Elixir Supplier 545-556

 545 ยาที่ล้ำค่าพอๆกับหยก


 


หวังเย้าหยิบสมุดที่เขาใช้บันทึกเคสการรักษาในคลินิกของเขาขึ้นมา


 


เขามีเคสรักษามะเร็งอีกเคสหนึ่งแล้ว เขาได้เจอกับคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งแค่ไม่กี่คนเท่านั้น


 


เขาได้รักษาคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งไปเมื่อไม่นานมานี้ การรักษาในครั้งนั้นได้ผลค่อนข้างดี และมันสามารถยืดเวลาชีวิตของคนไข้ออกไปอีก ถ้าหากไม่เพราะอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง เขาก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นานกว่านี้ คนไข้อีกรายก็คือพ่อของหวูถงชิ่ง ที่ตอนนี้อาการเริ่มดีขึ้นแล้ว และในเวลานี้ เขาก็มีคนไข้โรคมะเร็งรายที่สามรออยู่


 


หลังจากคิดทบทวนดีแล้ว หวังเย้าก็จดบันทึกอาการของชายชรา และแผนการรักษาในแต่ละขั้น เขายังต้องปรับเปลี่ยนแผนให้เหมาะสม ก่อนที่จะนำเอาไปใช้จริง


 


การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งมีพื้นฐานเดียวกัน เขาจำเป็นต้องบำรุงร่างกายของผู้ป่วยให้แข็งแรงขึ้นและเสริมระบบภูมิคุ้มกันเพื่อให้สามารถต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ เขายังต้องจัดการกับเนื้อร้ายและบรรเทาความเจ็บปวดลงด้วย สิ่งที่ต้องจัดการเหล่านี้ก็คือสาเหตุหลักของโรคร้าย


 


ตัวยาประกอบไปด้วย โสม, หลินจือ, และการเฉา มีหน้าที่ให้การเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และปาเจี่ยวถงครึ่งใบ สามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้ ยาหนึ่งตัวทำหน้าที่ได้ถึงสองอย่าง


 


ส่วนเรื่องราคานั้น หวังเย้ายังไม่ได้คิด เพราะยังไงชายชราก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ลูกชายของชายชราก็นิสัยเปลี่ยนไปแล้ว และดูแลพ่อของเขาเป็นอย่างดี


 


หวังเย้าวางแผนต้มยาในวันพรุ่งนี้ เขาแขวนป้ายเอาไว้ที่หน้าประตูเพื่อแจ้งว่าเขาไม่อยู่


 


หลังกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานในคืนนั้น เขาก็เตรียมสมุนไพรเอาไว้พร้อม เพื่อที่จะนำไปทำยาในวันถัดไป เขาตั้งใจที่จะทำยาขึ้นมาสองตัว หนึ่งคือซุปเป่ยหยวน อีกหนึ่งคือขี้ผึ้งต้วนชื่อ ซึ่งมีสรรพคุณในการซ่อมแซมส่วนเสียหายในร่างกาย


 


พระอาทิตย์ลอยขึ้นสูงเหมือนเช่นทุกวัน กลิ่นเฉพาะของสมุนไพรลอยออกมาจากกระท่อม


 


มันเป็นเรื่องค่อนข้างง่ายกับการทำซุปเป่ยหยวน เพราะเขาทำมันมาหลายครั้งแล้ว


 



 


ปักกิ่ง ซงรุ่ยปิงมาแขกมาพบที่บ้าน


 


“รุ่ยปิง เธอก็เห็นว่าเจิ้งเหอถึงเวลาเหมาะสมที่จะแต่งงานมีครอบครัวได้แล้ว ตอนนี้เสี่ยวซวีก็อายุได้ 25 ปี ฉันคิดว่าพวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากเลยนะ” หลี่ถงซิ่วพูด


 


“ถงซิ่ว ฉันคิดว่า เราควรถามเจิ้งเหอกับเสี่ยวซวีก่อนดีกว่านะ ว่าพวกเขาอยากจะแต่งงานกันรึเปล่า เธอก็รู้ว่าเสี่ยวซวีเพิ่งจะหายดี เราจำเป็นต้องเคารพการตัดสินใจของเธอด้วย” ซงรุ่ยปิงไม่ได้ปฏิเสธหลี่ถงซิ่วอย่าสิ้นเชิง


 


“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ลองถามเสี่ยวซวีดูก่อนแล้วกัน” หลี่ถงซิ่วพูด


 


ถึงแม้ว่าการแต่งงานที่ถูกจัดการโดยพ่อแม่จะเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว แต่ในบางครอบครัว พ่อแม่ก็ยังเป็นผู้ที่ตัดสินใจเรื่องการแต่งงานลูกๆอยู่ดี


 


“เราควรเคารพการตัดสินใจของเด็กๆด้วย” หลี่ถงซิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม


 


เธอเดินออกมาจากบ้านตระกูลซูด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มยังคงอยู่จนกระทั่งเธอขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วมันก็จางหายไปในทันที


 


เธอไม่พอใจ ซงรุ่ยปิงที่ยืนส่งหลี่ถงซิ่วรู้ได้ว่า เธอทำให้หลี่ถงซิ่วไม่พอใจ จากการที่เธอปฏิเสธเรื่องการแต่งงาน


 


กั๋วเจิ้งเหอกำลังแกะเปลือกส้มอยู่ภายในบ้านของเขา เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เขาก็รีบลุกขึ้นยืนในทันที


 


“พวกเขาว่ายังไงบ้างครับแม่?” กั๋วเจิ้งเหอถามด้วยความกังวล


 


“พวกเขาพูดข้ออ้างเหมือนครั้งก่อน” หลี่ถงซิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“เข้าใจแล้วครับ กินส้มสักหน่อยนะครับ” กั๋วเจิ้งเหอยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนหน้า ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่


 


“ลูกเป็นเด็กที่อารมณ์ดีจริงๆนะ” หลี่ถงซิ่วพูดพร้อมมองหน้าลูกชายของเธอ


 


ผู้ชายส่วนใหญ่ที่อยู่ในวัยเดียวกับกั๋วเจิ้งเหอ อาจจะมีท่าทีเสียใจหรือผิดหวังกับเรื่องที่ได้ยิน แต่กั๋วเจิ้งเหอกลับยังมีท่าทีสงบและอารมณ์ดีเหมือนทุกที หลี่ถงซิ่วรู้สึกภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้มาก ในฐานะของเจ้าหน้าที่รัฐ เขาไม่ควรแสดงอารมณ์ออกมาบนสีหน้า


 


“ข้ออ้างเก่า…จะหาข้ออ้างที่มันสร้างสรรค์กว่านี้สักหน่อยไม่ได้เหรอ?” กั๋วเจิ้งเหอกัดส้มเข้าไปหนึ่งคำ พร้อมกับน้ำหวานที่แตกกระจายในปาก


 


“เจิ้งเหอ ลูกมีคู่แข่งอยู่หลายคน แม่ได้ยินมาว่า ลุงเหอกับลุงเฉิงก็อยากจะได้เสี่ยวซวีไปเป็นลูกสะใภ้ของพวกเขาเหมือนกัน แล้วทั้งสองคนก็ไปคุยกับพ่อแม่ของเสี่ยวซวีเอาไว้แล้ว วันนี้แม่ก็เห็นเสี่ยวซวีด้วย เธอสวยอย่างกับนางฟ้าในภาพวาดเลยล่ะ” หลี่ถงซิ่วพูด


 


เธอเคยเห็นหญิงสาวหน้าตาดีมากมาย และซูเสี่ยวซวีก็คือหนึ่งในคนที่สวยที่สุด


 


“ลูกชายของแม่มีสายตาที่เฉียบแหลมเสมอครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด


 


“วันก่อน แม่ไปเจออาจารย์หยวนมาด้วย เขาอ่านโหงวเฮ้งของเสี่ยวซวี แล้วบอกว่า เธอเป็นเหมือนกับต้นไม้ที่ตายแล้วและฟื้นกลับคืนมากลายเป็นผีเสื้อที่หลุดออกมาจากรังไหม เธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีมาก และโหงวเฮ้งบนหน้าของเธอก็แสดงถึงความโชคดี” หลี่ถงซิ่วพูด


 


“อืมม!” กั๋วเจิ้งเหอพยักหน้า


 


คนจากตระกูลใหญ่มักจะมีความเชื่อในเรื่องของโชคลาภ


 


“ถ้าอยากจะแต่งงานกับเสี่ยวซวี ลูกก็ต้องใช้ความพยายามหน่อย” หลี่ถงซิ่วพูด


 


“พ่อจะกลับมาอาทิตย์หน้าใช่ไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม


 


“ใช่จ๊ะ” หลี่ถงซิ่วพูด


 


“แม่ขอให้พ่อไปคุยกับลุงซูได้ไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอยื่นส้มให้แม่ของเขา


 


“ได้จ๊ะ แม่จะคุยกับพ่อให้” หลี่ถงซิ่วพูด


 


ในขณะเดียวกัน ซงรุ่ยปิงก็กำลังคุยเรื่องเดียวกันนี้อยู่กับซูเสี่ยวซวี


 


“ป้าหลี่มาที่นี่ทำไมเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“เธอมาเรื่องของลูกนั่นแหละจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด


 


“คุณป้าเขาอยากจะให้หนูแต่งงานกับเจิ้งเหอใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ใช่จ๊ะ เธออยากให้ลูกแต่งงานกับลูกชายสุดที่รักของเธอ” ซงรุ่ยปิงพูด


 


ซูเสี่ยวซวีไม่คิดจะเก็บความรู้สึกของเธอเอาไว้ “หนูไม่ชอบเขาค่ะ”


 


“งั้นบอกแม่หน่อยสิจ๊ะ ว่าลูกชอบหวังเย้าใช่ไหม?” นี่เป็นครั้งแรกที่ซงรุ่ยปิงถามลูกสาวของเธอด้วยคำถามนี้


 


“ใช่ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบออกมาโดยไม่ลังเล


 


ฉันคิดถูกจริงๆด้วยสินะ! ซงรุ่ยปิงถอนหายใจ “ทำไมล่ะ? เพราะเขารักษาลูกให้หายได้อย่างนั้นเหรอ?”


 


“นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งค่ะ หนูไม่รู้จะบอกคุณแม่ยังไงดี แต่หนูรู้ว่าหนูชอบเขามาก” ซูเสี่ยวซวีพูด “หนูจำเป็นต้องมีเหตุผลในการชอบคนคนหนึ่งด้วยเหรอคะ?” เธอเป็นเหมือนกับเด็กสาวที่มีความรักเป็นครั้งแรก


 


“เด็กโง่” ซงรุ่ยปิงพูด


 


“มานั่งตรงนี้สิจ๊ะ” เธอดึงตัวลูกสาวมานั่งข้างๆ “ลูกเคยคิดบ้างไหม ว่าถ้าหากเขารักอยู่กับคนอื่นแล้วลูกจะทำยังไง?”


 


“หนูก็จะอวยพรให้เขามีความสุขค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


อยู่ๆซงรุ่ยปิงก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา “ไม่ว่าลูกจะตัดสินใจยังไง แม่ก็จะคอยสนับสนุนลูกอยู่เสมอนะจ๊ะ”


 


เธอกอดซูเสี่ยวซวีเอาไว้ในอ้อมแขน เมื่อออกมาจากห้องของลูกสาวแล้ว เธอก็ไปยังกระท่อมที่เฉินหยิงพักอยู่ในทันที


 


“สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง” เฉินหยิงรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นซงรุ่ยปิงมาที่นี่ นอกจากว่าหวังเย้าจะอยู่ที่นี่ เธอก็แทบจะไม่แวะมาเลย


 


“ฉันมีเรื่องอยากถามเธอหน่อยน่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด


 


“ได้สิคะ” เฉินหยิงพูด


 


“ฉันจำได้ว่า ครั้งก่อนเธอเคยพูดเอาไว้ว่า หมอหวังมีแฟนอยู่คนหนึ่งใช่ไหม?” ซงรุ่ยปิงถาม


 


“ใช่ค่ะ เธอมีชื่อว่า ถงเวย ฉันเคยเจอเธอแล้วครั้งหนึ่ง” เฉินหยิงพูด


 


“เธอเป็นผู้หญิงแบบไหนเหรอ?” ซงรุ่ยปิงถาม


 


“เธอเป็นผู้หญิงที่พิเศษมากค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


“แล้วเธออยู่ที่ไหนเหรอ?” ซงรุ่ยปิงถาม


 


“อยู่ที่เมืองเต๋าค่ะ” จากนั้น เฉินหยิงก็บอกเล่าถึงสถานที่ทำงานของถงเวยกับซงรุ่ยปิง


 


“ฉันเข้าใจแล้ว” ซงรุ่ยปิงถามอีกสองสามคำถามเกี่ยวกับเฉินโจว แล้วเธอก็ออกไปจากกระท่อม


 


ทำไมอยู่ๆเธอถึงมาถามเรื่องของถงเวยล่ะ? เฉินหยิงรู้สึกประหลาดใจกับการมาของซงรุ่ยปิง หรือจะเป็นเพราะเสี่ยวซวี?


 


“อืม ฉันไม่รู้ว่า นี่จะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่” เฉินหยิงพึมพำและถอนหายใจ


 



 


หวังเย้าต้มยาขี้ผึ้งอยู่บนเนินเขาหนานชาน เขาได้เตรียมสมุนไพรเอาไว้พร้อม และใช้คะแนนแลกซื้อเฟยหลายเฟิงมาจากร้านค้าระบบ


 


โสมซานซี, หนิวซี, เสวียเจี๋ย…หวังเย้าใส่สมุนไพรลงไปในหม้อทีละชนิด


 


สีของตัวยาค่อยๆเปลี่ยนจากสีฟ้าอ่อนเป็นสีน้ำเงินเข้ม ยิ่งใส่สมุนไพรลงไปมากเท่าไหร่ ตัวยาก็ยิ่งมีความหนืดมากขึ้นเท่านั้น


 


เดิมที ตัวยานั้นใสสะอาดราวกับน้ำเปล่า แต่แล้วมันก็ค่อยๆมีความหนืดคล้ายกับน้ำผึ้ง ในที่สุด มันก็กลายเป็นเหมือนกับหมากฝรั่งที่เหนียวหนึบ ขี้ผึ้งที่ทำออกมาถูกต้องควรจะมีลักษณะแข็งและเหนียว


 


หวังเย้านั่งอยู่หน้าเตาไฟ เขาคนตัวยาในหม้ออย่างต่อเนื่อง และไม่ได้เติมน้ำเข้าไปเลย เขาเพียงแต่เพิ่มฟืนเข้าไปเป็นครั้งคราวเท่านั้น


 


พระอาทิตย์ลอยขึ้นสู่จุดสูงสุดของวัน


 


ตัวยาของหวังเย้าเริ่มเกาะตัวกันหนาขึ้น หวังเย้าตักตัวยาออกและแยกกากสมุนไพรทิ้งไป


 


เดิมทีนั้น การทำยาขี้ผึ้งมีอยู่หลายขั้นตอน เช่นการผัดสมุนไพร, การเล่นแร่แปรธาตุ, การกลั่น, และการกำจัดพิษ แต่หวังเย้ากลับใช้ประโยชน์จากธรรมชาติของตัวสมุนไพรเองในการทำยาขี้ผึ้งออกมา


 


เขาต้มและตักยาออกหลายๆครั้ง สิ่งที่เหลืออยู่ภายในหม้อก็คือตัวยาสีเขียวเข้ม และทั้งเหนียวทั้งหนืด


 


ใกล้จะได้ที่แล้ว! หวังเย้ายกหม้อออกจากเตา เขานำหม้อไปวางไว้ข้างๆอ่างเก็บน้ำด้านนอกเพื่อให้ตัวยาเย็นลง


 


เมื่อได้ยินเสียงเดินของหวังเย้า ซานเซียนก็ออกมาจากบ้านสุนัขของมัน มันเดินตรงมาที่หม้อและก้มลงมองขี้ผึ้งสีเขียวเข้มที่อยู่ด้านใน


 


“อย่าเข้าใกล้เกินไปสิ ซานเซียน” หวังเย้าลูบหัวของซานเซียนพร้อมกับยิ้มออกมา ซานเซียนนั่งลงข้างๆเขา


 


ขี้ผึ้งที่อยู่ในหม้อเริ่มเย็นลงที่ละน้อย ลักษณะของขี้ผึ้งเปลี่ยนไปเมื่อมันเย็นลง สีของมันใสขึ้น ตัวยาในหม้อค่อยๆแข็งตัวกลายเป็นถ้วยขี้ผึ้งใบหนึ่ง


 


“เรียบร้อย” หวังเย้าพูด


 


เขานำขี้ผึ้งใส่ลงไปในตลับที่ทำขึ้นมาจากกระเบื้อง


546 นายมันบ้า


 


ภายในตลับกระเบื้องบรรจุขี้ผึ้งเหนียวหนืดมีสีคล้ายกับหยกเอาไว้ มันส่งกลิ่นพิเศษของตัวยาออกมา


 


“นี่คือสมบัติล่ะ” หวังเย้าพูดกับซานเซียน


 


“โฮ่ง!โฮ่ง!” เมื่อได้ยินเขาพูด ซานเซียนก็เห่าออกมา


 


“อืม ฉันไม่เอายานี้ให้นายลองหรอกน่า” หวังเย้ายิ้ม


 


ในอดีต เมื่อเขาต้องการทดสอบประสิทธิภาพของตัวยา เขาก็มักจะใช้ซานเซียนเป็นตัวทดลองอยู่เสมอ


 


มีรถสองคันจอดอยู่ที่ด้านนอกคลินิก ป้ายทะเบียนแสดงให้เห็นว่าเป็นรถที่มาจากตัวจังหวัด คนทั้งสามพากันลงมาจากตัวรถ หนึ่งในนั้นมีท่าทีดูน่าเกรงขาม เขาดูเหมือนจะเป็นผู้มีอำนาจคนหนึ่ง


 


“ที่นี่น่ะเหรอ?” ผู้นำของกลุ่มถาม


 


“ครับ ที่นี่แหละ” ชายหนุ่มสวมแว่นตาพูด


 


“อะไรน่ะ?” พวกเขามองดูป้ายที่แขวนเอาไว้หน้าประตูคลินิก


 


“ไม่อยู่เหรอ?” ชายร่างอ้วนในกลุ่มพูดขึ้นมา


 


“เอ่อ ดูเหมือนว่าเราจะมาผิดเวลานะครับ” ชายหนุ่มพูด


 


“ไม่ใช่ว่าเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้หรอกเหรอ?” ผู้เป็นหัวหน้าถาม “ไปถามดูซิว่าบ้านของเขาอยู่ที่ไหน แล้วไปตามหาเขาที่บ้าน”


 


“เขาไม่ชอบให้คนไปรบกวนที่บ้านพ่อแม่ของเขาครับ” ชายหนุ่มพูด


 


“แล้วเราจะทำยังไงล่ะ? รออยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ?” ชายร่างอ้วนถาม


 


“ไปที่บ้านของเขา แค่ไปถามเบอร์โทรของเขาก็น่าจะไม่เป็นไร” ผู้นำของพวกเขาพูด


 


หนึ่งในนั้นจึงเดินเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อถามเรื่องของหวังเย้า แต่บังเอิญว่าพ่อแม่ของหวังเย้าไม่อยู่บ้าน เพราะออกไปเยี่ยมใครบางคนข้างนอกพอดี


 


ทั้งสามจึงรออยู่ภายในรถ


 


“เขาทำธุรกิจแบบนี้ได้ยังไงกัน?” ผู้นำของกลุ่มพูด


 


“นี่เป็นศูนย์การแพทย์ ไม่ใช่เปิดเพื่อทำธุรกิจหรอกครับ” ชายหนุ่มพูด


 


“ศูนย์การแพทย์ก็เป็นธุรกิจอย่างหนึ่งเหมือนกัน และการทำธุรกิจก็ต้องซื่อสัตย์และตรงต่อเวลา จริงไหม?” ชายร่างอ้วนพูด “นายก็รู้ว่าผู้อำนวยการของเรางานยุ่งแค่ไหน แต่เรากลับต้องมารอเขานานเป็นชั่วโมงๆแบบนี้ นี่มัน 1 ชั่วโมงกับ 40 นาทีแล้วนะ”


 


“เหล่าเหอ นายละเอียดอ่อนมากจริงๆ การที่นายคิดเผื่อผู้อำนวยการแบบนี้มันสุดยอดไปเลยนะ” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ก็เหมือนนายนั่นแหละ” เหล่าเหอพูด “ในสายตาของฉัน คลินิกนี้ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้หรอก”


 


ชายหนุ่มเพียงแค่ยิ้มกลับไปเท่านั้น เขาคิดถึงลักษณะนิสัยของหมอ เขาค่อนข้างจะชอบนิสัยของหวังเย้า แต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาต่อหน้าเพื่อนร่วมงานของเขาได้


 


ตอนเที่ยง หวังเย้าเดินลงมาจากเขาและเห็นว่ามีรถจอดอยู่ด้านนอกคลินิกสองคัน เขารู้สึกแปลกใจมาก เดิมทีเขาตั้งใจที่จะเข้าไปคุยกับพวกเขา แต่หลังจากที่ได้รับสายสายหนึ่ง เขาก็เปลี่ยนใจในทันที


 


เขาทำเป็นไม่สนใจรถสองคันนั้นและเดินกลับไปที่บ้าน ระหว่างทางกลับ เขาก็บังเอิญเดินสวนกับชายร่างอ้วนที่กำลังเดินไปที่คลินิกด้วยท่าทีรีบร้อน


 


“นี่ เขายังไม่มาอีกเหรอ?” เหล่าเหอถาม “ตอนที่คนที่บ้านของเขาโทรไป เห็นบอกว่า เขากำลังจะลงมาแล้วนี่นา”


 


“เสี่ยวจี้ เธอเห็นเขาเดินลงมาไหม?” ชายผู้เป็นผู้นำของกลุ่มถาม


 


“ไม่ครับ” ชายหนุ่มสวมแว่นตาตอบ


 


ชายหนุ่มสวมแว่นที่นั่งอยู่ภายในรถไม่ได้พูดอะไรมากนัก ความจริงเขาเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง และเคยเห็นหน้าของหวังเย้าแล้ว แล้วเขาก็เห็นด้วยว่า เมื่อกี้หวังเย้ามองเห็นพวกเขาที่นั่งอยู่ภายใน รถ แต่เขาก็ไม่คิดจะหยุดทัก ชายหนุ่มจำหน้าของหวังเย้าได้ แต่เขาก็ไม่ได้ลงจากรถ เพราะเขาเห็นท่าทีไม่แยแสที่หวังเย้าแสดงออกมา


 


“เสี่ยวจี้ เธอเคยมาที่นี่มาก่อนใช่ไหม?” ผู้นำของกลุ่มถาม


 


“ผมเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งครับ” ชายหนุ่มตอบ


 


“แล้วเธอเคยเห็นหน้าหมอรึเปล่า?” ผู้นำของหลุ่มถาม


 


“ไม่ครับ ผมรออยู่ข้างนอกและไม่ได้เข้าไปข้างใน” ชายหนุ่มตอบ


 


หวังเย้ากลับไปที่บ้านของเขา พ่อแม่ของเขาก็อยู่ที่บ้านด้วยเช่นกัน


 


“อ้าว เมื่อกี้ลูกไม่ได้เดินผ่านหน้าคลินิกมาเหรอจ๊ะ?” แม่ของเรารู้สึกประหลาดใจ


 


“ผ่านครับ แล้วก็เห็นมีคนรออยู่ตรงนั้นด้วย ปล่อยให้พวกเรารอไปอย่างนั้นแหละครับ” หวังเย้าพูด


 


“ทำไมล่ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“พวกเขาไม่ทำตามกฎน่ะสิครับ” หวังเย้าตอบอย่างใจเย็น


 


“ไม่ทำตามกฎเหรอ? พวกเขาแค่มาถามเบอร์ของลูกเองนะ มันอาจจะเป็นเรื่องด้วยก็ได้” จางซิวหยิงเป็นคนที่เห็นใจคนอื่นได้ง่าย


 


“ผมเห็นพวกเขาแล้ว ไม่มีอะไรเร่งด่วนหรอกครับ” หวังเย้าพูด


 


สาเหตุที่เขาทำตัวแบบนี้กับคนเหล่านั้น ก็เพราะเขาได้ยินจากในโทรศัพท์ว่า คนที่มาถามปฏิบัติตัวไม่ดีกับแม่ของเขา พวกเขาทำตัวอวดดี ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจจะให้คนพวกนั้นรอไปก่อน


 


“แม่ ผมยังไม่ได้กินข้าวเลยนะครับ” หวังเย้าเปลี่ยนประเด็น


 


“แม่จะไปอุ่นอาหารให้เดี๋ยวนี้แหละจ๊ะ!” จางซิวหยิงรีบไปเตรียมอาหารให้ลูกชายของเธอทันที ส่วนคนที่กำลังรออยู่ด้านนอกคลินิกนั้น พวกเขาเลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจแทน


 


เมื่ออาหารทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าก็นั่งทานอาหารด้วยท่าทีใจเย็น ที่ด้านนอกคลินิก คนเหล่านั้นไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไป


 


“นี่มันอะไรกัน?” เหล่าเหอมีท่าทีร้อนใจ


 


“นายได้ถามเบอร์โทรของเขากับคนที่บ้านมารึเปล่า?” ชายหนุ่มสวมแว่นถาม


 


“พวกเขาไม่ยอมให้เบอร์ฉันมาน่ะสิ” เหล่าเหอพูด “เจ้าหมอนี่…ในเมื่อเขาปล่อยให้ผู้อำนวยการต้องรอนานขนาดนี้ เขาจะต้องเป็นพวกระดับล่างแน่ๆ!”


 


“ทำไมไปลองไปดูที่บ้านของเขาดูล่ะ” ชายหนุ่มสวมแว่นถาม


 


เมื่อเหล่าเหอไปถึงที่บ้านของหวังเย้า เขาก็พบว่า หวังเย้ากำลังนั่งดื่มน้ำอยู่อย่างสบายใจ เฮ้ย ไอ้หมอนี่มันคือคนที่เดินลงมาจากเขาตอนนั้นนี่ แล้วเขาก็อยู่ที่บ้านแล้วด้วย!


 


“ตอนที่นายกลับมา ทำไมนายไม่ไปที่คลินิกล่ะ? เรามารอนายตั้งนานแล้วนะ!” เหล่าเหอมีท่าทีร้อนใจ ดังนั้น น้ำเสียงของเขาจึงฟังดูกระโชกโฮกฮากอยู่บ้าง


 


“ถ้าคุณรอไม่ได้ คุณก็กลับไปซะ” หวังเย้าพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย


 


“ทำไมถึงได้พูดแบบนี้ ฮ่ะ?” เหล่าเหอเริ่มโมโหขึ้นมา การที่ต้องรออยู่เป็นเวลานาน ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอยู่แล้ว เมื่อเขาเห็นว่าหมอกลับมาอยู่ที่บ้าน และปล่อยให้พวกเขารออยู่อย่างนั้น เขาจึงยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นไปอีก


 


“คุณมีทัศนคติที่แย่มากเลยนะ” หวังเย้าพูด


 


“ทำไมถึงได้ทำตัวอวดดีแบบนี้?” เหล่าเหอถาม “นายมันก็แค่หมอที่อยู่ในหมู่บ้านกลางเขาคนหนึ่งเท่านั้น”


 


“ออกไป” หวังเย้าพูด


 


“แก!” เหล่าเหอรู้สึกโกรธอย่างมาก


 


“ออกไป!” หวังเย้าตะโกน


 


เหล่าเหอรู้สึกราวกับว่า คำพูดของหวังเย้าดังกระหึ่มอยู่ในหูของเขาราวกับเสียงฟ้าผ่า และมันทำให้เขารู้สึกมึน


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?” เขารู้สึกตกใจ เขามองหน้าชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่กับที่ “หรือจะเป็นภาพลวงตา?”


 


การที่ชายร่างอ้วนทำตัวโอหังแบบนี้ในบ้านของหวังเย้า มันทำให้หวังเย้าสรุปได้ว่า ชายร่างอ้วนมีนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว และตัดสินใจที่จะไม่รักษาคนไข้


 


“แก!แก!รอก่อนเถอะ!” เขาปิดประตูบ้านของหวังเย้าอย่างแรงและเดินจากไปด้วยความโมโห


 


“เกิดอะไรขึ้นกันเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม เธอได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกจึงได้รีบออกมาดู และมันทำให้เธอรู้สึกกลัว


 


“ไม่มีอะไรหรอกครับแม่” หวังเย้าพูด


 


เหล่าเหอรีบเดินกลับไปที่ด้านนอกคลินิก “ผู้อำนวยการครับ”


 


“เป็นยังไงบ้าง?” ชายที่ถูกเรียกว่าผู้อำนวยการถาม


 


“เขาอยู่ที่บ้านแล้วครับ แล้วเขาก็เห็นว่าเรารออยู่ที่นี่ด้วย ทั้งๆที่รู้ว่าเรากำลังรออยู่ แต่ก็ยังไม่มาหา” เหล่าเหอพูด


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ผู้อำนวยการที่นั่งอยู่ภายในรถมีสีหน้าเปลี่ยนไป


 


“เขาไม่คิดจะสนใจเราเลยด้วยซ้ำ” เหล่าเหอพูด


 


“เอาล่ะ ฉันรู้แล้ว” ผู้อำนวยการโบกมือของเขา “รอต่อไป ฉันอยากจะเห็นว่าหมอคนนี้หน้าตาเป็นยังไง”


 


เหล่าเหอกลับขึ้นไปนั่งบนรถ “ฉันล่ะโมโหจริงๆ”


 


“ทำไมเหรอ?” ชายหนุ่มสวมแว่นตาถาม


 


เหล่าเหอเล่าเรื่องที่เขาเพิ่งเจอให้เพื่อนร่วมงานของเขาฟัง “เป็นแค่หมออาศัยอยู่ในหมู่บ้านในเขาแท้ๆ ทำไมถึงได้ทำตัวอวดดีแบบนี้? เขาไม่ควรให้เราต้องมารอแบบนี้ด้วยซ้ำ”


 


เขาไม่คิดว่า ตัวเองจะต้องมาอารมณ์เสียในหมู่บ้านกลางเขาแบบนี้ พวกเขาเดินทางมาจากตัวจังหวัด และพวกเขายังทำงานเป็นข้าราชการอีกด้วย พวกเขาคือคนที่ควรจะได้รับสิทธิพิเศษสิ เมื่อพวกเขามาทำธุระที่นี่ ทุกอย่างควรจะต้องเรียบร้อยภายในเวลาอันรวดเร็ว หากพวกเขาเดินทางไปที่ไหนกับหัวหน้า ผู้คนในทุกๆที่ก็มักจะให้ความร่วมมืออย่างดีเสมอ เขาจึงไม่คิดเลยว่า ตนเองจะต้องมาเจอกับคนอวดดีในที่แบบนี้


 


“โอเค อย่าโมโหไปเลย” ชายหนุ่มสวมแว่นตาพูด เขาพูดกระซิบกับตัวเอง “คราวนี้คงจะมีปัญหาแน่”


 


พวกเขารอต่อไปอีก 30 นาที แต่หมอก็ยังคงไม่มา


 


“เขาอยู่ที่บ้าน แต่กลับไม่ยอมมา ฉันล่ะโมโหจริงๆ” เหล่าเหอพูด


 


“อย่าโมโหไปเลย ครั้งนี้ เป็นผู้อำนวยการที่ต้องการจะมาหาหมอเองนี่นา” ชายหนุ่มสวมแว่นตาพูด


 


“อืม” เหล่าเหอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขายังคงไม่รู้ว่าตัวเองได้ทำผิดพลาดอะไรลงไป ตอนนี้ พอเขาใจเย็นลงแล้ว เขาก็คิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ดู ไม่ดีแล้ว!


 


เขาไปทำให้หมอไม่พอใจ ถ้าหากว่าหมอไม่ยอมรักษาผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการก็ต้องกลับบ้านมือเปล่า และจุดประสงค์ในการมาที่นี่ก็เป็นอันล้มเหลว สุดท้าย สิ่งที่พวกเขาทำมาทั้งหมดก็จะกลายเป็นสูญเปล่า? แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะ?


 


ในกระจก พวกเขามองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินตรงมายังที่ที่พวกเขาจอดรถอยู่


 


พวกเขายังอยู่ที่นี่อีกเหรอ? เมื่อหวังเย้าเดินผ่านรถ เขาก็ไม่คิดจะหันไปมองเลยสักนิด


 


“เหล่าเหอ นายรออยู่ในนี่ก่อนนะ ฉันจะออกไปคุยกับเขาเอง” ชายหนุ่มสวมแว่นตาหยุดเพื่อนร่วมงานที่กำลังจะลงจากรถ


547 มันขึ้นอยู่กับหมอว่าจะรักษาหรือไม่รักษา


 


“ผมต้องขอโทษที่เพื่อนร่วมงานของผมทำตัวเสียมารยาทด้วยนะครับ ผมหวังว่าคุณจะให้อภัยเขาได้” ชายหนุ่มคนนี้ทำตัวสุภาพกว่าชายอีกคนมาก


 


“ผมว่า พวกคุณควรกลับไปได้แล้วนะ” หวังเย้าพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง


 


กระจกรถคันแรกถูกเลื่อนลงเล็กน้อย คนที่อยู่ภายรถจึงสามารถได้ยินบทสนทนาระหว่างหวังเย้าและชายหนุ่ม


 


“คุณก็เห็นนี่ครับ ที่ผมมาที่นี่ก็เพราะได้ยินมาว่าคุณเป็นหมอที่เก่งมาก แล้วเราก็รอคุณมาตลอดทั้งเช้าเลย ผมรู้ว่าคุณเป็นคนจิตใจดี ดังนั้นช่วยเห็นใจเราด้วยเถอะนะครับ” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“อืม” ชายที่นั่งอยู่ภายในรถพยักหน้า


 


“ผมบอกไปแล้ว ว่าผมจะไม่รักษาเขา เชิญกลับไปเถอะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ฉันขอถามหน่อยได้ไหม ว่าทำไม?” ผู้อำนวยการลงมาจากรถ


 


“พวกคุณทำผิดกฎของผม คุณไม่ควรไปที่บ้านของผม” หวังเย้าพูด “แล้วผมก็เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วด้วย”


 


‘ผมไม่อยู่ที่คลินิก โปรดอย่าไปรบกวนครอบครัวของผม’


 


“นี่ยังไม่ชัดเจนอีกเหรอครับ?” หวังเย้าชี้ไปที่ป้าย


 


“แต่เธอก็อยู่ที่นี่และไม่ได้ไปไหนนี่” ผู้อำนวยการพูด


 


“ตราบใดที่ผมไม่ได้อยู่ที่นี่คลินิก ก็ถือได้ว่าผมไม่อยู่ ผมคือคนที่ติดสินใจ ว่าผมจะอยู่หรือไม่อยู่” หวังเย้าพูดอย่างสงบ


 


“อืม” ผู้อำนวยการวัย 40 มองหน้าหวังเย้า เขาคิดว่า หมอหนุ่มคนนี้ไร้มารยาทมาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะเพื่อนของเขาแนะนำมาละก็ เขาก็คงไม่มาถึงที่นี่ การมาในที่ที่ห่างไกลแบบนี้ มันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย และเขาก็ไม่คิดว่า หวังเย้าจะเป็นคนที่มีความคิดแปลกประหลาดแบบนี้


 


หวังเย้าไม่ได้พูดอะไรอีก เขาหมุนตัวและเดินกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน


 


“นี่ นายน่ะ!” หนึ่งในคนของผู้อำนวยการตะโกนเรียกเขา


 


“จะมาที่นี่ให้มันได้อะไรกัน? กลับกันเถอะ” ผู้อำนวยการกลับขึ้นไปนั่งบนรถ


 


เขาไม่คิดว่า การที่เขาจะต้องโมโหเพราะเรื่องนี้มันเป็นอะไรที่ไร้สาระอย่างมาก รถเคลื่อนตัวออกจากคลินิก หวังเย้าไม่ได้หันกลับไปมอง และเดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานโดยไม่คิดจะหยุด


 


อยู่ๆรถก็หยุดลงที่กลางหมู่บ้าน


 


“ท่านครับ?” คนของผู้อำนวยการเอ่ยถาม


 


“เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” ผู้อำนวยการมองผ่านหน้าต่างรถออกไป และเห็นร่างของคนที่คุ้นเคยเดินอยู่บนถนน คนคนนั้นก็คือ หลินซือเทา


 


“ไปเรียกเขามาที่นี่หน่อยซิ” ผู้อำนวยการพูด “ทำตัวสุภาพด้วยล่ะ”


 


“ครับ” หนึ่งในคนของเขาพูด


 


เขาลงไปจากรถและเดินตรงไปหาหลินซือเทา เขายืนคุยกับหลินซือเทาครู่หนึ่ง จากนั้น หลินซือเทาก็เดินตรงมาที่รถ


 


“สวัสดีครับ ผู้อำนวยการซวี” หลินซือเทาพูด


 


“เป็นคุณจริงๆด้วย” ผู้อำนวยการซวีพูด “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน? แล้วประธานซุนอยู่ที่นี่ด้วยรึเปล่า?”


 


“ไม่ครับ แค่ผมคนเดียว” หลินซือเทาพูด


 


“อ้อ” ผู้อำนวยการซวีพูด


 


ในตอนนั้นเอง ซุนหยุนเชิงก็เดินเข้ามาหา “ลุงหลินครับ”


 


“นี่คือ?” ผู้อำนวยการซวีมองไปที่ซุนหยุนเชิง ซึ่งมีหน้าตาละม้ายซุนเจิ้งหรง “เธอคือลูกชายของประธานซุนเหรอ?”


 


“ครับ แล้วคุณคือ?” ซุนหยุนเชิงถาม


 


“นี่คือ ผู้อำนวยการซวี จากกรมขนส่งครับ” หลินซือเทาแนะนำ


 


“โอ้ สวัสดีครับ ผู้อำนวยการซวี” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“สวัสดี” ผู้อำนวยการซวีพูด


 


เขารู้สึกงุนงงมาก เพราะเขาเคยได้ยินมาว่า ซุนหยุนเชิงนั้นป่วยด้วยโรคร้ายและใกล้ตาย แต่เมื่อได้มาเห็นว่า ซุนหยุนเชิงสบายดีแบบนี้ มันจึงทำให้เขารู้สึกแปลกใจอย่างมาก


 


พวกเขาคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้คุยลงลึกมากนัก จากนั้น รถของผู้อำนวยการซวีก็ขับออกไปจากหมู่บ้าน


 


“ผมว่า ผู้อำนวยการซวีคงจะมาหาหมอหวังแน่ๆ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“ก็อาจจะ” หลินซือเทาพูดออกมาและหันไปมองทางทิศใต้ของหมู่บ้าน “ลุงคิดว่า เขาอาจจะไม่ได้รักษากับหมอหวังก็ได้”


 


“ทำไมล่ะครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม


 


“ตอนที่ลุงออกไปเดินเล่นมาเมื่อเช้า ลุงเห็นมีป้ายแขวนเอาไว้ที่ประตูน่ะสิ” หลินซือเทาพูด


 


“ถ้าดูจากท่าทางของพวกเขาแล้ว พวกเขาอาจจะไปที่บ้านของหมอหวังมาก็ได้นะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


เมื่ออยู่ในตัวจังหวัด คนกลุ่มนี้มักจะไม่ทำตัวเด่นเกินไป แต่เมื่อพวกเขามาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ พวกเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันที


 


“เธอพูดถูก” หลินซือเทาพูด


 


“ผมไม่แน่ใจว่า ผู้อำนวยการซวีจะรู้สึกไม่พอใจด้วยรึเปล่านะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“เขาต้องไม่พอใจแน่” หลินซือเทาพูด


 


“แล้วเขาจะสร้างปัญหาให้กับหมอหวังไหมครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม


 


“หมอหวังจัดการได้อยู่แล้วล่ะ” หลินซือเทาพูด


 


ถ้าหากเขาอยากจะจัดการเรื่องของผู้อำนวยการซวี หวังเย้าเพียงแค่กดโทรหากั๋วซือหรงหรือไม่ก็ซงรุ่ยปิงก็เป็นอันเรียบร้อย แม้แต่ซุนเจิ้งหรงก็สามารถจัดการเรื่องนี้ได้เช่นกัน


 


ตู้เฟิงเดินทางมาที่คลินิกในเช้าของวันถัดมา เขาดูสุขภาพดีขึ้นและมีเนื้อมีหนังมากขึ้นด้วย


 


“ช่วงนี้ คุณเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ผมสบายดีมาก ขอบคุณมากนะครับ” ตู้เฟิงพูด ตั้งแต่มารักษากับหวังเย้า เขาก็ไม่ได้กินยารักษาโรคหัวใจราคาแพงอีกต่อไป ร่างกายของเขาตอบสนองกับการรักษาของหวังเย้าได้ดีมาก และเขาก็รู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ


 


เขายังรู้สึกด้วยว่า หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ ที่เขาต้องพึ่งยาเพื่อทำให้หัวใจที่อ่อนแอของเขาเต้นต่อไป


 


“ผมขอตรวจดูหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด เขาตรวจดูร่างกายของตู้เฟิงอย่างละเอียด “อืม อาการของคุณดีขึ้นมากแล้ว ผมคิดว่า หลังจากกินยาต่อไปอีกสักสองโดส คุณก็น่าจะหายดีแล้วนะครับ”


 


“นั่นมันเยี่ยมไปเลยครับ!” ตู้เฟิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา


 


“พรุ่งนี้ ให้คุณกลับมาเอายาด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้ครับ” ตู้เฟิงเดินออกไปจากคลินิกด้วยอารมณ์ที่ดีอย่างมาก


 


ทันทีที่เขาเดินพ้นประตูคลินิกไป ซุนหยุนเชิงก็เดินเข้ามา


 


“สวัสดีครับ หมอหวัง” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“เชิญเข้ามานั่งข้างในก่อนสิ” หวังเย้าพูด “มีอะไรให้ผมช่วยเหรอ?”


 


“เมื่อวาน ผู้อำนวยการซวีมาหาคุณใช่ไหมครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม


 


“เมื่อวานผมไม่ได้เปิดคลินิก แต่ใช่ครับ มีคนมาหาผมที่นี่” หวังเย้าตอบ “ผมก็เลยขอให้เขากลับไป เธอถามทำไมเหรอ?ไ


 


“คุณบอกให้เขากลับไปเหรอ?” ซุนหยุนเชิงถาม ฉันคิดถูกจริงๆด้วย หมอหวังไม่คิดจะสนใจเจ้าหน้าที่รัฐพวกนั้นเลยสักนิด


 


“ผู้อำนวยการซวีถือเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงอยู่ในกรมการขนส่งน่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“นายกำลังจะบอกว่า เขาอาจจะสร้างเรื่องให้ผมใช่ไหม?” หวังเย้าเข้าใจความหมายของซุนหยุนเชิงได้ในทันที


 


“มันก็ไม่แย่เท่าไหร่ ถ้าจะระวังตัวเอาไว้ก่อนน่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


มันเป็นเรื่องง่ายมาก ที่คนระดับผู้อำนวยการซวีจะสร้างความลำบากให้กับใครสักคน ถึงแม้ว่าเข้าจะไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับสาธารณสุข แต่เขาก็สามารถขอให้ผู้อำนวยการสาธารณสุขลงมือแทนเขาได้


 


“ถ้าต้องการความช่วยเหลือ ก็บอกผมได้เลยนะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“โอเค ขอบคุณมากเลยนะ” หวังเย้าพูด


 


ซุนหยุนเชิงรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่หวังเย้าทำให้เขาอย่างมาก และมิตรภาพระหว่างพวกเขาก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ


 


“ด้วยความยินดีครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“ช่วงหลังมานี้ นายได้ฝึกมวยจีนด้วยใช่ไหม?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่ ผมเรียนพวกพื้นฐานมาจากลุงหลินน่ะ” ซุนหยุนเชิงตอบ เขารู้สึกสนุกกับการเรียนมาก


 


“นั่นเป็นเรื่องที่ดีมาก ตอนนี้ ดูเหมือนว่าการไหลเวียนของพลังฉีและโลหิตของนายจะพัฒนาขึ้นด้วยนะ” หวังเย้าพูด


 


เขากับซุนหยุนเชิงอยู่คุยกันได้สักพัก จากนั้นซุนหยุนเชิงก็ขอตัวกลับ


 


ปัญหาเหรอ? หวังเย้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องของผู้อำนวยการซวีมากนัก แต่เขาก็จำเป็นต้องระวังเอาไว้ก่อน


 


ในตอนบ่าย มีคนไข้มาที่คลินิกอีก พวกเขาทั้งหมดคือคนที่อยู่หมู่บ้านใกล้ๆ และส่วนใหญ่ก็มาด้วยปัญหาในกระเพาะและลำไส้


 


ในช่วงระหว่างตรุษจีน ผู้คนส่วนใหญ่จะใช้เวลาไปกับการกินดื่มสังสรรค์ และเข้านอนดึกกว่าปกติ ดังนั้น จึงมีปัญหาเรื่องสุขภาพเกิดขึ้นมากมายในช่วงตรุษจีน


 


หวังเย้ารักษาพวกเขาด้วยการนวดและแนะนำเรื่องอาหารการกิน เขาพยายามจะไม่จ่ายยาให้คนไข้เหล่านี้ มีคนไข้สองรายที่มีเลือดออกในกระเพาะเพราะดื่มเหล้าหนัก


 


“ทำไมถึงไม่มาให้เร็วกว่านี้ล่ะครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ก็ฉันคิดว่า หารมาหาหมอตอนช่วงตรุษจีนมันเป็นเรื่องไม่มงคลน่ะสิ แต่ตอนนี้ฉันทนเจ็บไม่ไหวแล้ว” ชายวัยกลางคนพูด


 


ใบหน้าของเขาเหลืองราวกับเทียนไข และริมฝีปากเป็นสีม่วงคล้ำ


 


“ตอนนี้ คุณมีปัญหาที่ตับ ถ้ายังดื่มหนักแบบนี้ต่อไป สุขภาพร่างกายของคุณจะพังเอานะครับ” หวังเย้าพูด


 


“เอ่อ แต่ฉันเลี่ยงไม่ดื่มตอนช่วงตรุษจีนไม่ได้น่ะสิ” คนไข้พูดด้วยท่าทีเศร้าหมอง เขาไม่อยากจะดื่มในบางโอกาส แต่สุดท้ายเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ ยิ่งเขาดื่มมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายมากเท่านั้น


 


“โชคยังดีที่คุณมาวันนี้ ผมจะจ่ายยาให้คุณเอากลับไปกินที่บ้านนะครับ ในช่วงนี้ คุณต้องห้ามดื่มเหล้าเด็ดขาด ถ้าคุณดื่มแล้วอาการไม่ดีขึ้น ก็ไม่ต้องกลับมาหาผมแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“แน่นอน ขอบคุณนะ” คนไข้พูด


 


“คุณก็เหมือนกันสินะ” หวังเย้าพูดกับคนไข้ที่รอคิวอยู่ คนไข้รายนี้มีอาการขาดน้ำ ซึ่งเกิดจากการอาเจียนและท้องเสีย และสาเหตุก็มาจากการดื่มแอลกอฮอล


 


“โอเค โอเค” คนไข้พูด หวังเย้าตรวจดูอาการของเขา


 


“อาการของคุณแย่ยิ่งกว่าคนเมื่อกี้อีกนะครับ” หวังเย้าพูด “ทำไมถึงได้ดื่มเหล่าตอนท้องว่างล่ะครับ?”


 


“หมอรู้ได้ยังไงน่ะ?” คนไข้ถามด้วยความแปลกใจ


 


“นั่นไม่ใช่ประเด็นครับ ผมจะจัดยาให้คุณสองตัว ตั้งแต่นี้ไป คุณต้องห้ามดื่มเหล้าเด็ดขาด และเลือกทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้ๆ ฉันจะทำ” คนไข้วัยประมาณ 30 พูด


 


หวังเย้าจ่ายยาให้คนไข้ทั้งสอง เขาเขียนวิธีการต้มยาและข้อควรระวังเอาไว้ด้วย


 


“ให้กินยาตรงตามเวลา จำไว้ว่า อย่าดื่มเหล้าอีก”หวังเย้าพูด


 


“ได้ๆๆ” คนไข้ทั้งสองพูด


 


คนไข้ทุกรายต่างก็รับปากจะทำตามคำแนะนำของหวังเย้า แต่พวกเขาส่วนใหญ่ ก็ไม่มีใครทำตามได้เลย


 


หวังเย้ายุ่งอยู่กับการตรวจคนไข้ตลอดทั้งบ่าย หลังจากที่คนไข้ไปหมดแล้ว เขาก็จดบันทึกรายละเอียดการรักษาของวันนี้ลงไปในสมุด คนไข้ที่มาในตอนกลางวันล้วนแล้วแต่ป่วยด้วยโรคทั่วๆไป หวังเย้าจึงใช้สมุนไพรธรรมดารักษาพวกเขา ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ซื้อมาจากร้านด้านนอก มันคุ้มค่าที่เขาได้พัฒนาวิธีการรักษาไปด้วย เขาจึงจดบันทึกทุกอย่างลงไปให้ละเอียดที่สุด และเขายังมีสมุดอีกเล่มที่แยกไว้สำหรับโรคที่รักษาได้ยากและต้องใช้สมุนไพรรากในการรักษาด้วย


548 ยิ่งแก่ก็ยิ่งไร้ยางอาย


 


หวังเย้าพอจะมีความคิดดีดีอยู่ในหัว เขาหวังไว้ว่า ในอนาคตเขาจะสามารถเก็บรวบรวมความรู้ที่ได้จากการรักษาคนไข้และทำเป็นหนังสือขึ้นมา เหมือนกับซางกู้จื้อ เขาเป็นแพทย์ปรุงยาในระดับเชี่ยวชาญแล้ว เขาจึงหวังว่าตนจะสามารถส่งต่อความรู้ให้กับคนอื่นได้


 


หลังจากจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จเรียบร้อย มันก็เป็นเวลา 6 โมงเย็นแล้ว เขาจึงกลับไปทานข้าวเย็นที่บ้าน หลังจากนั้น เขาก็ขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเพื่อเตรียมทำยา ในคืนนั้น เขาทำยาที่ใช้สำหรับรักษาโรคหัวใจของตู้เฟิง


 


ในตอนที่กำลังทำยาอยู่นั้น หวังเย้าก็คิดถึงขี้ผึ้งต้วนชื่อที่เขาเพิ่งจะทำเสร็จไปเมื่อไม่นานมานี้ ไม่รู้ว่า ขี้ผึ้งจะเอาไปใช้รักษาโรคแบบนี้ได้ด้วยรึเปล่า ในเมื่อมันบอกเอาไว้ว่า มันสามารถฟื้นฟูได้ ก็แสดงว่ามันน่าจะเอามาใช้กับโรคแบบนี้ได้เช่นกัน


 


มันเป็นค่ำคืนที่เงียบสงบ และมีแสงไฟส่องสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด


 


หวังเจ๋อเชิงไม่สามารถหลับตาลงได้


 


“เป็นอะไรไปเหรอ?” ภรรยาของเขาถาม


 


“พอคิดถึงเรื่องพ่อขึ้นมา ฉันก็เลยคิดว่า ฉันน่าจะพาพ่อไปตรวจที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดดูน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“งั้นก็ไปเถอะ” ภรรยาของเขาสนับสนุนความคิดของเขา


 


“ฉันจะลองถามเสี่ยวเย้าดู” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“ถามเขาทำไม?” ภรรยาของเขารู้สึกงุนงง


 


“เขาบอกว่า เขาสามารถชะลออาการป่วยของพ่อได้ และเขาไม่สามารถรักษาให้หายได้” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“แล้วจะรักษาได้ยังไงล่ะ?” ภรรยาของเขาถาม


 


“เขาคงจะเตรียมยาเอาไว้แล้ว ไว้ฉันจะลองถามเขาดูอีกที” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


เช้าวันต่อมา หวังเจ๋อเชิงไปรออยู่ที่คลินิกแต่เช้าตรู่


 


“ทำไมพี่ถึงได้มาเช้าขนาดนี้ล่ะครับ?” ในตอนที่ลงมาจากเขา หวังเย้าก็ต้องแปลกใจที่เห็นหวังเจ๋อเชิงอยู่ที่หน้าคลินิก


 


“ฉันมีเรื่องอยากจะถามนายหน่อยน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด “ครั้งก่อน นายเคยพูดไว้ว่า นายสามารถชะลออาการป่วยของพ่อฉันได้ใช่ไหม? แล้วนายได้ทำยาเอาไว้รึยัง?”


 


“ครับ เข้ามาเอาข้างในนี้ได้เลย” หวังเย้าพูด


 


“โอ้ ดีเลย” หวังเจ๋อเชิงเดินตามหวังเย้าเข้าไปในคลินิก


 


หวังเย้าหยิบยาที่เตรียมเอาไว้ออกมา มันอยู่ในขวดกระเบื้องสีขาวและยังคงอุ่นๆอยู่


 


“เท่าไหร่เหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถาม


 


“10,000 หยวน” หวังเย้าพูด


 


“เท่าไหร่นะ?” หวังเจ๋อเชิงตกตะลึง ตอนที่หวังเย้าบอกกับเขาว่า ยามีราคาแพงมาก เขาก็ได้เตรียมใจเผื่อเอาไว้บ้างแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่ามันจะแพงได้ขนาดนี้


 


“ทำไมครับ? มันแพงเกินไปเหรอ?” หวังเย้าถามด้วยท่าทีสงบ


 


“พูดตามตรงนะ มันแพงกว่าที่ฉันคิดเอาไว้มากเลยล่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


คนทั่วไปจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ก็ไม่แปลก เพราะพวกเขาไม่ใช่เจ้าของบริษัทที่มีเงินเป็นล้านๆอย่างเทียนหยวนถูหรือเว่ยห่าย และคนเหล่านี้ก็เชื่อในความสามารถของหวังเย้าโดยไร้ข้อกังขา


 


หากพูดตามจริงแล้ว ชาวบ้านหลายๆคนรู้แค่เพียงว่า หวังเย้าคือหมอคนหนึ่งเท่านั้น พวกเขาคิดว่า หวังเย้าสามารถรักษาได้แค่โรคทั่วไปอย่าง อาการปวดศีรษะ, ไข้หวัด, ปวดหลัง, และปวดขา แต่ถ้าหากพวกเขาป่วยหนักกว่านี้ ทุกคนก็ยังเลือกที่จะไปโรงพยาบาลอยู่ดี


 


“จะเอาหรือไม่เอาครับ?” หวังเย้าถาม “พี่เลือกได้เลยครับ” ยาของเขาคุ้มค่ากับราคาอยู่แล้ว


 


หวังเจ๋อเชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามขึ้นมาว่า “เอาแบบนี้ได้ไหม? ฉันจ่ายให้นาย 5,000ก่อน แล้วก็ดูผลของมันอีกที”


 


“ในเมื่อเราก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ผมจะหยวนๆให้ก็แล้วกันครับ” หวังเย้าพูด ในความจริง การที่หวังเจ๋อเชิงตัดสินใจซื้อยา มันก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมากอยู่แล้ว


 


“เอ่อ งั้นรอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปถอนเงินมาก่อน” หวังเจ๋อเชิงรีบร้อนออกไปจากคลินิก และกลับมาหลังจากนั้น 30 นาที


 


“นี่เงิน” เขาวางเงิน 5,000 หยวนลงบนโต๊ะ


 


“นี่ครับยา ส่วนนี่ก็คือวิธีการกินและข้อควรระวังครับ” หวังเย้าส่งกระดาษแผ่นหนึ่งและขวดกระเบื้องให้กับเขา


 


“โอเค ขอบคุณมาก” หวังเจ๋อเชิงกลับบ้านไปพร้อมกับยาในมือ


 


เขาบอกกับภรรยาเรื่องราคายา และมันทำให้เธอต้องตกใจ


 


“เสี่ยวเย้าใจจืดใจดำจริงๆ” เธอพูด “ยาอะไรถึงได้มีราคา 5,000 หยวน? เขาต้องหลอกเราแน่ๆ”


 


“ไม่ต้องห่วง เราลองให้พ่อกินดูก่อน แล้วเธอก็ห้ามบอกพ่อเรื่องนี้ด้วยนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“ฉันรู้” ภรรยาของเขาพูด เธอพึมพำออกมาว่า “ทั้งๆที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ทำไมถึงได้คิดเงินแพงขนาดนี้ได้? เห็นหน้ากันอยู่ทุกวันแท้ๆ!”


 


หวังเจ๋อเชิงเข้าไปในห้องของพ่อเขาพร้อมกับยา ชายชรากำลังนอนขมวดคิ้วอยู่บนเตียงนอน


 


หลายวันที่ผ่านมานี้ อาการของชายชราแย่ลงกว่าเดิมมาก ชายชรารู้สึกทรมานอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าลูกชายของเขาเดินเข้ามา ชายชราก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ


 


“พ่อ?” หวังเจ๋อเชิงส่งเสียงเรียกพ่อของเขาเบาๆ


 


“มีอะไรเหรอ?” ชายชราลืมตาและมองไปที่ลูกชายของเขา


 


“นี่เป็นยาที่พ่อต้องกินนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“อ่อ ได้ๆ” ชายชราพูด “ยาจีนเหรอ?” เมื่อเห็นยาที่เทออกมาจากขวดกระเบื้อง ชายชราก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


 


“ใช่ มันเป็นยาจีน” หวังเจ๋อเชิงไม่ได้พูดอะไรมาก


 


ชายชราดื่มยาเข้าไปถ้วยหนึ่ง มันมีรสขมเล็กน้อย เมื่อเขาดื่มมันเข้าไปแล้ว เขาก็รู้สึกได้แค่ว่า ในท้องของเขาอุ่นขึ้น แล้วมันก็กระจายไปตามแขนขาของเขาอย่างรวดเร็ว และมันทำให้เขารู้สึกสบายมาก


 


เฮ้อ! ชายชราถอนหายใจออกมาอย่างปลอดโปร่ง


 


“พ่อรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” หวังเจ๋อเชิงถาม


 


“มันร้อน แต่ก็รู้สึกสบายมากเลยล่ะ” ชายชราพูด


 


ถึงยังไงมันก็เป็นแค่ยาถ้วยเดียว ไม่ใช่ยาวิเศษ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะเห็นผลในทันที


 


“อ่อ ถ้าพ่อรู้สึกไม่สบายตรงไหน ก็รีบบอกผมเลยนะ” หวังเจ๋อเชิงยังคงกังวลว่า ยาที่พ่อของเขาดื่มเข้าไปอาจจะมีผลข้างเคียงอย่างอื่นอยู่ด้วย


 


“อ้อ ได้สิ ไม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนพ่อหรอก” ชายชราพูด


 


“ผมจะอยู่เป็นเพื่อนพ่ออีกเดี๋ยวก็จะไปแล้ว” หวังเจ๋อเชิงอยู่ดูอาการพ่อของเขาอีกสักพัก


 


“พ่อเป็นยังไงบ้าง?” ภรรยาของเขาถาม


 


“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกติ เธอต้องคอยดูด้วยนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“ได้” ภรรยาของเขาพูด


 


ชายชราที่นอนอยู่บนเตียง รู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาเบาสบายขึ้น ราวกับได้นอนแช่อยู่ในน้ำร้อน ความเจ็บปวดภายในช่องท้องก็ค่อยๆลดลงไป


 


ฮ้า! เขาพ่นลมหายใจออกมาเพราะรู้สึกได้ถึงความสบาย แล้วจึงค่อยหลับลึกลงไป


 


ตอนเที่ยง อาหารถูกเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว หวังเจ๋อเชิงเดินไปเรียกพ่อของเขามาทานอาหาร เขาเดินย้ำเท้าเบาๆตรงไปที่ห้องและเห็นว่า ชายชรากำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เขาหลับไปแล้วจริงๆ ใบหน้าของเขาดูสงบ คล้ายกับว่า ไม่เคยเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว เขาได้ฟังมาจากหมอที่โรงพยาบาลว่า โรคนี้จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกทรมานอยู่ตลอดเวลา และทำให้นอนหลับได้ยากมาก


 


“ยานี่ได้ผลจริงๆด้วย” หวังเจ๋อเชิงยืนอยู่เงียบๆและเฝ้ามองพ่อของเขาที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ ก่อนที่เขาจะเดินออกไป


 


“แล้วพ่อล่ะ?” ภรรยาของเขาถาม


 


“พ่อหลับอยู่ แล้วก็ดูเหมือนจะหลับสนิทมากด้วย เรากินกันก่อนเถอะ แล้วแบ่งกับข้าวเอาไว้ให้พ่อด้วย” หวังเจ๋อเชิงแบ่งอาหารเอาไว้อีกส่วนหนึ่ง แล้วสองสามีภรรยาก็เริ่มลงมือทานอาหาร


 



 


ปักกิ่ง


 


“พ่อเป็นยังไงบ้างครับ เฉินเหล่า?” หวูถงชิ่งถาม


 


“อาการของหวูเหล่าคงที่ดีมาก และยังดีขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย ประสิทธิของยามันสุดยอดมากจริงๆ” หมอชราถอนหายใจออกมา


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ” หวูถงหรงพูด


 


หลังจากผ่านตรุษจีนไปแล้ว น้องชายคนเล็กของเขาได้เดินทางไปที่เหลียนชานเป็นการเฉพาะ ตอนนี้ พ่อของพวกเขาก็สามารถลุกนั่งและเคลื่อนไหวได้บ้างแล้ว และมันทำให้ทุกคนในครอบครัวยินดีกันถ้วนหน้า


 


“แล้วเขาจะมาอีกเมื่อไหร่เหรอ?” เฉินเหล่าถาม


 


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เขาบอกว่า เขาจะกลับมาหลังจากผ่านตรุษจีนไปแล้ว” หวูถงหรงพูด


 


“แค่เขารับปากว่าจะมาก็ถือว่าดีมากแล้ว” เฉินเหล่าพูด


 


หลังออกมาจากบ้านตระกูลหวูแล้ว เฉินเหล่าก็แวะไปที่บ้านเพื่อนของเขา หมอหลินกำลังเล่นกับนกอยู่ภายในบ้านของเขา


 


“โอ้ นายดูผ่อนคลายดีนะ” เฉินเหล่าพูด


 


“อ้าว!  นายเพิ่งไปที่บ้านตระกูลหวูมาเหรอ?” หมอหลี่ถาม


 


“อืม ข่าวนายไวดีจริงนะ” เฉินเหล่าพูด


 


“เขาโทรหาฉันด้วยเหมือนกันน่ะสิ” หมอหลี่พูด


 


“จริงเหรอ?” เฉินเหล่ารู้สึกแปลกใจ


 


“มาเร็ว มาเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” หมอหลี่พูด


 


“วันนี้นายเป็นอะไรไป?” เฉินเหล่าถาม “นายดูกระตือรือร้นจริงนะ!”


 


ชายชราทั้งสองนั่งเล่นหมากรุกอยู่ภายในสวนเล็กๆ


 


“ผลวิเคราะห์ตัวยาออกมาแล้วน่ะ” หมอหลี่พูด


 


“ล้มเหลวเหรอ?” เฉินเหล่าถาม


 


“ใช่ มีแค่สมุนไพรไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่วิเคราะห์ออกมาได้ ส่วนสมุนไพรตัวหลักก็ยังวิเคราะห์ออกมาไม่ได้อยู่ดี” หมอหลี่พูด


 


ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกัน แต่มือของพวกเขาก็ไม่ได้อยู่เฉย ทั้งสองพยายามกินหมากของอีกฝ่ายให้มากที่สุด


 


“ฆ่าขุน!”


 


“กินม้า!”


 


“ดื่มชากันสักหน่อยนะคะ” ภรรยาของหมอหลี่ยกชามาเสริฟให้ทั้งสอง


 


“ขอบคุณ” เฉินเหล่ารีบรับชามาถือไว้ในมือและจิบชาเข้าไป แล้วพวกเขาก็กลับไปเล่นหมากรุกกันต่อ


 


“ทหารบุกเขาไป!”


 


“ม้าตี!W


 


“ฉันก็บอกนายไปตั้งนานแล้ว แต่นายก็ไม่ยอมเชื่อฉัน” เฉินเหล่าพูด


 


“ถ้าสามารถวิเคราะห์ส่วนผสมของตัวยาออกมาได้ มันจะเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในการรักษาโรคนี้เลยนะ แล้วมันก็เป็นผลดีกับคนรุ่นหลังด้วย” หมอหลี่พูด


 


“โอ้ นายไม่จำเป็นต้องมาทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าฉันหรอก ถ้านายเอาความรู้ทั้งหมดของตัวเองเปิดเผยให้สาธารณชนได้รู้ และให้ทุกคนได้เรียนมันแบบฟรีๆ มันก็ถือเป็นผลดีกับคนรุ่นหลังเหมือนกันนั่นแหละ นายจะทำแบบนั้นก็ดีเหมือนกันนะ” เฉินเหล่าสัพยอกเขา


 


“ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไง เรื่องพวกนี้มีกฎเกณฑ์ของมันอยู่” หมอหลี่พูด


 


“เหอะ!” เฉินเหล่าโบกมือแสดงท่าทีดูถูก


 


“นี่แน่ะ จัดการขุนของนายซะ” หมอหลี่พูด “ม้าของนายมาอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”


 


“ก็ตอนที่นายกำลังแสดงตัวเป็นคนดีอยู่ยังไงล่ะ” เฉินเหล่าพูด “โอ้ ฉันรู้สึกว่านายนี่มันไร้ยางอายขึ้นทุกวันๆเลยนะ ฉันไม่อยู่ที่นี่ต่อแล้ว!”


 


เฉินเหล่าลุกขึ้นและเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมา


 


“นี่ รอเดี๋ยวสิ” หมอหลี่ลุกขึ้นและคว้ามือออกไปจับแขนเสื้อของเพื่อน แต่เขาก็คล้าพลาด


 


“นายอายุ 70 กว่าปีแล้วนะ แต่ก็ยังคิดจะหาประโยชน์จากคนรุ่นลูกได้” เฉินเหล่าพูด “หลี่เชิ่งหรง ทำไมฉันถึงไม่รู้มาก่อนว่านายเป็นคนแบบนี้?”


 


เขาจากไปด้วยความโมโห และปล่อยให้เพื่อนของเขายืนโง่อยู่ที่ประตู


549 ใช้เงินยืดเวลาชีวิต


 


“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ” หมอหลี่พูดหลังจากผ่านไปได้สักพัก


 


“ทั้งสองคนมีเรื่องอะไรกันเหรอ? ทำไมเขาถึงได้ดูโมโหแบบนั้น?” ภรรยาของเขาได้ยินเสียงทะเลาะกันระหว่างสามีของเธอและเฉินเหล่า เธอจึงออกมาจากห้องและเห็นสามีของเธอยืนนิ่งอยู่ที่ประตู


 


“ไม่มีอะไรหรอก!” หมอหลี่ส่ายหน้า “ดื้อจริงๆ!” เขาหันหน้าไปมองเกมส์หมากรุกที่ยังเล่นไม่จบ


 


รุก, อัศวิน, ขุน เมื่อโจมตีเข้ามา เขาก็จะเป็นฝ่ายแพ้เกมส์


 


“กินข้าวกันเถอะ” เขาพูด


 


“คุณสับสนอะไรอยู่รึเปล่า?” ภรรยาของเขาถาม “คุณเพิ่งจะกินข้าวเย็นไปเมื่อกี้เองนะ”


 


“เอ่อ งั้นก็ดื่มชาแล้วกัน” หมอหลี่พูด


 


“ชาก็วางอยู่บนโต๊ะนั่นไง” ภรรยาของเขาพูด


 


“ฉันไม่ดื่มชาแล้ว ฉันจะฟังวิทยุ!” หมอหลี่เดินหงุดหงิดงุ่นง่านไปที่ห้องนอนของเขา


 


“ทั้งสองคนก็อายุตั้ง 70 กว่ากันแล้ว ทำไมถึงยังทำตัวเป็นเด็กๆแบบนี้ไปได้นะ?” ภรรยาของเขาส่ายหน้า เธอถอนหายใจและจัดการเก็บโต๊ะที่ลานบ้าน


 



 


พ่อของหวังเจ๋อเชิงหลับไปตลอดทั้งบ่าย เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดลดลงไป เขายังรู้สึกเหนื่อยน้อยลงและรู้สึกสบายขึ้นกว่าเดิมมาก


 


“เป็นยาที่วิเศษจริงๆ” ชายชราพูด ไม่รู้ว่าเจ๋อเชิงไปเอายาจากไหนมา?


 


ภายในห้องอีกห้องหนึ่งของบ้าน ภรรยาของหวังเจ๋อเชิงกำลังจัดโต๊ะอยู่ “ฉันทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว พี่ไปดูพ่อหน่อยสิว่าตื่นรึยัง? เขาหลับไปทั้งบ่ายเลยนะ”


 


“ได้” หวังเจ๋อเชิงใช้ปลายเท้าเดินย่องไปที่ห้องพ่อของเขา และพบว่าพ่อของเขาตื่นแล้ว เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่พ่อของเขาดูดีขึ้มาก


 


“พ่อตื่นแล้ว” หวังเจ๋อเชิงพูด “พ่อรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”


 


“พ่อรู้สึกดีมากเลยล่ะ” ชายชราพูด “ท้องก็ไม่ได้เจ็บมากเหมือนทุกที และพ่อยังรู้สึกมีกำลังมากขึ้นด้วย ยาได้ผลดีมากเลยนะ ลูกไปเอามาจากไหนเหรอ?”


 


“มันได้ผลจริงเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถาม


 


“ทำไมพ่อจะต้องโกหกด้วยล่ะ?” ชายชราพูด


 


“โอ้ ถ้าอย่างนั้นก็ดี ผมได้ยามาจากเสี่ยวเย้าน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“อ่อ เขาเก่งมากเลยนะ” ชายชราพูด


 


“ใช่ๆๆ” หวังเจ๋อเชิงพูด ราคายาก็สุดยอดมาเช่นกัน ตั้ง 10,000 หยวนแน่ะ เขาไม่ได้บอกพ่อของเขาว่าเขาจ่ายค่ายาไปเท่าไหร่ และพ่อของเขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้ด้วย เขายังรู้สึกเสียใจที่บอกภรรยาของเขาไปด้วยซ้ำในตอนนี้


 


“ผมจะไปเอาน้ำมาให้พ่อนะ กับข้าวทำเสร็จแล้ว ดื่มน้ำแล้วไปกินข้าวกันเถอะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“ได้” ชายชราพูด


 


ชายชราจิบน้ำเข้าไปและลุกออกจากเตียงนอน


 


ภรรยาของหวังเจ๋อเชิงยกอาหารเข้ามาในห้องของชายชรา ทุกคนนั่งทานอาหารร่วมกันภายในห้อง


 


“ห่าวหยวนจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอ?” ชายชราถาม


 


“เราว่าจะให้เขาอยู่ที่บ้านแม่ยายอีกสักสองสามวัน ให้เขาได้สนุกอยู่ที่นั่นไปก่อน” หวังเจ๋อเชิงพูด เด็กๆมักจะส่งเสียงดังอยู่ตลอดเวลา เขาไม่ต้องการให้ลูกชายของเขาไปรบกวนการพักผ่อนของชายชรา


 


“อืมมม พ่อไม่ได้เจอเขามาสักพักแล้วสินะ” ชายชราพูดด้วยความคิดถึงหลาน


 


หลังจากที่สำนึกได้ถึงพฤติกรรมของตัวเอง หวังเจ๋อเชิงก็พาลูกชายของเขาไปฝากไว้ที่บ้านพ่อต่แม่ยายของเขา ห่าวหยวนอายุได้ 5 ขวบและกำลังอยู่ในวัยที่ชอบเล่นสนุก เขาส่งเสียงดังอยู่ตลอดเวลาและอยากจะเล่นกับคุณปู่ของเขาอยู่เสมอ การเล่นกับเด็กๆจำเป็นต้องใช้พลังการมาก ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพของชายชรา ดังนั้น หวังเจ๋อเชิงจึงส่งลูกชายของเขาไปที่อื่นก่อนในช่วงนี้


 


“ถ้าพ่อคิดถึงเขา เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปรับเขากลับมาแล้วกัน” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“ได้ๆ ให้เขามาอยู่ที่บ้านสักสองสามวันก็ยังดี” ชายชราพูด


 


ปู่ย่าตายายมักจะมีความสนิทสนมกับหลานๆของพวกเขา มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ชายชราจะรู้สึกคิดถึงหลานชายของเขา เพราะมันคือเรื่องธรรมดา


 


“กันข้าวกันเถอะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


ภรรยาของหวังเจ๋อเชิงทำอาหารเบาๆที่หวังเย้าแนะนำสำหรับทานเป็นมื้อเย็นไว้สองสามจาน ชายชราต้องกินอาหารอ่อนๆ เพราะร่างกายของเขายังอ่อนแออยู่ เขาไม่สามารถย่อยอาหารที่มีน้ำมัน เช่น ปลาทอดและเนื้อทอดได้ การกินเนื้อมีแต่จะทำให้กระเพาะของเขาต้องทำงานหนักขึ้นเท่านั้น


 


หลังจากทานอาหารเสร็จ ชายชราก็ไปเดินเล่นเพื่อย่อยอาหาร จากนั้น เขาก็ไปนั่งดูทีวีกับลูกชายและลูกสะใภ้


 


“พ่อ ได้เวลากินยาแล้วนะ” หวังเจ๋อเชิงนำยาที่ได้มาจากหวังเย้าไปอุ่น จากนั้น เขาก็เทยาใส่ลงไปในถ้วยใบเล็ก


 


“ยาราคาเท่าไหร่เหรอ?” ชายชราถาม


 


“ไม่ได้แพงอะไรหรอก แค่ไม่กี่ร้อยหยวนเท่านั้นเอง ถึงยังไงเราก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันอยู่แล้ว” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


ภรรยาของเขาแสดงสีหน้าแปลกๆออกมาครู่หนึ่ง ไม่กี่ร้อยหยวนเหรอ? ไม่แพงเนี้ยนะ? ล้อกันเล่นอยู่รึเปล่า? คนหมู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ถึงยาจะได้ผลจริงๆ แต่เขาก็ไม่ควรคิดเงินแพงขนาดนี้! แต่แน่นอนว่า เธอไม่สามารถพูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าชายชราได้


 


“ไม่กี่ร้อยหยวนก็ยังแพงอยู่ดีนั่นแหละ” ชายชราพูด เขาเป็นคนมัธยัสถ์มาตลอดทั้งชีวิต เงินไม่กี่ร้อยหยวนสำหรับเขาก็ถือว่าแพงอยู่ดี ถ้าหากเขารู้ว่าราคาจริงๆของยาคือ 10,000 หยวนละก็ เขาอาจจะข่มตานอนไม่ได้ หรือบอกให้ลูกชายซื้อมาให้อีกก็ได้


 


ชายชราเข้านอนเมื่อถึงเวลาสองทุ่ม หวังเจ๋อเชิงและภรรยาเริ่มปรึกษากันเรื่องอนาคตของชายชรา


 


“ยาได้ผลล่ะ ฉันต้องซื้อมาให้พ่อกินอีก” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“แต่ยามันแพงมากเลยนะ” ภรรยาของเขาพูด “แล้วพ่อยังจะต้องกินยาต่อไปอีกกี่ขวดกัน?” มันคงจะเป็นเรื่องโกหก ถ้าหากเธอพูดว่า เธอไม่ได้ใส่ใจเรื่องเงินเลยสักนิด พวกเขาพอมีเงินเก็บอยู่บ้างก็จริง แต่พวกเขาก็วางแผนที่จะใช้เงินนี้มัดจำสำหรับซื้ออพาร์ทเมนต์ในตัวเมือง


 


“ขอแค่พ่ออาการดีขึ้น ฉันก็จะซื้อ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“โอเค พี่ตัดสินเองก็แล้วกัน” เมื่อเทียบกับหวังเจ๋อเชิงที่เคยทำตัวเลวร้ายมาก่อนแล้ว ภรรยาของเขาถือว่าเป็นคนมีเหตุผลและเป็นคนดีคนหนึ่ง


 


“พรุ่งนี้ ฉันจะไปที่คลินิกของเสี่ยวเย้าอีกรอบ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


วันต่อมา พันจวินเดินทางมาที่คลินิกของหวังเย้าตอน 9 โมงเช้า เขายังเอาผลไม้ติดมือมาด้วยหลายอย่าง “อรุณสวัสดิ์ อาจารย์”


 


“อรุณสวัสดิ์ คราวหน้าไม่ต้องเอาของอะไรติดมือมาด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด “วันนี้พี่ไม่ต้องไปทำงานเหรอ?”


 


“ไม่ไป” พันจวินพูด


 


“โอเค งั้นเรามาเริ่มกันเลย” หวังเย้าพูด


 


เขาเริ่มสอนเทคนิคการนวดให้พันจวินต่อจากครั้งก่อน เขาได้อธิบายในทางทฤษฎีก่อนที่จะนวดให้พันจวิน เขาต้องการให้พันจวินสัมผัสความรู้สึกด้วยตนเอง


 


“ตรงไหล่ของพี่มีปัญหาเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่” พันจวินพูด


 


“นั่นเป็นเพราะพี่นั่งอยู่หน้าจอคอมนานๆ กล้ามเนื้อของพี่ก็เลยตึง จนผมรู้สึกได้เลย” หวังเย้าพูด


 


เขาใช้มือบีบ, กด, และคลึงตรงบริเวณไหล่ของพันจวิน พันจวินรู้สึกอุ่นร้อนที่บริเวณไหล่ของเขา เขารู้สึกสบายอย่างมาก


 


“เป็นการนวดที่วิเศษมากเลยนะ อาจารย์” พันจวินพูด


 


“มีสมาธิหน่อยครับ” หวังเย้าพูด


 


ในขณะที่เขากำลังสอนพันจวินอยู่นั้น ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในคลินิก


 


“สวัสดี หมอหวัง” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“สวัสดีครับ เชิญเข้ามาข้างในก่อนสิ” หวังเย้าพูด


 


หวังเจ๋อเชิงเดินเข้ามาในห้อง


 


“พี่เจ๋อเชิงนั่งก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้ ขอบคุณ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“รอผมสักเดี๋ยวนะครับ” หวังเย้าพูดกับพันจวิน


 


พันจวินเดินไปที่นั่งที่มุมหนึ่งของห้อง


 


“เอ่อ…” หวังเจ๋อเชิงเหลือบไปมองพันจวิน


 


“อาจารย์ ผมออกไปเดินเล่นข้างนอกนะ” พันจวินพูด


 


“โอเค” หวังเย้าพูด เมื่อพันจวินเดินออกไปแล้ว หวังเย้าก็หันหน้ากลับมาหาหวังเจ๋อเชิง “มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?”


 


“คือ ฉันเอายาของหมอให้พ่อกินดูแล้วนะ มันได้ผลดีมาก” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“แน่นอนอยู่แล้ว” หวังเย้าพูดอย่างสงบ วิธีการทำยาของเขา คือสิ่งที่ได้รับสืบทอดต่อๆกันมาหลายรุ่นเป็นเวลานับพันปี รวมไปถึงประสิทธิของสมุนไพรรากด้วย แน่นอนว่ามันต้องได้ผลดีอยู่แล้ว


 


“นายพอจะคิดถูกกว่านี้หน่อยได้ไหม?” หวังเจ๋อเชิงถาม


 


“ต้องขอโทษด้วย ผมลดให้ไม่ได้ และยาตัวนี้ก็จะช่วยยืดชีวิตพ่อของพี่ด้วย” หวังเย้าพูด “พี่เอาชีวิตของคนมาเทียบเป็นตัวเงินได้ไหมล่ะครับ?”


 


“ฉันเข้าใจแล้ว” หวังเจ๋อเชิงพูด “ฉันขอถามหน่อยได้ไหม ว่าพ่อฉันยังต้องกินยาอีกเท่าไหร่?”


 


“ตราบใดที่พี่อยากจะให้พ่อของพี่มีชีวิตอยู่ เขาก็จำเป็นต้องกินยาอย่างต่อเนื่องครับ” หวังเย้าพูด


 


“อะไรนะ?” หวังเจ๋อเชิงตกตะลึง


 


หวังเย้าพูดให้เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า มันจะไม่มีวันที่จะหยุดกินยาได้ ชายชราจำเป็นต้องกินยาเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป เขาต้องกินยาหนึ่งขวดต่อสามวัน เท่ากับ 10 ขวดในหนึ่งเดือน หวังเจ๋อเชิงจะต้องจ่ายเงินถึง 100,000 หยวน ถ้าเขาต้องการให้พ่อของเขามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหกเดือน เขาก็จะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวน 600,000 หยวน มันจะต้องใช้เงินจำนวน 1.2 ล้านต่อปี เขาต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อยืดเวลาชีวิตให้พ่อของเขา


 


หวังเจ๋อเชิงไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบสนองยังไงกับเรื่องนี้ เขาถามออกไปว่า “นายแน่ใจนะ ว่านายลดไม่ได้แล้วจริงๆน่ะ?”


 


“ขอโทษด้วยจริงๆครับ” หวังเย้าส่ายหน้า เขามองดูหน้าหวังเจ๋อเชิงเงียบๆ


 


“เอาล่ะ!” หวังเจ๋อเชิงกัดฟันพูด “ฉันจะจ่าย”


 


“นี่เป็นเงินส่วนที่เหลือของยาที่เอาไปวันนั้น” เขาส่งเงิน 5,000 ให้กับหวังเย้า


 


หวังเย้ายิ้ม “พี่เปลี่ยนไปนะ”


 


“หา?” หวังเจ๋อเชิงรู้สึกประหลาดใจ


 


“ไม่มีอะไรหรอกครับ ตอนนี้พี่กลับไปได้แล้วล่ะ” หวังเย้าโบกมือให้หวังเจ๋อเชิง


 


“ได้” หวังเจ๋อเชิงเดินออกไปจากคลินิกด้วยอารมณ์ที่บูดบึ้ง


 


หวังเจ๋อเชิงอดที่จะเศร้าใจไม่ได้ เขาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมหวังเย้าที่เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ถึงได้หน้าเงินและเก็บเงินเขาแพงขนาดนี้


 


ถ้าจำเป็น ฉันก็จะลองไปคุยกับพ่อแม่ของเขาดู หวังเจ๋อเชิงคิด


 


“อาจารย์ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นะ” พันจวินเดินเข้ามาในห้อง


 


“นั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“พวกเขาคิดว่า เพราะพวกเรามาจากหมู่บ้านเดียวกัน ฉันก็ไม่ควรจะคิดเงินพวกเขาแพงเกินไป แต่ผมก็ลดให้เขาเยอะมากแล้วนะ” หวังเย้าพูด


 


“ฉันเข้าใจ” พันจวินพูด


 


เขารู้ว่า ยาของหวังเย้ามีราคาแพงมาก แต่พวกเขาก็ได้ผลดีมากเช่นกัน เขาได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับยาของหวังเย้ามาไม่น้อย


 


“พวกเขาไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ” พันจวินพูด เขารู้ว่า ด้วยความสามารถระดับหวังเย้า มีแต่คนจะฆ่ากันตายเพื่อให้ได้รักษากับเขา เงินเทียบกับหนึ่งชีวิตไม่ได้เลย


 


“เอาล่ะ เรามาต่อกันดีกว่าครับ” หวังเย้าพูด


 


หวังเจ๋อเชิงกลับไปที่บ้านด้วยท่าทีที่ดูหงุดหงิด เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและเอามือถูๆหน้าของเขา เมื่อสงบอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว เขาจึงเดินเข้าบ้านไป


 


พ่อของเขากำลังนั่งพักผ่อนอยู่ที่ลานบ้าน และรับแสงแดดอย่างสบายอารมณ์ หลังจากที่ได้กินยาไปเมื่อคืนก่อน ร่างกายของเขาก็หายเจ็บ เขาสามารถนอนหลับได้สนิท และไม่ตื่นมากลางดึกอีก เขาไม่ได้นอนหลับสนิทแบบนี้มานานมากแล้ว


550 กู้คืนชื่อเสียงของแพทย์ปรุงยา


 


มันเป็นยาที่วิเศษมากจริงๆ


 


“พ่อ!” หวังเจ๋อเชิงตะโกนเรียกชายชรา


 


มันเป็นวันที่สดใสวันหนึ่ง ชายชรากำลังนั่งพิงกำแพงอยู่ที่ลานบ้าน


 


“แล้วห่าวหยวนอยู่ไหนล่ะ?” พ่อของเขาถาม เขาคิดว่า ลูกชายของเขาออกไปข้างนอกเพื่อไปรับหลานชายของเขา


 


“ผมยังไม่ได้ไปรับห่าวหยวนเลย เมื่อกี้ผมออกไปทำเรื่องอย่างอื่นมาน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด “พ่อรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”


 


“พ่อรู้สึกสบายมากเลยล่ะ” ชายชราพูด


 


“ดี อีกเดี๋ยวผมจะออกไปรับห่าวหยวน” หวังเจ๋อเชิงพูด “ขอไปหาอะไรกินก่อนนะ”


 


เขาเดินเข้าไปในตัวบ้าน


 


“หมอว่ายังไงบ้าง?” ภรรยาของเขาถาม


 


“เขาไม่ยอมลดราคาให้ฉันเลย” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“แล้วพ่อยังต้องกินยาต่ออีกเท่าไหร่?” ภรรยาของเขาถาม


 


“ฉันว่า คงจะได้กินอีกแค่ไม่กี่ขวดเท่านั้นแหละ” หวังเจ๋อเชิงพูด เขาตัดสินใจที่จะยังไม่บอกความจริงกับภรรยาของเขา เพราะเขาไม่ต้องการให้ภรรยาของเขาบ่นเรื่องที่เขาใช้เงินจำนวนมากในการรักษาพ่อของเขา และเขาก็ไม่อยากให้พ่อของเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ภรรยาของเขาไม่พอใจด้วย


 


“เอาละ ฉันจะออกไปรับห่าวหยวนนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“โอเค ขับรถดีดีล่ะ” ภรรยาของเขาพูด


 


ในขณะเดียวกัน หวังเย้าก็กำลังสอนเทคนิคการนวดให้กับพันจวินอยู่ ในระหว่างการสอน พวกเขาก็คุยกันไปด้วย


 


“ผู้ชายคนนั้นเป็นคนหมู่บ้านนี้เหรอ?” พันจวินถาม


 


“ใช่ พ่อของเขาป่วยหนักน่ะ” หวังเย้าพูด


 


“พ่อของเขาป่วยเป็นอะไรเหรอ?” พันจวินถาม


 


“มะเร็งระยะสุดท้าย” หวังเย้าพูด


 


“อะไรนะ?” พันจวินตกใจ “นายคิดจะรักษาคนไข้ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายเหรอ?”


 


“ผมกำลังลองพยายามดูอยู่น่ะ” หวังเย้าพูด


 


“แล้วนายรักษาเขาได้ไหม?” พันจวินถาม


 


หวังเย้าหัวเราะ “พี่กำลังสงสัยความสามารถของผมเหรอ? พูดตามตรงนะ ผมรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเองกำลังขโมยวิญญาณมาจากเงื้อมมือยมทูตยังไงยังงั้นล่ะ”


 


ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่า เขาจะสามารถรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายได้ แต่อีกหลายปีต่อจากนี้ หวังเย้าอาจจะสามารถรักษาได้ก็เป็นได้


 


พันจวินชวนหวังเย้าไปทานอาหารด้วยกันที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน


 


“อาจารย์ ฉันคิดว่ามันน่าเสียดายมากเลยนะ ที่คนแบบนายจะมาอยู่แต่ในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้น่ะ” พันจวินพูด เขาพูดเรื่องนี้มามากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว


 


พันจวินไม่เคยได้รู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของหวังเย้า จนกระทั่งเขาได้มาเรียนเทคนิคการนวดจากหวังเย้าโดยตรง หวังเย้าอาจจะไม่สามารถยื้อคืนชีวิตคนที่ตายไปแล้วได้ แต่เขาก็เป็นหมอที่ฝีมือดียิ่งกว่าหมอที่ถูกเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญด้วยซ้ำ


 


“ผมจะอยู่ที่ไหนมันก็ไม่ต่างกันหรอก” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“อาจารย์ ฉันจะตอบยังไงดี ถ้าเกิดมีคนถามว่าฉันไปเรียนเทคนิคการนวดจากที่ไหนมา?” พันจวินถาม


 


อยู่ๆหวังเย้าก็ได้ยินเสียงเตือนจากระบบ


 


[ภารกิจ: กู้คืนชื่อเสียงที่หายไปเป็นเวลานานของแพทย์ปรุงยา นี่คือภารกิจระยะยาว


รางวัล: ตำราแพทย์ 1 เล่ม และเมล็ดพันธุ์สมุนไพร 3 ถุง


บทลงโทษ: ริบคืนระบบและความรู้ทั้งหมดที่ได้รับไป]


 


นี่มันภารกิจบ้าอะไรกัน? ระยะยาวเหรอ? มันนานแค่ไหนกันล่ะ? แล้ววันสิ้นสุดคือเมื่อไหร่กัน?


 


“อาจารย์? นายโอเคไหม?” เมื่อเห็นว่าหวังเย้ามีท่าทีเหม่อลอย พันจวินก็เรียกเขาเบาๆ


 


“ไม่มีอะไรครับ” หวังเย้าพูด “พี่ก็แค่บอกคนที่ถามไปว่า พี่เรียนจากแพทย์ปรุงยามาได้เลยครับ”


 


“แพทย์ปรุงยาเหรอ?” พันจวินถาม “ดูเหมือนว่าอาจารย์จะเคยพูดชื่อนี้มาก่อน ถ้ามีคนมาถามว่าใครสอนเทคนิคการนวดให้ฉัน ฉันก็จะตอบไปว่า ฉันเรียนกับแพทย์ปรุงยาท่านหนึ่ง แล้วนายมีแซ่ว่าหวัง หรือฉันจะบอกไปว่า ฉันเรียนกับราชาแพทย์ปรุงยา แพทย์ปรุงยาหวังดีล่ะ?”


 


“ไร้สาระน่า” หวังเย้าพูด เขาคิดว่า ตัวเองไม่คู่ควรกับชื่อเรียกนั้น


 


“ฉันแค่ล้อเล่นน่ะ อย่าโกรธเลยนะอาจารย์” พันจวินพูด


 


“ไม่หรอก กินข้าวกันดีกว่านะ” หวังเย้าพูด


 


เขาไม่คิดเลยว่า คำถามจากลูกศิษย์ของเขาที่ถามขึ้นมาในระหว่างที่กำลังทานอาหารกันอยู่นั้น จะทำให้เขาได้รับภารกิจระยะยาวโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เขาต้องกู้คืนชื่อเสียงของแพทย์ปรุงยา มันเป็นภารกิจที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก รวมทั้งเวลาด้วย


 


มันทำให้หวังเย้านึกถึงกวีบทหนึ่ง : ศัตรูที่แข็งแกร่งเปรียบเสมือนกำแพงเสริมใยเหล็กกล้า เราจะปีนป่ายขึ้นสู่สูงสุดเพื่อกำชัย


 


“อาจารย์คิดว่า เมื่อไหร่ที่ฉันเก่งพอจะลงมือเองได้แล้ว?” พันจวินถาม


 


“พี่เหรอ?” หวังเย้ายิ้ม “ยังไม่ใช่เร็วๆนี้หรอก”


 


“โอเค ฉันจะพยายามให้มากกว่านี้” พันจวินพูด


 


หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จ พวกเขาก็กลับไปที่คลินิก


 


“พี่งีบที่นี่ได้เลยนะ มันดีต่อสุขภาพของพี่ด้วย” หวังเย้าพูด หวังเย้าชี้ไปห้องว่างห้องหนึ่ง ที่มีเตียงวางอยู่


 


“โอเค” พันจวินพูด


 


ทั้งหวังเย้าและพันจวินต่างก็พากันนอนกลางวัน คนหนึ่งนอนงีบ ส่วนอีกคนฝึกการหายใจ หวังเย้ากลับมาสอนการนวดให้พันจวินต่อในตอนบ่าย


 


ไม่นานก็มีคนไข้มาที่คลินิก เขาเคยมาหาหวังเย้าแล้วครั้งหนึ่งด้วยอาการท้องเสีย


 


“ขอโทษด้วย ผมรักษาคุณไม่ได้” หลังจากที่ได้มองใบหน้าซีดเผือดของชายวัยกลางคนแล้ว หวังเย้าก็พูดออกมา


 


“ทำไมละ?” คนไข้ถามด้วยความประหลาดใจ


 


“ครั้งก่อน ผมจ่ายยาให้คุณไปกินแล้ว และยังบอกด้วยว่า ห้ามไม่ให้คุณดื่มหรือสูบในช่วงที่กินยาอยู่” หวังเย้าพูด “แล้วคุณได้ทำตามที่ผมบอกไปไหมล่ะครับ?”


 


“ฉัน…ฉันดื่มไปแค่นิดหน่อยเอง” ชายคนนั้นพูดเสียงเบา


 


“นิดหน่อย? จริงเหรอ?” หวังเย้าถาม “สามวันที่ผ่านมา คุณทั้งดื่มทั้งสูบ แล้วคุณก็มีอาการท้องเสียด้วย ถูกไหมครับ?”


 


ชายคนนั้นอยู่ในอาการตกตะลึง “หมอพูดถูกแล้ว”


 


“ตอนนี้ คุณกลับไปได้แล้วครับ” หวังเย้าพูดพร้อมกับโบกมือไล่


 


เขาไม่ต้องการจะเสียเวลากับคนที่ไม่ใส่ใจคำแนะนำของหมอ หรือคนที่ไม่ใส่ใจสุขภาพของตัวเอง


 


“ได้โปรดเถอะนะหมอ! ไหนๆฉันก็มาถึงที่นี่แล้ว!” ชายวัยกลางคนต่อรอง


 


เขาดื่มเหล่าติดต่อกันทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งก็เนื่องมาจากงานที่เขาทำอยู่ บริษัทที่เขาทำงานอยู่ได้ทำการเปิดการทำงานหลังจากผ่านตรุษจีนไปแล้ว หลังจากที่เขากลับไปทำงาน เพื่อนร่วมงานก็เชิญไปทานอาหารเย็นด้วยกัน การที่เขาเป็นคนชอบเข้าสังคมอยู่แล้ว เขาจึงไม่คิดจะปฏิเสธคำเชิญไหนเลย ทุกคนล้วนชวนเขาดื่ม ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถหยุดดื่มได้เลย


 


ในตอนเริ่มแรก เขาทำตามคำแนะนำของหวังเย้าเป็นอย่างดี และกินยาตามเวลาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อผ่านไปได้สองวัน เขาก็รู้สึกดีขึ้น และหยุดท้องเสีย แต่แล้วเขาก็กลับไปดื่มอีกครั้ง และดื่มกินยาอยู่บ่อยๆ สุดท้ายเขาก็กลับมาท้องเสียอีกครั้ง และยังพบว่า เขาถ่ายออกมาเป็นเลือดด้วย เขารู้สึกตกใจมาก จึงได้รีบเดินทางมาหาหวังเย้าอีกครั้ง


 


“คุณควรกลับไปได้แล้ว” หวังเย้าไม่ต้องการเสียเวลาพูดกับชายคนนี้อีก คนไข้ไม่คิดจะสนใจสุขภาพของตัวเองจริงๆ


 


“นี่เป็นหมอประสาอะไรกันน่ะ หา?” ชายคนนั้นเริ่มไม่พอใจ


 


“หยุดทำตัวเสียมารยาทได้แล้ว!” พันจวินยืนขึ้น


 


“มันไม่ใช่เรื่องของนาย” คนไข้พูด


 


“ออกไป” หวังเย้าพูด


 


ร่างของชายคนนั้นเกิดอาการสั่นเทา เขาแทบจะทรุดลงไปที่พื้น


 


เกิดอะไรขึ้น? เขาเหมือนเพิ่งจะได้ยินเสียงระเบิดและรู้สึกหน้ามืด


 


เขาหันไปมองหน้าหวังเย้า ที่นั่งมองเขาด้วยสายตาเย็นชา จากนั้น เขาก็หันไปมองพันจวินที่มีความสูงประมาณ 180 เซนติเมตร


 


“ฮึ่ม! คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?” ชายคนนั้นเดินออกไปจากคลินิก


 


“แปลกคนจริงๆ” พันจวินพูดด้วยท่าทีดูถูก


 


“ความจริง อาการป่วยของเขาค่อนข้างรุนแรงทีเดียว” หวังเย้าพูด


 


เขาสามารถรับรู้ได้ถึงร่างกายที่เสื่อมโทรมลงของชายคนนั้น ดูเหมือนเขาจะขาดพลังฉีและหายใจได้ลำบาก ลมหายใจของเขามีกลิ่นเหม็น ร่างกายของเขายังปล่อยกลิ่นแปลกๆออกมาด้วย ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ร่างกายนี้มีสุขภาพที่ไม่ดี


 


“ใช่ สภาพของเขาดูแย่มาก เหมือนกับว่าจะมีการไหลเวียนของโลหิตและพลังฉีไม่ดีเท่าไหร่” พันจวินพูด


 


“ถ้าเขายังไม่หยุดดื่มและสูบ อวัยวะภายในของเขาก็จะได้รับความเสียหายเป็นการถาวร แล้วเขาก็จะต้องเสียใจในภายหลัง” หวังเย้าพูด


 


มันมักจะมีคนที่ไม่ใส่ใจคำแนะนำของหมออยู่เป็นจำนวนมาก แล้วหลังจากนั้น มันก็สายเกินไปที่พวกเขาจะมานั่งเสียใจ


 


“เรามาต่อกันเลยไหม?” พันจวินถาม


 


“โอเค” หวังเย้าพูด


 


ชายที่เพิ่งจะออกไปจากคลินิกของหวังเย้ารู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก เขาจึงได้ขับรถไปที่โรงพยาบาลประจำเขตเหลียนชาน และบอกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาให้หมอฟัง เพราะเขาเดินทางมาถึงในช่วงบ่าย และได้ทานอาหารและดื่มน้ำเข้าไปแล้ว เขาจึงไม่สามารถเข้ารับการตรวจบางอย่างได้ เขาจำเป็นต้องกลับมาตรวจอีกครั้งในวันพรุ่งนี้


 


พันจวินออกไปจากคลินิกของหวังเย้าตอนเวลาประมาณ 5 โมงเย็น หวังเย้ายังคงนั่งคิดเกี่ยวกับภารกิจที่ได้รับอยู่ภายในคลินิก


 


ฉันจะกู้ชื่อคืนได้ยังไง?


 


เขาพยายามถามระบบดู แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ


 


หลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก็ตัดสินใจที่จะแบ่งออกเป็นสองทาง ทางหนึ่ง เขาจำเป็นต้องสร้างชื่อเสียงที่ดี ส่วนอีกทาง เขาก็ต้องพัฒนาฝีมือของตัวเอง เขาจำเป็นต้องทำทั้งสองอย่าง


 


เขาต้องทำให้ชื่อของแพทย์ปรุงยาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และยังต้องส่งต่อความรู้ไปยังรุ่นต่อๆไปอีกด้วย


 


คนอย่างปรมาจารย์ตั๊กม้อและเตียซำฮงต่างก็ทำผลงานได้ดีในด้านที่ตนเองเชี่ยวชาญ พวกเขาทั้งสองคือผู้ก่อตั้งวัดเส้าหลินและสำนักบู๊ตึ๊ง เพื่อส่งต่อความรู้จากรู่นสู่รุ่น


 


หรือฉันควรจะเปิดเป็นสำนักดี? หวังเย้าเอาแต่คิดเรื่องนี้ไม่หยุด


 


“เฟิงฮวา ฉันว่าเสี่ยวเย้าเหมือนจะมีอะไรในใจนะ” จางซิวหยิงพูด


 


“อืม ปล่อยให้เขาคิดไปเถอะ อย่าไปถามอะไรเลย” หวังเฟิงฮวาพูด


 


หวังเย้าไม่สามารถหยุดคิดถึงภารกิจที่เขาเพิ่งจะได้รับมา แม้กระทั่งเขาเดินขึ้นไปถึงเนินเขาหนานชานแล้วก็ตามที


 


ฉันจะทำภารกิจให้สำเร็จได้ยังไง? แล้วฉันจะกู้ชื่อเสียงของแพทย์ปรุงยาคืนมาและส่งต่อความรู้ของฉันยังไงดี?


 


ความจริง เขาก็ได้เริ่มต้นทำภารกิจตั้งแต่ที่เขาเปิดคลินิกขึ้นมาและสร้างชื่อเสียงในท้องถิ่นแล้ว ทั้งสองอย่างนี้ถือเป็นการสร้างชื่อเสียงในทางที่ดีได้เหมือนกัน เขายังรับลูกศิษย์เพื่อส่งต่อความรู้แล้วคนหนึ่งด้วย


 


ในอนาคต ฉันจำเป็นต้องทำทั้งสองอย่างนี้


 



 


มีลมพัดแรงในเมืองเต๋า คนสองคนกำลังนั่งกันอยู่


 


“เรื่องสร้างอพาร์ทเมนต์ไปถึงไหนแล้วล่ะ?” หนึ่งในสองคนถามขึ้นมา


 


“กำลังเป็นไปด้วยดีครับ” ชายอีกคนพูด


 


“พ่อได้ยินว่า ลูกทำสัญญาเช่าเนินเขาไว้” ชายคนแรกพูด


551 ครั้งแรกที่ได้ยินนามของ “ราชา”


 


“ใช่ครับ ลูกศิษย์ของเขามาพูดเรื่องนี้กับผม” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“เขามีลูกศิษย์ด้วยเหรอ?” ซุนเจิ้งหรงถามด้วยความประหลาดใจ


 


“ผมเคยเปรยให้พ่อฟังคราวก่อนไงครับ ลูกศิษย์ของเขาเป็นหมอทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลประจำเขตเหลียนชานครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“โอ้ พ่อนึกออกแล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องเนินเขานะ ลูกแค่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก็พอ สิ่งสำคัญที่ลูกต้องใส่ใจตอนนี้ก็คือเรื่องสร้างอพาร์ทเมนต์ ต้องดูแลให้การก่อสร้างราบรื่นที่สุด” ซุนเจิ้งหรงพูด


 


“ครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“แล้วลุงหลินกับอาหาวเป็นยังไงบ้าง?” ซุนเจิ้งหรงถาม


 


“พวกเขาสบายดีครับ หมอหวังมาตรวจดูอาการของทั้งสองแล้ว ภายในหนึ่งเดือนนี้ พวกเขาก็น่าจะหายดีแล้วล่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“ดี” ซุนเจิ้งหรงพูด


 


“หมอหวังอาจจะเจอปัญหาบางอย่างด้วยครับ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“พ่อรู้แล้ว พ่อได้คุยกับคนที่เกี่ยวข้องให้แล้ว ลูกมีหน้าที่ที่ต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา พยายามแก้ปัญหาให้เขาโดยที่ไม่ต้องรอให้เขามาขอ” ซุนเจิ้งหรงพูด


 


“แต่เขาก็จะไม่รู้น่ะสิครับ ว่าผมเป็นคนช่วยเขา” ซุนหยุนเชิงพูดด้วยความสับสน


 


“เขาไม่จำเป็นต้องรู้ในทันที แต่สักวันเขาก็จะรู้เองว่าลูกคือคนที่ช่วยเขา และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณในความช่วยเหลือที่ลูกได้มอบให้เขา” ซุนเจิ้งหรงพูด “พ่อต้องการให้หมอหวังเป็นมิตรแท้ของพวกเรา”


 


“ผมเข้าใจแล้วครับ พ่อ” ซุนหยุนเชิงพูด


 


พวกเขาพูดคุยกันอยู่นาน โดยเน้นไปที่เรื่องของธุรกิจ ซุนเจิ้งหรงสร้างธุรกิจขนาดใหญ่ขึ้นมา มันอาจจะดูง่าย แต่คนนอกไม่มีทางรู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะรักษามันเอาไว้ ซุนเจิ้งหรงและคนของเขาต้องระมัดระวังอย่างมากกับการตัดสินใจในทุกๆเรื่อง ถ้าไม่อย่างนั้น ความพยายามทั้งหมดของพวกเขาก็จะสูญเปล่า บริษัทขนาดใหญ่มากมายต้องล้มละลายเพราะการตัดสินใจที่ไม่ชาญฉลาด และยังมีคนอีกมากที่กำลังเฝ้ารอโอกาสเพื่อจะดึงซุนเจิ้งหรงลงมา


 



 


เช้าวันหนึ่ง มีแขกที่คาดไม่ถึงเดินทางมาที่คลินิก เขาเป็นชายชราวัยประมาณ 70 เขามาพร้อมกับชายวัยกลางคนที่ชื่อว่า หานจื้อหยู


 


“ซางเหล่า มาถึงที่นี่ได้ยังไงกัน? เชิญเข้ามาก่อนครับ” หวังเย้าเชิญซางกู้จื้อเข้ามาด้านในคลินิก


 


ซางกู้จื้อถือเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งของหวังเย้า แม้ว่าพวกเขาจะอายุห่างกันมากก็ตามที


 


“เชิญดื่มชาครับ” หวังเย้าใช้ชาที่เติบโตในแปลงสมุนไพรมาชงชาให้กับซางกู้จื้อ


 


“ขอบคุณ” ซางกู้จื้อพูด “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง? งานยุ่งรึเปล่า?”


 


“ไม่เท่าไหร่ครับ ช่วงนี้ของปี ผมจะไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ แต่ผมจะยุ่งช่วงหลังวันตรุษจีนมากกว่า” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม “แล้วซางเหล่าล่ะครับ?”


 


“โอ้ ฉันกลับไปที่บ้านตอนช่วงตรุษจีนน่ะ ตอนนี้ ฉันก็ออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว แต่ฉันดันไปเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้เข้า ฉันก็เลยมาที่นี่ยังไงล่ะ” ซางกู้จื้อพูด


 


“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


หานจื้อหยูคิด ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน? อะไรที่ทำให้หมอซางถึงกับต้องมาขอความช่วยเหลือจากเขาได้?


 


หนึ่งในสมาชิกครอบครัวของหานจื้อหยูป่วยด้วยโรคประหลาด พ่อของเขารู้จักกับซางกู้จื้อมานานกว่า 20 ปี พวกเขาทั้งสองเป็นเพื่อนเก่ากัน ดังนั้น ซางกู้จื้อจึงได้เดินทางมารักษาคนในครอบครัวของหานจื้อหยู แต่ซางกู้จื้อก็ไม่สามารถรักษาเขาได้ ซางกู้จื้อจึงคิดถึงหวังเย้าและตัดสินใจแนะนำหวังเย้าให้ครอบครัวของหานจื้อหยูได้รู้จัก พวกเขาพากันเดินทางมาที่คลินิกของหวังเย้าในทันที


 


เขาเป็นหมอที่เด็กมาก! เขาจะไปทำอะไรได้? หานจื้อหยูมีความคิดเดียวกับคนไข้ส่วนใหญ่ของหวังเย้า ในตอนที่พวกเขาได้เจอหวังเย้าเป็นครั้งแรก


 


“ลูกชายของเพื่อนสนิทของฉันคนหนึ่งป่วยหนักมาก ฉันไปดูอาการเขามาแล้ว แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ฉันก็เลยคิดถึงเธอขึ้นมา และมันก็คือสาเหตุที่ฉันมาอยู่ที่นี่ยังไงล่ะ” ซางกู้จื้อพูด


 


“อาการของเขาเป็นยังไงครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เขาได้รับพิษที่ประหลาดมาก และมันทำให้ร่างกายของเขาเริ่มเน่า” ซางกู้จื้อพูด


 


“พิษประหลาดเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่แล้วล่ะ” ซางกู้จื้อตอบ


 


“เขาอยู่ที่ไหนครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ต้าหลี่” ซางกู้จื้อพูด


 


“ในเมื่อซางเหล่าเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว ผมก็จะไปหาเขาดูครับ” หวังเย้าพูด เขาไม่สามารถปฏิเสธคำขอของซางกู้จื้อได้ “มันอาจจะต้องใช้เวลาประมาณสามสี่วันในการเดินทางไปต้าหลี่ คุณช่วยจัดการเรื่องการเดินทางได้ไหมครับ? เราสามารถออกเดินทางกันได้เลยในตอนบ่าย แต่ผมต้องการเวลาเตรียมสมุนไพรสักหน่อย”


 


“โอเค ฉันไม่รบกวนเธอแล้ว” ซงกู้จื้อพูด


 


“ไม่เลยครับ ไหนๆคุณก็อยู่ที่นี่ แล้วมันก็ใกล้จะได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว เราไปกินข้าวกลางวันด้วยกันดีไหมครับ?” หวังเย้าจัดการจองโต๊ะที่ร้านอาหารใกล้ๆอย่างรวดเร็ว


 


“เธอจะว่าอะไรไหม ถ้าฉันอยากจะเดินดูรอบๆสักหน่อยน่ะ?” ซางกู้จื้อถาม


 


“ตามสบายเลยครับ” หวังเย้าพูด


 


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซางกู้จื้อมาที่คลินิกของหวังเย้า แต่ตัวคลินิกนั้นต่างไปจากครั้งก่อนที่เขาเคยมา เพราะในเวลานั้น หวังเย้ายังไม่ได้จัดขนของเขามาไว้ในคลินิกเลย


 


แล้วสายตาของซางกู้จื้อก็สะดุดเข้ากับตู้เก็บยาสมุนไพร “หืมม นี่เป็นของเก่าใช่ไหม?”


 


เขาใช้มือลูบตัวตู้อย่างเบามือ พร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย คนทั่วไปอาจจะไม่รู้ว่ามันมีความแตกต่างยังไง แต่สำหรับแพทย์แผนจีนแล้ว สิ่งนี้คือของล้ำค่า


 


“ใช่ครับ” หวังเย้าตอบ


 


ซางกู้จื้อดึงลิ้นชักและมองดูสมุนไพรที่ถูกเก็บเอาไว้ เขาหยิบสมุนไพรบางส่วนขึ้นมาแตะตรงที่จมูก


 


“อืมมม สมุนไพรนี่มีคุณภาพสูงมาก” ซงากู้จื้อพูดขึ้นมา หลังจากที่ได้เปิดดูลิ้นชักแต่ละอันแล้ว “ทั้งหมดนี้คือสมุนไพรป่าเหรอ?” ซางกู้จื้อรู้สึกประหลาดใจ


 


“ใช่ครับ” หวังเย้าตอบ


 


“ว้าว วิเศษไปเลย” ซางกู้จื้อพูด


 


“ฉันเดินทางไปมาทั่วประเทศจีน นี่เป็นที่ที่สองที่สมุนไพรทั้งหมดเป็นสมุนไพรป่า” ซางกู้จื้อพูด


 


“โอ้ ที่ที่สองเหรอครับ? แล้วที่แรกคือที่ไหนเหรอ?” หวังเย้าถามด้วยความสงสัย


 


“ที่ทางใต้ของหยุนหนาน” ซางกู้จื้อตอบ “ที่นั่นมีเจ้าแก่ดื้อด้านนิสัยแย่เป็นเจ้าของ” เมื่อพูดถึงชายคนนั้น ซางกู้จื้อก็แสดงสีหน้าประหลาดออกมา ดูคล้ายกับว่า เขาไม่พอใจแต่ก็มีความชื่นชมอยู่ในนั้นด้วย


 


“ผมเดาว่า เขาจะต้องเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมากแน่ๆ” หวังเย้าพูด


 


“เขาเป็นที่รู้จักอย่างมากของทางใต้ พวกเขาเรียกเขาว่า ราชายาแห่งเขตเมี่ยว” ซางกู้จื้อพูด


 


“ราชายา?” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจกับชื่อเรียกนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่มีชื่อเรียกที่นำด้วยคำว่า “ราชา” ก็แสดงว่าคนคนนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆสูงมาก


 


“ตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดว่าเขาเก่งอะไรหอรก แต่ความคิดนั้นก็เปลี่ยนไป ตั้งแต่ที่ฉันได้เห็นเขารักษาคนไข้กับตาตัวเอง เขาใช่สูตรยาลับของเขตเมี่ยว มันเป็นอะไรที่วิเศษมาก แล้วเขาก็ยังรื้อฟื้นสูตรยาโบราณบางตัวเพื่อเอากลับมาใช่ใหม่ด้วย” ซางกู้จื้อพูด


 


เพียงคำบรรยายง่ายๆแค่ไม่กี่ประโยค ก็สามารถทำให้หวังเย้ารู้สึกประทับใจได้แล้ว ใครที่ได้รับคำชื่นชมจากซางกู้จื้อได้ แสดงว่าคนคนนั้นจะต้องเป็นคนที่สุดยอดมากอย่างแน่นอน


 


“เขามีชื่อว่าอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“อู่ซาน” ซางกู้จื้อพูด


 


“อะไรนะครับ?” หวังเย้าถามด้วยความแปลกใจ


 


“ถูกแล้วล่ะ ซานที่แปลว่าสามนั่นแหละ” ซางกู้จื้อพูด ครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อนี้ เขาก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน “เขาเป็นลูกคนที่สาม และนั่นก็คือสาเหตุที่เขาได้ชื่อนี้มา แล้วเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนมันเลย แม้กระทั่งหลังจากที่เขาจะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครกล้าเรียกเขาว่าอู่ซานเลย เพราะทุกคนต่างก็เรียกเขาว่า ราชายา กันหมด”


(三sān = 3)


 


“ผมเข้าใจแล้วครับ” หวังเย้าพยักหน้ารับ


 


“แต่สมุนไพรของเธอก็ดีพอๆกับของเขาเลยล่ะนะ” ซางกู้จื้อพูด


 


“ชมเกินไปแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


ในตอนที่ซางกู้จื้อกำลังสำรวจโดยรอบอยู่นั้น หวังเย้าก็เตรียมสมุนไพรไปด้วย สมุนไพรทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นของที่หาได้ทั่วไป พวกมันมีสรรพคุณในการขับความร้อนสูงออกจากร่างกาย


 


ไม่นานก็ถึงเวลาอาหารกลางวัน หวังเย้าเชิญซางกู้จื้อและหานจื้อหยูไปทานอาหารด้วยกันที่ร้นอาหารใกล้ๆ ซางกู้จื้อและหานจื้อหยู่อยู่รอหวังเย้าที่คลินิก ในขณะที่หวังเย้าขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเพื่อไปเอาสมุนไพรราก ทั้งหญ้าพิษ, ปาเจียวถง, หลิงชานจี, และหญ้าว่านเหนียนชิง


 


ก่อนที่จะลงไปจากเขา หวังเย้าก็เปิดใช้งานค่ายกล แล้วเขาก็กลับไปแจ้งเรื่องการเดินทางกับคนที่บ้าน


 


“ลูกจะไปหยุนหนานบ่ายนี้เหรอ? ทำไมถึงได้รีบร้อนแบบนี้ล่ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“มันเป็นเรื่องด่วนที่ผมต้องรีบไปจัดการน่ะครับ ผมไปแค่สามวันเท่านั้น ผมจัดการทุกอย่างบนเนินเขาหนานชานเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แค่ช่วยคอยจับตาดูเรื่องฟืนไฟก็พอ ที่เหลือก็ไม่มีอะไรให้ห่วงแล้วครับ” หวังเย้าบอกพ่อแม่ของเขา เรื่องที่เขาตั้งค่ายกลและพิษของเซียนชิวหลัว เผื่อว่าพวกเขาจะขึ้นไปบนนั้น เขายังบอกให้พ่อแม่ของเขากินยาที่สกัดจากเซียนชิวหลัวทุกวัน เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทาน


 


“แม่เข้าใจแล้วจ๊ะ ไม่ต้องห่วงพวกเรานะ” จางซิวหยิงพูด


 


หวังเย้า ซางกู้จื้อและหานจื้อหยูเดินทางไปถึงที่เมืองเต๋าในตอนเย็นและขึ้นเครื่องจากที่นั่น เพื่อเดินทางไปต้าหลี่


 


พวกเขาเดินทางไปถึงต้าหลี่ในตอนค่ำ มีรถคันหนึ่งจอดรอพวกเขาอยู่ที่สนามบินแล้ว พวกเขาใช้เวลาจัดการเรื่องสัมภาระเล็กน้อย


 


“นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาต้าหลี่ใช่ไหม?” ซางกู้จื้อถาม


 


“ครับ นี่เป็นครั้งแรกของผมเลย” หวังเย้าพูด


 


“โอ้ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมจะพาคุณทัวร์นะครับ” หานจื้อหยูพูด


 


“ได้ครับ” หวังเย้าพูด


 


หลังจากที่เช็คอินเข้าโรงแรมแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายกันพักผ่อน ตอนเช้า เมื่อกินข้าวเช้าง่ายๆกันเสร็จ พวกเขาก็เดินทางไปที่บ้านของหานจื้อหยู


 


มันเป็นบ้านแบบโบราณ มีสุภาพบุรุษวัยประมาณ 40 มารอต้อนรับหวังเย้าและซางกู้จื้อ


 


“สวัสดีครับ หมอซาง” ชายคนนั้นพูด “และนี่คงจะเป็นหมอหวัง”


 


“สวัสดีครับ” หวังเย้าพูด


 


หลังจากที่ทักทายกันเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าและซางกู้จื้อก็ไปที่ห้องของคนป่วย แม้จะยังไม่ได้เข้าไปด้านในห้อง หวังเย้าก็สามารถได้กลิ่นเหม็นลอยออกมาแล้ว มันคล้ายกับกลิ่นเหม็นของเนื้อที่ติดอยู่ในช่องปากเป็นเวลานานหลายเดือน


 


หวังเย้าและซางกู้จื้อเห็นคนคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง คนคนนั้นถูกพันด้วยผ้าพันแผลทั่วทั้งตัว ข้างๆนั้นมีธูปถูกจุดเอาไว้เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสงบลง หวังเย้าสามารถมองเห็นหน้าอกที่ขึ้นลงของเขาได้ การหายใจของเขาอ่อนแรงมาก


 


หวังเย้าเดินเข้าไปดูใกล้ๆ คนไข้ดูเหมือนจะหลับลึกหรือไม่ก็อาจจะไม่ได้สติ


 


เขาจับดูชีพจรของคนไข้ มันเต้นอ่อนมาก ราวกับน้ำฝนที่หยุดผ่านรอยแตกของบ้าน มันเป็นชีพจรของคนใกล้ตาย


 


คนไข้ติดพิษอย่างรุนแรง และพิษก็ได้ลงลึกไปถึงอวัยวะภายในของเขาแล้ว หวังเย้าคิด อาการของเขาคล้ายกับของซูเสี่ยวซวีเลย


 


หลังจากที่ดูอาการของคนไข้เสร็จแล้ว เขาและซางกู้จื้อก็เดินออกไปจากห้อง


 


“เธอคิดว่ายังไง?” ซางกู้จื้อถาม


 


“พิษได้เข้าสู่อวัยวะภายในของเขาแล้วครับ ตอนนี้อาการของเขาอยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว” หวังเย้าพูด


552 ในวันนั้น นกตายไปหนึ่งตัว


 


“คุณช่วยเขาได้ไหม หมอหวัง?” ชายที่ยืนอยู่ข้างๆซางกู้จื้อถาม


 


“ผมจะพยายามให้ดีที่สุดครับ” หวังเย้าพูด “ช่วยเตรียมห้องเงียบๆให้ผมห้องหนึ่งด้วยครับ”


 


“ได้ครับ ผมจะจัดห้องให้เดี๋ยวนี้เลย” ชายคนนั้นพูด


 


“ยังมีสมุนไพรที่ผมต้องการด้วย รวมถึงอุปกรณ์สำหรับการต้มยาด้วยนะครับ ช่วยเตรียมให้ผมเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ทีนะครับ” หวังเย้าส่งรายการทั้งหมดให้กับชายคนนั้น “จำไว้ด้วยว่า สมุนไพรทั้งหมดจะต้องเป็นสมุนไพรป่านะครับ”


 


“ไม่มีปัญหาครับ” ชายคนนั้นพูด


 


พวกเขาจัดหาสถานที่และนำสมุนไพรมาส่งให้อย่างรวดเร็ว


 


“ในตอนที่ทำยาอยู่ ห้ามเข้าไปรบกวนหมอหวังเด็ดขาด” ซางกู้จื้อพูด


 


“โอ้ ขอโทษด้วยครับ” ชายจากตระกูลหานพูด


 


“เสี่ยวเย้า ฉันจะปล่อยให้เธอทำยาอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ” ซางกู้จื้อพูด หลังจากที่คนของตระกูลหานจากไปแล้ว


 


“ซางเหล่า ผมมีคำถามครับ” หวังเย้าพูด “ในเมื่อตระกูลหานก็อยู่ที่ยูนนาน ทำไมพวกเขาถึงไม่ไปเชิญราชายามารักษาน้องชายของพวกเขาล่ะครับ?”


 


“ราชายาเป็นพวกอารมณ์แปรปรวน เขาทำทุกอย่างตามแต่อารมณ์ ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดี เขาก็จะไม่รักษาคน หานชิ่งกับพี่น้องของเขาดันไปในวันที่เขาอารมณ์ไม่ดีพอดี นกของราชายาตายในวันนั้น เลยทำให้ราชายาอารมณ์เสีย ดังนั้น พวกเขาก็เลยไม่มีโอกาสได้เจอกับเขา” ซางกู้จื้อพูด


 


“พูดจริงเหรอครับ?” หวังเย้าถามด้วยความประหลาดใจ


 


“เขาเป็นตาแก่คนหนึ่ง เมื่อเธอแก่ตัวลง อารมณ์ของเธอก็จะเป็นเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง แล้วเขาก็คือเด็กในร่างคนแก่” ซางกู้จื้อพูด “บางครั้ง เวลาที่ฉันอารมณ์ไม่ดี ฉันก็รู้สึกไม่อยากรักษาคนไข้เหมือนกัน เอาล่ะ ฉันไปก่อนนะ”


 


“ครับ แล้วเจอกัน” หวังเย้าพูด เขาเริ่มลงมือทำยาในทันที


 


ยาตัวแรกมีหน้าที่ในการขับพิษออกจากร่างกายของคนไข้ มันมีส่วนผสมของหลินจือและหญ้าพิษ


 


ยาตัวที่สองมีหน้าที่ในการบำรุงร่างกาย มันมีส่วนผสมของโสม, ป่ายจื๋อ, กานเฉา หวังเย้าใส่หญ้าน้ำแข็งเพิ่มลงไปด้วย เพื่อฤทธิ์ของมันไปหักล้างกับความร้อนในตัวยา โสม, ป่ายจื๋อ, และการเฉาต่างก็มีฤทธิ์ร้อน คนไข้ได้รับพิษที่ส่งผลให้ร่างกายมีความร้อนสูง หากกินสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนเข้าไป ก็จะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยแย่ลงกว่าเดิม หญ้าน้ำแข็งจึงมีหน้าที่ในการเข้าไปดับความร้อนของสมุนไพรและความร้อนภายในร่างกายของผู้ป่วย


 


ยาตัวที่สามก็คือ ยาผงฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ซึ่งมีส่วนผสมของ ชื่อฉือจือ, หวงเยว่เฟิ่น, กานเฉา, เป้ยหมู, หลงกู่, หญ้าว่านเหนียนชิง, หลิงชานจี, และกุยหยวน


 


ขั้นตอนการรักษานั้นคล้ายกับวิธีการรักษาซูเสี่ยวซวี จากความสำเร็จในการรักษาครั้งนั้น หวังเย้าจึงมั่นใจมากว่า เขาจะสามารถรักษาน้องชายของหานชิ่งได้เช่นกัน


 


ไม่นาน ทั่วทั้งบริเวณก็เต็มไปด้วยกลิ่นของสมุนไพร


 


ถึงแม้ว่าหวังเย้าจะไม่ได้ใช่น้ำแร่โบราณและหม้ออเนกประสงค์ อากาศของที่นี่ก็ค่อนข้างเหมาะสมสำหรับการต้มยา มันอบอุ่นและสะอาด ต่างจากในปักกิ่ง


 


หวังเย้าต้มยาเสร็จไปสองตัวในตอนบ่าย


 


“หมอหวัง!” เมื่อเวลาเริ่มเย็นลง ก็มีใครบางคนมาเคาะประตูเรียกเขา


 


“เชิญเข้ามาได้เลยครับ” หวังเย้าพูด เขาก็คือหานจื้อหยู ที่มาเพื่อเชิญหวังเย้าไปทานอาหารเย็น


 


“อาหารเย็นพร้อมแล้ว คุณพักสักหน่อยนะครับ” หานจื้อหยูพูด


 


“ดีครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาค่อยต้มยาตัวที่สามตอนกลางคืนก็ได้


 


“ผมขอไปดูน้องชายของคุณก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้ครับ” หานจื้อหยูพูด


 


พวกเขาทั้งสองไปดูอาหารน้องชายคนเล็กของบ้าน ซางกู้จื้อก็อยู่ในห้องนั้นเช่นกัน หวังเย้าหยิบยาตัวแรกออกมา


 


“นี่เป็นยาที่จะช่วยขับพิษออกจากร่างกายของเขาครับ” หวังเย้าพูด


 


“ขอบคุณครับ” หานชิ่งพูด


 


“อย่าเพิ่งขอบคุณผมเลยครับ ยาตัวนี้มีราคาอยู่ที่ 50,000 หยวนครับ” หวังเย้าพูด


 


ตัวยามีสมุนไพรหลายตัวอยู่ในนั้น ทั้งหลินจือและหญ้าพิษสามใบ มันเรียบง่ายแต่ก็มีประสิทธิภาพสูง


 


“ตกลง!” หานชิ่งรู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็ยอมรับราคานั้น แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ยินดีกับราคาที่ต้องจ่ายเลย ดังนั้น พวกเขาจึงแสดงความเคารพต่อหวังเย้าน้อยลงไปด้วย


 


“ให้เขากินยาตอนนี้ได้เลยครับ” หวังเย้าพูด


 


หานจื้อหยูเอายาให้น้องชายของเขากินเข้าไป หวังเย้านั่งรออยู่ภายในห้องเกือบ 30 นาที เขาจับชีพจรของคนไข้อยู่ตลอด และไม่ได้ออกไปทานอาหารเย็น


 


“เขาเป็นใครเหรอ?” หานจื้อเกาถาม หลังจากที่หวังเย้าออกไปแล้ว


 


“เป็นคนที่หมอซางแนะนำมาน่ะ” หานจื้อหยูพูด


 


“เขายังเด็กมากเลยนะ” หานจื้อเกาพูด “แล้วยาอะไรถึงได้มีราคา 50,000 หยวนกัน? แม้แต่ยาของราชายาก็ยังไม่แพงขนาดนี้ พี่ว่าเขาจะเป็นพวกต้มตุ๋นรึเปล่า?”


 


“ไม่หรอก เขาเป็นคนที่หมอซางแนะนำมา แสดงว่า เขาต้องมีฝีมือพอตัว” หานชิ่งพูด


 


พี่น้องหานเลี้ยงอาหารหวังเย้าและซางกู้จื้อที่ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงยาวนานร้านหนึ่ง พวกเขาปฏิบัติต่อหวังเย้าเป็นอย่างดี และยังพูดป้อยอเขาอีกหลายประโยค


 


หวังเย้าไม่ชอบทานอาหารกับคนแปลกหน้ามากมายแบบนี้


 


หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ซางกู้จื้อก็มานั่งคุยกับหวังเย้าในบริเวณลานบ้าน


 


“เธอไม่ชอบกินข้าวกับพวกเขาเหรอ?” ซางกู้จื้อถาม


 


“ไม่ชอบครับ?” หวังเย้าพูด


 


“ฉันก็เหมือนกัน แต่บางครั้งมันก็จำเป็นล่ะนะ” ซางกู้จื้อพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“พวกเขาอาจจะคิดว่า ผมคิดเงินพวกเขาแพงเกินไปก็ได้นะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ฉันได้คุยเรื่องนี้กับหานชิ่งแล้วล่ะ” ซางกู้จื้อพูด


 


เขารู้เรื่องนี้ ตั้งแต่ที่หวังเย้าไปรักษาโจวหวูยี่แล้วว่า ตัวยานั้นมีราคาสูงมาก แต่มันก็คุ้มค่าในทุกหยด


 


หานชิ่งและพี่น้องของเขาก็กำลังคุยถึงเรื่องนี้อยู่ในห้องนั่งเล่น


 


“หมอที่หมอซางแนะนำมา จะรักษาน้องของเราได้จริงเหรอ?” หานจื้อเกาถาม


 


“หมอคนนั้นได้รับความนับถือจากหมอซางมากเลยนะ” หานชิ่งพูด


 


“แต่ยาของเขาก็แพงเกินไป” หานจื้อเกาพูด


 


“หมอซางพูดเรื่องนี้ให้ฉันฟังตั้งแต่ก่อนที่จะพาเขามาที่นี่แล้ว เขาบอกกับฉันว่า ครั้งหนึ่งหมอคนนั้นเคยคิดเงินค่ายาแพงถึง 1 ล้านหยวนเลยล่ะ” หานชิ่งพูด


 


“ขอแค่เขารักษาน้องของเราได้ ฉันยินดีจ่ายเท่าที่เขาต้องการ” หานจื้อหยูพูด


 


“ฉันเห็นด้วย” หานชิ่งพูด


 


หวังเย้าลงมือทำยาตัวที่สาม ยาผงฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ในคืนนั้นอยู่ภายในบริเวณลานบ้าน เมื่อไม่มีหม้ออเนกประสงค์ เขาก็จำเป็นต้องระมัดระวังในเรื่องของไฟ ที่จะส่งผลต่อสี, รส, และหนาแน่นของตัวยา ระยะเวลาในการใส่สมุนไพรลงไปแต่ละตัวก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย


 


ในที่สุด ตัวยาก็ทำออกมาได้สำเร็จ มันเหนียวหนืดคล้ายน้ำผึ้งและเขียวราวกับหยก


 


ซางกู้จื้อแวะมาดูอาการคนไข้ตั้งแต่เช้าตรู่


 


“อืม ชีพจรของเขาเต้นได้ดีขึ้น” ซางกู้จื้อพูด


 


“เยี่ยม” พี่น้องหานพูด


 


“หมอหวังยังไม่มาอีกเหรอ?” ซางกู้จื้อถาม


 


“ผมให้คนไปเชิญเขามาแล้ว อีกเดี๋ยวก็น่าจะมาครับ” หานจื้อหยูพูด


 


หวังเย้ามาถึงในเวลาไม่นาน และเขาก็เข้าไปจับดูชีพจรของคนไข้


 


“ให้เขากินยาต่อไปนะครับ แล้วผมก็ทำยามาให้เขาอีกตัวด้วย” เขาหยิบยาที่ช่วยเรื่องการฟื้นฟูสุขภาพออกมา “ยาตัวนี้มีราคาอยู่ที่ 20,000 หยวน ให้เขากินพร้อมกันทั้งสองตัวเลยนะครับ”


 


“ตกลงครับ” หานจื้อหยูพูด


 


เขาเอายาทั้งสองตัวป้อนให้น้องชายของเขากินเข้าไป


 


หวังเย้านั่งอยู่ข้างเตียงเป็นเวลา 30 นาที ก่อนที่จะจับดูชีพจรของคนไข้อีกครั้ง เขารอต่อไปอีก 30 นาทีและจับดูชีพจรอีกรอบ เขาทำซ้ำๆแบบนี้อยู่นานถึง 2 ชั่วโมง


 


“เขาเป็นยังไงบ้างครับ?” หานจื้อหยูถาม


 


“เขาเริ่มดีขึ้นแล้วครับ” หวังเย้าพูด


 


“เยี่ยม! เยี่ยม!” หานจื้อหยูรู้สึกยินดีอย่างมาก


 


“ผมมีเรื่องอยากจะถามพวกคุณหน่อยครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้สิครับ เราออกไปคุยกันข้างนอกดีไหม?” หานจื้อหยูเสนอ


 


พวกเขาพากกันออกไปจากห้องคนไข้ และเดินไปที่ห้องนั่งเล่น ชาถูกนำออกมาเสริฟอย่างรวดเร็ว


 


“เขาป่วยได้ยังไงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


หลังจากที่ตรวจดูอาการของคนไข้อย่างละเอียดแล้ว เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าอาการของคนไข้นั้นเหมือนกับอาการของซูเสี่ยวซวี เขาเคยถามซูเสี่ยวซวีมาก่อนแล้ว ว่าเธอได้รับพิษมาได้ยังไง แจ่ก็ไม่มีใครรู้เลย


 


“เอ่อ เราไม่รู้เหมือนกันครับ” หานจื้อหยูพูด


 


“น้องชายของเราเริ่มมีอาการป่วยหลังกลับมาจากเดินทางไปทำธุระครับ เริ่มแรก เขามีไข้ก่อน แล้วไม่นาน เขาก็เริ่มอาเจียนและท้องเสีย ต่อมา น้ำหนักของเขาก็ลดลงเรื่อยๆ” หานชิ่งพูด “เราเลยพาเขาไปที่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลก็ทำการตรวจทั้งจากเลือดและปัสสาวะของเขา ทั้งหมดล้วนมีผลออกมาว่าผิดปกติ น้องชายของเขาเลยได้เข้ารับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล แต่อาการของเขาก็ไม่ดีขึ้นเลย ตรงกันข้าม มันกลับแย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ”


 


“เรายังเคยพาเขาไปรักษาที่ปักกิ่งกับเซี่ยงไฮ้มาแล้ว” หานจื้อหยูพูด “แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย เราก็เลยพาเขาไปหาราชายา แต่โชคร้ายที่วันนั้น ราชายาเกิดอารมณ์เสียขึ้นมาพอดี เราก็เลยไม่ได้เจอเขา”


 


“โชคยังดีที่เรารู้จักกับหมอซาง และเขาก็แนะนำคุณให้พวกเรา” หานชิ่งพูด


 


“สรุปแล้ว ในพวกคุณไม่มีใครรู้ว่าเขาป่วยได้ยังไงสินะครับ” หวังเย้านวดขมับของตัวเอง


 


“มีอะไรเหรอ?” ซางกู้จื้อถาม


 


“พิษในร่างกายของเขา เป็นพิษที่ได้รับจากภายนอกครับ” หวังเย้าพูด


 


“ถ้าอย่างนั้น เขาตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมจะลองถามเขาดูให้นะครับ” หานชิ่งพูด


 


“ได้ครับ” หวังเย้าพูด


 


หวังเย้าปฏิเสธคำเชิญทานอาหารที่บ้านตระกูลหานไป และเลือกที่จะไปทานอาหารที่ร้านเก่าแก่ร้านหนึ่งในตัวเมืองกับซางกู้จื้อแทน พวกเขาสั่งอาหารมาสองสามจานและเหล้าอีกหนึ่งโถ ทั้งสองทานอาหารและพูดคุยกันไปด้วย


 


“ผมเคยเจอคนที่มีอาการแบบเดียวกันมาแล้วครับ” หวังเย้าพูด


 


“จริงเหรอ?” ซางกู้จื้อถามด้วยความประหลาดใจ


 


“เด็กผู้หญิงที่ผมไปรักษาที่ปักกิ่ง เธอมีอาการคล้ายกับน้องชายของหานชิ่งมาก” หวังเย้าพูด


 


“หรือจะเป็นพิษแบบเดียวกัน?” ซางกู้จื้อถาม


 


“ก็อาจจะเป็นไปได้ครับ” หวังเย้าพูด


 


คนหนึ่งอยู่ที่ต้าหลี่ ส่วนอีกคนอยู่ที่ปักกิ่ง คนหนึ่งอยู่เหนือ อีกคนอยู่ใต้ พวกเขาดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันได้เลย


 


เมื่อไหร่ที่ได้ไปปักกิ่ง ฉันจะลองถามคนที่บ้านของซูเสี่ยวซวีดู


 


“แล้วตอนนี้ เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้าง?” ซางกู้จื้อถาม


 


“ตอนนี้ เธอหายดีแล้วครับ” หวังเย้าพูด


 


“จริงเหรอ?” ซางกู้จื้อดวงตาเป็นประกายขึ้นมา


 


“ครับ แต่ขออย่าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าพี่น้องหานนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้สิ ฉันเข้าใจ” ซางกู้จื้อ


 


ทั้งสองพูดคุยกันอยู่หลายเรื่อง หลังผ่านไปได้สักพัก หวังเย้าก็สังเกตเห็นว่า ซางกู้จื้อดูเหนื่อยเล็กน้อย เขาจึงเดาว่า ซางกู้จื้อน่าจะต้องงีบพักในทุกๆวัน


 


“อืม ผมอิ่มแล้วครับ” หวังเย้าพูด “คุณล่ะ?”


 


“ฉันก็อิ่มแล้วเหมือนกัน” ซางกู้จื้อพูด


 


“เราไปกันเลยไหมครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เอาสิ” ซางกู้จื้อพูด


553 จากไปอย่างแน่วแน่


 


ซางกู้จื้อและหวังเย้าเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อพักผ่อน


 


หวังเย้ากลับไปที่บ้านตระกูลหานตอนบ่าย 3 โมง ตอนนี้คนไข้รู้ตัวแล้ว เขาสามารถขยับลูกตาได้ แต่ก็ยังไม่สามารถพูดอะไรได้


 


หวังเย้าจับดูชีพจรของคนไข้ ซึ่งยังคงเต้นอ่อนอยู่


 


“อาการของเขาดีขึ้นแล้ว แต่เขาก็ยังอยู่ในช่วงวิกฤตอยู่นะครับ” หวังเย้าพูด “ผมได้เอายาตัวที่สามมาด้วยแล้ว”


 


พี่น้องหานรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก พวกเขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของน้องชายจากตัวยาทั้งสอง และตอนนี้ น้องชายของพวกเขาก็ได้สติกลับคืนมาแล้ว


 


นอกจากซางกู้จื้อแล้ว พี่น้องหานยังได้เชิญหมอที่มีชื่อเสียงในยูนนานอีกคนมายืนยันอาการน้องชายของพวกเขาด้วย เขาคิดว่า การได้ฟังความคิดเห็นจากหมอคนอื่นเป็นเรื่องที่สำคัญ แล้วในที่สุด พี่น้องหานก็เริ่มเชื่อมั่นในความสามารถของหวังเย้า


 


“ยาตัวที่สามนี้ มีราคาแพงมากนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“เท่าไหร่ครับ?” หานชิ่งถาม


 


“มันมีราคาอยู่ที่ 1 ล้านหยวนครับ” หวังเย้าพูด


 


“เท่าไหร่นะ?” ถึงหานชิ่งจะไม่ได้แสดงท่าทีตกใจออกมา แต่เขาก็รู้สึกอึ้ง รวมถึงพี่น้องของเขาด้วย


 


“นั่นมันแพงมากเลยนะครับ” หานจื้อหยูพูด


 


หวังเย้ามองดูพวกเขาด้วยท่าทีสงบ


 


“ตกลง ผมจะซื้อมันครับ” หานชิ่งพูด หลังจากที่เงียบไปสักพัก


 


“คุณช่วยแกะผ้าพันแผลที่แขนของเขาออกที แล้วก็ขอน้ำเย็นกับกระป๋องฉีดสเปรย์ด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ได้ครับ” หานชิ่งพูด


 


ในหลายๆบ้านมักจะมีของเหล่านี้อยู่แล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถจัดหามาให้ได้อย่างรวดเร็ว


 


หวังเย้าแบ่งยาผงฟื้นฟูกล้ามเนื้อออกมาจากขวดเล็กน้อย จากนั้น เขาก็นำมันไปเจือจางกับน้ำเปล่าในขวดสเปรย์


 


เขานำผ้าพันแผลออกเพื่อเผยให้เห็นผิวหนังที่เน่าเปื่อยของคนไข้ ผิวหนังของเขากลายเป็นสีม่วงสีดำ ทุกส่วนของเนื้อหนังเกิดการเน่าเปื่อย มันคล้ายกับภาพของผืนดินที่ถูกย้อมกับไปแม็กม่า มันเป็นภารที่น่าตกตะลึงอย่างมาก


 


หวังเย้าฉีดตัวยาลงไปที่แขนของคนไข้เบาๆ


 


“ช่วยเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาด้วยครับ” หวังเย้าพูด หลังจากที่เขารักษาเสร็จแล้ว


 


“ได้ครับ” หานชิ่งพูด


 


หวังเย้าปล่อยให้ผิวหนังที่ได้รับยาแห้งลงก่อน จากนั้น เขาก็พันแผลให้คนไข้ด้วยผ้าพันแผลผืนใหม่


 


“ผมจะกลับมาดูอาการของเขาอีกทีวันพรุ่งนี้นะครับ แล้วพวกคุณก็ให้เขากินยาสองตัวแรกต่อเนื่องได้เลย” หวังเย้าพูด


 


“ได้ครับ หมอหวัง” หานชิ่งพูด


 


ความจริงนั้นเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด พี่น้องหานเริ่มเชื่อมั่นในตัวหวังเย้ามากขึ้น


 


“แล้วเจอกันพรุ่งนี้ครับ” หวังเย้าพูด


 


หวังเย้าได้ปฏิเสธคำเชิญทานอาหารเย็นจากพวกเขาอีกครั้ง เขารู้สึกอึดอัดที่ต้องนั่งทานอาหารร่วมกับคนที่เขาไม่คุ้นเคย เขาเลือกที่จะหาอะไรทานง่ายๆและดื่มไวน์สักแก้วกับซางกู้จื้อมากกว่า


 


ตอนที่หวังเย้าออกมาจากบ้านตระกูลหาน เวลายังไม่สายมากนัก เขาจึงตัดสินใจไปเดินเล่นรอบๆต้าหลี่ ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของยุนนาน


 


เขาไม่เคยมาที่ต้าหลี่มาก่อน เขาจึงเดินไปตามถนนอย่างช้าๆ เขาไม่ได้เลือกแวะไปตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของตัวเมือง แต่เขาเลือกที่จะเดินไปเรื่อยๆมากกว่า ไม่นาน เขาก็เดินไปถึงจุดสูงจุดหนึ่งและมองดูทะเลสาบสีเขียวที่งดงาม มันคือทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ที่มีชื่อเสียง


 


เขารีบเดินตรงไปที่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ!


 


เมื่อเขาเห็นว่ามีร้านอาหารตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบ เขาก็เลือกที่เข้าไปทานอาหารเย็นในร้านๆหนึ่ง จากนั้น เขาก็โทรไปชวนซางกู้จื้อให้มาพบเขาที่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่


 


ซางกู้จื้อเดินทางมาถึงในเวลาไม่นาน


 


“โอ้ คุณมาเร็วดีนะ” หวังเย้าพูด


 


“ฉันอยู่ไม่ใกล้จากที่นี่พอดีน่ะ” ซางกู้จื้อพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“เรามาดื่มกันสักหน่อยดีไหมครับ?” หวังเย้าเสนอ


 


“เอาสิ” ซางกู้จื้อตอบ


 


ภายในร้านอาหารเล็กๆ หวังเย้าสั่งอาหารจานพิเศษของทางร้านไปหลายจาน และเหล้าอีกหนึ่งขวด ทั้งสองรื่นรมย์ไปกับการกินดื่มและสายลมที่โชยมาเบาๆ


 


พระอาทิตย์โรยตัวลง พระจันทร์ลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า สว่างเริ่มจางหายไป แต่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ก็ยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน


 


“คนที่นี่ดูผ่อนคลายกันจังเลยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาเฝ้าสังเกตดูผู้คนตลอดทั้งบ่าย ต้าหลี่เป็นเมืองที่ผู้คนใช้ชีวิตกันอย่างไม่เร่งรีบ พวกเขาดูมีความสุขและผ่อนคลาย ซึ่งต่างจากคนที่อาศัยอยู่ในปักกิ่งอย่างสิ้นเชิง


 


“ใช่ ที่นี่อากาศสดชื่น สภาพอากาศก็ดี มันเป็นที่ที่เหมาะกับคนวัยเกษียณมาก” ซางกู้จื้อพูด


 


“คุณคงจะชอบที่นี่สินะครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่” ซางกู้จื้อพูด “แต่จำนวนนักท่องเที่ยวของที่นี่ก็เพิ่มขึ้นทุกปี มันคงไม่สงบอีกต่อไปแล้วล่ะ”


 


“นั่นก็จริง” หวังเย้าพูด


 


หวังเย้าและซางกู้จื้อดื่มกินและพูดคุยกันจนกระทั่งถึงเวลาสามทุ่ม


 


“ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ผมก็คงจะกลับพรุ่งนี้แล้วนะครับ ส่วนยาผมก็จะทิ้งเอาไว้ที่นี่” หวังเย้าพูดในระหว่างทางที่พวกเขาเดินกลับ “มันคงจะต้องใช้เวลาอีกนาน ที่จะรักษาเขาให้หาย”


 


“อืม” ซางกู้จื้อพูด หวังเย้าเคยพูดเรื่องนี้กับเขามาก่อนแล้ว


 


หวังเย้ากลับไปที่บ้านพักที่ตระกูลหานจัดไว้ให้และนอนค้างคืนที่นั่น เขาตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ในวันถัดมา เขาหาอะไรทานง่ายๆและเดินย่อยอาหารรอบบ้านพัก ก่อนที่เขาจะไปหาคนไข้ที่บ้านตระกูลหาน


 


“เอายาสองตัวให้เขากินทีครับ” หวังเย้าพูด หลังจากที่เขาจับดูชีพจรของคนไข้เสร็จแล้ว


 


“ได้ค่ะ” แม่บ้านเอายาให้คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียง


 


การรักษาใช้เวลาอยู่ 2 ชั่วโมง หวังเย้าจับดูชีพจรของเขาถึง 4 ครั้ง


 


“แกะผ้าพันแผลทีครับ” หวังเย้าพูด


 


ผ้าพันแผลถูกแกะออกอย่างเบามือ แขนข้างที่ได้รับการรักษาไปยังคงอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ แต่ถ้าหากมองดูดีดี ก็จะพบว่าเนื้อเยื่อส่วนที่เน่าเปื่อยเริ่มตะสะเก็ดและหลุดหลอกออกไปแล้วบางส่วน สภาพของแขนดูดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก


 


“มันได้ผล” หวังเย้าพูด แน่นอนว่าตัวเขานั้นรู้ถึงประสิทธิภาพของตัวยาดีที่สุด “สเปรย์ตัวยาลงไปที่แขนของเขาเหมือนอย่างที่ผมทำเมื่อวานนะครับ”


 


“ได้ ผมจะทำเอง” หานจื้อหยูพูด


 


เมื่อเทียบกับพี่น้องอีกสองคนที่เหลือแล้ว หานจื้อหยูคือคนที่สนิทกับน้องชายคนสุดท้องคนนี้ที่สุด


 


“ช้าๆ ไม่ต้องรีบครับ” หวังเย้าไม่ได้เข้าไปช่วยหานจื้อหยู แต่เพียงแค่คอยแนะนำอยู่ข้างๆเท่านั้น


 


“วันนี้พอแค่นี้นะครับ ผมจะทิ้งยาเอาไว้ที่นี่ คุณต้องทำตามสิ่งที่ผมเคยบอกไปด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“หมอจะกลับวันนี้แล้วเหรอครับ?” หานชิ่งถาม


 


พี่น้องหานต่างตกใจที่หวังเย้ากำลังจะกลับแล้ว ทั้งที่น้องชายของพวกเขาเพิ่งจะเริ่มดีขึ้นได้ไม่นาน


 


“คุณมีเรื่องด่วนต้องกลับไปจัดการเหรอครับ?” หานชิ่งถาม


 


“ก็ไม่เชิงหรอกครับ” หวังเย้าพูด


 


“อ่อ” หานชิ่งพูด


 


“ผมพูดไว้ก่อนที่จะมาแล้วว่า ผมจะอยู่ที่นี่แค่สามวันเท่านั้น” หวังเย้าพูด


 


“ไม่เป็นไรครับ ผมจะไปจัดการเรื่องการเดินทางให้คุณเอง” หานชิ่งพูด ถึงแม้พวกเขาจะไม่อยากให้หวังเย้ากลับก็ตามที


 


“แต่ว่าพี่…” หานจื้อหยูพูด


 


“พวกนายออกไปจากห้องได้แล้ว” หานชิ่งพูดกับน้องๆของเขา พวกเขาก็เดินออกไปในทันที


 


“ขอโทษแทนน้องของผมด้วยนะครับ พวกเขาแค่กังวลมากไปเท่านั้น เดี๋ยวผมจะไปจัดการเรื่องการเดินทางให้เลยนะครับ” หานชิ่งพูด


 


“ไม่เป็นไรครับ” หวังเย้าพูด “แล้วคุณก็ห้ามเอายาให้คนนอกดูด้วยนะครับ”


 


“แน่นอนครับ” หานชิ่งพูด


 


พี่น้องหานเชิญหวังเย้าทานอาหารกลางวันด้วยกัน แต่เขาก็ปฏิเสธไป และเป็นอีกครั้งที่หวังเย้าออกไปทานอาหารในร้านเล็กๆติดริมทะเลสาบเอ๋อร์ไห่กับซางกู้จื้อ พวกเขาสั่งอาหารมาสองสามจานและเหล้าอีกหนึ่งขวด พวกเขาต่างได้ใช้เวลาดีดีร่วมกัน


 


“เธอรีบกลับขนาดนี้เลยเหรอ?” ซางกู้จื้อถาม


 


“ครับ ผมจะบินกลับบ่ายนี้เลย” หวังเย้าพูด


 


“ฉันคงจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสองวัน” ซางกู้จื้อพูด


 


“ก็ดีนะครับ ที่นี่บรรยากาศดีมาก” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“เธอทิ้งยาไว้กับพวกเขาเหรอ?” ซางกู้จื้อถาม


 


“ครับ” หวังเย้าพูด


 


ซางกู้จื้อพยักหน้ารับ


 


พี่น้องหานและซางกู้จื้อต่างก็พากันไปส่งหวังเย้าที่สนามบิน หลังจากที่พวกเขาทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว


 


“ขอบคุณที่อุตส่าห์มานะ หมอหวัง” ซางกู้จื้อพูด


 


“ด้วยความยินดีครับ ไว้เจอกันคราวหน้านะครับ ซางเหล่า” หวังเย้าพูด


 


“แล้วเจอกันครั้งหน้า ฉันขอบคุณมากที่เธอมาช่วยฉันที่นี่นะ” ซางกู้จื้อพูด


 


“ไม่เป็นไรเลยครับ” หวังเย้าพูด แล้วเขาก็เดินไปขึ้นเครื่อง


 


“เสี่ยวหาน ฉันขอพูดด้วยหน่อยได้ไหม?” ซางกู้จื้อเรียกหานชิ่ง


 


“ได้ครับ มีอะไรเหรอครับ?” หานชิ่งถามด้วยท่าทีเคารพ


 


“หมอหวังเอายาไว้ให้เธอใช่ไหม?” ซางกู้จื้อถาม


 


“ครับ” หานชิ่งพูด


 


“อย่าให้ใครยุ่งกับยานั่นเด็ดขาดเลยนะ เธอจะต้องเป็นคนดูแลพวกมันด้วยตัวเอง” ซางกู้จื้อพูด


 


“แน่นอนครับ” หานชิ่งมองซางกู้จื้อด้วยสีหน้าแปลกๆ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้จะต้องมาคุยกันเป็นการส่วนตัวแบบนี้ด้วย


 


“เธอคงคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรสินะ?” ซางกู้จื้อถาม


 


“ในเมื่อหมอซางบอกให้ผมทำ ผมก็จะทำครับ” หานชิ่งพูด


 


“เธอเป็นคนที่เชื่อถือได้ เหมือนกับพ่อของเธอ จำเอาไว้ให้ดี หมอสามารถรักษาคนและทำร้ายคนได้ในเวลาเดียวกัน และพวกเขาถึงขนาดฆ่าคนได้ด้วยซ้ำ” ซางกู้จื้อพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง


 


“ผมเข้าใจครับ” หานชิ่งพูดด้วยความแปลกใจ แล้วเขาก็เข้าใจความหมายที่ซางกู้จื้อต้องการจะสื่อได้ในทันที “ผมจะดูแลยาทั้งหมดอย่างดีที่สุดครับ”


 


“ดี” ซางกู้จื้อพยักหน้า


 


หลังจากส่งหวังเย้าขึ้นเครื่องและบอกลาซางกู้จื้อแล้ว พี่น้องหานก็พากันกลับไปที่บ้าน


 


“หมอหนุ่มคนนั้นอวดดีจริงๆ เขาไม่คิดแม้แต่จะอยู่ต่ออีกสักวันสองวัน พวกคนเก่งๆนี่ไม่มีใครเข้าหาได้ง่ายสักคนเดียว” หนึ่งในคนของตระกูลหานพูดขึ้นมา “แล้วยาของเขาก็ยังแพงสุดๆอีกด้วย ทำไมยาถึงได้มีราคาเป็นล้านกัน? คุณลุงคิดว่ายังไงฮะ?”


 


“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว” หานชิ่งพูด “ฉันขอห้ามพวกเธอทุกคนบอกคนอื่นเรื่องหมอคนนี้ ใครที่ไม่ทำตามคำสั่งจะถูกลงโทษอย่างหนัก!”


 


ทุกคนต่างพากันเงียบ พวกเขาไม่ต้องการทำให้หานชิ่งที่เป็นคนใจเย็นต้องโมโห


 


“กลับกันได้แล้ว” หานชิ่งพูด


 


เด็กตระกูลหานพากันกลับ ส่วนหานชิ่งและน้องชายยังไม่ไปไหน


 


“พี่ ทำไมพี่ถึงยอมให้เขากลับไปล่ะ?” หานจื้อหยูถามด้วยความไม่เข้าใจ


 


“เราควรรักษาสัญญาที่เราได้รับปากเอาไว้” หานชิ่งพูด


 


“แล้วน้องเล็กของเราจะเป็นยังไงต่อไปล่ะ?” หานจื้อหยูถาม


 


“แล้วนายคิดจะทำยังไง?” หานชิ่งถาม


554 ผู้บุกรุก


 


“ฉันได้ยินมาว่า ราชายามีกฎพิเศษตั้งเอาไว้ด้วย ถ้าหากใครก็ตามสามารถเอายาหรือสมุนไพรแปลกๆไปให้เขาได้ เขาก็จะยินดีทำสิ่งหนึ่งเป็นการตอบแทน” หานจื้อหยูพูด


 


“แล้วยังไงต่อ?” หานชิ่งถาม


 


“พี่เอายาสามตัวนั้นไปให้ราชายา แล้วขอให้เขามารักษาน้องของเราดีไหม?” หานจื้อเกาถาม


 


หานชิ่งจ้องหน้าน้องชายของเขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


“พี่?” หานจื้อเหาเรียกเบาๆ


 


“พวกนายไม่คิดบ้างเหรอว่า เรายังต้องการความช่วยเหลือจากหมอหวังอยู่น่ะ?” หิ่งถาม


 


“ถ้าเรามีราชายาอยู่ด้วย จะเอาเขามาอีกทำไมกันล่ะ?” หานจื้อเกาพูด


 


“แล้วพวกนายไม่ต้องการหมอซางอีกแล้วเหรอ?” หานชิ่งถาม


 


“เอ่อ หมอซางเป็นหมอที่เก่งก็จริง แต่ก็ไม่มีใครเก่งเท่าราชายาได้” หานจื้อเกาพูด


 


ในยูนนาน ราชายามีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก สำหรับคนยูนนานแล้ว เขาคือคนที่สามารถทำได้ทุกเรื่อง


 


“เอาล่ะ!” หานชิ่งพยักหน้า เขาจ้องหน้าน้องชายทั้งสอง “แล้วพวกนายเคยคิดบ้างไหม ว่าราชายาอาจจะไม่สามารถรักษาน้องชายของเราได้?”


 


“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ?” หานจื้อเกาพูด “หวังเย้าคนนั้นยังเด็กอยู่มาก แล้วเขาจะไปเก่งกว่าราชายาได้ยังไงกัน?”


 


“ใช่ๆ พี่ ฉันไม่คิดว่าเขาจะเป็นหมอที่เก่งกว่าราชายาได้หรอก” หานจื้อหยูพูด


 


“ฉันไม่เห็นด้วยกับพวกนายเลย” หานชิ่งพูด “ตระกูลหานรักษาสัญญาเสมอ แล้วพวกนายก็ควรจะคิดให้ดีดีเกี่ยวกับกฎของราชายา ตาแก่นั่นเป็นคนที่แปลกมาก”


 


หานชิ่งเดินออกไป เขาไม่ต้องการพูดเรื่องนี้กับน้องๆของเขาอีก


 


“พี่เขาหมายความถึงอะไรเหรอ?” หานจื้อเกาถาม


 


“นายไม่เข้าใจเหรอ?” หานจื้อหยูถาม “เขาไม่เห็นด้วยกับความคิดของเรายังไงล่ะ”


 


“แต่ฉันว่า มันเป็นความคิดที่ดีทีเดียวนะ” หานจื้อเกาพูด “พี่ใหญ่ของเราเป็นคนดี แต่บางครั้งเขาก็ดื้อดึงเกินไป นายคิดว่ายังไง?”


 


“ฉันเห็นด้วย” หานจื้อหยูพยักหน้า เขาคิดว่า ความคิดของหานจื้อเกาน่าสนใจมาก “ฟังนะ ตอนนี้เราต้องรู้ว่ากฎของราชายาเป็นยังไงกันแน่ แล้วเราก็จะได้คิดแผนขึ้นมาได้”


 


“เราก็อยากจะรักษาสัญญาอยู่หรอก แต่เราก็ไม่รู้ว่าหมอคนนั้นจะรักษาน้องของเราได้รึเปล่า” หานจื้อเกาพูด “แล้วถ้าเราไม่บอก ใครจะรู้ได้ล่ะ? ทั้งหวังเย้าและซางกู้จื้อก็ไม่อยู่กันแล้ว”


 


“โอเค ตอนนี้ เราเก็บเรื่องนี้เอาไว้กับตัว และเลิกพูดเรื่องนี้ไปก่อน” หานจื้อหยูพูด


 


หวังเย้าบินตรงไปลงที่เมืองเต๋า เขาไปถึงก็ตอนที่ฟ้ามืดแล้ว พี่น้องหานได้จัดการจองโรงแรมภายในเมืองเอาไว้ให้เขาเรียบร้อย เขานอนค้างอยู่ที่นั่นหนึ่งคืน และในตอนเช้า ก็มีรถมารับเขาเพื่อไปส่งที่เหลียนชาน


 


มีคนไข้หลายคนมารออยู่ที่หน้าคลินิกของหวังเย้าแล้ว


 


“เขาไม่อยู่เหรอ? แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ?” หนึ่งในคนไข้ถาม


 


“มันก็พูดยากนะ” คนไข้อีกคนพูด


 


“ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนหมู่บ้านนี้เหรอ? เราไปถามที่บ้านของเขาดีไหม?” คนไข้คนหนึ่งถาม


 


“อย่า ไปบ้านเขาไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่ชอบให้คนไปยุ่งที่บ้านของเขา” คนไข้อีกคนพูด “ฉันได้ยินชาวบ้านคนหนึ่งบอกมา ไม่เห็นป้ายที่แขวนไว้หน้าประตูเหรอ?”


 


“แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะทีนี้?” คนไข้คนหนึ่งถาม “เราอุตส่าห์ตั้งใจมาที่นี่แท้ๆ”


 


“ลองรอต่ออีกสักชั่วโมงเถอะ ถ้าเขายังไม่มา เราก็คงต้องกลับมาอีกทีพรุ่งนี้” คนไข้อีกคนพูด


 


พวกเขารอต่ออีกหนึ่งชั่วโมง แต่หวังเย้าก็ยังไม่มา


 


“กลับกันเถอะ” หนึ่งในคนไข้พูด


 


“นี่มันคลินิกแบบไหนกันแน่เนี้ย?” ชายวัยกลางคนบ่น


 


“เลิกบ่นได้แล้ว ต้องโทษฉันนี่ ฉันเป็นคนพาทุกคนมาที่นี่เอง” ชายอีกคนพูด


 


มันเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะไม่พอใจ เพราะพวกเขาต่างก็ตั้งใจเดินทางมาที่นี่กัน แต่กลับไม่ได้เจอหมอ ซึ่งมันทำให้พวกเขาเสียเวลาอย่างมาก


 


สามสิบนาทีหลังจากที่พวกเขากลับไปแล้ว หวังเย้าก็กลับมาถึงที่บ้าน


 


“พ่อ แม่ ผมกลับมาแล้วครับ” หวังเย้าพูด จางซิวหยิงกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารกลางวันอยู่ในครัว


 


“ลูกกินข้าวกลางวันมารึยังจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ยังเลยครับ” หวังเย้าพูด


 


“กินน้ำสักหน่อย แล้วก็ไปนั่งพักก่อนนะ อาหารใกล้เสร็จแล้วล่ะ” จางซิวหยิงพูด


 


ในเมื่อลูกชายของเธอกลับมาแล้ว จางซิวหยิงก็ทำอาหารเพิ่มอีกสองอย่าง หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ทำอาหารเสร็จ “อาหารเสร็จแล้ว”


 


“พ่อล่ะครับ?” หวังเย้าถาม


 


“มีคนเชิญเขาไปกินข้าวด้วยน่ะ มีแค่เราสองคนเท่านั้นแหละ” จางซิวหยิงพูด “เรื่องที่ต้าหลี่เป็นยังไงบ้างจ๊ะ?”


 


“ก็ดีครับ” หวังเย้าพูด


 


“แล้วลูกรักษาคนไข้หายแล้วเหรอ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ยังเลยครับ ผมอยู่ที่นั่นแค่สามวันเท่านั้น ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะรักษาคนไข้จนหายได้” หวังเย้าตอบ “แล้วหลายวันที่ผ่านมา มีใครมารบกานที่บ้านของเราไหมครับ?”


 


“ไม่มีหรอกจ๊ะ แล้วก็ไม่มีใครขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานด้วย” จางซิวหยิงพูด


 


“ดีครับ” หวังเย้าพูด


 


หวังเย้าขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน หลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ซานเซียนแกว่งหางลงมาต้อนรับเขาอย่างมีความสุข


 


“ว่าไง ซานเซียน ดูเหมือนนายจะอ้วนขึ้นนะ” หวังเย้าพูด


 


โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!


 


“ฮาฮา! ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?” หวังเย้าถาม


 


โฮ่ง!


 


“ไม่เหรอ? เกิดอะไรขึ้น?” หวังเย้าสามารถบอกได้ถึงความปิดปกติจากเสียงเห่าของซานเซียน


 


หวังเย้าเร่งฝีเท้าเพื่อเดินไปที่แปลงสมุนไพร เขาเดินตรงไปที่บ้านสุนัขของซานเซียน “นี่ใช่ไหม ที่นายต้องการจะบอกฉันน่ะ?”


 


ภายในบ้านสุนัข มีกระต่ายป่าขนาดเล็กตัวหนึ่งอยู่


 


“นายไปเอามันมาจากที่ไหนเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


ซานเซียนหันหน้าเห่าไปทางเนินเขา


 


“อะไรนะ? นายอยากจะกินกระต่ายหมักซีอิ๋วเหรอ?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม “นี่ ทำไมถึงมองหน้าฉันแบบนั้นล่ะ? หรือนายอยากจะให้ฉันเลี้ยงมันเอาไว้?”


 


โฮ่ง!


 


“โว้ว! นายเป็นหมาที่ใจดีจริงๆนะ!” หวังเย้าลูบศีรษะของซานเซียน “แล้วต้าเซี่ยรู้เรื่องนี้ด้วยรึเปล่า?”


 


สุนัขอาจจะไม่ชอบกินเนื้อกระต่าย แต่กระต่ายคืออาหารโปรดของอินทรี


 


“ก็ได้ ฉันจะพามันกลับไปเลี้ยงที่บ้านให้ เราเลี้ยงกระต่ายเอาไว้ที่นี่ไม่ได้หรอก” หวังเย้าพูด “เดี๋ยวกระต่ายจะกินสมุนไพรของฉันหมดซะก่อน”


 


โฮ่ง!


 


หวังเย้าวางกระต่ายลงไปและเดินดูรอบๆแปลงสมุนไพร หลังจากนั้น เขาก็เดินดูจนทั่วเนินเขา


 


หืม? เมื่อหวังเย้าเดินขึ้นไปจนถึงยอดเขา เขาก็พบว่า ต้นไม้ทางเนินเขาทิศใต้ถูกตัดออกไป เขาจึงเดินลงไปเพื่อดูให้ชัดๆ และพบว่า มีต้นพุทราหลายต้นที่ถูกตัดออกไป


 


ทางทิศใต้ของเนินเขาหนานชานค่อนข้างชัน และมีลักษณะเป็นซุ้มโค้ง ไกลออกไปก็จะมีเนินเขาเล็กๆอีกหนึ่งลูก ชาวบ้านแทบจะไม่ไปแถบนั้นเลย เพราะมันค่อนข้างไกล


 


หวังเย้าอยู่บนเนินเขาหนานชานมาหลายปี เขาจึงรู้ว่า แม้แต่คนเลี้ยงแกะก็ยังไม่ไปที่นั่น เพราะมันชันเกินไป ครั้งหนึ่ง เคยมีคนร่วงลงมาจากตรงนั้นและขาหักด้วย


 


ใครมาที่นี่กัน? เป็นคนในหมู่บ้านเหรอ? หวังเย้าสงสัย


 


จากสัญญาที่ได้ทำเอาไว้ ที่แห่งนี้ถือว่าอยู่ในความครอบครองของหวังเย้า


 


ถ้าหากมีคนมาที่นี่ได้ พวกเขาก็อาจจะสามารถเดินไปถึงทางทิศเหนือของเนินเขาได้ด้วย


 


หวังเย้ารู้สึกกังวลเล็กน้อย “ซานเซียน!” เสียงของเขาดังไกลไปถึงยอดเขาและส่งไปถึงแปลงสมุนไพร


 


ครู่ต่อมา ซานเซียนที่ตัวโตราวกับลูกวัวก็วิ่งลงมาจากยอดเขา เพียงกระโดดแค่ครั้งเดียว ซานเซียนก็สามารถพุ่งไปไกลหลายเมตรแล้ว เมื่อมองจากที่ไกลๆ มันก็ดูไม่ต่างจากสิงโตตัวหนึ่งเลย


 


“มีคนมาที่นี่เหรอ?” หวังเย้าถาม


 


ซานเซียนดมกลิ่นรอบๆดูและเห่าออกมา


 


“มาจากทางไหนเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


ซานเซียนดมกลิ่นและนำทางไป หวังเย้าเดินตามมันไป มันไม่มีรอยเท้าทิ้งไว้แถวนี้เลย และเดิมที ที่นี่เคยมีเส้นทางเล็กๆอยู่ แต่เมื่อไม่มีคนผ่านไปผ่านมา เส้นทางนั้นก็ค่อยๆจางหายไป หวังเย้าไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงมีคนมาที่นี่เพื่อตัดต้นพุทราแค่ไม่กี่ต้นนั้น


 


ซานเซียนหยุดลงที่ตรงหน้าผา ซึ่งมีร่องรอยบางอย่างอยู่ที่พื้น


 


“นี่มันอะไรน่ะ? รังผึ้งเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


เขาเงยหน้าขึ้นมองใต้หน้าผา และพบว่ามีรังผึ้งอยู่ใต้หน้าผาที่สูงขึ้นไปกว่า 6 เมตร แล้วเขาก็หันหน้ากลับไปมองจุดที่เคยมีต้นพุทราอยู่ มันไม่ยากที่จะมองเห็นรังผึ้งเมื่อยืนมองจากจุดนั้น


 


หรือว่าจะมีคนมาเก็บรังผึ้ง แล้วดันไปเห็นต้นพุทราเข้า ก็เลยตัดมันไป?


 


“ไปต่อ ซานเซียน” หวังเย้าพูด


 


ซานเซียนนำทางต่อไป พวกเขาเดินทางถึงทางทิศตะวันตกของเนินเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้น พวกเขาก็เดินต่อไปทางทิศเหนืออีกประมาณหนึ่งชั่วโมง แล้วพวกเขาก็เดินไปถึงเส้นทางที่มุ่งสู่หมู่บ้านของหวังเย้า ในที่สุด ซานเซียนก็ไปหยุดอยู่ที่ประตูบ้านหลังหนึ่ง


 


เป็นคนจากหมู่บ้านของเราเองเหรอ? หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจ


 


“ว่าไง เสี่ยวเย้า” ชาวบ้านคนหนึ่งเดินผ่านมาและเอ่ยทักทายหวังเย้า ชาวบ้านคนนั้นมองไปยังซานเซียนด้วยสายตาที่แปลกประหลาด “นั่นคือหมาเหรอ? มันดูอย่างกับสิงโตแน่ะ!”


 


“สวัสดีครับ คุณลุง” หวังเย้าพูด


 


“ที่นี่เหรอ?” หวังเย้าถามซานเซียน


 


โฮ่ง! ซานเซียนเห่าออกมาครั้งหนึ่ง


 


แกร๊ก! อยู่ๆประตูบ้านหลังนั้นก็เปิดออกมา มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากตัวบ้าน เขาเป็นชายวัยประมาณ 40และมีหนวดเคราอยู่เต็มหน้า


 


“สวัสดี เสี่ยวเย้า เธอมาหาฉันเหรอ?” ชายคนนั้นเอ่ยถาม


 


“สวัสดีครับ คุณลุง” หวังเย้าพูด ชายคนนั้นถือเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของหมู่บ้าน


555 งูดำผู้ดูแลเนินเขา


 


“โอ้โห หมาตัวใหญ่จริงๆ!” เมื่อเห็นซานเซียนที่ยืนอยู่ข้างๆหวังเย้า ชายคนนั้นก็ถอยหลังไปสองสามก้าว ซานเซียนดูคล้ายกับสิงโต และหน้าตาของมันก็ยังดูดุร้ายอีกด้วย


 


หวังเย้าสังเกตเห็นมือของชายคนนั้น มันคือรังผึ้งที่ดูเหมือนว่าจะถูกแช่เอาไว้ในน้ำเป็นเวลานาน แขนของชายคนนั้นก็แดงก่ำราวกับถูกผึ้งต่อยมา


 


“นั่นคือรังผึ้งเหรอครับ?” หวังเย้าค่อนข้างมั่นใจว่า ชายคนนี้คือคนที่ไปที่ด้านหลังเดินเขาหนานชานมา


 


“ใช่แล้วล่ะ ลุงได้มันมาจากหน้าผาที่เนินเขาหนานชานน่ะ” ชายคนนั้นพูด


 


“คุณลุงจะเอามันไปทำอะไรเหรอครับ? หรือคิดจะเอาน้ำมันจากในนั้น?” หวังเย้าถาม


 


“เปล่าหรอก ลุงได้ยินมาว่า น้ำแช่รังผึ้งช่วยรักษาโรคเยื่อจมูกอักเสบได้น่ะสิ” ชายคนนั้นพูด “ลุงชอบป่วยเป็นโรคเยื่อจมูกอักเสบทุกๆฤดูใบไม้ผลิ พอไปเจอรังผึ้งที่เนินเขาหนานชาน ลุงก็เลยเก็บมาได้เพราะโชคช่วยน่ะ ถ้าไม่อย่างนั้น ปีนี้ก็คงต้องทรมานเพราะโรคนี้อีก”


 


“ถูกแล้วล่ะครับ รังผึ้งช่วยรักษาโรคเยื่อจมูกอักเสบได้” หวังเย้าพูด


 


รังผึ้งสามารถใช้ฆ่าแมลงมีพิษ, ขับลม, และบรรเทาความเจ็บปวดได้ มันยังสามารถนำไปต้มในน้ำร้อนเพื่อใช้รักษาโรคเยื่อจมูกอักเสบได้อีกด้วย


 


“เพียงแต่ว่า รังผึ้งที่เก็บในช่วงเวลานี้ของปี จะมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเยื่อจมูกอักเสบได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะสิครับ” หวังเย้าพูด


 


“ขอแค่มันช่วยได้บ้างก็พอแล้วล่ะ” ชายคนนั้นพูด


 


“งั้นผมไปก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ไว้เจอกันนะ” ชายคนนั้นพูด อยู่ๆเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “รอเดี๋ยวก่อน เสี่ยวเย้า!W


 


“ครับ?” หวังเย้าพูด


 


“เวลาที่อยู่บนเนินเขาหนานชานก็ให้ระวังตัวไว้หน่อยนะ มันมีงูตัวใหญ่อยู่บนนั้นด้วย” ชายคนนั้นพูด


 


“งูตัวใหญ่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ใช่ มันเป็นงูสีดำตัวหนึ่ง ตัวยาวเกือบ 3 เมตรและใหญ่เท่านี่เลย!” ชายคนนั้นทำมือเป็นรูปวงกลม


 


“เสี่ยวเฮย!” ฟังจากสิ่งที่ชายคนนั้นพูดมา มันก็ทำให้หวังเย้านึกถึงเสี่ยวเฮยในทันที มันจะต้องเป็นเสี่ยวเฮยแน่ๆ เขาไม่ได้เห็นเสี่ยวเฮยมาสักระยะหนึ่งแล้ว ดูเหมือนว่าเสี่ยวเฮยจะโตขึ้นมากแล้ว “ผมว่า ช่วงนี้งูน่าจะจำศีลกันอยู่ คุณลุงอาจจะตาฝาดก็ได้นะครับ”


 


“ไม่มีทาง! ฉันคงจะไม่ไปอยู่แถวๆหน้าผา ถ้าไม่ใช่เพราะหนีเจ้างูตัวนั้นมา” ชายคนนั้นพูด


 


เขาขึ้นไปเก็บฟืนบนเนินเขาหนานชานเมื่อสองวันก่อน แต่เขาก็เก็บได้ไม่มากนัก ในระหว่างที่เดินอยู่นั้น เขาก็เห็นเสี่ยวเฮยเข้า คนส่วนใหญ่เมื่อเห็นงูก็ต้องรู้สึกหวาดกลัวเป็นธรรมดา โดยเฉพาะงูตัวใหญ่อย่างเสี่ยวเฮย เขาจึงหมุนตัวและวิ่งหนีในทันที สุดท้าย เขาก็วิ่งไปจนถึงบริเวณหน้าผา และบังเอิญไปเห็นต้นพุทราเข้า ในปัจจุบันผู้คนเริ่มให้ความสนใจในเรื่องไม้แกะสลักมากขึ้น และต้นพุทราก็ถือเป็นไม้ดีในหมู่ไม้ที่สามารถหาได้ตามท้องถิ่น เขาจึงตัดมาบางส่วนและเดินต่อไป จนกระทั่งไปเห็นรังผึ้งอยู่ที่ใต้หน้าผา เขาจึงเก็บมาโดยไม่ได้คิดอะไรมาก โชคดี ที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผึ้งกำลังจำศีลอยู่


 


หลังผ่านโชคร้ายมา เขาก็เก็บได้ของดีติดมือกลับมาด้วยถึงสองอย่าง เขาไปเจองูบนเขา แล้วหนีไปจนถึงหน้าผา จากนั้นก็พบไม้อย่างดีและรังผึ้งหนึ่งรัง


 


แน่นอนว่าเขาไม่ได้บอกรายละเอียดทั้งหมดให้หวังเย้าฟัง หลายปีที่ผ่านมา ชาวบ้านได้เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อหวังเย้าไปมาก พวกเขารู้ดีว่า ไม่ควรไปสร้างความไม่พอใจให้กับชายหนุ่มคนนี้เด็ดขาด


 


“เข้าใจแล้วครับ ผมจะระวังตัว” หวังเย้าพูด


 


ตอนนี้ เขารู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น มันเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น หวังเย้าจึงสงบใจลงได้ แต่มันก็ทำให้เขาคิดขึ้นมาได้ว่า ในช่วงฤดูใบไม้ผลิอาจจะมีคนขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานมากขึ้น และพวกเขาบางคนก็อาจจะเผลอเดินเข้าไปในแปลงสมุนไพรด้วย


 


งูเหรอ? แล้วหวังเย้าก็มีความคิดดีดีอย่างหนึ่ง “ซานเซียน เสี่ยวเฮยอยู่ไหนเหรอ?”


 


โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนนำทางหวังเย้าไป พวกเขากลับไปยังทิศใต้ของเนินเขาหนานชาน และหยุดอยู่ตรงหน้าถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นถ้ำที่ค่อนข้างลึกและมืดสนิท


 


โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงเห่าออกไป ไม่นาน หวังเย้าก็ได้ยินเสียงฟ่อๆดังออกมา งูที่มีขนาดใหญ่พอๆกับแขนคนเลื่อยออกมาจากถ้ำ มันแลบลิ้นออกมาและมองไปที่หวังเย้าและซานเซียน


 


“ว่าไง นายโตขึ้นมาเลยนะ” หวังเย้าลูบศีรษะของงูและยิ้มออกมา เสี่ยวเฮยอยู่นิ่งไม่ได้ขยับหนี ราวกับมันรู้จักหวังเย้าดี


 


“ฉันไม่แน่ใจว่า นายจะเข้าใจที่ฉันพูดไหม” หวังเย้าพูด “นายพอจะช่วยเลื่อยไปแถวๆทางเหนือของเนินเขาบ้างได้ไหม?”


 


หวังเย้าชี้ไปอีกด้านหนึ่งของเนินเขา “ไปกันเถอะ ตามฉันมา”


 


งูสีดำเลื่อยตามหวังเย้าและซานเซียนไปยังอีกด้านของเนินเขา ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้แปลงสมุนไพรมากเท่าไหร่ อากาศก็ยิ่งอบอุ่นมากขึ้นเท่านั้น


 


“นายมาแถวนี้บ่อยๆจะได้ไหม?” ระหว่างที่เดินไปตามทางเดินบนเนินเขาหนานชาน หวังเย้าก็พูดกับเสี่ยวเฮย บนเนินเขามีก้อนหินอยู่เต็มไปหมดและทำให้ทางเดินค่อนข้างแคบ ดังนั้น มันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะปลูกพืชในบริเวณนี้ แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนมาก ที่มักจะพาวัวและแกะมากินหญ้าในบริเวณนี้


 


เมื่อปีก่อน หวังเย้าใช้ก้อนหินและต้นไม้ปิดทางเดิน ที่มุ่งสู่แปลงสมุนไพรของเขาเอาไว้ และเขาก็ยังวางแผนที่จะปลูกเพิ่มในฤดูใบไม้ผลินี้อีก


 


เขาไม่แน่ใจว่า เสี่ยวเฮยจะเข้าใจในเขาที่เขาพูดหรือไม่ แต่ในระหว่างที่เดินไป เขาก็ยังคงพูดกับมันไปเรื่อยๆ


 


“เอาล่ะ เท่านี้ก็น่าจะได้แล้ว เรากลับไปที่แปลงสมุนไพรกันเถอะ” หวังเย้าพูด


 


หนึ่งคน สุนัขหนึ่งตัว และงูอีกหนึ่งตัวเข้าไปในแปลงสมุนไพร หวังเย้าไม่รู้ว่าต้าเซี่ยไปอยู่ที่ไหน และตอนนี้ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว


 


“ถ้านายชอบ นายจะอยู่ที่นี่ก็ได้นะ” หวังเย้าพูด


 


เสี่ยวเฮยไม่ได้แสดงออกมามันต้องการจะอยู่หรือไม่ มันเพียงแค่แลบลิ้นของมันออกมาเท่านั้น


 


หวังเย้าดูเวลา “ฉันต้องไปแล้วล่ะ” แล้วเขาก็เดินลงไปจากเนินเขาหนานชาน


 


“พ่อกลับมาแล้วเหรอครับ” หวังเย้าที่เดินผ่านประตูเข้าไป มองเห็นพ่อของเขากำลังปลูกต้นไม้อยู่


 


“เสี่ยวเย้า ไปเอากระต่ายนั่นมาจากไหนเหรอ?” หวังเฟิงฮวาถามขึ้นมา เมื่อเห็นกระต่ายในอ้อมแขนของหวังเย้า


 


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซานเซียนไปเอามันมาจากไหน แต่ผมกลัวว่ามันจะกินสมุนไพรผมจนหมด ผมก็เลยเอามันมาไว้ที่บ้านน่ะครับ” หวังเย้าพูด


 


“อ่อ” หวังเฟิงฮวาพูด


 


หวังเย้าและหวังเฟิงฮวาคุยกันได้สักพัก จากนั้นไม่นาน จางซิวหยิงก็ยกอาหารขึ้นโต๊ะ


 


“งานแต่งเสี่ยวรุ่ยจะจัดวันที่ 26 มกรา นะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด


 


“ครับ” หวังเย้าจำวันที่เอาไว้


 


“อีกสองสามวัน ผมจะไปปักกิ่งนะครับ” หวังเย้าพูด เขารับปากซงรุ่ยปิงและหวูถงชิ่งเอาไว้แล้วว่าเขาจะไป


 


“อืม ไม่ต้องห่วงเรื่องบนเนินเขาหนานชานหรอกนะ” หวังเฟิงฮวาพูด


 


“ขอบคุณครับพ่อ” หวังเย้าพูด


 



 


ต้าหลี่ ลูกชายคนที่สองและสามของบ้านหานกำลังปรึกษาเรื่องบางอย่างกันอยู่


 


“พี่รอง ฉันได้ข้อมูลมาไม่ผิดแน่ คราวนี้ฉันไปได้ข้อมูลจากลูกศิษย์ของราชายาโดยตรงเลยล่ะ” หานจื้อเกาผู้เป็นลูกชายคนที่สามของบ้านพูด


 


“ฉันว่า เราควรจะเอาเรื่องนี้ไปคุยกับพี่ใหญ่ดูก่อนดีกว่านะ” หานจื้อหยูพูด


 


“แล้วถ้าเกิดพี่ใหญ่ไม่เห็นด้วยขึ้นมาล่ะ?” หานจื้อเกาถาม


 


“เราคงต้องแอบขโมยยามาสักส่วนหนึ่ง แล้วเอาไปให้ราชายา” หานจื้อหยูพูด


 


ยายังคงอยู่ และมันก็คือสิ่งที่ช่วยชีวิตน้องชายของพวกเขา มันคงจะไม่เป็นอะไร ถ้าหากพวกเขาจะแบ่งออกไปสักเล็กน้อย แล้วพวกเขาก็จะสามารถเอายาไปแลกเปลี่ยนเพื่อให้ราชายามารักษาน้องของพวกเขา


 


พวกเขาเอาเรื่องนี้ไปคุยกับพี่ชายคนโต และผลลัพธ์ก็ไม่ได้ต่างไปจากที่พวกเขาคาดไว้เลย พี่ชายของพวกเขาไม่เห็นด้วยที่จะนำยาส่วนหนึ่งไปให้กับราชายา


 


“เราจะทำยังไงกันดีล่ะ?” หานจื้อเกาถาม


 


“ในเมื่อพี่ใหญ่ไม่เห็นด้วยกับแผนของเรา เราก็อย่าไปเสียเวลากล่อมเขาเลย พวกเรามาจัดการเรื่องนี้กันเองเถอะ” หานจื้อหยูพูด


 


“ตกลง ฉันเห็นด้วยกับพี่ เรามาช่วยน้องเล็กของเรากัน” หานจื้อเกาพูด


 


สองพี่น้องตัดสินใจดำเนินแผนการของพวกเขาต่อไป


 



 


ในหมู่บ้านเริ่มมืดลง หวังเย้าก็ลงมาจากเนินเขาหนานชาน


 


ในตอนที่เขากำลังทานอาหารอยู่นั้น มือถือของเขาก็ส่งเสียงดังขึ้น มันเป็นสายจากหวูถงชิ่ง


 


“ฮัลโหล คุณหวู” หวังเย้าพูด


 


หวูถงชิ่งโทรมา เพื่อถามว่าหวังเย้าจะเดินทางมาที่ปักกิ่งเมื่อไหร่


 


“ผมจะไปปักกิ่งในอีกสามวันข้างหน้าครับ” หวังเย้าพูด


 


“เยี่ยมครับ” หวูถงชิ่งพูดอย่างยินดี


 


ในขณะเดียวกัน ภายในบ้านของหวังเจ๋อเชิง ลูกชายของเขากำลังเล่นอยู่กับผู้เป็นปู่ ภายในบ้านเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสดใสของเด็กน้อย


 


หวังยี่หลงมีความสุขมาก หลานชายของเขากลับมาที่บ้านเมื่อสามวันก่อน และร้องอยากจะเล่นกับคุณปู่ของเขาตลอดเวลา ถึงแม้ว่าหวังยี่หลงจะรู้สึกเหนื่อย แต่เขาก็อารมณ์ดีมาก


 


“เอาล่ะ ห่าวหยวน ปู่เล่นกับลูกมาทั้งวันแล้วนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด “ให้ปู่ได้ไปพักสักหน่อยดีไหม?”


 


“ไม่เอา ผมจะเล่นกับปู่” ห่าวหยวนพูด เขาเป็นเด็กใสซื่อและเฉลียวฉลาด เขารู้ดีว่า ใครที่ชอบเขา


 


“พ่อไม่เป็นไร อยู่เล่นกับห่าวหยวนต่ออีกสักหน่อยก็ได้” หวังยี่หลงพูด


 


“ก็ได้” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


เวลาเริ่มเย็นลงแล้ว เมื่อได้เล่นมาตลอดทั้งวัน เด็กน้อยก็เริ่มหมดแรงและพล่อยหลับไป


 


“ฉันว่า พ่อใกล้จะกินยาหมดแล้วนะ” ภรรยาของหวังเจ๋อเชิงพูด


 


“ใช่ เขากินยาหมดแล้ว รอดูว่าเขาจะเป็นยังไง แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปที่คลินิกของเสี่ยวเย้าดู” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“เสียดายก็แค่ ยาของเขามันแพงเกินไปน่ะสิ” ภรรยาของเขาพูด


 


“ฉันจะลองไปคุยกับเขาวันพรุ่งนี้อีกที เผื่อว่าเขาจะยอมลดให้ฉันอีกสักหน่อย” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


ในขณะเดียวกัน หวังเย้าก็เตรียมสมุนไพรอยู่บนเนินเขาหนานชาน หวงฉี, ตั่งเชิน, โท้วกู่เฉา, หลินจือ, ป๋ายเฉา, หญ้าหลี่, จื้อชาน, ชานหยาง, กุยหยวน…


 


สมุนไพรทั้งหมดนี้ถูกเตรียมไว้สำหรับรักษาพ่อของหวูถงชิ่ง เขาสามารถใช้สูตรยาเดียวกันนี้ในการรักษาโรคมะเร็งของหวังยี่หลง


 


เขายังต้องเตรียมทำยาอีกตัวหนึ่งด้วย มันมีส่วนผสมของตั่งเชิน, หวูเว่ยจื้อ, ฟู่เฉิน, ป๋ายเฉา, และหยูชวย ยาตัวนี้มีไว้เพื่อรักษาน้องชายของเฉินหยิง


 


หวังเย้าคิด หลังไปปักกิ่งรอบนี้ หวังว่าฉันคงจะไม่ต้องได้ไปอีก


556 ขโมยยา


 


เช้าวันต่อมา ทันทีที่ตะวันโผล่พ้นขึ้นมา หวังเย้าก็ลงมือจุดไฟเพื่อต้มยา


 


“การมีน้ำแร่โบราณกับหม้ออเนกประสงค์สร้างความแตกต่างมากจริงๆ” เขาคิด


 


ถ้าหากมีสองสิ่งนี้อยู่ด้วยตอนที่เขาอยู่ต้าหลี่ การต้มยาก็คงจะง่ายกว่าเดิมมาก และตัวยาก็จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าด้วย


 


ภายในกระท่อมเต็มไปด้วยเสียงของฟืนที่กำลังถูกเผาไหม้ กลิ่นสมุนไพรลอยฟุ้งออกมาจากหม้อ หวังเย้าใส่สมุนไพรลงไปในหม้อทีละชนิด สีของตัวยาค่อยๆเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับรสชาติ


 


หวังเย้าชงชาให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง และนั่งมองหม้อที่ตั้งอยู่เหนือเตาไฟ เวลาค่อยๆไหลผ่านไปเหมือนกับเปลวไฟที่ลุกไหม้


 


ในขณะเดียวกัน หวังเจ๋อเชิงก็มาถึงที่คลินิกของหวังเย้า


 


“ทำไมเขายังไม่กลับมาอีก?” หวังเจ๋อเชิงมาที่คลินิกถึงสองครั้งในตอนเช้า ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขารู้จักนิสัยของหวังเย้า เขาก็คงจะไปตามหาหวังเย้าที่บ้านของเขาแล้ว


 


“ยาก็แพงมากอยู่แล้ว ทำไมถึงยังไม่ใส่ใจเรื่องเวลาอีก?” หวังเจ๋อเชิงบ่นพึมพัมในขณะที่เดินกลับไปที่บ้าน


 


“ได้ยามาด้วยรึเปล่า?” ภรรยาของเขาถาม


 


“ไม่ได้ เขายังไม่มีที่คลินิกเลย” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“เช้านี้ไปมาสองรอบแล้ว ไว้ค่อยไปดูตอนกลางวันอีกทีก็แล้วกัน” ภรรยาของเขาพูด


 


“อืม” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


บนเนินเขาหนานชาน หวังเย้าต้มยาตัวแรกเสร็จแล้ว เขาเทยาลงไปในขวดกระเบื้องสีขาว และจัดการทำความสะอาดภายในกระท่อม ก่อนที่จะออกไป


 


เขาตั้งใจจะทำยาอีกตัวที่มีสรรพคุณปลอบประโลมจิตใจในตอนกลางคืน ดังนั้น เขาจึงไปที่คลินิกหลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ทันทีที่เขานั่งลง เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู หวังเจ๋อเชิงผลักประตูเปิดออกและเดินเข้ามาในคลินิก


 


“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เอ่อ พ่อของฉันกินยาที่เอาไปครั้งก่อนหมดแล้วน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด “หมอช่วยทำยาเพิ่มให้หน่อยได้ไหม?”


 


“โอ้ ขอโทษทีนะครับ” หวังเย้าพูด เขาลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย “ขอผมคิดดูก่อนนะ…ผมจะทำยาให้พ่อของพี่กลางวันนี้ แล้วจะเอาไปส่งให้ตอนกลางคืนนะครับ”


 


“หมอจะเอาไปให้ที่บ้านฉันเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถามด้วยความประหลาดใจ


 


“ครับ แล้วผมก็จะได้ไปตรวจดูอาการของคุณลุงด้วย” หวังเย้าพูด


 


“เยี่ยม! เอ่อ ฉันยังมีอีกเรื่องหนึ่งน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“เรื่องอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“นายช่วยอย่าพูดเรื่องราคายาจะได้ไหม? ฉันบอกพ่อไปว่า ยาราคาแค่ร้อยเดียว ถ้าเขารู้ว่ามันแพงขนาดนั้น เขาคงจะไม่ยอมกินยาอีกเลย” หวังเจ๋อเชิงพูด


 


“พี่คิดรอบคอบดีนะครับ ผมจะไม่พูดแน่นอนครับ” หวังเย้าพูด


 


“นี่เป็นค่ามัดจำยา” หวังเจ๋อเชิงวางเงิน 5,000 หยวนลงไปบนโต๊ะและเดินออกไปจากคลินิก


 


อยู่ๆเขาก็นึกข้นมาได้ว่าตัวเองลืมพูดไปเรื่องหนึ่ง บ้าเอ้ย! ฉันลืมต่อรองเรื่องราคาไปเลย! เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมเวลาที่อยู่ต่อหน้าหวังเย้าแล้วเขามักจะทำตัวไม่ถูกอยู่เสมอ คราวหน้า ฉันจะต้องพูดเรื่องราคากับเขา!


 


เขาเสียดายเงินก็จริง แต่เขาก็รักพ่อของเขามากกว่า


 


หวังเย้าคิด ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ฉันจะทำยาให้พ่อของเขาอีกขวดหนึ่ง


 


หวังเย้าไม่ได้กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน แต่เขาเลือกที่จะต้มยาในคลินิกเลย นอกจากปาเจียงถงที่เป็นสมุนไพรรากแล้ว สมุนไพรอย่างอื่นล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรธรรมดา แต่แน่นอนว่า พวกมันไม่ได้ธรรมดาไม่ซะทีเดียว เพราะสมุนไพรเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถูกเก็บมาจากแปลงสมุนไพรบนเนินเขาหนานชาน ตัวสมุนไพรได้รับการบำรุงด้วยพลังวิญญาณจากค่ายกลทั้งกลางวันและกลางคืน พวกมันจึงมีประสิทธิสูงกว่าสมุนไพรที่ปลูกในโรงเรือนและเก็บจากในป่ามาก


 



 


ในขณะเดียวกัน ที่ต้าหลี่ หานจื้อเกาแอบย่องออกมาจากห้องด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ


 


“เป็นยังไงบ้าง?” หานจื้อหยูที่รออยู่ข้างนอกถาม


 


“ฉันได้มันมาแล้ว” หานจื้อเกาพูด


 


ในตอนที่พี่ชายของพวกเขาติดพันเรื่องงานอยู่นั้น พวกเขาก็แอบเข้าไปขโมยยาทั้งสามที่หวังเย้าทิ้งเอาไว้ให้มาอย่างละน้อย


 


“นายได้มาแค่นี้เองเหรอ?” หานจื้อหยูมองดูยาเพียงน้อยนิดที่อยู่ในถุงพลาสติก


 


“ฉันกลัวว่า ถ้าเอามาเยอะและพี่ใหญ่จะรู้น่ะสิว่าเราแอบขโมยไป” หานจื้อเกาพูด


 


“ช่างมันเถอะ เราแค่ต้องการนิดเดียวเท่านั้น” หานจื้อหยูพูด “นายจะเป็นคนไปหาราชายาใช่ไหม?”


 


“อืม ฉันจะไปเอง” หานจื้อเกาพูด “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย”


 


“ดี รอเดี๋ยวก่อน เอายาแช่ไว้ในน้ำแข็งด้วย ประสิทธิภาพของยาจะต้องเหมือนเดิมตอนที่นายเอามันไปส่งให้ราชายา ถ้าไม่อย่างนั้นเราอาจจะซวยกันได้” หานจื้อหยูพูด


 


“ได้ ไว้คุยกันทีหลังนะ” หานจื้อเกาพูด


 


“ขับรถระวังๆด้วยล่ะ” หานจื้อหยูพูด


 


หานจื้อเกาขับรถออกจากต้าหลี่พร้อมกับยาทั้งสามที่ขโมยมา


 


ภายในบ้านตระกูลหาน หานชิ่งเดินไปตรวจดูยาที่เขาเป็นคนวางเอาไว้


 


“เฮ้อ!” เขาถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เขาวางยาเอาไว้ที่นี่ด้วยตัวเอง แต่กลับมองไม่ออกว่ามีคนแตะต้องมัน


 


ฉันหวังว่ามันจะได้ผลนะ!


 


เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ถ้าหากเขารู้ว่าน้องๆของเขาทำอะไรลงไป เขาก็คงจะไม่ว่าอะไร เพราะถึงยังไง พวกเขาก็เป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา


 


ในขณะเดียวกัน หานจื้อเกาก็ขับรถไปอย่างเร่งรีบ เขาไปถึงเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งก่อนตะวันตกดิน ถนนเต็มไปด้วยหลุมบ่อ มันจึงขับผ่านไปได้ไม่ง่ายเลย


 


“บ้าจริง! ทำไมถึงได้เป็นคนแปลกแบบนี้นะ! ทำไมถึงไม่คิดที่จะไปอยู่ในเมืองกัน? ทำไมจะต้องมาอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้” หานจื้อเกาบ่นออกมาในขณะที่ขับรถอยู่


 


เมื่อเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา ราชายาแห่งเขตเมี่ยวก็ยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดของเขาตามเดิม เขาแทบจะไม่ออกไปจากหมู่บ้านเลย และอาศัยอยู่ที่นั่นมาหลายสิบปีแล้ว คนจำนวนมากเดินทางมาเพื่อเชิญเขาไปรักษาคนไข้ แต่ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถพาตัวเขาออกไกปจากหมู่บ้านได้


 


หานจื้อเกาเดินทางมาถึงหมู่บ้านในตอนที่ดึกมากแล้ว ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถหาห้องว่างในโรงแรมเพื่อเข้าพักได้ และต้องนอนค้างคืนในรถแทน


 


ภายในหมู่บ้านมีโรงแรมอยู่เพียงสามแห่ง และทั้งสามก็เต็มหมด ผู้คนมากมายจากทั่วทุกสารทิศต่างก็เดินทางมาเพื่อพบกับราชายา และมีรายชื่อรอเข้าพบยาวเป็นห่างว่าว ครั้งล่าสุดที่เขาเคยมาที่นี่ เขาได้ยินจากชาวบ้านมาว่า คนที่มารอนานที่สุดคือ ต้องรอนานถึงสองเดือนกว่า และยังมีอีกบางส่วนที่ต้องรอนานกว่านี้ด้วย ถ้าหากราชายาอารมณ์ไม่ดีหรือไม่อยู่ขึ้นมา คนไข้ก็ต้องรอต่อไป ถึงแม้ว่าจะถึงคิวของพวกเขาแล้วก็ตาม ถ้าหากพวกเขาเลือกที่จะยอมแพ้ พวกเขาก็จะถูกตัดรายชื่อออก รายชื่อก็เหมือนกับการไปยืนอยู่ริมน้ำ ถ้าหากพวกเขาไม่ต้องการจะรอ เขาหรือเธอก็จะเสียตำแหน่งนั้นไปในทันที


 


“บ้าบอจริงๆ!” หานจื้อเกาบ่น


 


เขาไม่ใช่แค่คนเดียวที่นอนค้างอยู่ภายในรถ ยังมีรถอยู่อีกอย่างน้อย 60 คันที่จอดอยู่ภายในหมู่บ้าน


 



 


เวลาเริ่มดึกลงแล้ว หวังเย้ากำลังต้มยาตัวที่สามอยู่ ยาตัวนี้มีไว้สำหรับรักษาน้องชายของเฉินหยิง มันมีไว้เพื่อสงบใจของเขา


 


หวังเย้าเลือกต้มยาในตอนกลางคืนเพราะมันคือช่วงเวลาที่สงบที่สุด เขาต้มยาอยู่นานกว่าจะได้เข้านอนก็ดึกมากแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นเหมือนเช่นทุกวันในเช้าของวันใหม่


 



 


หลังใช้เวลาตลอดทั้งคืนอยู่ภายในรถ หานจื้อเกาก็รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว เขาหยิบกล่องที่บรรจุยาทั้งสามเอาไว้ออกมาอย่างระมัดระวัง และลงไปจากรถ เขาเดินตรงไปยังอาคารเก่าๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของหมู่บ้าน พร้อมกับถือกล่องยาเอาไว้อย่างทะนุถนอม ตัวตึกมีสองชั้นและถูกสร้างขึ้นมาจากไม้ไผ่ มีลานบ้านอยู่ติดกับตัวตึกและรั้วกั้นที่มีความสูงพอๆกับมนุษย์คนหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะกระโดดข้ามมันไป


 


มีคนจำนวนหนึ่งมารออยู่ที่ด้านนอกตัวอาคารแล้ว พวกเขารอกันอยู่อย่างเงียบเชียบ ทุกคนต่างถือแผนป้ายที่ทำขึ้นมาจากไม้ไผ่และมีเลขเขียนกำกับเอาไว้


 


“ฉันหวังว่า วันนี้ราชายาจะอารมณ์ดีนะ” คนที่รอคิวอยู่พูดขึ้นมา


 


“ใช่ ฉันรอมาห้าวันแล้ว” อีกคนพูดขึ้น


 


ประตูตึกถูกปิดสนิทจนกระทั่งถึงเวลา 9 โมงเช้า ชายวัยประมาณ 30 คนหนึ่งเดินออกมาจากตัวตึก เขาไม่สูงมาก มีร่างกายผอมแห้งและใบหน้าเรียวยาว เขาดูกระฉับกระเฉงอย่างมาก


 


“วันนี้ ราชายาจะตรวจคนไข้ 6 คน ให้เข้ามาได้ทีละคนเท่านั้น” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังมากนัก


 


“อะไรนะ? แล้วพวกเราที่เหลือล่ะ?” คนที่เหลือในคิวไม่พอใจ


 


“เลิกบ่นได้แล้ว เขาไม่ได้ตรวจคนไข้มาตั้งหลายวันแล้ว” อีกคนที่อยู่ในแถวพูด


 


หลังจากที่ชายวัย 30 คนนั้นประกาศออกไปแล้ว เขาก็หมุนตัวและเตรียมที่จะเดินกลับเข้าไปในตัวตึก


 


“รอเดี๋ยวก่อน!” มีเสียงหนึ่งตะโกนตามหลังเขา


 


“อะไร?” ชายวัย 30 หยุดเดิน


 


ทุกคนต่างก็หันไปมองหานจื้อเกาที่ไม่ได้มีแผนไม้ไผ่อยู่ในมือ กฎมีอยู่ว่า เขายังจะต้องรอต่อไปอีกถึง 10 วัน


 


“ผมอยากจะเจอราชายา” หานจื้อเกาพูด


 


“รู้รึเปล่า ว่าคุณกำลังพูดอะไรออกมาน่ะ?” ชายวัย 30 ถามเสียงเย็น


 


“เอ่อ ผมขอคุยเป็นการส่วนตัวหน่อยได้ไหม?” หานจื้อเกาถาม


 


ชายคนนั้นจ้องหน้าหานจื้อเกาครู่หนึ่ง จากนั้น เขาก็พยักหน้า


 


“ขอบคุณครับ” หานจื้อเกาอุ้มกล่องเดินเข้าไปในสวนขนาดเล็ก จากนั้น เขาก็เดินเข้าไปในป่าไผ่และเดินเข้าไปใกล้ชายคนนั้น หลังจากพูดออกไปสองสามประโยค เขาก็เปิดฝากล่องออก จากนั้นก็เดินเข้าไปในตึก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)