Elixir Supplier 535-544
535 รีบร้อน
เรื่องงานแต่งของพี่สาวเป็นอันว่าได้ข้อสรุปเรียบร้อย
หลังจบมื้อกลางวัน หวังเย้าโทรหาหวังรุ่ยเพื่อถามความคิดเห็นของเธอ
“ฉันดีใจมาก” หวังรุ่ยพูด
จากการที่ได้คบกันมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง เธอรู้สึกได้ว่า ตู้หมิงหยางนั้นดีกับเธอมาก เขาพยายามทำให้เธอมีความสุข พวกเขาเข้ากันได้เป็นอย่างดี ทุกอย่างดีไปหมด ในความเป็นจริงนั้น ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการให้คนรักของพวกเธอเป็นเจ้าชายผู้ร่ำรวยเปี่ยมเสน่ห์, มีพรสวรรค์, และหน้าตาดี ทำไมจะต้องมีข้อเรียกร้องมากมายขนาดนั้นด้วยกัน?
“แล้วนายล่ะ นายกับถงเวยมีเรื่องอะไรกันรึเปล่า?” หวังรุ่ยถาม
“ก็มีปัญหากันอยู่น่ะ” หวังเย้าไม่ได้พูดเรื่องนี้กับพ่อแม่ของเขา แต่เขาก็รู้ว่าพ่อแม่ของเขาน่าจะสังเกตุเห็นความผิดปกติได้ เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้น
“มีปัญหาอะไรกันเหรอ?” หวังรุ่ยถาม
“มันพูดยากน่ะ” หวังเย้าบอกเกี่ยวกับสถานการณ์ให้พี่สาวของเขาฟังอย่างคร่าวๆ
“อืม?” หลังจากที่ได้ฟัง หวังรุ่ยก็ขมวดคิ้ว เดิมทีเธอคิดว่า ปัญหานั้นเกิดจากตัวน้องชายของเธอเอง เธอไม่คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นปัญหาที่ถงเวยแทน นี่ถือเป็นสัญญาณของการเลิกรา “ฉันก็เคยบอกนายไปแล้ว ว่าให้ทำข้าวสารเป็นข้าวสุกซะให้สิ้นเรื่อง ตอนนี้เป็นไงล่ะ นายก็เลยต้องมาเสียใจเพราะไม่เชื่อคำที่ฉันพูด”
หวังเย้าอึ้งไป พี่สาวของเขาเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น ถึงจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้แค่นิดเดียวเท่านั้น
“อย่าเสียใจไปเลย เดี๋ยวนายก็หาที่ดีกว่านี้ได้ โดยเฉพาะตอนนี้ ที่นายมีแต่ข้อดีเต็มไปหมด” หวังรุ่ยพูด “พรุ่งนี้ ฉันจะบอกให้หมิงหยางแนะนำคนดีดีให้นายสักคนก็แล้วกันนะ”
“พี่ พี่กำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของผมหรอก ผมไม่รีบ” หวังเย้าพูด
“นายไม่รีบ แต่พ่อแม่ของเราเขาร้อนใจนะ พวกเขาอยากจะอุ้มหลานกันแล้ว” หวังรุ่ยพูด
“ทำไมต้องมาพูดเรื่องนี้กันด้วย?” หวังเย้าถาม “เรากำลังพูดเรื่องของพี่กันอยู่นะ”
“นี่ ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ” หวังรุ่ยพูด
หลังจากที่วางสายแล้ว หวังเย้าก็บอกกับพ่อแม่ว่าเขาจะไปที่คลินิก เวลาบ่าย 3 โมง มีรถหลายคันขับเข้ามาในหมู่บ้าน
“หืม นั่นมันซุนหยุนเชิงใช่รึเปล่า?” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด
“ใช่เขานั่นแหละ” ชาวบ้านอีกคนพูด
ซุนหยุนเชิงเดินทางมาที่หมู่บ้านพร้อมกับหลินซือเทา, อาหาว, และอีกหลายๆคน
หลังจากที่ขนของลงจากรถแล้ว พวกเขาก็เดินเข้าไปในบ้านพัก ซุนหยุนเชิงเป็นคนเดียวที่เดินแยกไปยังคลินิกของหวังเย้า
“หมอหวัง สวัสดีปีใหม่ครับ” เขาพูด
“เข้ามานั่งข้างในก่อนสิ” หวังเย้าลุกขึ้นยืนและชงชาให้กับเขา “มาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ?”
“เพิ่งมาถึงนี่เองครับ” ซุนหยุนเชิงรับถ้วยชามาและส่งยิ้มให้
“แล้วคราวนี้ จะอยู่กี่วันเหรอ?” หวังเย้าถาม
“อืม ที่คิดไว้ก็น่าจะประมาณเดือนหนึ่งครับ หลักๆแล้วก็เพราะต้องการให้ลุงหลินกับพี่หาวได้อยู่รักษาตัวที่นี่ เราคงต้องรบกวนคุณหมออีกแล้วนะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด เป้าหมายในการมาครั้งนี้ของเขาก็เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหวังเย้า และช่วยให้ลุงหลินและพี่หาวหายดี
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ” หวังเย้ารู้ว่าอาการของคนเหล่านั้นไม่ได้หนักมากนัก พวกเขาแค่ต้องการเวลาเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาแต่อย่างใด
“คืนนี้ มีแผนจะทำอะไรไหมครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“ไม่มี ตอนนี้ยังไม่มีแผนอะไรเลย” หวังเย้าตอบ
“ผมอยากจะเลี้ยงข้าวคุณที่บ้านสักมื้อน่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“ได้สิ” หวังเย้าพูด
หลังจากที่คุยกันได้สักพัก ซุนหยุนเชิงก็กลับไปที่บ้านเพื่อเตรียมอาหาร
ในช่วงบ่าย ไม่มีคนไข้มาที่คลินิกเลย มันไม่มีคนไข้มารักษาเป็นเวลาหลายสิบวันแล้ว หวังเย้าไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรเลย เขากลับดีใจเสียด้วยซ้ำ
“แม่ครับ คืนนี้ผมไม่กลับไปกินข้าวที่บ้านนะครับ” เมื่อกลับไปถึงที่บ้านแล้ว หวังเย้าก็บอกกับแม่ของเขา
“ลูกจะไปไหนเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม
“ซุนหยุนเชิงมาน่ะครับ เขาเลยมาเชิญผมไปกินข้าวเย็นที่บ้านของเขา” หวังเย้าพูด
“อ้อ แม่ได้ยินมาว่า อพาร์ทเมนต์ที่ครอบครัวของเขาลงทุนไปเริ่มสร้างวันที่หกนี้แล้ว การก่อสร้างไปเร็วมาก ชาวบ้านก็พากันกังวลใหญ่เลยล่ะ พวกเขาเอาแต่ถามว่าเขาจะเริ่มให้จองได้เมื่อไหร่” จางซิวหยิงพูด
“มีคนมาถามแม่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่จ๊ะ แม่เลยอยากให้ลูกไปถามเขาให้หน่อยน่ะ” จางซิวหยิงพูด ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน เธอจึงไม่กล้าปฏิเสธคำขอเหล่านี้
“ได้ครับ ผมจะถามให้” หวังเย้าพูด
เมื่อท้องฟ้าหม่นแสง ซุนหยุนเชิงก็ได้เตรียมอาหารน่าตาน่าทานและน่าอร่อยเอาไว้จนเต็มโต๊ะ หวังเย้าก็ไม่ได้มามือเปล่า เขาเอาไวน์และชามาด้วย
หวังเย้ายิ้ม
“หมอหวัง สวัสดีปีใหม่ครับ” หลินซือเทาพูด
“สวัสดีปีใหม่ครับ ลุงหลิน อาหาว” หวังเย้าตอบ
ทั้งสองอยู่ในสภาพที่ไม่เลวนัก
“นี่เป็นอาหารฮวายหยางครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “คุณชอบไหม?”
“มันอร่อยมาก” หวังเย้าพูด
ในระหว่างมื้ออาหาร หวังเย้ายังไม่ได้เอ่ยปากถามเรื่องตึกที่กำลังสร้างอยู่ แต่กลับเป็นซุนหยุนเชิงที่ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“มี 70 กว่าหลังเลยเหรอครับ?” เมื่อได้ยินว่า มีชาวบ้านหลายคน โดยเฉพาะบ้านที่อยู่กันหลายครอบครัวในหลังเดียวคิดที่จะใช้บ้านของพวกเขาแลกซื้ออพาร์ทเมนต์ มันก็ทำให้หวังเย้าต้องตกใจ มันจะทำให้คนในหมู่บ้านลดลงไปเป็นจำนวนมาก มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้
“นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้นนะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “ผมคาดการณ์เอาไว้ว่า อาจจะมีมาเพิ่มอีก”
ในตอนเริ่มต้น ชาวบ้านหลายๆคนเลือกที่จะรอและดูท่าทีเพราะกลัวว่าจะถูกหลอก เมื่อการก่อสร้างเริ่มต้นขึ้น ก็มีชาวบ้านหลายคนมองเห็นเรื่องนี้ และเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา พวกเขาต้องการใช้บ้านของตัวเองแลกซื้ออพาร์ทเมนต์ในตึก บางคนถึงขนาดใช้บ้านสองหลังแลกคนหนุ่มสาวสมัยนี้ มีน้อยคนที่คิดจะกลับมาทำไร่ทำนาที่บ้าน พวกเขาจึงพากันกลัวว่ามันจะสายเกินไป เพราะถ้าหากไม่เหลือห้องให้ซื้อแล้ว มันก็สายเกินกว่าที่จะมาเสียใจทีหลัง
หวังเย้ายกไวน์ขึ้นมาจิบ เขาพูดกับคนทั้งสามเพียงแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น และเขาก็ได้รู้ว่า ซุนหยุนเชิงเริ่มเข้าไปทำงานในธุรกิจของครอบครัวแล้ว ถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะเป็นคนเก่ง แต่ธุรกิจก็ต้องการคนสานต่อ
“ในอนาคต คงจะไม่มีเวลาว่างอีกแล้ว!” ซุนหยุนเชิงพูด
“โอ้ ตอนนี้ก็ต้องใช้เวลาที่มีให้คุ้มที่สุดนะ” หวังเย้าพูด “ไม่มีใครสามารถทำนายได้ว่า ในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“ใช่ คุณพูดถูก” ซุนหยุนเชิงพูด
มื้ออาหารจบลงตอนสามทุ่ม หวังเย้ากลับไปที่บ้านและพูดกับแม่ของเขา
“มี 70 กว่ากลังเลยเหรอ?” เธอรู้สึกตกใจ
“ครับ หมู่บ้านของเรามีกันอยู่กี่หลังเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“277 หลัง” หวังเฟิงฮวาพูด เขาตอบออกมาอย่างชัดเจน และก้มหน้าสูบบุหรี่
“ไม่ใช่ว่า 1 ใน 3 ของทั้งหมดเลยเหรอครับเนี่ย?” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจ
“แม่บอกได้เลยว่า หมู่บ้านของเราคงจะว่างไปเกือบครึ่งเลยล่ะ” จางซิวหยิงพูด
ยิ่งมีชาวบ้านอยู่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเจริญเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เมื่อมันสามารถดึงดูดคนได้มากขึ้น และมีชีวิตชีวาก็มากขึ้นตามไปด้วย มันเป็นวงจรที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน เหมือนอย่างคนที่ไปอาศัยรวมกันอยู่ในเมืองใหญ่ๆ เมื่อมีคนอาศัยอยู่ในพื้นที่น้อยลง ความมีชีวิตชีวาก็ลดลงไป มันก็เหมือนกับหมู่บ้านที่หวังเย้าหวังเย้าเคยเห็นในเขตชนบท ที่มีคนอาศัยอยู่แค่ 50 กว่าหลังคาเท่านั้น และหมู่บ้านแห่งนั้นก็มีโอกาสที่จะหายไปภายในเวลาไม่เกิน 30 ปี เพราะชีวิตในเมืองใหญ่เป็นที่นิยมของผู้คนมากกว่า
“ถ้าเป็นแบบนี้ ในหมู่บ้านของเราก็คงจะเหลือกันอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น!” จางซิวหยิงถอนหายใจ “เราซื้อไว้สักห้องบ้างดีไหม?”
“ซื้อทำไมล่ะ?” หวังเฟิงฮวาถาม “อยู่ที่หมู่บ้านนี้ก็ดีอยู่แล้ว
“แม่อยากจะเข้าไปอยู่ในเมืองเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เปล่าหรอกจ๊ะ ก็แค่เห็นว่ามีคนซื้อบ้านในเมืองกันเยอะ แม่ก็เลยอยากจะทำตามเขาบ้าง” จางซิวหยิงยิ้ม
“ผมมีอพาร์ทเมนต์ในเมืองอยู่ห้องหนึ่งแล้ว เราไม่จำเป็นต้องซื้อเพิ่มอีกหรอกครับ” หวังเย้าพูด ถึงเขาจะมีมันอยู่ เขาก็อาจจะไม่ได้ไปอาศัยอยู่ที่นั่นเลยด้วยซ้ำ
เวลาสี่ทุ่ม หวังเย้าออกจากบ้านและเดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน
…
“เฉินเหล่า อาการพ่อของผมเป็นยังไงบ้าง?” หวูถงชิ่งถาม
“อาการของเขายังคงที่อยู่” เฉินเหล่าพูด “แต่เธอก็ควรจะขอให้เขารีบมาที่ปักกิ่ง เพื่อให้การรักษาอีกครั้งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“ครับ ผมรู้แล้ว” หวูถงชิ่งพูด
เขาเพิ่งจะกลับมาจากเหลียนชานเมื่อไม่นานมานี้ ตารางทำงานของเขาในตอนนี้แน่นเอี๊ยด แต่เขาก็ยังมีแผนที่จะหาเวลาเดินทางไปเหลียนชาน เพื่อไปพาตัวหมอหวังมา
เฉินเหล่ากดรับสายที่โทรเข้ามา
“แกอยู่ไหน?” หมอหลี่ถาม
“ฉันเพิ่งจะออกมาจากบ้านตระกูลหวูน่ะ” เฉินเหล่าพูด “มีอะไรเหรอ?”
“มาที่บ้านของฉันสิ ฉันมีชาอู่หลงอย่างดีที่บ้าน” หมอหลี่พูด
“มันสายเกินกว่าที่จะดื่มชาแล้ว และมันก็ได้เวลาเข้านอนแล้วด้วย มีอะไรก็รีบๆพูดมาซะ” เฉินเหล่าพูด
“ก็เรื่องยาน่ะสิ” หมอหลี่พูด
“ผลวิเคราะห์ออกแล้วเหรอ?” เฉินเหล่าถาม
“มันเป็นอย่างที่แกบอกจริงๆด้วย” หมอหลี่พูด
“ฉันก็บอกแล้ว แต่แกก็ยังไม่ยอมเชื่อ” เฉินเหล่าพูดด้วยรอยยิ้ม
หมอหลี่แบ่งเอายาของหวูถงชิ่งที่ได้มาจากหวังเย้าไปเล็กน้อย เขาพยายามที่จะวิเคราะห์หาส่วนประกอบของมัน และมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะล้มเหลว เพราะเขาไม่รู้จักสมุนไพรบางตัวที่อยู่ในนั้น แล้วเขาจะวิเคราะห์มันออกมาได้ยังไงกันล่ะ?
536 ลูกอกตัญญู
“ฉันก็ยังอยากจะลองอยู่ดี” หลี่เชิ่งหรงที่อยู่ปลายสายพูด
“แกมันแก่เกินไปสำหรับเรื่องนี้แล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วละก็ ฉันวางแล้วนะ” เฉินเหล่าพูด
ดื้อจริงๆ!
ตู๊ด! ตู๊ด!
เฉินเหล่ากดวางสายและสายหน้า มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะ!
เขาก็เป็นคนหนึ่งที่อยากรู้ส่วนผสมของตัวยา เพราะถึงยังไงมันก็เป็นยาที่น่าอัศจรรย์อย่างมาก เขาเคยพยายามวิเคราะห์หาส่วนประกอบของยาอยู่หลายครั้ง แต่แล้วก็ล้มเหลวทุกครั้ง ดังนั้น เขาจึงต้องยอมแพ้ไป
การพยายามอยู่ซ้ำๆ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะคุ้มค่ากับความพยายามในทุกเรื่อง
วันต่อมา มันเป็นวันที่สดใสและแดดจ้า
หวังเย้ามีแขกเดินทางมาพบที่คลินิก เขาก็คือพันจวิน
“อรุณสวัสดิ์ครับ อาจารย์” พันจวินพูด
“วันนี้ไม่มีงานเหรอครับ?” ถึงแม้ว่าตอนแรกเขาจะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่ตอนนี้หวังเย้าก็ชินกับชื่อเรียกว่า “อาจารย์” แล้ว
“วันนี้เป็นวันหยุดน่ะ” พันจวินพูด
“ดีครับ งั้นผมขอถามคำถามหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้เลย” พันจวินพูดอย่างยินดี
เขามาที่คลินิกก็เพราะ เขาคิดว่าตัวเองมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาบ้างแล้ว ดังนั้น เขาจึงอยากจะเรีบนเทคนิคการรักษาจากหวังเย้า
หวังเย้าถามกับพันจวินอยู่หลายคำถาม โดยจะเน้นถามในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเส้นเลือดและจุดฝังเข็มเป็นหลัก สิ่งเหล่านี้คือเรื่องพื้นฐานที่ต้องมีในผู้เรียนแพทย์แผนจีน
พันจวินตอบคำถามทุกข้อได้อย่างไม่มีตกหล่น
“ดีมากครับ” หวังเย้าพูด
พันจวินอยู่ในช่วงอายุ 40 และเรียนแพทย์ตะวันตกมาก่อน เขาจึงต้องใช้ความพยายามในการเรียนรู้อย่างมาก
“ผมจะสอนเทคนิคการนวดให้พี่นะครับ” หวังเย้าพูด
“เยี่ยม” พันจวินพูด เขารอคอยเวลานี้มานานมากแล้ว
หวังเย้าเริ่มต้นที่เทคนิคการนวดขั้นพื้นฐาน คือ การกด, การบีบ, การนวด พันจวินฟังสิ่งที่หวังเย้าสอนอย่างตั้งใจ และยังจดบันทึกเป็นครั้งคราวอีกด้วย
“มาทางนี่สิครับ ผมจะแสดงให้พี่ดู” หวังเย้าพูด
หลังจากที่อธิบายเทคนิคไปเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าก็สาธิตวิธีการนวดโดยใช้ร่างกายของพันจวิน เขายังอธิบายซ้ำในสิ่งที่เขาได้เคยพูดไว้ก่อนหน้านั้น และย้ำเตือนให้พันจวินจำความรู้สึกที่ได้รับ
พันจวินรับรู้ได้ถึงความรู้สึกสบายและอบอุ่น ในจุดที่หวังเย้ากำลังนวดอยู่ โดยเฉพาะที่แผ่นหลังของเขา เขายังรู้สึกสบายยิ่งกว่าตอนที่แช่น้ำร้อนด้วยซ้ำ
“รู้สึกยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันรู้สึกสบายมากเลย” พันจวินพูด
“ผมไม่ได้จะถามว่าพี่รู้สึกสบายรึเปล่า ผมถามเพราะอยากรู้ว่า พี่จดจำความรู้สึกของการนวดได้ไหมต่างหาก” หวังเย้าพูด
“อ่อ ฉันจดจำความรู้สึกนั้นเอาไว้แล้วล่ะ” พันจวินพูด
หวังเย้าไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก แล้วพันจวินก็ศึกษาข้อมูลเหล่านี้ก่อนที่เขาจะมาที่นี่แล้ว ดังนั้น เขาจึงมีความเข้าใจในเทคนิคการนวดได้เป็นอย่างดี หลังจากรวมความรู้ในทางทฤษฎีและทางปฏิบัติเข้าด้วยกัน มันก็ทำให้เขาสามารถเรียนรู้ได้เร็วขึ้น
“โอเคครับ ตอนนี้เป็นตาของพี่บ้างแล้ว มานวดให้ผมทีครับ” หวังเย้าชี้ไปที่แผ่นหลังของตัวเอง
“โอเค” พันจวินกระตือรือร้นที่จะลองทำด้วยตัวเองอย่างมาก
“ให้ใช้เทคนิค อย่าใช้แรงอย่างเดียวครับ” หลังจากที่เขากดลงไปบนแผ่นหลังของหวังเย้าได้สองครั้ง หวังเย้าก็เอ่ยบอกเขา “ดูให้แน่ว่าพี่ไล่ไปตามเส้นเลือดรึเปล่า”
“แล้วก็อย่ารีบครับ” ในตอนที่พันจวินกำลังนวดให้เขา หวังเย้าก็จะเอ่ยปากบอกอยู่อย่างต่อเนื่อง
หวังเย้าสามารถบอกปัญหาสุขภาพได้จากการนวดให้พ่อแม่ของเขา
“ฉันเข้าใจแล้ว” พันจวินพูด
หวังเย้าใช้เวลาสอนเทคนิคการนวดให้กับพันจวินตลอดทั้งเช้า
“วันนี้พอก่อนนะครับ ถ้ามีเวลาก็ให้โทรมาหาผมก่อน ผมจะดูว่าพอจะแบ่งเวลาสอนพี่ได้ไหมนะครับ” หวังเย้าพูด
“โอเค” พันจวินพูด “แล้วฉันเอาเทคนิคนี้ไปนวดให้คนในบ้านฉันได้ไหม?”
“ได้สิครับ แต่ก็ต้องทำอย่างระมัดระวังนะครับ เพราะการนวดใช่ว่าจะเหมาะกับทุกคน พี่เพิ่งจะเรียนเทคนิคการนวดไป ดังนั้น พี่ต้องเลี่ยงจุดอันตรายบนร่างกายของมนุษย์ให้ดีดีด้วย” หวังเย้าพูด
“แน่นอน” พันจวินพูด เขาออกไปจากคลินิกพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ถึงแม้ว่าเขาจะอายุ 40 กว่าแล้ว แต่เขาก็ยังยิ้มแย้มราวกับเด็กน้อย ตอนนี้ เขามีความสุขมากจริงๆ
หลังมื้อหลางวัน หวังเจียนหลี่ก็มาหาหวังเย้า
“สวัสดี เสี่ยวเย้าอยู่บ้านไหม?” หวังเจียนหลี่ถาม
“สวัสดีครับ คุณลุง มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ลุงมีเรื่องอยากจะถามเธอสักหน่อยนะ” หวังเจียนหลี่พูด
“เชิญเข้ามาก่อนสิครับ” หวังเย้าเชิญหวังเจียนหลี่เข้ามาในบ้านและชงชาให้กับเขา
“คุณซุนมาคุยกับลุงเมื่อวานน่ะ เขาขอให้ลุงยืนยันตัวเลขของคนที่ต้องการจะเอาบ้านแลกกับพาร์ทเมนต์ในเมือง” หวังเจียนหลี่พูด “ลุงเอาแต่คิดเรื่องนี้ทั้งคืน แล้วลุงก็เข้าไปในเมืองอีกรอบเพื่อยืนยันเรื่องจำนวนตัวเลข”
“เรื่องนั้นน่าจะไม่มีปัญหาอะไรนี่ครับ” หวังเย้าพูด
เขาได้ยินจากซุนหยุนเชิงว่า มันไม่มีปัญหาอะไรในเรื่องของเอกสาร ซุนหยุนเชิงจัดการทุกอย่างเพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ไว้เรียบร้อยหมดแล้ว
“มันก็มีปัญหาอยู่เรื่องเดียวก็คือ มีชาวบ้านหลายคนที่อยากจะเอาบ้านไปแลกน่ะสิ” หวังเจียนหลี่พูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา
“มีกี่หลังเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“141 หลัง” หวังเจียนหลี่พูด
“อะไรนะครับ?” หวังเย้าตกใจ จำนวนตัวเลขเพิ่มเป็นสองเท่าจากที่เขาได้ยินมาเมื่อวันก่อน
“ทั้งหมดก็น่าจะประมาณ 150 ได้” หวังเจียนหลี่พูด
“สรุปแล้ว ชาวบ้านส่วนใหญ่อยากจะย้ายออกกันสินะครับ” หวังเย้าพูด
“ใช่ เธอพูดถูก” หวังเจียนหลี่พูด
เขากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีคนไม่มากที่อยากจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านต่อ พวกเขาส่วนใหญ่ต้องการย้ายเข้าไปอยู่ในตัวเมือง แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านแห่งนี้ล่ะ? ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ทำไร่ทำนากัน และจำนวนของคนที่ต้องการย้ายออกก็สูงเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้ เขาเคยคิดว่า อาจจะมีคนอยากย้ายออกแค่ไม่กี่สิบหลังเท่านั้น จำนวน 150 นั้นสูงเกินคาดอย่างมาก
“มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ในตัวเมืองสูงขึ้นมาก” หวังเจียนหลี่พูด “ชาวบ้านส่วนใหญ่เลือกที่จะเอาบ้านไปแลกก็เพื่อลูกๆของพวกเขา ยังมีบางคนที่จ่ายมัดจำอพาร์ทเมนต์อื่นเอาไว้แล้วด้วย พวกเขากำลังจะยกเลิกสัญญาที่ทำเอาไว้ เพราะยังไงก็ยังไม่ได้ทำการตกแต่งเอาไว้อยู่แล้ว พวกเขาไม่เสียดายค่ามัดจำเท่าไหร่”
สำหรับครอบครัวคนธรรมดาในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศจีน ที่ไม่ใช่แค่ในเมืองหลวงเท่านั้น การซื้ออสังหาริมทรัพย์คือการผลาญทรัพย์ก้อนใหญ่ พวกเขาต้องเก็บเงินสำหรับค่ามัดจำ และทำเรื่องขอกู้กับทางธนาคาร ซึ่งสัญญาเงินกู้มักจะมีระยะเวลาประมาณ 10-20 ปี
“เธอมีอพาร์ทเมนต์พอสำหรับชาวบ้านรึเปล่า?” หวังเจียนหลี่ถาม
“พอครับ ผมไปดูที่ก่อสร้างมาแล้ว มันมีขนาดใหญ่มาก” หวังเย้าพูด
อพาร์ทเมนต์ที่สร้างขึ้นมาสองตึกนั้นไม่เพียงพอสำหรับชาวบ้านทุกคนแน่ แต่พื้นที่บริเวณนั้นกว้างพอที่จะสร้างได้อีกถึงสิบกว่าตึก ซุนเจิ้งหรงอาจจะไม่ใช่นักพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน แต่เขาก็มีประสบการณ์ในเรื่องนี้อยู่มาก มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับบริษัทของเขา ที่จะสร้างอาคารที่อยู่อาศัยหลายตึกรวมกัน
“เยี่ยม! ลุงจะได้ไปถามกับชาวบ้านเพื่อยืนยันเรื่องนี้อีกรอบ” หวังเจียนหลี่พูด
“ได้ครับ” หวังเย้าพูด “มีเรื่องอะไรให้ผมช่วยอีกไหมครับ?”
“ไม่มีแล้วล่ะ ขอบคุณมากนะ” หวังเจียนหลี่พูด
เขาอยู่คุยกับหวังเย้าและหวังเฟิงฮวาต่ออีกเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับ
“ไม่คิดเลยว่า ลุงเจียนหลี่จะกระตือรือร้นกับเรื่องนี้มากขนาดนี้” หวังเย้าพูด
“ก็อย่างว่าละนะ พอคนพวกนั้นย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองแล้ว ที่นี่ก็จะเหลือแต่คนอายุ 50 กว่า อย่างพ่อกับแม่ของลูก หรือไม่ก็คนที่แก่กว่านี้ พวกเขามีแต่ต้องการความช่วยเหลือ แล้วก็มีกำลังทำอะไรไม่ได้มาก เพราะคนที่มีแรงก็ย้ายออกไปกันหมด” หวังเฟิงฮวาพูด “เธอคิดว่า เขาจะมีความสุขไหมล่ะ? แล้วอีกเดี๋ยว ไร่นาพวกนี้ก็จะกลายเป็นที่ร้างไป”
“ไม่หรอกครับ เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีคนดูแลไร่นาบนเขา ผมจะทำเอง” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมจะต้องเอาที่ดินมากมายขนาดนั้นด้วย? แค่แปลงสมุนไพรบนเนินเขาหนานชานยังไม่พออีกเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงที่บังเอิญมาได้ยินคำพูดของหวังเย้ากับหวังเฟิงฮวา ก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ผมจะปลูกต้นไม้กับสมุนไพรครับ บนเนินเขาหนานชานมีที่ให้ปลูกไม่มากแล้ว” หวังเย้าตอบ
เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง เขาตั้งใจที่จะปลูกต้นไม้เพิ่ม แต่เขาก็จำเป็นต้องวางแผนให้ดี ต้นไม้ที่จะปลูกใหม่ต้องไม่กระทบกับค่ายกลของเขา
ระหว่างทางกลับขึ้นไปบนเขา หวังเย้าก็บังเอิญเจอเข้ากับชายชราที่มาหาเขาที่คลินิกเมื่อสองสามวันก่อน ชายชรามีสภาพที่แย่ลงกว่าเดิมมาก ดวงตาของเขาฝ้าฟางและเดินไม่มั่นคง มันดูราวกับว่า เขาสามารถถูกลมพัดปลิวไปได้ทุกขณะ
“คุณลุงได้ไปโรงพยาบาลแล้วรึยังครับ?” หวังเย้าถาม
“ยังเลย” ชายชราตอบอย่างอ่อนแรง เสียงพูดของเขาถูกสายลมพัดปลิวหายไปอย่างรวดเร็ว
อาการของชายชรานั้นเกินกว่าที่จะรักษาได้แล้ว พลังของเขาหดหายลงไปทุกที ซึ่งเป็นสัญญาณของชีวิตที่ใกล้ดับสูญ
“แล้วไม่ได้โทรไปบอกลูกสาวของคุณลุงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ตอนนี้ เธอต้องดูแลเด็กเล็กสองคน แค่นี้เธอก็เหนื่อยมากแล้วล่ะ” ชายชราพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา
พ่อแม่ส่วนใหญ่มักไม่ต้องการสร้างภาระให้กับลูกๆ นอกจากว่าพวกเขาจะทำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ แล้วชายชราก็เป็นแบบนั้น เขาเลือกที่จะอดทนมากกว่าที่จะไปรบกวนลูกสาวของตัวเอง
ชายชราเดินต่อไป แต่ก็เกือบจะล้ม หวังเย้าเข้าไปช่วยพยุงเขาเอาไว้
“ระวังครับ ให้ผมพาไปส่งที่บ้านดีกว่านะครับ” หวังเย้าพูด
ในตอนที่ช่วยพยุงชายชรานั้น หวังเย้าก็รีบส่งพลังฉีเข้าไปในร่างกายของชายชราด้วย
“ไม่เป็นไร ขอบคุณๆ ฉันรู้ว่าเธอน่ะงานยุ่ง” ชายชราพูด “เธอมีคนไข้ที่คลินิกหลายคนเลยใช่ไหมล่ะ?”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ให้ผมพาคุณลุงกลับไปที่บ้านนะครับ” หวังเย้าเดินกลับบ้านเป็นเพื่อนชายชรา
“พ่อไปไหนมาน่ะ?” เมื่อเห็นชายชรา ลูกชายของเขาก็ตะคอกออกมาทันทีด้วยท่าทีที่ไม่พอใจนัก
“เสี่ยวเย้า!” เมื่อเห็นหวังเย้า เขาก็รีบปรับเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว และส่งรอยยิ้มกว้างให้กับหวังเย้า
หวังเย้ารู้สึกรังเกียจท่าทีของเขา แต่ตัวเขาเองอาจจะไม่รู้ว่า ชาวบ้านหลายคนรู้สึกเกรงกลัวหวังเย้าอยู่เล็กน้อย พวกเขารู้ว่า หวังเย้านั้นรู้จักกับผู้มีอำนาจหลายคนและยังส่งคนร้ายเข้าคุกไปแล้วอีกเป็นจำนวนมาก คนหนุ่มเกเรหลายคนจึงไม่กล้าทำตัวแย่ๆต่อหน้าเขา
537 เมามายในเวลากลางคืน
“ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ” ชายชราพูด “รีบพาฉันเข้าไปในห้องสิ”
“อ้อ อ้อ!” หวังเจ๋อเชิงรีบเข้าไปช่วยพ่อของตนเอง “นั่งก่อนสิ อยากจะดื่มชาสักหน่อยไหม?”
“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ ผมมีเรื่องอยากจะบอกน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“มีเรื่องอะไรเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงเดินตามหวังเย้าออกไปที่ลานบ้าน
“รู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่สบายเหรอ? ไม่มีนะ” หวังเจ๋อเชิงอึ้งไป
“อ่อ ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ” หวังเย้ายิ้มและตบไปที่ไหล่ของเขา จากนั้น หวังเย้าก็หมุนตัวและจากไป
“หืม เธอหมายความว่ายังไงเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงรู้สึกงุนงง เขาไล่ตามหวังเย้าไปและยิ้มออกมา “เสี่ยวเย้า เธอจะมาพูดแค่ครึ่งเดียวแบบนี้ไม่ได้นะ พูดมาให้หมดๆสิ”
“พี่ดูไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นะครับ” หวังเย้าพูด “ผมเดาว่า อีกไม่นานพี่อาจจะป่วยได้”
“หา! ทำไมล่ะ?” หวังเจ๋อเชิงรู้สึกกลัว
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” หวังเย้าพูด
“เธอตรวจให้ฉันหน่อยได้รึเปล่า?” หวังเจ๋อเชิงถาม
“ไว้ถ้ามีอาการขึ้นมาเมื่อไหร่ เราค่อยมาคุยกันก็ได้ครับ” หวังเย้าพูดและเดินจากไป
มีปัญหาอย่างนั้นเหรอ? เขากำลังพยายามจะหลอกฉันอยู่รึเปล่า? หลังจากที่หวังเย้าจากไปแล้ว หวังเจ๋อเชิงก็พูดพึมพำออกมา “นายน่ะสิที่ป่วย!”
เมื่อกลับไปถึงที่บ้าน เขาก็มีอาการตัวสั่นและทรุดลงไปที่พื้น ทำให้หน้าผากของเขาโขกเข้ากับขอบประตู อยู่ๆเขาก็เห็นเดือนเห็นดาวลอยอยู่ตรงหน้า เขาน้ำตาไหลพรากและมีน้ำมูกไหล โดยเอามือกุมหน้าผากของตัวเองเอาไว้
“หัวไปโดนอะไรมาน่ะ?” ภรรยาของเขาเดินออกมาจากในห้องและเห็นว่าเขาเอามือกุมศีรษะของตัวเองเอาไว้อยู่
“ไม่มีอะไรหรอก พอดีล้มเอาหัวชนเข้ากับขอบประตูน่ะ” เขาเดินเข้าไปด้านในและไปส่องกระจกดู หน้าผากของเขามีรอยฟกช้ำอยู่ “เฮ้อ ซวยจริงๆเลย ต้องโทษไอ้บ้าหวังเย้านั่นแหละ!”
ตอนกลางวัน มีชายคนหนึ่งมาที่คลินิก เขาเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านและรู้สึกไม่สบาย หวังเย้าตรวจดูอาการของเขา มันเป็นแค่หวัดธรรมดาเท่านั้น เขาจึงไม่ได้จ่ายยาอะไรให้ และบอกให้ชายคนนั้นกลับไปต้มน้ำขิงดื่มสักถ้วยหนึ่งแทน แล้วเขาก็จะอาการดีขึ้นเอง
…
ปักกิ่ง
“พี่กลับไปเถอะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ผมอยู่ที่นี่ก็สบายดี” เฉินโจวพูดและยิ้มให้เฉินหยิง
ตรุษจีนได้ผ่านพ้นไปแล้ว เฉินหยิงจึงต้องพาตัวน้องชายกลับมาส่งที่ศูนย์รักษาเพื่อเข้ารับการสังเกตอาการต่อไป เธอไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ แต่ความรู้สึกบอกว่าเธอควรต้องทำ การรักษาจะทำให้อาการของเขาดีขึ้นได้
“เฮ้อ” เฉินหยิงจากมาอย่างไม่ยินยอม ในช่วงเวลาที่ได้อยู่กับน้องชายของเธอนั้น ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความรักความผูกพันของคนในครอบครัว มันคือสิ่งที่ควรค่าแก่การรักษาและทะนุถนอมเอาไว้
เมื่อออกมาจากศูนย์การแพทย์แล้ว เฉินหยิงก็กลับไปที่กระท่อมที่พักและพบว่ามีคนกำลังรอเธออยู่ “ผู้บัญชาการหวู สวัสดีค่ะ”
“เธอกลับมาแล้ว” หวูถงชิ่งพูด
“เอ่อ ขอโทษนะคะ ที่ทำให้ต้องรอ เชิญเข้ามาข้างในก่อนสิคะ” เธอรีบเดินไปเปิดประตู “มีเรื่องอะไรให้ฉันช่วยเหรอคะ?”
“มีสิ ฉันมีเรื่องอยากจะถามเธอหน่อยน่ะ” หวูถงชิ่งพูด
“เชิญถามมาได้เลยค่ะ” เฉินหยิงพูด
“น้ารองของหวังเย้าอยู่ที่เมืองหลวงนี้ใช่รึเปล่า?” หวูถงชิ่งถาม
“ใช่ค่ะ” เฉินหยิงตอบ
“เธอทำงานอยู่ที่ไหนเหรอ?” หวูถงชิ่งถาม
เฉินหยิงลังเลอยู่เล็กน้อย
“เธอไม่จำเป็นต้องกังวลไปหรอก ฉันคุยเรื่องนี้กับพี่ซงมาแล้ว” หวูถงชิ่งพูด
เฉินหยิงจึงบอกสถานที่ทำงานน้าของหวังเย้าให้กับหวูถงชิ่ง
“โอเค ขอบคุณมาก” หวูถงชิ่งพูด หลังจากพูดอีกเล็กน้อย เขาก็จากไป
เธอยังคงรู้สึกงุนงงอยู่เล็กน้อย ว่าทำไมเขาถึงมาถามเรื่องนี้กับเธอ ทั้งๆที่เขาสามารถให้เลขาของเขามาแทนก็ได้ แต่กลับมาด้วยตัวเองแบบนี้ เฉินหยิงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และตัดสินใจโทรไปหาซงรุ่ยปิง
“ไม่ต้องคิดมากหรอก” ซงรุ่ยปิงพูด “มาที่นี่หน่อยสิ ฉันมีเรื่องจะให้เธอทำ”
หลังจากนั้นสักพัก เธอก็ไปถึงที่บ้านตระกูลซู
“น้องชายของเธอกลับไปรึยัง?” ซงรุ่ยปิงถาม
“กลับไปแล้วค่ะ” เฉินหยิงพูด
“เธอไปหาหมอหวังที่เหลียนชานทีนะ” ซงรุ่ยปิงพูด เธอคิดที่จะให้เฉินปัวหยวนเป็นคนไป แต่หลังจากที่คิดดูดีดีแล้ว เธอก็คิดว่าเฉินหยิงเหมาะกับงานนี้มากกว่า “ช่วยขอให้เขามาที่ปักกิ่ง ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องคนอื่นด้วย”
“ได้ค่ะ ฉันจะไปพรุ่งนี้เลย” เฉินหยิงพูด
หลังจากที่ออกมาแล้ว เฉินหยิงก็โทรไปหาหวังเย้าเพื่อยืนยันว่าเขาอยู่ที่หมู่บ้านไม่ได้ไปไหน หลังจากที่ยืนยันเรียบร้อยแล้ว เธอก็จัดการซื้อตั๋วและเตรียมตัวเดินทางไปเหลียนชาน
…
“อ๊า เจ็บจังเลย!” หวังเจ๋อเชิงกุมแก้มของตัวเองเอาไว้
“ดูทำเข้าสิ! ผ่าฟืนแค่นี้ก็ยังทำฟืนปลิวใส่หน้าตัวเองได้ ฉันล่ะยอมจริงๆ” ภรรยาใส่ยาที่หน้าของเขาและบ่นพึมพำไปด้วย
“เธอคิดว่าฉันชอบอย่างนั้นเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงรู้สึกโกรธเหมือนกัน
เขารู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายมาก เริ่มแรก เขาเอาหน้าผากชนเข้ากับขอบประตู ต่อมา เขาก็ล้มไปที่พื้นจนฟันหน้าเกือบหลุด พอตอนบ่าย เมื่อเขากำลังผ่าฟืนอยู่นั้น ฟืนที่ถูกผ่าครึ่งก็ปลิวลอยมาโดนแก้มของเขา และทำให้เขาเจ็บเหมือนเนื้อจะฉีกออกจากกัน
“ไอ้เจ้าหวังเย้านั่น!” ยิ่งเขาคิดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะหวังเย้า ตั้งแต่ที่หวังเย้ามาที่บ้าน เรื่องร้ายๆก็เกิดขึ้นกับเขาไม่หยุดหย่อน
“ตัวเองไม่ระวังเองแท้ๆ มันจะไปเกี่ยวกับเสี่ยวเย้าได้ยังไงกัน?” ภรรยาของเขาถาม
“ตอนที่เขามาเมื่อเช้า เขาบอกฉันว่าสีหน้าของฉันไม่ค่อยดี แล้วยังบอกให้ฉันระวังตัวไว้ด้วยน่ะสิ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“อืม ดูเหมือนเขาจะเดาถูกนะ” ภรรยาของเขาพูด “ฉันเคยแค่ได้ยินมาว่าเขารักษาโรคได้ ไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าเขาจะดูโหงวเฮ้งคนเป็นด้วย”
“บ้าเอ้ย! ทั้งหมดมันเป็นเพราะเขานั่นแหละ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“อยากจะไปให้เสี่ยวเย้าตรวจดูให้หน่อยไหมล่ะ?” ภรรยาของเขาถาม “ไปเอายาที่เขา แล้วก็จะได้ถามด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ฉันไม่อยากไป!” หวังเจ๋อเชิงพูดอย่างชัดเจน
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง มื้อค่ำจบลงเมื่อเวลาประมาณสองทุ่ม หวังเย้าเดินออกมาจากบ้าน เมื่อเขาเดินไปตามถนนที่นำทางจากเหนือไปสู่ใต้สุดของหมู่บ้าน เขาก็เห็นคนๆหนึ่งยืนอยู่ข้างเสาไฟ
ชายคนนั้นพูดฟังไม่ได้ศัพท์ “เฮ้ย! หยุด! แกน่ะ ไปซะ! ฉันบอกแล้ว ทำไมถึงไม่ขาดเข็มขัด?”
“ใจเย็นก่อนครับ” หวังเย้าพูด “คุณดื่มหนักไปรึเปล่า?”
หวังเย้ามองสำรวจเขา ชายคนนี้ดื่มหนักจนเกินไป
“ยืนขึ้น!” ชายคนนั้นย่อตัวลง มันคล้ายกับว่า เขากำลังมองหาก้อนหินสักก้อนอยู่
หวังเย้าคิดในใจ พระเจ้า! นี่กำลังเล่นบทตำรวจอยู่ใช่ไหม ตอนที่เผชิญหน้ากับโจร ก็ควรจะหยิบปืนขึ้นมาสิ แต่นี้กลับเกาะก้อนหินเอาไว้อย่างกับเจอหมาป่า
“นายชื่ออะไร?” ชายคนนั้นถาม
“คุณเมาแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด
“อะไรนะ? บอกฉันมาว่าผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นอยู่ที่ไหน?” ชายคนนั้นถาม
หวังเย้าคิดในใจ เอ่อ เขาเล่นจริงจังเกินไปไหม
“รออยู่ที่นี่ก่อนนะครับ!” หวังเย้าหมุนตัวและจากไป
“นายหยุดเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นฉันจะยิง” ชายคนนั้นพูด
“ยิงได้เลยครับ” หวังเย้าพูด
“ปัง!” ชายคนนั้นตะโกน
“อ๊า!” หวังเย้ากรีดร้อง
“นายแกล้งทำนี่” ชายคนนั้นพูด
หวังเย้าเดินไปที่บ้านของชายคนนั้นและพูดบางอย่างกับคนในครอบครัวของเขา
“เอ่อ คุณลุงเมาอยู่ที่ข้างถนน ช่วยไปดูเขาทีนะครับ” หวังเย้าพูด
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ ขอบคุณนะ เสี่ยวเย้า” ภรรยาของชายเมามายเดินไปที่ถนนพร้อมกับหวังเย้า
“เขาไปไหนแล้วล่ะ?” หวังเย้าพูด “เมื่อกี้เขายังอยู่ที่นี่อยู่เลย”
อยู่ๆพวกเขาก็ได้ยินเสียงของชายคนนั้น “โอ้ น้ำนี่เย็นจริงๆ! ทำไมถึงไม่มีปลาอยู่เลยล่ะ?” เสียงนั้นดังมาจากลำธารที่อยู่ไม่ไกล พวกเขาจึงรีบตามหาตัวเขาโดยใช้ไฟฉายส่อง และพบว่า ชายคนนั้นกำลังแหวกว่ายอยู่ในลำธารราวกับปลาตัวหนึ่ง
เยี่ยม! เขาเปลี่ยนบทเร็วจริงๆ!
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่หน้าหนาว แต่อากาศก็ยังเย็นมากอยู่ดี ดังนั้น น้ำในแม่น้ำจึงเย็นเฉียบ
“หวังยี่ฟู ขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ!” เมื่อเห็นภาพนี้ ภรรยาของเขาก็รู้สึกโมโหมาก
“คุณป้ารออยู่ตรงนี้นะครับ” หวังเย้าพูด
เขากระโดดเหยียบไปที่ก้อนหินในลำธาร เขาคว้าตัวชายที่กำลังว่ายน้ำท่าลูกหมาตกน้ำขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว
“ทำไมถึงได้เมาขนาดนี้?” ผู้เป็นภรรยาตบไปที่หน้าของเขาต่อหน้าหวังเย้า จนได้ยินเสียงดังเพี๊ยะ
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง มันอาจจะเป็นเพราะเขาดื่มเยอะเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะเขาตกตะลึงจากการถูกตบหน้า
“คุณป้า อย่าโกรธไปเลยนะครับ เราควรพาคุณลุงกลับบ้านกันดีกว่า อากาศตอนนี้มันหนาวมากนะครับ เดี๋ยวเขาจะป่วยเอาได้” หวังเย้าพูด
ชายคนนี้ถือว่ามีชื่อเสียงที่ดีในหมู่บ้าน เขาเป็นคนอบอุ่นและไม่ว่าใครมาขอความช่วยเหลือ เขาก็ยินดีช่วยเสมอ แต่ข้อเสียของเขาก็คือ เขานั้นชอบดื่มเหล้าและเมามายอยู่เป็นประจำ เมื่อเขาเมา เขาก็มักจะทำแต่เรื่องงี่เง่า สองสามีภรรยามักจะมีปากเสียงเพราะเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ และกลายเป็นที่นินทาของชาวบ้าน
“เขาน่าจะหนาวตายไปเลยยิ่งดี สมควรแล้วล่ะ!” ภรรยาของเขาตะโกน
ถึงแม้ว่าเธอจะโกรธมาก แต่หวังเย้าก็ยังช่วยพาเขากลับไปที่บ้านและตรวจดูอาการให้ “เขาไม่มีปัญหาอะไรนะครับ แค่ดื่มมากไปหน่อยเท่านั้น”
“ขอบคุณมากนะ เสี่ยวเย้า” ภรรยาของเขาพูด
“ยินดีครับ ตอนนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
ผู้เป็นภรรยาเดินไปส่งหวังเย้าที่ประตู
เธอตบไปที่หน้าของสามีที่นอนอยู่บนเตียงถึงสองครั้ง
“เธอตบฉันทำไม?”
ผู้เป็นภรรยาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาและตะคอกด่าเขาไปด้วย ถึงยังไงเขาก็เป็นสามีของเธอ เวลาที่เขาไม่ได้เมา เขาถือเป็นสามีที่ดีคนหนึ่ง
538 พ่อผู้เปรียบดั่งขุนเขา
มันเป็นเวลากลางดึก บนเนินเขาหนานชานมีแสงสีเหลืองส่องแสงสลัวลางอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
ในค่ำคืนนั้นไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น
เช้าวันต่อมา มีเสียงร่ำไห้ดังขึ้นภายในหมู่บ้าน มีคนตายในคืนนั้น
เมื่อหวังเย้าลงมาจากเขาเพื่อกลับไปที่บ้าน เขาก็ได้ยินข่าวนี้ แต่ก็ไม่รู้เรื่องราวที่แน่ชัด
เขาไม่ได้คิดถึงหวังยี่ฟูเลยสักนิด เพราะตอนเจอกันเมื่อคืนก่อน เขาไม่พบสัญญาณใดๆเกี่ยวกับความตายเลย ถึงแม้ว่าเขาจะเมาเหล้าและส่งผลเสียต่ออวัยวะภายในของเขา มันก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิต
“เป็นลุงยี่ฟูรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ใช่หรอก เป็นหวังเจียนหรงน้องชายของลุงเจียนหลี่จ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
“อ่อ แต่เขาดูเหมือนไม่ได้ป่วยอะไรเลยนะครับ” หวังเย้าพูด “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
“ก็พวกเขาสองคนไปดื่มเหล้าด้วยกันมาเมื่อคืนน่ะสิ” หวังเฟิงฮวาพูด
“พ่อรู้ได้ยังไงครับ?” หวังเย้าถาม
“พวกเขามาชวนพ่อไปด้วย แต่พ่อไม่ได้ไป สองคนนั้นน่ะเป็นนักดื่มตัวยง แล้วก็ชอบคะยั้นคะยอให้คนอื่นดื่มเข้าไปเยอะๆ ถ้าพ่อไป พ่อก็คงจะเมาไม่รู้เรื่อง” หวังเฟิงฮวาพูด
“ดีแล้วที่ไม่ไป ถึงไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ก็ต้องร่วมรับผิดชอบอยู่ดี ถ้าคนหนึ่งเมา คนที่เหลือบนโต๊ะก็ต้องรับผิดชอบด้วย” จางซิวหยิงพูด
“เฮ้อ ตรุษจีนเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วัน ก็ดันมาเกิดเรื่องในหมู่บ้านของเราซะแล้ว” หวังเฟิงฮวาพูด “หลายบ้านคงจะอยู่กันไม่เป็นสุขสักเท่าไหร่”
พูดกันว่า ของมึนเมาเป็นตัวนำไปสู่ปัญหา นี่ไม่ใช่แค่ปัญหา แต่มันคือเหตุร้าย เมื่อชายคนหนึ่งเสียชีวิตลง ทั้งครอบครัวก็ล้มตามไปด้วย เพราะเขาเปรียบเสมือนกับเสาหลักของครอบครัว
“พี่ก็อย่าไปรวมกลุ่มกับคนพวกนั้นล่ะ” จางซิวหยิงยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่
“รู้แล้ว” หวังเฟิงฮวาพูด
หลังมื้อเช้า หวังเย้าก็เดินไปที่คลินิก มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาที่คลินิกตอน 10 โมงเช้า เขามีอายุอยู่ในช่วงเดียวกันกับหวังเย้า ใบหน้าของเขาซีดเซียว และก้าวเดินไม่มั่นคง การพูดของเขาดูไร้เรี่ยวแรง เขาพูดว่า เขารู้สึกหูอื้อและเหมือนจะเป็นลม
“ช่วยแลบลิ้นออกมาด้วยครับ ฉันอยากตรวจดูหน่อย” หวังเย้าพูด
ชายคนนั้นแลบลิ้นออกมา เขามีกลิ่นปากที่ต่างจากคนปกติ มันคล้ายกับกลิ่นของแอมโมเนีย
“ตอนตรุษจีน นายไปทำอะไรมาบ้าง?” หวังเย้าถาม
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากจะออกไปกินดื่มกับพวกญาติพี่น้องและเพื่อนๆ” ชายหนุ่มพูด
“บอกความจริงมาดีกว่านะ” หวังเย้าจ้องตาเขา
“ทำไมฉันจะต้องโกหกนายด้วย?” ชายหนุ่มถาม
ปกติชายหนุ่มคนนี้มักไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้าน เขามีงานทำอยู่ในตัวเมือง และได้ซื้อบ้านเอาไว้ที่นั่นหลังหนึ่ง ถ้าพ่อแม่ไม่คะยั้นคะยอ เขาก็คงไม่มาหาหมอ
เขาอายุพอๆกับหวังเย้า ซึ่งจบมาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แต่กลับมาเปิดคลินิกอยู่ที่หมู่บ้านกลางเขาแบบนี้ ชายหนุ่มจึงคิดว่า หวังเย้านั้นไม่ได้เก่งอะไรเลยสักนิด ถ้ามีความสามารถจริง จะมาอยู่ในป่าในเขาแบบนี้ทำไม? ทุกคนพากันเข้าไปในเมืองใหญ่กันหมด หวังเย้าที่เรียนชีววิทยามา แต่กลับเปลี่ยนสายอาชีพ มันจึงทำให้เขารู้สึกดูถูกหวังเย้าอยู่ส่วนหนึ่ง
ในสังคมนี้ บางคนก็มีนิสัยที่แปลกอย่างหนึ่ง ทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่กลับดูถูกคนที่รวยกว่า พวกเขารู้สึกว่า คนรวยเหล่านั้นรวยได้ก็เพราะมีโอกาสที่ดีเข้ามา ถ้าหากพวกเขาได้โอกาสแบบนั้นบ้าง พวกเขาก็คงจะรวยกว่าเศรษฐีพวกนั้นไปแล้ว พวกเขาดูถูกคนที่เรียนสูงกว่า เพราะพวกเขาคิดว่าคนเหล่านั้นเป็นแค่พวกหนอนหนังสือ หากอยู่ในสังคม คนเหล่านั้นก็เป็นได้แค่คนไม่สำคัญคนหนึ่ง
หวังเย้าหัวเราะ “งั้นก็กลับไปเถอะ”
ชายหนุ่มคนนั้นคิดว่าหวังเย้านั้นไร้มารยาท กลับไปงั้นเหรอ? “นี่?” ชายหนุ่มอึ้ง
อยู่ๆประตูด้านนอกก็เปิดออก หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาในคลินิก
“สวัสดีครับ” หวังเย้าพูด
“เสี่ยวเย้า เสี่ยวคุณป่วยเป็นอะไรจ๊ะ?” เธอคนนี้คือแม่ของชายหนุ่ใ
“แม่มาที่นี่ทำไม?” เมื่อเห็นแม่ของเขาเดินเข้ามา ชายหนุ่มก็มีท่าทีสำรวมมากขึ้น
“อ่อ เขาไม่ต้องหาหมอหรอกครับ” หวังเย้าพูด “ให้เขากลับบ้านได้เลย”
“ทำไมล่ะ?” ผู้เป็นแม่ถาม เธอหันหน้าไปจ้องหน้าลูกชายของเธอ “ลูกทำตัวไม่ดีอีกแล้วใช่ไหม?”
“เปล่านะ ผมไม่ได้ทำ!” ชายหนุ่มไม่ได้แสดงท่าทางไร้มารยาทเหมือนก่อนหน้านี้
“กลับไปเดี๋ยวนี้เลย!” ผู้เป็นแม่ตะคอกใส่เขา ชายหนุ่มจึงรีบออกไป “เสี่ยวเย้า เสี่ยวคุณเป็นอะไรเหรอจ๊ะ?”
“เขามีเซ็กซ์มากเกินไปครับ” หวังเย้าพูด
“หา?” ผู้เป็นแม่ตกใจ เธอรู้สึกแปลกๆที่ได้ยินคำพูดนี้ แต่มันก็ดูเหมือนจะไม่ใช่คำอธิบายอาการลูกชายของเธอเลย
“เธอคิดว่ายังไง? เสี่ยวคุณมีแฟนอย่างนั้นเหรอ?” เธอถาม
“เอ่อ ก็อาจจะครับ แล้วก็อาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้เหมือนกัน” หวังเย้าพูด
“ลูกชั่ว!” สีหน้าของผู้เป็นแม่เปลี่ยนกลายเป็นโมโหมากขึ้นกว่าเดิม “แล้วมีอะไรอีกไหม?ไ
“เขาดื่มหนักมากครับ” หวังเย้าพูด
“ดื่มงั้นเหรอ ป้าคงจะต้องกลับไปคุยกับเขาเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะเป็นเหมือนหวังเจียนหรงได้” เธอพูด
เธอเริ่มพูดเรื่องของหวังเจียนหรงที่เสียชีวิตจากการดื่มเหล้ากับหวังเย้า เธอเล่าออกมาอย่างละเอียดยิบ ราวกับว่าเธอไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง
การตายของหวังเจียนหรงนั้น เกิดจากการที่เขาดื่มเหล้ากับชาวบ้านในคืนก่อนมากเกินไป เมื่อเขากลับบ้านไป เขาก็ไม่ได้มีท่าทางผิดปกติอะไรเลย เพียงแค่เอะอะจากอาการเมาเท่านั้น เมื่อเขาตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำ เขาก็ล้มลงไปที่ลานบ้านและไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย ส่วนภรรยาก็โมโหเขาอยู่ เธอจึงไปนอนอีกห้องหนึ่ง และไม่ได้สนใจอะไรเขา พอตอนเช้า เธอก็เห็นเขานอนอยู่ที่ลานบ้าน พร้อมกับร่างกายที่เย็นเฉียบ
หวังเย้าคิดถึงสาเหตุการเสียชีวิตของชายคนนี้ เขาคาดเดาว่า ชายคนนี้ดื่มหนักมากเกินไปจนส่งผลให้เกิดเลือดคั่งในสมอง หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ได้ จนเป็นเหตุให้เขาหมดสติและเสียชีวิต
“นี่ เสี่ยวเย้า ตอนบ่ายเธอจะยังอยู่ที่คลินิกไหมจ๊ะ?” เธอถาม
“เอ่อ อยู่ครับ” หวังเย้าพูด
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวตอนบ่ายป้าจะพาเสี่ยวคุณมาหานะจ๊ะ” เธอพูด
“ได้ครับ” หวังเย้าพูด
“ยกโทษให้เขาด้วยนะ บางครั้งเขาก็ชอบทำตัวไม่มีมารยาทแบบนี้ แต่เขาเป็นเด็กดีมากนะ” เธอพูด
“อ่อ ไม่เป็นไรครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม ถ้าหากลูกเชื่อฟังพ่อแม่ เขาก็ถือว่าเป็นลูกที่ดีคนหนึ่ง
แล้วเธอก็จากไปพร้อมกับรอยยิ้ม
หวังเย้ายิ้มและส่ายหน้า ชายหนุ่มเป็นคนที่น่าสนใจมาก เขาพูดไม่เพราะกับคนนอก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าแม่ของเขา เขาก็เปลี่ยนเป็นอีกคนในทันที
ผู้เป็นแม่กลับไปที่บ้าน ลูกชายของเธอนั้นทำตัวดีอยู่ที่บ้าน แถมยังทำงานบ้านอยู่ด้วย
“เดี๋ยวนี้ลูกเปลี่ยนไปแล้วนะ แม่รู้ว่าลูกชอบดื่มเหล้า แต่เรามาพูดเรื่องที่ลูกมีสาวๆอยู่ข้างนอกกันก่อนดีกว่า” ผู้เป็นแม่พูดด้วยท่าทีขึงขัง
“ใคร? แฟนใคร? เจ้าหนูของฉันเหรอ? เยี่ยมไปเลย!” ผู้เป็นพ่อรีบวิ่งออกมาจากห้อง
“คุณเงียบไปเลย!” เธอเหลือบมองหน้าสามี
“แม่ ผมไม่ได้มีแฟน” ลูกชายของเธอพูด
“บอกความจริงกับแม่มา” เธอพูด
“มีคนหนึ่งครับ” ลูกชายพูด
ภายใต้การจับจ้องของผู้เป็นแม่ เขาจึงทำได้เพียงบอกทุกอย่างกับเธอไป
“เธอพักอยู่ที่ไหน? เธอสวยไหม? แล้วมีรูปของเธอรึเปล่า?” ผู้เป็นพ่อพูดอย่างมีความสุข
“พลทหารหวัง นี่มันเที่ยงแล้ว ได้เวลากินข้าวแล้ว” เธอพูด
“ไม่มีปัญหา วันนี้ฉันจะทำกับข้าวเอง บอกมาเลยว่าเธออยากจะกินอะไร”
ในขณะเดียวกันนั้น หวังเจ๋อเชิงยังคงรู้สึกแปลกใจไม่หาย หลายวันมานี้ เขาเผลอทำตัวเองเจ็บถึงสามครั้ง เมื่อเขาแปรงฟันในตอนเช้า เขาก็รู้สึกปวดฟันและมีเลือดไหลออกมา เมื่อเขาตื่นนอน เขากินบะหมี่ไปหนึ่งชาม และรู้สึกไม่สบายท้อง ทำให้เขาต้องเข้าห้องน้ำถึงสี่ครั้งในตอนเช้า และตอนนี้เขาก็แทบจะไม่มีแรงแล้ว
“เชื่อฉันนะ ไปหาเสี่ยวเย้าเถอะ” ภรรยาของเขาพูด
“ไม่ไป” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ก็ตามใจ ถ้าอย่างนั้นก็ทนทรมานต่อไปเถอะ” ภรรยาของเขาพูด
มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น
“พ่อจะไปไหน?” เมื่อเห็นว่าพ่อของเขากำลังจะออกไปข้างนอก หวังเจ๋อเชิงจึงถามออกไป
“พ่อว่าจะไปเดินเล่นน่ะ” ชายชราพูด
“พ่อกินข้าวก่อนแล้วค่อยออกไปก็ได้” ลูกสะใภ้ของเขาพูด
“ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว” ชายชราพูด
ชายชราเดินโขยกเขยกไปที่ประตู เขาเดินตรงไปยังคลินิกของหวังเย้า ในระหว่างนั้น เขาก็บังเอิญเจอหวังเย้าที่เพิ่งเดินออกมาจากคลินิกเพื่อกลับไปกินข้าวที่บ้านเข้าพอดี “เสี่ยวเย้า”
“คุณลุง มีอะไรเหรอครับ?” หวังเย้ารีบถามในทันที
“โอ้ ก็มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ” ชายชราพูด
“อยากจะเข้าไปนั่งคุยข้างในไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ต้องหรอก เราคุยกันตรงนี้ก็ได้” ชายชราพูด “สองวันมานี้ เจ๋อเชิงเจอปัญหาหลายอย่างมาก ลุงได้ยินจากลูกสะใภ้ว่า เธอบอกว่าเจ๋อเชิงจะเจอเรื่องร้าย”
ลูกชายอาจจะไม่ได้กตัญญูต่อเขามากนัก แต่เขาก็ยังห่วงลูกชายของเขามาก
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ” หวังเย้าพูด “อีกไม่นานก็จะดีขึ้นเองครับ”
“จริงเหรอ?” ชายชราถาม
“ทำไมผมจะต้องโกหกคุณลุงด้วยล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
“โอ้ ถ้าอย่างนั้นฉันก็เบาใจ” ชายชราพูด
“ส่วนคุณลุง ถ้ารู้สึกไม่สบาย ก็อย่าออกมาข้างนอกเลยนะครับ คุณลุงควรจะพักผ่อนอยู่ที่บ้านดีกว่า” หวังเย้าพูด
ร่างกายของชายชราอยู่ในสภาพที่แย่มาก ถ้าหากเขาล้มขึ้นมา เขาก็อาจจะไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีกเลย
539 คนชั่วต้องถูกลงโทษ
“ผมไปส่งนะครับ” หวังเย้าพูด
“ไม่ต้องหรอก ขอบใจนะ ฉันกลับเองได้” ชายชราใช้ไม้เท้าพยุงเดินไปอย่างช้าๆ
หวังเย้ารู้สึกเป็นห่วงเขา ดังนั้น เขาจึงเดินตามชายชราไปจนถึงที่บ้าน ด้านหลังของชายชราดูไม่มีเนื้อหนังและไร้เรี่ยวแรง หลังของเขาโก่งโค้งและมีอาการสั่นเทา หวังเย้ารู้สึกสงสารเขา เพราะในสายตาของเขา เบื้องหลังของชายชรานั้นกว้างใหญ่และแข็งแกร่ง เพราะเขาเป็นพ่อดีที่คนหนึ่ง
“พ่อไปที่ไหนมา?” หวังเย้าได้ยินเสียงหวังเจ๋อเชิงตะคอกใส่ชายชรา ราวกับว่า เขากำลังดุด่าเด็กดื้อคนหนึ่งอยู่
หวังเย้าหยุดชะงักไป เขาอยากจะกระโดดข้ามกำแพงและตบไปที่หน้าของหวังเจ๋อเชิง เขาอยากจะถามหวังเจ๋อเชิงว่า ใครกันที่มอบชีวิตให้กับเขาและเลี้ยงดูเขามา
แต่หวังเย้าก็ไม่ทำ เขาไม่ต้องการให้ชายชราต้องลำบากใจ หวังเย้าหันหลังเดินจากไป เขาเดินข้ามสะพานหิน เดินเรียบไปตามถนนและถึงบ้าน
“ทำไมถึงได้กลับมาช้าขนาดนี้ล่ะจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม
“ผมบังเอิญเจอลุงยี่หลงน่ะครับ ก็เลยเดินไปส่งเดินไปส่งเขาที่บ้านก่อน” หวังเย้าพูด
“เขาดีขึ้นบ้างรึยังจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม “แม่เจอเขาที่ถนนเมื่อสองสามวันก่อน เขาดูป่วยหนักมาก แม้แต่จะเดินให้ตรงยังทำไม่ได้เลย”
“ไม่เลยครับ อาการของเขาแย่ลงมาก” หวังเย้าพูด
“อะไรนะ?” จางซิวหยิงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ หวังเฟิงฮวาจุดบุหรี่อย่างเงียบเชียบ
“แม่ว่า ลูกชายของเขาคงจะไม่ได้ดีขึ้นเลยล่ะสิ” จางซิวหยิงพูด
“ตอนผมไปส่งลุงยี่หลงที่บ้าน ผมได้ยินเขาตะคอกด่าคุณลุง อย่างกับว่าคุณลุงเป็นเด็กที่ทำเรื่องไม่ดีมาอย่างนั้นแหละ” หวังเย้าพูด
ในขณะเดียวกัน หวังเจ๋อเชิงก็กำลังรู้สึกแย่มาก
“เชี่ย! เกิดบ้าอะไรขึ้นกับท้องของฉันกันแน่?” หวังเจ๋อเชิงนั่งอยู่ในห้องน้ำเพราะท้องเสีย เขารู้สึกปวดท้องอย่างหนัก ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังบิดลำไส้ของเขาอยู่
เกิดอะไรขึ้นกับฉันกัน? ฉันเข้าห้องน้ำหลายครั้งตั้งแต่เช้าแล้ว ทำไมตกบ่ายก็ยังไม่ดีขึ้นอีก?
หวังเจ๋อเชิงเช็ดก้นของเขาและเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่แล้ว ท้องของเขาก็เริ่มร้องครืนคราดขึ้นมาอีกครั้ง
“พอได้แล้ว!” เขากลับเข้าไปในห้องน้ำ
ภายในเวลาแค่วันเดียว เขาเข้าห้องน้ำไปแล้วถึง 10 กว่าครั้ง เขาแทบจะเดินไม่ตรง และต้องเกาะกำแพงเดิน
ฉันต้องไปโรงพยาบาล
เขาพูดกับภรรยาของเขา จากนั้น เขาก็ขี่มอเตอร์ไซด์ไปที่โรงพยาบาลด้วยความรีบร้อน เขาไม่ต้องการท้องเสียในระหว่างที่กำลังไปโรงพยาบาลและอึราดกางเกงของตัวเอง
เขาไม่ต้องการไปที่คลินิกของหวังเย้า แต่เลือกไปอนามัยแทน ตั้งแต่หวังเย้าเปิดคลินิกขึ้นและได้ชื่อเสียงที่ดี คนก็เริ่มไปรักษาที่อนามัยน้อยลงเรื่อยๆ
“สวัสดีครับ หมอ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“เจ๋อเชิง เป็นอะไรไปน่ะ?” หมออนามัยถาม “หน้าของเธอดูซีดๆนะ”
“ผมท้องเสียน่ะครับ วันนี้ ผมเข้าห้องน้ำไป 10 กว่ารอบแล้ว” หวังเจ๋อเชิงพูด ถึงแม้ว่าเขาจะพูดไม่ดีกับพ่อของเขา แต่กับคนอื่น เขาค่อนข้างจะสุภาพมาก
“มันหนักขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอได้กินอะไรที่ไม่ควรกินเข้าไปรึเปล่า?” หมออนามัยถาม
“ไม่นะครับ เมื่อเช้าผมกินบะหมี่ไปแค่ถ้วยเดียว ตอนกลางวันก็กินผักกับซาลาเปา” หวังเจ๋อเชิงพูด
“อ่อ เดี๋ยวหมอจะจัดยาให้เธอไปกินแล้วกันนะ” หมออนามัยพูด
เขาจ่ายยาฆ่าเชื้อและยาหยุดอาการท้องเสีย จากนั้น เขาก็บอกวิธีการกินกับหวังเจ๋อเชิง
“ผมจะหายใช่ไหมครับ?” หวังเจ๋อเชิงถาม
“อาการท้องเสียของเธอหนักมาก ดูเหมือนว่าเธอจะมีอาการขาดน้ำด้วย ให้เธอรีบกินยานี้ให้เร็วที่สุด ขอแค่หยุดอาการท้องเสียได้ เธอก็จะไม่เป็นอะไร แต่ถ้ามันไม่หาย เธอก็คงต้องมาให้น้ำเกลือ” หมออนามัยพูด
“โอเคครับ ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก” หวังเจ๋อเชิงพูด
หวังเจ๋อเชิงเดินทางกลับบ้านอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะถึงบ้าน เขาก็ไม่สามารถอั้นได้อีกต่อไปและอึราดกางเกงตัวเอง
“โตขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังอึราดกางเกงตัวเองอีก?” ภรรยาของเขาบ่นในตอนที่ซักกางเกง
“เธอคิดว่าฉันตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้เหรอไง?” หวังเจ๋อเชิงถามด้วยความไม่พอใจ
เมื่อได้ยินเสียงของเขา ผู้เป็นพ่อก็เดินออกมาจากในบ้าน
“ยังท้องเสียอยู่อีกเหรอ?” ชายชราถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“ผมไม่ได้เป็นอะไร พ่อกลับเข้าบ้านไปเถอะ” หวังเจ๋อเชิงพูดด้วยท่าทางหงุดหงิด
“อย่าไปกินอะไรที่มันเป็นของแสลงล่ะ” ชายชราพูด “แล้วได้ไปหาหมอมารึยัง?”
“ไปแล้ว พ่อเลิกยุ่งสักทีได้ไหม?” หวังเจ๋อเชิงตอบกลับด้วยความไม่พอใจ
ชายชราถอนหายใจและเดินกลับเข้าไปในห้องของเขา
“ไม่นะ! ฉันต้องไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนี้!” เขาสวมกางเกงตัวใหม่และรีบวิ่งที่ห้องน้ำ
มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาในหมู่บ้านตอนบ่าย 3 โมง มันหยุดลงตรงทิศใต้สุดของหมู่บ้าน หญิงสาวท่าทางดีและดูกระฉับกระเฉงก้าวลงจากตัวรถ เธอเคาะประตูคลินิกของหวังเย้าและเดินเข้าไปด้านใน
“สวัสดีค่ะ หมอหวัง ฉันหวังว่าคงจะไม่ได้มารบกวนคุณนะคะ” เฉินหยิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เลยครับ ยินดีต้อนรับ ตอนนี้ผมไม่มีคนไข้อยู่แล้ว” หวังเย้าพูด “พี่ไม่จำเป็นต้องเอาของอะไรมาด้วยหรอกนะครับ”
“ก็แค่อาหารเท่านั้นเองค่ะ” เฉินหยิงวางถุงใบใหญ่ลงบนโต๊ะ
“น้องชายของพี่ยังอยู่ที่กระท่อมรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่แล้วล่ะค่ะ เขากลับไปที่ศูนย์รักษาแล้ว” เฉินหยิงพูด
“เขาอาการกำเริบเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เปล่าหรอกค่ะ แต่ฉันยุ่งมาก เลยไม่อยากทิ้งเขาไว้ที่กระท่อมคนเดียว ถ้าจะจ้างคนมาเฝ้าเขามันก็คงจะไม่เหมาะ ฉันก็เลยพาเขากลับไปที่ศูนย์น่ะค่ะ” เฉินหยิงพูด
“เข้าใจแล้วครับ อีกไม่กี่วันผมจะไปดูอาการของเขาให้ จะได้ตรวจดูเขาอย่างละเอียดด้วย” หวังเย้าพูด
“จริงเหรอคะ?” เฉินหยิงเดินทางมาพบหวังเย้าก็เพราะเรื่องน้องชายของเธอ แต่เธอก็ไม่อยากจะแสดงอย่างออกนอกหน้าจนเกินไป เธอเพียงแค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ไม่คิดเลยว่า หวังเย้าจะเป็นคนยกประเด็นนี้ขึ้นมาเอง ดังนั้น เธอจึงไม่จำเป็นต้องพูดข้ออ้างที่เธอเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้
“จริงสิครับ เพราะยังไงผมก็ต้องไปหาพ่อของคุณหวูอยู่แล้ว” หวังเย้าพูด
ในเมื่อเขาลงมือรักษาไปแล้ว เขาก็ต้องพยายามรักษาอย่างสุดความสามารถ
“พี่ต้องรีบกลับรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ค่ะ ถามทำไมเหรอคะ?” เฉินหยิงถาม
“ผมอยากจะทำยาให้น้องชายของพี่น่ะครับ” หวังเย้าพูด “พี่พักอยู่ที่เหลียนชานสักคืนก่อนได้ไหม?”
“ได้สิคะ” เฉินหยิงพูด นั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องการอยู่แล้ว
พวกเขาอยู่คุยกันสักพัก หวังเย้าก็สอบถามเรื่องอาการของซูเสี่ยวซวี เขายินดีมากที่ได้รู้ว่าอาการของเธอดีขึ้นมากแล้ว
ในตอนที่กำลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีแขกอีกคนมาหา
เขาเป็นชายร่างใหญ่และสูงประมาณ 180 เซนติเมตร แต่เขากลับดูซีดเซียวและเดินไม่ตรง
“สวัสดี หวังเย้า” ผู้มาเยือนพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอโทษที่ต้องมารบกวนนะ”
เขาก็คือ หวังเจ๋อเชิง เขาได้ยาจากอนามัยมาสองอย่างและกินมันเข้าไปในทันที แต่ยาก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเลยสักนิด และอาการท้องเสียของเขาก็แย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ เขาจึงกลับไปที่อนามัยเพื่อเติมน้ำเกลือ และต่อมา เขาก็ทำตามคำแนะนำของภรรยาที่ให้เขามาหาหวังเย้า
“เชิญนั่งครับ” หวังเย้าพูด
“ไม่เป็นไร ขอบคุณ ฉันยืนดีกว่า” หวังเจ๋อเชิงพูด
“พี่ไม่สบายเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ นายพูดถูก ฉันท้องเสียหนักมาก” หวังเจ๋อเชิงพูด
“หน้าผากของพี่ไปโดนอะไรมาเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันล้มแล้วไปชนเข้ากับขอบประตูน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“แล้วที่หน้าล่ะครับ?” หวังเย้าชี้ไปที่แก้มบวมช้ำของหวังเจ๋อเชิง
“ฟืนมันกระเด็นเข้าใส่น่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
เฉินหยิงรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เธอได้ยิน เขาโชคร้ายจริงๆ!
“ขอโทษด้วยนะครับ ผมคงช่วยอะไรพี่ไม่ได้ คนที่จะช่วยพี่ได้มีแค่ตัวพี่เองเท่านั้น” หวังเย้าพูด
“อะไรนะ?” หวังเจ๋อเชิงรู้สึกประหลาดใจ “ตัวฉันเองเหรอ? ยังไงล่ะ?”
“พี่อาจจะไม่พอใจกับคำพูดของผม แต่มันเป็นเพราะบาปกรรมของพี่เอง” หวังเย้าตอบ
“หา?”
ไม่เพียงแค่หวังเจ๋อเชิงที่ประหลาดใจกับคำพูดของหวังเย้าเท่านั้น แต่เฉินหยิงก็มีท่าทางไม่ต่างกัน เธอรู้สึกได้ว่า หวังเย้าไม่พอใจในตัวหวังเจ๋อเชิง เธอเหลือบมองชายวัยประมาณ 30 และสงสัยว่า เขาไปทำอะไร ถึงได้ทำให้ชายที่ใจเย็นอย่างหวังเย้าไม่พอใจได้
“นายช่วยพูดให้ชัดกว่านี้หน่อยได้ไหม?” หวังเจ๋อเชิงถาม
“พี่ไม่รู้จริงๆเหรอ ว่าพี่ทำอะไรไม่ดี?” หวังเย้าถาม
“ฉันทำอะไรล่ะ?” หวังเจ๋อเชิงรู้สึกสับสน
“ฉันขโมยแกะตัวหนึ่งกับไก่อีกสองตัว เจาะยางรถและทุบหน้าต่าง…” หวังเจ๋อเชิงพึมพำกับตัวเอง แต่หวังเย้าก็ยังสามารถได้ยินคำพูดของเขาอย่าชัดเจน เพราะการได้ยินที่ดีกว่าคนทั่วไปของเขา
พระเจ้า เขาทำแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้น! ฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ!
เฉินหยิงก็ได้ยินคำพูดบางส่วนเช่นกัน เธอคิดว่า ชายคนนี้น่าจะเป็นพวกคนเสเพลในหมู่บ้านนี้
“โอ้ ไม่คิดเลยนะครับ ว่าพี่จะทำเรื่องไม่ดีเยอะขนาดนี้” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“หา?” หวังเจ๋อเชิงถามด้วยความประหลาดใจ
“คิดให้ดีดีครับ” หวังเย้าพูด “พี่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีก? แล้วจากนี้ พี่ก็อาจจะถ่ายออกมาเป็นเลือดด้วย”
“รอเดี๋ยวนะ ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน” หวังเจ๋อเชิงพูด
“เดินออกประตูไปแล้วเลี้ยวขวาครับ” หวังเย้าพูด
หวังเจ๋อเชิงวิ่งไปที่ห้องน้ำและนั่งลง เขาก้มลงมองและก็ต้องตกใจ เขาถ่ายออกมาเป็นเลือด หลังออกมาจากห้องน้ำแล้ว เขาก็ยังไม่หายตกใจ เมื่อเดินกลับเข้ามาด้านในคลินิก ท่าทางของเขานั้นดูงี่เง่ามาก
“หวังเย้า มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่?” หวังเจ๋อเชิงถาม
“มันคือกรรม จากการที่พี่ทำเรื่องไม่ดีหลายๆอย่างลงไป” หวังเย้าพูดด้วยท่าทีที่ดูสงบ “เรื่องที่พี่พูดมามันไม่ได้ร้ายแรงอะไร พี่ต้องคิดให้ดีกว่านี้ครับ”
“ฉันคิดเรื่องอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ถ้าอย่างนั้น ผมก็คงจะช่วยอะไรพี่ไม่ได้” หวังเย้าพูด
540 กงเกวียนกงกรรม
“ไม่ ฉันขอร้องนายล่ะ เราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน นายต้องช่วยฉันนะ!” หวังเจ๋อเชิงร่ำร้องออกมา
“ก็อย่างที่ผมบอกไป ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับตัวพี่เอง พี่ต้องคิดให้ดีดี” หวังเย้าพูด
หวังเจ๋อเชิงคิดทบทวนถึงสิ่งไม่ดีที่เขาได้ทำลงไป ย้อนไปจนถึงเรื่องที่เขาทำในตอนเด็ก เช่น ขโมยชุดชั้นในหรือแอบดูผู้หญิงอาบน้ำ
“เดี๋ยวนะ!” หวังเจ๋อเชิงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วสีหน้าของเขาก็ดูแย่ลง “หรือจะเป็นเพราะเรื่องพ่อของฉัน?”
“ลุงยี่หลง? แล้วพี่คิดว่ายังไงล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันจะเปลี่ยน กลับไปแล้วฉันจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง” หวังเจ๋อเชิงพูดออกมาด้วยท่าทีลำบากใจ
“โอเค งันก็กลับไปได้แล้วครับ” หวังเย้าไม่สนใจว่าเขาจะเข้าใจจริงๆหรือไม่
“ได้โปรดเถอะ เอายาให้ฉันทีนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ผมให้ไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พี่ก็ควรกลับไปได้แล้วนะครับ” หวังเย้าส่งแขก
หวังเจ๋อเชิงก้มหน้าลงและเงียบไปพักหนึ่ง “ที่ฉันป่วย ก็เพราะฉันมันอกตัญญูสินะ!”
เฉินหยิงที่นั่งอยู่ใกล้ๆได้ยินคำพูดของเขา ก็เข้าใจในทันที เธอหันไปมองหน้าของหวังเย้า
เธอไม่รู้ว่ามีเรื่องกงเกวียนกงกรรมของฟ้าดินอยู่จริงไหม อย่างน้อยๆตัวเธอเองก็ไม่เคยได้เจอกับตัวเลยสักครั้ง แต่หวังเย้ากลับสามารถทำให้คนสำนึกผิดได้ด้วยความสามารถที่เขามี
เพราะความอกตัญญูที่เขาได้ทำลงไป มันควรจะทำให้เขารู้สึกอับอายต่อพฤติกรรมของตนเอง
หวังเจ๋อเชิงก้มหน้าเดินจากไป ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มเชื่อและกลัวมากจริงๆ
“เซียนเชิงคะ เรื่องกรรมมันมีอยู่จริงๆเหรอคะ” เฉินหยิงถาม
“ผมยินดีเชื่อว่ามันมีอยู่ครับ” หวังเย้าพูด
ผู้คนมักจะพูดว่า กงกรรมกงเกวียนนั้นมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ ถ้าหากมันไม่เกิดขึ้น ก็เป็นเพราะว่าเวลายังมาไม่ถึงเท่านั้นเอง ในความเป็นจริงนั้น โลกใบนี้เป็นโลกที่คนทำดีไม่ได้ดี แต่คนทำชั่วกลับอยู่อย่างอิสรเสรี
“พี่ขับรถมาที่นี่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ค่ะ” เฉินหยิงพูด
“แล้วพี่พักที่ไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ในตัวเมืองเหลียนชานค่ะ” เฉินหยิงพูด
หวังเจ๋อเชิงกลับไปที่บ้าน เขาดูราวกับร่างไร้วิญญาณ
“เป็นยังไงบ้าง?” ภรรยาของเขาถาม
“ไม่ได้เป็นอะไร ฉันไปนอนก่อนนะ” เขาเดินเข้าไปในห้องและขดตัวอยู่บนเตียงนอน เขาเงยหน้ามองเพดานและคิดถึงเรื่องบางอย่าง
โอ๊ะ! เขาปวดท้องขึ้นมาอีกครั้ง เขาเดินไปเข้าห้องน้ำและพบว่าตัวเองถ่ายออกมาเป็นเลือด เมื่อออกมาจากห้องน้ำ เขาก็เดินไปที่ห้องที่พ่อของเขาอยู่
ชายชรานอนอยู่บนเตียง สภาพของเขาดูแย่มากเพราะอาการป่วยที่เป็นอยู่ ภายในห้องเล็กๆแห่งนี้ เขาไม่รู้เลยว่ามันนานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ทำความสะอาด ภายในห้องมีไฟหนึ่งดวง, กลิ่นเหม็นเปรี้ยว, และผ้าปูเตียงกับผ้าห่มที่ชำรุดทรุดโทรม พวกมันไม่ได้ซักมานานมากแล้ว
หวังเจ๋อเชิงยืนอยู่ข้างเตียงนอน
“พ่อ” เขาพูดเสียงเบา
“หืม มีอะไรเหรอ? แล้วหายดีรึยัง?” ชายชรารีบถามในทันทีที่เห็นว่าเป็นลูกชายของเขา
“ผมดีขึ้นแล้ว” หวังเจ๋อเชิงอยากจะร้องไห้ออกมา
แล้วเขาก็คุกเข่าลงไปที่พื้น
“พ่อ ผมผิดไปแล้ว” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ไอ้หนู แกกำลังทำอะไร?” ชายชราที่นอนอยู่บนเตียงรีบลุกขึ้นมาทันที
“ผมมันอกตัญญู!” หวังเจ๋อเชิงตบหน้าและด่าทอตัวเอง “ผมผิดไปแล้ว”
“ได้ ได้” ชายชรารู้สึกสับสน เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายของเขา ทำไมอยู่ๆเขาถึงได้ทำตัวแบบนี้กัน?
“ตั้งแต่นี้ไป ผมจะเป็นลูกที่ดีของพ่อนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ดี ดี” ชายชรารีบพูด
อยู่ๆเขาก็คิดได้ขึ้นมา ลูกชายที่เหลวแหลกกลับกลายเป็นคนดีขึ้นมา เพราะรู้สึกกลัวในบาปกรรม แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปนานแค่ไหน
ตอนกลางวัน หวังเย้าปิดคลินิกเร็วกว่าปกติ และได้บอกกับที่บ้านว่าเขาจะออกไปกินข้าวที่ร้านอาหารกับเฉินหยิง
พวกเขาสั่งอาหารมาหลายจานมา มันไม่ได้พิเศษอะไร แต่ทั้งหมดล้วนมาจากธรรมชาติ ในเมื่อพวกเขาขับรถมา จึงไม่มีใครดื่มไวน์ และพูดคุยกับหลายๆเรื่อง
หลังจากเฉินหยิงขับรถจากไปแล้ว เจ้าของร้านก็เดินเข้ามาตบไหล่ของหวังเย้า
“แฟนของนายสวยดีนะ” เขาพูด
หวังเย้ายิ้ม “ไม่ใช่หรอกครับ เธอไม่ใช่แฟนผม”
ในคืนนั้น หวังยี่หลงไม่สามารถข่มตาหลับได้ ลูกชายของเขาทำตัวแปลกไป และเขาก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เขาคิดอยู่แบบนั้นไปตลอดทั้งคืน
ส่วนหวังเจ๋อเชิงก็นอนไม่หลับเพราะรู้สึกไม่สบายท้อง เมื่อไปเข้าห้องน้ำ เขาก็ยังคงถ่ายออกมาเป็นเลือด แต่เขาก็ไม่ได้ก่นด่าอะไรออกมาเหมือนก่อนหน้านี้อีก เขารู้สึกกลัวและเสียใจ
เมื่อมองไปที่พ่อของเขา เขาก็รู้สึกว่า ในอดีตเขาได้ทำตัวไม่ดีต่อพ่อของเขาหลายอย่าง
คืนนั้นบนเนินเขาหนานชาน ฟืนที่เก็บจากบนเขากำลังลุกไหม้ หม้อต้มยามีน้ำแร่โบราณกำลังเดือดอยู่ภายใน ตานเซิน, หวูเว่ยจือ, ฟู่หลิง, เฉาเย้า, กานเฉา…ทั้งสมุนไพรถูกใส่ลงไปทีละตัว
กลิ่นของตัวยาลอยออกไปถึงแปลงสมุนไพร ซานเซียนผงกศีรษะขึ้นมองจากในบ้านสุนัขของมัน ต้าเซี่ยยืนนิ่งอยู่บนกิ่งไม้ราวกับรูปปั้น ค่ำคืนก็ผ่านพ้นไปเช่นนี้
ตอนเช้าตรู่ ท้องฟ้ามีสีเทาเล็กน้อย ราวกับถูกปกคลุมด้วยเส้นด้าย เฉินหยิงเดินทางมาที่คลินิกในตอนเช้า
“ขอบคุณนะคะ เซียนเชิง” เธอพูด
“ยินดีครับ” หวังเย้าพูด “พอเอากลับไปแล้ว ก็ให้เขากินยาเหมือนทุกทีนะครับ แล้วอีกไม่นาน ผมก็จะไปปักกิ่ง”
“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เฉินหยิงพูด
เวลา 9 โมงเช้า ภายในหมู่บ้านที่เงียบสงบก็มีเสียงประกาศตามสายดังขึ้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับตึกอพาร์ทเมนต์ที่กำลังก่อสร้างขึ้นในตัวเมือง ชาวบ้านจึงพากันเดินไปที่ห้องประชุมเพื่อรับฟังข่าว
ในตัวเมืองตอนนี้ บริษัทของซุนเจิ้งหรงได้เริ่มการก่อสร้างอพาร์ทเมนต์แล้ว และชาวบ้านหลายคนต่างก็รู้ดี และมีหลายคนที่เดินทางไปดูสถานที่จริงมาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง อพาร์ทเมนต์ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี และดำเนินการก่อสร้างโดยคนกลุ่มใหญ่ ราคาบ้านในตัวเมืองนั้นมีแต่จะสูงขึ้น ไม่มีลดลง ทุกคนจึงต่างพากันกังวล ดังนั้น เมื่อมีการประกาศเสียงตามสาย ทุกบ้านที่ได้ยินล้วนพากันออกมาฟัง
ในตอนนี้ ห้องประชุมได้อัดแน่นไปด้วยผู้คน
“เงียบหน่อย!” หวังเจียนหลี่พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
เดิมทีเรื่องนี้ควรจะวางไว้ก่อน เพราะน้องชายของเขาเพิ่งจะเสียชีวิตไป เขาจึงไม่อยากจะยุ่งกับงานนี้ แต่เมื่อได้รับสายจากซุนหยุนเชิง เขาก็จำเป็นต้องออกมาจัดการ
ชาวบ้านต่างพากันตั้งคำถาม บางคนก็ยินดีที่จะกรอกข้อมูลในทันที ส่วนบางคนก้ต้องการกลับไปคิดดูก่อน มันใช้เวลาหมดไปถึงหนึ่งวัน ดูเหมือนว่า หมู่บ้านจะไม่ได้ดูวั่นวายแบบนี้มานานมากแล้ว
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ไปที่นั่น เช่น หวังเจ๋อเชิง เขาให้บอกภรรยาว่าเขาจะพาพ่อของเขาไปตรวจที่โรงพยาบาล หวังยี่หลงไม่ยอมไป แต่เมื่อลูกชายของเขาดึงดัน เขาจึงยอมไปโรงพยาบาล
มันมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น ทางแพทย์ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับชายชรา แต่เลือกที่จะอธิบายสถานการณ์ของชายชราให้หวังเจ๋อเชิงฟังแทน
“มันไม่มีวิธีการที่ดีที่จะรักษาพ่อของคุณได้เลย” หมอพูด “ผมแนะนำให้พาเขากลับไปที่บ้าน ให้เขาได้กิน ดื่ม และรอ”
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหมอแล้ว หวังเจ๋อเชิงก็อึ้งไป มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? ฉันเพิ่งจะสำนึกได้ แต่กลับมาได้ยินเรื่องแบบนี้
พ่อของเขาอยู่ในระยะสุดท้าย ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เขาได้สติแล้ว แต่พระเจ้ากลับไม่ยอมให้โอกาสเขาได้แก้ตัว เขายืนร้องไห้เงียบๆอยู่ที่มุมๆหนึ่ง
หมอถอนหายใจออกมา “อย่าร้องเลยครับ ถ้าคุณลุงออกมาแล้วเห็นแบบนี้ เขาอาจจะสงสัยได้”
“ครับ ได้” หวังเจ๋อเชิงเช็ดน้ำตา
“เป็นยังไงบ้าง?” หลังจากออกมาแล้ว ชายชราก็ถามลูกชายของเขา
“มันไม่มีปัญหาอะไร แค่ตับของพ่อติดเชื้อเท่านั้น แล้วหมอก็ให้ยามาแล้วด้วย” หวังเจ๋อเชิงพูดในสิ่งที่เขาได้เตรียมเอาไว้
“อ้อ งั้นก็กลับบ้านกันเถอะ” พ่อของเขาพูด
หวังเจ๋อเชิงขับรถพาพ่อของเขากลับบ้าน ระหว่างทางเขาได้บอกให้ภรรยาทำของอร่อยๆเตรียมเอาไว้ ในตอนเย็น เขาอยู่คุยเป็นเพื่อนพ่อของเขาก่อนที่จะกลับไปที่ห้องของตัวเอง
ชายชราที่นอนอยู่บนเตียงนอนพร้อมกับผ้าคลุมเตียงผืนใหม่ เขายิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้นไปอีก อยู่ๆลูกชายของเขาก็กลายเป็นคนดีขึ้นมา เขาพาฉันไปโรงพยาบาล แล้วยังทำอาหารให้ฉันกินด้วย เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ
ภรรยาของหวังเจ๋อเชิงไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆสามีของเธอถึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้
“สองวันนี้เป็นอะไรไปเหรอ?” เมื่อนอนอยู่ด้วยกันในห้องสองคน ภรรยาของเขาก็ถามขึ้นมา
“อะไรเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถาม
“ฉันรู้สึกว่า สองวันนี้มานี้พี่ดูแปลกไปน่ะสิ” ภรรยาของเขาพูด
“เธอหมายถึง เรื่องที่อยู่ดีๆฉันก็ทำตัวดีกับพ่อขึ้นมาน่ะเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถาม
ภรรยาของเขาตอบด้วยท่าทีลังเล “เอ่อ ใช่”
“ฉันเคยทำตัวไม่ดีมาก่อน และไม่เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง ตอนนี้ฉันเข้าใจทุกอย่างแล้ว แต่มันก็สายเกินไป” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ทำไมถึงคิดว่ามันสายเกินไปล่ะ?” ภรรยาของเขาถาม
“พ่อป่วยระยะสุดท้ายแล้ว” หวังเจ๋อเชิงพูด
ภรรยาของเขาตกใจ “รักษาไม่ได้แล้วเหรอ?”
“รักษาไม่ได้แล้ว” หวังเจ๋อเชิงพูด
“พี่คิดจะพาพ่อไปรักษาที่ตัวจังหวัดไหม?” ภรรยาของเขาถาม
“ฉันขอคิดดูก่อน พรุ่งนี้ฉันจะลองเข้าตัวจังหวัดดู แล้วจะเอาผลตรวจของพ่อไปด้วย ถ้าพวกเขามีทาง ฉันก็จะพาพ่อไปที่นั่น!”
541 กองหินค่ายกล
“เราจะพาพ่อไปรักษา ไม่ว่าจะเสียเงินเท่าไหร่ก็ตาม” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ได้” ภรรยาของเขาพูด
เธอสังเกตว่าสามีของเธอเปลี่ยนไป และมันก็เป็นไปในทางที่ดี
…
ในคืนนั้น เมื่อเขาอยู่บนเนินเขาหนานชาน เขาได้เปิดหน้าจอระบบขึ้นมา เพราะเขาได้รับการแจ้งเตือนจากระบบว่า เขาสามารถอัพเกรดระบบได้แล้ว
ฉันอัพเกรดได้แล้ว!
หวังเย้าเปิดหน้าจอเพื่อดูร้านค้าของระบบ มีสมุนไพรรากเพิ่มขึ้นมาอีกสามชนิด หนึ่งในนั้นคือ เฟยหลายเฟิง อยู่ด้วย แต่ราคาของมันก็สูงมาก เขาจำเป็นต้องใช้คะแนนถึง 100 คะแนน
ในตอนนี้ เขาก็ได้สมุนไพรทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับทำขี้ผึ้งต้วนชื่อ เขาสามารถทำมันขึ้นมาได้แล้ว
หวูเถิง, ปาเจียวถง, เฟยหลายเฟิง, กุยหยวน… ตัวยามีสมุนไพรรากถึงสี่ชนิด สามชนิดมีพร้อมแล้ว เขายังขาดแค่เฟยหลายเฟิงเท่านั้น
…
ในตอนเย็น เฉินหยิงเดินทางกลับมาถึงปักกิ่ง เธอโทรรายงานเรื่องการเดินทางมาปักกิ่งของหวังเย้ากับซงรุ่ยปิง เช้าวันต่อมา เธอเดินทางไปที่บ้านตระกุลซู
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณหนู” เฉินหยิงพูด
“อรุณสวัสดิ์ นั่งก่อนสิคะ แล้วบอกเล่าเรื่องหมอหวังให้ฉันฟังที” ซูเสี่ยวซวีพูด
เฉินหยิงเล่าเรื่องหมอหวังซ้ำอีกครั้ง เนื้อหาที่เล่าไม่ได้ต่างจากที่เธอบอกกับซงรุ่ยปิงไปเมื่อวานมากนัก
“หมอหวังบอกว่า เขาจะมาปักกิ่งเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ใช่ค่ะ” เฉินหยิงพูด
“เยี่ยมไปเลยค่ะ!” ซูเสี่ยวซวีพูดอย่างตื่นเต้น
เฉินหยิงคิดในใจ เธอดูจะชอบหวังเย้ามากจริงๆ
…
ในหมู่บ้าน หลินซือเทาและอาหาวกำลังเดินมาตามถนน หลินซือเทาฟื้นตัวได้เร็วกว่าอาหาว ตอนนี้เขาแทบจะหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว แต่อาหาวกลับฟื้นตัวอย่างช้าๆ มันยังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่เขาจะหายดี
“เราเดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานกันดีไหม?” หลินซือเทาเสนอ
“ก็ดีครับ” อาหาวพูด “ตั้งแต่มาที่นี่ ผมก็ไม่เคยได้เดินขึ้นเขาเลย โดยเฉพาะเนินเขาหนานชาน”
หลินซือเทาพูดถึงเนินเขาหนานชานให้เขาได้ยินมาแล้วหลายครั้ง อาหาวจึงรู้สึกอยากจะไปเห็นด้วยตาของตัวเองบ้าง
พวกเขาเดินไปตามเส้นทางขึ้นเขา จากทางทิศตะวันตกไปสู่ทิศใต้ ถนนสายนั้นค่อนข้างราบเรียบ พวกเขาพากันเดินไปอย่างไม่รีบร้อน ไม่มีใครอยู่บนเขาในช่วงเวลานี้ของวัน สามสิบนาทีต่อมา เนินเขาหนานชานก็ปรากฏสู่สายตาของพวกเขา มันเป็นภาพของเนินเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้และพืชพันธ์สีเขียว
“สุดยอด” อาหาวพูด
เนินเขาโดยรอบแห้งแล้งราวกับทะเลทราย ยกเว้นก็แต่เนินเขาหนานชาน ที่เปรียบเสมือนกับโอเอซิสที่อยู่ท่ามกลางทะเลทราย
“มันวิเศษมาก” หลินซือเทาพูด
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น ไม่นานไปถึงจุดสิ้นสุด ก้อนหินที่ถูกวางอย่างไร้ระเบียบได้ปิดทางพวกเขาเอาไว้ หินแต่ละก้อนล้วนมีขนาดและรูปทรงที่แตกต่างกันออกไป บางจุดก็มีก้อนหินวางกองหลายก้อน บางจุดก็มีอยู่สิบกว่าก้อน หินที่เล็กที่สุดมีความสูงอยู่ที่ 1 เมตร
บางก้อนนั้นมีอยู่บนเขามาเป็นเวลานานมากแล้ว ส่วนบางก้อน ก็เป็นหวังเย้าที่เป็นคนขนมาจากที่อื่นเมื่อเขามีเวลาว่าง เขาตั้งใจที่จะใช้ก้อนหินเหล่านี้สร้างเป็นค่ายกลเพื่อปิดทางเข้าจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเนินเขา ความคิดนี้ เขาได้มาจากกองหินค่ายกลในเรื่องสามกก ซึ่งถูกสร้างเอาไว้เพื่อปิดทางของกองทัพขนาดใหญ่ ขงเบ้งก็ใช้วิธีนี้จนเกือบจะสามารถวางกับดักแม่ทัพลกซุนได้
ถึงแม้ว่ากองหินค่ายกลจะเป็นเรื่องที่อยู่ในนิยาย แต่มันก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับหวังเย้า
ในตอนนี้ ก้อนหินเหล่านี้ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างของค่ายกลขึ้นมาบ้างแล้ว
หืมมม! หลินซือเทาและอาหาวค้นพบว่า ยิ่งพวกเขาเดินเข้าไปใกล้ก้อนหินเหล่านั้นมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนเริ่มแรก ตรงหน้าของพวกเขาไม่มีก้อนหินเลยสักก้อน พวกมันเพียงกองกันอยู่ด้านข้างเท่านั้น แต่แล้วไม่นาน พวกเขาก็พบว่ามีก้อนหินวางอยู่ตรงหน้าของพวกเขา รวมทั้งด้านข้างทั้งสองด้านด้วย ที่แห่งนี้แปลกประหลาดเกินไปแล้ว!
“ลุงหลิน?” อาหาวรู้สึกสับสน
“ที่นี่แปลกมาก” หลินซือเทาพูด เขาจำได้ดีว่า ครั้งก่อนที่มาที่นี่มันไม่มีก้อนหินอยู่ตรงนี้ “นี่จะต้องเป็นค่ายกลที่หมอหวังวางเอาไว้แน่ๆ”
ครั้งก่อนที่เขาเคยมา เขาก็ได้เห็นถึงความอัศจรรย์ของค่ายกลภาพลวงตาที่อยู่ด้านนอกของแปลงสมุนไพรไปแล้ว และหินที่วางกองกันสะเปะสะปะเหล่านี้ก็มีผลเช่นเดียวกัน
“แล้วเราจะผ่านมันไปได้ยังไงล่ะครับ?” อาหาวถาม
“เราต้องเดินตรงไป” หลินซือเทาพูด
เขาเดินตรงไปข้างหน้าพร้อมกับอาหาว เมื่อเขาก้าวข้ามหินก้อนหนึ่งไป เขาก็เดินต่อ เมื่อพบก้อนหิน เขาก็จะลองเอามือจับดู หากเป็นของจริง เขาก็จะข้ามมันไปและเดินต่อ อาหาวเดินตามหลังเขาไปติดๆ
หืม? อยู่ๆหลินซือเทาก็หยุดเดิน
“มีอะไรเหรอครับ?” อาหาวถาม
“มีก้อนหินอยู่ตรงนี้” หลินซือเทาพูด เขามองไม่เห็นมัน แต่เขาสามารถสัมผัสได้ว่ามีหินก้อนหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าเขา
หากมองลงมาจากจุดที่สูงกว่า ก็จะพบว่า พื้นที่บริเวณนี้ไม่ได้กว้างมากนัก มันจึงมีหินวางอยู่ไม่มาก แต่คนทั้งสองกลับต้องเดินกลับไปกลับมาและหาทางออกไม่เจอ พวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยก้อนหินแห่งนี้ เมื่อพวกเขาหลุดออกมาได้ แต่ละคนก็ล้วนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“น่ากลัวจริงๆ!” อาหาวหันหน้ากลับไปมองก้อนหินที่ดูไม่มีพิษมีภัยเหล่านั้น แต่หากได้ลองเข้าไปแล้ว ก็จะได้รู้ถึงความน่ากลัวของมัน
“ใช่” หลินซือเทาพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา “หมอหวังเป็นคนที่สุดยอดจริงๆ”
พวกเขาพากันเดินต่อไป ไม่นาน พวกเขาก็เดินมาถึงด้านนอกของแปลงสมุนไพร
“อย่ามองไปที่ต้นไม้” หลินซือเทาเตือนอาหาว
แต่อาหาวก็รู้สึกสงสัยจนไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้มองไปที่ต้นไม้ได้ ในตอนที่เขายืนห่างจากแปลงสมุนไพรไปไม่กี่เมตร เขาก็เงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ เขาคิดว่า ตัวเองอยู่ห่างจากแปลงสมุนไพรมากพอสมควร แต่แล้วเขากลับมองเห็นว่าต้นไม้กำลังส่ายไปมาและเคลื่อนที่ไม่หยุด ราวกับมีชีวิต แล้วอยู่ๆเขาก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เขาที่รู้สึกเวียนหัว หลินซือเทาก็มีอาการไม่ต่างกัน ทั้งสองรู้สึกหน้ามืด, ตาลาย และอยากอาเจียน พวกเขารู้สึกอ่อนแรง ราวกับกำลังถูกดูดพลังออกไปจากร่างกาย
เพราะอะไรกัน?
ทั้งสองพยายามสูดลมหายใจเข้าอย่างยากลำบาก ราวกับรอบๆตัวไม่เหลืออากาศให้พวกเขาได้หายใจ หรือมีบางคนกำลังบีบคอของพวกเขาเอาไว้
เกิดอะไรขึ้นกัน? แมลงพวกนี้โผล่มาจากที่ไหนกัน?
อยู่ๆพวกเขาก็มองเห็นแมลงหน้าตาน่ากลัวจำนวนมาก มันดูคล้ายกับตะขาบที่มีปีกสามารถบินได้ แมลงเหล่านั้นกำลังบินตรงเข้าหาพวกเขา
“ออกไป!” อาหาวตะโกน
พวกเขาอยากจะขยับตัวหนี แต่กลับตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ราวกับว่า พวกเขาถูกโซ่มัดตัวเอาไว้
หมอหวัง! พวกเขาอยากจะกรีดร้องออกมา แต่ก็ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้
โฮ่ง!โฮ่ง!โฮ่ง! พวกเขาได้ยินเสียงเห่าดังมาจากด้านในแปลงสมุนไพร มันเป็นเสียงเห่าที่ดังมาก จนแทบไม่ต่างไปจากเสียงคำรามของสิงโตหรือเสือเลย
มีคนมาที่นี่ หวังเย้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เขาอยู่บนเนินเขาหนานชานในตอนเข้าเพื่อเตรียมสมุนไพร ในเมื่อเขามีสมุนไพรสำหรับทำขี้ผึ้งพร้อมแล้ว เขาก็อยากจะทำมันขึ้นมาให้เร็วที่สุด
ตุบ!ตุบ! หลินซือเทาและอาหาวล้มตัวลงไปที่พื้น พวกเขารู้สึกหายใจไม่ออก
ในตอนที่พวกเขารู้สึกเหมือนกำลังจะหมดสติลง ก็มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาและเอาบางอย่างให้พวกเขาดื่มเข้าไป ไม่นานพวกเขาก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ทั้งสองเงยหน้าขึ้นและพบว่าเป็นหวังเย้า
“หมอหวัง” หลินซือเทาพูด
“ทำไมพวกคุณถึงได้มาที่นี่กันล่ะครับ?” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
หลังจากได้ยินเสียงเห่าของซานเซียน เขาก็เดินออกมาจากกระท่อม ไม่นานเขาก็เห็นหลินซือเทาและอาหาวนอนอยู่ที่พื้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นผลมาจากกลิ่นของเซียนชิวหลัว เมื่อได้รับผลจากค่ายกลรวมวิญญาณ มันจึงทำให้กลิ่นของเซียนชิวหลัวลอยออกไปได้ไกลขึ้น ใครก็ตามที่สูดกลิ่นของมันเข้าไป ก็จะรู้สึกหายใจไม่ออกและเริ่มเห็นภาพลวงตา ถ้าหากผลของมันรุนแรง พวกเขาก็อาจจะหยุดหายใจและตายได้
หวังเย้าหยิบยาแก้พิษออกมาป้อนให้กับหลินซือเทาและอาหาว ฤทธิ์ของเซียนชิวหลัวจางหายไปในทันที
“เราแค่อยากจะเดินขึ้นมาบนเขาจนมาถึงที่นี่ แล้วเราก็ติดกับดักที่ก้อนหินพวกนั้นเข้า พวกเราต้องใช้เวลานานมากกว่าจะหลุดออกมาได้ แล้วเราก็มาโผล่ที่นี่ ถ้าคุณไม่ช่วยพวกเราไว้ เราก็คงจะต้องตายที่นี่แล้วล่ะครับ” หลินซือเทาพูด “คุณเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ”
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด “ก้อนหินพวกเขาขังพวกคุณเอาไว้เหรอครับ?”
“ใช่ครับ เราอยู่ในนั้นกันนานพอสมควรเลยล่ะ” หลินซือเทาพูด
“อ่อ ผมวางไว้ตอนที่ผมว่างๆน่ะครับ ไม่คิดว่ามันจะได้ผลด้วย” หวังเย้าพูด
“เราโชคดีที่หลุดออกมาจากที่นั่นได้ ถ้าเป็นคนอื่นบังเอิญเข้าไปติดอยู่ในนั้นละก็ พวกเขาอาจจะเจอปัญหาใหญ่เลยล่ะครับ” หลินซือเทาพูด
“คุณพูดถูก” หวังเย้าพูด เขาไม่ได้สร้างค่ายกลกองหินต่อ เพราะกลัวว่ามันอาจจะทำร้ายคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้ แต่เขาคิดไม่ถึงว่า ค่ายกลที่สร้างเสร็จเพียงครึ่งเดียวกลับยังมีประสิทธิภาพเกินกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้
เขาไม่ได้เชิญหลินซือเทาและอาหาวเข้าไปในแปลงสมุนไพร เขาเพียงแค่พาคนทั้งสองเดินดูรอบๆเนินเขาหนานชานเท่านั้น
อาหาวหันไปมองค่ายกลภาพลวงตา แล้วเขาก็มีอาการเวียนศีรษะอีกครั้ง
น่าทึ่งจริงๆ! เขาเลือกที่จะไม่หันกลับไปมองต้นไม้เหล่านั้นอีกแล้ว
หลังจากที่ได้เดินดูพอสมควรแล้ว หลินซือเทาและอาหาวก็ลงไปจากเนินเขาหนานชาน หวังเย้าก็กลับไปต้มยาสมุนไพรของเขาต่อในกระท่อม
“ไม่คิดเลยนะครับ ว่าของแบบนี้จะมีอยู่จริงๆ” หลังลงมาจากเนินเขาหนานชานแล้ว อาหาวก็พูดขึ้นมา ดูเหมือนว่าเขาจะพูดมากกว่าปกติอีกด้วย
“นายสัมผัสได้แค่ค่ายกลเท่านั้นเหรอ? อย่างอื่นล่ะ?” หลินซือเทาถาม
“อย่างอื่นเหรอครับ?” อาหาวรู้สึกงุนงง
“นายไม่รู้สึกเหรอ ว่าอากาศมันเปลี่ยนไปน่ะ?” หลินซือเทาถาม
“โอ้ ใช่แล้ว!” อยู่ๆอาหาวก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่ออยู่บนเนินเขาหนานชาน เขารู้สึกได้ถึงอากาศที่อบอุ่น มันเป็นความรู้สึกที่สบายตัว แต่เมื่อออกมาแล้ว เขาก็รู้สึกว่าอากาศโดยรอบเย็นลงกว่าเดิม
542 คือหนึ่งภูเขาและหนึ่งค่ายกล
ตัวเนินเขามีความสูงไม่ถึง 30 เมตรด้วยซ้ำ แต่มันมีความต่างระหว่างการเดินขึ้นกับเดินลงอยู่
“ภูเขาลูกนี้คือค่ายกลขนาดใหญ่!” หลินซือเทาหันกลับไปมองเนินเขาหนานชานที่อยู่เบื้องหลังเขา
“ค่ายกลขนาดใหญ่เหรอ?” อาหาวหันกลับไปมอง เขามีนั้นต่างไปจากหลินซือเทา เพราะเขายังมีประสบการณ์ไม่มากและไม่เคยได้พบเห็นของแบบนี้มาก่อน “มันจะต้องเป็นแบบนั้นแน่ ถ้าไม่อย่างนั้น อากาศมันจะต่างกันขนาดนี้ได้ยังไง? แล้วทำไมภูเขาทั้งลูกถึงยังเขียวชอุ่มในฤดูกาลนี้ได้ล่ะ?”
“ไม่แปลกใจเลย ที่เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้” หลินซือเทาพูด “ฉันคิดว่า มันจะต้องเป็นเพราะภูเขาลูกนี้แน่ๆ”
ถ้าหากหวังเย้าอยู่ตรงนี้ พวกเขาคงจะพูดสรรเสริญเขาไม่หยุด และการที่เขาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ก็เป็นเพราะว่าภูเขาที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขานี้เอง
“เขาเช่าภูเขาลูกนี้ใช่ไหมครับ?” อาหาวถาม
“ใช่” หลินซือเทาพูด “สงสัยจริงๆว่ามันเป็นยังไง”
“มันพอไหมครับ?” อาหาวถาม
“พอเหรอ?” หลินซือเทาเงียบไป ไม่นานเขาก็เข้าใจความหมายของอาหาว “ใช่ มันคงจะไม่พอ เรากลับไปคุยกับนายน้อยกันเถอะ ให้เขาจัดการเรื่องนี้เอง”
…
หวังเย้าไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดเรื่องอะไรหลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไป เขายังคงอยู่บนเนินเขาหนานชาน โสมซานซี, เสวียเจี๋ย, โท้วกู่เฉา…
เขาขาดสมุนไพรไปสองตัว เขาจึงโทรไปหาหลี่เม่าชวง
“ไม่มีปัญหา ฉันจะส่งไปให้นายให้เร็วที่สุด” หลี่เม่าชวงพูด
“ขอบคุณครับ” หวังเย้าพูด
เขาลงไปจากเนินเขาในตอนเที่ยง เมื่อไปถึงที่บ้าน เขาก็ได้ยินเสียงแม่ของเขากำลังพูดถึงเรื่องที่ชาวบ้านกำลังจะแลกบ้านกับอพาร์ทเมนต์กัน
“มีบ้าน 100 กว่าหลังที่จะแลกบ้านกับอพาร์ทเมนต์” เธอพูด
“100 กว่าหลังเลยเหรอครับ? นั่นไม่ใช่ครึ่งหนึ่งของหมู่บ้านเลยเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ก็เกือบจ๊ะ ช่วงนี้ มีชาวบ้านหลายคนไปดูที่ที่เขากำลังก่อสร้างกันอยู่ แล้วการก่อสร้างก็เร็วมากด้วย” เธอตอบ
“แม่ก็ไปที่นั่นมาด้วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ได้ไปหรอกจ๊ะ” จางซิวหยิงยิ้มและโบกมือ
“เชื่อผมนะครับแม่ อยู่ที่หมู่บ้านของเราก็ดีอยู่แล้ว” หวังเย้าพูด
“อืม พ่อเขาก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน” จางซิวหยิงพูด
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว หวังเย้าไม่ได้กลับขึ้นไปบนเนินเขาหรือไปที่คลินิก แต่เขาเข้าไปซื้อของในเมืองเป็นเพื่อนแม่และแวะไปเยี่ยมพี่สาวของเขา
“อะไรนะ? จะซื้อบ้านเหรอ?” เมื่อได้เจอกับหวังรุ่ย พวกเขาก็ได้รู้ว่าตู้หมิงหยางคิดที่จะซื้อบ้านหลังใหม่
“ราคาเท่าไหร่เหรอ?” จางซิวหยิงถาม
“ก็พอสมควรค่ะ” หวังรุ่ยพูด
“ถ้าเงินไม่พอ ลูกต้องบอกแม่นะ” จางซิวหยิงพูด
เมื่อตู้หมิงหยางรู้ว่าแม่ยายในอนาคตของเขาจะมาเยี่ยม เขาก็รีบออกจากงานเพื่อไปซื้อของเป็นเพื่อนพวกเขา
“เธอไม่ต้องมาเป็นเพื่อนป้าหรอก” จางซิวหยิงพูด “กลับไปทำงานเถอะ งานของเธอคงจะยุ่งมาก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาพูด “นี่เป็นเรื่องที่ผมควรทำอยู่แล้ว”
เมื่อเขาบอกกับหวังรุ่ยว่าเขาคิดจะซื้อบ้าน เธอก็นำเงินเก็บจำนวนหลายแสนหยวนออกมา ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกซึ้งใจมาก เขาคิดที่จะเขียนชื่อของพวกเขาทั้งสองคนลงในชื่อเจ้าของบ้าน ในเมื่อพวกเขาจะแต่งงานกันอยู่แล้ว มันคือเรื่องในระยะยาว ไม่ใช่การละเล่นของเด็กๆ
ตู้หมิงหยางพาพวกเขาไปทานอาหารกันที่ร้านอาหารดีดีร้านหนึ่ง หวังเย้าและแม่ของเขากลับไปถึงที่บ้าน ก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว
…
วันต่อมา มีแขกคนหนึ่งเดินทางไปที่ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน และยังเป็นแขกที่มีเกียรติมากอีกด้วย
“ซุนหยุนเชิง!” หวังเจียนหลี่รู้สึกประหลาดใจกับการมาเยือนในครั้งนี้
“มีเรื่องอะไรก็เชิญพูดมาได้เลยนะ” หวังเจียนหลี่รีบพูด
ซุนหยุนเชิงมีบริษัทใหญ่อยู่เบื้องหลังเขา เพราะแม้แต่ผู้นำเขตและเมืองก็ยังเคารพเขา
“ผมอยากจะทำสัญญาเช่าเนินเขาที่อยู่รอบๆหมู่บ้านครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“ทำสัญญาเช่าเนินเขาเหรอ?” หวังเจียนหลี่ตกตะลึง
เนินเขาทางทิศตะวันตกและออกของหมู่บ้านมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด เพราะภูเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยหินและพื้นดินที่ขรุขระ มีพื้นที่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่สามารถทำการเกษตรได้ ดังนั้น การเช่าภูเขาเหล่านี้จึงเป็นเรื่องไร้ประโยชน์
“อะไรนะครับ? มันมีปัญหาอย่างนั้นเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“อ้อ ไม่ใช่หรอก แต่ฉันต้องขอคิดดูก่อนน่ะ” หวังเจียนหลี่พูด “แล้วก็ต้องขอความเห็นจากสมาชิกคนอื่นด้วย”
“ได้ครับ ผมไม่รีบอยู่แล้ว” ซุนหยุนเชิงพูด
หลังจากที่พวกเขาคุยกันเสร็จแล้ว ซุนหยุนเชิงก็ขอตัวกลับ
เช่าเนินเขาเปล่าๆพวกนั้นน่ะเหรอ? หวังเจียนหลี่รู้สึกงุนงง เขาจะเช่าเนินเขาพวกนั้นไปทำไมกัน? หรือเขาจะเจออะไรที่นั่นเข้า?
เขาไม่ได้รีบร้อนคุยกับสมาชิกที่เหลือ แต่เลือกที่จะไปปรึกษากับภรรยาของเขาก่อน
“เช่าเนินเขาเปล่าเหรอ?” เธอถาม
“ใช่แล้วล่ะ” หวังเจียนหลี่พูด
“นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีนะ” เธอพูด “ภูเขาพวกนั้นเอาไปทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ถ้ามีคนมาเช่าไปก็จะดีมาก”
“แต่เขาจะเช่าไปทำอะไรล่ะ?” หวังเจียนหลี่ถาม
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะ?” ภรรยาของเขาถาม “อาจจะเป็นเพราะเขารวยและอยากจะลงทุนอะไรสักอย่าง หรืออาจจะเป็นเพราะเขาอยากจะปลูกผักผลไม้บนเขาก็ได้ ไม่ใช่ว่าคนในเมืองเขาชอบกินอาหารปลอดสารพิษกันเหรอ?”
หลังจากที่ปรึกษากับภรรยาของเขาแล้ว เขาก้ตัดสินใจไปคุยกับสมาชิกกรรมการหมู่บ้านในตอนกลางวัน ซึ่งพวกเขาส่วนใหญ่รวมตัวกันอยู่ที่ที่ทำการหมู่บ้าน
“เช่าเนินเขารกร้างเหรอ?” หนึ่งในสมาชิกถาม
“บางทีเขาอยากจะเลี้ยงอะไรสักอย่างก็ได้” สมาชิกอีกคนพูด
“เราไม่เข้าใจความคิดของพวกคนรวยหรอก” หวังเจียนหลี่พูด “ทุกคนคิดว่ายังไง? เราจะให้เขาทำสัญญาเช่าไหม?”
“ทำไมจะไม่ให้ล่ะ?” สมาชิกพูด “นี่เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา ขอแค่ไม่ส่งผลเสียอะไรก็พอ ถึงยังไงภูเขาสองลูกนั้นก็เอาไปใช้ทำอะไรไม่ได้ นอกจากปลูกเชอร์รี่กับเกาลัด ซุนเจิ้งหรงมีสถานะที่ไม่ธรรมดา ถ้าเราไม่ใช่เขาเช่า เขาก็อาจจะเข้าไปคุยกับทางเขตโดยตรง ไม่รู้ว่ามีคนมากแค่ไหนที่อยากจะเข้าหาเขาก่อน”
“ใช่ แล้วยังมีชาวบ้านหลายคนที่กำลังรออพาร์ทเมนต์ในเมืองอีก” สมาชิกคนหนึ่งพูด
นี่ถือเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด ถ้าหากซุนหยุนเชิงรู้สึกไม่พอใจเพราะเรื่องนี้ เขาก็อาจจะยกเลิกทุกอย่าง แล้วคนในหมู่บ้านก็จะมาเอาเรื่องกับพวกเขาที่เป็นกรรมการหมู่บ้าน
พวกเขาจึงเริ่มปรึกษากันเรื่องการทำสัญญา เนินเขาทางทิศตะวันตกและออกสามารถทำสัญญาเช่าได้เลย
“เนินเขาสองลูกนั้นติดกับเนินเขาหนานชานที่เสี่ยวเย้าเช่าอยู่ด้วย แต่เรื่องนี้ก็สามารถอธิบายให้เขาเข้าใจได้” สมาชิกอีกคนพูด
เมื่อเรื่องทุกอย่างตกลงกันได้แล้ว หวังเจียนหลี่จึงเดินทางไปที่บ้านพักของตระกูลซุนด้วยตัวเอง และบอกเรื่องนี้กับซุนหยุนเชิง
“ไม่มีปัญหาครับ ผมต้องการพูดให้ชัดเจนตอนนี้เลยนะครับ ว่าเนินเขาทั้งหมดที่ผมจะทำสัญญาเช่านั้น ผมจะโอนเจ้าของให้กับคนอื่น” ซุนหยุนเชิงพูด
“โอนให้กับคนอื่น? ใครเหรอ?” หวังเจียนหลี่ถาม
“หมอหวังครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“เสี่ยวเย้าน่ะเหรอ?” หวังเจียนหลี่ตกตะลึง
“ครับ แต่อย่าบอกให้ใครรู้นะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
เมื่อหวังเจียนหลี่ออกมาจากบ้านตระกูลซุนแล้ว เขาก็ยังคงรู้สึกสับสนไม่หาย เขาไม่เข้าใจว่า ทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงได้อยากจะเช่าเนินเขาให้กับเสี่ยวเย้า หรือเสี่ยวเย้าจะมีที่ปลูกสมุนไพรไม่พอ? แต่ฉันก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้จากปากของเสี่ยวเย้ามาก่อนเลย
เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ และไม่ได้บอกกับภรรยาของเขา
…
เมื่อมาถึงคลินิก พันจวินก็เรียนเทคนิคการนวดกับหวังเย้า เวลาประมาณบ่าย 4 โมง หลี่เม่าชวงก็ขับรถเข้ามาในหมู่บ้าน เพื่อเอาสมุนไพรมาให้หวังเย้า
“ขอบคุณครับ” หวังเย้าพุด
“ไม่เป็นไร” หลี่เม่าชวงพูด เขามองดูพันจวินที่กำลังตั้งใจเรียนอยู่และถามด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ นายมาเรียนที่นี่อย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ” พันจวินพูด
“โอ้ คงเหนื่อยน่าดูเลยนะ” หลี่เม่าชวงพูด
เมื่อคนเราเริ่มเข้าสู่วัยกลางคน ก็มีอยู่ไม่มากที่คิดจะเรียนต่อ
“พรุ่งนี้พี่ว่างรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“ว่างสิ” หลี่เม่าชวงพูด “นายถามทำไมเหรอ?”
“ไปกินข้าวกันนะครับ ผมเป็นเจ้ามือเอง” หวังเย้าพูด
หลี่เม่าชวงตกลงทันที
“ดีครับ เจอกันที่เดิมนะครับ” หวังเย้าพูด
หลังผ่านตรุษจันมา หวังเย้าก็อยากจะเชิญเขากินอาหารเย็นด้วยกัน เขามักจะติดต่อกับเพื่อนๆอยู่เป็นประจำ ตอนตรุษจีน ทุกคนล้วนแล้วแต่แวะมาที่บ้านของเขาเพื่อสวัสดีปีใหม่ ในหมู่เพื่อนทั้งหมดของเขา หวังเย้าคือคนที่อายุน้อยที่สุด ตามจริงแล้ว หวังเย้าควรจะเป็นคนเยี่ยมเพื่อนคนอื่นๆมากกว่า
“โรงพยาบาลของเราอยากจะจ้างผู้เชี่ยวชาญมาเป็นที่ปรึกษาด้วยนะ” พันจวินพูด “อาจารย์สนใจไหม?”
“ผมเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม
“ถ้านายไม่เก่ง แล้วใครจะเป็นใครได้ล่ะ?” พันจวินถาม
“ผมไม่ไปหรอก พี่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบอะไรแบบนี้” หวังเย้าพูด
พันจวินพยักหน้ารับ
เมื่อหวังเย้าปิดประตูคลินิก เขาก็เห็นคนคนหนึ่งรีบร้อนวิ่งมาที่เขาพร้อมกับเด็กน้อยที่ร้องไห้ไม่หยุด
“เสี่ยวเย้า เธอช่วยดูอาการของเด็กคนนี้ให้หน่อยได้ไหม?” ชายคนนั้นมีท่าทีตื่นตระหนก
หวังเย้าจึงรีบเปิดประตูคลินิกในทันที
543 บาดเจ็บ
“เขาไปโดนอะไรมาครับ?” หวังเย้าถาม เด็กมีอายุประมาณ 5 ขวบ
“เขาตกลงมาจากเตียงตอนที่กำลังเล่นอยู่น่ะ” ชายวัยกลางคนพูด “เธอช่วยดูอาการของเขาให้หน่อยได้ไหม?”
หวังเย้าตรวจดูอาการของเด็กและพบว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแค่ข้อศอกของเขาเคลื่อนเท่านั้น
“นั่งนิ่งๆนะครับ” หวังเย้าบอกกับชายวัยกลางคนให้จับตัวเด็กเอาไว้ “ไม่ต้องกลัวนะ เธอจะไม่เป็นอะไร”
เขาพยายามปลอบเด็กให้สงบลง แล้วขยับแขนของเด็กอย่างเบามือและเป็นไปด้วยความรวดเร็ว
แคร๊ก! ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็ได้ยินเสียงนี้
“ตอนนี้ เขาไม่เป็นอะไรแล้วครับ” หวังเย้าพูด
“แค่นี้เหรอ?” ชายวัยกลางคนถามด้วยความแปลกใจ
“ครับ” หวังเย้าพูด
แล้วเด็กน้อยก็ค่อยๆหยุดร้องไห้
“เธอยังเจ็บแขนอยู่ไหม?” หวังเย้าถาม
“นิดหน่อยฮะ” เด็กบอกออกมาตามจริง
“เธอเป็นลูกผู้ชายที่กล้าหาญมาก” หวังเย้าพูด
“ฮะ” เด็กน้อยพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
“ฉันขอตรวจดูอีกรอบนะ หวังว่ามันจะไม่ส่งผลเสียไปที่กระดูกด้วย” หวังยู้ด
ในเมื่อนี่เป็นเหตุฉุกเฉิน หวังเย้าจึงตรวจดูแค่คร่าวๆเท่านั้น ตอนนี้เขาจึงอยากจะตรวจดูให้ละเอียดเพื่อดูว่ากระดูกของเขาแตกหักหรือไม่
“ได้ฮะ” เด็กน้อยพูด
หวังเย้าตรวจดูแขนของเด็กชายเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาจัดแขนของเด็กชายให้ถูกท่า “สองสามวันนี้ พยายามอย่าขยับแขนข้างนี้นะ”
“แล้วค่ารักษาเท่าไหร่เหรอ?” พ่อของเด็กถาม
“ไม่คิดครับ” หวังเย้าพูด
“ขอบคุณนะ เสี่ยวเย้า” พ่อของเด็กพูด
“ยินดีครับ” หวังเย้าพูด
ชายวัยกลางคนพาลูกของเขากลับไปที่บ้าน หวังเย้าจัดการปิดประตูและกลับไปกินข้าวที่บ้าน
“ทำไมถึงไม่ไปโรงพยาบาลแทนล่ะ? ถ้าเกิดเขากระดูกหักขึ้นมาจะทำยังไง? คลินิกของเขาไม่มีเครื่องมืออะไรสักอย่าง ถ้าเกิดเขาทำลูกของเราแขนหักขึ้นมาจะทำยังไง?” ชายวัยกลางคนไม่คิดว่าจะถูกภรรยาของตนเองว่าเอา สุดท้ายเขาจึงพาลูกชายของเขาไปตรวจดูที่โรงพยาบาล ความจริงแล้ว สิ่งที่ภรรยาของเขากังวลก็ถือว่ามีเหตุผลอยู่
“แม่ครับ พรุ่งนี้ผมไม่กลับมากินข้าวเย็นที่บ้านนะครับ ผมจะไปเจอเพื่อนที่ในเมือง” หวังเย้าพูด “มีอะไรที่แม่กับพ่ออยากให้ผมซื้อจากในเมืองมาให้ไหมครับ?”
“ไม่มีหรอก แล้วก็อย่าดื่มเยอะนะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
“ผมต้องขับรถ คงไม่ดื่มหรอกครับ” หวังเย้าพูด
ในคืนนั้น ตอนที่หวังเย้าอยู่บนเนินเขาหนานชาน เขาก็ได้รับสายจากศาสตราจารย์ลู่
เพื่อนของศาสตราจารย์ลู่กลับไปที่บ้านเกิดของเธอก่อนวันตรุษจีนไม่กี่วัน แต่เธอก็ไม่กลับมาสักที ในตอนที่ศาสตราจารย์ลู่กำลังเป็นกังวลอยู่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เวินหว่านก็โทรมาอธิบายให้เขาฟังว่า แม่ของเธอป่วยหนักมา เธอจึงอยู่ดูแลแม่ของเขาต่อ และไม่สามารถไปรักษากับหวังเย้าได้
“แล้วเธอเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม “แบบนั้นเธอคงจะต้องเหนื่อยมากแน่ๆ”
อาการของเวินหวานถือว่าหนักมาก ไม่ต่างจากคนป่วยส่วนใหญ่ที่มีร่างกายอ่อนแอ เธอจำเป็นต้องได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ แต่การดูแลแม่ที่ป่วยหนักเป็นงานที่ลำบากมาก
“อาการของเธอไม่ค่อยดีเลย” ศาสตราจารย์ลู่ที่อยู่ปลายสายพูด
เขากังวลเรื่องอาการของเวินหวานอย่างมาก เขาได้พยายามเตือนไม่ให้เธอทำลายสุขภาพตัวเองโดยการคอยดูแลแม่ที่ป่วยของเธอ เพราะตัวเธอเองก็ป่วยหนักอยู่แล้ว แต่เวินหว่านกลับไม่ฟังคำพูดของเขา และพยายามดูแลแม่ของเธออย่างสุดความสามารถ
“แบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ” หวังเย้าพูด มันจะทำให้อาการของเวินหว่านแย่ลง “บอกให้เธอกลับมารับการรักษาต่อให้เร็วที่สุดด้วยนะครับ”
“ได้ ฉันอยากรู้ว่า เธอยังมียาที่ให้ฉันไว้คราวก่อนอยู่อีกไหม?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม
“ยา? เม็ดยาจิ่วเฉาน่ะเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ นั่นแหละ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
“ผมยังพอมีเหลืออยู่บ้างครับ” หวังเย้าพูด
“ฉันขอซื้อจากเธอสักหน่อยได้ไหม?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม เขาได้ยินมาจากเวินหว่านว่า ยาเม็ดนั้นเป็นยาที่วิเศษมาก
“เม็ดยาสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้เธอได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น มันไม่สามารถรักษาอาการป่วยของเธอได้หรอกนะครับ” หวังเย้าพูด
“ช่วยได้แค่ชั่วคราวก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แม่ของเธอป่วยหนักมาก ฉันกลัวว่าเธออาจจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว” ศาสตราจารย์ลู่พูด
“ได้ครับ ถ้าสะดวกเมื่อไหร่ก็มาเอายาที่ผมได้เลยครับ” หวังเย้าพูด
“ขอบคุณนะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
เม็ดยาจิ่วเฉาทำขึ้นมาจากสมุนไพรทั้งเก้าชนิด ถึงแม้ว่าจะไม่มีสมุนไพรรากรวมอยู่ด้วย แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นสมุนไพรป่า และสมุนไพรส่วนใหญ่ก็มาจากแปลงสมุนไพรของหวังเย้าเอง ด้วยการเกื้อหนุนจากพลังวิญญาณของค่ายกล จึงทำให้สมุนไพรเหล่านั้นมีคุณภาพที่สูงมาก หวังเย้ายังเหลือเม็ดยาอยู่อีกหลายเม็ด และมันก็ไม่ยากสำหรับเขาที่จะทำมันขึ้นมาใหม่
วันต่อมา หวังเย้าปิดคลินิกตอนเกือบ 10 โมงเช้า เขาแขวนป้ายเอาไว้ที่หน้าประตู ระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน เขาก็เจอกับชายวัยกลางคนที่พาลูกชายของเขามาที่คลินิกเมื่อวันก่อน
“ฉันบอกแล้วว่าเขาไม่เป็นอะไร” ชายวัยกลางคนพูดกับภรรยาของเขา “ตอนนี้เธอเชื่อฉันรึยัง?” พวกเขาเพิ่งจะกลับมาจากในตัวเมือง ทั้งสองพาลูกชายไปที่โรงพยาบาลในตัวเมือง และพบว่า ลูกชายของพวกเขาแค่กระดูกข้อศอกเคลื่อนเท่านั้น ซึ่งก็เป็นไปตามการวินิจฉัยของหวังเย้า หมอที่โรงพยาบาลทำการเอ็กซ์เรย์และตรวจอีกหลายอย่าง และพบว่าเด็กชายไม่ได้เป็นอะไร ดังนั้น พวกเขาจึงได้พาลูกชายกลับมาที่หมู่บ้าน
“ชู่! เสี่ยวเย้าอยู่ตรงนั้น!” ภรรยาของชายวัยกลางคนสะกิดเขา
หวังเย้าได้ยินบทสนทนาของพวกเขาอย่างชัดเจน เขาไม่ได้สนใจอะไร หากคนไข้ของเขาจะไปตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อความสบายใจ หลังจากที่มารักษากับเขาแล้ว มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ โดยเฉพาะกับคนที่ป่วยหนัก
“สวัสดีครับ” หวังเย้าทักทายสองสามีภรรยา
“สวัสดี เสี่ยวเย้า” ชายวัยกลางคนพูด
“เด็กเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“เขาไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ขอบคุณนะ” ชายวัยกลางคนพูด
“ไม่เป็นไรครับ ไว้เจอกันนะครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วเจอกัน ถ้ามีเวลาก็แวะมาที่บ้านฉันนะ” ชายวัยกลางคนพูด
“ได้ครับ บาย” หวังเย้าพูด
“ฉันหวังว่าเขาจะไม่ได้ยินที่เราพูดกันนะ” ชายวัยกลางคนพูด
“ไม่ได้ยินหรอก เขาอยู่ไกลจะตาย เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะได้ยินเรื่องที่เราคุยกันอยู่น่ะ” ภรรยาของเขาพูด
“ฉันรู้ เขาเป็นคนดี แล้วยังไม่คิดเงินเลยสักหยวน” ชายวัยกลางคนพูด
“อืม เขาเป็นคนดีจริงๆ” ภรรยาของเขาพูด
หวังเย้าคุยกับพ่อแม่ของเขาเล็กน้อย ก่อนที่จะขับรถเข้าไปในตัวเมืองเหลียนชาน เมื่อไปถึงในตัวเมืองและจองโต๊ะกับทางร้านอาหารเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปที่ร้านของหวังหมิงเปาต่อ
เขาและหวังหมิงเปาพากันไปที่ร้านอาหารตอน 11 โมง ส่วยเทียนหยวนถู, หลี่เม่าชวง, เว่ยห่าย, และพันจวินก็ตามมาหลังจากนั้นไม่นาน
“ว่าไง ไม่ได้เจอทุกคนนานเลยนะ” หวังหมิงเปาพูด
“ใช่แล้วล่ะ” เว่ยห่ายพูด
เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มลูกค้าประจำ อาหารจึงถูกนำออกมาเสริฟเร็วเป็นพิเศษ
พวกเขาบางคนไม่ได้ขับรถมาเอง และบางคนก็ขับรถมา ดังนั้น พวกเขาจึงดื่มไวน์กันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หวังเย้าก็ดื่มไวน์ไปแก้วเล็กๆแก้วหนึ่ง ด้วยความสามารถของเขานั้น ถึงเขาจะดื่มไปหลายแก้ว เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอลของตำรวจก็คงจะตรวจไม่พบอะไรอยู่ดี
หลังมื้ออาหาร เทียนหยวนถูก็พาทุกคนไปต่อกันที่รีสอร์ทของเขา มันมีส่วนให้ความบันเทิง, ร้านอาหาร, และศูนย์กลางการทำธุรกิจอยู่ด้วย
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาที่นี่เลยนะ” พันจวินพูด
หากพูดให้ถูกก็คือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาที่รีสอร์ทแห่งนี้ แต่มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาที่ส่วนให้ความบันเทิงของรีสอร์ทต่างหาก
ด้านในมีห้องดื่มชาอยู่ด้วย เทียนหยวนถูนำน้ำชาชั้นดีออกมาเลี้ยงพวกเขา และภายในห้องน้ำชาก็ถูกตกแต่งออกมาได้อย่างประณีต
“อยากจะมาที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้ตามสบายเลยนะ” เทียนหยวนถูพูดด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาอยู่ที่นี่ไปเกือบตลอดทั้งบ่าย แล้วเทียนหยวนถูก็เชิญทุกคนอยู่ทานอาหารเย็นกันต่อที่รีสอร์ท เขาเลี้ยงพวกเขาด้วยอาหารจำนวนมาก
คืนนั้น พวกเขาดื่มกันอีกรอบ ทุกคนดูเหมือนจะดื่มกันเยอะมาก และมีบางคนที่เริ่มเมาบ้างแล้ว ยกเว้นก็แต่หวังเย้าแค่คนเดียว
เมื่อถึงเวลาสองทุ่มกว่า พวกเขาก็จบงานเลี้ยง
“อย่าขับรถกลับบ้านกันเลย” เทียนหยวนถูกจัดการหารถและคนขับไปส่งทุกคนกลับบ้าน
“ขอบคุณนะ พี่ชาย!” หลี่เม่าชวงที่มีอาการเมาพูด “ไว้เจอกันใหม่นะ”
“นายจะขับรถกลับบ้านเองเหรอ?” หลี่เม่าชวงถามหวังเย้าที่กำลังจะขึ้นนั่งรถของตัวเอง เขารู้สึกเป็นห่วงหวังเย้าเล็กน้อย
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ แอลกอฮอลไม่มีผลกับผมอยู่แล้ว” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“โอเค งั้นก็ขับรถกลับดีดีล่ะ” หลี่เม่าชวงพูด
“ครับ” หวังเย้าพูด
หวังเย้าขับรถกลับไปถึงที่บ้านและจอดรถเอาไว้ด้านนอก จากนั้นเขาก็เดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานตอนประมาณสี่ทุ่ม
เช้าวันต่อมา เขาจัดการทำยาขี้ผึ้งต่อ แล้วเขาก็ได้รับสายจากศาสตราจารย์ลู่ในตอนที่กำลังจะจุดไฟพอดี ศาสตราจารย์ลู่มาถึงที่หน้าคลินิกแล้ว หวังเย้าจึงหยุดงานที่ทำและเดินลงไปที่คลินิก
“อรุณสวัสดิ์ หมอหวัง” ศาสตราจารย์ลู่พูด
“อรุณสวัสดิ์ครับ เชิญเข้ามาข้างก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด
หวังเย้าชงชาให้ศาสตราจารย์ลู่ดื่ม
“คุณขับรถมาตลอดทั้งคืนเลยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ เมื่อวานฉันมีเรื่องต้องทำที่เซี่ยงไฮ้น่ะ ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันก็คงจะมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” ศาสตราจารย์ลู่พูด
“นี่ครับยา” หวังเย้าหยิบเม็ดยาจิ่วเฉาออกมา
“ขอบคุณนะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด “ฉันต้องจ่ายเงินให้หมอเท่าไหร่เหรอ?”
“ราคาเม็ดละ 500 หยวนครับ” หวังเย้าพูด
“โอเค” ศาสตราจารย์ลู่ไม่คิดว่ามันแพงเลยสักนิด เขายังคิดว่ามันแพงกว่านี้ด้วยซ้ำ “ฉันขอยาทั้งหมดที่เธอมีเลยได้ไหม?”
หวังเย้าเอายาให้เขาทั้งหมด 10 เม็ด “ถึงจะกินเข้าไปเยอะ มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากหรอกนะครับ อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า เม็ดยาไม่สามารถรักษาอาการป่วยของเธอได้”
“ฉันแค่รู้สึกแย่ที่ต้องเห็นเธอทรมานอยู่แบบนี้น่ะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
“ผมเข้าใจครับ แต่ยิ่งเธอเหนื่อยมากเท่าไหร่ อาการของเธอก็จะแย่ลงเท่านั้นนะครับ” หวังเย้าพูด
ศาสตราจารย์ลู่ไม่ได้พูดอะไร เขาเข้าใจดีว่าหวังเย้าหมายถึงอะไร
544 สายเกินไปที่จะมาสำนึกเสียใจทีหลัง
“ผมต้องบอกผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดให้คุณได้รู้เอาไว้ก่อน อย่าโกรธผมเลยนะครับ” หวังเย้าพูด “ถ้าดูจากสถานการณ์ของเธอในตอนนี้แล้ว ตอนที่เธอกลับมา ผมกลัวว่า ผมคงจะรักษาเธอไม่ได้แล้ว”
เขาไม่ได้ตื่นตูมเกินไป แต่เป็นเพราะโรคที่ต้องรักษานั้นยากมาก หลังจากที่ได้รับการรักษาไประยะหนึ่ง ร่างกายของเธอก็ฟื้นตัวขึ้นมาเพียงเล็กน้อย พวกเขากำลังเตรียมที่จะเข้าสู่การรักษาในขั้นต่อไป แต่เธอดันกลับบ้านเพื่อไปดูแลแม่ที่ป่วยหนัก
ความกตัญญูของเธอเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่ไม่สมเหตุสมผล เพราะมันจะเป็นการดูดกลืนชีวิตอันน้อยนิดของเธอให้น้อยลงไปอีก สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคคือร่างกายที่อ่อนแอและภูมิต้านทานที่ต่ำ โดยทั่วไป ขอแค่การไหลเวียนของโลหิตและพลังฉีเป็นปกติ ร่างกายก็จะไม่เจ็บป่วยด้วยโรคร้าย
“ฉันจะลองกลับไปพูดกับเธออีกรั้ง” ศาสตราจารย์ลู่พูด แล้วเขาก็จากไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับขามา
หวังเย้าถอนหายใจเบาๆ เวินหว่านเป็นลูกที่กตัญญูต่อพ่อแม่ แต่เธอไม่ควรไม่สนใจสุขภาพร่างกายของตนเอง
…
ในสายตาของหวังยี่หลง หวังเจ๋อเชิงผู้เป็นลูกชายของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก มันเหมือนกับการเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ลูกสะใภ้ของเขาจัดการทำความสะอาดและและทำเตียงในห้องนอนของเขาใหม่ ลูกชายของเขาเป็นคนทำความสะอาดและซื้อฮีตเตอร์เครื่องใหม่มาไว้ในห้องของเขา เขามักจะพูดคุยเป็นเพื่อนพ่อของเขา ซึ่งมันไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ชายชราจึงรู้สึกซาบซึ้งใจ แต่เขาก็รู้สึกกลัวด้วยเช่นกัน
หวังเจ๋อเชิงมาหาชายชราในตอนเช้าตรู่
“พ่อ เมื่อคืนนอนหลับสนิทดีไหม?” เขาถาม
“พ่อหลับสนิทดี” ชายชราพูด “เจ๋อเชิง ลูกมีเรื่องอะไรอยากจะบอกกับพ่อรึเปล่า?”
พฤติกรรมที่ผิดปกติของลูกชาย ทำให้ชายชราคิดว่า ลูกชายอาจจะกำลังซ่อนอะไรบางอย่างจากเขาอยู่
“ไม่มีนี่” หวังเจ๋อเชิงพูด “ผมจะซ่อนอะไรได้ล่ะ? พ่อคิดมากเกินไปแล้ว”
สองวันก่อน หวังเจ๋อเชิงนำผลตรวจจากโรงพยาบาลประจำเขตเหลียนชานเข้าไปในตัวจังหวัด เขาได้ปรึกษากับหมอของโรงพยาบาลประจำจังหวัด พวกเขาได้ยืนยันเรื่องผลตรวจ และทางผู้เชี่ยวชาญก็ได้บอกว่า ถ้าเขารู้สึกไม่สบายใจ ก็ให้เขาพาพ่อของเขามาตรวจที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดอีกครั้งได้ ซึ่งมันจะทำให้มั่นใจได้มากกว่า หวังเจ๋อเชิงยังได้รับการบอกกล่าวมาด้วยว่า มันไม่มีวิธีรักษาพ่อของเขาให้หายจากโรคนี้ได้ แล้วเขาก็ร้องไห้ออกมาในทันที
เขาเพิ่งจะสำนึกได้ แต่กลับพบว่าพ่อของเขากำลังจะตายจากโรคร้าย และคาดว่า ชายชราจะเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น เขาอยากจะดูแลพ่อของเขา แต่ตอนนี้พ่อของเขากำลังจะตาย มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างมาก
หวังเจ๋อเชิงวางแผนที่จะพาพ่อของเขาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด เมื่อดูจากสภาพของชายชราแล้ว หวังเจ๋อเชิงตัดสินใจรอไปสักพัก ถ้าจะไป เขาก็ต้องรอสักสองสามวันก่อน เพื่อที่พ่อของเขาจะได้ไม่สงสัย
“ช่วงนี้ พี่สาวของลูกเขายุ่งมากเลยเหรอ?” ชายชราถาม
“ตอนนี้ พี่ยุ่งมาก” หวังเจ๋อเชิงพูด “ลูกสองคนก็ทำให้พี่ต้องเหนื่อยมากแล้ว”
หวังเจ๋อเชิงยังไม่ได้บอกกับพี่สาวของเขาว่า พ่อของพวกเขานั้นป่วยหนักอยู่ เขาอยากจะบอกเธอ แต่ตอนที่เขาโทรไปหาเธอ เขาก็พบว่าเธออยู่ที่โรงพยาบาลเพราะลูกชายของเธอป่วย และต้องฉีดยา ในเวลานั้น หวังเจ๋อเชิงจึงกลืนคำพูดทั้งหมดกลับไป เพราะเขารู้ว่ามันมีแต่จะทำให้พี่สาวของเขาต้องกังวลมากขึ้นกว่าเดิม
เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ถ้าหากเรื่องนี้เกิดขึ้นในอดีต ไม่ว่ายังไงเขาก็จะบอกเธอให้ได้
หวังเจ๋อเชิงตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เขาถือว่ามันคือการชดเชยตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา
“แล้วลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ยังท้องเสียอยู่รึเปล่า?” พ่อของเขาถาม
“ผมไม่เป็นอะไรแล้ว” หวังเจ๋อเชิงพูด
มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก ช่วงหลังมานี้เขายุ่งมาก เขาไม่มีเวลากินข้าวและนอนแทบไม่พอ แต่ร่างกายของเขากลับแข็งแรงดี โดยเฉพาะลำไส้ของเขา เขาไม่ถ่ายออกมาเป็นเลือดแล้ว และบาดแผลตามร่างกายก็เกือบจะหายดีแล้ว
มันคือเวรกรรมจริงๆน่ะเหรอ?
เดิมทีเขารู้สึกหัวเราะเยาะกับเรื่องพวกนี้ เพราะเขาไม่เคยเชื่อเลย แต่หลังจากที่หลายๆอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา มันก็ทำให้เขาเริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะเวรกรรม แล้วจะอธิบายเรื่องนี้ได้ยังไง?
“พี่จะลองไปถามเสี่ยวเย้าดูหน่อยไหม? เผื่อว่าเขาจะมีทางช่วย” ภรรยาของเขาถามขึ้นมาในระหว่างที่กำลังทานอาหารกันอยู่
“เขาจะไปรักษาโรคนี้ได้ยังไงกัน?” หวังเจ๋อเชิงถาม “แต่ฉันก็ต้องขอบคุณเขาล่ะนะ”
หลังจากที่เขาทานอาหารเสร็จแล้ว เขาก็เดินไปที่คลินิก ซึ่งหวังเย้าก็เพิ่งจะมาถึงพอดี
“หมอหวัง” แม้แต่คำเรียกหวังเย้าก็ยังเปลี่ยนไปด้วย
“เข้ามานั่งข้างในก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด
เขาสามารถบอกได้ว่า ไม่กี่วันมานี่ หวังเจ๋อเชิงเปลี่ยนไปมาก สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุดก็คือแววตาของเขา เหมือนอย่างที่คนพูดกันว่า ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ แววตาของเขาแสดงถึงความอ่อนโยนและใจดี ถึงแม้ว่าเขาจะดูเหนื่อยอยู่เล็กน้อยก็ตาม จิตใจที่เหนื่อยล้าของเขาได้แสดงผ่านออกมาทางแววตาด้วยเช่นกัน
“ขอบคุณนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ขอบคุณผมเรื่องอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าเทน้ำใส่แก้วให้กับเขา
“ขอบคุณที่ทำให้ฉันได้รู้ว่า ตัวเองเคยทำตัวเลวร้ายขนาดไหน” หวังเจ๋อเชิงพูด
“นั่นเป็นเพราะพี่ได้สติแล้วต่างหากล่ะครับ” หวังเย้าพูด
เขาไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากใช้ทริคเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ในตอนเริ่มแรก เขาแอบตบไปบนร่างกายของหวังเจ๋อเชิง เขาจัดการเคลื่อนเส้นเลือดของหวังเจ๋อเชิงเล็กน้อย ซึ่งมันจะส่งผลต่อการทำงานของกระเพาะและการเคลื่อนไหวของแขนขาของหวังเจ๋อเชิง เขารู้ว่า เมื่อผ่านไปได้ 7-8 วัน หวังเจ๋อเชิงก็จะอาการดีขึ้นเอง ถ้าหากในช่วงเวลานั้นเขายังไม่สำนึก หวังเย้าก็คิดจะหาวิธีการอื่นเพื่อสั่งสอนเขา
“พ่อของฉันป่วยหนักมาเลยใช่ไหม?” หวังเจ๋อเชิงถาม
อาการป่วยของพ่อเขานั้นถูกค้นพบโดยหวังเย้า ซึ่งเป็นคนแนะนำให้ชายชราไปที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ให้เร็วที่สุด แต่โชคร้ายที่ตอนนั้นชายชราไม่ได้รับการรักษาทันเวลา
“มันร้ายแรงมากครับ” หวังเย้าพูด “พี่ได้พาคุณลุงไปโรงพยาบาลมารึยังครับ?”
“อืม ฉันพาเขาไปแล้ว หมอบอกว่า มันร้ายแรงมากและไม่สามารถรักษาได้!” ดวงตาของหวังเจ๋อเชิงแดงก่ำ มันไม่ใช่การแสดง แต่มันคืออารมณ์ความรู้สึกจริงๆของเขา
“อย่าเสียใจไปเลยครับ ตอนนี้ มันคือเวลาที่จะทำให้คุณลุงได้มีความสุขที่สุดต่างหาก” หวังเย้าพูด
“ฉันต้องโทษตัวเอง ฉันมันเป็นลูกที่แย่ ฉันรู้ว่าที่เขาป่วยก็เพราะฉัน” หวังเจ๋อเชิงพูด
หลายวันมานี้เขารู้สึกเสียใจมาก เมื่อคิดได้ว่า อาการป่วยที่พ่อของเขาเป็นนั้นเกิดขึ้นจากพฤติกรรมของเขาเอง หากคนเราอยู่ในอารมณ์ที่ดีและหัวเราะได้อย่างมีความสุข ก็จะไม่มีโรคภัยมากร่ำกราย เพราะพวกเขารู้สึกผ่อนคลายไม่มีเรื่องให้คิดมาก
ลักษณะนิสัยคือสิ่งที่แสดงออกมาจากหัวใจ โรคภัยก็เกี่ยวข้องกับหัวใจเช่นกัน พูดกันว่า ความสุขส่งผลต่อหัวใจ, ความโกรธส่งผลต่อตับ, การคิดส่งผลต่อม้าม, และความกลัวส่งผลต่อไต
อารมณ์ที่ขึ้นสูงสามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เมื่อเกิดขึ้นในระยะยาวก็จะส่งผลเสียที่ร้ายแรงกว่าเดิม พ่อของหวังเจ๋อเชิงทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูลูกชาย แต่ผู้เป็นลูกกลับทำตัวอกตัญญู เขาด่าตะคอกชายชราทุกวัน และทำเหมือนชายชราเป็นคนใช้ ชายชราจึงไม่สามารถอยู่ในอารมณ์ที่ดีได้ และอาจจะอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัวตลอดเวลา และมันก็ทำให้เขาป่วย
หวังเย้าไม่ได้พูดอะไร มันสายเกินไปที่จะมาสำนึกเสียใจตอนี้ ถ้าหากมันเกิดขึ้นเร็วกว่านี้สักหลายปี ชายชราก็คงจะไม่ต้องป่วยหนักแบบนี้ มันน่าเสียดายที่ไม่มียาสำนึกเสียใจบนโลกใบนี้ หรือคำว่า “ถ้าหาก” ในหลายๆสถานการณ์
“หมอรักษาโรคนี้ได้ไหม?” ถึงแม้หวังเจ๋อเชิงจะไม่ได้หวังมากนัก แต่เขาก็ยังอยากจะถาม
“ผมสามารถช่วยลดความเจ็บปวดลงได้ แต่มันรักษาได้ยากมาก” หวังเย้าพูด
“แค่ลดความเจ็บปวดลงได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว” หวังเจ๋อเชิงพูด
ถึงแม้ชายชราจะบอกว่าเขานอนหลับสนิทดี แต่เขารู้ดีว่า พ่อของเขามักจะตื่นขึ้นมากลางดึกเสมอ หลายคืนที่ผ่านมา หวังเจ๋อเชิงมักจะตื่นขึ้นมากลางดึกและแอบเดินไปที่ห้องชายชราเงียบๆ เขาสามารถได้ยินเสียงถอนหายใจของชายชรา ซึ่งมันฟังดูย่ำแย่มาก มันคงจะดีถ้าหากเขาทรมานน้อยลง
“แต่ยามันแพงมากนะครับ!” หวังเย้าจ้องตากับหวังเจ๋อเชิง
“แพงเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงพูดอย่างลังเล “ไม่ต้องห่วง”
หวังเย้าคิด ดีมาก เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“ตอนนี้ พี่กลับบ้านไปก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด “ผมต้องคิดดูก่อน แล้วพี่ค่อยกลับมาเอายาวันพรุ่งนี้”
“ดี” หวังเจ๋อเชิงพูด “ขอบคุณนะ!” เขาลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับให้กับหวังเย้า ก่อนที่เขาจะเดินออกไป
“พี่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจ
หลังจากที่หวังเจ๋อเชิงกลับไปถึงบ้านแล้ว ภรรยาของเขาก็ถามขึ้นมา “เป็นยังไงบ้าง?”
“เขาบอกว่า เขาสามารถช่วยลดความเจ็บปวดลงได้ แต่เรื่องรักษานั้นยากมาก” หวังเจ๋อเชิงพูด
สองสามีภรรยาพูดกันเสียงเบา เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนชายชรา และทำให้ชายชรารู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้นไปอีก
“อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย” ภรรยาของเขาพูด
“ยามันแพงมากด้วย” หวังเจ๋อเชิงพูด “แต่เราต้องทำ ถ้าเราจะต้องเสียเงินทั้งหมดที่มีไปก็ตาม”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น