Elixir Supplier 565-568
565 ตาแก่นั่น
“เกิดอะไรขึ้นกับราชายากัน?” คนไข้คนหนึ่งถาม “เขาไม่ตรวจคนไข้มาหกวันแล้วนะ แล้วฉันก็มารอที่นี่ตั้ง 10 วันแล้วด้วย”
“แค่ 10 วันงั้นเหรอ? นายน่าจะดีใจนะ” คนไข้อีกคนพูด “บางคนมารอที่นี่ตั้ง 20 กว่าวันแล้วด้วยซ้ำ!
ในเมื่อราชายายังไม่สามารถวิเคราะห์หาส่วนผสมของตัวยาได้ เขาจึงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้น เขาเลยไม่ได้ตรวจคนไข้มาหลายวันแล้ว เรื่องนี้ทำให้หลายคนที่มารอรู้สึกไม่พอใจ ถึงพวกเขาจะรู้อยู่แล้วก็ตาม ว่าถ้าหากเขาอารมณ์ไม่ดี เขาก็จะไม่ตรวจคนไข้
“ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ราชายาจะใจเย็นลงได้” คนไข้คนหนึ่งพูด
“เฮ้อ เราก็คงได้แต่รอเท่านั้นแหละ” คนไข้อีกคนพูด พร้อมกับถอนหายใจออกมา
ผู้คนที่มารอรักษากับราชายา ต่างมองไปที่ตึกไม้ไผ่อย่างไร้หนทาง พวกเขาไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้เลย
เช้าวันต่อมา ฝนโปรยลงมาบางเบา ครอบครัวหานเคลื่อนย้ายน้องชายที่ป่วยหนักขึ้นไปบนตัว และมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านของราชายา อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็มาถึงจุดหมาย
“หืม วันนี้ ราชายังไม่เริ่มทำงานอีกเหรอ?” หานชิ่งพูด เขาลงมาจากรถและได้ฟังบทสนทนาของคนที่มารออยู่ก่อนแล้ว “เราต้องเข้าแถวด้วยรึเปล่า?”
“เราน่าจะไม่ต้องเข้าแถวรอนะ” หานจื้อหยูพูด “ไม่ใช่เขาบอกเราเองเหรอ ว่าให้มาหาเขาในหนึ่งอาทิตย์น่ะ?”
“นายลองไปถามดูก่อนสิ” หานชิ่งพูด
“โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” หานจื้อหยูพูด
เขาลงไปจากรถและเดินตรงไปที่อาคารไม้ไผ่
“ไม่ต้องไปหรอก หลายวันมานี้ ราชายาอารมณ์ไม่ดีและไม่รับตรวจคนไข้ด้วย” คนไข้ใจดีคนหนึ่งพูด
“ขอบคุณครับ แต่ผมอยากจะลองไปดูสักหน่อยน่ะครับ” หานจื้อหยูพูด
ด้านนอกตัวอาคารไม้ไผ่ มีรั้วสูงประมาณ 1 เมตรและประตูไม้ที่มีกระดิ่งแขวนเอาไว้ หานจื้อหยูเดินเข้าไปดึงกระดิ่ง
กริ๊ง! กริ๊ง!
ชายวัยประมาณ 30 เดินออกมาจากอาคารไม้ไผ่ เขาก็คืออาเจี้ยนที่เดินทางไปต้าหลี่พร้อมกับราชายาคนนั้น
“สวัสดีครับ” หานจื้อหยูพูด
“คุณนั่นเอง คนไข้มากับคุณด้วยไหม?” อาเจี้ยนจำหานจื้อหยูได้ตั้งแต่แวบแรก
“ครับ เราพาเขามาด้วย” หานจื้อหยูพูด
“รอเดี๋ยวนะ” อาเจี้ยนเดินกลับเข้าไปในอาคารและไม่นานก็ออกมา “พาคนไข้เข้ามาได้เลย”
“โอ้ ขอบคุณครับ” หานจื้อหยูรีบเดินกลับไปที่รถ
หลังจากนั้นไม่นาน พี่น้องหานก็แบกน้องชายของพวกเขาตรงไปยังอาคารไม้ไผ่ ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของคนที่รออยู่ด้านนอก
“ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รักษาคนไข้เหรอ? เกิดอะไรขึ้นกัน?” คนไข้คนหนึ่งถาม
“ฉันเดาว่า ราชายาน่าจะรับปากพวกเขาเอาไว้แล้ว” คนไข้ที่มีไหวพริบพูดขึ้นมา “คนคนนั้นดูเหมือนจะป่วยหนักมากด้วย!”
“ใช่ เขาถูกพันผ้าพันแผลจนทั่วตัวเลย” คนไข้อีกคนพูด “บางทีเขาอาจจะถูกไฟครอกมาก็ได้”
“ครั้งก่อนที่ฉันมาที่นี่ ฉันได้เห็นคนที่อยู่ในสภาพเดียวกับเขานี่แหละ แล้วดูเหมือนว่าคนคนนั้นจะต้องอยู่รักษาตัวนานเป็นเดือนเลยนะ” คนไข้ที่มีไหวพริบพูด
“นายเคยมาที่นี่แล้วเหรอ?” คนไข้อีกคนถาม
“ครั้งก่อน ฉันมาส่งเพื่อน่ะ แต่ครั้งนี้ ฉันตั้งใจมาเอง” เขาตอบ
ภายในอาคารไม้ไผ่ ราชายาดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก พี่น้องหานและคนของพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดังด้วยซ้ำ
“ให้อยู่ได้แค่สองคน แล้วที่เหลือให้ออกไปให้หมด” ราชายาพูด
หานชิ่งและหานจื้อหยูคือคนที่อยู่ ส่วนที่เหลือก็ออกไปอยู่รอด้านนอก
“แกะผ้าพันแผลออก” ราชายาพูด
“ครับ” ในตอนที่หานจื้อหยูกำลังจะเอื้อมมือออกไป อาเจี้ยนก็เดินเข้าไปถึงตัวคนไข้และแกะผ้าพันแผลออกอย่างรวดเร็ว
หลังจากแกะผ้าพันแผลอกจนหมดแล้ว พวกเขาก็สามารถมองเห็นตัวยาที่ถูกทาเอาไว้ทั้งสามชั้น มันดูคล้ายกับรอยแผลเป็นที่แตกออก
“เอามันออก” ราชายาพูด
อาเจี้ยนเคาะเศษยาออก ครั้งนี้ เขาลงมือทำอย่างเบามือ เมื่อยาถูกแกะออกก็มีกลิ่นฉุนลอยออกมาด้วย
ผิวหนังน้องชายคนเล็กดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก และยังมีสีของเนื้อใหม่ให้เห็นด้วย การรักษาได้กำจัดเนื้อเสียออกไปและสร้างเนื้อใหม่ขึ้นมา
“มันได้ผล” หานชิ่งพูดเบาๆกับหานจื้อหยู
ราชายาเดินเข้าไปหาและมองดูคนไข้อย่างละเอียด เขาพูด “ยา”
อาเจี้ยนหยิบโถยาออกมาสามโถ
“เธอทำได้เลย” ราชายาพูด
“ครับ อาจารย์” อาเจี้ยนพูด
เขาลงมือทำอย่างรวดเร็ว เขาเปิดฝาโถใบแรก ตัวยามีสีเขียวและเหนียวคล้ายกับน้ำผึ้ง มันยังส่งกลิ่นฉุนแสบจมูกออกมาด้วย
การเคลื่อนไหวของอาเจี้ยนช้ากว่าครั้งก่อนที่ราชายาเป็นคนลงมือ แต่มือของเขาก็สามารถเคลื่อนไหวได้ไม่มีสะดุด เขาทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง
“เอาเขาลุกขึ้น” ราชายาพูด
“ครับ” หานจื้อหยูรีบเดินเข้าไปช่วย มือของเขาจึงไปโดนเข้ากับตัวยาโดยบังเอิญ เขารู้สึกได้ถึงตัวยาที่เย็นเฉียบ
หลังจากทายาชั้นแรกเสร็จ ก็ได้เวลาลงยาตัวที่สอง มันเหนียวราวกับพลาสเตอร์ ยาตัวที่สองเคลือบไปบนยาตัวแรก หลังจากนั้น ก็เป็นชั้นที่สาม ซึ่งเป็นยาผงที่ส่งใส่ลงไป
มือที่ถือโถยาของอาเจี้ยนสั่นเล็กน้อย หลังจบขั้นตอนนี้ เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อได้พักครู่หนึ่ง เขาก็จัดการพันแผลจนทั่วร่างกายของคนไข้
“ทำได้ดีมาก” ราชายาพยักหน้า เขาพอใจกับผลงานของลูกศิษย์มาก “เอาเม็ดยาฉงเฉาให้เขากิน”
“ครับ อาจารย์” อาเจี้ยนพูด
เขาเทยาที่มีขนาดพอๆกับหัวแม่มือออกมาจากขวด และป้อนให้คนไข้กิน
“โอเค กลับมาในอีก 10 วัน” ราชายาพูด
“ขอบคุณครับ” หานชิ่งและหานจื้อหยูรู้สึกโล่งใจมาก
ในระหว่างการรักษา ทั้งสองต่างก็กลัวว่า ลมหายใจของพวกเขาจะทำให้ราชายาโมโหเอาได้ มันเป็นเรื่องที่ทรมานพวกเขาอย่างมาก
“ฉันจะออกไปเรียกพวกเขาเข้ามา” หานจื้อหยูกำลังจะเดินออกไป
“เดี๋ยว” ราชายาพูด
“มีอะไรเหรอครับ?” หานจื้อหยูถาม
ราชายาจ้องหน้าพวกเขาทั้งสอง ไม่มีใครเดาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งสองเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย มันให้ความรู้สึกราวกับว่า พวกเขากำลังถูกสัตย์ร้ายที่อยู่ในเงามืดจับจ้องอยู่
“พวกเธอได้ยาทั้งสามตัวนี้มาจากที่ไหน?” ราชายาถาม เขาชี้ไปที่ขวดกระเบื้องสามขวดตรงหน้าเขา
ทั้งสองแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและคิดในใจ แค่นี้เหรอ? เขาไม่เห็นจะต้องทำตัวน่ากลัวขนาดนี้ก็ได้
“เราได้มาจากหมอหนุ่มคนหนึ่งครับ” หานชิ่งพูด
“พูดให้ชัดเจนกว่านี้ด้วย” ราชายาพูด
หานชิ่งจึงได้อธิบายรายละเอียดทั้งหมดให้เขาฟัง รวมไปถึงเรื่องยาที่หวังเย้าเป็นคนขึ้นมาเองและการที่พวกเขาทำลายสัญญาที่ให้ไว้กับหวังเย้า ออกมาจนหมดเปลือก
“ซางกู้จื้อ ตาแก่นั่น” ราชายาก้มหน้าลงและนิ่งไป ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาโบกมือและพูดว่า “ไปได้”
“ครับ” สองพี่น้องพากันออกไปจากอาคาร พร้อมกับคนทั้งหมดที่พวกเขาพามา พวกเขาแบกร่างน้องชายคนเล็กและเตรียมตัวกลับ
“มือของคุณโดนยาเข้า มันอาจจะรู้สึกเจ็บและคันหน่อยนะ” อาเจี้ยนบอกกับหานจื้อหยู ก่อนที่พวกเขาจะออกไป “ไม่ต้องกลัวไป ไม่นานมันก็จะหายได้เอง”
“อ่อ ครับ” หานจื้อหยูพูด
คนไข้ที่กำลังรออยู่ด้านนอกมองดูพวกเขาแบกร่างน้องชายของพวกเขาออกมา
“นี่ เขาได้รักษารึเปล่า?” คนไข้คนหนึ่งถามขึ้นมา
“รักษาสิ” คนไข้อีกคนพูด “ไม่เห็นเหรอ ว่าผ้าพันแผลที่พันอยู่เป็นอันใหม่น่ะ?”
“ฉันจะลองไปถามพวกเขาดู” คนไข้ที่พูดขึ้นมาคนแรกเดินเข้าไปหาหานชิ่งและพูดว่า “ขอโทษนะครับ”
“มีอะไรเหรอครับ?” หานจื้อหยูถาม
“วันนี้ ราชายาจะรักษาคนไข้คนอื่นด้วยไหม?” ชายคนนั้นถาม
“พอดีเราได้นัดกับเขาเอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้วน่ะครับ” หานชิ่งพูด
“อ่อ ขอบคุณครับ” ชายคนนั้นพูด
“ยินดีครับ” หานจื้อหยูพูด
พี่น้องหานเดินทางมุ่งหน้ากลับไปที่ต้าหลี่
มีคนหนึ่งที่กำลังรอรักษาจำหานจื้อเกาได้ “โอ๊ะ ฉันจำได้แล้ว! หนึ่งในพวกเขาเคยเอาสมุนไพรมาให้ราชายาเมื่อหลายวันก่อน ฉันจำคนนั้นได้”
“นายจะบอกว่า พวกเขาทำให้ราชายาไม่พอใจเหรอ?” คนไข้อีกคนถาม
“ฉันว่าไม่น่าใช่นะ” คนไข้อีกคนพูด “ถ้าเขาไม่พอใจ เขาก็คงจะไม่รักษาคนของพวกเขาแบบนี้หรอก”
…
เหลียนชาน ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง หวังเย้าขับรถออกมาจากหมู่บ้านและตรงไปที่ร้านขายต้นกล้า
“เจ้านายของคุณอยู่ไหนเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ผมนี้แหละเจ้านาย” ชายวัยประมาณ 30 ซึ่งนั่งอยู่ตรงที่เก็บเงินพูดกับหวังเย้า
“แต่ปกติผมเคยซื้อกับอีกคนนะ” หวังเย้าพูด
“เขาออกไปทำธุระข้างนอกและให้ผมอยู่แทนน่ะ” ชายคนนั้นพูด “คุณรู้จักพี่ชายผมด้วยเหรอ?”
“ผมรู้จักเขา” หวังเย้าพูด
“งั้นคุณคงจะเป็นลูกค้าประจำสินะ” ชายคนนั้นพูด “นายชื่ออะไรล่ะ?”
“ผมแซ่หวัง” หวังเย้าพูด
“คุณคือหวังเย้าใช่ใหม่?” ชายคนนั้นเผลอตะโกนชื่อของเขาออกมา
“ครับ นั่นผมเอง” หวังเย้าตอบ
“เข้ามาสิ เชิญเข้ามาข้างในก่อน” หลังจากที่ยืนยันตัวตนของหวังเย้าแล้ว ชายคนนั้นก็ปฏิบัติตัวอย่างสุภาพมากขึ้น เขาเกินนำหวังเย้าเข้าไปในออฟฟิสและชงชาให้กับหวังเย้า “พี่ชายของผมบอกเอาไว้ว่า คุณเป็นแขกคนสำคัญของร้านเรา เขายังบอกอีกว่า ให้ผมลดราคาให้คุณเป็นพิเศษด้วย อ้อ ผมชื่อว่า หลี่ชื่อหยู เรียกผมว่า เสี่ยวหลี่ ก็ได้”
“สวัสดีครับ ผู้จัดการหลี่ นี่เป็นต้นไม้ที่ผมต้องการ เอาไปดูได้เลยครับ” หวังเย้าพูด
“หยูชู, ยูคาลิปตัส, พุทรา…” หลี่ชื่อหยูอ่านดูชื่อต้นไม้อย่างละเอียด “ไม่มีปัญหา!
เขาคิดว่า ต้นไม่และพุ่มไม้ที่ลูกค้าต้องการนั้นค่อนข้างแปลก แต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่พี่ชายของเขาได้บอกเอาไว้แล้ว เขาก็เลิกคิดเรื่องนั้นไป
“คุณต้องการต้นไม้พวกนี้เมื่อไหร่เหรอ?” หลี่ชื่อหยูถาม
“ภายใน 7 วันครับ” หวังเย้าพูด “ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ คุณก็โทรบอกผมได้เลย”
จากนั้น หวังเย้าก็ให้เบอร์โทรของเขาไป
566 หนาวไหม? เจ็บไหม?
หลังเสร็จธุระที่ร้านขายต้นกล้า หวังเย้าก็กลับมาที่บ้าน
ท้องฟ้าดูมืดครึ้ม ฝนโปรยลงมาตั้งแต่เช้าของวัน ไม่มีใครมารักษาที่คลินิกของหวังเย้าในวันฝนตกแบบนี้
หวังเย้ากลับบ้านเร็วกว่าทุกที หลังจากทานอาหารเสร็จ เขาก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน
รถคันหนึ่งขับตรงเข้าสู่ตัวเมืองเหลียนชานอย่างเร่งรีบ
“ลุงลู่ ขอบคุณมากนะครับ” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในรถพูด
“ไม่ต้องขอบใจลุงหรอก เธอก็รู้ดีว่าลุงเป็นห่วงแม่ของเธอมากแค่ไหน” ศาสตราจารย์ลู่พูด
เขารู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก เพราะเขาต้องขับรถหลายพันไมล์ภายในวันเดียว
“หมอหวังจะช่วยแม่ของผมได้ไหมครับ?” ชายหนุ่มถาม
“มันก็ยังดีกว่าปล่อยให้เธอนอนรอความตายอยู่ที่โรงพยาบาล” ศาสตราจารย์ลู่พูด “แล้วใครจะรับประกันได้ว่า หมอพวกนั้นจะสามารถช่วยชีวิตเธอได้กัน?”
“ที่คุณลุงพูดมาก็ถูก” ชายหนุ่มพูด
บรรยากาศภายในรถดูหดหู่เล็กน้อย
แค่ก! แค่ก! มีเสียงไอของผู้หญิงดังขึ้นในรถ
“แม่!” ชายหนุ่มร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง
“แม่ไม่เป็นไร” เธอพูด
ที่เบาะด้านหลังของรถ มีผู้หญิงคนหนึ่งขดตัวอยู่ เธอสวมเสื้อผ้าหนาหลายชั้น และดูเหมือนว่าเธอจะอ่อนไหวต่อความเย็น ใบหน้าของเธอซีดเซียว แก้มของเธอตอบและดวงตาลึกโพรง ร่างกายของเธอผ่ายผอมดูคล้ายกับมัมมี่ สภาพของเธอสามารถทำให้คนที่เห็นรู้สึกหวาดกลัวได้
“ทนอีกหน่อยนะครับ เราใกล้จะถึงแล้วล่ะ” ชายหนุ่มพูด
ฝนตกลงมาตั้งแต่ที่พวกเขาขับเข้าสู่ตัวจังหวัดฉี ภายในรถเปิดเครื่องให้ความร้อนเอาไว้ แต่เธอก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี
“อย่าขับเร็ว ข้างนอกฝนตก ถนนมันลื่น” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“ผมรู้ครับ” ชายหนุ่มพูด
ความมืดเข้าปกคลุมอย่างรวดเร็ว หวังเย้ากลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานหลังจากที่ทานอาหารเสร็จแล้ว บนถนนไม่มีคนอยู่แม้แต่คนเดียว
หลังเดินพ้นเขตหมู่บ้านไป หวังเย้าก็เก็บร่ม เขาใช้พลังฉีปิดกั้นฝนและลมให้ออกห่างจากตัวเขาไปประมาณ 1 เมตร
ฝนคงจะตกทั้งคืน
มันเป็นค่ำคืนที่เงียบสนิท และเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการนอน, ดูหนัง, หรืออ่านหนังสือพร้อมกับชาซักถ้วย
ภายในอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่งในตัวเมืองเหลียนชาน ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ เขากำลังครุ่นคิดและลังเลใจ แต่แล้วเขาก็ไม่สามารถยับยั้งความอยากได้ เขาพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ที่เขาเปิดดูนับร้อยครั้งลงไป แล้วหน้าเว็บไซต์อีโรติกก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ
เขาคลิกเปิดดูคลิปๆหนึ่ง แล้วเขาก็ถูกภาพและเสียงในวิดีโอทำให้รู้สึกตื่นเต้น เขารู้สึกตื่นตัวขึ้นมาแล้ว
“โอ๊ย!” อยู่ๆเขาก็กรีดร้องออกมา และล้มลงไปที่พื้นพร้อมกับมือที่กุมหน้าท้องเอาไว้
เกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย?
ร่างกายของเขาถูกคลิปวิดีโอกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว แต่แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มลงมา และจากนั้น เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าท้องและน้องชายของเขาในทันที
เขาไม่สามารถดูวิดีโอต่อไปได้ เขาจึงกดปิดคอมพิวเตอร์และเดินไปนอนบนเตียง
“โอ๊ย!” ความเจ็บยังคงไม่หายไป เขาเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา
เกิดอะไรขึ้น? หรือจะเป็นเพราะฉันช่วยตัวเองเยอะเกินไป ร่างกายของฉันก็เลยเริ่มมีปัญหาขึ้นมาแล้ว? เดี๋ยวนะ!
อยู่ๆเขาก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนที่เขาไปคลินิกเมื่อวันก่อน หวังเย้าได้ใช้นิ้วมือกดไปที่หน้าท้องของเขาอยู่หลายครั้ง และจุดที่เขารู้สึกเจ็บ ก็เป็นบริเวณที่หวังเย้ากดจุดให้เขาด้วย ทั้งที่ในเวลานั้น เขาไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติเลยสักนิด
พรุ่งนี้ ฉันคงต้องไปหาหมอดู ถ้าเขาไม่ได้ทำ ฉันก็คงจะต้องกลายเป็นคนไร้ค่าแน่ๆ
รถคันหนึ่งขับเข้ามาในหมู่บ้านในตอนที่หวังเย้ายังไม่ลงมาจากเนินเขาหนานชาน ดังนั้น คลินิกจึงปิดอยู่
“เขายังไม่มาเลย คงต้องรอสักพักนะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
“ครับ” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในรถพูด
ในตอนที่พวกเขากำลังรอหวังเย้าอยู่นั้น ก็มีรถอีกคันหนึ่งขับเข้ามา ชายหนุ่มที่ดูซีดเซียวลงมาจากรถและเดินตรงไปที่คลินิก
เขายังไม่มา!
เขาเดินกลับไปกลับมาที่หน้าคลินิกสองสามรอบ แล้วจากนั้น เขาก็กลับขึ้นไปนั่งบนรถ
หวังเย้าทำอาหารเช้าทานเองบนเนินเขาหนานเช่น หลังจากทานอาหารเสร็จ เขาก็เอาอาหารให้ซานเซียน
“อะไร? นายไม่ชอบเหรอ?” หวังเย้าถาม
โฮ่ง!โฮ่ง!โฮ่ง! ซานเซียนเห่าตอบ
“ฉันเอาของทะเลมาให้นายเลยนะ ไม่เหรอ? แล้วอยากกินอะไรล่ะ? นายอยากกินปลานึ่งเหรอ? นายเป็นหมานะ ไม่ใช่แมว เฮ้อ รู้สึกว่านายจะเรื่องมากเรื่องของกินกว่าแต่ก่อนนะ” หวังเย้าลูบศีรษะของซานเซียนและยิ้มออกมา “ก็ได้ๆ ไว้ฉันจะทำปลานึ่งซีอิ๋วกลับมาให้นายกินวันนี้แล้วกัน พอใจรึยัง?”
ในตอนที่เขาเดินลงมาจากเนินเขาหนานชาน เขาก็เห็นรถสองคันจอดอยู่ที่ด้านนอกคลินิก
คนพวกนี้มาเช้ากันจริงๆ!
อรุณสวัสดิ์ หมอหวัง” ทันทีที่เห็นหวังเย้าเดินเข้ามา ศาสตราจารย์ลู่ก็รีบลงมาจากตัวรถ และเดินเข้าไปหาหวังเย้า
“อรุณสวัสดิ์ครับ ศาสตราจารย์ลู่ มารอนานรึยังครับ?” หวังเย้าถาม
“ก็ไม่นานเท่าไหร่ เราเพิ่งจะมาถึงได้สักพักเอง” ศาสตราจารย์ลู่พูด
“แล้วคนไข้มาด้วยรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“อรุณสวัสดิ์ครับ หมอหวัง” ชายหนุ่มลงมาจากรถอีกคันหนึ่ง
“นายนี่เอง!” หวังเย้ายังจำชายหนุ่มคนนี้ ที่มารักษากับเขาเมื่อสองวันก่อนได้ดี ไตของเขาทำงานหนักเพราะเขาช่วยตัวเองบ่อยเกินไป
“หมอ คุณต้องช่วยผมนะ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิวราวกับลมที่ไร้กำลัง
“เข้ามาข้างในก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด
ศาสตราจารย์ลู่และลูกชายของเวินหว่าน ช่วยกันพยุงตัวเธอเข้าไปในคลินิก ชายหนุ่มที่ไตมีปัญหาก็พยายามจะเข้าไปช่วยเช่นกัน แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าไร้สีเลือดของเวินหว่าน เขาก็ชะงักไปทันที
เขาเป็นคนดีทีเดียว หวังเย้าคิด
“อาการของเธออยู่ในขั้นวิกฤตมาก” หวังเย้าพูด
เขาไม่จำเป็นต้องจับดูชีพจรของเธอเลยด้วยซ้ำ ใบหน้าของเธอซีดเผือด และหายใจแผ่วเบา เธอเป็นเหมือนกันพระอาทิตย์ที่ใกล้ตกดินหรือน้ำมันที่ถูกเผาไหม้จนเกือบหมด
“เอายานี่ให้เธอกินก่อนนะครับ” หวังเย้าเอาเม็ดยาจิ่วเฉาให้เธอ “ถอดเสื้อคลุมของเธอออกด้วยครับ”
เขากดลงไปที่จุดฝังเข็มสำคัญๆบนร่างกายของเวินหว่าน และส่งพลังฉีเข้าไป
“หมอหวัง?” ศาสตราจารย์ลู่รอจนกระทั่งหวังเย้ารักษาเสร็จ เขาถึงได้พูดออกมา “อาหว่านเป็นยังไงบ้าง?”
“อาการของเธอหนักมากครับ เธอสามารถไปได้ทุกเวลา ผมเพียงช่วยเธอไว้ชั่วคราวเท่านั้น” หวังเย้าพูด “ถ้าดูจากอาการของเธอแล้ว เธออาจจะไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีก และผมก็ได้บอกคุณเรื่องนี้ไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว”
“มันเป็นความผิดของฉันเองค่ะ” เวินหว่านพูด
“ในเมื่อคุณมาอยู่ที่นี่แล้ว ผมก็จะพยายามช่วยคุณให้ถึงที่สุด พวกคุณควรจะลองหาที่พักที่ใกล้กับที่นี่ดูนะครับ” หวังเย้าพูด
“ในหมู่บ้านนี้มีบ้านให้เช่าบ้างไหม?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม เขาเคยคิดเอาไว้ตั้งแต่ครั้งก่อนที่มากับเวินหว่านแล้วว่า เขาอยากจะเช่าบ้านในหมู่บ้านสักหลัง เพื่อที่เวินหว่านจะได้พักเพื่อรักษากับหวังเย้าในระยะยาว และการรักษาก่อนหน้านี้ก็ได้ผลดีมากด้วย
“ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับ” หวังเย้าพูด “คุณคงต้องลองไปถามผู้ใหญ่บ้านดู”
“ได้” ศาสตราจารย์ลู่พูด “ตอนนี้ จะให้เธออยู่ที่ไหนก่อนดีล่ะ?”
“ให้เธออยู่ที่คลินิกก่อนก็ได้ครับ” หวังเย้าพูด
ลูกชายของเวินหว่านอยู่ดูแลแม่ของเขาที่คลินิก ส่วนศาสตราจารย์ลู่ก็ออกไปสอบถามเรื่องเช่าที่พัก
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับนายเหรอ?” หวังเย้าหันไปถามชายหนุ่มอีกคน
“เอ่อ เมื่อคืน อยู่ๆผมก็รู้สึกเจ็บที่ท้องขึ้นมาน่ะ” ชายหนุ่มพูดด้วยท่าทีขัดเขินเล็กน้อย
“เมื่อคืน นายคงคิดจะทำมันอีกล่ะสิ?” หวังเย้าถาม
“อืม” ชายหนุ่มพูด
“ร่างกายของนายจะรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่นายคิดเรื่องนั้น” หวังเย้าพูด
ในวันนั้น หวังเย้าได้ทำบางอย่างกับร่างกายของชายหนุ่ม เมื่อไหร่ก็ตามที่เลือดลมในบริเวณท้องน้อยและน้องชายของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมา เขาก็จะรู้สึกเจ็บเมื่อนั้น
“ฉันสัญญา ผมจะไม่คิดเรื่องนั้นอีกแล้ว” ชายหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยความกังวล นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก
“หลังจากที่นายสามารถตัดนิสัยเสียนั้นไปได้ ฉันก็จะช่วยให้นายหายเอง ถ้านายรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร เรื่องนี้จะไม่กระทบกับร่างกายของนายในอนาคตอย่างแน่นอน” หวังเย้าพูด
“โอ้ ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยังคงรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย เขาไม่อยากจะ เขาไม่อยากจะรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
“นายค่อนข้างอ่อนแอนะ” อยู่ๆหวังเย้าก็พูดขึ้นมาในตอนที่มองหน้าชายหนุ่ม
“ใช่ หมอพูดถูก” ชายหนุ่มพูด
เขาไม่ค่อยมีความมั่นใจในตนเอง แม้แต่ตอนที่พูดคุยกับคนอื่น เขาก็ยังไม่กล้าสบตาด้วยซ้ำ
“ฉันเดาว่า นายคงจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเท่าไหร่” ชายหนุ่มมีส่วนสูงประมาณ 180 เซนติเมตร แต่กลับหนักแค่ 60 กิโลกรัมเท่านั้น เขาดูผอมราวกับไม้เสียบ
“ใช่แล้ว ผมไม่ชอบออกกำลังกายน่ะ” ชายหนุ่มพูด
“ลองพยายามวิ่งสักวันละ 15 กิโลกับวิดพื้น 50 ครั้งดูนะ ลองดูว่าหลังจากผ่านไปเดือนหนึ่งแล้วจะเป็นยังไง” หวังเย้าพูด
“ได้ครับ” ชายหนุ่มพูด
“นายต้องลงมือทำ อย่าพูดอย่างเดียว เธอต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ” หวังเย้าแนะนำชายหนุ่ม เพราะเขาคิดว่า ลึกๆแล้วชายหนุ่มเป็นคนดีคนหนึ่ง
“ได้ครับ” ชายหนุ่มพูด
“เอาล่ะ นายกลับไปได้แล้ว หลังจากนี้หนึ่งเดือนให้กลับมาอีกรอบนะ” หวังเย้าพูด
“ได้ครับ ขอบคุณมาก” ชายหนุ่มเดินออกไปจากคลินิก
เหลือเพียงเวินหว่านและลูกชายของเธอในคลินิก เธอยังคงตัวสั่นเทาราวกับใบไม้ที่ลอยปลิวไปกับสายลม
ศาสตราจารย์ลู่ไปหาผู้ใหญ่บ้านที่ออฟฟิส
567 เจ็บปวด แต่ก็ต้องมีชีวิตต่อไป
เช่าบ้านเหรอ? ศาสตราจารย์จากมหาลัยดัง?
หวังเจียนหลี่รู้สึกประหลาดใจ เริ่มแรก ก็เป็นลูกชายนักธุรกิจใหญ่ มาตอนนี้ ยังมีศาสตราจารย์มหาลัยอีกคน ทั้งสองต่างก็ซื้อหรือไม่ก็เช่าเพื่อให้ได้รักษากับหวังเย้า
ทักษะการรักษาของชายหนุ่มคนหนึ่งในหมู่บ้านสูงขนาดนั้นเลยเหรอ?
เมื่อเป็นคำขอจากผู้มีคุณวุฒิ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่หวังเจียนหลี่จะให้ความช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ เขารีบจัดการติดต่อเจ้าของบ้านที่มีบ้านค่อนข้างใช่ได้ไปสองราย
ไม่นาน ก็มีชาวบ้านเข้ามาคุยเรื่องบ้านกับศาสตราจารย์ลู่ หลังจากดูบ้านเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับไปที่คลินิก
“โอเค ผมเช่าหลังนี้ไว้แล้ว” เขาพูด
“พาเธอกลับไปพักได้เลยครับ” หวังเย้าพูด “ให้กลับมา พรุ่งนี้ 9 โมงนะครับ”
“ได้ ขอบคุณมากนะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
เขาและชายหนุ่มช่วยกันพยุงเวินหว่านออกไปจากคลินิก
หวังเย้ารู้ดีว่า การจะรักษาเธอนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากแค่ไหน อันดับแรก เขาจำเป็นต้องหาวิธีที่จะสามารถยื้อชีวิตของเธอเอาไว้เป็นการชั่วคราว พร้อมกับกำจัดพิษออกจากร่างกายของเธอด้วยวิธีที่อ่อนโยนที่สุด
ส่วนหนึ่งของไตเธอทำหน้าที่ในการกรอง มันเป็นเหมือนกับตัวกรอง ที่ทำการกรองเอาของเสียออกไปจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ หากไตได้รับความเสียหายและประสิทธิภาพในการทำงานลดลงไป การเผาผลาญในร่างกายก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งจะส่งผลทำให้หยินหยางเสียสมดุล แทนที่พิษจะถูกขับออกไป กลับกลายเป็นสารอาหารถูกขับออกไปแทน และส่งผลให้ร่างกายเสียเสื่อมโทรม ซึ่งนั่นก็คือสภาพของเวินหว่านในปัจจุบัน
หวังเย้าวางแผนจะใช้ยาบางตัวในการเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายของเธอ เหมือนที่พูดกันว่า “ยาทุกตัวมีล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพิษ” แม้แต่ยาที่เขาใช้ก็มีพิษแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน แน่นอนว่า สมุนไพรรากเป็นข้อยกเว้น
ถึงแม้ว่าเขาจะใช้สมุนไพรรากที่ปลูกขึ้นในแปลงสมุนไพรของเขาเอง รวมเข้ากับน้ำแร่โบราณและหม้ออเนกประสงค์ มันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีพิษหลงเหลืออยู่ แต่ก็สามารถถูกกำจัดออกไปได้ผ่านกระบวนการกรองในร่างกายของมนุษย์ ถ้าหากเป็นคนไข้ทั่วไป มันก็ถือเป็นเรื่องเล็ก แต่เวินหว่านนั้นต่างออกไป เพราะส่วนที่ใช้กรองพิษเหล่านั้นได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฉันจำเป็นต้องใช้ยาที่ต่างออกไป เพื่อรักษาความเป็นกลางกับยาตัวอื่น หวังเย้ากำลังคิดเกี่ยวกับตัวยาที่มีส่วนผสมของหยินหยางและห้าธาตุ นี่ไม่ใช่เรื่องราวแฟนตาซีหรือการส่งผ่านกำลังภายในสู่อีกคนแต่อย่างใด มันคือยารักษาเท่านั้น
สมุนไพรแต่ละตัวถูกเขียนลงไปในกระดาษ เขาเขียนลงไปอย่างช้าๆ เพราะมีหลายอย่างที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย หลินจือ, จื๋อเฉา, เชี่ยนฉือ, ลู่หรง, หนี่เจินจือ, โชวู, ฉงเฉา…
ศาสตราจารย์ลู่, เวินหว่าน และลูกชายของเธอพากันมาถึงบ้านที่เช่าเอาไว้ในหมู่บ้าน มันถูกเก็บกวาดและทำความสะอาดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว มีผู้หญิงคนหนึ่งออกมาทักทายพวกเขา
“พวกคุณมารักษากับเสี่ยวเย้างั้นเหรอ?” เธอถาม
“อ่อ ใช่แล้วครับ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
“ดูเธอสิ คงจะป่วยหนักมาแน่ๆเลย” เธอพูด “ถ้าจำเป็น ก็สามารถเปิดใช้เครื่องปรับอากาศได้เลยนะ พวกคุณเอาผ้าห่มสองผืนนี้ไปใช้ได้เลย”
หญิงวัยกลางคนบอกศาสตราจารย์ลู่เกี่ยวกับเรื่องภายในตัวบ้าน รวมไปถึงเรื่องน้ำ, ไฟฟ้า, และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆด้วย
หญิงชาวบ้านคนนี้ดูกระตือรือร้นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบ้านหลังนี้ถูกปล่อยว่างมานานแล้ว และอีกส่วนก็คือ ผู้เช่ารายนี้ค่อนข้างใจกว้างเรื่องเงิน ที่สำคัญกว่านั้นคือ เขาเป็นถึงศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยดัง ในสายตาของขาวบ้านหลายๆคน การเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยเปรียบเสมือนกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง เธอยังคิดที่จะผูกมิตรกับเขาเอาไว้ด้วย
“ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
ถึงจะเข้าสู่เดือนมีนาคมแล้ว แต่อากาศก็ยังคงเย็นอยู่ ภายในบ้านไม่ได้ติดฮีตเตอร์เอาไว้ แต่โชคดีที่ในห้องมีเครื่องปรับอากาศอยู่ เขารีบร้อนหาบ้านเช่า ดังนั้น เขาจึงไม่ทันได้ใส่ใจรายละเอียดหลายๆอย่าง
“ไม่เป็นไรๆ พวกคุณมาไกลบ้านคงจะลำบากกันหน่อยนะ” เธอพูด “ถ้ามีปัญหาอะไร ก็โทรหาฉันได้เลยนะ”
“ครับ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
หลังจากที่หญิงชาวบ้านออกไปแล้ว ลูกชายของเวินหว่านก็พูดขึ้นมาว่า “เธอดูกระตือรือร้นดีนะครับ”
“ใช่” ศาสตราจารย์ลู่ “ช่วยกันพาแม่ของเธอไปนอนที่เตียงคังกันเถอะ เดี๋ยวลุงจะเติมฟืนให้อุ่นขึ้นกว่านี้อีกหน่อย”
“ลุงจะไหวเหรอ?” ลูกชายของเวินหว่านพูด “ให้ผมทำเองดีกว่านะครับ!”
“อย่าดูถูกลุงนะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด “ตอนสอนหนังสืออยู่ที่บ้านนอก ถึงจะไม่ค่อยได้ทำอะไรมาก แต่งานพวกนี้ลุงก็ทำเป็นนะ เธอดูแลแม่ของเธอไปเถอะ”
ฟืนถูกกองเอาไว้ที่ลานบ้าน ศาสตราจารย์ลู่จึงเดินออกไปเอาเข้ามาบางส่วน เขาเติมน้ำลงไปในหม้อและสุมไฟ เตียงคังเริ่มอุ่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“แม่เป็นยังไงบ้างครับ?” ชายหนุ่มถามอย่างอ่อนโยน
อาการของเธอในตอนนี้เลวร้ายมาก เธอรู้สึกไม่ปวดไปทั่วทั้งร่าง จนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ แล้วเธอก็แทบจะไม่มีแรงเลยแม้แต่น้อย แม้แต่จะหายใจก็ยังยากสำหรับเธอ อย่าว่าแต่พูดออกมาเลย
เธออดคิดไม่ได้ว่า โรคนี้คงไม่มีทางรักษาได้หรอก! เธอรู้ตั้งแต่ที่เธอเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแล้ว ที่เธอมาหาหวังเย้า ก็แค่เพราะเธอไม่ต้องการให้คนในครอบครัวของเธอต้องรู้สึกแย่ หรือทำให้คนที่เป็นห่วงเธอต้องโมโหก็เท่านั้น
เตียงคังที่อยู่ใต้ร่างของเธอส่งความอบอุ่นมาให้ เธอรู้สึกว่า ร่างกายของเธอไม่ได้เย็นเท่านั้นก่อนหน้านี้มากแล้ว
เธออยากจะหลับตาลงนอน แต่เธอก็ทำไม่ได้ เธออยากจะกิน แต่เธอก็ทำไม่ได้ ความเจ็บปวดกระจายอยู่ในทุกส่วนของร่างกายเธอ
สำหรับฉันแล้ว ความตายคงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าการมีชีวิตอยู่ต่อไปแบบนี้ มันเจ็บปวดเหลือเกิน แต่ฉันก็ยังต้องมีชีวิตต่อไป!
ภายในคลินิก หวังเย้ายังคงทำงานไม่หยุดมือ เขาได้เลือกตัวยาเอาไว้แล้ว ขั้นต่อไปก็คือการเตรียมยา เขามีตัวยาอยู่เกือบครบ ขาดก็แค่ฉงเฉาเท่านั้น เขาจึงโทรไปหาหลี่เม่าชวงเพื่อซื้อฉงเฉาป่ามาบางส่วน
ไม่นานก็เป็นเวลาเที่ยง หวังเย้ากลับไปทานข้าวเที่ยงและกลับมาที่คลินิก หลังยจากนั้นไม่นาน ศาสตราจารย์ลู่ก็มาที่คลินิก
“หมอหวัง ผมมารบกวนรึเปล่า?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม
“ไม่หรอกครับ เชิญนั่งครับ” หวังเย้าลุกขึ้นไปชงชาให้กับเขา “คุณดูเหนื่อยมากเลย คุณจำเป็นต้องพักบ้างนะครับ”
เมื่อคนเราแก่ตัวลง การออกแรงมากเกินไปและไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายได้
“หลายวันมานี้ ผมไม่ค่อยได้พักผ่อนเท่าไหร่ เพราะมัวแต่เป็นห่วงเรื่องเวินหว่านอยู่ตลอด” ศาสตราจารย์ลู่พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “แล้วเรื่องอาการของเธอล่ะครับ?”
“ก็เหมือนที่ผมเคยพูดเอาไว้ ผมจะพยายามให้ดีที่สุด พวกคุณมาช้าเกินไป แล้วเธอก็ไม่ฟังคำแนะนำของผมเลยด้วย” หวังเย้าพูดด้วยท่าทีสงบ
ปกติเขาต้องยินดีที่จะรักษาคนไข้ประเภทนี้ แต่เป็นเพราะความกตัญญูของเธอ, ความห่วงใยที่ศาสตราจารย์ลู่มีให้เธอ, และความจริงที่ว่า พวกเขามารักษากับเขาหลายครั้งแล้ว เขาจึงจำเป็นต้องรับเธอเอาไว้
“หมออยากจะฟังเรื่องเล่าจากตาแก่คนนี้สักหน่อยไหม?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม
“ครับ เชิญเลย” หวังเย้ายิ้ม
“ปีนี้ผมอายุได้ 64 ปีแล้ว ผมรู้จักกับเวินหว่านตอนอายุ 12 ปี เราเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ผมเป็นรุ่นพี่ของเธอปีหนึ่ง ในตอนนั้น เธอเป็นเหมือนกับดอกกล้วยไม้ที่เติบโตขึ้นมากลางทุ่งหญ้า ครั้งแรกที่ผมได้เห็นเธอ ในอกของผมก็สั่นไหว โชคร้ายที่ในเวลานั้นและสภาพแวดล้อมในตอนนั้น ผมทำได้เพียงแค่เก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจ เวลาอยู่ที่โรงเรียน ผมก็จะแอบมองดูเธอจากที่ไกลๆ หลังจากนั้น เราก็ขึ้นชั้นมัธยม ผมรวบรวมความกล้าเขียนจดหมายให้เธอ ในตอนนั้น มันไม่ได้เปิดกว้างเหมือนสมัยนี้ ถ้าเกิดใครรู้เรื่องนี้เข้า มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย!”
ศาสตราจารย์ลู่ยกชาขึ้นมาจิบ เขาพูดต่อเกี่ยวกับตัวของพวกเขาในวัยเยาว์ที่ยังไร้เดียงสาและมีความรัก ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ในสมัยนั้น พวกเขาต้องแยกจากกันเพราะสภาพสังคมที่ไม่อำนวย เมื่อพวกเขาได้พบกันอีกครั้ง เวินหว่านก็แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว
คนที่รักไปแต่งงานกับคนอื่น แต่พวกเขาก็ยังได้เจอกันอีกครั้งในมหาวิทยาลัย
ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องดีเลย หวังเย้าสามารถจินตนาการถึงภาพความเจ็บปวด ที่พวกเขาทั้งสองต้องมาเจอกันอีกครั้งออก
“หลังจากนั้น พวกเราก็ติดต่อกันเรื่อยมา” ศาสตราจารย์ลู่พูด “สามีของเธอจากไปตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่ผมก็มีครอบครัวของตัวเองอยู่แล้ว”
หวังเย้าอึ้งไป
“โอ้ ผมทำไม่ถูกใช่ไหมล่ะ?” ชายชราถาม
หวังเย้าเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไร เรื่องพวกนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าถูกหรือผิด มันเป็นเรื่องที่พระเจ้าได้ลิขิตเอาไว้เพื่อกลั่นแกล้งพวกเขา
ในบ่ายวันนั้น พวกเขาทั้งสอง กับชาหนึ่งถ้วย และเรื่องเล่าความสัมพันธ์หลายสิบปีของคนคู่หนึ่ง หวังเย้ารู้สึกอินไปกับเรื่องราวของพวกเขา การได้ฟังเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเองนั้นให้ความรู้สึกที่ต่างไปจากการดูละครหรือภาพยนตร์
“หมอแต่งงานรึยัง?” ศาตราจารย์ลู่ถาม
“ยังหรอกครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วหมอมีคนที่ชอบอยู่ไหม?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม
ดวงตาของหวังเย้าเลื่อนมองออกไปนอกหน้าต่าง “ก็มีอยู่คนหนึ่งครับ”
“หมอต้องคว้าโอกาสนั้นไว้ และดูแลรักษาเธอให้ดีนะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
หลังจากดื่มชาหมดแล้ว ศาสตราจารย์ลู่ก็ลุกขึ้นยืนและบอกลา
ในตอนเย็น เมื่อหวังเย้ากลับไปทานอาหารที่บ้าน แม่ของเขาก็ถามขึ้นมา “มีศาสตราจารย์มาเช่าบ้านอยู่ เพื่อมารักษากับลูกเหรอ?”
“ข่าวไปเร็วดีนะครับ” หวังเย้าพูด มันยังไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ
“หมู่บ้านไม่ได้ใหญ่โตอะไร แล้วพวกเขาก็ยังมาเช่าบ้านอยู่ที่นี่ด้วย แม่ก็เลยบังเอิญไปได้ยินมาน่ะ” จางซิวหยิงพูด
“ก็จริงนะครับ” หวังเย้าพูด
“เธอป่วยหนักมากเลยเหรอ?” แม่ของเขาถาม
“หนักมากครับ” หวังเย้าพูด
“ถ้าว่าแม่เลยนะ ถ้าแม่อยากจะพูดอะไรสักหน่อยน่ะ” จางซิวหยิงพูด
“ไม่หรอกครับ พูดมาได้เลย” หวังเย้ารีบพูด
“เรื่องรักษาโรค ถ้าลูกรักษาได้ ก็รักษาไป แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็อย่าฝืนตัวเองล่ะ” จางซิวหยิงพูด “แม่ไม่อยากให้ลูกโทษตัวเอง”
“ผมรู้ครับ แม่” หวังเย้าพูด เขารู้ดีว่า เธอพูดเพราะเป็นห่วงเขา
568 ยืดเวลาชีวิต
หวังเย้ากลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน หลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว
เขาจำเป็นต้องต้มยาเพื่อใช้รักษาชีวิตของเวินหว่าน ถึงแม้ว่า เม็ดยาจิ่วเฉาจะมีสรรพคุณที่ดีมาก แต่มันก็ไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้มาก
ดังนั้น เขาจึงรวมสมุนไพรรากสองชนิดใส่ลงไปในตัวยาด้วย หนึ่งในนั้นคือ สมุนไพรแสงจันทร์ ซึ่งมีสรรพคุณในการบำรุงธาตุหยินและชำระล้างจิตใจ สมุนไพรรากอีกชนิดหนึ่งก็คือ หญ้าว่านเหนียนชิง ซึ่งมีหน้าที่ในการบำรุงอวัยวะภายในและฟื้นฟูสุขภาพ
สำหรับตอนนี้ เขาใช่แค่สมุนไพรรากสองชนิดนี้เท่านั้น ซึ่งสมุนไพรรากทั้งสองไม่มีฤทธิ์ที่ขัดแย้งกันหรือมีผลข้างเคียงใดๆ แต่เดิมเขาคิดจะใส่ชางหยางเข้าไปด้วย ซึ่งมันมีสรรพคุณในการซ่อมแซมอวัยวะสำคัญทั้งห้า แต่เขามีคะแนนไม่พอที่จะแลกมันมาได้
ภายในกระท่อมของหวังเย้า ฟืนกำลังถูกเผาไหม้ส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ ภายในหม้อมีของเหลวสีเขียวใส มันมีกลิ่นที่พิเศษ ไม่นานตัวยาก็ได้ที่
หวังเย้าเข้านอนค่อนข้างเร็ว
ยามค่ำคืนในหมู่บ้านเงียบกว่าในตัวเมืองมาก แต่ศาสตราจารย์ลู่กลับไม่สามารถหลับตาลงได้ มันไม่ใช่เพราะเตียงนอนไม่สบาย แต่เป็นเพราะ เขามีเรื่องมากมายให้ต้องคิด
ด้านหนึ่ง เขาเป็นห่วงเรื่องอาการของเวินหว่าน ส่วนอีกด้าน เขาเพิ่งจะได้รับสายจากภรรยาที่อยู่กับเขามานานหลายสิบปี เขาบอกกับเธอว่า เขาต้องพาเพื่อนของเขาไปเข้ารักการรักษา และจะไม่อยู่บ้านสักพัก ภรรยาของเขาก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เธอเพียงแค่บอกให้เขาดูแลตัวเองให้ดีเท่านั้น
เขามีภรรยาที่ดีและลูกที่น่ารักอีกสองคน รวมถึงการงานที่มั่นคง ชีวิตของเขาสมบูรณ์แบบในทุกด้าน แต่เขากลับไม่สามารถลืมรักแรกได้และยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อเธอคนนี้ ถึงเขาจะไม่ได้หลับนอนกับเวินหว่าน แต่มันก็เหมือนกับว่าเขามีคนอื่นอยู่ดี
เขาไม่สามารถบอกเรื่องเวินหว่านกับภรรยาและลูกๆของเขาได้ และทำได้แค่เก็บเอาไว้กับตัวเองเท่านั้น
เวินหว่านผู้ที่นอนอยู่ห้องข้างๆก็นอนไม่หลับเช่นกัน เพราะเธอต้องทนทรมานเพราะอาการป่วยของเธอเอง เธอรู้สึกไม่สบายไปทั่วทั้งตัวและถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
มันเป็นคืนที่เงียบสงัด แต่มันคือค่ำคืนที่แสนยาวนานสำหรับคนที่ไม่สามารถข่มตานอนได้
พระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาในเช้าวันใหม่ แต่อากาศยังคงเย็นเล็กน้อย
มีสายโทรเข้ามา ในขณะที่หวังเย้ายังคงอยู่เนินเขาหนานชาน
“อาจารย์ วันนี้อาจารย์ว่างไหม?” พันจวินถาม
“ว่างสิ พี่มาที่คลินิกได้เลยนะครับ” หวังเย้าพูด
“เยี่ยม” พันจวินพูด เขาวางสายไปด้วยอารมณ์ที่ดี
“ดูคุณทำสิ! ทำตัวเหมือนเด็กๆไปได้” ภรรยาของพันจวินพูด
“ก็ฉันมีความสุขนี่ วันนี้ฉันจะได้เรียนรู้อะไรอีกมากเลยล่ะ” พันจวินพูด “ฉันก็ลองนวดให้เธอแล้ว มันดีมากไม่ใช่เหรอ?”
เขาติดตามศึกษากับหวังเย้าได้ไม่นาน แต่เขาก็ได้ความรู้ในเรื่องของเส้นเลือดและจุดฝังเข็มจากหวังเย้า เขายังได้เริ่มเรียนรู้พื้นฐานการนวดแล้ว เขาจึงลองใช้เทคนิคที่เรียนมากับคนในครอบครัวของเขาดู และภรรยาของเขาก็คือลูกค้ารายแรก ซึ่งเธอก็รู้สึกพอใจกับการนวดของเขามาก
วันหนึ่ง หลังจากที่ภรรยาของเขากลับมาจากที่ทำงาน เขาก็เข้าไปนวดให้กับเธอ เธอบอกว่า หลังจากที่เขานวดให้เธอแล้ว เธอรู้สึกสบายตัวอย่างมากและหลับสนิทในตอนกลางคืน เธอรู้สึกสดชื่นและกระฉับกระเฉงในเช้าวันต่อมา ดังนั้น เธอจึงชื่นชมฝีมือการนวดของสามีไปหลายคำ
“อาจารย์ของคุณเก่งจริงๆ” ภรรยาของเขาพูด
“แน่นอนอยู่แล้วสิ” พันจวินพูด
เขาอยากจะไปที่คลินิกของหวังเย้ามาหลายวันแล้ว แต่หวังเย้าต้องเดินทางไปปักกิ่งและต้าหลี่เกือบ 10 วัน แล้วในที่สุด หวังเย้าก็กลับมา พันจวินไม่ต้องการพลาดโอกาสที่จะได้เรียนรู้กับหวังเย้า
“ฉันไปแล้วนะ” พันจวินพูด
“ขับรถดีดีล่ะ” ภรรยาของเขาพูด
“อืม” พันจวินพูด
เขาขับรถตรงไปที่คลินิก ในขณะที่หวังเย้ายังคงอยู่บนเนินเขาหนานชาน
“พี่มาเช้าจังเลยนะครับ” หวังเย้าพูดขึ้นมาทันทีที่เขาเห็นพันจวิน
“ก็ฉันอยากจะเรียนรู้กับนายมากๆเลยน่ะสิ” พันจวินพูด
“แล้ววันนี้ พี่ไม่ต้องทำงานเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“วันนี้ ฉันมีเวรดึกน่ะ” พันจวินพูด
“อ่อ วันนี้ผมมีคนไข้พิเศษด้วย อีกเดี๋ยวพี่ก็มาดูด้วยกันนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้เลย” พันจวินพูด
หวังเย้าเปิดประตูคลินิก แล้วทั้งสองก็พากันเดินเข้าไปด้านใน
มันเป็นเช้าที่หนาวเย็นเล็กน้อย แต่เมื่อพระอาทิตย์ลอยขึ้นสูง อากาศก็เริ่มอุ่นขึ้น ศาสตราจารย์ลู่ เวินหว่านและลูกชายของเธอมาถึงที่คลินิกตอน 9 โมงครึ่ง
“นี่ใช่คนไข้ที่อาจารย์พูดถึงรึเปล่า?” พันจวินถาม
เขาตกตะลึงเมื่อได้เห็นเวินหว่าน ที่มาในสภาพป่วยหนักและไร้เรี่ยวแรง เธอไม่สามารถแม้แต่จะเดินเข้ามาในคลินิกด้วยตัวเอง เธออยู่ในสภาพของคนที่เหลือลมหายใจสุดท้ายแล้ว
“เมื่อคืนคงจะนอนไม่ค่อยหลับกันสินะครับ” มองแค่ครั้งเดียว หวังเย้าก็สามารถบอกได้แล้ว
“หมอพูดถูกแล้วล่ะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
“มาครับ เอายาไปกินก่อน” หวังเย้าเอายาให้เวินหว่านกินถ้วยหนึ่ง
ตัวยาให้ความรู้สึกสบายและอบอุ่น ลูกชายของเวินหว่านถือถ้วยยาเพื่อป้อนให้กับเธอ
“นี่เป็นเม็ดยาจิ่วเฉา ให้เธอกินวันละเม็ดนะครับ” หวังเย้าเอายาให้ศาสตราจารย์ลู่
“ได้” ศาตราจารย์ลู่พูด
เมื่อดื่มยาเข้าไปแล้ว เวินหว่านอยู่นั่งอยู่ภายในคลินิกต่ออีก 30 นาที หลังจากนั้น หวังเย้าก็จับดูชีพจรของเธอก่อนที่จะให้เธอกลับ
“พี่คิดว่า สภาพของคนไข้เป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถามพันจวิน
“ฉันคิดว่า เธอไม่สามารถรักษาได้แล้ว” พันจวินพูด
“ใช่ แล้วพี่คิดว่า เธอจะสามารถทนรับการรักษาด้วยการนวดได้ไหม?” หวังเย้าถาม
“ฉันคิดว่าไม่น่าจะได้นะ” หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง พันจวินก็ตอบออกมา
ถึงการนวดรักษาจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตได้ดี แต่มันก็ไม่ได้เหมาะกับคนไข้ทุกคน หวังเย้าเคยบอกกับเขาแล้วว่า คนไข้ประเภทไหนและอาการป่วยแบบไหนบ้าง ที่สามารถรักษาด้วยการนวดได้ รวมไปถึงประเภทของคนไข้ที่ไม่สามารถทนรับการนวดรักษาได้
คนไข้ที่อาการหนักไม่ควรรับการนวดรักษาเด็ดขาด ร่างกายของพวกเขานั้นอ่อนแอเกินกว่าจะรับการรักษาแบบนั้นได้ ซึ่งถือเป็นการกระตุ้นจากภายนอก
“อาจารย์ เธอป่วยเป็นอะไรเหรอ?” พันจวินถาม
“ตอนแรก เธอมีอาการไตวาย ตอนนี้ อวัยวะภายในร่างกายของเธอล้มเหลว” หวังเย้าพูด
“โอ้ พระเจ้า! คนไข้คนนั้นเองเหรอ?” พันจวินยังจำคนไข้ที่หวังเย้าเคยพูดถึงได้
“ใช่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด
“ฉันคิดว่า อาจารย์รักษาให้เธอมาได้สักพักแล้วซะอีก” พันจวินพูด “ทำไมเธอถึงได้ป่วยหนักกว่าเดิมแบบนี้ล่ะ?”
“เธอหยุดรับการรักษาไปช่วงหนึ่ง เพราะเธอต้องกลับไปดูแลแม่ที่ป่วยหนักของเธอ” หวังเย้าอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเวินหว่าน ให้พันจวินฟังเพียงสั้นๆ
“เธอเป็นลูกที่ดี แต่เธอทำเกินกำลัง” เขาไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานอยู่ในโรงพยาบาลเหลียนชานมานานหลายปีแล้วก็ตามที “อาจารย์ ถ้าดูจากอาการของเธอแล้ว อาจารย์คิดว่าจะสามารถช่วยเธอได้ไหม?”
“ผมจะลองพยายามดู” หวังเย้าพูด
เขาเริ่มสอนเทคนิคการนวดให้กับพันจวิน พันจวินเรียนรู้อย่างตั้งใจและจดบันทึกเป็นครั้งคราว หลังจากผ่านไปได้ไม่นาน ก็ได้เวลาอาหารกลางวัน
“เราไปกินข้าวด้วยกันไหม?” พันจวินถาม “ฉันเลี้ยงเอง”
“โอเค” หวังเย้าพูด
พวกเขาไปที่ร้านอาหารใกล้หมู่บ้านเหมือนทุกที ทั้งสองได้กลายเป็นลูกค้าประจำของร้านไปแล้ว
“สวัสดี หมอหวัง!” เจ้าของรู้จักหวังเย้าดี
หวังเย้าเปิดคลินิกมาได้สักพักแล้ว ดังนั้น จึงมีคนที่อยู่หมู่บ้านใกล้ๆไปรักษากับเขาหลายคน พวกเขาทุกคนต่างก็พอใจกับการรักษาของเขา ดังนั้น หวังเย้าจึงมีชื่อเสียงค่อนข้างดีในละแวกนี้ คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยล้วนแล้วแต่นึกถึงหวังเย้า
หวังเย้าและพันจวินสั่งอาหารมาสองสามอย่าง พวกเขาทานอาหารและพูดคุยกันไปอย่างออกรส
มีคนกลุ่มหนึ่งเดินทางมาที่ร้านอาหาร ในขณะที่หวังเย้าและพันจวินกำลังทานอาหารกันอยู่ แล้วก็มีคนอีกกลุ่มโผล่เข้ามา หลังจากนั้นไม่นาน ลานจอดรถก็เต็มไปด้วยรถ
“ช่วงนี้กิจการดีมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด
“ใช่แล้วล่ะ ช่วงนี้ร้านมีลูกค้ามาเยอะมาก เพราะตอนนี้ รีสอร์ทน้ำพุร้อนที่หลี่เจียโกวเปิดแล้วน่ะสิ” เจ้าของร้านพูด
“อ่อ” หวังเย้าลืมเรื่องรีสอร์ทไปสนิทเลย
“ฉันไปเที่ยวที่รีสอร์ทมาแล้วด้วย มันดีทีเดียว” เจ้าของร้านพูด
หวังเย้าและพันจวินกลับไปที่คลินิกหลังจากที่ทานอาหารเสร็จแล้ว ไม่มีใครมาคลินิกในเวลานี้ เพราะเป็นเวลาทานอาหารของคนส่วนใหญ่
“พี่งีบที่นี่ได้เลยนะครับ” หวังเย้าพูด
“โอเค” พันจวินพูด
เขานอนงีบครู่หนึ่ง ไม่นานเขาก็ลุกขึ้น แล้วหยิบเอาหนังสือการนวดของหวังเย้าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่าน
มีคนไข้สองรายมาที่คลินิกในตอนบ่าย ทั้งสองเป็นคนชราที่มีอาการปวดขา
“อยากจะลองรักษาดูหน่อยไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“เอาสิ” พันจวินพูด
“เขาทำได้เหรอ?” คนไข้ถาม
พวกเขามาที่คลินิกก็เพื่อจะได้รักษากับหวังเย้า
“ได้สิครับ เขาเป็นถึงหมอในโรงพยาบาลเหลียนชานเลยนะ” หวังเย้าพูด
“จริงเหรอ?” คนไข้ยังคงสงสัย จนกระทั่งพันจวินต้องเอาป้ายชื่อของเขาออกมาให้ดู
อาการของคนไข้ค่อนข้างชัดเจน เขาใช้งานขาของเขามาเป็นเวลาหลายปี เขาเป็นคนไข้ที่เหมาะสำหรับการนวดรักษา เพราะการนวดนั้นสามารถรักษาอาการกล้ามเนื้อบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น