิงฮวาก้มหน้าสูบบุหรี่


 


“มันยังมีคนอื่นขึ้นไปบนเขาอยู่อีกนะ” จางซิวหยิงพูดเสียงกระซิบ


 


“ซานเซียนกับเสี่ยวเฮยคอยตรวจตรารอบๆเนินเขาอยู่ตลอดครับ” หวังเย้าพูด “แล้วผมก็ยังได้ทำบางอย่างเอาไว้บนนั้นอีกชั้นหนึ่งด้วย


 


เชาจำเป็นต้องทำให้คนในหมู่บ้านหวาดกลัวเนินเขา ความหวาดกลัวสามารถแพร่กระจายออกได้อย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขามีความกลัว ก็จะไม่มีใครกล้าขึ้นไปบนเขาอีก


 


การตายของชายชราเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น แต่มันก็ได้สร้างผลลัพธ์บางอย่างที่คาดไม่ถึงอีกด้วย


 


“เฮ้อ!” จางซิวหยิงถอนหายใจออกมา


 


“พ่อกับแม่อย่าคิดมากเลยครับ” หวังเย้าพูด


 


“แค่รู้ว่าลูกกำลังทำอะไรอยู่ก็ดีแล้ว” หวังเฟิงฮวาพูด


 


หลังทานอาหารเสร็จ หวังเย้าก็กลับไปที่คลินิก


 


เมื่อหวังเย้าออกไปแล้ว จางซิวหยิงก็เข้าไปคุยกับสามีของเธอ “ดูเหมือนว่า ลูกของเราจะเปลี่ยนไปนะ!”


 


“เขาเปลี่ยนไปจริงๆ” หวังเฟิงฮวาพูด


 


“เนินเขานั่นมีไว้สำหรับปลูกพืช, เลี้ยงสัตว์, เกี่ยวหญ้าอยู่แล้ว” สิ่งที่จางซิวหยิงพูดมา มันคือเรื่องที่ชาวบ้านมักจะทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว


 


“บ้านหลายหลังในหมู่บ้านถูกขายออกไปแล้ว” หวังเฟิงฮวาพูด “แล้วเดี๋ยวคนก็จะค่อยๆย้ายออกไปกันหลายบ้าน แล้วเนินเขาตงชานกับซีชานก็ทำสัญญาเช่าเอาไว้แล้วด้วย!”


(西Xī  ทิศตะวันตก/ 东Dōng  ทิศตะวันออก/南Nán ทิศใต้/北běi ทิศเหนือ/山shān ภูเขา)


 


“แต่ที่ตีนเขาก็ยังมีที่อีกเยอะเลยนะ” จางซิวหยิงพูด


 


ระหว่างเนินเขาตงชานและซีชานมีพื้นที่ว่างและยาวอยู่ด้วย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านใช้สำหรับเพาะปลูก พื้นที่เพาะปลูกในเนินเขาตงชานและซีชานคือพื้นที่ที่ถูกใช้เป็นหลัก เพราะเนินเขาหนานชานนั้นไกลจากหมู่บ้านกว่าเล็กน้อย การเดินทางไปกลับจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง ทั้งยังไม่สะดวกในการตักน้ำและการขนอุปกรณ์สำหรับการเพาะปลูกด้วย มันจึงไม่ใช่พื้นที่ที่เหมาสำหรับการเพาะปลูกเลย และทำได้เพียงแค่เป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์เท่านั้น


 



 


มันเป็นเวลาบ่ายโมงกว่า เฉินหยิงและเฉินโจวยังคงเดินเล่นอยู่บนเนินเขาซีชาน


 


“อย่าไปไกลกว่านี้อีกเลย!” เมื่อมองดูก้อนหินจำนวนมากอยู่ตรงหน้า เฉินหยิงก็เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมา ก้อนหินเหล่านี้ได้ปิดกั้นเส้นทางที่จะเดินไปสู่เนินเขาหนานชานเอาไว้ “นี่เป็นค่ายกลที่ถูกวางเอาไว้”


 


“หมอหวังเป็นคนทำเหรอ?” เฉินโจวถาม


 


“มันจะต้องเป็นฝีมือของเขาแน่ เขาคงไม่อยากให้ใครไปไกลกว่านี้” เฉินหยิงพูด


 


ที่ที่พวกเขาอยู่นั้น เป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างเนินเขาซีซานและเนินเขาหนานชาน เนินเขาเหล่านี้ได้เชื่อมต่อกันโดยไม่มีเขตแดนที่ชัดเจนให้เห็น ตรงหน้าของพวกเขามีก้อนหินวางเอาไว้ระเกะระกะ ซึ่งเป็นฝีมือการวางของหวังเย้า ที่เกือบจะขังคนทั้งสองที่เกือบจะเผลอเดินเข้าไปเอาไว้


 


“เรากลับกันเลยไหมฮะ?” เฉินโจวถาม


 


“ดีจ๊ะ” เฉินหยิงพูด


 


ณ ที่ใดที่หนึ่งบนเนินเขาซีชาน แกะตัวหนึ่งเดินขึ้นไปบนเขาและเดินวนไปรอบๆ ในตอนที่เดินอยู่ มันก็คอยดมกลิ่นตามพื้นไปด้วย อยู่ๆมันก็ถูกกั้นเอาไว้ด้วยหลุมที่มีดินสีดำเทาแปลกๆ ภายในหลุม ทั้งแห้งแล้งและไม่มีพืชพันธุ์ใดๆอยู่เลย


 


แกะโง่กำลังยืนอยู่ที่ขอบหลุม ดินที่อยู่ปากหลุมไม่ได้แข็งแรงพอ มันจึงถล่มลงไปพร้อมกับตัวแกะ ในขณะที่แกะตกลงไปฝุ่นก็ได้ฟุ้งกระจายไปทั่ว


 


แกะลุกขึ้นมา มันส่ายหัวไปมาสองสามครั้งและกำลังคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน อยู่ๆมันก็นึกอยากจะออกไปจากที่นี่ มันพยายามกระโดดขึ้นไป แต่ก็ล้มเหลว มันเป็นเรื่องแปลกมาก ที่แกะซึ่งมีความสามารถให้การเดินบนเขากลับไปสามารถปีนออกไปได้ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน มันก็เป็นเรื่องที่แปลกมากๆ


 


ตัวแกะเองก็รู้สึกแปลกใจ ดังนั้น มันจึงส่ายหน้าไปมาอยู่หลายครั้ง ในที่สุด มันก็ปีนขึ้นไปอีกครั้ง


 



 


“เหล่าหวัง ได้แต่ดื่มเหล้ามันทั้งวัน! ไม่รู้เลยสินะว่าแกะหายไปน่ะ!” มีเสียงตะคอกของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นภายในบ้านหลังหนึ่ง


 


คอกแกะยังคงอยู่ที่เดิม แต่แกะกลับหายไปไหนไม่รู้ และประตูคอกก็ถูกแง้มเอาไว้เล็กน้อย


 


“บ้าจริง!” ผู้เป็นสามีรีบร้อนออกมาจากบ้าน พร้อมกับกลิ่นเหล้าที่ลอยฟุ้ง แกะหนึ่งตัวมีราคาหลายร้อยหยวน


 


ในตอนนี้ เป็นเวลาที่ท้องฟ้ามืดลงแล้ว


 


“ไอ้แกะโง่เอ้ย!” ผู้เป็นสามีสบถออกมา ในขณะที่มองหาแกะตามเนินเขาใกล้ๆ


 


แบ๊ๆๆ!


 


เขาได้ยินเสียงร้องของแกะ และได้เดินตามเสียงนั้นไป แล้วเขาก็พบแกะกำลังกัดต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ เขาเดินเข้าไปคว้าใบหูของมันและตบมันไปสองรอบ


 


แบ๊ๆๆ! แกะมองดูเขาด้วยสายตาไม่รู้เรื่องรู้ราว


 


“กลับบ้าน” เขาพูด


 


หลังจบมื้อเย็น หวังเย้าก็เดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน


 


เมื่อเข้าไปถึงในแปลงสมุนไพรแล้ว หวังเย้าก็เรียกหาซานเซียน “ซานเซียน เสี่ยวเฮยอยู่ไหนเหรอ?”


 


ไม่นาน งูสีดำตัวหนึ่งก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเย้า


 


“เสี่ยวเฮย บนเนินเขายังมีงูตัวอื่นอยู่อีกไหม?” หวังเย้าถาม


 


ถึงแม้ว่าเสี่ยวเฮยจะมีสติปัญญา แต่มันก็ไม่ได้ฉลาดเท่ากับมนุษย์ มันจึงเป็นเรื่องปกติที่มันจะไม่เข้าใจคำพูดทั้งหมดของหวังเย้า


 


“ช่างมันเถอะ ไปกัน” หวังเย้าพูด


 


เขาลูบศีรษะของเสี่ยวเฮย แล้วมันก็เลื่อยจากไป


 


“ซานเซียยน นอกจากเสี่ยวเฮยแล้ว ยังมีงูตัวอื่นอยู่บนเขาอีกไหม?” หวังเย้าถาม


 


โฮ่ง!


580 แกะบ้าคลั่งในค่ำคืนสยองขวัญ


 


“มีตัวอื่นอยู่จริงๆเหรอ?” หวังเย้าถาม “มีอยู่เยอะไหม?”


 


ซานเซียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น มันก็ส่ายหน้า


 


“ช่างมันเถอะ ไว้พรุ่งนี้พาฉันไปดูทีนะ” หวังเย้าพูด


 


หวังเย้าได้เดินย่ำไปเกือบทุกซอกทุกมุมของเนินเขาหนานชานแล้ว แต่เขาก็ไม่พบเห็นว่ามีงูตัวอื่นอยู่เลย นอกจากเสี่ยวเฮย


 


กลางดึกคืนหนึ่ง ดวงตาของแกะเป็นประกายเล็กน้อย มันยืนจับจ้องไปที่กำแพงนิ่ง ศีรษะของมันส่ายไปมา มันก้าวเข้าไปสองก้าว อ้าปากขึ้น แล้วเริ่มกิน


 


มีเสียงแกร๊กๆดังขึ้นให้ได้ยิน


 


“นี่ ฟังสิ ได้ยินเสียงแปลกๆข้างนอกนั่นไหม?” หญิงคนหนึ่งที่กำลังนอนอยู่บนเตียงคังได้เอื้อมมือไปสะกิดสามีของเธอ ที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่


 


“ไม่นี่ ฉันไม่เห็นได้ยินอะไรเลย” ผู้เป็นสามีพูด


 


เขาดื่มเหล้าไปสองสามแก้วก่อนนอน เขาจึงนอนหลับไปอย่างง่ายดายและไม่อยากจะตื่นขึ้นมา


 


ภรรยาของเขาพยายามฟังเสียงอย่างตั้งใจ แล้วเธอก็ได้ยินเสียงแปลกๆดังมาจากลานบ้านอีกครั้ง


 


“ฉันได้ยินเสียงจริงๆนะ” เธอพูด “ออกไปดูสักหน่อยเถอะนะ!”


 


“มันไม่มีอะไรหรอกน่า นอนได้แล้ว” ผู้เป็นสามีพูดออกมาด้วยความหงุดหงิด


 


แคร๊ก! แคร๊ก! เสียงที่ดังอยู่ด้านนอกไม่ได้ดังมากนัก แต่มันก็ดังอย่างสม่ำเสม


 


หลังจากที่ผู้เป็นภรรยาล้มตัวลงนอน เธอก็กลับตัวไปมาอยู่หลายรอบ เธอไม่สามารถข่มตาลงได้ เพราะเสียงที่เธอได้ยิน ในที่สุด เธอก็ลุกขึ้นมาแต่งตัวและเดินถือไฟฉ่ายออกไปดูด้านนอก


 


อะไรน่ะ? แล้วเธอก็กรีดร้องออกมา


 


ชายผู้เป็นสามีที่กำลังนอนอยู่ได้ลุกขึ้นมา หลังจากที่ได้ยินเสียงกรีดร้องที่อยู่ๆก็ดังขึ้น เขารีบวิ่งออกไปด้านนอกโดยที่ไม่ทันได้สวมเสื้อคลุม “เกิดอะไรขึ้น?”


 


เมื่อเขาออกไปที่ลานบ้าน เขาก็เห็นภรรยาของเขาตัวสั่นเทา และไฟฉ่ายที่หล่นอยู่บนพื้น


 


“แกะ แกะ!” ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านและน้ำเสียงที่สั่นเทา


 


“เกิดอะไรขึ้นกับแกะ? มันหนีไปอีกแล้วเหรอ?” ชายคนนั้นหยิบไฟฉายขึ้นมาส่องดู “พระเจ้า มันเป็นอะไรไปน่ะ?”


 


แกะกำลังกัดกินกำแพงอยู่ มีเลือดติดอยู่ทั่วทั้งกำแพงและบนร่างของแกะ ฟันของแกะแข็งแรงก็จริง แต่มันก็แข็งไม่เท่าปูนซีเมนต์และก้อนหิน ฟันของมันเกิดการแตกหัก และเหงือกของมันก็ฉีกเป็นแผลกว้าง มีเลือดไหลออกมาจากปากของมันไม่หยุด ตัวแกะดูเหมือนจะไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด และยังคงกัดกินกำแพงซีเมนต์ไม่หยุด ราวกับว่า มันคือหญ้าที่อร่อยที่สุดสำหรับมัน


 


แกะมันบ้าไปแล้ว! ผู้เป็นสามีกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องหมาบ้าและเคยเห็นหมาบ้ามาก่อน แต่เขาไม่เคยเห็นแกะบ้าแบบนี้มาก่อนเลย


 


แบ๊ๆๆ!


 


เมื่อรับรู้ได้ถึงแสงไฟที่ส่องมา แกะก็หยุดกินกำแพง มันหันหัวไปหาแสงและจับจ้องไปที่สองสามีภรรยา ปากของมันเต็มไปด้วยเลือด มันแลบลิ้นออกมาและกลืนกินเลือดเนื้อของมันเอง


 


แบ๊ๆๆ!


 


สายลมพัดผ่านเข้ามา ร่างทั้งร่างของพวกเขาสั่นสะท้าน


 


“เราจะทำยังไงกันดี?” ผู้เป็นภรรยารู้สึกหวาดกลัว เมื่อเธอเดินออกมาและได้เห็นภาพตรงหน้า เธอก็แทบจะฉี่ราดกางเกงตัวเอง “ฆ่ามันดีไหม?”


 


“อะไรนะ? โอ้ รออยู่นี่ก่อนนะ” ผู้เป็นสามีรีบเดินไปหยิบเสียมขึ้นมา


 


แกะยืนนิ่งและมองมาที่พวกเขาเงียบๆ เลือดยังคงไหลออกมาจากปากของมันไม่หยุด มันเป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างมาก


 


ผู้เป็นสามีเดินเข้าไปหาแกะ หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยกเสียมขึ้นมาและทุบไปที่แกะอย่างแรง


 


เคร้ง! เกิดเสียงทุบที่รุนแรงดังขึ้นในค่ำคืนที่มืดมิด


 


แกะส่ายหัวไปมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


เคร้ง! เขาทุบไปที่หัวของมันอีกครั้ง แกะยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


 


แขนที่ถือเสียมเอาไว้มีอาการสั่นสะท้าน เขาไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับการเดินไปในเวลากลางคืนแล้วเจอผีเข้า


 


ในที่สุด แกะก็ตายด้วยเสียมที่ทุบหัวของมันครั้งแล้วครั้งเล่า ที่น่าตกใจก็คือ มันไม่ได้ต่อสู้ดิ้นรนตั้งแต่ต้นจนจบ


 


ลมสายหนึ่งพัดผ่านเข้ามา ร่างของชายผู้เป็นสามีสั่นเทาและมีเหงื่อเย็นไหลออกมา เขารู้สึกเย็นยะเยือกเมื่อมีลมพัดโดนตัว


 


“มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?” ภรรยาของเขาทั้งตกใจและหวาดกลัว


 


“มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ กลับไปนอนเถอะ” เขาพูด


 


“ออกมาทั้งๆที่ไม่ได้ใส่เสื้อคลุมแบบนี้ พี่รีบกลับเข้าไปในบ้านเถอะ” ภรรยาของเขาพูด


 


สองสามีภรรยาเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน ร่างของแกะที่ถูกฆ่าตายนอนอยู่ภายในคอก พร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาเป็นทาง


 


หลังจากเดินกลับเข้ามาในบ้าน และเอนหลังนอนลงบนเตียงคังแล้ว สองสามีภรรยากลับไม่สามารถข่มตานอนหลับได้ เมื่อพวกเขาหลับตาลง ภาพของแกะที่มีเลือดกบปากและจับจ้องมายังพวกเขา พร้อมกับแลบลิ้นออกมาก็ปรากฏขึ้นมา


 


“มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?” ภรรยาของเขายังคงพูดพึมพำออกมาไม่รู้จบ “สองสามวันก่อน มันก็ยังดีดีอยู่เลย ทำไมวันนี้ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?”


 


“เฮ้อ เลิกพูดได้แล้ว” สามีของเธอพูดออกมาอย่างหมดความอดทน


 


ถึงแม้จะเข้ามาอยู่ในบ้านและนอนอยู่บนเตียงอุ่นๆแล้ว เขาก็ยังรู้สึกว่า ร่างกายและหัวใจของเขายังคงเย็นยะเยือกไม่หาย เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก


 


“บางที ตอนที่มันอยู่ข้างนอก มันอาจจะไปกินอะไรแปลกๆเข้าก็ได้” เขาพยายามปลอบใจภรรยา รวมถึงตัวเขาเองด้วย


 


“ก็อาจจะ” ภรรยาของเขาพูด


 


วันต่อมา อากาศอุ่นสบาย ผู้เป็นสามีตื่นขึ้นมาแต่เช้าและเดินไปที่คอกแกะ เลือดแห้งกรังติดอยู่ตามพื้นและกำแพง ดวงตาของแกะยังคงเบิกกว้าง และส่องประกายแสงสีแดงเข้มออกมา


 


“มีอะไรเหรอ?” ภรรยาของเขาตามออกมา


 


“ฉันกำลังคิดอยู่ว่า เราจะทำยังไงกับแกะตัวนี้ดี” เขาพูด


 


“แล้วจะเอามันไปทำอะไรได้ล่ะ?” ภรรยาของเขาถาม


 


“เราเอาเนื้อของมันไปขายดีไหม?” ผู้เป็นสามีพูด


 


“บ้าไปแล้วหรือไง มันเป็นแกะบ้านะ” ภรรยาของเขาพูด “ถ้าเกิดมีคนกินเนื้อของมันเข้าไป แล้วป่วยขึ้นมาจะทำยังไง?”


 


“ถ้าอย่างนั้น ก็เอามันไปทิ้งแล้วกัน” เขาพูด “พอคิดถึงเงินที่ควรจะได้ มันก็น่าเสียดายจริงๆ”


 


“โยนมันทิ้งไปที่กองขยะข้างนอกเลยนะ” ภรรยาของเขาพูด


 


ผู้เป็นสามีแบกร่างแกะ แล้วเอาไปโยนทิ้งไว้ข้างนอก


 


“อะไรน่ะ?” มีชายคนหนึ่งที่เดินผ่านมาในตอนเช้า แล้วบังเอิญเห็นร่างของแกะตัวนั้นเข้า “แกะเหรอ?”


 


เขาเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา


 


“ใครเอามันมาทิ้งไว้ที่นี่กัน? เขาจะต้องโง่มากแน่ๆ!” ชายคนนั้นรีบกลับไปที่บ้านของเขาพร้อมกับร่างของแกะที่ตายแล้ว เขาไม่สนใจว่ามันจะสกปรกแม้แต่นิดเดียว


 


เขาเป็นชายโสดที่อายุมากแล้วในหมู่บ้าน เขามีอายุประมาณ 45 ปีและอาศัยอยู่ตัวคนเดียว ภายในบ้านสองห้องหลังหนึ่ง เขาเป็นคนขี้เกียจและไม่คิดจะทำอะไรจริงๆจังๆ แต่เขากลับค่อนข้างมีฝีมือในการทำอาหารประเภทไก่และย่างกระต่าย


 


ร่างของแกะตัวนี้ มากพอที่จะทำให้เขาอิ่มไปได้หลายวัน เขารีบจัดการถลกหนังและเลาะกระดูกของมันออก


 


“เราเอาแกะไปทิ้งไว้ข้างนอกแบบนั้นดีแล้วใช่ไหม? ถ้าเกิดหมาในหมู่บ้านไปกินมันเข้า หมาจะกลายเป็นบ้าขึ้นมารึเปล่า?” ภรรยาของเขาไม่สามารถเลิกคิดเรื่องแกะตัวนั้นได้


 


“ทำไมจะต้องคิดมากเรื่องนี้ด้วย?” ผู้เป็นสามีถามขึ้นมาในขณะที่เขากำลังสูบบุหรี่อยู่ “เธอบอกว่าให้ฉันเอามันไปโยนทิ้ง แต่ตอนนี้กลับมากังวลเรื่องของมันอีก แล้วตอนนี้ เราจะต้องทำยังไงอีกล่ะ?”


 


เขาต้องตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน และมันทำให้เขานอนหลับไม่สนิท เพราะเขาต้องทิ้งแกะที่ควรจะขายได้ในราคาหลายร้อยหยวนไป ตอนนี้ เขากำลังหงุดหงิดมาก


 


“ทำไมต้องตะคอกใส่ฉันด้วย?” ภรรยาของเขารู้สึกไม่พอใจ


 


“งั้นก็บอกมาสิ ว่าจะให้ฉันทำยังไง!” เขาสูดลมหายใจเข้าลึก


 


“ไปเอามันกลับมา แล้วเอาไปเผาหรือไม่ก็ฝังมันเถอะ” ภรรยาของเขาพูด


 


“ก็ได้” ผู้เป็นสามีโยนก้นบุหรี่ทิ้งไปที่พื้น แล้วเหยียบมันในตอนที่เขาก้าวเท้าเดิน เมื่อเขาเดินไปถึงกองขยะด้านนอก เขาก็พูดอะไรไม่ออก


 


เฮ้ย แกะหายไปไหนแล้วล่ะ?


 


เขากลับไปหาภรรยา “มันหายไปแล้ว”


 


“จะต้องมีคนเก็บมันไปแน่ๆ” ภรรยาของเขาพูด “หวังว่าคงจะไม่มีใครเอามันไปกินนะ”


 


เธอรู้ดีว่า ในหมู่บ้านแห่งนี้มีคนตะกละและขี้เกียงสันหลังยาวอยู่มากแค่ไห


 


“แล้วเราควรจะทำยังไงกันดีล่ะ?” ผู้เป็นสามีเริ่มกังวลขึ้นมา หลังจากที่คิดดูสักพัก เขาก็พูดขึ้นมาว่า “ฉันจะไปขอใช้เครื่องกระจายเสียงของหมู่บ้าน แล้วประกาศให้ชาวบ้านรู้”


 


แล้วเขาก็เดินออกไปจากบ้าน เครื่องกระจายเสียงในหมู่บ้านที่เงียบมานาน ได้มีการทำงานอีกครั้ง


 


“ถึงลูกบ้านทุกคน หวังอีเชิงได้ฆ่าแกะตัวหนึ่งไป แล้วเอามันไปทิ้งที่กองขยะ ไม่ว่าใครก็ตามที่เก็บแกะตัวนั้นไป อย่ากินมันเด็ดขาด แกะตัวนั้นตายเพราะกินหนูมีพิษเข้าไป!”


 


“เขากำลังพูดเรื่องอะไรน่ะ?” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด


 


“แกะของอีเชิงตายเพราะไปกินหนูที่มีพิษเข้าไปน่ะสิ แล้วก็มีคนมาเก็บแกะตัวนั้นไปจากกองขยะ” ชาวบ้านอีกคนพูด


 


“ถ้าคนคนนั้นกินเข้าไปแล้วจะตายไหม?” ชาวบ้านที่ถามขึ้นมาคนแรกพูด


 


“ใครจะไปรู้ล่ะ?” ชาวบ้านอีกคนพูด


 


ภายในห้องทรุดโทรมห้องหนึ่งในหมู่บ้าน ชายวัยประมาณ 40 คนหนึ่งที่สกปรกมอมแมมกำลังถือหม้อเอาไว้ใบหนึ่ง เขากำลังดื่มซุปเนื้อแกะเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อย


 


“โอ้ รสชาติเยี่ยมจริง” ชายคนนั้นพูดกับตัวเอง “แกะตัวนี้ไม่เลวเลย ฉันน่าจะเอาบางส่วนของมันไปขาย แล้วเอาเงินไปซื้อเหล้ามาดื่ม”


 


อยู่ๆเครื่องกระจายเสียงของหมู่บ้านก็ดังขึ้นมา “ถึงลูกบ้านทุกคน โปรดฟังทางนี้”


 


“เขากำลังพูดเรื่องอะไรน่ะ?” ชายคนนั้นฟังอย่างตั้งใจ


 


แล้วเขาก็เผลอพ่นซุปที่เพิ่งดื่มเข้าไปออกมา หนูพิษเหรอ?


 


เขากินมันไปแล้วถึงสองถ้วย


 


“เดี๋ยวนะ ถ้ามันกินหนูพิษเข้าไปจริงๆ เลือดของมันก็น่าจะเป็นสีดำไม่ใช่เหรอ?” เขารู้สึกมึนงง เขาหันกลับไปมองดูหม้อใบใหญ่และเลียริมฝีปากของตัวเอง เขาเพิ่งจะพูดว่ามันอร่อยมาก แต่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว


 


“ช่างมันเถอะ ฉันพอแล้ว ฉันจะเอาที่เหลือไปขายแทน!”


581 ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น


 


เขาเป็นโสดและขี้เกียจหางานทำ เขามักจะลักเล็กขโมยน้อยอยู่เสมอ และเขาก็เชื่อว่า จะต้องมีคนสนใจซื้อเนื้อแกะสดๆแบบนี้แน่นอน เขาจะเอามันไปขายให้กับร้านอาหารในหมู่บ้าน เพื่อแลกกับเงินสด เขาคงจะโง่มาก ถ้าไม่เอามันไปขายเพื่อแลกกับเงิน เขาคิดว่า มันเป็นการได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย


 


ใช่วินวินกันทั้งสองฝ่าย!


 


นี่เป็นความคิดของชายโสดรายนี้


 


หวังอีเชิงเป็นกังวลอยู่ภายในที่ทำการหมู่บ้าน “ลุงเจียนหลี่ ทำไมถึงไม่มีใครว่าอะไรเลยล่ะ? หวังว่าจะไม่มีใครกินมันเข้าไปนะ”


 


“ทำไมถึงได้เอาแกะไปทิ้งไว้ข้างนอกแบบนั้น แล้วยังเป็นแกะที่กินหนูพิษเข้าไปอีก?” หวังเจียนหลี่รู้สึกโมโหเล็กน้อย แกะที่ติดพิษสามารถทำให้คนตายได้


 


หวังอีเชิงก้มหน้าสูบบุหรี่ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป เพราะถึงยังไง มันก็เป็นความผิดของเขาเต็มๆ


 


“นี่ เรามีกล้องวงจรปิดอยู่ไม่ใช่เหรอ เราลองไปเช็คดูกันหน่อยดีไหม?” หนึ่งในกรรมการหมู่บ้านเสนอขึ้นมา


 


“ความคิดเข้าท่านี่” หวังอีเชิงพูด


 


พวกเขาเปิดย้อนดูวิดีโอที่ติดอยู่รอบๆบ้านของหวังอีเชิง หลังเปิดดูได้ไม่นาน พวกเขาก็เห็นคนคนหนึ่งเอาร่างแกะตัวนั้นไป


 


“เขานี่เอง” หวังอีเชิงพูด


 


เขาก็คือ เฉินเจียกุ้ย เขามีอายุประมาณ 40กว่า และเป็นที่รู้กันดีว่า เขาเป็นพวกชอบลักเล็กขโมยน้อยและชอบแอบย่องเข้าบ้านแม่ม่ายอยู่บ่อยครั้ง เขาเป็นเศษสวะอย่างแท้จริง


 


“ผมจะไปคุยกับเขาเอง” หวังอีเชิงพูด


 


พวกเขาต่างก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่หวังอีเชิงจะรู้จักกับเฉินเจียกุ้ย แล้วชายโสดรายนี้ก็ยังมีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดีด้วย


 


ทันทีที่เดินไปถึงหน้าบ้านของเฉินเจียกุ้ย หวังอีเชิงก็ได้กลิ่นซุปเนื้อแกะลอยออกมาจากในบ้าน


 


เขาเอาแกะไปทำอาหารแล้วเหรอเนี่ย


 


หวังอีเชิงเดินเข้าไปเคาะประตู แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ


 


เขาไปไหน?


 


หวังอีเชิงปีนขึ้นไปบนกำแพง และได้เห็นกระดูกชุ่มเลือดกับหนังแกะกองอยู่ที่พื้น แต่กลับไม่เห็นใครอยู่ในบ้านเลย


 


“เฉินเจียกุ้ย” เขาส่งเสียงตะโกนเรียกออกไป


 


ไม่มีใครตอบกลับมา


 


“เราเพื่อนยากมีวันที่สวยงามร่วมกัน!” เฉินเจียกุ้ยกำลังปั่นจักรยานและฮัมเพลงอย่างมีความสุข ในระหว่างทางที่เขากลับจากหมู่บ้านข้างๆ เขาได้เงินจากการขายขาแกะสองชิ้นไปถึง 300 หยวน เขานำเงินไปซื้อเหล้ามาหนึ่งลังและผักดองจากร้านขายของชำมาอีกหนึ่งถุง


 


เขาสามารถไม่กินอาหารเป็นเวลาสองวันได้ แต่เขาไม่สามารถหยุดดื่มเหล้าได้แม้แต่สินาทีเดียว


 


ฉันหวังว่า หลังจากที่เขากินเนื้อแกะเข้าไปแล้ว เขาจะไม่ป่วยเป็นอะไรไปนะ หวังอีเชิงบังเอิญเจอเข้ากับเฉินเจียกุ้ยในระหว่างทางที่กำลังจะกลับบ้าน


 


เฉินเจียกุ้ยสวมเสื้อผ้ามอซอและขี่จักรยานคันเก่า เขาดุสกปรกมอมแมม หวังอีเชิงสามารถได้กลิ่นแอลกอฮอจากตัวเขาได้ตั้งแต่อยู่ห่างกันไปหลายเมตร


 


“เฉินเจียกุ้ย แกไปไหนมาน่ะ?” หวังอีเชิงถาม


 


“มันไม่ใช่เรื่องของแกสักหน่อย” เฉินเจียกุ้ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูหยาบคาย


 


“ฉันขอถามหน่อยสิ แกเอาเนื้อแกะตัวนั้นไปทำอะไร?” หวังอีเชิงถาม


 


“เนื้อแกะอะไรที่ไหน?” เฉินเจียกุ้ยเป็นเศษสวะมา 20 กว่าปีและโกหกปลิ้นปล้อนตลอดเวลา


 


“ฉันเห็นในกล้องวงจรปิด ว่าแกคือคนที่เอาเนื้อแกะไป” หวังอีเชิงพูด “แล้วแกเอาเงินจากที่ไหนไปซื้อเหล้า? หรือแกเอาเนื้อแกะไปขาย?”


 


หวังอีเชิงรู้สึกโมโหขึ้นมา เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ที่เฉินเจียกุ้ยจะทำ เขาก้าวเข้าไปคว้าคอเสื้อของหวังเจียกุ้ยเอาไว้


 


“เอาตาข้างไหนมาเป็นพยานได้บ้างว่า ฉันเอาเนื้อแกะไปขายน่ะ?” เฉินเจียกุ้ยถาม


 


เศษสวะเอ้ย! เขายังคงปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองทำลงไปต่อหน้าหลักฐานที่เห็นๆกันอยู่!


 


“แกได้ยินที่เขาประกาศไปไหม?” หวังอีเชิงถาม


 


“ประกาศอะไร?” เฉินเจียกุ้ยถาม


 


“แกะตัวนั้นมันป่วย คนที่กินเนื้อมันเข้าไปอาจจะตายได้” หวังอีเชิงพูด


 


เมื่อคิดถึงแกะที่เป็นบ้าไปเมื่อคืน เขาก็ยังรู้สึกกลัวไม่หาย คนที่กินเนื้อแกะตัวนั้นเข้าไป อาจจะกลายเป็นบ้าหรือตายได้


 


“กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ?” เฉินเจียกุ้ยถาม “คิดว่าฉันโง่หรือยังไง? ถ้าแกะตัวนั้นกินหนูพิษเข้าไปจริงๆ เลือดของมันก็ต้องเป็นสีดำสิ” อย่างน้อยเขาก็มั่นใจในเรื่องนี้ หนูที่ติดพิษทุกตัวล้วนอาเจียนออกมาเป็นเลือดสีดำ หนูตายมีอยู่ทุกที่ในหมู่บ้าน


 


“แล้วถึงจะมีคนตายขึ้นมา มันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับฉันสักหน่อย” เฉินเจียกุ้ยพูด


 


“ไอ้…” หวังอีเชิงรู้สึกอยากจะชกหน้าเฉินเจียกุ้ยขึ้นมาตะหงิดๆ แต่เขาก็ไม่สามารถทำมันได้ เขาไม่สามารถรับผลที่ตามมาจากการชกเศษสวะของหมู่บ้านคนนี้ได้ ถ้าเขาแตะต้องเจ้าเศษสวะอย่างเฉินเจียกุ้นแม้แต่ปลายนิ้ว เฉินเจียกุ้ยก็จะต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะถึงยังไง ชายคนนี้ก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว


 


ทุกคนต่างก็รู้ถึงชื่อเสียงที่เลวร้ายของเขา และพยายามหลีกเลี่ยงเขาอย่างสุดความสามารถ แต่เขากลับเป็นเหมือนกับสก๊อตเทปที่เหนียวหนึบยากจะแกะออก ดังนั้น จึงไม่มีใครอยากจะไปมีเรื่องกับเขา


 


“แกเอาเนื้อแกะไปขายให้ใคร?” หวังอีเชิงถาม


 


“ก็ลองเดาดูสิ” เฉินเจียกุ้ยพูด


 


หวังอีเชิงโมโหอย่างมาก และจัดการโยนเฉินเจียกุ้ยลงไปที่พื้น “แกจะต้องเสียใจกับสิ่งที่แกทำลงไปในวันนี้!”


 


“คิดว่าฉันจะสนเหรอ” เฉินเจียกุ้ยพูดด้วยท่าทีอวดดี เขาเคยได้ยินคำขู่แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว


 


หลังจากที่หวังอีเชิงกลับมาถึงที่บ้าน เขาก็ขึ้นขี่มอเตอร์ไซด์และขี่ออกไปข้างนอก


 


“จะไปไหนเหรอ?” ภรรยาของเขาตะโกนถาม


 


“ไปตามหาเนื้อ!” หวังอีเชิงตะโกนกลับไป


 


“เนื้ออะไรกัน?” ภรรยาของเขาถามด้วยความงุนงง


 


หวังอีเชิงขี่มอเตอร์ไซด์จากไปโดยไม่หันกลับมาตอบ


 


เขาเคยดูละครสืบสวนมาแล้วหลายเรื่อง ดังนั้น เขาจึงเริ่มคาดคะเนเส้นทางที่จะไป มีไม่กี่ที่ที่สามารถเอาเนื้อแกะไปขายได้ ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็ได้ยินเสียงประกาศ เฉินเจียกุ้ยจึงไม่มีทางเอาเนื้อแกะขายให้กับคนในหมู่บ้านได้ ดังนั้น เขาก็อาจจะเอามันไปขายให้กับหมู่บ้านข้างๆหรือไม่ก็ร้านอาหาร หากดูจากนิสัยเกียจคร้านของเฉินเจียกุ้ยกับจักรยานคันเก่าๆของเขาแล้ว เขาคงจะไปได้ไม่ไกลนัก


 


ไม่นาน หวังอีเชิงก็มีเป้าหมายในใจแล้ว : ร้านอาหารที่อยู่หมู่บ้านข้างๆ


 


“เฉินเจียกุ้ยเหรอ?” เจ้าของร้านถาม “ใช่ เขาเอาเนื้อแกะมาขายให้ที่ร้าย มีปัญหาอะไรเหรอ?”


 


“แกะตัวนั้นกินหนูพิษเข้าไปน่ะสิ” หวังอีเชิงพูด


 


“อะไรนะ?” เจ้าของร้านตกใจ “บ้าเอ้ย! ก็รู้อยู่แล้วว่าเศษสวะอย่างมันไม่มีทางเอาของดีดีมาขายให้ได้ ฉันต้องโง่มากแน่ๆที่เชื่อมัน ดีที่ยังไม่ได้เอาเนื้อชิ้นนั้นไปทำอาหารให้ลูกค้ากิน” เขาหยิบเอาขาแกะและเนื้อแกะออกมา


 


เมื่อเห็นว่า เนื้อดูสดใหม่และเป็นส่วนที่ดีที่สุดในตัวแกะ เขาจึงรับซื้อมันจากเฉินเจียกุ้ย เขาคาดไม่ถึงเลยว่า จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น โชคดีที่หวังอีเชิงมาเตือนเขาทันเวลา ถ้าไม่อย่างนั้น เรื่องเลวร้ายอาจจะเกิดขึ้นได้ หากลูกค้าคนใดคนหนึ่งของเขาเกิดกินเนื้อส่วนนี้เข้าไป


 


“มันเป็นแกะของนายเหรอ?” เจ้าของร้านถาม


 


“ใช่ มันตาย ฉันก็เลยเอามันไปทิ้ง แล้วเฉินเจียกุ้ยก็เก็บมันไป เนื้อนี้มีพิษอยู่” หวังอีเชิงพูด


 


“ไอ้ชั่วนั่น” เจ้าของร้านพูด “เอาไปสิ”


 


หวังอีเชิงนำเนื้อแกะกลับไปที่บ้านของเขา เขาจัดการเอามันไปเผาที่หลังบ้าน


 


“เฉินเจียกุ้ยได้กินเนื้อแกะไปรึเปล่า?” ภรรยาของเขาถามขึ้นมาด้วยความสงสัย


 


“กิน ฉันเห็นในบ้านของเขาแล้ว มันมีซุปเนื้อแกะที่ยังอุ่นๆอยู่เลย” หวังอีเชิงรู้สึกหงุดหงิดเมื่อพูดถึงชื่อของเฉินเจียกุ้ย


 


“คิดว่าเขาจะเป็นอะไรไปไหม?” ภรรยาของเขาถาม


 


“ฉันไม่สนหรอก” หวังอีเชิงพูด


 


“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ? ถ้าเกิดเขาตายขึ้นมา เราก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้นะ” ภรรยาของเขาพูด


 


“ใครมันจะไปรู้ ว่าเขาตายเพราะเนื้อแกะ?” หวังอีเชิงถาม “แล้วเขาก็ต้มเนื้อจนสุขแล้วด้วย ฉันว่าคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก”


 


บริเวณลานบ้านของบ้านที่ทรุดโทรมหลังหนึ่ง ซึ่งไม่ได้รับการซ่อมบำรุงมานานหลายปี ชายวัยประมาณ 40 กว่าปีคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของลานบ้าน เขาดูสกปรกมอมแมม เขานั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะที่ดูผุพังและมุมหายไปสองมุม มีถุงผักรสเผ็ดและโถใส่ผักดองวางอยู่ด้วย


 


“วันนี้ฉันได้กินเหล้า! ฉันจะเมา…อาห์…คนสวย ได้โปรดอย่าไปนะ!” เฉินเจียกุ้ยฮัมเพลงด้วยอาการเมาเล็กน้อย “โอ้-โฮ้!”


 


เขาทั้งขี้เกียจและไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง แม่ของเขาต้องตายก็เพราะเสียใจกับพฤติกรรมต่างๆของเขา ไม่มีญาติคนไหนอยากจะเสวนาด้วย เขามักจะอยู่เพียงลำพังเสมอ


 


“เฮ้อ!” เขาถอนหายใจออกมา เขาคลายเสื้อที่ไม่ได้สักมาหลายปีออก หน้าอกของเขาเปิดรับลมเย็นของฤดูใบไม้ผลิอย่างเต็มที่


 


อยู่ๆเขาก็รู้สึกมึนศีรษะขึ้นมา


 


มีเงาร่างของใครบางคนปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา เธอมีหลังที่โก่งโค้ง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยฝ้ากระ และมีผมขาวทั้งศีรษะ


 


“ลูก ลองพยายามเปลี่ยนตัวเองสักหน่อยดีไหม?” เงานั้นถามขึ้นมา “แม่ก็ไม่อยู่แล้ว หาใครสักคนมาอยู่ดูแลลูกเถอะนะ”


 


“จริงเหรอเนี่ย? แม่ตายไปตั้งหลายปีแล้วนะ ยังจะมาสั่งสอนอะไรฉันอีก?” เฉินเจียกุ้ยที่ไม่คิดจะใส่ใจกับเรื่องนี้ ได้ส่ายหน้าไปมา


 


เขายกเหล้าขึ้นมาดื่มต่อ


 



 


ซี่ๆๆๆๆ! อยู่ๆวิทยุก็ส่งเสียงดังขึ้นมา


 


นั่นเสียงอะไรน่ะ?


 


เฉินโจวมองวิทยุที่อยู่ในมือของเขา


 


“ฮาฮา!” เฉินหยิงส่ายหน้าและยิ้มออกมา


 


วิทยุเก่าเครื่องนี้เป็นของเจ้าของบ้านที่พวกเขาเช่าอยู่ มันดูเก่ามาก เฉินโจวเจอมันเข้าเมื่อวันก่อน และอยู่ๆก็นึกอยากจะซ่อมมันขึ้นมา ใช้เวลาซ่อมวิทยุเครื่องนี้ตลอดทั้งวัน แล้วมันก็เริ่มส่งเสียงที่ฟังดูโบราณออกมา


 


แคร๊ก! แคร๊ก!


 


แม้แต่เสียงคลื่นก็หายไปด้วย


 


ไม่มีอะไรแล้วเหรอ? เฉินโจวสงสัย


 


“เอาล่ะ มันเก่ามากแล้ว ชิ้นส่วนของมันก็เก่าเกินกว่าจะซ่อมได้แล้วล่ะ” เฉินหยิงพูด


 


“ผมชอบฟังวิทยุ มันมีรายการน่าสนใจที่ฟังได้จากวิทยุอยู่ด้วย แล้วยังดีกว่ารายการในทีวีด้วยซ้ำ” เฉินโจวพูด


 


“ไว้บ่ายนี้ พี่จะซื้อวิทยุเครื่องใหม่ให้แล้วกันนะ” เฉินหยิงพูด


582 ความวุ่นวาย


 


“ก็ได้ งั้นเราออกไปเดินเล่นกันดีกว่า” เฉินโจวพูด


 


พวกเขาอาศัยอยู่ใยหมู่บ้านมาได้สักพักแล้ว ถึงแม้ที่นี่จะให้ความรู้สึกผ่อนคลายและสบายก็ตามที แต่ในบางครั้ง พวกเขาก็รู้สึกเบื่อ


 


บนเนินเขาหนานชาน ชายหนึ่งและสุนัขอีกหนึ่งกำลังเดินไปด้วยกัน สุนัขเดินนำอยู่ข้างหน้า ส่วนชายหนุ่มเดินตามอยู่ด้านหลัง


 


ซานเซียนดมกลิ่นไปรอบๆ หวังเย้าเดินตามมันไปอย่างช้า เขากำลังมองหางูอยู่


 


โฮ่ง!


 


“โอ้! อยู่ตรงนี้อีกตัว!” หวังเย้าอุทาน


 


เขาไม่พบงูอยู่รอบๆบริเวณเนินเขาหนานชานเลยแม้แต่ตัวเดียว นอกจากงู แม้แต่ยุงสักตัวก็ยังไม่เห็น ซึ่งก็เป็นเพราะกลิ่นเฉพาะของสมุนไพรรากที่เขาปลูกเอาไว้ในแปลงสมุนไพรได้ปล่อยออกมา


 


แต่ในบริเวณที่ห่างออกมาจากแปลงสมุนไพรพอสมควร หวังเย้าก็พบเจองูบางส่วน ซึ่งเขาเดาว่า พกวเขาอาจถูกค่ายกลรวมวิญญาณดึงดูดเข้ามา นอกจากงูแล้ว ก็ยังมีแมลงอยู่บนเขาด้วย เมื่อเข้าสู่ปลายเดือนมีนาคม พวกมันก็เริ่มตื่นจากการจำศีล


 


เห็นได้ชัดว่า ไม่เพียงแต่สมุนไพรและต้นไม้เท่านั้นที่ได้รับผลจากค่ายกลรวมวิญญาณ แต่สัตว์ในบริเวณโดยรอบก็เช่นกัน


 


งูและแมลงไม่ได้เป็นสิ่งไม่ดีเสมอไป หวังเย้าคิด


 


เขายังพบว่า สัตว์เหล่านั้นดูเหมือนจะหวาดกลัวซานเซียน แมลงบินได้ล้วนพยายามหลีกเลี่ยงตัวมัน ราวกับว่า บนตัวซานเซียนมีบางอย่างที่น่าหวาดกลัวสำหรับพวกมันอยู่ แล้วพวกมันก็ยังหวาดกลัวหวังเย้าด้วยเช่นกัน


 


มันอาจจะเป็นเพราะกลิ่นสมุนไพรที่ติดตัวฉันกับซานเซียนก็ได้!


 


เขาและซานเซียนอาศัยอยู่ในบริเวณแปลงสมุนไพรมาเป็นเวลานาน มันจึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะมีกลิ่นสมุนไพรติดตามตัวของพวกเขา แล้วสมุนไพรบางชนิดก็ยังมีฤทธิ์ที่สามารถฆ่าแมลงได้ด้วย เช่น หญ้าพิษ


 


ตอนนี้ ฉันมีเกราะป้องกันเพิ่มขึ้นอีกชั้นแล้ว


 


“ไปกันเถอะซานเซียน ไปหาต่อกัน” หวังเย้าพูด


 


เขาเดินไปรอบๆเนินเขาหนานชาน และพบกับสัตว์อีกสองสามชนิด


 


“ตอนนี้ เนินเขาของเรามีเกราะป้องกันเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นแล้ว” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


ผลของค่ายกลรวมวิญญาณยังคงแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ มันยังส่งผลกับสัตว์ที่อยู่รอบๆแปลงสมุนไพรอีกด้วย สัตว์เหล่านี้มีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วและมีสติปัญญาที่สูงขึ้น


 



 


ในเมืองจี้ มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังดื่มตัวยาส่วนสุดท้ายลงไป


 


ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลรึเปล่า ชายหนุ่มร่างสูงและแข็งแรงที่นอนอยู่บนเตียงคิดในใจ หรือฉันจะลองไปตรวจที่โรงพยาบาลดี?


 


เขาปฏิบัติตามคำแนะนำของหวังเย้าทุกอย่าง แต่เขากินยาน้อยกว่าปริมาณที่ควรจะกินครึ่งหนึ่ง เพราะเขายังรู้สึกสงสัยอยู่ เขาคิดแค่ว่า ตัวยาอาจจะได้ผล แต่ก็ไม่ได้เชื่อไปทั้งหมด


 


เขาไม่มีอะไรให้ทำที่บ้าน ดังนั้น เขาจึงทำได้แค่คิดเท่านั้น แล้วเขาก็ตัดสินใจไปพบหมอที่โรงพยาบาล ซึ่งเป็นหมอที่เขาเคยตรวจด้วยมาแล้วหลายครั้ง


 


“หมอจะทำการตรวจให้คุณ ใช้เวลาไม่นานก็ได้ผลตรวจแล้วล่ะ” หมอพูด


 


อุปกรณ์การแพทย์ในปัจจุบันพัฒนาไปได้ไกลกว่าเดิมมาก


 


“ก่อนหน้านี้ คุณได้เข้ารับการผ่าตัดมารึเปล่า?” หลังจากที่อ่านดูผลตรวจแล้ว หมอก็ถาม


 


“ไม่ครับ” ชายหนุ่มพูด


 


“แล้วคุณได้กินยาอะไรไหม?” หมอถาม


 


“กินแค่ยาสมุนไพรไปนิดหน่อย มีอะไรเหรอครับ หมอ?” ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ


 


“ยาสมุนไพรเหรอ? จากที่อ่านในผลตรวจ ดูเหมือนว่าเนื้องอกในร่างกายของคุณจะหดเล็กลงไปถึงสองในสามเลยนะครับ” หมอตอบ


 


“จริงเหรอครับ?” ชายหนุ่มตกใจ


 


“จริงสิ คุณกินยาสมุนไพรอะไรไปเหรอ? มันได้ผลดีมากเลยนะ!” หมอรู้สึกประหลาดใจมาก เขาไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย


 


“เป็นยาของหมอคนหนึ่งที่เปิดคลินิกอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆกลางเขาน่ะครับ” ชายหนุ่มพูด


 


“เป็นยาพื้นบ้านเหรอ?” หมอถาม


 


“คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นนะครับ” ชายหนุ่มพูด


 


“ไม่เป็นไร ขอแค่มันได้ผลก็พอแล้ว คุณสามารถกินยาตัวนั้นต่อได้เลย แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่า เนื้องอกมันจะกลับมาโตอีกไหม” หมอพูด


 


“โอเคครับ ขอบคุณมาก” ชายหนุ่มพูด


 


หลังจากที่ได้พบหมอแล้ว เขาก็รู้สึกมีความสุขมาก


 


พรุ่งนี้ ฉันจะไปที่หมู่บ้านนั้นอีก ไม่ ไปวันนี้เลยดีกว่า!


 



 


มันเป็นวันที่สดใสและอบอุ่นในต้าหลี่


 


“นายรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” หานชิ่งถามน้องชายคนเล็กที่นอนอยู่บนเตียง เขาเพิ่งจะเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ให้กับผู้เป็นน้อง เขายังพบอีกด้วยว่า นิ้วมือของน้องชายคนเล็กสามารถขยับได้เล็กน้อย ซึ่งมันทำให้เขามีความสุขมาก


 


“ไม่เลว รู้สึกเจ็บก็ยังดีกว่าไม่รู้สึกอะไรเลย” น้องชายคนเล็กพูด


 


อยู่ๆเขาก็รู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งร่างกาย มันคล้ายกับว่า เขากำลังถูกเฉือนเนื้อและถูกโยนลงไปในน้พเกลือ เขารู้สึกอยากตายให้พ้นๆไป


 


“พรุ่งนี้ เราจะพานายไปหาราชายานะ” หานชิ่งพูด


 


“ได้ ฉันไม่เป็นไรหรอกพี่” น้องชายคนเล็กพูด


 


เขารู้ว่า พี่ชายทั้งสามพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเขา เขาจะอดทนกับความเจ็บปวดเพื่อที่ความพยายามของพวกเขาจะได้ไม่สูญเปล่า


 



 


น้ำพุร้อนหลี่เจียโกวอยู่ห่างจากหมู่บ้านหวังไปไม่ถึง 10 กิโลเมตร หมู่บ้านทั้งสองถูกล้อมไปด้วยภูเขา หมู่บ้านหลี่ดูวุ่นวายกว่า เพราะมีน้ำพุร้อนอยู่ในหมู่บ้าน และยังเป็นน้ำพุร้อนคุณภาพสูงอีกด้วย ก่อนหน้านี้มีคนจากทางใต้ได้เดินทางมาลงทุนที่นี่และทำการเซนต์สัญญาเอาไว้ แล้วรีสอร์ทก็ถูกสร้างขึ้นมาในเวลาไม่นาน ในช่วงวันหยุด มีผู้มาเยี่ยมเยือนรีสอร์ทแห่งนี้เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านในหมู่บ้านหลี่จึงคว้าโอกาสนี้ในการทำที่พักและเปิดร้านอาหาร พวกเขาสามารถหาเงินได้มากกว่าการทำไร่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทิ้งงานไร่ไป


 


เนินเขาที่อยู่โดยหมู่บ้านหลี่ต่างจากเนินเขาที่หมู่บ้านหวัง เนินเขาที่นี่ส่วนใหญ่เป็นดินและโคลนแทบจะไม่มีหินอยู่บนเนินเขาเลย ดังนั้น ชาวบ้านจึงสามารถปลูกพืชผักและข้าวที่เนินเขาเหล่านี้ได้


 


บนเนินเขา ชายวัยประมาณ 50 ปีคนหนึ่งกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่พื้น มีวัวสองตัวกำลังกินหญ้าแห้งอยู่ไม่ไกลจากเขามาก เพราะตอนนี้ยังไม่มีหญ้าสดให้กิน


 


“โอ๊ย!”


 


ชายชรารู้สึกเจ็บจี๊ดที่ก้นของเขา เขาจึงผุดลุกขึ้นยืนและปัดไปที่ก้น จากนั้น เขาก็มองไปที่กองหญ้าแห้ง


 


ฉันโดนแมงป่องกัดเข้ารึเปล่าเนี้ย?


 


แต่เขาก็ไม่พบอะไรเลย ดังนั้น เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากนัก เขาเพียงแค่หาที่นั่งใหม่และสูบบุหรี่ต่อ


 


บริเวณก้นของเขายังคงรู้สึกเจ็บและแสบร้อน


 


เกิดอะไรขึ้นกับฉันกัน?


 


เขารู้สึกไม่ค่อยสบาย เขาจึงลุกขึ้นยืนและพาวัวลงไปจากเนินเขา ใบหน้าคล้ำแดดของเขากลายเป็นสีแดง เขามีอาการวิงเวียนและอ่อนแรง


 


เมื่อเดินไปถึงตีนเขา เขาก็เริ่มรู้สึกหายใจลำบากและหน้ามืด เขาไม่สามารถเดินต่อไปได้อีกแล้ว


 


“ฮึ่ย!” เขาพยายามสูดลมหายใจและก้าวเดินต่อไป


 


หมู่บ้านตั้งอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขามองเห็นบ้านหลายหลังและผู้คนมากมาย


 


ตุบ! เขาทรุดลงไปกองกับพื้น


 


ม่ออออ! วัวส่งเสียงร้องออกมา


 



 


เวลาประมาณบ่ายโมง หลี่ชื่อหยูขับรถบรรทุกที่เต็มไปด้วยต้นไม้เข้ามาที่หมู่บ้านของหวังเย้า แล้วเขาก็นำต้นไม้ไปไว้ที่ตีนเขาเหมือนทุกที


 


“มันยังไม่พอ” หวังเย้าพูด


 


“ถ้าอยากได้อะไรก็บอกผมมาได้เลยนะ ผมจะหามาให้คุณเอง” หลี่ชื่อหยูพูด


 


“นี่เป็นรายการที่ผมต้องการครับ” หวังเย้าส่งรายการต้นไม้ที่เขาต้องการให้กับหลี่ชื่อหยู เขาได้ปรับจำนวนต้นไม้ โดยดูจากต้นที่เขาได้ปลูกลงไปแล้ว


 


“โอเคครับ” หลี่ชื่อหยูรับรายการต้นไม้มา


 


หวังเย้าเดินขนต้นไม้ขึ้นลงเนินเขาหนานชานด้วยตัวคนเดียว


 


ภายในหมู่บ้าน ลูกๆของหลี่จูหลายที่เพิ่งจะเสียชีวิตไปได้ไม่นาน ได้มารวมตัวกัน ผลชันสูตรศพได้ออกมาแล้ว พ่อของพวกเขาเสียชีวิตจากอาการหัวใจวาย


 


“ฉันว่า พ่อของเราต้องตกใจกลัวจนตายแน่ๆ” ลูกสาวคนเล็กของหลี่จูหลายพูด


 


“ฉันเห็นด้วย ฉันได้ยินว่ามีงูอยู่บนเขาหลายตัวเลยล่ะ แล้วพวกมันก็เป็นสัตว์เลี้ยงของหวังเย้าด้วย” หนึ่งในลูกชายของหลี่จูหลายพูด


 


“มันไม่มีทางเป็นเรื่องจริงหรอก” ลูกชายอีกคนพูด


 


“ทำไมจะไม่จริง?” พี่ชายของเขาพูด


 


“ฉันจะไปคุยกับเขาเอง” ลูกสาวของหลี่จูหลายพูด


 


“แล้วเรามีหลักฐานอย่างนั้นเหรอ?” ลูกชายคนโตถาม “ตอนที่พ่อหมดสติไปที่ตีนเขา มีใครเห็นว่ามีงูอยู่ตรงนั้นบ้าง? พวกแกก็พูดแต่เรื่องที่เขาลือกันมา หวังเย้าไม่มีทางเชื่อพวกเราหรอก”


 


“พี่หมายความว่ายังไง? พี่จะปล่อยให้พ่อตายไปฟรีๆแบบนี้เหรอ?” ลูกสาวคนเล็กที่แต่งงานออกไปแล้วพูด เธอไม่ใช่ผู้หญิงเข้าใจอะไรได้ง่าย


 


“พ่อไม่ได้ตายเปล่า หมอบอกว่า พ่อตายเพราะหัวใจขาดเลือด” ลูกชายคนกลางพูด เขาไม่พอใจกับการชันสูตรศพ เขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่จำเป็นเลยสักนิด เขาไม่ต้องการให้ใครมาแตะต้องตัวพ่อของเขาด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เอาอะไรมาผ่าตัวพ่อเขาเลย


 


“พี่!” ลูกสาวคนเล็กไม่พอใจ


 


เธอเดินออกไปจากบ้าน ในตอนที่เดินอออกไป เธอก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเธอก็เดินตรงไปยังเนินเขาหนานชาน ในเมื่อเธอเกิดและเติบโตขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ เธอจึงรู้จักพื้นที่บริเวณนี้เป็นอย่างดี


 


มันมีลมเย็นพัดโชยมา ไม่มีใครเดินอยู่ตามท้องถนนเลย


 


หญิงคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีน้ำเงินกำลังเดินไปตามเส้นทางขึ้นเขาเพียงลำพัง


 


“อะไรกัน?” เธอรู้สึกประหลาดใจ เมื่อได้เห็นเนินเขาหนานชานจากที่ไกลๆ


 


ถึงมันจะเป็นแค่ช่วงตันฤดูใบไม้ผลิ แต่เนินเขากลับถูกปกคลุมไปด้วยพืชพันธุ์สีเขียว มันดูโดดเด่นท่ามกลางเนินเขาลูกอื่นๆ เธอยังรู้สึกอีกด้วยว่า เนินเขาหนานชานดูสูงกว่าเนินเขาลูกอื่นเล็กน้อย


 


เธอเริ่มเดินขึ้นไปบนเขา ตามเส้นทางที่ขรุขระไม่ราบเรียบ ระหว่างทางที่เธอเดินขึ้นไปนั้น ก็มีก้อนหินขนาดใหญ่ที่สูงพอๆกับคนคนหนึ่งอยู่ตามรายทาง


 


“ก้อนหินพวกนี้มาจากไหนกัน?” เธอสงสัย


583 ถูกมนต์สะกดในเวลากลางคืน


 


เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน?


 


เธอเดินต่อไปอีกสองสามก้าว และก็พบก้อนหินอีกก้อนอยู่ตรงหน้าเธอ หลังจากเดินผ่านหินก้อนนั้นไป เธอก็พบเข้ากับอีกก้อน


 


นี่มันแปลกเกินไปแล้ว!


 


เธอรู้สึกแปลกเล็กน้อย แต่เธอก็รู้สึกหงุดหงิดใจอย่างมากและเลือกที่จะเดินต่อไป แล้วก็มีก้อนหินอีกหลายๆก้อนขวางทางเธออยู่


 


เธอเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เพราะจำได้ว่า พ่อของเธอเคยพูดเรื่องนี้มาก่อน เธอเริ่มรู้สึกกังวลและมีเหงื่อออก อยู่ๆเธอก็รู้สึกมึนศีรษะขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ เธอไม่รู้ว่า มันเป็นเพราะภาพลวงตาหรือว่าความกลัว


 


เธอรู้สึกเหมือนมีผีตนหนึ่งกำลังชนกำแพงอยู่ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเฉพาะตอนที่ตะวันกำลังจะตกดินไม่ใช่เหรอ?


 


เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและเห็นว่า พระอาทิตย์ยังคงส่องแสงสว่างอยู่ เธอตัดสินใจได้ว่า เธอต้องกลับ ยกเว้นก็แค่ เธอกลัวว่าเธอจะหาทางกลับไปไมได้


 


โชคยังดีที่เธอสามารถหาทางเดินกลับไปที่ตีนเขาได้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่เธอก็ยังรู้สึกกลัวไม่หาย เขาลูกนี้ทำให้เธอหวาดกลัว เธอหมดความอยากจะที่เดินดูรอบๆเขาไปนานแล้ว


 


สายลมเย็นพัดโดนตัวเธอ ทำให้ร่างกายของเธอสั่นสะท้านเพราะเหงื่อเย็นจากความกลัวที่ไหลออกมา เธอเริ่มก้าวเดินเร็วขึ้นและแทบจะกลายเป็นวิ่ง เพื่อกลับไปที่บ้าน


 


“เธอไปที่ไหนมา?” คนในบ้านต่างก็เป็นห่วงเธอ โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นสภาพในเวลานี้ของเธอ “ทำไมหน้าถึงได้ซีดแบบนี้ล่ะ?”


 


“ไม่มีอะไรๆ ฉันแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่านั้น” เธอพูด “ฉันอยากจะไปนอนสักหน่อย”


 


“อืม” พวกพี่ชายต่างก็เป็นห่วงเธอและรู้สึกกังวลเล็กน้อย


 


“ฉันรู้สึกหนาว หนาวมากเลย” เธอพูด


 


เธอนอนตัวสั่นเทาอยู่บนเตียงนอน


 



 


เฉินเจียกุ้ยนั่งอยู่ภายในลานบ้าน เขาถอดเสื้อนอกที่ใช้ใส่ในหน้าหนาวมาแล้วหลายครั้งออกและเหลือเพียงเสื้อตัวในตัวเดียวเท่านั้น แก้มของเขาแดงก่ำราวกับแสงอาทิตย์ที่ใกล้ตกดิน


 


“มันก็แค่เหล่าขวดเดียวเท่านั้นเอง” เขาสะอึก พร้อมกับกลิ่นเหล่าฟุ้งและโยนเม็ดถั่วใส่ปาก มันทั้งกรอบและรสชาติดี


 


“วันที่ 15 มกราในปฏิทิน เป็นวันที่หัวใจของสาวน้อยเต้นแรง!” เขาร่ำร้องไม่ได้ศัพท์ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอ


 


แคร๊ก! เขาโยนเม็ดถั่วใส่ปากไปอีกสองเม็ด


 



 


ท้องฟ้าเริ่มมืดลง หวังเย้าลงมาจากเขาและกลับไปที่บ้าน


 


“ลูกซื้อต้นไม้มาอีกแล้วเหรอ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ครับ ผมซื้อมาเพิ่มบางส่วนน่ะครับ” หวังเย้าพูด “แล้วผมก็ปลูกเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย”


 


ครั้งก่อน พ่อแม่ของเขาเคยมาช่วยเขาปลูกต้นไม้ แต่ครั้งนี้ เขาไม่ได้บอกใครเลย ต้องขอบคุณแรงงานของหนึ่งคนและสุนัขอีกหนึ่งตัว ที่ทำให้ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว


 


หลังจบมื้อค่ำ หวังเย้าก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน ลมเริ่มพัดแรงขึ้นและอากาศเริ่มเย็นลง


 


“อากาศจะเปลี่ยนแล้ว” หวังเย้าเงยหน้ามองท้องฟ้า


 



 


ภายในบ้านสองห้องขนาดเล็กหลังหนึ่ง มีเตียงคังที่ไม่รู้ว่าไม่ได้ทำความสะอาดมานานเท่าไหร่ตั้งอยู่ ผ้าห่มที่มีฝ้ายโผล่ออกมาตามรอยฉีก เปลือกถั่วที่กระจายอยู่ทั่ว ขวดเหล้าที่ถูกเปิดเอาไว้เลอะอยู่บนผ้าห่ม ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า


 


ชายคนหนึ่งกำลังนอนกรนอยู่บนเตียง ร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า เขาสวมกางเกงขายาวที่เต็มไปด้วยรูแค่ตัวเดียวเท่านั้น


 


ในฤดูกาลนี้ อากาศเวลากลางคืนยังคงหนาวอยู่เล็กน้อย และหนาวมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อต้องอยู่ภายในบ้านที่ทรุดโทรมและเต็มไปด้วยรูโหว่ที่ลมสามารถลอดผ่านมาได้ทุกช่องทาง ชายคนนี้กลับไม่ได้รู้สึกถึงความเย็นที่ลอดผ่านเข้ามาเลย เขายังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง


 


แล้วอยู่ๆชายที่กำลังนอนหลับสนิทก็ผุดลุกขึ้นนั่ง แคร๊ก! แคร๊ก! มันเป็นเสียงที่คล้ายกับเสียงขบฟันกราม มีเสียงพ่นลมหายใจอยู่ในความมืด


 


แคร๊ก! ดูเหมือนมีบางอย่างกำลังบดเคี้ยวอยู่


 


เขาลุกขึ้นมาจากเตียงและเดินไปไม่กี่ก้าว จากนั้น เขาก็ยื่นมือออกไปจับบางอย่างเอาไว้ เขาหยิบมันขึ้นมาและยัดมันเข้าไปในปากของเขา เกิดเสียงดังแคร๊กๆในระหว่างที่เขาเดินออกไปด้านนอก


 


ประตูเปิดแง้มออกเล็กน้อย ปัง! ประตูถูกลมพัดเปิดออกอย่างรุนแรง ลมเย็นพัดเข้าหน้าและร่างกายของเขา แต่เฉินเจียกุ้ยกลับดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด เขาเดินไปที่ลานบ้านและย่อตัวลงเพื่อหยิบของบางอย่างขึ้นมากิน เขาเริ่มเคี้ยวกระดูกแกะที่เขาทิ้งเอาไว้ในตอนเช้าดังกร๊วมๆ


 


กระดูกแข็งมาก แต่เขาก็ยังดึงดันที่จะขบเคี้ยวมันอยู่อย่างนั้น มันดูราวกับว่า เขากำลังถูกมนต์สะกดอยู่


 


เขานั่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง แล้วจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ภายในปากของเขาเต็มไปด้วยเลือด


 


แสงจันทร์ส่องลอดก้อนเมฆลงมาและปกคลุมใบหน้าของเขา


 


เขาหัวเราะออกมาและดูมีความสุขอย่างมาก จากนั้น เขาก็กลับเข้าไปในบ้านและตรงไปที่เตียงนอน แล้วเขาก็หลับไปอย่างรวดเร็ว


 



 


บนเนินเขาหนานชาน หวังเย้ามองดูดวงดาวบนท้องฟ้า เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย ท้องฟ้าดูต่างไปจากเดิม เขาหันหน้าไปมองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งอยู่ใกล้กับเนินเขามาก และคิดขึ้นมาในใจ พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่ง


 


เช้าวันต่อมา แสงตะวันเริ่มสาดส่องลงมาจากท้องฟ้า และมอบความอบอุ่นให้กับผืนดิน


 


ภายในหมู่บ้านกลางเขา รถคันหนึ่งขับมาหยุดอยู่ตรงหน้าคลินิก ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นั่งรออยู่ภายในรถจนเวลาเกือบจะถึง 9 โมงเช้า หวังเย้าก็เดินลงมาจากเขา


 


“สวัสดีครับ หมอหวัง” ชายหนุ่มพูด


 


การรักษาได้ผลดีอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเห็นได้จากคำเรียกที่ชายหนุ่มใช่เรียกหวังเย้า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดูอายุไม่ต่างกันมากก็ตามที


 


“สวัสดีครับ” ด้วยโรคประหลาดที่ชายหนุ่มเป็นอยู่ ทำให้หวังเย้าจำเขาได้ดี “ยาได้ผลดีไหมครับ?”


 


“ครับ มันได้ผล ผมไปตรวจที่โรงพยาบาลมาเมื่อวาน แล้วเนื้องอกในตัวผมก็หดเล็กลงไปถึงสองส่วนเลยล่ะ” ชายหนุ่มพูดอย่างมีความสุข “แล้วผมมีชื่อว่า กู่ชิวเฉิง ต้องขอบคุณคุณหมอมากเลยครับ”


 


“เข้ามาข้างในก่อนสิ แล้วค่อยคุยเรื่องนี้กัน” หวังเย้าพูด


 


เขาเปิดประตูคลินิกและเดินนำกู่ชิวเฉิงเข้าไปด้านใน


 


“มาครับ ผมขอตรวจดูหน่อย” หวังเย้านั่งลงและตรวจดูเขา เนื้องอกในตัวของชายหนุ่มหดเล็กลงจริงๆ “ผมจะจ่ายยาให้คุณอีกโดสหนึ่งนะครับ แล้วให้คุณกลับมาที่นี่พรุ่งนี้ เวลาเดิม”


 


“ได้ครับ” กู่ชิวเฉิงจากไปอย่างมีความสุข


 



 


เฉินเจียกุ้ยยังคงนอนหลับสนิทอยู่ แล้วอยู่ๆเขาก็ตื่นขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย มันเป็นเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผิวหนังและชิ้นเนื้อรอบๆปากของเขาเต็มไปด้วยรอยแผล ฟันหลายซี่ปริแตก แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด


 


มีแสงของความตื่นเต้นฉายผ่านดวงตาของเขา โอ้ อาห์!


 


เขาแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก ลิ้นของเขาชุ่มไปด้วยเลือด มีเศษกระดูกฝังติดอยู่กับลิ้น เขาลุกขึ้นมาจากเตียงและมองไปที่กระจก ก่อนที่เขาจะเดินออกไป


 


มันเป็นวันที่สดใสอีกวันของฤดูใบไม้ผลิ ต้นหลิวในหมู่บ้านเริ่มมีสีเขียวให้เห็น ความมีชีวิตชีวาได้ปรากฏขึ้นมาบนผืนดินอีกครั้งหนึ่ง อากาศเริ่มอุ่นขึ้น ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่เด็กๆจะออกมาเล่นข้างนอกบ้าน


 


เด็กชายตัวน้อยกำลังเล่นลูกบอลอยู่ด้านนอก มีปู่ของเขาคอยเฝ้ามองอยู่ไม่ไกล ลูกบอลของเด็กชายกลิ้งออกไป เขาจึงวิ่งไล่ตามมันและเข้าไปยังถนนสายหนึ่ง


 


“ช้าหน่อย!” น้ำเสียงที่แก่ชราตะโกนตามหลังเขาไป


 


ลูกบอลกลิ้งไปหยุดที่เท้าของใครคนหนึ่ง


 


หืม? เด็กชายรู้สึกสงสัยเล็กน้อย คนคนนี้ไม่ใส่รองเท้า เท้าเปล่าของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลและมีเลือดไหลออกมา เขาเงยหน้าขึ้นมองดู และเห็นชายที่ท่อนบนเปลือยเปล่า เด็กชายเห็นสภาพปากของชายเขาและได้กรีดร้องออกมา


 


“ห่าวเจ๋อ เกิดอะไรขึ้น?” ชายชราได้ยินเสียงกรีดร้องและได้รีบร้อนตามมา เขาเห็นหลานชายที่รักของเขาถูกชายคนหนึ่งทุ้มลงไปที่พื้นอย่างแรง


 


“ช่วยด้วย!” ใบหน้าของชายชราซีดเซียว


 


ชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงร้องก็รีบวิ่งออกมาจากบ้านของเขา “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”


 


เขาเห็นห่าวเจ๋อร้องไห้อยู่ที่พื้นด้วยดวงตาที่แดงก่ำ


 


“ใครมันทำเรื่องแบบนี้กัน?” เขารีบวิ่งกลับไปที่บ้านและหยิบเอามีดมาเล่มหนึ่ง ไม่นานเขาก็เห็นเฉินเจียกุ้ยที่อยู่ในสภาพเลวร้ายสุดๆ


 


อะไรน่ะ? เขามีอาการตกตะลึง “เฉินเจียกุ้ย แกอยากตายเหรอไง?”


 


“ห่าวเจ๋อ ห่าวเจ๋อเจ้บตรงไหนรึเปล่า?” ชายชรากอดเด็กชายที่เอาแต่ร้องไห้เอาไว้


 


พ่อของเด็กชายขว้างมีดเข้าใส่เฉินเจียกุ้ย มีดปักเข้าไปตรงไหล่ของเขา แต่เขากลับไม่กระโดดหลบหรือร้องด้วยความเจ็บปวดเลยสักนิด


 


เรื่องนี้ทำให้ชายที่ขว้างมีดออกไปตกใจอย่างมาก “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


 


เฉินเจียกุ้ยที่ยืนนิ่งอยู่นั้น อยู่ๆเขาก็เคลื่อนไหวและคว้าจับชายที่อยู่ตรงหน้าเขา จากนั้น เขาก็อ้าปากกัดไปที่ลำคอของชายคนนั้น


 


อ้าก! ชายคนนั้นใช้แรงทั้งหมดเพื่อที่จะหลุดออกไปจากเงื้อมมือของเฉินเจียกุ้ย แต่เขาก็ถูกกัดเข้าไปที่ลำคอแล้ว ชายที่บ้าคลั่งได้กัดเนื้อออกมาชิ้นหนึ่ง บาดแผลที่คอมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด


 


เฉินเจียกุ้ยเคี้ยวเนื้อสดๆของมนุษย์และกลืนมันลงไป


 


ชายที่ถูกกัดตัวสั่นสะท้าน เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!


 


“จูฉ่าย!” ชายชราที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดร้องตะโกนออกมา


 


หลานชายของเขาล้มและร้องไห้ไม่หยุด เขาก็ได้แต่หวังว่าเด็กชายจะไม่เจ็บที่ตรงไหน


 


ในเวลานี้เอง เฉินหยิงและเฉินโจวได้บังเอิญเดินผ่านมาพอดี


 


“พี่ ดูผู้ชายคนนั้นสิ!” เฉินโจวเห็นสภาพของเฉินเจียกุ้ย ที่ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าและใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ได้ร้องตะโกนออกมา


584 ดุร้าย


 


เฉินเจียกุ้ยมีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของเขา เขามีคราบเลือดอยู่ทั่วทั้งตัว ร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่าและมีมีดเสียบอยู่ที่ไหล่ของเขา เลือดของเขาไหลออกมาไม่หยุด ดวงตาของเขาดูน่าหวาดกลัว, น่าตกตะลึง, และแดงก่ำ มันไม่ใช่ดวงตาของมนุษย์อีกต่อไป


 


ชายที่ถูกเฉินเจียกุ้ยกัดเอามือกุมแผลของเขาเอาไว้ ส่วนชายชราก็อุ้มหลานชายของเขาอยู่


 


“รีบไปโรงพยาบาลเร็วเข้า! เลิกตีเขาได้แล้ว!” ชายชราตะโกน


 


“ได้ๆ” เขารีบวิ่งออกไปทันที


 


“พี่ เขาเป็นอะไรไปน่ะ?” เฉินโจวมองไปที่เฉินเจียกุ้ยและถามขึ้นมา


 


ทุกคนต่างก็มองออกว่า เฉินเจียกุ้ยไม่ปกติ


 


“เขาบ้าไปแล้ว อย่าเข้าไปใกล้เขานะ” ชายที่ได้รับบาดเจ็บพูด


 


“แกจะไปไหนน่ะ?” ชายชราถามด้วยความกังวล


 


“จะไปที่คลินิกของเสี่ยวเย้าก่อน” ชายที่ได้รับบาดเจ็บพูด


 


“แล้วไม่ไปโรงพยาบาลเหรอ?” ชายชราถาม


 


“โรงพยาบาลมันเกินไป” ชายที่ได้รับบาดเจ็บพูด


 


ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็เริ่มรู้กันแล้วว่า หวังเย้าเป็นหมอที่มีฝีมือคนหนึ่ง พวกเขาเชื่อในการรักษาของเขา บางคนที่มีอาการป่วยก็มักจะเลือกไปรักษากับหวังเย้าเป็นที่แรก ในฐานะของแพทย์ปรุงยาแล้ว หวังเย้าสามารถรักษาโรคทั่วไปได้อย่างง่ายดาย


 


ชายที่ได้รับบาดเจ็บอุ้มลูกชายของเขาขึ้นมาและรีบวิ่งไปที่คลินิกของหวังเย้า โดยที่ไม่สนใจเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลที่คอของเขาเลย เขาไม่คิดที่จะเคาะประตูเลยด้วยซ้ำ


 


“เสี่ยวเย้า! นายช่วยตรวจดูลูกชายของฉันให้หน่อยได้ไหม?” ชายที่ได้รับบาดเจ็บพูด


 


“ได้สิครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” หวังเย้าเห็นเลือดที่คอของเขา


 


“ฉันโดนคนบ้ากัดมาน่ะสิ” ชายที่ได้รับบาดเจ็บพูด


 


“คนบ้าเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ไว้ฉันจะเล่าให้นายฟังทีหลังแล้วกันนะ” ชายที่ได้รับบาดเจ็บพูด “ตรวจดูลูกชายของฉันก่อนเถอะ มีคนโยนเขาลงไปที่พื้น เธอช่วยดูหน่อยได้ไหมว่าเขาบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”


 


“โอเค ไม่ต้องห่วงครับ” หวังเย้าพูด เขาตรวจดูร่างกายของเด็กชายอย่างละเอียด


 


“เขาไม่เป็นอะไรครับ แค่ตกใจเท่านั้น คิดว่าคงจะเป็นเพราะเขากลัวมากกว่าน่ะครับ” หวังเย้าพูด “แล้วพี่ล่ะครับ? คอของพี่ไปโดนอะไรมาเหรอ?”


 


หวังเย้ามีสายตาที่เฉียบคม เขาสามารถมองออกได้ว่า บาดแผลนี้สามารถเกิดได้จากฝีมือของสุนัขหรือไม่ก็มนุษย์ แต่เขาไม่คิดว่า บาดแผลนี้จะเป็นฝีมือของสุนัข


 


“ผมขอหยุดเลือดก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด “มันอาจจะเจ็บนิดหน่อยนะ”


 


หวังเย้าทำความสะอาดบาดแผลให้กับพ่อของเด็กชาย เขาหยิบเอาสมุนไพรที่สามารถใช้หยุดเลือดได้และบดละเอียดจนกลายเป็นผง เขานำผงสมุนไพรโรยลงไปบนแผลและกดจุดเพื่อให้เลือดหยุดไหล แล้วเขาก็นำผ้ามาพันแผลอย่างเบามือ


 


“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ฉันไม่อยากจะพูดถึงมันเลยสักนิด ก็ไอ้ชั่วเฉินเจียกุ้ยน่ะสิที่ทำร้ายฉันน่ะ” ชายที่ได้รับบาดเจ็บพูด


 


“เฉินเจียกุ้ยเหรอ?” หวังเย้ารู้จักชายผู้มีชื่อเสียงเลวร้ายคนนี้ดี “เขากัดพี่เหรอครับ?”


 


“ก็ใช่น่ะสิ” ชายที่ได้รับบาดเจ็บเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้หวังเย้าฟัง “นายคิดว่าเขาเป็นบ้ารึเปล่าล่ะ? ตอนที่ฉันเอามีดแทงเขา เขาไม่ร้องสักแอะเลยด้วยซ้ำ แล้วดูเหมือนเขาจะไม่เจ็บเลยสักนิด”


 


หวังเย้าเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่เคยเจอคนบ้าเท่ากับเฉินเจียกุ้ยมาก่อน เขาคิดว่า แม้แต่คนบ้าก็น่าจะรู้สึกเจ็บกันบ้าง


 


ในขณะเดียวกัน เฉินโจวและเฉินหยิงก็ยังคงอยู่ที่จุดเดิม


 


“พี่ เราไปกันดีกว่าไหม?” เฉินโจวถามเสียงเบา


 


พวกเขามองตาของเฉินเจียกุ้ยได้สักพักแล้ว ยิ่งเฉินโจวมองตาเฉินเจียกุ้ยนานมากแค่ไหน เขาก็ยิ่งรู้สึกขนลุกมากเท่านั้น


 


“รออีกสักพักเถอะ” เฉินหยิงพูดอย่างใจเย็น


 


“บางที เขาอาจจะทำร้ายคนอื่นต่ออีกก็ได้” เฉินโจวพูด


 


“ที่เรายังไปไหนไม่ได้ก็เพราะเรื่องนี้แหละ” เฉินหยิงพูด


 


เฉินเจียกุ้ยเป็นฝ่ายขยับตัวก่อน เขาหมุนตัวและเดินออกไป


 


“เขาเดินไปแล้ว” เฉินโจวพูด “เขาไม่บ้าแล้วเหรอ?”


 


“ตามเขาไปกันเถอะ” เฉินหยิงพูด


 


“ทำไมล่ะ?” เฉินโจวถาม


 


“ก็ถ้าเกิดเขาเข้าไปทำร้ายคนอื่นขึ้นมาล่ะ?” เฉินหยิงพูด


 


เฉินเจียกุ้ยยังคงเดินต่อไป ไหล่ของเขายังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด


 


“พี่ พี่คิดว่า เขาจะเลือดไหลจนตายเลยรึเปล่า?” เฉินโจวถาม


 


“ก็อาจจะเป็นไปได้” เฉินหยิงพูด


 


หวังเย้าจัดการทำความสะอาดและพันแผลให้กับชายที่ได้รับบาดเจ็บและลูกชายของเขา


 


“ตอนนี้ เฉินเจียกุ้ยอยู่ที่ไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เขาน่าจะยังอยู่แถวนั้นอยู่ แล้วยังมีสองพี่น้องที่เพิ่งย้ายมาอยู่ในหมู่บ้านอยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน หวังว่าคงจะไม่เกิดเรื่องอะไรกับพวกเขานะ” ชายที่ได้รับบาดเจ็บพูด


 


“ผมจะลองไปดูหน่อย ถ้าพี่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ เช่น มีไข้หรือปวดแผล ให้รีบกลับมาหาผมที่นี่ทันทีเลยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“โอเค” ชายที่ได้รับบาดเจ็บพูด


 


หวังเย้าคิดเงินเขาเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แล้วพวกเขาก็ออกไปจากคลินิกด้วยกัน ชายที่ได้รับบาดเจ็บพาหวังเย้าไปยังจุดที่เกิดเรื่องขึ้น แต่กลับไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว


 


“เมื่อกี้ พวกเขายังอยู่ที่นี่กันอยู่เลยนะ” ชายที่ได้รับบาดเจ็บพูด


 


“มีเลือดอยู่ที่พื้นด้วย” หวังเย้าพูด


 


เขาเดินตามรอบเลือดไป จนกระทั่งเดินไปถึงบ้านเล็กๆหลังหนึ่ง


 


“หมอหวัง” เฉินหยิงพูด


 


“ทั้งสองก็อยู่ที่นี่ด้วยสินะ” หวังเย้าพูด


 


“ใช่ค่ะ มีคนบ้าอยู่ที่นี่ด้วย” เฉินหยิงพูด เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หวังเย้าฟัง


 


“เขาอยู่ข้างในเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่ค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


“ผมจะลองเข้าไปดูข้างในหน่อย พวกคุณรออยู่ที่นี่ก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้ค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


ประตูไม้บานเก่าถูกเปิดอ้าทิ้งไว้ หวังเย้าเดินเข้าไปที่ลานบ้าน แต่เขาก็ไม่ได้รีบเข้าไปในตัวบ้านทันที แต่กลับเดินดูรอบๆลานบ้านที่ไม่เป็นระเบียบก่อน ภายในลานบ้านมีทั้งขวดเหล้า, ขยะ, หนังแกะ, และกระดูกกองอยู่ที่พื้น เขาหยุดอยู่ตรงหน้าหนังแกะและย่อตัวลงดู


 


กระดูกแกะแตกหักและยังพบเศษฟันตกอยู่ใกล้ๆกันด้วย มันคือฟันของมนุษย์


 


หวังเย้าคิด เขากินกระดูกแกะตรงนี้สินะ


 


เขาเดินไปรอบๆลานบ้านอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินเข้าไปข้างในตัวบ้าน


 


“ระวังนะครับ หมอหวัง!” เฉินโจวตะโกนมาจากด้านนอก


 


“อืม” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


ตัวบ้านทั้งทรุดโทรดและไม่เป็นระเบียบ มีกองขยะอยู่ทั่วทุกที่ มีเศษซาลาเปาที่แห้งแข็งเหลือทิ้งไว้บนโต๊ะ หวังเย้ารู้ได้เลยว่า เฉินเจียกุ้ยนั้นเป็นคนที่ขี้เกียจขนาดไหน


 


หวังเย้าเดินตามรอยเลือดที่หยดอยู่ตามพื้นบ้าน และพบร่างเปลือยเปล่าของเฉินเจียกุ้ยนอนอยู่บนเตียง มีดยังคงเสียบอยู่ที่ไหล่ของเขา และมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด


 


เขาหายใจเบามาก!


 


หวังเย้าสังเกตเห็นฟันที่แตกหักและลิ้นที่เต็มไปด้วยบาดแผลของเฉินเจียกุ้ย


 


เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?


 


หวังเย้าสังเกตเห็นเส้นเลือดบริเวณอกที่ขยายใหญ่ขึ้นหลายเส้น เขาจึงรีบเข้าไปจับดูชีพจรของเฉินเจียกุ้ย


 


หวังเย้ามีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น แบบนี้ไม่ดีแล้ว!


 


อวัยวะภายในทั้งหมดของเฉินเจียกุ้ยได้รับความเสียหายอย่างหนัก พลังฉีและโลหิตมีการไหลเวียนที่รุนแรง มันคล้ายกับการถูกทอดในน้ำมันร้อนๆ พลังชีวิตที่รุนแรงสามารถส่งผลให้ร่างกายอ่อนกำลังลงได้ เฉินเจียกุ้ยถูกพิษ มันเป็นพิษที่เกิดจากแมลงมีพิษบางชนิด


 


หวังเย้าตบไปที่ร่างกายของเฉินเจียกุ้ยอยู่หลายครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ แล้วเขาก็รีบเดินออกไปจากห้อง


 


“หมอหวัง เขาเป็นยังไงบ้างคะ?” เฉินหยิงถาม


 


“ผมมีเรื่องอยากจะขอให้ทั้งสองคนช่วยหน่อยครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้เลยค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


“ช่วยไปหาปูนขาวมาโรยทำความสะอาดคราบเลือดที่นี่ทีนะครับ” หวังเย้าพูด เขากลัวว่า พิษร้ายส่งผ่านทางเลือดได้


 


“ได้ค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


“คุณไปขอปูนขาวจากที่ทำการหมู่บ้านก็ได้นะครับ” หวังเย้าพูด


 


“เข้าใจแล้วค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


“เดี๋ยวครับ” หวังเย้าพูด “ทั้งสองได้มีการสัมผัสผู้ชายคนนั้นรึเปล่า?”


 


“ไม่เลยค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


“ดีครับ ไปเถอะ” หวังเย้าพูด


 


หลังเฉินหยิงและน้องชายของเธอไปแล้ว หวังเย้าก็ล็อกประตูบ้านของเฉินเจียกุ้ย เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้าไป


 


โฮ่ง! มีสุนัขตัวหนึ่งดมกลิ่นเลือดที่พื้นและเดินเข้ามา


 


“ไป!” เฉินหยิงปาก้อนหินเพื่อไล่มันไป


 


“พี่ไปเอาปูนขาวมาเถอะ ผมจะเฝ้าที่นี่เอง” เฉินโจวพูด


 


“โอเค ระวังตัวด้วยนะ” เฉินหยิงพูด


 


ไม่นาน เธอก็กลับมาพร้อมกับปูนขาว เธอและเฉินโจวจัดการโรยปูนขาวไปที่รอยเลือดบนพื้น เลือดมีปฏิกิริยากับปูนขาวอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนกลายเป็นสีดำ


 


ในขณะเดียวกัน หวังเย้าก็ไปหาหลี่จูฉ่าย ซึ่งก็คือชายที่ถูกเฉินเจียกุ้ยกัด


 


“เสี่ยวเย้า มาที่นี่ทำไมเหรอ?” หลี่จูฉ่ายถาม


 


ใบหน้าของเขาแดงเรื่อ มีอาการหายใจถี่รัวและมีเส้นเลือดขึ้นในดวงตา หวังเย้าสังเกตดูอาการของเขาอย่างละเอียด ก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้มีอาการแบบนี้


 


“ผมขอตรวจหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด “พี่รู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่าครับ?”


 


“ก็ไม่นะ” หลี่จูฉ่ายพูด เขาไม่ได้สังเกตเลยว่า ตัวเองมีอาการหายใจถี่และอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น


 


“นอกจากพี่แล้ว ยังมีใครโดนเฉินเจียกุ้ยทำร้ายอีกไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ไม่มี” หลี่จูฉ่ายพูด


 


“แล้วลูกของพี่ล่ะครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ห่าวเจ๋อหลับไปแล้วล่ะ” ปู่ของเด็กชายเดินออกมา


 


“ผมขอไปดูเขาหน่อยได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ได้สิ” หลี่จูฉ่ายพูด


 


หวังเย้าเดินเข้าไปในห้องเพื่อดูอาการของเด็กชาย ซึ่งกำลังหลับสนิทอยู่ เมื่อเห็นว่าเด็กชายเป็นปกติดี เขาก็รู้สึกเบาใจลง


 


“พี่ต้องตามผมไปที่คลินิกตอนนี้เลยครับ” หวังเย้าพูด


 


“โอเค” หลี่จูฉ่ายพูด


 


“เสี่ยวเย้า มีเรื่องอะไรกันเหรอ?” ปู่ของเด็กชายถามด้วยความกังวล


 


“ผมกลัวว่า เฉินเจียกุ้ยจะติดโรคระบาดเข้าน่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


“อะไรนะ? โรคระบาดเหรอ? แล้วจูฉ่ายจะเป็นอะไรไหม?” ชายชราถาม


 


“ผมจะลองดูว่าพอจะทำอะไรได้บ้างนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้ ขอบคุณนะ” ชายชราพูด


 


ใบหน้าของหลี่จูฉ่ายซีดเผือด เขาได้เห็นถึงความบ้าคลั่งของเฉินเจียกุ้ยมาแล้ว ชายคนนั้นดูจะจดจำใครไม่ได้เลย เขาไม่อยากจะกลายเป็นคนบ้าแบบนั้น


 


“เสี่ยวเย้า ได้โปรดช่วยฉันด้วยนะ!” หลี่จูฉ่ายขอร้อง


 


“อย่ากังวลไปเลยครับ ผมจะพยายามรักษาพี่ให้ถึงที่สุด” หวังเย้าพูด


 


ทั้งสองกลับไปที่คลินอกของหวังเย้า


 


“นั่งนิ่งๆนะครับ พี่อาจจะรู้สึกไม่ค่อยสบายสักหน่อยนะ” หวังเย้าตบไปบนร่างกายของหลี่จูฉ่ายอย่างรวดเร็ว


 


“นายกำลังทำอะไรน่ะ?” หลี่จูฉ่ายถาม


 


เขาอยากจะลุกขึ้นยืน แต่กลับทำไม่ได้ เขาไม่สามารถสั่งการขาทั้งสองข้างของเขาได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)