Elixir Supplier 531-534

 531 สิบโรคร้าย ขี้ผึ้ง


 


ชื่อของตำราแพทย์ที่ได้รับเป็นรางวัลก็คือ “สิบโรคร้าย” หวังเย้าหยิบหนังสือขึ้นมาดูใกล้ๆ วัสดุที่ใช้ทำหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ทั้งกระดาษหรือทองคำ มันเป็นวัสดุเดียวกับหนังสือที่ได้รับจากระบบเมื่อครั้งก่อน


 


เขาเปิดดูคร่าวๆสองสามหน้า แล้วเขาก็ตกหลุมรักมันในทันที เขาใช้เวลาอ่านมันไปตลอดทั้งคืน มันเป็นหนังสือที่วิเศษมาก!


 


เนื้อหาด้านในนั้นต่างไปจากตำราเล่มก่อน แต่ก็มีบางส่วนที่คล้ายคลึงกันอยู่


 


คำว่า “สิบ” ที่อยู่บนปกหนังสือนั้นมีความหมายว่าที่สุด สิบโรคร้ายจึงมีความหมายว่า โรคที่ร้ายแรงที่สุด เช่น อาการบอบช้ำ, ถูกพิษ, และเนื้อร้าย เนื้อหาที่อยู่ด้านในหนังสือล้วนเป็นโรคที่รักษาได้ยากทั้งหมด ถ้าหากหวังเย้าได้หนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เขาก็คงจะสามารถรักษาคนไข้ทั้ง 10 ได้ง่ายขึ้นมาก


 


ภายในหนังสือมีรายละเอียดของเคสการรักษา, วิธีการรักษา, รวมทั้งสูตรยาสมุนไพรที่ใช้ด้วย แต่ละเคสล้วนแตกต่างกันไป แต่มีการอธิบายอาการของแต่ละโรคอย่างเจาะลึก


 


เช้าแล้วเหรอ? หวังเย้ามองออกไปนอกหน้าต่าง และพบว่ามันเป็นเวลาเช้าแล้ว


 


แล้วสูตรยาที่ใช้ล่ะ? นี่อะไรน่ะ? ขี้ผึ้งต้วนชู่!


 


ทันทีที่หวังเย้าเห็นชื่อของขี้ผึ้ง มันก็ทำให้เขานึกถึงขี้ผึ้งหยกดำในนิยายกังฟูชื่อดังเรื่องหนึ่ง


 


ขี้ผึ้งมีสรรพคุณในการหยุดเลือด, ลดการอักเสบ, เชื่อมกระดูก, และซ่อมแซมกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่ได้รับความเสียหาย


 


มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะหยุดเลือดและลดการอักเสบ แต่การเชื่อมกระดูกและซ่อมแซมเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อที่ได้รับความเสียหายนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แน่นอนว่า มันไม่สามารถทำให้กระดูกงอกขึ้นมาใหม่ได้


 


ตัวยานั้นมีสมุนไพรคือ โสมซานซี, เสวียเจี๋ย, หนิวซี, วูเถิง, ปาเจียวถง, กุยหยวน, และเฟยหลายเฟิง


 


ในสูตรยานี้มีสมุนไพรรากอยู่ 4 ชนิดด้วยกัน หวังเย้ามีอยู่แล้วสาม ส่วนเฟยหลายเฟิงเป็นสมุนไพรรากชนิดใหม่ เขาเปิดดูร้านค้าของระบบ แต่ก็ไม่พบว่ามีสมุนไพรตัวนี้ขายอยู่


 


“ระบบ ฉันจะหาเฟยหลายเฟิงมาได้ยังไงเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


‘อัพเกรด’ ระบบตอบ


 


เพียงแค่คำเดียว ระบบไม่เปลี่ยนเลยสักนิด


 


มันเป็นเช้าที่สดใสและเจิดจ้า หวังเย้าลงไปจากเนินเขาแต่เช้าเพื่อกลับไปเอาของที่บ้าน เขาขนของใส่ไว้ที่ท้ายรถและขับเข้าไปในตัวเมืองเหลียนชาน


 


เขาไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่และเพื่อนอีกสองสามคน จากนั้น เขาก็ขับรถไปที่ห่ายชิว เพื่อไปเยี่ยมเว่ยห่ายและแม่ของหยางห่ายฉวน


 


แม่ของนายกหยางรู้สึกยินดีมากที่ได้เห็นหวังเย้า เธอไม่คิดเลยว่า หวังเย้าจะมาหาเธอได้ เธอพูดคุยกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง


 


“คุณดูแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆเลยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“ก็ต้องขอบคุณหมอนั่นแหละ” เธอพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณมีแฟนรึยังคะ?”


 


“ครับ” หวังเย้าตอบ


 


“ถ้าคุณจะแต่งงานเมื่อไหร่ คุณจะต้องบอกฉันด้วยนะ” แม่ของนายกหยางพูด


 


“ได้ครับ” หวังเย้าพูด


 


ตอนที่หวังเย้าขับรถกลับมาจากห่ายชิว ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว เมื่อใกล้ถึงตรุษจีน บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองก็มีให้เห็นมากขึ้น


 


จางซิวหยิงกำลังยุ่งอยู่กับงานบ้าน หวังเย้าจึงเข้าไปช่วยเธอ และแทบจะไม่ได้เข้าไปที่คลินิดเลย


 


ซุนหยุนเชิงเดินทางมาที่หมู่บ้านในวันที่ 27 ของเดือนแรกในปฏิทินจันทรคติ  เพื่อนำผลวิเคราะห์ดินมาให้กับหวังเย้า


 


“ขอโทษด้วยนะครับ คนที่ผมไหว้วานให้ทำงานนี้ บังเอิญมีเรื่องด่วนเข้ามา ผลวิเคราะห์ล่าช้าไปหน่อย” ซุนหยุนเชิงพูด


 


“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่เอามาให้ผมนะ” หวังเย้าพูด


 


เขาเชิญซุนหยุนเชิงทานอาหารด้วยกันที่บ้าน


 


หวังเย้าอ่านดูรายงานผลการวิเคราะห์ ห้องแล็ปนี้ได้ทำการวิเคราะห์เอาไว้อย่างละเอียด ข้อมูลบางส่วนได้ดึงดูดความสนใจจากเขา ห้องแล็ปได้ตรวจพบไวรัสจากในดิน ซึ่งมันสามารถส่งผลเสียต่อพืชโดยรอบและสามารถแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างได้


 


ไมโครออแกนิซึม? ไม่มีใครในห้องแล็ปเคยเห็นมันมาก่อน มันเป็นไวรัสที่อันตราย เพราะไม่มีใครรู้จักมัน มันสามารถสร้างปัญหาใหญ่ได้ หากว่ามันแพร่กระจายออกไป หวังเย้าจำเป็นต้องหาทางกำจัดเจ้าไวรัสนี้ให้ได้


 


วันที่ 28 หวังรุ่ยกลับมาที่บ้าน มันเป็นวันก่อนตรุษจีน


 


เสียงประทัดดังลั่นไปทั่วทุกซอกซอยในหมู่บ้าน หวังเย้าและครอบครัวทำเกี๊ยวไว้กินเป็นมื้อเย็น พวกเขานั่งดูรายการทีวีปีใหม่ของช่องซีซีทีวี ทุกคนต่างมีความสุขในวันนี้


 


อีกหนึ่งปีได้ผ่านพ้นไป ทุกคนแก่ลงไปอีกปี


 


หวังเย้าไม่ได้กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน เขาอยู่ดูทีวีกับทุกคนที่บ้าน การแสดงดูเหมือนจะแย่ลงไปทุกปี แต่ผู้คนก็ยังคงดูอยู่คล้ายกับติดเป็นนิสัยไปแล้ว


 


ที่ปักกิ่งยังคงวุ่นวายเหมือนเช่นเคย ซูเสี่ยวซวีกำลังทานอาหารเย็นร่วมกับคนในครอบครัวของเธอ


 


“เสี่ยวซวี ปีใหม่นี้ ลูกมีอะไรที่อยากได้บ้างไหม?” ซูเซี่ยงฮวาถาม


 


“มีค่ะ หนูอยากจะออกไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆข้างนอกค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ลูกอยากจะเรียนอะไรเหรอ?” ซูเซี่ยงฮวาถามด้วยรอยยิ้ม


 


“นั่นเป็นความลับค่ะ ตอนนี้หนูยังบอกคุณพ่อไม่ได้” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“มีเหตุผล” ซูเซี่ยงฮวาพูด


 


ภายในกระท่อมไม่ไกลจากบ้านตระกูลซู เฉินหยิงและเฉินโจวก็กำลังฉลองปีใหม่กันอยู่ เธอคิดว่ามันเป็นวันที่มีความสุขที่สุดสำหรับเธอ เพราะเธอได้ใช้เวลาอยู่กับน้องชายของเธอในวันปีใหม่ เธอจึงทำอาหารจนเต็มโต๊ะ


 


“พี่ พี่ไม่เห็นจะต้องทำอาหารเยอะแยะขนาดนี้เลย มันจะทำให้พี่เหนื่อยเกินไปนะ” เฉินโจวพูด ในตอนที่กำลังช่วยพี่สาวของเขาอยู่


 


“ก็พี่มีความสุขมากนี่นา” เฉินหยิงพูด


 


มันเป็นเรื่องที่ดี เมื่อได้ใช้เวลาในช่วงสำคัญที่สุด กับคนที่สำคุณที่สุดในชีวิตของเธอ มันเป็นค่ำคืนที่สงบและสบายใจ


 


หวังเย้าได้รับสายจากเพื่อนเก่า, เพื่อนๆ, และคนไข้บางคนที่มีเบอร์ของเขาอยู่ พวกเขาต่างก็อวยพรให้เขาได้พบแต่สิ่งที่ดีที่สุด


 


“สวัสดีปีใหม่!”


 


ทุกคนต่างพูดสวัสดีปีใหม่ให้แก่กัน และพูดซ้ำๆสามครั้งในทุกครั้ง


 


เช้าวันต่อมา ชาวบ้านแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนเพื่อนบ้านแต่ละคนเพื่อส่งคำอวยพรให้แก่กัน ชาวบ้านบางคนก็พร้อมที่จะใช้ช่วงเวลาของวันหยุดต่อไป


 


หวังเย้าใช้เวลาอยู่กับครอบครัวตลอดทั้งวัน และไปเยี่ยมเพียงญาติสนิทไม่กี่คนเท่านั้น


 


ตู้หมิงหยางเดินทางมารับหวังรุ่ยในตอนเช้า


 


หวังเย้าแบกถุงใส่อาหารห่อใหญ่ขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน


 


“ซานเซียน ต้าเซี่ย สวัสดีปีใหม่! นายก็ด้วยนะ เสี่ยวเฮย มานี่สิ ฉันเอาของกินมาให้พวกนายเยอะแยะเลยล่ะ” หวังเย้าพูด


 


เขานำเนื้อหลากหลายชนิดมาเป็นจำนวนมาก


 


“ค่อยกินนะ ไม่ต้องรีบ” หวังเย้าลูบหัวซานเซียนและต้าเซี่ย


 


“สวัสดีปีใหม่” หวังเย้าพูดกับสมุนไพรที่เติบโตเป็นอย่างดีในแปลงสมุนไพร


 


สมุนไพรราวกับเข้าใจคำพูดของหวังเย้า และเริ่มโยกไปมา


 


“ฮาๆๆ!”


 


คนส่วนมากมักจะออกไปเยี่ยมญาติในวันแรกของปีใหม่ ในวันที่สอง ตามธรรมเนียมแล้ว ชาวบ้านจำเป็นต้องไปเคารพบรรพบุรุษของพวกเขาที่หลุมฝังศพ


 


อาทั้งสองคนของหวังเย้ามาถึงพร้อมกันในตอนเช้า พวกเขาพากันไปเคารพบรรพบุรุษด้วยกันทั้งครอบครัว มีการจุดประทัดและเผากระดาษกระดาษทอง มีเสียงจุดประทัดดังอยู่ทั่วบริเวณ


 


อาของหวังเย้าทั้งสองอยู่ทานอาหารกลางวันที่บ้าน พวกเขาดื่มกันจนเมา อาคนเล็กสุดพร่ำบนเกี่ยวกับชีวิตของเขาเหมือนอย่างเคย ส่วนอาอีกคนก็โม้ถึงงานที่เขากำลังทำอยู่


 


ไม่แปลกที่คนสมัยก่อนจะพูดเอาไว้ว่า ลูกทั้งเก้าของมังกรล้วนแตกต่างกันไป ไม่มีอาของหวังเย้าคนไหนเลยที่จะทำดีและซื่อตรงต่อพ่อของเขา


 


หลังจบมื้อเที่ยง อาทั้งสองก็มีอาการเมาเล็กน้อย พวกเขากลับบ้านของตัวเองด้วยรถจักรยาน


 


หนึ่งในพวกเขากำลังเริ่มสร้างกิจการของตัวเองอยู่ แต่เขาก็ล้มเหลว สถานการณ์ในตอนนี้ เลวร้ายยิ่งกว่าตอนที่เขามีงานประจำทำด้วยซ้ำ ส่วนอีกคน ก็ไม่ให้คุณค่ากับตำแหน่งดีดีในบริษัทใหญ่ที่ตนได้รับโอกาสเลยสักนิด


 


หวังเย้าพูดอะไรไม่ออกเมื่ออยู่ต่อหน้าอาทั้งสองของเขา พ่อของเขาเป็นห่วงพวกเขามาก แต่ทุกคนล้วนมีชีวิตเป็นของตนเอง หวังเย้าและพ่อของเขาได้พยายามช่วยพวกเขาอย่างถึงที่สุดแล้ว


 


ในวันที่สามของวันปีใหม่ ลูกหลานจะพากันไปเยี่ยมพ่อแม่ของพวกเขา


 


หวังเย้ายังไม่ได้แต่งงาน โดยปกติ พวกเขาทั้งหมดจะพากันไปที่บ้านตายายของเขาในวันที่สามของปีใหม่ แต่ปีนี้ต่างออกไป พวกเขาไม่ได้ไปไหนเลย แต่กลับอยู่ที่บ้านเพื่อรอการมาถึงของตู้หมิงหยางแทน


 


“พรุ่งนี้ลูกว่างไหมจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ว่างครับ” หวังเย้าพูด


 


“งั้นเราไปเยี่ยมตากับยายกันพรุ่งนี้นะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด


 


“ได้ครับ” หวังเย้าตอบ


 


ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่ห้าของปีใหม่ หวังเย้าใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเยี่ยมญาติ, ดื่มกิน, และพูดคุยกับคนมากหน้าหลายตา


 


บริษัทและองค์กรส่วนใหญ่เริ่มเปิดทำการในวันที่หกหรือแปดของปีใหม่ เพราะเลขหกและแปดถือเป็นเลขมงคลของคนจีน


 


หวังเย้าเปิดคลินิกของเขาในวันที่หก เขาไม่ได้เผากระดาษเงินกระดาษทองหรือจุดประทัด เขาเพียงแค่ปลดล็อกประตูเหมือนปกติเท่านั้น


 


ในวันนี้ เขาไม่มีคนไข้แม้แต่คนเดียว คนส่วนใหญ่เลือกจะไม่ไปหาหมอก่อนวันที่ 15 ของปีใหม่ นอกจากว่าอาการของพวกเขาจะรุนแรงจนรอไม่ได้อีกแล้ว หวังเย้าไม่คิดว่า การทิ้งอาการป่วยเอาไว้นานๆจะเป็นเรื่องดีเลยสักนิด


 


ตรุษจีนได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่สำหรับบางคน ความกังวลไม่ได้ผ่านไปพร้อมกับปีใหม่เลย


 


ยกตัวอย่างเช่น หวูถงชิ่งและพี่ชายของเขาได้ขอให้หมอประจำตระกูล มาตรวจดูอาการพ่อของพวกเขาในทุกๆวัน ถึงแม้ว่าหวูเหล่าจะไม่ต้องการพบหมอในช่วงเวลาของวันปีใหม่ก็ตามที


 


หลังจากผ่านปีใหม่ไป หวูถงชิ่งและพี่ชายของเขาก็ต้องการที่จะไปเชิญหวังเย้าให้มาดูอาการพ่อของเขาอีกครั้ง


 


“ฉันจะรีบไปเหลียนชานให้เร็วที่สุด” หวูถงชิ่งพูด


 


“ช่วงต้นปี งานของนายคงจะต้องยุ่งมากแน่ๆ แล้วยังจะต้องคอยติดต่อกับหมอหวังอีก” หวูถงหรงพูด “บางที นายน่าจะจ้างคนที่ไว้ใจได้ให้คอยติดต่อกับหมอหวังแทนนานดูนะ”


 


“อืม เป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน ฉันจะลองถ้าคนที่เชื่อใจได้ดู” หวูถงชิ่งพูด


 


หวังเย้าได้รับข่าวดี หลังจากที่ผ่านช่วงปีใหม่ไปแล้ว เพราะเขาได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในหมอที่มีชื่อเสียงของเขต ดังนั้น ก็แสดงว่าเขาได้ทำภารกิจสำเร็จแล้ว


 


ติ้ง! โอม!


 


มือถือของหวังเย้าส่งเสียงดัง เขามองดูเบอร์แปลกบนหน้าจอ


 


“ฮัลโหล” หวังเย้าพูด


 


“ฮัลโหล คุณหวัง” คนที่อยู่ปลายสายพูด


532 จืดชืดราวกับน้ำเปล่า


 


เบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์จากปักกิ่ง และน้ำเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากปลายสาย


 


“ซูเสี่ยวซวีเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ฉันเองค่ะ เซียนเชิง” ซูเสี่ยวซวีตอบ


 


“เธอเปลี่ยนเบอร์ใหม่เหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ตอนออกมา ฉันลืมเอามือถือของตัวเองออกมาด้วยน่ะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูมีความสุขอย่างมาก ในตอนนี้ เธออยู่ที่สวนสาธารณะเซียงซานในปักกิ่ง อยู่ๆ เธอก็นึกอยากจะโทรหวังเย้าขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล แล้วเธอก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้เอามือถือติดตัวมาด้วย เธอจึงได้ยืมมือถือจากพี่ชายของเธอ


 


“คลินิกเปิดทำการรึยังคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“เปิดวันนี้แหละ” หวังเย้าพูด


 


“ยินดีกับกิจการของคุณด้วยนะคะ ขอให้คุณร่ำรวยๆ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ขอบคุณ ถ้าว่างก็มาเยี่ยมได้นะ” หวังเย้าพูด


 


“แน่นอนค่ะ!” คำตอบของหวังเย้าทำให้ซูเสี่ยวซวีมีความสุข


 


“น้องกำลังคุยกับใครอยู่เหรอ ดูท่าทางมีความสุขจังเลยนะ?” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหล่าและมีร่างกายกำยำ เขายืนอยู่ข้างๆซูเสี่ยวซวีและถามออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“หนูไม่บอกพี่หรอก” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“ถึงน้องจะไม่บอกพี่ก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว เป็นหมอหวังใช่ไหมล่ะ?” ซูจือฉิงรักและเอ็นดูน้องสาวของเขามาก เขาต้องประจำอยู่ในกองทัพ ทำให้เขาแทบไม่ได้กลับบ้านเลย เมื่อไหร่ที่เขาได้มีโอกาสกลับมา เขาก็จะใช้เวลากับน้องสาวของเขาให้มากที่สุด ดังนั้น เขาจึงได้มาที่สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นเพื่อนเธอ


 


“พี่คะ เมื่อไหร่ที่หนูหายดีแล้วจริงๆ หนูอยากจะติดตามหมอหวังและฝึกฝนกับเขาค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“อะไรนะ? ฝึกฝนเหรอ!” ซูจือฉิงตกตะลึงกับคำพูดของเธอ เขาไม่เคยได้ยินพ่อแม่ของเขาพูดเรื่องนี้มาก่อนเลย


 


“ฝึกกำลังภายในของลัทธิเต๋าค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“กำลังภายใน? เพื่ออะไรกัน?” ซูจือฉิงพูด


 


“หนูเรียนมาได้หน่อยนึงแล้วด้วยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“กำลังภายในน่ะเหรอ? น้องกำลังโกหกพี่อยู่ใช่ไหม?” ซูจือฉิงถาม


 


“พูดจริงสิคะ ถ้าพี่ไม่เชื่อ เรามาลองแข่งกันดูก็ได้นะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด พร้อมกับโบกมือที่เนียนสวยของเธอไปมา


 


“แข่งเหรอ? จะแข่งยังไงล่ะ?” ซูจือฉิงถาม


 


“งั้น เรามางัดข้อกันดีกว่าค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“งัดข้อเหรอ? น้องกับพี่เนี่ยนะ?” ซูจือฉิงตกใจ


 


“ค่ะ หรือว่าพี่ไม่กล้าคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ก็ได้” ซูจือฉิงพูด


 


พวกเขาพากันเดินไปยังศาลาที่ตั้งอยู่บนเขา


 


“รอเดี๋ยวนะ พี่จะปูผ้าให้ก่อน เวลานั่งน้องจะได้ไม่รู้สึกเย็น” ซูจือฉิงปูผ้าลงไปม้านั่ง


 


“มาสิ” ซูจือฉิงชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว


 


“พี่คะ พี่กำลังดูถูกฉันอยู่ใช่ไหม?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยความไม่พอใจ


 


“ก็แค่วอร์มก่อนเล่นจริงต่างหากล่ะ” เขาตอบ


 


หลังจากที่ซูจือฉิงเรียนจบระดับชั้นมัธยม เขาก็เข้าเรียนต่อในโรงเรียนทหาร เขาอยู่ในกองทัพมานานกว่า 10 ปีและเป็นนาวิกโยธินอยู่ช่วงหนึ่งด้วย เขามักจะฝึกกับกองทัพอย่างสม่ำเสมอ พูดได้ว่า เขาแข็งแกร่งอย่างมาก ส่วนน้องสาวของเขานั้น เธอต้องนอนป่วยเพราะโรคร้ายอยู่นานนับปี เพิ่งจะไม่นานมานี้เองที่เธอสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระ แค่ยกมือขึ้นมาก็ยังยากสำหรับเธอเลย


 


เขามองว่า การงัดข้อครั้งนี้เป็นการละเล่นอย่างหนึ่งกับน้องสาวของเขาเท่านั้น มือที่หยาบกระด้างและมือที่อ่อนนุ่มจับกันแน่น


 


หืม! ซูจือฉิงมองหน้าน้องสาวของเขาด้วยความประหลาดใจ แขนอันผอมบางของเธอที่ยังหนาไม่ได้ครึ่งของข้อมือของเขาด้วยซ้ำ กลับแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเชื่อไม่ลงจริงๆ


 


ซูเสี่ยวซวีมองหน้าพี่ชายของเธอด้วยรอยยิ้ม “พี่อย่ายอมแพ้ให้หนูล่ะ!”


 


“ไม่มีทางหรอก!” ซูจือฉิงคิดที่จะยอมแพ้เพื่อให้น้องสาวของเขามีความสุข แต่เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงจากมือของน้องสาวที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เลิกคิดไปทันที ตอนนี้ เขารู้สึกว่า ถึงเขาจะใส่กำลังทั้งหมดลงไป เขาก็อาจจะแพ้ได้


 


มันคือความจริง ชายคนหนึ่งที่หมกตัวอยู่แต่ในกองทัพทั้งวันทั้งคืน เขาที่แข็งแกร่งราวกับไอรอนแมน กลับพ่ายแพ้ให้กับเด็กสาวอ่อนแอคนหนึ่ง


 


“พี่คงไม่ได้ตั้งใจยอมแพ้ให้หนูใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“น้อง เอาตรงๆนะ น้องทำแบบนั้นได้ยังไงกันน่ะ?” ซูจือฉิงถามด้วยอาการตกตะลึง


 


“มันคือกำลังภายในค่ะ!” ซูเสี่ยวซวีไม่ได้ปิดบังอะไรต่อหน้าพี่ชายของเธอ


 


“น้องใช้กำลังภายในได้จริงๆ” เขาพูดด้วยความประหลาดใจ


 


“ก็จริงสิคะ” ซูเสี่ยวซวีลังเลเล็กน้อย แล้วเธอก็หยิบก้อนหินขึ้นมาจากพื้นและถือมันไว้ด้วยมือข้างหนึ่งของเธอ มันดูคล้ายกับว่า เธอเพียงแค่บีบมันเบาๆเท่านั้น แต่หินก้อนนั้นกลับแตกออกเป็นชิ้นๆ


 


ซูจือฉิงจับจ้องไปที่เศษชิ้นส่วนก้อนหินเหล่านั้น และลองทำดูบ้าง มันคือเรื่องจริง “น้อง น้องไปเรียนมันมาจากที่ไหนกัน?”


 


“หมอหวังค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“หมอหวังเหรอ? หวังเย้าคนนั้นนะเหรอ?” ซูจือฉิงถาม


 


“ถูกต้องแล้วค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“เขารู้เรื่องนี้จริงๆเหรอ?” ซูจือฉิงตกตะลึง


 


คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่เขานั้นรู้ดีว่า สิ่งที่น้องสาวของเขาทำลงไปนั้นคืออะไร มันคือกังฟู แต่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำลายกระดูกที่หน้าอกอย่างในนิยาย หากเพิ่มวิชากำลังภายในลงไปในหลักสูตรการเรียนของกองทัพละก็ กำลังรบก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี


 


ขนาดน้องสาวของเขายังอยู่ในระดับนี้แล้ว ก็แสดงว่า หวังเย้าจะต้องอยู่ในระดับที่สูงกว่านั้นมาก เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ กลายเป็นเขาที่อยากจะติดตามหวังเย้าเพื่อฝึกฝนกำลังภายในแทน


 


“น้อง บอกพี่มาสิ ตอนนี้หมอหวังอยู่ระดับไหนแล้ว?” ซูจือฉิงรู้สึกสนใจในตัวหวังเย้ามาก และเขาก็เคยพบหวังเย้าแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น


 


“หนูไม่รู้หรอกค่ะ แต่หนูได้ยินมาจากพี่เฉินหยิงว่า เขาอยู่ในระดับที่สูงมากๆเลยล่ะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“เฉินหยิงเหรอ?” ซูจือฉิงถาม


 


ในตอนกลางวัน พระอาทิตย์เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกเล็กน้อย ภายในบ้านหลังหนึ่ง มีชาหนึ่งถ้วย ชายหนึ่ง และหญิงอีกหนึ่ง


 


“ทำไมถึงได้มีเวลาว่างแวะมาที่นี่ได้ละคะ คุณชาย?” เฉินหยิงถามด้วยรอยยิ้ม


 


“นี่ อย่างเรียกฉันแบบนั้นสิ มันฟังดูอึดอัดจะแย่ เรียกฉันว่าพี่สิ” ซูจือฉิงดื่มชาเข้าไป “เสี่ยวโจวอาการดีขึ้นรึยัง?”


 


“ยังค่ะ เขาเพิ่งจะอาการกำเริบไปได้ไม่นาน ฉันไปรับเขามาตอนช่วงตรุษจีน หลังผ่านวันที่ 15 ไป ฉันก็จะพาเขากลับไปรับการรักษาต่อ” เฉินหยิงพูด


 


“ในช่วงเวลานี้ พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กหลังนี้ ในบางครั้ง เธอก็จะออกไปเที่ยวตามโบราณสถานในปักกิ่งกับน้องชาย เฉินโจวมีความสุขมาก และเธอก็มีความสุขมากยิ่งกว่า


 


“หวังเย้าเป็นคนรักษาเขาเหรอ?” ซูจือฉิงถาม


 


“ใช่ค่ะ” เฉินหยิงตอบ


 


“เขาก็คือสาเหตุที่ทำให้ฉันมาในวันนี้” ซูจือฉิงพูด


 


“เรื่องอะไรเหรอคะ?” เฉินหยิงงุนงงเล็กน้อย


 


“เธอรู้ไหมว่า เสี่ยวซวีสามารถใช้กำลังภายในได้?” ซูจือฉิงถาม


 


“รู้ค่ะ ฉันได้ยินจากคุณผู้หญิง” เฉินหยิงพูด


 


“กำลังภายในของเธอได้มาจากหวังเย้าใช่ไหม?” ซูจือฉิงถาม


 


“ใช่ค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


“หวังเย้าสำเร็จไปถึงขั้นไหนแล้วเหรอ?” ซูจือฉิงถาม


 


“สำเร็จเหรอคะ?” แล้วเฉินหยิงก็เข้าใจว่าเขามาหาด้วยเรื่องอะไร แต่เธอก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาจะถามไปเพื่ออะไร “คุณหมายถึงกังฟูใช่ไหมคะ?”


 


“ใช่ กังฟู” ซูจือฉิงพูด


 


“อืม…” เฉินหยิงคิดหาคำอธิบายอยู่ครู่หนึ่ง


 


หากพูดกันตามจริง เธอไม่เคยเห็นในประสบความสำเร็จได้สูงเท่ากับหวังเย้ามาก่อนเลยในชีวิต แม้แต่ในสำนักที่เธอเรียนมา ก็ไม่มีใครอยู่เหนือเขาเลยสักคน คืนนั้นที่กำแพงเมืองจีน มันยังคงเป็นความทรงจำที่สดใหม่สำหรับเธอ มันคล้ายกับว่า เขาคือเทพพระเจ้าในตำนาน


 


“เขาสำเร็จอยู่ในขั้นที่สูงมากค่ะ” หลังจากที่คิดดูแล้ว เธอก็ให้คำตอบที่คลุมเครือกลับไป


 


“ก็ใช่สิ ฉันรู้ว่าเขาอยู่ในระดับที่สูงมาก แต่มันสูงขนาดไหนล่ะ?” ซูจือฉิงถาม


 


“ฉันไม่เคยเห็นกังฟูของใครที่แข็งแกร่งกว่าเขามาก่อนเลยค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


“หา!” ซูจือฉิงรับฟังและสูดลมหายใจเข้าลึก “แล้วพวกที่สำนักของเธอล่ะ?”


 


“ยากที่จะมีคนเทียบเขาได้ค่ะ” เฉินหยิงพูด


 


ซูจือฉิงรู้จักที่มาของสำนักที่เฉินหยิงเรียนมา มันคือสำนักที่สืบทอดมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี มันคือสถานที่ของกังฟูที่แท้จริง ไม่ใช่กังฟูอย่างที่แสดงโชว์ในทีวีหรือหนัง


 


“พอได้คุยกับเธอแล้ว ฉันก็รู้สึกอยากจะเจอหมอหวังขึ้นมาซะแล้วสิ” ซูจือฉิงพูด “แต่หมอก็ควรจะศึกษาเรื่องการรักษาให้หนักสิ เขาไปเรียนทักษะสุดยอดนี้มาจากไหน แล้วเอาเวลาตอนไหนไปฝึกกัน?”


 


“บนโลกนี้ มีบางคนที่มีพรสวรรค์สูงอยู่นี่คะ” เฉินหยิงพูด


 


“ก็ใช่” ซูจือฉิงพยักหนา หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเธอ


 


“อยากจะไปที่บ้านฉันด้วยกันกับเสี่ยวโจวไหม?” ซูจือฉิงถาม


 


“ไม่ละค่ะ ขอบคุณ พี่ก็รู้สภาพของเขาดี เขาอาจจะอาการกำเริบได้ทุกเวลา มันจะดีกว่าถ้าเราอยู่กันแต่ที่นี่ ขอบคุณสำหรับความใจดีของพี่นะคะ” เฉินหยิงพูด


 


หลังออกมาจากบ้านหลังน้อยนั้นแล้ว ซูจือฉิงก็กลับไปที่บ้าน เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับมัน เขาก็ยิ่งอยากเจอหวังเย้ามากขึ้นไปอีก


 



 


ภายในหมู่บ้านกลางหุบเขา


 


หวังเย้ากำลังอ่าน “สิบโรคร้าย” อยู่ในคลินิก เขาอ่านมันมาสามรอบแล้ว เนื้อหาทั้งหมดถูกบันทึกเอาไว้ในสมองของเขา แต่เขาก็ยังอดที่จะหยิบมันขึ้นมาอ่านในตอนที่ว่างไม่ได้ ทุกครั้งที่ได้อ่าน ก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้ความคิดใหม่ๆอยู่เสมอ


 


แล้วแต่ละวันก็ผ่านไปเช่นนี้ ในวันที่ 9 เดือนมกราคม มีแขกคนหนึ่งเดินทางมาที่คลินิก


 


“คุณหวู?” หวังเย้าพูด ตอนนี้ วันหยุดตรุษจีนได้ผ่านไปแล้ว หวูถงชิ่งผู้มีตำแหน่งใหญ่โตก็เดินทางมาที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้


 


“หมอหวัง สวัสดีปีใหม่ครับ” หวูถงชิ่งพูด


 


“สวัสดีปีใหม่ครับ” หวังเย้าตอบ


 


“ยาของพ่อถูกใช้จนหมดแล้วครับ” หวูถงชิ่งพูด


 


“ผมจะทำเพิ่มให้ แล้วให้คุณมารับวันพรุ่งนี้นะครับ” หวังเย้าพูด


 


ราคาของยาตัวนี้แพงเป็นสองเท่าของซุปเป่ยหยวน เพราะมันใส่สมุนไพรรากลงไปหลายชนิด แต่ตระกูลหวูก็สามารถจ่ายได้โดยไร้ปัญหา


 


“ดี ดี” หวูถงชิ่งพูด “นี่คือเลขาของผมครับ ชื่อว่า เชินจ้าวหยู” เขาตั้งใจแนะนำชายวัย 30 ที่ยืนอยู่ข้างๆให้หวังเย้าได้รู้จัก


533 ที่นี่คือสถานที่รักษาคน ไม่ใช่สถานที่ต่อสู้


 


เมื่อหวูถงชิ่งแนะนำให้ได้รู้จัก หวังเย้าจึงได้รู้ว่าเขาทำงานเป็นเลขา เขารับผิดชอบในการติดต่อกับหวังเย้า ในตอนที่หวูถงชิ่งไม่สะดวกมาเอง


 


“ผู้บัญชาการครับ ผมสามารถจัดการเรื่องที่นี่ได้ งานของท่านคงจะยุ่งมาก ท่านกลับไปก่อนได้เลยนะครับ” หลังออกมาจากหมู่บ้านแล้ว เชินจ้าวหยูก็พูดกับหวูถงชิ่ง


 


“ไม่ต้องห่วง ก็แค่หยุดงานวันเดียวเอง” หวูถงชิ่งตัดสินใจอยู่ค้างคืนหนึ่ง


 


หลังจากที่ส่งหวูถงชิ่งออกไปเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าก็เริ่มเตรียมสมุนไพรต่างๆสำหรับทำยา


 


ในตอนที่เขากำลังจะขึ้นไปบนเขาเพื่อเตรียมยา หวังหมิงเปาก็มาหา เขาเพิ่งจะกลับมาจากการไปเยี่ยมครูหานมา และเขามีท่าทางภาคภูมิใจอย่างมาก


 


“ฉันมีข่าวดีจะบอกล่ะ!” เขาก็ตะโกนขึ้นมาทันทีที่เดินเข้ามาด้านใน


 


“ข่าวดีอะไรเหรอ?” หวังเย้าถาม


 


“ฉันจะได้เป็นพ่อคนแล้ว!” หวังหมิงเปาตะโกน


 


“หา?” หวังเย้าตกใจ เขาคิดไม่ถึงมาก่อนเลย “ยินดีด้วย”


 


หวังหมิงเปามีความสุขมากจนอดหัวเราะออกมาไม่ได้


 


“นายต้องรีบแต่งงานเลยไหม?” หวังเย้าถาม


 


“อืม หาวันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว นายสนใจจะแต่งพร้อมกันเลยไหมล่ะ?” หวังหมิงเปาถาม


 


“มันยังเร็วเกินไป!” หวังเย้ายิ้ม


 


หวังหมิงเปาอยู่คุยไปถึงเวลาเที่ยง เขาพูดว่า “มา ไปกินข้าวที่บ้านฉันกันดีกว่า”


 


“ไม่ล่ะ ขอบใจนะ ฉันต้องกลับไปกินข้าวที่บ้านน่ะ” หวังเย้าพูด


 


“โอเค ไว้ฉันจะเลี้ยงนายวันอื่นนะ แล้วเราไปหาอะไรกินด้วยกัน” หวังหมิงเปาพูด


 


“เข้าท่าดีนี่” หวังเย้าพุด


 


หวังหมิงเปาจากไปอย่างสุขใจ


 


เขาจะแต่งงานแล้ว! หวังเย้าถอนหายใจออกมาเบาๆ


 


ในตอนกลางวัน ไม่มีคนไข้มาที่คลินิกของเขาเลยสักคน เขาจึงล็อกประตูและเดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน มันเงียบสงบมาก หวังเย้าเดินไปที่แปลงสมุนไพรและเดินเล่นรอบๆด้านหลังภูเขา


 


จากนั้น หวังเย้าก็เตรียมสมุนไพร เขานำสมุนไพรที่ปลูกเอาไว้ในแปลงบนเนินเขาหนานชาน ซึ่งเต็มไปด้วยพลังวิญญาณลงไปต้มในหม้อ ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน มันก็ไม่มีผลกับประสิทธิภาพของตัวยาเลยสักนิด


 


ในคืนนั้น มีฝนโปรยลงมา มันไม่ได้มากหรือน้อยเกินไป ภายในกระท่อม ฟืนที่เก็บได้จากบนเขากำลังเผาไหม้ ภายในหม้อ มีสมุนไพรกำลังถูกต้มอยู่


 


หวงฉี, ตานเซิน, หญ้าหลี่, จื้อชาน, ชานหยาง, กุยหยวน,… หวังเย้าเตรียมสมุนไพรเหล่านี้เอาไว้ในตอนกลางวัน กลิ่นเฉพาะของตัวยาค่อยๆลอยออกไปถึงแปลงสมุนไพรที่อยู่ด้านนอก


 


จากฝนก็ค่อยๆเปลี่ยนกลายเป็นหิมะ มันตกลงมาจนถึงกลางดึก วันต่อมา ท้องฟ้ามืดครึ้มเล็กน้อย


 


“หมอคนนี้อวดดีจริงๆ” เชินจ้าวหยูพูดพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้เดินทางมาพร้อมกับเจ้านายของเขา และยังเป็นครั้งแรก ที่เขาต้องมารอเจอหมอนานถึง 30 นาที เจ้านายของเขาไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมาเลยสักนิด ซึ่งมันดูผิดปกติอย่างมาก


 


“คุณมาแล้ว” ชายหนุ่มเดินลงมาจากเขาอย่างช้าๆ


 


“คุณมาเช้ามากเลยนะครับ” หวูถงชิ่งพูด “คุณลงมาจากเขาเหรอครับ?”


 


หวังเย้าเปิดประตูและเชิญแขกของเขาเข้าไปด้านใน เขาส่งยาให้กับหวูถงชิ่ง ผู้มีเงินถุงเงินถัง ถึงแม้ว่าหวูถงชิ่งเพิ่งจะมาถึงเมื่อตอนกลางวันของเมื่อวาน แต่เขาหวังเย้าก็ได้รับเงินจากเขาอย่างรวดเร็ว


 


ยาหนึ่งขวดมีราคา 2 ล้านหยวน มันทำให้เชินจ้าวหยูต้องตกใจ เขาคิดในใจ มันแพงมาก การขายยามันได้เงินง่ายมากจริงๆ! มันสามารถทำเงินได้เร็วยิ่งกว่าการปล้นธนาคารด้วยซ้ำ!


 


ในตอนนี้ เขาเกิดความคิดร้ายๆขึ้นมา แต่เขาก็จัดการลบมันออกไปจากใจอย่างรวดเร็ว


 


หลังจากที่ได้ยามาแล้ว หวูถงชิ่งก็กลับไป


 


“มีคำถามอะไรรึเปล่า?” ภายในรถ อยู่ๆหวูถงชิ่งก็พูดกับเชินจ้าวหยู ผู้เป็นคนสนิทของเขา เขาเป็นคนขยันทำงานและซื่อตรงมานานเกือบ 10 ปี ดังนั้น เขาจึงได้กลายเป็นคนสนิทของหวูถงชิ่ง


 


แต่คนเรามักมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่เสมอ เพราะการที่เขากลายเป็นคนสนิท มันก็ทำให้เขามีความหยิ่งยโสเล็กน้อย


 


“มีบางคนที่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธิมีเสียงหรือเงินทอง แต่พวกเขามีอยู่อย่างหนึ่งก็คือความสามารถที่น่าอัศจรรย์ ดังนั้น นายต้องให้ความเคารพพวกเขา” หวูถงชิ่งพูด เขาพูดออกไปแบบนี้ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เชินจ้าวหยูสร้างความไม่พอใจให้กับหวังเย้า เพราะเขายังต้องพึ่งพาหวังเย้า ในการรักษาอาการป่วยของพ่อเขา


 


“ผมรู้ครับ ผู้บัญชาการ” เชินจ้าวหยูตอบกลับด้วยความนอบน้อม เขาเข้าใจความของหวูถงชิ่งดี เขาจะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหวังเย้า


 



 


ปักกิ่ง สายฝนเปลี่ยนกลายเป็นเกล็ดหิมะ


 


“เฮ้อ หิมะตกอีกแล้ว!” ซูเสี่ยวซวีนั่งอยู่ตรงหน้าต่างและจ้องมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม


 


“ลูกไม่ชอบหิมะเหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงที่อยู่ข้างๆลูบศีรษะของลูกสาวที่น่ารักของเธอ


 


“ก็เวลาหิมะตก มันทำให้หนูออกไปไหนไม่ได้นี่คะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


เธอสามารถเดินไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเองแล้ว แน่นอนว่าเธอยังต้องไปอย่างช้าๆและระมัดระวัง แต่มันก็ถือเป็นการพัฒนาที่ใหญ่มากสำหรับเธอ ในเมื่อเธอสามารถเดินได้แล้ว เธอก็เอาแต่คิดที่จะออกไปข้างนอก เพื่อไปดูปักกิ่งและโลกภายนอก


 


“ลูกอยากจะไปที่ไหนเหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม “แม่จะไปกับลูกเอง”


 


“ช่างมันเถอะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีส่ายหน้า เธออยากจะไปเห็นทะเล


 


“ก็ได้จ๊ะ เห็นพี่ชายของลูกบอกว่า เขาจะไปเหลียนชานสักสองวันนะ” ซงรุ่ยปิงพูด


 


“ไปทำไมเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม


 


“ไปทำธุระจ๊ะ ตอนขากลับ เห็นบอกว่าจะแวะไปหาหมอหวังด้วย” ซงรุ่ยปิงพูด


 


“งั้นเราก็ไปด้วยสิคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด


 


“แม่ก็อยากจะบอกว่าได้อยู่หรอก แต่มันไม่ได้น่ะสิจ๊ะ นี่ก็ใกล้จะถึงวันที่ 15 แล้วด้วย” ซงรุ่ยปิงพูด “เราคงต้องอยู่บ้านไปก่อน ไว้ค่อยไปกันทีหลังนะ”


 


“ได้ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีมองออกไปนอกหน้าต่าง


 


รถคันหนึ่งขับเคลื่อนไปบนถนนราวกับจะบิน มันเป็นรถของกองทัพ


 


“บอส เราจะไปไหนกันเหรอ?” ชายคนหนึ่งถาม


 


“ไปหาปรมาจารย์” ซูจือฉิงพูด


 


“ปรมาจารย์เหรอ?” ชายที่นั่งหลับตาอยู่ที่นั่งด้านหลังลืมตาขึ้นมาในทันที “คนคนนั้นเก่งเหมือนอย่างที่นายว่าจริงๆรึเปล่า?”


 


“พอไปเจอเขานายก็จะรู้เองแหละ แล้วนายก็สามารถขอคำแนะนำตอนนายไปถึงที่นั่นได้ด้วย” ซูจือฉิงพูด


 


“ฉันจะทำแน่นอน” ชายที่นั่งอยู่ด้านหลังพูด “ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันจะลามาเพื่ออะไรกันล่ะ?”


 


“นี่ ทำไมเราถึงขึ้นเขากันล่ะ?” ชายอีกคนถาม


 


“ก็เขาอยู่บนเขาน่ะสิ” ซูจือฉิงพูด


 


รถขับเคลื่อนไปตามถนนคอนกรีตที่ถูกขนาบข้างด้วยภูเขา ไม่นาน หมู่บ้านเล็กๆกลางหุบเขาก็ปรากฏขึ้นในสายตาของพวกเขา รถหยุดลงที่ทางทิศใต้สุดของหมู่บ้าน มีคนหลายคนลงมาจากรถคันนั้น


 


“มันเป็นบ้านที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้สุด และยังสวยที่สุดในหมู่บ้านอีกด้วย ฉันเห็นมันแล้ว!” ซูจือฉิงมองเห็นอาคารรูปแบบเจียงหนานตั้งอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน


 


ประตูไม่ได้ล็อกไว้ หวังเย้านั่งอยู่ด้านในคลินิก เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาก็วางหนังสือในมือลง


 


“เชิญเข้ามาได้” มีเสียงหนึ่งดังลอดผ่านประตู หน้าต่าง แล้วลอยไปเข้าหูกลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านนอก


 


“หืม?” แววตาของชายที่มีคิ้วคมเข้มเป็นประกายขึ้นมา


 


พวกเขาผลักประตูเปิดเข้าไป การตกแต่งสวนเล็กๆด้านในนั้นงดงามสบายตา


 


ชายทั้งสามที่กำลังเดินเข้ามานั้น พวกเขามีการไหลเวียนของพลังฉีและโลหิตที่แข็งแรง และยังเต็มไปด้วยพละกำลัง พวกเขาแข็งแรง ยกเว้นคนหนึ่งที่มีปัญหาที่กระเพาะอ่อนๆ


 


“หมอหวังเย้า สวัสดี” ซูจือฉิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง


 


“เราเคยเจอกันมาก่อนเหรอครับ?” เมื่อหวังเย้าเห็นหน้าของซูจือฉิง เขาก็รู้สึกคุ้นตา มันคล้ายกับว่า เขาเคยเจอชายคนนี้ที่ไหนมาก่อน


 


“ใช่แล้ว ผมเป็นพี่ชายของซูเสี่ยวซวียังไงล่ะ” ซูจือฉิงพูด


 


“คุณมาหาหมอเหรอครับ?” หวังเย้าถาม


 


“เปล่าหรอก เรามาเพื่อขอคำชี้แนะต่างหากล่ะ” ซูจือฉิงพูด


 


“อะไรนะ? ชี้แนะเหรอ?” หวังเย้ารู้สึกสับสน


 


“กังฟู” ชายคิ้วเข้มพูด


 


“กังฟู?” หวังเย้าอึ้งไป


 


นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาขอคำชี้แนะจากเขาในครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน มีบางคนที่รู้ว่าเขาสามารถต่อสู้ได้ เขาพยายามที่จะไม่แสดงความสามารถต่อหน้าคนนอก แต่ตอนนี้กลับมีคนมาขอคำชี้แนะจากเขา


 


“ผมแค่รักษาโรคเท่านั้น” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ต้องการให้เรื่องแบบนี้มารบกวน


 


“ฉันชื่อ จางหยวนหยาง ฉันอยากจะขอคำชี้แนะสักเล็กน้อย” ชายคิ้วเข้มชูกำปั้นขึ้นมา


 


“ต้องขอโทษด้วย” หวังเย้ายิ้มและโบกมือ


 


ทั้งสามต่างตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า หวังเย้าจะปฏิเสธออกมาแบบนี้


 


“หมอ วันนี้เรามาเพื่อขอคำชี้แนะเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ซูจือฉิงพูด


 


“นี่เป็นสถานที่รักษาคน ไม่ใช่สถานที่สำหรับต่อสู้นะครับ” หวังเย้าพูด “ถ้าคุณป่วย ผมก็จะรักษาให้ แต่ถ้าคุณไม่ได้ป่วย ก็เชิญกลับไปได้แล้วครับ”


 


จางหยวยหยางคิ้วชนกัน เขารู้ว่า หมอหวังคนนี้อาจจะอยู่ในระดับปรมาจารย์ มันคงจะเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่เขาไม่ได้ขอคำชี้แนะทั้งๆที่ได้มาพบหน้ากันแล้ว


 


คงต้องขอโทษที่ทำให้ไม่พอใจแล้วล่ะนะ! เขาพุ่งตัวออกไปและปล่อยหมัด เขาตั้งใจโจมตีไปที่จุดกึ่งกลางของร่างกาย หมัดของเขาคือวิชาปาจีที่อัดแน่นไปด้วยพลัง


 


หวังเย้าเคลื่อนตัวเพียงเล็กน้อย


534 สุดยอดปรมาจารย์กังฟูอยู่ที่นี่แล้ว


 


หวังเย้าสามารถหลบกำปั้นอันร้ายกาจที่กำลังพุ่งเข้าหาเขาได้อย่างง่ายดาย


 


ยอดฝีมือ!


 


หลังจากที่ได้ประมือด้วย ผู้เชี่ยวชาญก็จะสามารถบอกได้ว่า คนคนนั้นมีฝีมือจริงหรือไม่


 


จงหยวนหยางรู้ได้ในทันทีว่าหวังเย้าคือยอดฝีมือ ตอนที่ชกออกไป เขาไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดเผื่อว่าหวังเย้าอาจจะไม่ได้เชี่ยวชาญการต่อสู้จริงๆ เขาไม่ต้องการทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาไม่คิดเลยว่า หวังเย้าจะสามารถหลบหมัดของเขาได้อย่างง่ายดาย


 


“โปรดชี้แนะด้วย!” จางหยวนหยางพูด


 


หวังเย้าส่ายหน้า


 


“ได้โปรดเถอะครับ!” จงหยวนหยางชกหมัดออกไปอีกครั้ง


 


หวังเย้าชกหมัดออกไปกลางอากาศ


 


ปัง! จงหยวนหยางปลิวออกไป เขาต้องใช้ความพยายามพอสมควรเพื่อให้ตัวเองสามารถกลับมายืนได้อย่างมั่นคง อะไรกัน?


 


ผู้มาเยือนทั้งสามต่างตกใจกับภาพที่พวกเขาได้เห็น หวังเย้าเพิ่งทำอะไรลงไป? เขาชกคนโดยที่ยังไม่ได้แตะตัวเลยด้วยซ้ำ? เขาส่งพลังฉีไปที่ฝ่ามือใช่ไหม?


 


จงหยวนหหยางคือคนที่ตกใจมากที่สุดในทั้งสาม เขามาจากครอบครัวที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ เขาจึงรู้ว่าความสามารถของหวังเย้ามันหมายถึงอะไร


 


พลังฉีที่ออกมาจากฝ่ามือของหวังเย้าคือสิ่งที่พุ่งเข้าใส่ตัวเขา มันคล้ายกับว่า เขาเพิ่งจะถูกม้าวิ่งชนเข้าใส่ แต่เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย เขารู้สึกประทับใจในความแข็งแกร่งและพลังฉีของหวังเย้า เขาไม่เคยพบเจอคนที่เคยทำได้แบบนั้นมาก่อน เขาเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาจากในนิยายและหนังเท่านั้น


 


หวังเย้าคือยอดฝีมือที่ยากจะได้พบพานสักครั้ง ในความคิดของจงหยวนหยางและอีกสองคนที่เหลือ หวังเย้าคือยอดฝีมือของจริง และมันทำให้จงหยวนหยางตื่นเต้นมาก


 


“ยังจะต่ออยู่ไหม?” หวังเย้าถาม


 


“ไม่ ผมแพ้แล้ว” จงหยวนหยางพูด


 


เขาไม่อาจเทียบชั้นกับหวังเย้าที่แข็งแกร่งกว่าเขาได้ เขาเป็นเหมือนกับเด็กประถมที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้านักศึกษามหาวิทยาลัย


 


“แต่…” จงหยวนหยางพูด


 


“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ก็เชิญกลับได้เลยนะครับ” หวังเย้าพูด


 


จงหยวนหยางพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็ถูกหวังเย้าขัดไว้ก่อน เขาจึงเลือกที่จะถอยก่อนในตอนนี้ ทั้งสามออกมาจากคลินิกพร้อมกับความรู้สึกสับสน


 


“นี่ ทำไมนายไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว?” จงหยวนหยางถามซูจือฉิง


 


“จะให้ฉันพูดอะไรได้ล่ะ?” ซูจือฉิงถาม


 


“ก็นายเป็นคนพาพวกเรามาหายอดฝีมือถึงที่นี่ แล้วยังจะให้ฉันสู้กับเขาอีกยังไงล่ะ” จงหยวนหยางพูด


 


“แล้วเขาเป็นยอดฝีมือจริงรึเปล่า?” ซูจือฉิงถาม


 


“เป็น” จงหยวนหยางพูด


 


“แล้วนายได้สู้กับเขาไหม?” ซูจือฉิงถาม


 


“นายมัน…นี่กำลังเล่นเกมส์ต่อคำกับฉันอยู่ใช่ไหม ห๊า?” จงหยวนหยางพบว่า ซูจือฉิงกำลังแกล้งเขาอยู่


 


“นายคิดว่าเขาเป็นยังไงบ้าง?” ซูจือฉิงถาม


 


“เขาสุดยอดมาก เป็นยอดฝีมือของจริงเลยล่ะ พูดตามตรง ฉันไม่คิดเลยว่า จะมีคนแบบเขาอยู่บนโลกใบนี้ด้วย” จงหยวนหยางพูด


 


ตอนที่เขายังอยู่ที่บ้านเกิด ปู่ของเขามักจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับกังฟูให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ ปรมาจารย์กังฟูเหล่านั้นมีอยู่แค่ในนิยายเท่านั้น ในโลกของความเป็นจริงนั้นต่างออกไป ถึงหวังเย้าจะดูเด็กกว่าเขา แต่กลับมีฝีมือสูงส่งยิ่งกว่าปรมาจารย์กังฟูในนิยายด้วยซ้ำ


 


“นี่ นายว่า เราไปขอเขาให้ช่วยสอนพวกเราที่กองทัพดีไหม?”  เพื่อนทหารอีกคนถาม


 


“เขาเป็นหมอนะ ทำไมเขาจะต้องไปสอนพวกเราที่อยู่ในฐานทัพที่ห่างไกลขนาดนั้นด้วย?” ซูจือฉิงถามด้วยรอยยิ้ม “นายก็เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เขาปฏิเสธที่จะต่อสู้ ก็แสดงว่าเขาไม่ต้องการให้คนรู้ว่าเขาต่อสู้ได้”


 


“น่าเสียดายจริงๆ” เพื่อนทหารพูด


 


“ช่างมันเถอะ ขอฉันคิดดูก่อนนะ” ซูจือฉิงพูด


 


ทั้งสามมาพร้อมกับความคาดหวังที่มากล้น และกลับไปพร้อมกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ได้เป็นพยานเห็นถึงความสามารถในการต่อสู้ของหวังเย้า


 


“ฉันขอให้พวกนายอย่าบอกเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้กับคนอื่นนะ” ซูจือฉิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง


 


“ได้สิ” จงหยวนหยางพูด


 


“แน่นอน” เพื่อนทหารอีกคนพูด “ฉันไม่เข้าใจเลย ทั้งๆที่เขาเป็นหมอที่มีฝีมือ แล้วยังเป็นยอดฝีมือในเรื่องการต่อสู้ด้วย ทำไมเขาถึงอยากมาอยู่ในหมู่บ้านกันดารแบบนี้ด้วย ถ้าอยู่ที่อื่น เขาคงจะกลายเป็นที่นับหน้าถือตาไปนานแล้ว”


 


“รอเดี๋ยวนะ เขาบอกกับฉันว่า ท้องนายมีปัญหานี่” ซูจือฉิงพูด “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”


 


“เขารู้ได้ยังไงกัน?” เพื่อนทหารอีกคนถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ


 


“ฉันได้ยินมาจากเสี่ยวซวีว่า เขาสามารถวินิจฉัยโรคของคนอื่นได้ด้วยการมองอย่างเดียว ดังนั้น เขาก็เลยรู้อาการป่วยของนายจากการมองเท่านั้น” ซูจือฉิงตอบ


 


“ฉันชักจะรู้สึกสงสัยขึ้นมาซะแล้วสิ” เพื่อนทหารของซูจือฉิงพูด


 


“แล้วนายคิดว่า การต่อสู้ของเขาเป็นยังไงบ้าง?” ซูจือฉิงถาม


 


“สุดยอดไปเลยล่ะ” เพื่อนทหารของเขาพูด


 


“เห็นไหมละ” ซูจือฉิงพูด


 


“แต่นั่นมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความสามารถในการรักษาของเขาสักหน่อย” เพื่อนทหารของเขาพูด


 


“ไม่ต้องพูดแล้ว นายลองไปท้าสู้กับเขาดูสิ” จงหยวนหยางพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ฉันรู้หรอกน่า แต่ฉันคงสู้เขาไม่ได้หรอก” เพื่อนทหารของซูจือฉิงพูด


 


“เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่าไหม?” ซูจือฉิงพูด


 


หลังจากที่ทั้งสามจากไปแล้ว หวังเย้าก็มีคนไข้มารักษาคนหนึ่ง เขาเป็นชายชราในหมู่บ้านวัยประมาณ 60 เขามีผมขาวทั่วทั้งศีรษะ เขาดูป่วยและหลังงอเล็กน้อย


 


“คุณลุงมีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม


 


“ฉันรู้สึกหายใจลำบากน่ะ” ชายชราพูด ตอนที่ชายชราพูด หวังเย้าได้ยินเสียงจากในลำคอของเขาด้วย เสียงของมันคล้ายกับเสียงของเครื่องระบายอากาศ


 


“เชิญนั่งก่อนครับ ผมขอตรวจดูหน่อย” หวังเย้าพูด


 


เขามองเห็นความเสื่อมโทรมในร่างกายของชายชรา มันไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย เขาจับดูชีพจรของชายชรา ซึ่งมีการเต้นที่ผิดปกติ มันกระโดดไปมาคล้ายกับนกที่กำลังจิกอาหาร แต่แล้วมันก็เต้นอ่อนลง มันเป็นการเต้นที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นการเตือนของความตายที่ใกล้เข้ามา


 


“คุณตาครับ คุณตาควรรีบไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยนะครับ ไปหาหมอ แล้วบอกให้หมอตรวจดูการทำงานของตับนะครับ” หวังเย้าพูด


 


“เสี่ยวเย้า มีเรื่องอะไรที่อยากจะบอกกับฉันรึเปล่า?” ชายชราถาม


 


“เชื่อผมนะครับ ไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย” หวังเย้าพูด


 


“ได้ๆ ฉันจะเชื่อเธอ” ชายชราออกไปจากคลินิก ท่าทางการเดินของเขาดูไม่มั่นคงนัก


 


เมื่อมองดูชายชรา หวังเย้าก็คิดไปถึงคำพูดของคนสมัยก่อน คนที่กำลังจะตายไม่จำเป็นต้องใช้ยา


 


อาการของชายชราเกินกว่าที่จะรักษาได้แล้ว หวังเย้าทำได้เพียงยืดเวลาให้เขาอยู่ต่อไปได้อีกสามสี่เดือนเท่านั้น แต่เขาก็ต้องได้รับอนุญาตจากคนในครอบครัวของชายชราก่อน


 


ในบางครั้ง การรักษาคนในหมู่บ้านก็มีปัญหาได้ ซึ่งต่างไปจากหวูถงชิ่งและซุนหยุนเชิงที่ทำตามคำแนะนำของเขาทุกอย่าง แต่ชาวบ้านไม่ใช่คนที่จะยอมทำตามคำแนะนำของหวังเย้าแบบนั้น


 


ฉันหวังว่าเขาจะไม่ต้องทรมานมากนะ


 


ตั้งแต่ที่เขากลายเป็นหมอ มุมมองของหวังเย้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก


 


เมื่อไปถึงที่บ้าน ชายชราได้บอกกับลูกชายของเขา เกี่ยวกับคำแนะนำของหวังเย้า


 


“อะไรนะ? พ่อต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลเหรอ? พ่อเป็นอะไร?” ชายวัย 30 ถาม เขาขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก


 


“ฉันหายใจลำบากน่ะ” ชายชราพูด


 


“ก็ได้ ขอผมคุยกับพี่ดูก่อนนะ” ลูกชายของชายชราพูด


 


ดังนั้น การรักษาของชายชราจึงช้าลงกว่าเดิม


 


หวังเย้าบอกพ่อแม่ของเขาเกี่ยวกับชายชรา ในตอนที่พวกเขากำลังทานอาหารกลางวันกันอยู่


 


“ลุงยี่หลงน่ะเหรอ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด


 


“เขาเป็นอะไรเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“เขาป่วยหนักมากครับ” หวังเย้าไม่ยอมบอกพ่อแม่ของเขาว่าชายชราป่วยเป็นอะไร แต่พ่อแม่ของเขาก็เข้าใจได้ในทันที ในหมู่บ้าน ชาวบ้านมักจะเรียกโรคมะเร็งว่า โรคร้ายหรือป่วยหนัก


 


“ลูกรักษาเขาได้ไหม?” จางซิวหยิงถาม


 


“ถ้าทำได้ ผมก็คงทำไปแล้วครับ แต่เขาอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว” หวังเย้าพูด “ผมคิดว่า ผมคงจะช่วยเขาไม่ทันแล้ว”


 


“เอาล่ะ กินข้าวกันดีกว่านะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด


 


“เดี๋ยวนะ ผมไม่น่าไปพูดแบบนั้นกับลุงยี่หลงเลย” หวังเย้าพูดขึ้นมา ในตอนที่เขากำลังใช้ตะเกียบคีบอาหารอยู่


 


“ลูกพูดว่าอะไรนะ?” จางซิวหยิงถาม


 


“ผมว่า ผมไม่น่าไปพูดบอกให้เขาไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่เลย มันจะทำให้เขาเป็นกังวลและอาการแย่ลงได้” หวังเย้าพูด


 


สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งบางคนนั้น อาการของพวกเขามักจะทรุดลงหลังจากที่ได้รู้ผลตรวจแล้ว เพราะอารมณ์ความรู้สึกนั้นส่งผลโดยตรงต่อโรค สุขภาพจิตของพวกเขาแย่ลง แล้วต่อด้วยสุขภาพร่างกาย แต่ถ้าพวกเขาไม่รู้เรื่องที่ป่วยเป็นมะเร็ง พวกเขาก็อาจจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น แต่เมื่อพวกเขารู้ตัว พวกเขาก็อาจจะเสียชีวิตได้ในเวลาแค่สองเดือน


 


“ไม่รู้ว่า ลูกชายของเขาจะยอมพาเขาไปโรงพยาบาลรึเปล่านี่สิ” จางซิวหยิงพูด


 


ลูกชายของชายชรานั้นมีชื่อเสียงที่ไม่ดี ในเรื่องของการไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ เขามักจะตะโกนใส่พ่อแม่ของเขา ราวกับว่าตนเองคือผู้เป็นใหญ่ที่สุดของบ้าน ชาวบ้านหลายๆคนมักจะได้ยินเสียงตะโกนของเขาอยู่บ่อยครั้ง


 


แม่ของเขาได้จากไปแล้ว เมื่อไปเคารพหลุมศพ เขาไม่มีท่าทีเสียใจเลยแม้แต่น้อย หรือเขาอาจจะกำลังหวังให้พ่อของเขาป่วยอยู่แล้วก็ได้


 


“เฮ้อ!” หวังเฟิงฮวาถอนหายใจออกมา


 


“ลูกสาวของเขาก็ดีอยู่นะ แต่ตอนนี้เธอก็มีลูกที่ต้องเลี้ยง ถ้าไม่อย่างนั้น เธอก็คงจะเอาตัวลุงยี่หลงไปอยู่ด้วยที่บ้านแล้ว” จางซิวหยิงพูด “อาการป่วยของเขาก็คงจะเป็นเพราะลูกชายตัวดีของเขานั่นแหละ เพราะเสียใจเรื่องลูกชาย เขาเลยดื่มหนักมาก”


 


ไม่นาน หวังเย้าก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน เขาไม่ต้องการพูดเรื่องประเภทนี้เท่าไหร่ เพราะมีแต่จะทำให้เขาและพ่อแม่ต้องรู้สึกแย่ไปด้วยก็เท่านั้น และสิ่งที่เขาพอจะช่วยชายชราได้ก็มีจำกัด


 


“อ้อ เมื่อเช้าพี่สาวของลูกโทรมา บอกว่าเธอกับตู้หมิงหยางกำลังจะหมั้นกัน เราคงต้องหาเวลาไปคุยกับที่บ้านของตู้หมิงหยางดู” จางซิวหยิงพูด


 


“ครับ” หวังเย้าพูด


 


“หมิงหยางเป็นคนดีทีเดียว” จางซิวหยิงพูด


 


“ผมเห็นด้วยครับ” หวังเย้าพูด


 


เขาคอยจับตามองตู้หมิงหยางมาได้พักหนึ่งแล้ว และเขาคิดว่า ตู้หมิงหยางเป็นคนดีคนหนึ่ง ที่พยายามทำทุกอย่างให้พี่สาวของเขาพอใจ หลังจากที่แต่งงานไป พี่สาวของเขาก็คงจะมีชีวิตที่มีความสุข เพราะได้รับการดูแลจากตู้หมิงอยางเป็นอย่างดี


 


หวังเย้าใช้วิธีการวินิจฉัยทั้งสี่ในการดูลักษณะนิสัยของคนได้ด้วย เขาสามารถบอกได้ว่าคนไหนที่ป่วย หรือเป็นคนดีได้ด้วยการวินิจฉัยทั้งสี่


 


“สรุปว่า เราทุกคนเห็นด้วยกับการแต่งงานนะจ๊ะ” จางซิวหยิงถาม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)