Elixir Supplier 557-560

 557 เข้าพบราชายา


 


“นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?”


 


ทันทีที่เห็นว่า หานจื้อเกาเดินเข้าไปในตัวตึก คนที่ยืนรอคิวอยู่ก็เริ่มบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ พวกเขามารอก่อนตั้งหลายวันแล้ว พวกเขาคิดว่ามันไม่ยุติธรรม ที่คนไม่มีแผ่นไม้ไผ่อยู่ในมือกลับได้เข้าไปพบราชายาก่อนพวกเขา ซึ่งก็หมายความว่า มีคนหนึ่งคนที่ต้องรอนานขึ้น


 


“รออยู่ตรงนี้ก่อน” ชายวัย 30พูดก่อนที่เขาจะปิดประตูตามหลัง


 


“อะไรกัน?” คนที่กำลังรออยู่ด้านนอกรู้สึกไม่พอใจ


 


“ฉันรู้แล้ว! เขาจะต้องเข้าไปข้างในพร้อมกับสมุนไพรแน่ๆ” อีกคนที่รอคิวอยู่ด้านนอกพูด


 


“เขาเอาสมุนไพรมาด้วยเหรอ?” คนที่อยู่ในคิวถาม


 


“ไม่เคยได้ยินเรื่องกฎพิเศษของราชายาเหรอไง?” คนที่พูดก่อนหน้านี้ถาม


 


“กฎอะไรเหรอ?” อีกคนถาม


 


“ตราบใดที่สามารถหาสมุนไพรที่มีความพิเศษมาให้ราชายาได้ เขาก็จะทำตามคำขอให้อย่างหนึ่งยังไงล่ะ” คนที่พูดก่อนคนแรกตอบแทน


 


“ฉันก็เคยได้ยินเรื่องนั้นมาเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาสมุนไพรแบบนั้นมาได้ ราชายาเรียนรู้เรื่องยามานานหลายสิบปีและได้เห็นสมุนไพรมานับไม่ถ้วน ถ้าหากมีคนอยากจะเสี่ยงโชค แต่กลับไปทำให้ราชายาไม่พอใจขึ้นมาแทน เขาก็อาจจะไม่สามารถกลับมาที่นี่ได้อีกเลย” อีกคนพูดขึ้นมา


 


“ถูกแล้วล่ะ” คนแรกพูด


 


ภายในตึกไม้ไผ่ หานจื้อเกาได้พบกับราชายาแห่งเขตเมี่ยวผู้มีชื่อเสียง เขาเป็นชายร่างผอม ผมสีดำ, คิ้วหน้า, แววตากระจ่างใส, และผิวสีเหลืองทองอ่อนๆ


 


ราชายาควรจะมีอายุ 70 กว่าสิ แต่ทำไมเขาถึงได้ดูมีอายุแค่ 50 ล่ะ?


 


ถึงแม้ว่าราชายาจะมีชื่อเสียงมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ก็มีคนไม่มากที่ได้เจอตัวเขาเป็นๆ หานจื้อเกาและน้องชายของเขาเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง พวกเขาต้องรอนานถึง 10 วัน เมื่อถึงคิวที่พวกเขาจะได้เขาไปพบ กลับเป็นช่วงที่ราชายาอารมณ์เสียขึ้นมาพอดี ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้เข้าพบราชายา พวกเขาไม่ต้องการทิ้งเวลาการรักษาน้องชายคนเล็กเอาไว้นานเกินไป ดังนั้น พวกเขาจึงได้เชิญหวังเย้ามาที่บ้านของพวกเขาแทน


 


“เธอมียาวิเศษเหรอ?” ราชายาถาม


 


“ครับ” หานจื้อเกาพูด


 


“แน่ใจนะ ว่าอยากจะเอาให้ฉันดูน่ะ?” ราชายาถาม


 


“คนล่าสุดที่บอกว่ายาของเขาเป็นยาวิเศษ มันกลับกลายเป็นแค่สมุนไพรธรรมดาๆทั่วไปเท่านั้น” ชายวัยกลางคนพูด “แล้วหลังจากที่เขากลับไปที่บ้าน เขาก็อาเจียนไปเป็นเดือนเลยล่ะ”


 


“อะไรนะ? เขาถูกลงโทษเหรอ?” หานจื้อเกาถามด้วยความประหลาดใจ


 


แล้วเขาก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา ยาที่ได้มาจากหวังเย้าคือยาที่น่าอัศจรรย์ในสายตาของเขาและพี่น้องคนอื่นๆ แต่มันอาจจะเป็นแค่ยาธรรมดา เมื่อมาอยู่ต่อหน้าราชายาก็ได้ เพราะราชายาอยู่มานานหลายสิบปี ซึ่งก็แสดงว่า เขาจะต้องเคยพบเห็นยาสมุนไพรมาแล้วมากมาย


 


ถ้าหากเขาไม่ยอมรับยา มันก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ บางที ฉันไม่น่ามาที่นี่ตั้งแต่แรกเลย


 


แต่มันก็สายเกินไปแล้ว หานจื้อเกาจำเป็นต้องทำตามแผนของเขาต่อไป


 


“ผมมั่นใจว่ามันเป็นยาวิเศษ” หานจื้อเกาพูด


 


“ก็ได้ เอาพวกมันมาให้ฉันดูสิ” ราชายาพูด


 


ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างราชายา เดินไปรับกล่องจากมือหานจื้อเกาและเปิดมันออก หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าทุกอย่างปลอดภัย เขาก็นำยาไปวางไว้ตรงหน้าราชายา


 


ราชายาเหลือมองภายในกล่อง เขาหยิบยาออกมาถุงหนึ่งและยกมันขึ้นมาใกล้กับจมูกของเขา


 


“ฉันบอกได้ว่ามันคือหลินจือ 20 ปี นี่อะไรน่ะ? มู่เฟยเฉาเหรอ? ไม่สิ! นี่คืออะไร?” ราชายาเทตัวยาออกมาเล็กน้อยและดมกลิ่นของมัน จากนั้น เขาก็ใส่มันเข้าไปในปาก


 


“อืมมม” เขาพยักหน้า


 


เขาหยิบยาถุงที่สองออกมา แบ่งยาออกมาส่วนหนึ่งและยกขึ้นมาดม และก็เป็นอีกครั้ง ที่เขาเอายาใส่เข้าไปในปาก


 


“ชื่อฉือจือ, ผงหวงตาน, กานเฉา, เป้ยหมู, หลงกู่…” ราชายาพึมพำกับตัวเอง


 


ถ้าหากหวังเย้าอยู่ตรงนี้ เขาก็คงจะรู้สึกประหลาดใจมาก ชายชราสามารถแยกแยะสมุนไพรทั้งหมดออกมาได้ ยกเว้นก็เพียงสมุนไพรรากเท่านั้น เพียงแค่ความสามารถนี้อย่างเดียว ก็น่าประทับใจมากแล้ว


 


“และ…นี่อะไรน่ะ?”


 


ชายชรามีท่าทีสงสัยและสับสน เขาหยิบยาถุงที่สามขึ้นมา


 


“กานเฉา, ตังกุย, โสม,…มีอย่างอื่นอีก สมุนไพรตัวนี้มีสรรพคุณในการลดความร้อนในสมุนไพรตัวที่เหลือ” ราชายาพูด


 


หานจื้อเกากลั้นลมหายใจเอาไว้ด้วยความกังวล


 


ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่อีกด้านรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา


 


ฉันไม่เห็นเขาเป็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว


 


เขาติดตามราชายามาได้เจ็ดปี ดังนั้น เขาจึงรู้จักลักษณะนิสัยอาจารย์ของเขาดี ราชายาเป็นพวกจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาก และยาที่หานเกาจื้อนำมา ก็ดึงดูดความสนใจของราชายาเข้าแล้ว บนโลกใบนี้ มียาเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่สามารถดึงดูดความสนใจจากราชายาได้


 


หลังจากที่ชิมยาทั้งสามดูแล้ว ชายชราก็จ้องมองตัวยาเหล่านี้อยู่นาน


 


“ดี! ดีมาก!” ชายชราพูด เขาหันไปมองหน้าหานจื้อเกา ที่ตอนนี้กำลังรู้สึกกังวล ราวกับสายตาของเสือที่จ้องเหยื่อของมัน “เธอไปเอายาพวกนี้มาจากที่ไหน?”


 


“ผม…ผมได้มาด้วยความบังเอิญครับ” หานจื้อเกาที่มักจะพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำเสมอ กลับพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก


 


“ฉันจะนับว่ายาที่เธอเอามาเป็นยาวิเศษ” ราชายาพูด “บอกมา ต้องการให้ฉันทำอะไรให้?”


 


หานจื้อเการู้สึกตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง


 


“นี่ อาจารย์ของฉันกำลังถามนายอยู่นะ” ชายวัยกลางคนพูด


 


“น้องชายของผมป่วยหนัก ผมหวังว่าคุณจะสามารถไปรักษาเขาได้” หลังจากที่หายจากอาการตกตะลึง หานจื้อเกาก็พูดออกมา


 


“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?” ราชายาถาม “พาเขามาที่นี่ได้เลย”


 


“น้องชายของผมป่วยหนักมากจนลุกออกจากเตียงไม่ไหวครับ” หานจื้อเกาพูด


 


“เธอกำลังหลอกฉันอยู่ใช่ไหม?” อยู่ๆราชายาก็ถามขึ้นมา


 


“อะไรนะ? ไม่! ผมไม่ได้หลอก” หานจื้อเกาตอบ เขาคิดไม่ออกว่าเขาไปหลอกราชายาตอนไหน เขาไม่มีทางมีความกล้าขนาดนั้น


 


“เธอไม่ได้ได้ยามาด้วยความบังเอิญสินะ” ราชายาพูด “ยาพวกนี้ เป็นยาที่ได้มาจากหมอที่เธอขอให้มารักษาน้องชายของเธอ ใช่ไหม? น้องชายของเธอป่วยด้วยพิษร้อนและอ่อนแอมาก เพราะร่างกายได้รับความเสียหายอย่างหนัก ฉันพูดถูกไหม?”


 


“ครับ! ครับ! ครับ!” หานจื้อเกาพยักหน้าหงึกหงัก เขารู้สึกตกใจอย่างมาก


 


ราชายาอธิบายอาการป่วยน้องชายของเขาออกมาได้อย่างถูกต้อง คำอธิบายของเขาตรงกับของซางกู้จื้อและหวังเย้า หลังจากที่พวกเขาได้ตรวจน้องชายของเขาแล้ว หานจื้อเหารู้สึกประทับใจในความสามารถของราชายา ที่เขาสามารถแจกแจงอาการน้องชายของเขาได้จากการดูตัวยาแค่อย่างเดียวเท่านั้น


 


“น้องชายของเธออยู่ที่ไหน?” ราชายาถาม


 


“เขาอยู่ที่ต้าหลี่ครับ” หานจื้อเกาพูด


 


“เธอนอนค้างที่นี่คืนหนึ่งก่อน แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปกับเธอ” ราชายาพูด


 


“เยี่ยม! ขอบคุณครับ” หานจื้อเกาพูด เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก


 


ราชายาโบกมือ


 


หานจื้อเกาจึงรีบออกไปจากห้องทันที


 


“อาจารย์?” ชายวัยกลางคนพูด


 


“ยาสามตัวนี้วิเศษมาก” ราชายาพูด “ฉันไม่สามารถบอกสมุนไพรที่ใส่อยู่ในนี้ทั้งหมดได้ ฉันไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้มานานหลายปีแล้ว แล้ววันนี้ ฉันต้องรักษาคนไข้กี่คนเหรอ?”


 


“ผมบอกพวกเขาไปว่า วันนี้อาจารย์จะรักษาคนไข้ทั้งหมด 6 คนครับ” ชายวัยกลางคนพูด


 


“อ่อ วันนี้ฉันอารมณดี ฉันจะตรวจเพิ่มอีกหกคนแล้วกัน” ราชายาพูด


 


“ผมจะไปแจ้งให้พวกเขาทราบนะครับ อาจารย์” ชายวัยกลางคนพูด


 


เขาเดินออกไปจากห้อง


 


“ราชายาตัดสินใจว่า วันนี้เขาจะตรวจคนไข้ทั้งหมด 12 คน ถือหมายเลขของตัวเองไว้ ใครเป็นคนต่อไป?” ชายวัยกลางคนประกาศ


 


“วันนี้ เขาจะตรวจคนไข้อีก 6 คนเหรอ?” คนไข้คนหนึ่งที่อยู่ในคิวถาม


 


“ดูเหมือนว่า วันนี้เขาจะอารมณ์ดีนะ” อีกคนพูดขึ้นมา


 


“นั่นมันยอดไปเลย” คนที่สามที่อยู่ในคิ


 


หลังออกมาจากตึกไผ่แล้ว หานจื้อเกายังคงมีเหงื่อไหลไม่หยุด


 


ราชายาทำฉันกลัวไปหมด โชคดีที่ยานั่นเป็นของดีจริงๆ ดูเหมือนว่าหวังเย้าจะไม่ใช่หมอธรรมดา แต่เขาก็ไม่มีทางเทียบกับราชายาไม่ได้หรอก


 


เขารีบโทรหาหานจื้อหยูทันที หานจื้อหยูมีความสุขอย่างมากที่ได้รับข่าวดี


 


“นายคิดว่า เราจะพูดกับพี่ใหญ่ยังไงดี?” หานจื้อเกาถาม


 


“ปล่อยเรื่องนี้ให้ฉันเป็นคนจัดการเอง” หลังจากที่เงียบไปสักพัก หานจื้อหยูที่อยู่ปลายสายก็พูดขึ้นมา


 


“นายรออยู่ที่นั่นนะ ฉันจะส่งคนไปหา เราจำเป็นต้องดูแลการเดินทางของราชายาให้ดีที่สุด” หานจื้อหยูพูด


 


“ได้ ไม่ต้องห่วง” หานจื้อเกาพูด


 


ที่ต้าหลี่ หานจื้อหยูจัดการให้คนขับรถสองคันไปที่หมู่บ้านที่ราชายาอาศัยอยู่ จากนั้น เขาก็ไปคุยกับพี่ชายคนโตของพวกเขา


 


สี่พี่น้องหานมักจะมีความเห็นเดียวกันในหลายๆเรื่อง พวกเขาไม่เคยทรยศกัน น้องทั้งสามให้ความเคารพพี่ชายคนโตอยู่เสมอ เมื่อพวกเขามีความเห็นไปไม่ตรงกัน พวกเขาก็มักจะให้พี่ชายคนโตเป็นคนตัดสินใจในตอนท้าย เพราะหานชิ่งเป็นคนยุติธรรม แต่อยู่ๆน้องคนเล็กก็เกิดป่วยขึ้นมา แล้วเขาก็ยังไม่ได้แต่งงานเลยด้วย หานชิ่งจึงพาเขามาดูแลที่บ้านของตัวเอง


 


ในตอนที่หานจื้อหยูเข้าไปคุยกับเขา ก็เป็นตอนที่หานชิ่งอยู่ที่บ้านพอดี


 


“พี่ พอจะมีเวลาคุยไหม?” หานจื้อหยูถาม


 


“มีสิ” หานชิ่งพูด


 


“เอ่อ…ฉัน…” หานจื้อหยูไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไง เพราะเรื่องที่เขาและหานจื้อเกาทำลงไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก


 


“พูดออกมาเดี๋ยวนี้! ฉันเป็นพี่นายนะ มีอะไรก็บอกมา” หานชิ่งพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“โอ้ค ฉันจะบอกพี่ว่าเกิดอะไรขึ้น” หานจื้อหยูพูด “ฉันแอบขโมยยาไปจากพี่ เพราะฉันต้องการให้ราชายามารักษาน้องของเรา”


 


“ฉันรู้เรื่องนั้นแล้ว” หานชิ่งพูด


 


“พี่รู้ได้ยังไง?” หานจื้อหยูตกใจ


 


“ฉันเป็นคนดูแลยาด้วยตัวเอง แน่นอนว่าฉันก็ต้องรู้สิ” หานชิ่งพูด


 


เขารู้จักน้องๆของเขาเป็นอย่างดี แล้วเข้าใจด้วยว่า ทำไมหานจื้อเกาและหานจื้อหยูต้องขโมยยาไป พวกเขาเพียงแค่ต้องการให้น้องเล็กหายดีก็เท่านั้น


 


“จื้อเกาเพิ่งจะบอกกับฉันเมื่อกี้นี้ว่า ราชายาตกลงจะมารักษาน้องเล็กแล้ว แล้ววันพรุ่งนี้ เขาก็จะมาที่ต้าหลี่” หานจื้อหยูพูด


 


“จริงเหรอ?” หานชิงถามด้วยความกังวล


 


“จริงสิ” หานจื้อหยูพูด


 


“ดี! ดีมาก” หานชิ่งพูด


 


ไม่ว่าจะเป็นหวังเย้าหรือราชายาที่มารักษาน้องชายของเขา เขาก็รู้สึกกังวลอยู่ดี ในเมื่อราชายาตกลงจะมารักษาน้องชายของเขาแล้ว มันก็ถือว่าเขาได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าจะอธิบายให้ซางกู้จื้อและหวังเย้าฟังยังไงนั้น ตอนนี้ เขาไม่มีเวลาไปสนใจ


558 มีชื่อเสียง แต่นิสัยแปลกประหลาด


 


“นายจัดการเรื่องการเดินทางของราชายารึยัง?” หานชิ่งพูด


 


“อืม ฉันได้ส่งคนไปที่นั่นแล้ว จื้อเกาก็อยู่ที่นั่นด้วย” หานจื้อหยูพูด


 


“นายไปดูหน่อยได้ไหม ว่าหมอซางไปจากต้าหลี่แล้วรึยัง?” หานชิ่งพูด “ถ้าเขารู้ว่าราชายามาที่นี่ เขาจะต้องรู้แน่ๆว่าเกิดอะไรขึ้น”


 


“ได้” หานจื้อหยูพูด


 



 


ที่หมู่บ้าน ภายในบ้านของหวังเจ๋อเชิง หวังเจ๋อเชิงยังคงไอไม่หยุด แค่ก! แค่ก! แค่ก!


 


“พ่อ เป็นอะไรไหม?” หวังเจ๋อเชิงถามด้วยความเป็นห่วง


 


“ไม่เป็นไร” หวังยี่หลงพูด


 


“งั้นก็ดี” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“ห่าวหยวน ปู่ไม่ค่อยสบาย ลูกก็โตพอจะเล่นเองได้แล้ว อย่าเอาแต่ชวนปู่เล่น ไปเล่นของเล่นของลูกดีกว่านะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“พ่อไม่เป็นไร ห่าวหยวนไม่ได้หนักขนาดนั้น” หวังยี่หลงพูด


 


“ปล่อยให้เขาเล่นเองไปเถอะ พ่ออย่าตามใจเขามากเลย” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


หวังเย้าเอายามาส่งให้ที่บ้านของพวกเขาเมื่อวาน เขายังตรวจดูอาการและนวดให้กับหวังยี่หลงอีกด้วย และวันนี้ สีหน้าของหวังยี่หลงก็ดีขึ้นมาก


 


“พ่อของพี่ป่วยหนักมาก ผมรักษาเขาไม่ได้ และคงแค่พยายามยืดเวลาชีวิตของเขาให้นานขึ้นเท่านั้น” หวังเย้าพูด


 


หวังเจ๋อเชิงเอาแต่คิดถึงคำพูดของหวังเย้า


 


“พยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อให้เขามีความสุขจะดีกว่านะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ฉันจะทำให้ดีที่สุด” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


หวังเย้าไม่ได้บอกกับหวังเจ๋อเชิงว่าพ่อของเขาจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เขาอาจจะอยู่ได้อีกเดือน, สามเดือน หรืออาจจะหกเดือนเลยก็ได้ หวังเจ๋อเชิงคิดถึงเรื่องที่พ่อของเขากำลังจะตายอยู๋หลายครั้ง


 


ฉันจะต้องทำให้พ่อมีความสุข ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่!


 


“เจ๋อเชิง พ่อโทรไปหาพี่สาวของลูกเมื่อเช้านี้ เธอบอกว่า เธอจะว่างมาหาที่บ้านวันพรุ่งนี้นะ” หวังยี่หลงพูด “แล้วเธอก็จะพาเด็กๆมาด้วย”


 


หวังยี่หลงคิดถึงหลานอีกสองคนเช่นกัน


 


“ดีครับ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


ในคลินิก หวังเย้าเตรียมยาสำหรับใช้ที่ปักกิ่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาบอกเรื่องการเดินทางไปปักกิ่งให้พ่อแม่ของเขาได้รู้ในตอนกลางวัน


 


“คราวนี้ ผมอาจจะอยู่ที่ปักกิ่งนานกว่าปกติหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“นานแค่ไหนเหรอ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ประมาณ 5 วันครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้จ๊ะ อย่าลืมเรื่องงานแต่งของพี่เขาล่ะ” จางซิวหยิงเตือนลูกชายของเธอ


 


“ไม่ลืมหรอกครับ” หวังเย้าพูด


 


หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ เขาก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน เพื่อเก็บของสำหรับเดินทางไปปักกิ่ง และสั่งงานซานเซียนให้ทำในช่วงที่เขาไม่อยู่


 


เช้าวันต่อมา เขาลงมาจากเนินเขาหนานชานพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบหนึ่ง และมุ่งหน้าสู่ปักกิ่ง


 


เมื่อเขาเดินทางจากห่ายชิวไปถึงปักกิ่ง มันก็เป็นเวลากลางวันแล้ว เขาเรียกแท็กซี่เพื่อให้พาเขาไปส่งที่กระท่อมที่เขาเคยอยู่เป็นประจำ


 


“สวัสดีค่ะ หมอหวัง!” เฉินหยิงรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นหวังเย้า “คุณจะมา ทำไมไม่บอกเราก่อนละคะ?”


 


“ผมไม่อยากให้ทุกคนต้องมาวุ่นวายเพราะเรื่องของผมน่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


เฉินหยิงเดินเข้าไปรับกระเป๋ามาจากหวังเย้า


 


“น้องชายของพี่เป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เขาสบายดีค่ะและก็ยังปกติดีอยู่ นี่ก็ผ่านมาได้สักพักแล้ว” เฉินหยิงพูด เธอมีความสุขกับอาการของเฉินโจวในตอนนี้มาก


 


“พรุ่งนี้เช้า ผมจะไปเยี่ยมบ้านตระกูลหวู แล้วจะไปหาน้องชายของพี่ตอนบ่ายนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้ค่ะ ฉันจะเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม” เฉินหยิงพูด


 



 


ขณะเดียวกัน ภายในหมู่บ้านเล็กๆกลางป่า ราชายาได้สั่งให้ลู่ศิษย์ของเขาไปแจ้งให้กับคนไข้ทุกคนได้ทราบว่า วันนี้เขาจะไม่รักษาใครทั้งนั้น เพราะเขาจะออกไปข้างนอก


 


“ผู้อาวุโส เชิญครับ” หานจื้อเกาพูดอย่างสุภาพ


 


“ฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้น” ราชายาพูดด้วยเสียงอันดัง


 


“แน่นอนครับ แน่นอน เป็นความผิดของผมเอง” หานจื้อเกาพูด


 


“ช่างเถอะ” ราชายาพูด


 


เขาและลูกศิษย์ขึ้นไปนั่งบนรถที่หานจื้อเกาเตรียมเอาไว้ให้และมุ่งหน้าสู่ต้าหลี่ พวกเขาไปถึงที่นั่นในตอนเที่ยง


 


“ผมได้เตรียมอาหารเอาไว้ให้แล้วครับ” หานจื้อเกาพูด


 


“ฉันอยากจะไปดูคนไข้ก่อน” ราชายาพูด


 


“ได้เลยครับ!” หานจื้อเการีบโทรหาพี่ชายของเขาทันที


 


“เขาจะมาแล้ว!” หานจื้อหยูรู้สึกตื่นเต้น


 


หานชิ่งบอกกับน้องๆของเขาว่า อย่าไปบอกคนอื่นว่าราชายาจะมาที่นี่ ถ้าหากคนอื่นถาม ก็ให้บอกว่า เป็นแขกพิเศษของพวกเขาแทน


 


หานชิ่งและหานจื้อหยูออกมายืนรอต้อนรับราชายาถึงที่หน้าประตูบ้าน เมื่อเห็นเขา สองพี่น้องก็คิดในใจว่า เขาดูไม่เหมือนคนอายุ 70 กว่าเลยสักนิด! เขายังดูอายุน้อยอยู่เลย!


 


“สวัสดีครับ ราชายา” หานชิ่งพูด


 


“เลิกทำพิธีรีตองได้แล้ว พาฉันไปหาคนไข้” ราชายาพูดขัดจังหวะ


 


“ครับ” หานชิ่งพูด


 


เขานำทางราชายาไปยังห้องของน้องชายเขา ไม่นานพวกเขาก็เห็นคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียง


 


“กลิ่นอะไรน่ะ?” อยู่ๆราชายาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา เขารีบเดินตรงเข้าไปที่เตียงและเปิดผ้าพันแผลออก เผยให้เห็นบาดแผล


 


“อะรกัน?” ราชายาดูมีท่าทางตกใจ


 


นักเรียนของเขาก็ตกใจเช่นกัน


 


“พิษน่าเกลียดนั่นอีกแล้วเหรอ!” ราชายาพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ


 


“ท่านเคยเจอพิษแบบนี้มาก่อนเหรอครับ?” หานชิ่งถาม


 


“หมอคนนั้นให้ยาเขาไปมากเท่าไหร่แล้ว?” ราชายารู้สึกอัศจรรย์ใจ เมื่อเห็นแผลตกสะเก็ดที่แขนของคนไข้


 


“ยาสองตัวแรก เราใช้ไปครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกตัว ใช้ไปหนึ่งในห้าครับ” หานชิ่งพูด


 


“เอายาทั้งหมดมาให้ฉัน” ราชายาพูด


 


“ได้ครับ” หานชิ่งเอายาที่ได้มาจากหวังเย้าให้ราชายาดู


 


“เอายาให้เขาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?” ราชายาถาม


 


“ตอน 8 โมงเช้าครับ” หานชิ่งพูด “ยาตัวนี้จะช่วยขับพิษออกจากร่างกาย ส่วนตัวที่สอง ช่วยฟื้นฟูร่างกาย และตัวที่สาม ช่วยซ่อมแซมผิวหนังและกล้ามเนื้อที่เสียหายครับ”


 


“อืม” ราชายาพยักหน้า “อาเจี้ยน”


 


“ครับ อาจารย์” อาเจี้ยนพูด


 


“เอายาทั้งหมดที่ฉันใช้ครั้งก่อนออกมา” ราชายาพูด


 


“ได้ครับ” อาเจี้ยนพูด


 


“ให้ผมไปด้วยนะครับ” หานจื้อเกาพูดและพยายามจะตามอาเจี้ยนไป


 


“เธอรออยู่ที่นี่แหละ” ราชายาพูด


 


“ครับ” หานจื้อเกาพูด “เราเตรียมอาหารเอาไว้ให้แล้ว ท่านเดินทางมาเหนื่อยๆ อยากจะทานอะไรสักหน่อยไหมครับ?”


 


“ก็ดี” ราชายาพูด


 


สมาชิกครอบครัวหานพาราชายาไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง


 


“หืม?” ชายชราคนหนึ่ง บังเอิญเห็นราชายา พร้อมกับลูกศิษย์และพี่น้องหานเข้า


 


ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน? แล้วพี่น้องหานเชิญเขามาได้ยังไง?


 


ชายชราก็คือ ซางกู้จื้อ เขาเคยพบราชายามาแล้วครั้งหนึ่ง และรู้ว่า เขาเป็นคนที่แปลกประหลาดขนาดไหน เขาจะรักษาคนไข้หรือไม่นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาเป็นหลัก เมื่อไหร่ที่เขาอารมณ์เสีย จะเป็นทองกองเท่าบ้านหรือเอาดาบมาพาดไว้ตรงคอ ก็ไม่มีทางทำให้เขาขยับตัวได้ อย่าว่าแต่ออกมารักษาคนไข้ข้างนอกเลย


 


ซางกู้จื้อรู้ดีว่า พี่น้องหานไม่ใช่ตระกูลมีอำนาจในเมือง


 


นอกจากว่า…เขาคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง เขาถอนหายใจ พร้อมกับส่ายหน้าและเดินจากไป


 



 


ภายในหมู่บ้าน หวังยี่หลงกำลังมีความสุข เพราะมีหลานๆอยู่ล้อมรอบตัวเขา การได้เฝ้ามองเด็กๆที่น่ารักเหล่านี้ มันทำให้ความเจ็บปวดของเขาหายไปได้


 


หลังทางอาหารกลางวันเสร็จ หวังเจ๋อเชิงก็เรียกพี่สาวของเขามาคุยเป็นการส่วนตัว


 


“พี่ ฉันมีเรื่องบางอย่างจะบอก” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“เรื่องอะไรเหรอ?” เธอถาม เธอพบว่า น้องชายของเธอเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขากลายเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า เขาจะดูแลพ่อของพวกเขาได้เป็นอย่างดีแบบนี้ ดังนั้น เธอจึงรู้สึกสงสัยว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น


 


“พี่ ตอนนี้พ่อป่วยหนักมาก” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“พ่อป่วยเป็นอะไร?” พี่สาวของเขาถาม


 


“มะเร็ง” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“อะไรนะ?” ร่างกายของเธอเริ่มสั่นเทา จากนั้น น้ำตาก็ไหลพรากออกมาจากสองตา


 


“พี่ อย่าร้อง พ่อไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็ง” หวังเจ๋อเชิงพูดด้วยความกังวล เขาเคยคิดว่า เขาควรจะบอกพี่สาวเรื่องที่พ่อป่วยดีหรือไม่ แต่หลังจากที่คิดอยู่ตลอดทั้งเช้า เขาก็ตัดสินใจที่จะบอกกับเธอ และเขาก็รู้ดีว่า พี่สาวของเขาจะต้องตกใจและเสียใจมาก


 


“ออกไปจากที่นี่กันเถอะ” พี่สาวของเขาใช้มือข้างหนึ่งปิดปากและเดินออกไปจากห้อง “รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเขาเป็น? ทำไมถึงไม่บอกฉันให้เร็วกว่านี้?”


 


“ครั้งก่อนที่ฉันโทรหาพี่ พี่ก็อยู่เฝ้าลูกที่โรงพยาบาลพอดี ฉันก็เลยไม่อยากบอก แล้วหลังจากนั้นสองสามวัน ฉันก็พาพ่อเข้าไปตรวจที่โรงพยาบาลในเมือง” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“นายพาพ่อไปตรวจที่ไหน?” พี่สาวของเขาถาม


 


“ที่โรงพยาบาลประจำเขตเหลียนชาน” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“พาพ่อไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองหลวงกันเถอะ เราพาพ่อไปกันวันนี้เลย” พี่สาวของเขาพูด


 


“พี่ ฟังฉันก่อน!” หวังเจ๋อเชิงหยุดพี่ของเขา ที่คิดจะเดินกลับเข้าไปในบ้านเอาไว้


 


“ถ้าเราพาพ่อไปที่นั่น เขาก็จะรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็ง หมอที่โรงพยาบาลบอกมาว่า ถ้าเขาไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร เขาก็อาจจะอยู่ได้อีกเป็นปีหรือนานกว่านั้นได้ แต่ถ้าเขารู้ขึ้นมา เขาก็อาจจะหยุดกิน หยุดนอน และเอาแต่กังวลเรื่องอาการป่วยอยู่ตลอดเวลา แล้วมันก็จะทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานด้วย” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


ทั้งหมอในตัวจังหวัดและหวังเย้าต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันในเรื่องนี้


559 ราชายา


 


“แล้วนายคิดว่า เราควรจะทำยังไงกันดีล่ะ?” พี่สาวของหวังเจ๋อเชิงถาม


 


“รออีกสักสองสามวัน แล้วฉันจะลองหาข้ออ้างพาพ่อไปตรวจที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดดู แต่เราห้ามให้พ่อรู้เด็ดขาดนะ ว่าเขาป่วยเป็นมะเร็งน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“อืม ที่พ่อต้องป่วยแบบนี้ก็เพราะนายนั่นแหละ” พี่สาวของเขาโมโหขึ้นมา


 


“ใช่ พี่พูดถูกแล้ว! โทษฉันเถอะ” หวังเจ๋อเชิงพูด เขาไม่คิดเถียงพี่สาวของเขา เขารู้ว่า เขาอาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้พ่อของเขาป่วย เขาเคยเป็นคนเหลวแหลกมาก่อน และตอนนี้ เขาก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาได้เคยทำลงไปอย่างมาก


 


พี่สาวของเขาถอนหายใจออกมาและเช็ดน้ำตา ไม่นาน พวกเขาก็กลับเข้าไปในบ้าน พ่อของพวกเขาป่วยไปแล้ว ดังนั้น การจะกล่าวโทษหรือทุบตีหวังเจ๋อเชิงไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีอะไรสามารถเปลี่ยนเรื่องที่พ่อของพวกเขาป่วยได้ ในตอนนี้ พวกเขาเพียงแค่ต้องทำให้พ่อมีความสุขในทุกๆวันก็พอแล้ว


 


“ไปคุยอะไรกันมาเหรอ?” พี่เขยของหวังเจ๋อเชิงถาม “ทำไมดูลึกลับกันจัง”


 


“ไม่มีอะไร” พี่สาวของหวังเจ๋อเชิงพูดด้วยท่าทีหงุดหงิด


 


หวังยี่หลงมีความสุขมาก จนถึงขนาดดื่มเหล้าเข้าไปแก้วหนึ่ง


 


“พ่อไม่ควรดื่มเหล้านะ” ลูกสาวของเขาพูด


 


“ไม่เป็นไรหรอก แค่แก้วเดียวเอง” หลังจากที่เริ่มป่วย หวังยี่หลงก็หยุดดื่มไป แล้วเขาก็ไม่มีอารมณ์อยากดื่ม เหมือนกับตอนที่หวังเจ๋อเชิงเคยทำตัวไม่ดีกับเขาด้วย ตอนนี้ เขามีความสุขมาก เขาจึงยกเว้นให้ตัวเองครั้งหนึ่ง


 


“แก้วเดียวคงไม่เป็นอะไรหรอก” หวังเจ๋อเชิงไม่ได้ห้ามพ่อของเขา


 


เขาเคยปรึกษาเรื่องนี้กับหวังเย้าดูแล้ว


 


“เขาสามารถกินดื่มอะไรก็ได้ที่เขาอยากกิน ขอแค่เขามีความสุขก็พอครับ” หวังเย้าพูด


 


หลายปีมานี้ หวังยี่หลงไม่เคยมีความสุขเลย


 



 


ต้าหลี่ ลูกศิษย์ของราชายานำยาทั้งหมดมาที่บ้านครอบครัวหาน เขาเอาโถสีดำที่ถูกปิดด้วยกระดาษน้ำมันมาสามโถ มันเป็นโถที่คล้ายกับโถที่ใช้ในการดองผักต่างๆ


 


“อาจารย์ครับ ยาทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้วครับ” ลูกศิษย์ของเขาพูด


 


“ดี” ราชายาพูด “เอาผ้าพันแผลออก


 


สมาชิกบ้านหานช่วยกันเอาผ้าพันแผลออกด้วยความระมัดระวัง


 


“เราต้องเอาออกทั้งหมดเลยไหมครับ?” หนึ่งในพวกเขาถาม


 


“ใช่ อาเจี้ยน เธอไปจัดการซะ” ราชายาพูดด้วยท่าทีหงุดหงิด เป็นการบอกนัยๆว่าเขาไม่พอใจกับงานที่คนอื่นทำ


 


“ครับ อาจารย์” อาเจี้ยนพูด


 


อาเจี้ยนจัดการเอาผ้าพันแผลออกอย่างชำนาญ ในขณะที่เขาแกะผ้าพันแผลอยู่นั้น ราชายาก็เปิดฝาโถอันหนึ่งออก แล้วกลิ่นไม่พึงประสงค์ก็ลอยคละคลุ้งออกมา ตัวยาภายในโถมีสีเขียวอ่อนและเหนียวคล้ายกับน้ำผึ้ง


 


ราชายาถือโถเอาไว้ในมือหนึ่ง และใช้อีกมือทายาลงไปบนร่างกายคนไข้ เขาทำท่าทางราวกับจิตรกร หากมองดูใกล้ๆ ก็จะพบว่า ราชายาทำงานของเขาได้อย่างชำนาญมาก ตัวยาซึมเข้าไปในผิวหนังของคนไข้อย่างรวดเร็ว ไม่มีหยดลงไปที่พื้นแม้แต่หยดเดียว


 


“พลิกตัวเขา” ราชายาพูด


 


ลูกศิษย์ของเขาเข้าไปพลิกตัวคนไข้ให้นอนตะแคงข้างอย่างรวดเร็ว


 


ราชายาถือโถเอาไว้ในมือข้างหนึ่งและใช้มืออีกข้างทายาลงไปบนตัวของคนไข้เหมือนก่อนหน้านี้ เขาใส่ยาจนทั่วร่างกายของคนไข้ จากนั้น เขาก็ปิดฝาโถ


 


เขาเปิดฝาโถใบที่สอง มันดูเหนียวกว่า คล้ายกับขี้ผึ้งและมีสีเขียวเข้ม ราชายาทายาลงไปจนทั่วตัวคนไข้เหมือนกับครั้งแรก ตัวยาสีเขียวเข้มค่อยๆกลืนเข้ากับตัวยาสีเขียวอ่อนที่ลงไปก่อนหน้านี้ มันเหมือนกับว่า ราชายาได้วางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว และครั้งนี้ เขาก็ทำช้าลงกว่าเดิม


 


ไม่มีใครในห้องนี้ ที่เคยเห็นหรือได้ยินวิธีการรักษาคนไข้แบบนี้มาก่อน พวกเขาต่างจับจ้องไปที่ราชายาและกลั้นลมหายใจของตัวเองเอาไว้ ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของสมุนไพร


 


ระยะเวลาในการทายาบนร่างกายของคนไข้ด้วยยาตัวที่สองนั้น ช้ากว่ายาตัวแรกถึงสองเท่า เมื่อราชายาทายาเสร็จ ทั่วทั้งตัวคนไข้ก็กลายเป็นสีเขียวเข้ม


 


ราชายาเปิดฝาโถยาใบที่สาม ภายในบรรจุผงสมุนไพรสีเหลืองเข้มเอาไว้ และเป็นอีกครั้ง ที่เขานำยาทาจนทั่วตัวคนไข้ ตัวยาผงนั้นมีน้ำหนักเบา แต่มันก็ไม่มีการหล่นกระจายในระหว่างการรักษาเลยสักนิด


 


“พันตัวเขา” ราชายาพูด


 


“ครับ!” พี่น้องหานกำลังจะเข้าไปพันแผล


 


“ไม่ใช่พวกเธอ ฉันบอกให้อาเจี้ยนเป็นคนทำ” ราชายาพูด


 


“ครับ อาจารย์” อาเจี้ยนเข้าไปพันแผลให้กับคนไข้ได้อย่างคล่องแคล่ว


 


หลังจากที่ทำการรักษาเสร็จแล้ว ราชายาก็ล้างมือและแขนของเขาซ้ำๆอยู่หลายครั้ง จากนั้น เขาก็จากไปพร้อมกับลูกศิษย์ของเขา


 


หานชิ่งไม่กล้าแม้แต่จะถามคำถามสักคำ และจัดการให้รถไปส่งพวกเขา


 


“พาเขามาหาฉันหลังจากนี้อีกเจ็ดวัน” ราชายาพูดเอาไว้ก่อนที่เขาจะไป เขายังเอายาทั้งสามตัวของหวังเย้ากลับไปด้วย


 


“ได้ครับ” หานชิ่งพูด


 


ราชายาและลูกศิษย์นั่งอยู่ภายในรถโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันเลย ราชายาหลับตาเพื่อพักผ่อน ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่


 


เมื่อพวกเขาเดินทางกลับไปถึงที่หมู่บ้าน ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว


 


“นี่คือค่ารักษาครับ!” ในเมื่อพี่น้องหานไม่รู้ว่า ราชายาจะคิดเงินค่ารักษาเท่าไหร่ พวกจึงเตรียมเงินสดเอาไว้ 1 ล้านหยวนและใส่มันเอาไว้ในกระเป๋าใบหนึ่ง


 


“เธอไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินให้ฉัน” ราชายาไม่แม้แต่จะเหลือบมองกระเป๋าใบนั้น แล้วลูกศิษย์ของเขาก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา


 


“เอ่อ!” พี่น้องหานอยู่ในอาการตกตะลึง พวกเขาไม่รู้ว่า เงิน 10 ล้านหยวนนั้นมากพอหรือไม่


 


“อาจารย์บอกว่า พวกคุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินให้เขา พวกคุณกลับไปกันได้แล้ว” อาเจี้ยนพูด


 


พี่น้องหานจึงจากไปด้วยท่าทีสับสน


 


“อาจารย์ อาหารพร้อมแล้วครับ” หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงตึกไม้ไผ่ อาเจี้ยนก็จัดการทำอาหารเย็นเสร็จอย่างรวดเร็ว


 


“มากินกับฉันสิ” ราชายาพูด เขามักจะปฏิบัติตัวดีกับลูกศิษย์ของเขาเสมอ


 


หลังจากจบมื้ออาหาร เขาก็นำยาทั้งสามของหวังเย้าที่ได้มาจากพี่น้องหานออกมา และทำการศึกษายาแต่ละตัว


 


“อาเจี้ยน มาดูยาทั้งสามตัวนี่สิ” ราชายาชี้ไปที่ยาในขวดกระเบื้องทั้งสาม


 


“ครับ” อาเจี้ยนพูด เขาทำการศึกษายาทั้งสามตัวด้วยท่าทีที่ไม่ต่างจากอาจารย์ของเขาเลย


 


“หืมมม ยาตัวแรกมีหลินจือผสมอยู่ด้วย แต่ผมไม่แน่ใจว่าสมุนไพรตัวอื่นคืออะไร ส่วนยาตัวที่สอง มีสมุนไพรอยู่หลายตัว เช่น ชื่อฉือจือ, ผงกำมะถัน,…” อาเจี้ยนทดสอบตัวยาทั้งสาม และบอกส่วมผสมหลักกับอาจารย์ของเขา “ยาตัวนี้มีสมุนไพรอยู่หลายชนิดที่มีสรรพคุณในการฟื้นฟูภูมิคุ้มกันของร่างกาย ดังนั้น มันน่าจะช่วยฟื้นฟูร่างกายได้เป็นอย่างดี ยาตัวนี้น่าจะมีไว้เพื่อสร้างกล้ามเนื้อและผิวหนังขึ้นมาใหม่ ส่วนตัวสุดท้าย ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับ”


 


พี่น้องหานได้บอกถึงสรรพคุณของยาทั้งสามตัวกับพวกเขาไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ขวดกระเบื้องทั้งสามใบดูไม่ต่างกันเลยสักนิด อาเจี้ยนจึงไม่รู้ว่า ในขวดแต่ละใบมียาอะไรถูกบรรจุเอาไว้ และเขาก็รู้ด้วยว่า อาจารย์ของเขาต้องการให้เขาตอบออกไปตามจริง


 


“พี่น้องหานบอกว่า ขวดยาใบสุดท้ายมีหน้าที่ในการขับพิษ” ราชายาพูด “มีสมุนไพรในนั้นตัวหนึ่ง ที่ฉันบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร”


 


อาเจี้ยนไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


“ใครก็ตามที่ทำยาทั้งสามตัวนี้ออกมาได้ จะต้องเป็นหมอที่เก่งมาก” ราชายาพูด


 


อาเจี้ยนรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ปกติอาจารย์ของเขาจะไม่ค่อยเอ่ยชมใครเลย


 


“ทำไมพิษชนิดนี้ถึงได้โผล่มาอีกแล้ว?” ราชายาถาม


 


เขาเคยเจอพิษชนิดนี้มามากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว


 


ในขณะเดียวกัน หานชิ่งและหานจื้อหยูต่างก็กำลังมองดูน้องชายของพวกเขาที่นอนอยู่บนเตียง การหายใจของเขาสม่ำเสมอดี พวกเขาจึงเชื่อว่า เมื่อได้รับการรักษาจากราชายาแล้ว น้องชายของพวกเขาก็จะไม่เป็นอะไร


 


หลังจากนั้นสักพัก หานจื้อเกาก็กลับมา


 


“ราชายาไม่ยอมรับเงินของพวกเราแม้แต่หยวนเดียว” หานจื้อเกาพูด


 


“อะไรนะ?ไ หานชิ่งและหานจื้อเกาต่างก็ตกใจ


 


“หรือเขาจะคิดว่า เงิน 1 ล้านหยวนมันน้อยไป?” หานชิ่งถาม


 


“ฉันไม่คิดแบบนั้นนะ” หานจื้อเกาพูด


 


“ช่างมันเถอะ อีกเจ็ดวัน เราต้องพาน้องเล็กไปหาเขาอีกรอบ ฉันกลัวว่า การเดินทางจะเป็นการทรมานเขารึเปล่าน่ะสิ” หานชิ่งกังวลเรื่องนี้มากที่สุด พยายามหารถที่นั่งสบายที่สุด เรามีทางเลือกไม่มาก ยังไงก็ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ราชายายอมมารักษาเขาที่นี่”


 


“ได้” หานจื้อเกาพูด


 



 


ปักกิ่ง หวังเย้าโทรหาหวูถงชิ่งในตอนเช้า เพื่อแจ้งว่าเขามาถึงแล้ว และจะเดินทางไปหาพ่อของเขาในวันนี้


 


บ้านตระกูลหวูตั้งอยู่ในสถานที่ที่เข้าถึงค่อนข้างยาก ดังนั้น หวังเย้าจึงต้องมีคนมาพาเขาเข้าไป


 


“อรุณสวัสดิ์ครับ หมอหวัง” ผู้ที่มารับหวังเย้าก็คือเลขาของหวูถงชิ่ง ซึ่งเคยเดินทางไปที่เหลียนชานพร้อมกับถงชิ่งในครั้งก่อน


 


“อรุณสวัสดิ์ครับ” หวังเย้าพูด


 


ไม่นานหวังเย้าก็เดินทางมาถึงบ้านตระกูลหวู และพบกับชายชรา


 


“สวัสดีครับ หมอหวัง” หวูถงหรงเดินทางกลับมาที่บ้าน เมื่อได้ยินจากน้องชายของเขาว่า หวังเย้าจะมาเยี่ยมวันนี้


 


“สวัสดีครับ” หวังเย้าพูด


 


ชายชราทักทายหวังเย้าด้วยเช่นกัน เขาสามารถฟื้นคืนกำลังกลับมาได้ส่วนหนึ่ง


 


หวังเย้าตรวจดูร่างกายของชายชรา อวัยวะภายในของชายชราได้รับความเสียหายในส่วนลึก ถึงแม้ว่ายาที่หวังเย้าใช้รักษาจะมีสมุนไพรรากผสมอยู่ แต่เขาก็คงป่วยหนักอยู่ดี


560 ฝันมากเกินไป


 


“นี่ยาครับ” หวังเย้าพูด “วิธีการกินก็เหมือนเดิม แล้วสูตรยาที่ผมให้ไว้คราวที่แล้วยังอยู่ไหมครับ?”


 


“ยังมีอยู่ ผมเอาให้พ่อกินมาตลอดตั้งแต่ที่ได้มา” หวูถงหรงพูด


 


หวังเย้าได้ให้สูตรยาสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายไป เพื่อให้พ่อของหวูถงชิ่งได้กิน


 


“เอายาให้เขาก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด


 


หลังจากที่ชายชรากินยาเข้าไปแล้ว หวังเย้าก็รักษาเขาด้วยการฝังเข็ม เขาค่อยๆแทงเข็มลงไปตามร่างกายของชายชรา โดยเน้นไปที่ส่วนหัวใจและปอดของชายชราเป็นหลัก แพทย์ประจำตระกูลคอยเฝ้ามองการรักษาโดยไม่คลาดสายตา ในฐานะของแพทย์ประจำตระกูลที่มีสถานะสูงในสังคม เขาจึงมีความสามารถอยู่พอตัว เขามีความรู้ทั้งแพทย์แผนตะวันตกและแพทย์แผนจีน


 


การฝังเข็มเป็นการเข้าไปกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและพลังฉี ทั้งยังช่วยให้การดูดซึมยาดีขึ้นด้วย มันยังสามารถกระตุ้นการทำงานส่วนต่างๆของร่างกายได้ด้าย แต่ร่างกายของชายชราเป็นเหมือนกับฟืนที่กำลังเผาไหม้ และเหลือเชื้อเพลิงเพียงน้อยนิด


 


“อาการของเขาดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ที่ผมเจอนิดหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


คำพูดของเขาดูเหมือนไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด


 


หวังเย้าจับดูชีพจรของชายชราอีกครั้ง หลังจาที่ผ่านไปได้ 30 นาที


 


“ตอนนี้ อาการของเขาคงที่ดี ต้องให้เขากินยาตามปริมาณที่บอกไว้ทุกครั้งด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


หวังเย้าออกมาจากบ้านตระกูลหวู ส่วนเฉินหยิงก็อยู่เขาที่ด้านนอก จากนั้น เธอก็ขับรถพาหวังเย้าตรงไปยังอพาร์ทเมนต์ของน้าหวังเย้า


 


“สวัสดีครับ น้า” หวังเย้าพูดหลังจากที่เขาไปถึงที่อพาร์ทเมนต์


 


“สวัสดีจ๊ะ เสี่ยวเย้า มาปักกิ่งทำไมไม่บอกน้าก่อนล่ะ?” จางซิวฟางมีความสุขมากที่ได้เห็นหน้าหลานชายของเธอ


 


เธอดึงดันจะให้หวังเย้าอยู่ทานอาหารกลางวันด้วยกัน


 


“ขอโทษด้วยจริงๆครับน้า ผมนัดเพื่อนไปกินข้าวเที่ยงไว้แล้ว” หวังเย้าพูด


 


“ก็ได้จ๊ะ” จางซิวฟางพูด “แล้วข้าวเย็นล่ะ?”


 


“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ” หวังเย้าพูด “แล้วลูกพี่ลูกน้องของผมจะสอบเข้ามหาลัยปีนี้ใช่ไหมครับ? เธอเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว?”


 


“ก็เหมือนเดิมแหละจ๊ะ เธอไม่ค่อยชอบเรียนเท่าไหร่” จางซิวฟางพูด


 


สามีของจางซิวเฟิงต้องย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่ง ก็เพราะเขาต้องเข้ารับราชการทหารที่นี่ หลังจากที่ปลดเกษียณแล้ว เขาก็ได้งานทำที่ปักกิ่งต่อ เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อพาภรรยาและลูกสาวของเขาเข้ามาอยู่ในปักกิ่งด้วยกัน เขาเลือกซื้ออพาร์ทเมนต์ในทำเลที่ดี เพื่อที่ลูกสาวของเขาจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนดีดี แต่ดูเหมือนว่า ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของหวังเย้าจะไม่ได้สนใจเรื่องเรียนเท่าไหร่นัก และผลการเรียนของเธอก็มักจะออกมาไม่ดีเสมอ ถ้าเธอสามารถสอบเข้ามหาลัยชั้นนำได้ ก็แสดงว่าเธอต้องโชคดีอย่างมาก


 


“ถ้าลูกสาวน้าเก่งได้สักครึ่งของเสี่ยวเย้า น้าก็คงจะมีความสุขมาก” จางซิวฟางพูด


 


ด้วยผลการเรียนที่ดีในชั้นมัธยมของหวังเย้า ถ้าหากเขาได้มาเรียนที่ปักกิ่ง เขาก็คงจะได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยชิงหัวหรือไม่ก็มหาวิทยาลัยปักกิ่ง


 


“อย่าคิดมากเลยครับ” หวังเย้าพยายามปลอบใจน้าของเขา


 


“เฮ้อ!” จางซิวฟางถอนหายใจออกมา


 


หวังเย้าไม่ได้อยู่ที่อพาร์ทเมนต์น้าของเขานานนัก เขายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ และมีแผนจะไปหาเฉินโจวบ่ายนี้


 


ลูกพี่ลูกน้องของเขากำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้ เฉินหยิงจำข้อมูลนี้เอาไว้


 


“เราไปกินข้าวกันดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม “ผมเลี้ยงเอง”


 


“ค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


ปักกิ่งเป็นเมืองที่มีจำนวนประชากรมหาศาล มีตึกสูงอยู่เต็มไปหมด และมีร้านอาหารทุกประเภทเท่าที่จะหาได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารตะวันตกหรืออาหารจีนทั้งโบราณและสมัยใหม่ ก็สามารถหาเจอได้ในละแวกเดียวกัน


 


เฉินหยิงนั้นรู้ความชอบของหวังเย้าอยู่แล้ว เธอจึงพาเขาไปที่ร้านอาหารจีนต้นตำรับ ซึ่งเชี่ยวชาญการทำอาหารสไตล์อานฮุย


(มณฑลอานฮุย ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน)


 


หวังเย้ายังไม่เคยได้ลองกินอาหารอานฮุยมาก่อน


 


พวกเขาสั่งไก่อบ, ไผ่ภูเขา, ไก่ผัด, อกเป็ด, และผัดเห็ดใส่เกาลัด


 


ร้านอาหารได้จ้างพ่อครัวฝีมือดีเอาไว้ อาหารแต่ละจานจึงรสชาติดีมาก


 


“ผมคิดว่า ที่ที่มีร้านอาหารที่ดีที่สุดในจีนก็คือปักกิ่งนี้แหละครับ” หวังเย้าพูด


 


“เซียนเชิงชอบอาหารที่นี่ไหมคะ?” เฉินหยิงถามด้วยรอยยิ้ม “ที่นี่ มีร้านอาหารแบบนี้อยู่อีกหลายร้านเลยล่ะค่ะ”


 


หวังเย้ายิ้มตอบกลับไป เขาไม่มีปัญหา ถ้าหากมากินในร้านอาหารแบบนี้เป็นครั้งคราว แต่เขาก็ไม่ได้ชอบที่จะต้องออกมากินแบบนี้บ่อยๆ


 


หลังทานอาหารเสร็จแล้ว พวกเขาก็เดินทางไปที่โรงพยาบาลที่เฉินโจวรักษาตัวอยู่


 


เฉินโจวยังมีสติดีอยู่ และเขาก็เป็นแบบนี้มาได้สักพักแล้ว หากดูตามแนวทางการรักษาของทางโรงพยาบาล เขาก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่เฉินโจวกลับอยากอยู่ต่ออีกสักพัก เผื่อว่าเขาอาจจะอาการกำเริบขึ้นมาอีก เขาไม่ต้องการกลายเป็นภาระของพี่สาว


 


“สวัสดีฮะ พี่” เฉินโจวพูด


 


“ว่าไง เสี่ยวโจว” เฉินหยิงพูด


 


“สวัสดีครับ หมอหวัง” ทั้งเฉินโจวและเฉินหยิง ต่างก็เรียกหวังเย้าแบบนี้เพื่อเป็นการแสดงความนับถือที่มีต่อเขา


 


“สวัสดี ช่วงนี้เธอเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม


 


“ผมสบายดีครับ” เฉินโจวพูด


 


“ดี” หวังเย้าพูด “เธอรู้สึกปวดหัวหรือมีอาการอะไรบ้างไหม? แล้วเห็นภาพหลอนบ้างรึเปล่า?”


 


“ไม่ครับ” เฉินโจวส่ายหน้า เขากลับมาที่โรงพยาบาลหลังจากที่ผ่านช่วงตรุษจีนไปแล้ว ตั้งแต่นั้นมา เขาก็สุขภาพแข็งแรงไม่มีปัญหาอะไรเลย


 


“แล้วเวลากลางคืนล่ะ? เธอฝันบ้างไหม?” หวังเย้าถาม


 


“ครับ ช่วงนี้ ผมฝันอยู่บ่อยๆ” เฉินโจวพูด


 


“เป็นฝันแบบไหนเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“อืม ความฝันของผมมันสับสนวุ่นวายมากเลย บางครั้งก็ฝันเห็น ตอนที่ผมยังเป็นเด็กและเล่นอยู่กับพี่ บางครั้งผมก็ฝันว่า ผมเป็นนักดาบอยู่ในโลกของจอมยุทธ์” เฉินโจวพูด


 


หวังเย้าเงียบไปครู่หนึ่ง เขายังไม่สามารถบอกได้ว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เฉินโจวมีอาการแบบนี้ได้


 


“ฉันเอายามาให้เธอด้วย” หวังเย้าถามเฉินหยิง “พี่พาเขาออกจากโรงพยาบาลได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ฉันจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


เธอจัดการเรื่องเอกสารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะพาน้องชายของเธอกลับไปที่กระท่อม


 


หวังเย้าเอายาให้เฉินโจวกินเข้าไป เขาคอยสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงในทุกๆรายละเอียด โดยเน้นไปที่เส้นเลือดในบริเวณศีรษะของเฉินโจว เขาต้องการดูว่า เส้นเลือดจะมีการเคลื่อนตัวเหมือนกับครั้งก่อนหรือไม่


 


อย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆ หวังเย้าคิด


 


ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เฉินโจวยังคงมีสติดีทุกอย่าง


 


“เธอปกติดี” หวังเย้าพูด


 


เขาค่อนข้างมั่นใจว่า หลังจากที่เฉินโจวกินยาเข้าไปแล้ว อาการของเขาก็จะไม่กำเริบเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน


 


“เดือนหนึ่ง?” เฉินหยิงรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ยินเรื่องนี้


 


“ครับ ยาน่าจะช่วยให้เขามีสติได้ประมาณเดือนหนึ่ง ผ่านไปอีก 20 วัน ให้พี่พาเขามาหาผมที่คลินิก แล้วผมจะเอายาให้เขานะครับ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องพาเขากลับไปอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วด้วย” หวังเย้าพูด


 


“เยี่ยม! ขอบคุณนะคะ” เฉินหยิงพูดอย่างมีความสุข “อีกเรื่องหนึ่ง ฉันบอกกับคุณซงไปว่าคุณมาที่นี่นะคะ”


 


“ไม่เป็นไรครับ ไว้ผมค่อยแวะไปหาเธอ” หวังเย้าพูด


 


ซูเสี่ยวซวีมีความสุขมากที่ได้เจอหวังเย้า และมอบรอยยิ้มกว้างให้กับเขา


 


“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” เธอพูด


 


“สวัสดี เสี่ยวซวี” หวังเย้าพูด เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความเยาว์วัยออกมาจากตัวของซูเสี่ยวซวี พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็บอกไม่ถูก มันเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้เขาและซูเสี่ยวซวีเข้าใกล้กันมากขึ้น


 


“คุณมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“เมื่อวานน่ะ” หวังเย้าตอบ


 


“แล้วคุณจะอยู่อีกกี่วันคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“อีกสี่วัน” หวังเย้าพูด


 


ซงรุ่ยปิงไม่ได้เข้าไปแทรกบทสนทนาระหว่างพวกเขา เธอเพียงแค่นั่งมองลูกสาวของเธอและหมอหวังด้วยรอยยิ้ม


 


“เซียนเชิงคะ ช่วงหลังมานี้ ฉันรู้สึกได้ว่ากำลังภายในของฉันเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ฉันรู้สึกถึงมันได้” หวังเย้าพูด เขาคิดว่า สิ่งนี้น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดกับซูเสี่ยวซวีมากขึ้น


 


เดิมที พลังฉีภายในร่างกายของซูเสี่ยวซวีก็เป็นหวังเย้าที่ส่งเข้าไปให้ และมันก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ได้ตั้งใจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)